หลังจากวันนั้นผมก็ถามย้ำมันไปอีกหลายครั้งว่าพูดจริงหรือเล่น เผื่อมันจะเปลี่ยนใจ แต่ทุกครั้งมันก็บอกว่าจริง จนหลังๆผมเลิกถาม ความสัมพันธ์ของเราก็ยังอยู่แบบนั้น โกรธกัน ด่ากัน แล้วมันก็กลับมาประจ๋อประแจ๋ผมเหมือนเคย สำหรับผมบางวันผมก็รำคาญมัน ไม่อยากเห็นหน้า แต่วันที่มันหายไปผมก็กลับคิดถึง นี่ผมเป็นอะไรกันแน่ เฮ้อ...
วันนี้ผมมีนัดกับไอ้ฝัน ตั้งแต่คราวก่อนที่ผมปรึกษามันเรื่องน้องเกี๊ยง ผ่านไปหลายเดือนผมถึงมีเวลาคุยกับไอ้ฝันอีกครั้ง ไอ้ฝันมันเป็นคนมอบโชคมาให้ผมเพราะมันคนเดียวเลยที่แนะนำน้องเกี๊ยงให้ผมรู้จักทำให้ผมต้องสับสนชีวิตอยู่ทุกวันนี้ วันนี้ผมพอมีเวลาว่างมานั่งคุยกันสบายๆ กับมัน ช่วงหลังตามตัวมันยากจริงๆ พอโทรหามันทีไรมันก็เผ่นไปอยู่เชียงใหม่ นานๆ ครั้งผมถึงจะนัดมันสำเร็จ
“มึงจะไปอยู่เชียงใหม่ถาวรเมื่อไหร่”
“อีกหนึ่งอาทิตย์ มึงกะแฟนเด็กของมึงมาเลี้ยงส่งกูหน่อยดิ” ไอ้ฝันยักคิ้วยึกยักล้อผม
“เชี่ยแระ กูโสด มีแฟนที่ไหนกัน” ผมยกนิ้วกลางให้มันแถมด้วยกำปั้น ไอ้ฝันหัวเราะดังลั่น
“ก็ไอ้เกี๊ยงน้องกูไง ลืมซะแล้ว กูยังไม่ลืมเลย”
เสียงหัวเราะมันกวนประสาทผมมาก มันกวนไม่หายครับ ผมคงต้องฝากฝังให้ใหญ่อบรมสั่งสอนมันหน่อย ผมเป็นรุ่นพี่มันแต่มันไม่เห็นผมเป็นพี่เลย ผมเริ่มเครียดเมื่อมันเริ่มพูดถึงน้องเกี๊ยงขึ้นมา ในขณะที่ไอ้ฝันมันอารมณ์ดียิ้มได้ตลอด ก็แน่ล่ะมันกำลังจะได้ไปอยู่กับแฟนมันแล้วนี่ แต่ผมสิ
“มึงอย่าคิดมากเลย มึงเคยบอกกูไม่ใช่เหรอ อะไรมันก็ไม่แน่ ถ้าอะไรที่ทำแล้วมีความสุขก็ทำไป คิดมากไปก็ปวดตับเปล่าๆ”
ผมยังจำได้ว่าผมเคยบอกมันไปแบบนั้น “กูเคยพูด แต่เวลาถึงตาตัวเองเข้าจริงๆ มันยากในการตัดสินใจว่ะ เครียดนะนี่”
ไอ้ฝันยิ้มให้กำลังใจผม พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้น
“มึงอย่าเครียดไปเลย ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ เรื่องของกูเครียดกว่ามึงยังผ่านมาได้ เรื่องมึงมันก็อยู่ที่ตัวมึงล้วนๆ ว่ามึงจะตัดสินใจยังไง”
ผมผ่อนลมหายใจยาว “กูรู้ แต่นั่นแหละที่เป็นปัญหา เพราะกูไม่รู้ใจตัวเอง”
“แล้วมึงเป็นอะไร ใจตัวเองยังไม่รู้ ปกติมึงก็รู้มากตลอดนี่ หึหึ” ผมเอื้อมมือไปตบหัวมัน แต่มันหลบทันแถมยักคิ้วให้ผมอีก ให้มันได้ยังงี้สิ ทั้งพี่ทั้งน้อง ทำให้ผมต้องปั่นป่วนได้ตลอด
“ที่ปรึกษาเค้าไม่กวนตีนหรอกนะ ไอ้ฝัน รู้ซะมั่ง” ไอ้ฝันไม่ยักโกรธผม เอาแต่ขำ สักพักเสียงโทรศัพท์มันดังขึ้น พอดูหน้าจอแล้วมันก็ยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกาย ยักคิ้วให้ผม “ที่รักกูโทรมา”
“โหล ว่าไงครับผม” ฝันมันฟังไปก็ยิ้มแก้มป่อง หมั่นไส้มันจริงๆครับ อิจฉาคนมีความสุข
“วันนี้ออกมากับพี่หนุ่ย มาเป็นคอนซัลท์” มันหันมายิ้มให้ผมแล้วคุยกับแฟนมันต่อ “เรื่อง...ความรัก เอ๊า มึงอย่าหัวเราะสิ” ท่าทางมันจะนินทาเผาขนผมจนเกรียมไปอีกนาน ผมยื่นมือไปหาฝัน ขอโทรศัพท์
“ไหนกูคุยกับใหญ่หน่อย”
“ใหญ่...ไอ้พี่หนุ่ยจะคุยด้วย”ไอ้ฝันส่งโทรศัพท์ให้ผมรอยยิ้มยังติดที่ริมฝีปาก หน้าของคนที่ความรักสมหวังมันเป็นแบบนี้นี่เอง
“หวัดดีน้องใหญ่”
“หวัดดีครับพี่หนุ่ย เมื่อไหร่จะมาเที่ยวเชียงใหม่บ้างล่ะพี่”
“ใหญ่ช่างน่ารัก ผิดกับไอ้ฝัน มันไม่เคยชวนพี่ไปเที่ยวสักคำ กวนตีนตลอด”
ไอ้ฝันมันนั่งฟังผมคุยแล้วก็ยิ้มๆ พูดลอยๆขึ้นมา “ชวนไปให้โง่ เปลืองตังค์แฟนกูอีก”
ผมชี้หน้าไอ้ฝันให้มันสงบปากบ้าง คุยกับมันแล้วดีแต่กวนกันไปมา ผมคุยกับใหญ่ดีกว่าครับ น่ารักกว่ากันเยอะเลย
“เดี๋ยวนี้ไม่ใช้จดหมายแล้วเหรอใหญ่ ไม่ทันใจละสิท่า” ไอ้ฝันที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ มันส่ายหัวยิ้มขำ เสียงใหญ่หัวเราะแว่วๆเข้าสายมา
“อยากใช้สิพี่ แต่ไอ้ฝันสิ มันเริ่มบ่นว่าช้าไม่ทันใจมัน นานๆผมก็เขียนไปที มันก็ไม่เขียนตอบ ใช้โทรศัพท์มาแทน มันกวนมากจนผมต้องรับ บางครั้งก็โทรมาเป็นสิบๆครั้งจนผมต้องโทรกลับ แต่อีกหน่อยถ้าโทรมาบ่อยๆ ผมว่าจะปิดเครื่องแล้ว มันกวน พอรู้ว่าผมไม่ชอบมันยิ่งทำ...มันชอบแกล้งผม”
“ป่วนมากๆ ทิ้งมันเลยใหญ่พี่เป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการให้หาแฟนใหม่ ฮ่าๆๆ” ใหญ่หัวเราะลั่น อาจจะเห็นดีด้วยกับผมก็ได้
แต่ไอ้ฝันสะดุ้งลุกลี้ลุกลนเอื้อมมือจะมาแย่งโทรศัพท์คืน “เฮ้ยพูดบ้าๆแบบนี้ได้ไง จะมายุให้คนรักกันเค้าแตกแยก มึงเอาคืนมาเลยไอ้หนุ่ย ไอ้พี่บ้าอิจฉาที่น้องมีความรัก” เรื่องอะไรผมจะให้ครับ ผมก็หนีมันสิ
“ไม่ต้องเลย กูจะคุยกับน้องชายกู”
ใหญ่สนับสนุนมาตามสาย “ไม่ต้องไปสนใจมันพี่ ไอ้ฝันมันก็งี้กวนประสาท” ผมยิ้มเยาะให้ไอ้ฝัน
“แฟนมึงเค้าจะคุยกับกูเว้ย เสียใจด้วย” ไอ้ฝันมันทำท่าฮึดฮัดแต่ก็ทำอะไรผมไม่ได้ ผมรู้ว่ามันก็ทำไปอย่างนั้นเองครับ ลีลาได้ตลอด เพราะอีกเดี๋ยวมันก็กลับไปดื่มของมันต่อ
“ไม่คุยเรื่องผมแล้ว คุยเรื่องพี่ดีกว่า ได้ยินว่าพี่หนุ่ยมีความรักเหรอครับ ยินดีด้วยนะครับ”
“ไม่มี้ มีที่ไหนกัน ฝันมันมั่ว อย่าไปเชื่อ” หึหึ ปากไวไปรึเปล่า ไอ้ฝันนะไอ้ฝันไม่มีความลับกับแฟนมันเลย
“ทำไมล่ะพี่ มีก็มีสิ พี่หนุ่ยมีแฟนฝันมันจะได้เบาใจ มันชอบบ่นให้ผมฟังว่าถ้ามันมาอยู่เชียงใหม่พี่จะเหงา ไม่มีคนเป็นเพื่อนดื่ม หึหึ”
“ใหญ่อย่าไปฟังมัน ถึงพี่อยู่มันก็ไม่สนใจพี่ ใจมันล่องลอยไปเชียงใหม่ตลอด ไม่ดูดำดูดีพี่หรอก จริงมั้ยฝัน มึงไอ้เพื่อนทรยศ ทิ้งเพื่อน”
ใหญ่หัวเราะแก้ตัวให้แฟน “แต่มันเป็นห่วงพี่จริงๆนะ มันชอบบ่นพี่เลือกมาก”
“นั่นน่ะเหรอเป็นห่วง แถวกรุงเทพฯบ้านพี่เค้าเรียกนินทานะ หรือเชียงใหม่เรียกแบบนี้”
“หึหึ ถ้าพี่หนุ่ยไม่เลือกมากแล้วทำไมไม่มีแฟนล่ะ”
“ก็มีคนมาสมัครเยอะ แต่พี่คัดทิ้ง ฮ่าๆๆ”
ผมก็ต้องพูดแก้ตัวไปก่อนครับ จะให้บอกว่าไม่มีใครเอาก็เสียฟอร์มสิ ได้ยินเสียงเอฟเฟคเป็นเสียงอ้วกอยู่ข้างๆครับ ไอ้คนทำเสียงมันทำแลบลิ้นแสดงท่าทางประกอบด้วย ผมอยากจะลุกไปเตะมันก็ไม่ถนัด แล้วมันก็เอาแต่บ่นๆพึมพำจนผมรำคาญ
“เมื่อไหร่มึงจะเลิกคุยกับแฟนกูสักทีวะ คนเค้านานๆคุยกันที ยังมาแย่งกูอีก นี่กูต้องโทรไปให้มิสคอลสิบครั้งนะกว่าใหญ่มันจะโทรกลับ เห็นใจกันบ้างนะคร้าบไอ้พี่หนุ่ย ”
“ใหญ่ พี่รำคาญฝันมันว่ะ นี่มันทวงโทรศัพท์คืนยิกๆ ใหญ่ไม่รำคาญมันมั่งเหรอ นานๆพี่เจอมันที จะทะเลาะกันตาย”
“หึหึ ชินแล้วพี่ พอรักแล้วมันก็เลยเห็นเป็นเรื่องน่ารักไปซะได้”
ใหญ่ตอบผมมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ผมไม่อยากจะเชื่อว่าอย่างนี้ก็มีด้วย มิน่าเค้าถึงว่าคนมีความรักโลกทั้งโลกจะเป็นสีชมพู อยากจะหัวเราะก็ไม่กล้า ผมเหลือบตามองไอ้ฝันพยายามจะมองว่ามันน่ารัก แต่มองยังไงๆผมก็ว่ามันกวนตีนในสายตาผมอยู่ดี
“พี่ยอมแพ้เลย ไอ้ฝันมันโชคดีเกินไปแล้วที่มีเราเป็นแฟน งั้นใหญ่คุยกับฝันต่อนะ ไว้มีเวลาพี่จะไปเที่ยวเชียงใหม่เราคงได้เจอกัน”
“ครับ หวัดดีครับพี่ มีโอกาสมาให้ได้นะพี่”
ตั้งแต่คืนนั้นผมก็ลืมเรื่องนี้ไปเลยครับ ทุกวันมีแต่เรื่องงาน วันนี้ก็ประชุมกันตั้งแต่เช้ากว่าจะเลิกได้ก็หกโมงเย็น พอมีเวลามานั่งคุยกับลูกน้องบ้าง
“พี่หนุ่ย หมู่นี้เกี๊ยงมันหายไปไหน ไม่เห็นหน้าเลย มีบางคนเค้าคิดถึง ทำไมมันไม่รู้ตัวบ้างนะ”นิ่มหัวเราะเบาๆ ยั่วเย้า
ผมสะดุ้งเลยครับ ทำไมนิ่มมันรู้ เอ๊ยย...ทำไมนิ่มมันพูดแบบนั้น
“เอ๊ย...ใครคิดถึง ไม่มี๊” ผมยกมือปาดเหงื่อ
สาวๆหัวเราะกันคิกคัก “มีสิพี่หนุ่ยก็ไอ้รุ้งนี่ไง มันบ่นอยู่ได้พี่เกี๊ยงทำไมไม่มา” อ้าว...ไม่ใช่ผมหรอกเรอะที่นิ่มว่า ผมถอนหายใจโล่งอกรอดตัวไปได้
น้องรุ้งเขย่าแขนนิ่มแรงๆ “พี่นิ่มอะ หนูโกรธแล้ว มาบอกพี่หนุ่ยทำไม หนูอายนะ ความลับหนูแตกหมดเลย”
“พี่ตกข่าวอะไรไปรึเปล่า” ผมย่นคิ้วมองหน้าสองสาวคนหนึ่งยิ้มสนุก ส่วนอีกคนหน้าแดงทำท่าทางเอียงอาย ก้มหน้าคุยกันจุ๊กๆจิ๊กๆ ไม่ยอมตอบคำถามทำให้ผมยิ่งอยากรู้
“สาวๆ คุยกันสองคนได้ไง พี่นั่งอยู่นี่ทั้งคน นินทาอะไรพี่ครับ”
นิ่มรีบปฏิเสธ “ไม่ใช่นะพี่หนุ่ย เค้าคุยกันเรื่องเกี๊ยงต่างหาก พี่หนุ่ยไม่เกี่ยวเลย”
ผมอยากจะเถียงว่าเกี่ยวเต็มๆเลย แต่ก็พูดไม่ออก “ทำไม? รุ้งเป็นแฟนกับไอ้เกี๊ยงมันเหรอ”
ถามไปแล้วก็ต้องกลั้นหายใจรอคำตอบ เกิดปั่นป่วนในช่องท้อง รู้สึกไม่สบายกายเอาซะเลย หรือว่ากรรมจะตามสนองผม ไปทำให้ผู้หญิงหลงรักแล้วก็ไม่สนใจเค้า หรือตอนนี้ผมจะเจอแบบนี้บ้าง
นิ่มหัวเราะยิ้มล้อๆ แต่น้องรุ้งบิดไปมาอายม้วนหน้าแดงกว่าเดิม “พี่หนุ่ย พูดแบบนี้หนูเขินนะ” พูดแบบนี้ก็แสดงว่าจริง แต่ทำไมผมไม่รู้เลยล่ะ ผมบอกความรู้สึกตอนนี้ไม่ถูก รู้แต่ว่าหมดแรงจะพูด
“ไปเป็นแฟนกันตอนไหน ไม่บอกให้พี่รู้บ้างเลยนะ”
“ยังไม่ได้เป็น แต่กำลังจีบอยู่ พี่หนุ่ยช่วยเป็นกำลังใจให้มันหน่อย” นิ่มเป็นคนพูดขึ้นมาแทนน้องรุ้ง ส่วนเจ้าตัวกอดแขนนิ่มแน่น ทำท่าอายจนผมรำคาญ
ผมกลืนน้ำลายอย่างลำบาก คิดถึงคนเจ้าของเรื่องที่บอกว่า ‘รัก’ ผม ‘คิดถึงพี่นะ’ สองคำนี้คงไม่ได้มีผมคนเดียวที่ได้ฟังบ่อยๆเสียแล้ว แล้วทำไมผมต้องเอาใจช่วยมันด้วย มันจะไปจีบใครก็เรื่องของมันสิ ผมกลับบ้านผมดีกว่า
“เรื่องวัยรุ่นพี่ไม่รู้หรอก ไปเล่นกันเองแล้วกัน พี่กลับก่อนนะ เหนื่อย”
“ไรอะพี่หนุ่ย คุยกันอยู่ดีๆชิ่งกันเฉยเลย” ผมไม่ทันฟังว่าสองสาวบ่นว่าอะไรกัน หรือจะคุยกันต่อไปถึงไหน รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินของสาวๆ มากกว่า
ผมขับรถกลับบ้านไปอย่างมึนๆ รถก็ติดเอาเสียเหลือเกิน การประท้วงมีอยู่ทั่วไปในเมืองไทย จนเหมือนสิ่งปกติไปแล้ว ผมไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ประนีประนอมกัน คิดต่างกันได้แต่ก็น่าจะอยู่รวมกันได้ ความขัดแย้งถ้ามันมากเกินไปก็ไม่มีใครที่มีความสุขได้สักคน เครียดเรื่องงานแล้วยังมาต้องเครียดเรื่องบ้านเมืองอีก อากาศก็ร้อนจนแทบทนไม่ไหว ผมหงุดหงิดมากๆจนต้องขอระบายออกมาด้วยการตะโกน “โว้ย...อะไรกันนักหนาวะ”
กว่าผมจะถึงบ้านก็ปาเข้าไปสองทุ่ม ผมเอารถเข้าบ้านเรียบร้อยแล้วถึงมีคนมากดกริ่ง ผมมองออกจากหน้าต่างเห็นเด็กหนุ่มร่างสันทัดยืนชะโงกเกาะริมรั้วอยู่ รอยยิ้มสดใสประดับอยู่บนใบหน้าเรียว สองขาของผมหยุดนิ่งสายตามองอยู่อย่างนั้น คำถามมากมายเกิดขึ้นในใจ จนคนข้างนอกกดกริ่งอีกครั้ง ผมระบายลมหายใจก่อนเดินไปเปิดประตูให้มัน ทักไปสั้นๆ “ว่าไงเรา”
น้องเกี๊ยงยกถุงข้าวของที่มันซื้อมาจนเต็มมือให้ผมดู พูดด้วยแววตาเป็นประกาย “พี่ยังไม่ได้กินข้าวมาล่ะสิ”
มันยื่นหน้ามาชิดหน้าผม พูดยิ้มๆกึ่งแซว “หน้าตาพี่หนุ่ยดูขาดสารอาหารจำเป็น ซีดๆไปหน่อยนะ”
มันใช้มืออีกข้างที่ว่างคว้าข้อมือผมแล้วดึงกึ่งลากตัวผมเข้าบ้าน “ไป ผมจะให้อาหารพี่เอง มามะ”
ผมถึงกับหัวเราะ “กูไม่ใช่สัตว์เลี้ยงมึงนะ ต้องมาให้อาหารกู”
น้องเกี๊ยงหันหน้ามาบอกผมดวงตาเหมือนมีรอยยิ้ม “ก็ใครว่าใช่ เค้าไม่ได้จำกัดสักหน่อยว่าต้องให้อาหารเฉพาะสัตว์เลี้ยง คนรักเค้าก็ให้ได้ หึหึ”
ผมอาจจะเคยขำๆ ที่ได้ฟังคำหยอดทำนองนี้ แต่วันนี้ยิ้มไม่ไหว ได้แต่เดินตามแรงจูงไปเงียบๆ มันพาผมมานั่งที่โซฟาแล้วชี้นิ้วสั่งเหมือนผมเป็นเด็กๆ “พี่นั่งนี่ก่อน เดี๋ยวผมเอาไปใส่จานให้ อย่าซนนะ รอนิ่งๆ เดี๋ยวเจ้าของบ้านเค้าจะดุเอา”
ผมนั่งมองมันจัดการวิ่งไปมาระหว่างครัวผมกับตรงที่ผมนั่ง ใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาที มันก็เตรียมการพร้อมสรรพ กลิ่นอาหารหอมฉุยโชยเข้าเตะจมูกผม จนท้องร้องออกมาให้คนที่อยู่ใกล้ๆได้หัวเราะ
“เห็นมั้ยล่ะ ว่าพี่ขาดสารอาหารจริงๆด้วย ผู้ใหญ่อะไรกินข้าวไม่เป็นเวลา ต้องให้เด็กมาดูแล”
ใจหนึ่งผมก็สุขใจที่มีคนห่วงใย แต่อีกใจก็ยังคอยค้านว่ามันมาจากใจจริงรึเปล่าหรือเป็นเพียงคำพูดดีๆที่มีให้กับทุกคน กรรมคงตามสนองผมเข้าให้จริงๆ น้องเกี๊ยงยังคงชี้ชวนแนะนำอาหารให้ผม ตักกับข้าวใส่จานให้
“อะนี่ไก่คั่วกลิ้งอร่อยนะพี่ รับรองว่าเด็ด ผมลองมาแล้วตอนแกะใส่จาน แหะๆ” มันพูดแล้วก็ดูดนิ้วตัวเอง ผมยิ้มนิดๆ ยังเหนื่อย เหนื่อยทั้งกาย ทั้งใจ น้องเกี๊ยงมันคงผิดสังเกตเหมือนกันที่ผมด่ามันน้อยกว่าเคยๆ
“พี่เป็นอะไรรึเปล่า ไม่เห็นกัดผมเหมือนเคย หรือไปฉีดยามา” มันจะถามผมดีๆก็ไม่ได้ต้องเหน็บตลอด...ผมเอื้อมมือไปเขกหัวมัน
“ไอ้เตี้ย...มึงใช้ปากหรือตูด ปล่อยออกมาแต่ล่ะอย่าง พูดดีๆกะเค้าไม่เป็นรึไง กูไม่ใช่หมา” ผมแยกเขี้ยวให้มัน แววตามันสดใสขึ้นเมื่อผมเริ่มพูด
“ค่อยยังชั่วพี่ยังพูดได้ พูดน้อยซะอย่างกับพวกต่างด้าว ร้องเพลงชาติเป็นมั้ยนี่ ไหนลองร้องซิ” ผมหัวเราะเบาๆ ถ้าเป็นวันก่อนๆผมต่อปากต่อคำกับมันไปแล้ว แต่วันนี้คำพูดทั้งหมดถูกกลืนหายไป
“กินข้าวกันเถอะ อย่ามัวแต่เล่นลิ้นเลย ไม่เหนื่อยรึไง” ผมตักกับข้าวคืนให้มันไปบ้างเพราะมันเล่นใส่มาเต็มที่
“เล่นลิ้นที่ไหน เล่นลิ้นมันต้องแบบนี้” น้องเกี๊ยงแลบลิ้นออกมาแล้วห่อลิ้น กระดกลิ้น ทำลิ้นคดเป็นงู และอีกหลายอย่างที่มันจะสรรหามาทำได้ ล้วนแล้วแต่คนดีๆเค้าไม่ทำกัน จนผมต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ต้องยกมือห้ามมัน ทั้งที่ยังหัวเราะ
“มึงพอเลย โตแล้วนะ เล่นเป็นคนปัญญาอ่อนไปได้”
“หุหุ ไม่เป็นไร พี่หัวเราะได้ผมก็ดีใจแล้ว พี่จะทำหน้าเครียดไปทำไม ไม่ใช่แกนนำพวกเสื้อมีสีสักหน่อย”
ผมหัวเราะพยายามผ่อนคลายมากขึ้นกับมุกของมันที่ใส่เข้ามาเรื่อยๆ ไม่อยากจะคิดถึงเรื่องที่กังวลใจอยู่ลึกๆ ผมลองกินหลายๆอย่างที่น้องเกี๊ยงชวนกิน ทำเอาคนซื้อมาตาเป็นประกาย
“เกี๊ยงชวนชิมทุกอย่างเลยนะ ดีลิเวอรี่ส่งให้ถึงที่ มีใครทำได้แบบนี้บ้าง”
“ไม่ได้เจอกันตั้งนานพี่ซูบไปนะ บอกแล้วว่าอย่าไปประท้วงก็ไม่เชื่อ แล้วเป็นไงข้าวที่นั่นไม่อร่อยล่ะสิ”
น้องเกี๊ยงเคี้ยวข้าวไปก็คุยจ้อไม่หยุดพยายามจะให้ผมขำ ให้ผมพูด แต่ผมก็ยังเหมือนเดิมคือพูดน้อย มันไม่อยากจะพูด สุดท้ายผมต้องบอกให้มันเพลาๆบ้าง
“กูอยากกินข้าวเงียบๆ มึงพูดจบรึยัง พูดมากจนกูฟังแล้วเพลีย” หลังจากผมพูดจบมันนิ่งสนิทเลยครับหน้าจ๋อยจนผมสงสาร ผมกินข้าวเสร็จมันก็ยังคงกินต่อไปเงียบๆ คราวนี้ก็ปิดปากสนิทเป็นหอยกาบจนผมอดไม่ได้ต้องเป็นคนชวนคุยบ้าง อยู่ๆผมก็คิดถึงสิ่งที่มีส่วนทำให้ผมหงุดหงิดนอกจากเรื่องม็อบ กับอากาศร้อนๆนั่น
“วันนี้นิ่มกับรุ้งเค้าถามถึงเราแน่ะ ว่าทำไมหายไป”
“...” เงียบไม่มีเสียงตอบจากสวรรค์
“มีคนบ่นคิดถึงเรา” ผมเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งด้วยเสียงเรียบนิ่ง
น้องเกี๊ยงเงยหน้ามองตาผม “พี่รึเปล่าล่ะ ที่บ่นคิดถึง ถ้าไม่ใช่พี่ผมก็ไม่สนใจ”
“รุ้ง...รุ้งเค้าบ่นถึง” ผมบอกไปแล้วก็ลอบสังเกตท่าทีของมัน
น้องเกี๊ยงวางช้อนส้อมยกแก้มน้ำขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ก่อนวาง ถามกวนๆ “แล้วไง”
มันไม่รอคำตอบจากผมหยิบขนมทับทิมกรอบที่วางอยู่มากินต่อ แล้วส่งอีกถ้วยให้ผม “กินก่อนพี่”
ตัวมันเองก็ก้มหน้าก้มตากินไม่สนใจที่ผมชวนคุยจนผมเริ่มหงุดหงิด เข้าใจเลยว่าพูดด้วยแล้วไม่พูดด้วยมันน่าโมโหแค่ไหน
“อะไรแล้วไง” ผมไม่กินตามที่มันชวนแต่ถามต่อ เริ่มมีอารมณ์กรุ่นๆ
“รุ้งเค้าบ่นคิดถึงผมแล้วไง ผมไม่ได้คิดถึงเค้านี่ ไม่เกี่ยวกัน” น้ำเสียงของมันไม่แคร์จนผมโมโหแทนรุ้ง ถ้ารุ้งได้ยินแบบนี้คงเสียใจ ทำไมมันเป็นคนแบบนี้ไปได้
“ก็ไม่ไง ไปจีบเค้าแล้วก็สนใจเค้าหน่อย” พูดไปก็เหมือนผมไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของมัน ได้แต่อยากตบปากตัวเองว่าพูดไปทำไมกัน
น้องเกี๊ยงวางช้อนลงเงยหน้าขึ้นมามองผม หน้าตายู่ยี่น้ำเสียงเครียด “พี่ไปเอามาจากไหนกันว่าผมจีบรุ้ง”
มันส่ายหน้า “มีแต่เค้ามาจีบผม ผมไม่เคยเลยนะ กับรุ้งเป็นแค่น้อง”
“ที่ผมจีบมีพี่คนเดียว” แววตาที่มันมองตรงมาจริงจังจนผมต้องหลบ
กลับเป็นผมที่ชะงักเงียบไปกับคำพูดของมัน ไมได้ประหลาดใจกับคำที่ว่ารุ้งเป็นคนจีบ แต่กำลังเหวออีกครั้งเหมือนทุกครั้งที่มันพูดทำนองนี้ น้องเกี๊ยงขยับตัวมานั่งข้างผม “พี่คิดว่าผมชอบจีบไปทั่วเหรอ”
“ผมไม่ได้เป็นแบบพี่สักหน่อย” มันบ่นกับตัวเองหรือตั้งใจว่าให้ผมได้ยิน ผมก็ไม่รู้เจตนาของมัน
“เดี๋ยวเหอะมึง ว่าพี่ว่าเชื้อ ทำไมกูจีบไปทั่วรึไง” ผมเคยคุยเรื่องทำนองนี้กับไอ้ฝันมาแล้ว ผมยังจำได้ว่าผมตอบไปว่าอย่างไร แต่ตอนนี้ผมไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นแล้วนี่ ถ้าผมจีบใครผมก็บอกกับเค้าตรงๆ
“หรือไม่ใช่ล่ะ ผมก็เห็นพี่พูดหวานกับผู้หญิงทุกคน”
“อย่างนั้นมันจีบที่ไหนกัน กูก็แค่พูดจาสุภาพกับเพศแม่ ก็เท่านั้น” ผมไม่เคยรู้สักนิดว่าสิ่งที่ผมทำมันจะผิดตรงไหน
“ก็นั่นแหละ พี่พูดแบบนั้นเค้าก็เดาไม่ถูกว่าพี่คิดแบบไหน แต่ผมน่ะไม่ใช่ ผมไม่ได้จีบรุ้งจริงๆนะ พี่ไม่เชื่อผมเหรอ” เกี๊ยงมันดึงมือผมไปกุมไว้ แล้วเอียงหัวพิงแขนผม ผมขยับตัวห่างแล้วดึงมือออกจนน้องเกี๊ยงมันทำตาขวางใส่
“มะ...ไม่ใช่ไม่เชื่อ มันก็เรื่องของมึงจะจีบใคร กูก็...คะแค่เล่าให้ฟังเฉยๆว่าเค้าบ่นถึง” ตัวผมเองกลับพูดปฏิเสธตะกุกตะกักเหมือนคนร้อนตัว ติดอ่างอย่างที่ไม่เคยเป็น
น้องเกี๊ยงหัวเราะขำ “ชอบนวดก็ไม่บอกนะพี่หนุ่ย ติดอ่างได้ไง ระวังเอดส์นะ ฮ่าๆ”
น้องเกี๊ยงเงียบไปสักครู่ก่อนทำตาเจ้าเล่ห์ เอามือจับหน้าผมให้หันมามองหน้ามัน “หรือว่าพี่หึงผมกับน้องรุ้ง? ใช่มั้ยล่ะ”
ผมปัดมือมันออก “ไอ้บ้า...ไม่ใช่เว้ย” ผมอายก็อาย ขำก็ขำ ขำตัวเองมากกว่า ว่าเป็นไปได้ถึงขนาดนี้ เหมือนคุมอารมณ์และคำพูดของตัวเองไม่ได้ดั่งใจเลย
แววตาผมคงบอกอะไรมากไป น้องเกี๊ยงถึงอมยิ้มแล้วบอกว่า “ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ไม่เห็นต้องหน้าแดงเลย ถ้าพี่สงสัยอะไรถามผมได้นะ ผมบอกได้หมด” ถึงมันจะบอกผมแบบนี้แต่ผมควรจะถามเหรอ แค่จะพูดตรงๆว่ามึงชอบรุ้ง มึงจีบรุ้งเหมือนที่จีบกูเหรอ ผมยังพูดไม่ออกเลย ได้แต่เปลี่ยนเรื่องคุยไปก่อนทุกอย่างจะเข้าตัว
“วันนี้นึกยังไงมาหาถึงบ้าน ทำไมกะเวลาเก่ง รู้ได้ยังไงว่าพี่กลับตอนไหน”
มือน้องเกี๊ยงเก็บจานไปปากก็พูดไปด้วย “ไม่รู้หรอก มานั่งรอหน้าบ้านตั้งนาน เลยนึกขึ้นมาได้ออกไปหาซื้อของกินมารอพี่ดีกว่า” มันเก็บของทั้งหมดที่เหลือเข้าตู้เย็นแล้วเก็บจานไปล้าง
ผมนั่งรออยู่สักพักน้องเกี๊ยงยังไม่ออกมามัวแต่เก็บข้าวของ ยืนล้างจานอยู่ในแพนทรีฮัมเพลงไปด้วย ผมเดินเข้าไปกอดอกยืนมองมันทำงาน อดคิดไม่ได้ว่าทำไมมันต้องมาทำให้ผมขนาดนี้ ทั้งที่ผมไม่ได้ทำอะไรเพื่อมันเลย น้องเกี๊ยงหันมามองแล้วยิ้มก่อนจะหันกลับไปล้างจานต่อ
“พี่ไปนั่งพักก่อนก็ได้ ทำงานมาเหนื่อยๆ เดี๋ยวผมก็เสร็จแล้ว”
คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในใจทำให้ผมต้องถามก็เกิดขึ้น “เกี๊ยง ทำแบบนี้ไม่เหนื่อยรึไง”
“เก็บจานล้างจานแค่นี้ไม่เหนื่อยหรอกพี่ ผมช่วยแม่บ่อยไป ผมก็ทำอะไรเป็นนะ ไม่ได้มีดีแต่ปาก”
“ไม่ได้หมายความถึงเรื่องนั้น เรื่องที่เราทำให้พี่ต่างหากล่ะ”
น้องเกี๊ยงหันหน้ามองผมกะพริบตาถี่ๆ มีรอยยิ้มที่มุมปาก แล้วเบือนหน้ากลับไป
น้องเกี๊ยงเปิดตู้แล้วหยิบผ้ามาเช็ดจานจนแห้งแล้ววางเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อย ก่อนล้างมืออีกครั้งแล้วเข้ามาดันหลังผมไปที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้ง
“มานั่งคุยกันสบายๆดีกว่า”
น้องเกี๊ยงหย่อนตัวนั่งลงข้างๆ ผม คว้าเอาแขนผมไปเกี่ยวเอาไว้ ผมเริ่มชินกับความใกล้ชิดที่มีขึ้นบ่อยครั้ง ช่องว่างข้างกายผมกับมันเหลือน้อยลงไปทุกที น้องเกี๊ยงนั่งแหงนคอมองขึ้นไปบนเพดานแล้วหลับตานิ่งเหมือนนอนหลับ มีแต่ความเงียบสงบ เสียงเดียวที่ผมได้ยินคือเสียงลมหายใจของเรา
“ หลับแล้วเหรอ ยังไม่ตอบคำถามพี่เลย” ผมเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ถ้ามันจะนอนจริงๆผมก็ไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนของมัน
น้องเกี๊ยงลืมตาขึ้น หันหน้ามาหาผม น้ำเสียงนุ่มนวลกว่าที่เคย “ผมไม่เหนื่อย ผมมีความสุขกับการทำแบบนี้”
ใจผมยิ้มรับคำตอบนั้นแต่ผมก็ไม่อยากเอาเปรียบใคร ทุกคนย่อมมีชีวิตของตัวเอง มันไม่ยุติธรรมถ้าเราจะให้ใครต้องมารอใครหรือผูกมัดไว้กับใครโดยไม่มีกำหนดเวลา ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเห็นแก่ตัวอยู่ดี ผมหลอกตัวเองไม่ได้ว่าผมก็อยากให้มันรอ “ถ้ามันนานล่ะ ถ้าพี่อยากจะให้มันเป็นแบบนี้ไปก่อน เราจะรอไหวเหรอ”
น้องเกี๊ยงล้มตัวลงนอนบนตักผมโดยไม่บอกกล่าว ผมร้องได้เพียง “เฮ้ย!”
“ขอนอนหน่อยนะสบายจัง” น้องเกี๊ยงพูดเหมือนขอแล้วก็นอนต่อ
ผมพยายามผลักตัวมันออก ทั้งดึงทั้งยื้อแต่มันก็ดื้อไม่ยอมลุกจนผมอ่อนใจ “มึงจะดื้อไปถึงไหน” ดื้อไปเสียทุกเรื่อง ดื้อจนผมยอมแพ้ใจมันไปแล้ว
“ผมก็เป็นของผมแบบนี้ พี่หนุ่ยจะคิดอะไรมากมาย” เสียงอู้อี้พูดอยู่ในลำคอแต่ผมก็ได้ยินทั้งหมด คำพูดและการกระทำของมันทำให้ผมเปลี่ยนความคิดไปทีละน้อย
“ถ้าสักวันผมเหนื่อยที่จะรอ ผมก็คงเลิกราไปเอง แต่ตอนนี้ผมมีความสุขดี” น้องเกี๊ยงนอนแหงนหน้าขึ้นมองผม มันดึงมือผมไปกอดไว้ที่อก ผมสัมผัสได้ถึงแรงเต้นของหัวใจที่เต้นระรัวอยู่ใต้ฝ่ามือผม หัวใจของคนที่บอกว่ารักผม
“สุดท้ายแล้วพี่ก็ต้องยอมรับผมเข้าสักวัน แต่ระหว่างนั้นแค่ได้เท่านี้ผมก็พอใจแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้น เราก็ยังมีอิสระกันทั้งคู่ ถ้าเกิดเกี๊ยงคิดจะมีใครอื่นพี่ก็ไม่ว่า หรือถ้าพี่จะมีใคร เราก็คุยกันอีกทีแล้วกัน ดีมั้ย”
น้องเกี๊ยงเงียบไปผมไม่รู้ว่ามันเข้าใจสิ่งที่ผมบอกรึเปล่า น้องเกี๊ยงจับมือผมไปแนบแก้ม
“พี่ก็รอดูต่อไปแล้วกัน ว่าผมไม่มีวันเปลี่ยนใจ”
การคบกันของเราในความคิดของผมไม่จำเป็นต้องกำหนดเป้าหมายให้สิ้นสุดที่การเป็นคนรัก ผมไม่อยากนิยามว่ามันเป็นการคบกันแบบไหน มีเพียงผมกับมันเท่านั้นที่รู้กันสองคน เส้นทางของเราข้างหน้าจะออกมาอย่างไรไม่มีใครรู้ เราสองคนคงจะเลือกให้มันเป็นไปเอง ผมเลือกที่จะเก็บเกี่ยวความสุขระหว่างทางมากกว่า
ผมปัดเส้นผมที่มาปรกหน้ามันออก แสงจากดวงตาของมันส่องเข้ามาถึงกลางใจผม ผมคงชอบน้องเกี๊ยงเข้าไปแล้ว แต่สำหรับผมคำว่าชอบไม่ได้กินความหมายไปถึงเรื่องเซ็กส์ ผมแค่มีความสุขเวลามันมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ได้มีเวลาด้วยกันต่อล้อต่อเถียงกันทั้งในเวลางานและเวลาที่เหลือหลังจากนั้น แต่ผมไม่อยากเอาคำว่าชอบของผมไปผูกมัดมันเอาไว้
ผมรู้ว่าความรู้สึกแบบนี้มันไม่ใช่แค่ความหวั่นไหวมันมีอะไรที่มากกว่านั้น ถ้าจะให้เรียกว่ารักผมคงต้องใช้เวลาที่เหลือต่อจากนี้ไปเป็นตัวบอก เกี๊ยงอายุยังน้อยยังต้องเจอคนอีกมากมาย ถ้าวันหนึ่งวันใดที่ไปเจอผู้หญิงดีๆ ที่เค้าชอบและอยากใช้ชีวิตที่เหลือกับคนๆนั้น ผมก็ไม่อยากจะเป็นเงื่อนไขหรือปัญหาในใจสำหรับมัน
ความสัมพันธ์ของผมกับมันจะเรียกว่าอะไรก็ตามอาจจะไม่ใช่คู่รัก ถ้าเราต่างพอใจที่จะมีกันและกัน เป็นคนที่สนิทและรู้ใจกันผมก็อยากให้เป็นแบบนั้นไปเรื่อยๆ
จนกว่าวันนั้นจะมาถึงวันที่ผมตอบได้อย่างเต็มปากว่าผม ‘รัก’ ไอ้เตี้ยคนนี้...น้องเกี๊ยง
***************************

ไม่อยากบอกเลยว่าจบแล้วนะคะ (แต่เค้าบอกมาว่างั้นอะ)
ยังไงก็ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดค่ะ