ได้ข่าวว่างบยังไม่เสร็จ อีกยาวเลย แต่ส่งมาลงให้ก่อนค่ะ

**************************
ผมส่ายหัวอีก “พูดไม่ได้”
พี่หนุ่ยคงหมดความอดทนกับผม มือที่วางแปะอยู่ทุบหัวผมเบาๆ ไปหลายที
“มึงเป็นใบ้เหรอถึงพูดไม่ได้” ผมยังคงยืนยันเจตนารมณ์เดิมคือไม่อยากพูด
“เปล่า”
“เอ๊ะ...ไอ้เตี้ย!”
คราวนี้พี่หนุ่ยคงนึกว่าผมกวนจริงๆ จับตัวผมเขย่าแรงๆ แต่ผมไม่มีเวลามาคิดอะไรครับมันทนไม่ไหวแล้ว ผมสะบัดตัวจากมือพี่หนุ่ยเอามือปิดปากไว้แล้ววิ่งไปห้องน้ำ อาเจียนของที่กินไปยังไม่ทันถึงชั่วโมงออกมาจนเกือบหมด สรุปว่าของกินที่เสียดายๆ จนกินเข้าไปจนหมดมันก็ต้องเอาออกมาอยู่ดี ผมอาเจียนเสียหมดแรงนั่งเปลี้ยอยู่บนพื้นห้องน้ำ ในปากทั้งขมทั้งเปรี้ยว พี่หนุ่ยเดินเข้ามาดูยืนพิงประตูส่ายหัวแบบสมเพชแล้วหัวเราะ หึหึ ไม่หยุด
“ไอ้อ่อนเอ๊ย แดกไปแค่นี้ก็ออกมาหมด” พี่หนุ่ยส่งแก้วน้ำดื่มมาให้ผม
“เอ้า ล้างปากซะหน่อย แล้วมึงล้างหน้าล้างตา เป็นผู้เป็นคนแล้วออกมาคุยกับกู”
“อารายพี่...ยังจะคุยอีกเหรอ...ง่วงแล้วน้า บอกแล้วว่าไม่พูด ไม่พูด ก็ไม่เชื่อ เพราะพี่คนเดียวเลย แกล้งผม”
พี่หนุ่ยคงไม่ได้ยินที่ผมพูด เดินออกไปโดยไม่ช่วยผมเลย ผมล้างปาก ล้างหน้าตาพอจะสร่างขึ้นมาบ้าง รู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย อาการผะอืดผะอมหายไป คิดแล้วก็ดีที่เอาออกไปเสียได้
ผมออกมานอนแผ่อยู่ที่พื้นหน้าโซฟาอย่างหมดแรง ตาปรือจวนจะปิด เพลียหมดแรงจนจะหลับมิหลับแหล่ พี่หนุ่ยนั่งลงกับพื้นเขย่าตัวผม ไม่ยอมให้ผมหลับ ใจร้าย...จริงเว้ย
“ตื่นมาคุยกันก่อน ตกลงมึงมีเรื่องอะไรกันแน่ อย่ามาท่ามาก เดี๋ยวกูรำคาญไล่ออกไปนอนนอกบ้านนะ”
“พี่หนุ่ย ไม่มีอะไรจริงๆ” ผมลุกขึ้นนั่งอย่างมึนๆ ขยับตัวไปพิงไว้กับโซฟา แต่ตัวก็คอยจะโอนเอนไปมาอยู่ข้างกายพี่หนุ่ย
“มึงแน่ใจนะ กูรู้นะว่ามึงก็ไม่ได้งานยุ่งอะไรมากมาย”
ผมหันไปหาพี่หนุ่ย “พี่รู้เรื่องผมได้ไง” ผมชี้หน้าพี่หนุ่ย ยิ้มกวนๆ ก่อนพูดย้อนพี่หนุ่ยว่า
“อย่ามาอำกันดีกว่า พี่ยุ่งจะตายเอาเวลาที่ไหนมาสนใจผม” พี่น่าจะเอาเวลาไปอยู่กับแฟนมากกว่า ผมคิดของผมแบบนี้ เหอะ ทำมาพูดรู้ดี
“กูโทรไปบ้านมึงมา คุยกับแม่มึง เค้ายังบอกว่าบางวันมึงนอนเล่นอยู่กับบ้าน” น้ำเสียงพี่หนุ่ยจริงจัง มองหน้าเหมือนจะจับผิดผม ผมยังอ้าปากค้างเมื่อได้ยินว่าพี่หนุ่ยโทรไปบ้านผม แถมคุยกับแม่ด้วย
“มึงไม่พอใจอะไรกู บอกมาดีกว่า กูโทรเข้ามือถือก็ไม่รับสาย มันอะไรกัน กูอยากรู้”
ผมหลบตาพี่หนุ่ยแล้วหัวเราะดังๆ ตอบเลี่ยงไป “พี่ก็...คิดมาก มันก็มีบ้างอารมณ์ขี้เกียจ จะใส่ใจอะไรกับคนไร้สาระอย่างผม”
“แค่นั้น?”
ผมพยักหน้าแต่ไม่หันไปมองพี่หนุ่ย ผมไม่อยากพูดมากเพราะผมไม่อยากโกหก ในเมื่อมันไม่ใช่ 'แค่นั้น' แต่มันมีมากกว่านั้น
“เกี๊ยง!” พี่หนุ่ยเอามือจับหัวผมให้หันหน้ามาหา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าเคย
“พูดตรงๆ กับพี่”
ผมลังเลไม่รู้จะเอายังไงดี แต่พี่เป็นคนบังคับผมเองนะ ผมเงยหน้าขึ้นมองพี่หนุ่ย ยังไม่อยากตอบแต่อยากถามมากกว่า
“งั้นผมถามพี่บ้าง ตอนผมทำงานอยู่ใกล้ๆ พี่คิดถึงผมมั้ย”
พี่หนุ่ยไม่ใช้เวลาคิดเลยส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “ไม่ มึงจะเพี้ยนรึเปล่า เห็นๆ กันจะคิดถึงกันทำไม”
“แต่ผมคิดนะ” ผมตอบแล้วเบะปาก
“เออ ก็มึงเพี้ยนไง” พี่หนุ่ยยิ้มเล็กๆ เอามือขยี้หัวผมเล่น “บ้าด้วย”
“แล้วพี่นึกไงโทรหาผมที่บ้าน” ผมปัดมือพี่หนุ่ยออกแล้วถามอีก
“ก็เห็นหายไปนาน สงสัยว่าเป็นอะไรรึเปล่า ก็เลยโทรไป ทำไม มึงมีความลับอะไร ทำไมกูจะโทรไปไม่ได้”
ผมไม่ตอบคำถามพี่หนุ่ยแต่พูดสวนกลับ “เพราะพี่คิดถึงผมใช่มั้ยล่ะ” หึหึ ผมยิ้มกว้างอย่างดีใจ พอคิดได้แบบนี้ผมแทบจะหายเมา เอาหัวไปสีไหล่พี่หนุ่ยอย่างประจบ ความรู้สึกเหมือนมีดอกไม้บานในหัวใจ
“เฮ้ย...ก็” พี่หนุ่ยกัดปากแน่น ไม่พูดต่อ
“ก็ใช่มั้ยล่ะ หุหุ” ผมกอดแขนพี่หนุ่ยแน่น เอาหน้าแนบกับต้นแขน แต่พี่หนุ่ยกลับพยายามแกะแขนผมออก แล้วเมือดันหน้าผม
“ก็มึงหายไปนาน กูก็โทรไปไม่คิดอะไรจริงๆ แล้วมึงจะมาเกาะแขนกูทำไมวะ เอาออกไป!”
ในที่สุดผมยอมปล่อยแขนพี่หนุ่ยอย่างเสียดาย เพราะถ้าไม่ปล่อย ผมคงน่วมเพราะแกเอามือดันหน้าผมจนเจ็บระบมไปหมด บวกกับแผลที่ยังแสบเลยทำให้ผมสู้ไม่ไหว ได้แต่ใช้คำพูดสู้
“พี่ก็งี้แหละ ปากแข็งแล้วยังสายตายาวอีก”
“นี่มึงพูดดีๆ กูไปปากแข็งตรงไหน แล้วกูก็ไม่สายตาทั้งยาวทั้งสั้น สายตาปกติเว้ย” ผมย่นจมูกใส่พี่หนุ่ยแล้วเถียง
“ไม่สายตายาวยังไง ต้องให้ผมหายไปนานถึงจะคิดถึง ปากก็แข็ง คิดถึงยังไม่ยอมรับอีก เชอะ”
พี่หนุ่ยเม้มปากแน่น คงจะเถียงผมไม่ออกบ่นกับตัวเอง “มันท่าจะบ้า สายตายาวสั้นอะไรของมัน ไม่เห็นจะเกี่ยวกันตรงไหน”
ผมเลื่อนตัวเองไปเก็บของกินที่เหลืออยู่ ยังวางระเกะระกะอยู่บนโต๊ะ ปากก็บ่น “ใครจะเหมือนผม สายตาปกติ อยู่ใกล้ก็คิดถึง อยู่ไกลก็คิดถึง”
“มึงนี่เพี้ยนใหญ่ ไปนอนดีกว่าท่าจะคุยกันไม่รู้เรื่อง ถึงเช้าก็ยังไม่ไปไหน”
พี่หนุ่ยทำท่าจะหันหลังเดินขึ้นข้างบน ผมเข้าไปเกาะแขนพี่เค้า “ขอนอนด้วยคนนะพี่นะ นะครับ”
พี่หนุ่ยสะบัดแขน ไม่รู้รำคาญอะไรผมนักหนา ไอ้ผมก็นึกว่าแกจะไม่อนุญาตให้ผมไปนอน พี่หนุ่ยมองผมด้วยหางตาแล้วว่า “เออ ทำเป็นมาขอ ไม่เคยมารึไง เก็บของให้เรียบร้อยแล้วค่อยขึ้นมาล่ะ”
ผมยิ้มกว้างให้แกด้วยความดีใจ “พี่น่ารักที่สุดเลย”
พี่หนุ่ยอ้าปากค้างเมื่อเจอคำชมของผมเข้าไป หน้าเป็นสีชมพูแกล้งเกาหัวเขินๆแล้วเดินออกไปบ่นพึมพำ “บ้าป่าววะ มาชมกูน่ารัก”
ผมใช้เวลาเก็บของเช็ดทำความสะอาดสถานที่ไม่นานก็ตามเข้าไปที่ห้องพี่หนุ่ย ออกจะมึนๆก็ทำไปส่งๆ ล่ะครับ พรุ่งนี้เช้าค่อยมาเก็บอีกที แอร์ในห้องเย็นเฉียบจนผมหนาว ผมล้มตัวลงนอนข้างเตียงบนฟูกที่พี่หนุ่ยจัดไว้ให้ผม ผมชะโงกมองดูบนเตียงพี่หนุ่ยนอนหันหลังให้ผมเหมือนเคย
ผมไม่แน่ใจว่าแกหลับไปรึยัง ผ้าห่มกองอยู่แค่เอวเพราะพี่หนุ่ยเป็นคนขี้ร้อน
“พี่หนุ่ย หลับแล้วเหรอ” ผมถามไปเบาๆเหมือนกระซิบ
ผมตาสว่างไปแล้ว ตอนนี้ในสมองกำลังสั่งงานเต็มที่ การคุยกันเมื่อครู่นี้ทำให้ผมไม่ง่วงอีกต่อไป พี่หนุ่ยไม่ตอบคำถามผม แกคงจะหลับไปแล้วจริงๆ
ผมถอนหายใจยาวนอนเอามือก่ายหน้าผาก ตั้งแต่เกิดมาในชีวิตมีเรื่องใหญ่สำหรับผมไม่มากนัก เรื่องครอบครัวเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในชีวิตและความคิดของผมเรื่องหนึ่ง ผมผ่านปัญหาครั้งนั้นมาได้ทำให้ผมได้ข้อคิดหลายอย่าง บางเรื่องต้องเอาหลักธรรมะมาช่วย แต่บางเรื่องก็เพราะมีพี่หนุ่ยคอยชี้ทาง ผมยกตัวขึ้นนั่งแล้วหันไปมองพี่หนุ่ยอีกครั้ง
แผ่นหลังกว้างของพี่หนุ่ยที่นอนอยู่ใกล้ๆ ปรากฏขึ้นต่อสายตา ผมเท้าคางบนเตียงนั่งมองพี่หนุ่ยเงียบๆในความมืด อยู่ใกล้กันแค่นี้แต่ทำไมบางครั้งเหมือนอยู่ไกลกัน คนๆหนึ่งอยู่ห่างจากผมไม่ถึงคืบแค่เอื้อมมือคว้าไปก็ถึงตัว แต่ผมกลับไม่กล้าทำ ผมนั่งอมยิ้มความรู้สึกดีๆที่ได้แค่มองมันเกิดขึ้นได้ยังไงผมยังสงสัย ผมนั่งมองอยู่นานความรู้สึกแปลกๆ อยากสัมผัสพี่หนุ่ยเกิดขึ้นมาอีกครั้ง ผมเอื้อมมือไปอยากแตะไหล่แต่ก็ต้องเงื้อมือค้างไว้
ผมถามตัวเองว่า 'ผมคิดอะไรกับพี่หนุ่ยกันแน่'
ความรู้สึกหวั่นไหวเมื่ออยู่ใกล้ชิด ความอบอุ่นในใจเมื่อพี่หนุ่ยสัมผัสร่างกายผมถึงแม้จะเป็นเพียงการตบหัว หัวใจที่เต้นแรง รอยยิ้มที่เกิดขึ้นมาเองยามเราต่อล้อต่อเถียงกัน มันเป็นเพราะอะไร ผมทำใจกล้าขยับตัวขึ้นไปนอนบนเตียงข้างพี่หนุ่ยอย่างเงียบๆ ห่างกันไม่ถึงช่วงแขน แต่รับรู้ถึงไออุ่นจากร่างกายจากร่างกายพี่หนุ่ยที่แผ่มาถึงใจผม ผมเอามือแตะไหล่พี่หนุ่ยเบาๆ ผมคิดว่าผมรู้แล้ว ผมบอกกับตัวเองว่า
“ผมคิดว่า...ผมรักพี่แล้วนะ พี่หนุ่ย”
ผมชักมือกลับแล้วข่มตานอนให้หลับลงทั้งที่รอยยิ้มยังแต้มอยู่ที่ริมฝีปาก อย่างน้อยคืนนี้ผมก็หาคำตอบให้หัวใจตัวเองได้แล้วว่ามันเป็นอะไร แต่คำตอบนั้นจะได้คะแนนเต็มหรือสอบตก คงต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ ไม่ก็ต้องให้พี่หนุ่ยของผมเป็นคนให้คะแนน ผมจะรอวันนั้น ไม่ลังเลที่จะทำข้อสอบข้อต่อไป
***********************************
ผมยังไม่หลับเมื่อเกี๊ยงเข้ามาในห้องเพียงแต่ผมไม่อยากคุยกับมันอีก คืนนี้มันดึกเกินกว่าจะมาคุยกัน เมื่อมันถามว่าผมหลับรึเปล่าผมจึงไม่ตอบ ผมได้ยินเสียงถอนหายใจจากคนที่นอนอยู่ข้างล่างหลายครั้ง ร่ำๆจะหันไปถามว่ามึงเป็นอะไรหนักหนาถึงต้องถอนหายใจมากมายขนาดนั้น แต่เสียงถอนหายใจก็เงียบไปในที่สุด
จนผมเคลิ้มๆเกือบจะหลับ ถึงรับรู้ความเคลื่อนไหวของคนที่นอนอยู่ข้างล่างอีกครั้ง น้ำหนักที่กดลงบนเตียงทำให้รู้ว่ามันคงทำอะไรสักอย่างใกล้ๆ ตัวผม แต่ผมก็ไม่กล้าหันไปดู จนเมื่อแรงหนักกว่าเดิมเสียงขยับร่างกายของคนที่เปลี่ยนที่มานอนข้างๆผม สัมผัสอันแผ่วเบาที่ไหล่ ทำให้ผมสงสัยว่ามันคิดจะทำอะไรกันแน่
“ผมคิดว่า...ผมรักพี่แล้วนะ พี่หนุ่ย”
น้ำเสียงนุ่มนวลไม่ร่าเริงจนทะเล้นเหมือนอย่างเคยแต่ก็จริงจัง ถึงจะแผ่วเบาแต่ผมก็ได้ยินชัดเจน ทำเอาผมตัวเย็นเฉียบ 'มันล้อเล่นอะไรกูแน่ๆ' ผมยังนอนนิ่งรอดูท่าที เผื่อมันจะบอกว่า 'ล้อกันเล่น' หรือมันจะแอบเอากล้องวีดีโอมาติดเอาไว้ แล้วเอามาแซวผมทีหลัง ถ้าผมเผลอหันไปคุยกับมันเข้า
แต่ทุกสิ่งก็ยังเหมือนเดิม มีแต่ความเงียบที่ยังอยู่เป็นเพื่อนผม เสียงลมหายใจแผ่วๆของคนที่นอนอยู่ข้างหลังดังสม่ำเสมอ เป็นสัญญาณว่าน้องเกี๊ยงมันหลับไปแล้ว เล่นมาหย่อนคำพูดไว้แล้วก็ทิ้งกันไปดื้อๆ แบบนี้นะไอ้เตี้ย!
ข้อความที่มันพูดทำให้ผมกลับนอนไม่หลับทั้งที่เกือบจะหลับไปแล้ว ไม่เฉพาะคำพูดพวกนั้นเท่านั้น แต่เพราะผมยังจำได้ถึงสายตาของมันที่มองผมหลายครั้ง แล้วยังรวมถึงกิริยาคลอเคลียของมันที่ผมรู้สึกว่ามันมากกว่าปกติ ทั้งหมดทั้งมวลทำผมหนาวๆร้อนๆตลอดเวลาที่มันมาอยู่ใกล้ๆผม
ถ้ามันจะรักผมจริงๆไม่ได้ล้อเล่น ...แล้วผมล่ะ 'รักมันรึเปล่า?' ผมถามตัวเองบ้าง แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้
ผมค่อยๆ พลิกตัวนอนหงาย ถอนหายใจขึ้นมาบ้าง ลมหายใจของเราสองคนคงลอยวนเวียนไปด้วยความสงสัยและกังวลใจเต็มไปหมดในห้องนี้ ผมพยายามจะไม่ให้คนข้างกายรู้สึกตัวตื่น พยายามมองทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายดายเหมือนเคย
ถ้ามันจะชอบผมจริงๆ จะแปลกตรงไหน ผมก็ดีกับมันทุกอย่างเป็นทั้งเพื่อนทั้งพี่ทั้งเจ้านาย เป็นธรรมดาที่มันจะต้องชื่นชอบผม ผมอย่าไปหลงตัวเองว่ามันจะมารักใคร่ชอบพออะไรทำนองชู้สาว ไม่สิใช้คำนั้นไม่ได้ มันคงจะไม่ชอบผมในทำนองคู่รัก ไอ้เตี้ยมันคงใช้คำผิดมากกว่า มันควรจะใช้คำว่า 'ชอบ' มากกว่าคำว่า 'รัก'
นี่แหละเด็กสมัยใหม่แค่จะเลือกใช้คำยังใช้ผิดเลย มาทำเอาหัวใจผมแกว่ง ผมคิดได้แบบนี้แล้วก็หันไปดูไอ้เตี้ยอีกครั้ง ท่าทางมันจะฝันดีรอยยิ้มยังติดอยู่ที่ริมฝีปากถึงแม้จะนอนเงียบไปนานแล้ว
ผมพยายามข่มตาหลับเมื่อหาเหตุผลกับตัวเองได้ ถ้าพรุ่งนี้มันจะมาถึง ผมก็คงจะเหมือนเดิมสำหรับน้องเกี๊ยง อีกหน่อยพอมันคิดได้มันก็คงจะเลิกเพ้อไปเอง ผมหวังไว้แบบนั้น
เช้านี้ผมตื่นสายกว่าปกติอาจจะเป็นเพราะเมื่อคืนกว่าจะหลับได้ก็ยังใช้เวลาอีกนาน เพิ่งมาหลับเอาจริงๆตอนตีสาม ผมนอนไปนานแค่ไหนก็ไม่รู้ แต่ก็ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อมีอะไรเย็นๆมาแนบแก้ม
“ว้ากกก...เล่นอะไรวะ” ผมต้องตื่นขึ้นมาโวยจนได้ เสียงหัวเราะดังๆของคนที่อยู่ตรงหน้าทำเอาผมฉุน
“กว่ากูจะหลับก็ตั้งดึก มึงยังมาแกล้งกูอีกนะ คนจะนอนสบายๆสักหน่อย”
เจ้าตัวดียืนดื่มนมเย็นจนเห็นหยดน้ำเกาะพราวที่แก้ว คราบนมเป็นเขี้ยวติดอยู่ที่แก้ม เหมือนเด็กเล็กๆไม่มีผิด
ไอ้ตัวแสบทำหน้าฉงนแต่ก็ยังยิ้มจนผมหมั่นไส้ มันจะอารมณ์ดีอะไรนักหนาวะ
“พี่นอนดึกเหรอ ตอนผมขึ้นมาพี่หลับไปแล้วนี่ ไม่เห็นดึกเลยตีหนึ่งกว่าเอ๊ง”
ผมสะดุ้งไปหน่อยก่อนโวยต่อ “มึงอย่ามาจับผิดคำพูดกู” ผมล้มตัวลงนอนอีกที “ไปไหนก็ไป กูจะนอนต่อ” ผมโบกมือไล่มันไป ยังนอนได้ไม่เต็มอิ่มจริงๆ
ความเย็นจากแก้วนมมาแตะที่แก้มผมอีกครั้ง ผมลุกขึ้นนั่งหันหน้าจะไปด่า ไอ้เตี้ยมันก็เอามือมาอุดปากผมไว้ ยื่นหน้ามาเสียชิด “จุ๊ๆ มันเที่ยงแล้วพี่ จะนอนไปถึงไหน ทำเป็นคนแก่นอนเท่าไหร่ก็ไม่พอ หึหึ” น้องเกี๊ยงปลดมือลงจากปากผมแล้วนั่งบนเตียงมองผมยิ้มกริ่มก่อนที่จะดื่มนมต่อทำไม่รู้ไม่ชี้
ในขณะที่ผมยังเหวอๆกับท่าทางของมันอยู่ ตาก็เหลือบไปดูนาฬิกา“เที่ยงแล้วเหรอ กูนอนนานขนาดนั้นเลย เฮ้อ” ผมเอามือลูบหน้าอย่างเพลียๆ หรือผมจะแก่ไปแล้วจริงๆ ก่อนที่ผมจะทำอะไรต่อไป เกี๊ยงมันเอามือมาดันตัวให้ผมนั่งพิงหัวเตียง
“นั่งก่อนแป๊ปนึงพี่ ลุกไวๆเดี๋ยวหน้ามืดนะ” ผมมองหน้ามันอย่างงงๆ
ไอ้เตี้ยยิ้มกว้างอีกครั้งก่อนบอกว่า“ผมเป็นห่วง”
แขนของมันเสียดสีกับแขนผม กระไอร้อนออกมาจากร่างกายมัน สัมผัสได้ถึงเลือดเนื้อของเด็กหนุ่ม ผมพยายามไม่หันไปมองมัน เอ่ยขึ้นมาลอยๆ “มึงตื่นนานแล้วเหรอ”
“อืม...นอนหลับสนิท... มีความสุข”
ผมอดไม่ได้ต้องหันไปมองมัน น้องเกี๊ยงเองก็หันมามองหน้าผมพอดี ผมเกือบยกมือเช็ดคราบนมที่แก้มมันแล้วแต่ผมก็ไม่ทำ แก้มขาวๆของมันเปลี่ยนเป็นสีชมพู มันคงร้อน ผมยังร้อนเลย ทำไมมันร้อนอย่างนี้วะ
“เหรอ ก็ดีแล้วนี่สุขดีกว่าทุกข์” ผมส่งยิ้มไปให้มัน หัวเราะเสริมไปด้วยแต่ไม่ยักมีเสียงออกมา รู้สึกเหมือนกันว่าหน้าตาผมคงแปลกๆ บังคับริมฝีปากแค่จะยิ้มยังยาก
ผมลุกขึ้นตั้งใจว่าไปอาบน้ำดีกว่า มึงมาใกล้กูเกินไปแล้วไอ้เตี้ย เสียงมันตะโกนตามหลังผมมา ได้ยินเต็มสองหู
“ผมกำลังมีความรัก...พี่”
ผมหยุดนิ่งไปทันทีก้าวขาต่อไปแทบไม่ออก ตอบมันไปเสียงสั่นๆว่า “ดีๆ มีความรัก กูยินดีด้วย” ผมโบกมือให้มันแต่ไม่หันหลังไป ผมต้องเดินหน้าครับ อาบน้ำๆเราต้องอาบน้ำ มันร้อนทำไมหน้ากูมันร้อนขนาดนี้
กว่าผมจะอาบน้ำดับความร้อนในใจไปได้ก็กินเวลาเกือบชั่วโมง พอลงมาน้องเกี๊ยงมันก็ไม่อยู่แล้วครับ มีก๋วยเตี๋ยวสองห่อวางอยู่บนโต๊ะพร้อมจดหมายน้อยฉบับหนึ่ง
พี่หนุ่ยคร้าบบ...
ผมไปแล้วนะ จะรีบไปเคลียร์งาน กินเยอะๆนะผมตั้งใจซื้อมาให้ จะได้โตไวๆ
ไปแล้ว...
ไอ้เตี้ยของพี่“มันมาเป็นของกู ตอนไหนวะ” ผมเกาหัวแกรกๆ แล้วถอนหายใจมาอีกที ผมไม่รู้ตัวหรอกครับว่าผมเผลอยิ้มอยู่
*********************
