38 ความรักของป้อ
หนุ่ยตื่นขึ้นมาแต่เช้า เขาออกไปวิ่งอย่างที่ทำเป็นประจำ ระยะหลังที่ต้องไปเรียนแต่เช้า หนุ่ยไม่ค่อยได้ออกไปวิ่งเท่าไหร่ เสาร์-อาทิตย์จึงวิ่งมากกว่าปกติ หนุ่ยกลับมาถึงบ้าน ธีร์ยังไม่ตื่น เขาเลยขึ้นไปดูที่ห้อง ปรากฏว่าห้องยังล็อกอยู่ ไม่อยากจะปลุกธีร์ อยากให้พี่ชายนอนต่ออีกสักพัก เด็กหนุ่มจึงถอดเสื้อออกแล้วกลับไปที่ห้องตัวเอง กางเกงวอร์มและกางเกงในสีขาวถูกถอดผึ่งไว้ที่ราวตากผ้าในห้อง ผ้าขนหนูถูกพาดไว้ที่บ่ากว้าง เด็กหนุ่มเดินเข้าห้องน้ำด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า สายน้ำเย็นๆที่ไหลสาดไปทั่วร่าง ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกสดชื่นและตื่นตัว...
หนุ่ยแต่งตัวอย่างไม่เร่งรีบ อารมณ์ที่คุกรุ่นด้วยความกำหนัดเมื่อครู่ ถูกระบายออกไปแล้ว เหลือแต่ความสดใส หน้าตารูปร่างงามสง่าของเด็กหนุ่มวัยสิบเก้าปี หล่อสมาร์ทเดินออกมาจากห้อง น้ำหอมที่ถูกฉีดพรมส่งกลิ่นหอม หนุ่ยเดินลงไปคอยธีร์ที่โต๊ะอาหารด้านล่าง จนธีร์ลงมาจากห้องเกือบสิบเอ็ดโมง
“เสร็จแล้วเหรอ...โอ้โห...หล่อจังเลยน้องพี่” ธีร์เอ่ยชมหนุ่ยด้วยใจจริง
“ป้าจิตมีอะไรทานบ้างครับ...” ชายหนุ่มร้องเรียกแม่บ้าน
“พี่ธีร์นอนตีเท่าไหร่...”
“พี่นอนตีสาม...แต่ก็ยังดีนะ...งานเสร็จเรียบร้อย...สงสัยได้กาแฟที่หนุ่ยชงให้นั่นแหละ” ธีร์ยิ้มสดใส
“ไหวรึเปล่าพี่...”
“ไหวสิ...แต่หนุ่ยขับนะ”
“ได้ครับ...เราทานอะไรกันก่อนเถอะ...” หนุ่ยบอก
“อ้าวหนุ่ยยังไม่ได้ทานเหรอ...”
“คอยพี่อยู่น่ะครับ” หนุ่ยยิ้มอารมณ์ดี
“ไม่เอานะทีหลัง...ถ้าหนุ่ยหิวก็ทานไปก่อนเลยไม่ต้องคอยพี่” ธีร์พูดไปอย่างนั้น แต่ในใจรู้สึกดีที่มีคนคอยทานอาหารด้วย ไม่ต้องนั่งทานคนเดียวเหมือนที่เป็นอยู่ประจำ
สองหนุ่มออกจากบ้านแล้วขึ้นทางด่วนวิ่งไปออกพระราม๙ แล้ววิ่งเข้ามอเตอร์เวย์เพื่อตรงเข้าสู่แปดริ้ว หนุ่ยใช้ความเร็วไม่มากแต่ก็มาถึงวัดโสธรฯได้ในเวลาแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น
“พี่ธีร์ครับเราปิดทองไหว้พระแล้วซื้ออะไรกลับไปฝากป้อสักหน่อยดีมั้ย...” หนุ่ยว่า
“ดีเหมือนกันนะ...เมื่อกี้นี้ผ่านร้านกระยาสารท...เดี๋ยวเราแวะที่นั่นดีกว่า” ธีร์เคยมาที่ร้านนี้หลายครั้ง ที่ร้านขายขนมไทยหลายอย่างที่ขึ้นชื่อของแปดริ้วคือกระยาสารท
“ป้อชอบกินกระยาสารทพอดีเลยพี่”
ทั้งสองไหว้พระเรียบร้อยก็ขับรถย้อนกลับเข้ามาที่ร้านขนมที่ธีร์พูดถึง หนุ่ยเลือกกระยาสารทหลายอย่างและหลายกล่องเพื่อเอาไปฝากป้อและฝากที่บ้านด้วย จนบ่ายสองโมงกว่าทั้งสองจึงเดินทางกลับกรุงเทพฯเพื่อเข้าไปเยี่ยมป้อที่ศิริราช
“ป้อ...เป็นไงบ้าง...” หนุ่ยก้มลงไปพูดกับป้อที่นอนนิ่งไม่ไหวติง อาการเริ่มไม่ดีขึ้นมาอีก
“อืม...”
“ป้อ...หนุ่ยซื้อกระยาสารทมาฝาก...เจ้าอร่อยจากแปดริ้วเชียวนะ” หนุ่ยพูดกระซิบเบาๆที่ข้างหู
“อืม...ขอบใจ” ป้อลืมตามองมาที่เพื่อน
ธีร์คุยกับวิภาพรพลางหันมาดูป้อ วิภาพรเล่าถึงอาการที่ไม่ค่อยดีของป้อให้ฟังว่า หมอต้องให้คีโมอีกครั้งในวันสองวันนี้แต่ห่วงอยู่ที่อาการหลังจากนั้น
“สงสารลูก” วิภาพรเช็ดน้ำตา
“อืม...” ธีร์ส่ายหน้า
“ป้อคงจะทรมานมาก” นางร้องไห้ออกมาอีก หลายวันมานี่ อาการของป้อทรงๆทรุดๆไม่เหมือนเมื่อให้คีโมครั้งแรก
“ป้อต้องอดทนนะ...” หนุ่ยจับมือแล้วบีบเบา
“อืม...อยากกินกระยาสารท...” ป้อร้องขอเบาๆ
“อ่ะ...” หนุ่ยเอากระยาสารทออกมาป้อนให้ป้อ ป้อกินกระยาสารทได้เพียงสามสี่คำก็ไม่ไหวเพราะความแข็ง มันทำให้ป้อเจ็บปากมากเกิน
“แล้วคุณพ่อล่ะครับ...” ธีร์ถาม
“พรุ่งนี้ก็จะกลับค่ะ...”
หลังจากที่เฝ้าดูอาการเพื่อนอีกสักพัก หนุ่ยกับธีร์ก็ขอตัวกลับก่อน โดยบอกว่าพรุ่งนี้จะมาเยี่ยมอีกครั้งกับเพื่อนๆ หนุ่ยดูอาการของป้อแล้ว อยากนัดเพื่อนมาให้กำลังใจป้อ หนุ่ยอยากให้เพื่อนๆมากันเยอะๆ เย็นนั้นหนุ่ยโทรนัดเพื่อนให้ไปพบกันที่โรงพยาบาล
ในตอนเที่ยงๆของวันรุ่งขึ้นเด็กมาเยี่ยมป้อที่โรงพยาบาลกันพร้อมหน้า ยกเว้นทีมที่มาเฝ้าตั้งแต่เมื่อคืน เสียงเอะอะเจี๊ยวจ๊าวดังลั่นห้องไปหมด ป้อนั่งอยู่เงียบๆบนเตียงและพยายามกินกระยาสารทที่หนุ่ยซื้อมาตั้งแต่เมื่อวานนี้อีกครั้ง
“ไม่ไหวก็ไม่ต้องกินนะป้อ...” ทีมป้อนกระยาสารทใส่ปาก
“อืม...ขอบใจนะ” ป้อเมินหน้าไม่รับกระยาสารทอีก
“เป็นไงบ้างวะป้อ...” แคนเกาะขอบเตียงถาม
“ไม่เป็นไร...” ป้อพูดเบาๆ
หลังจากนั้นในตลอดบ่าย ป้อเป็นฝ่ายที่หลับไปซะมากกว่า ที่จะคุยกับเพื่อนๆ ร่างกายที่อ่อนล้าของเด็กหนุ่มไม่สามารถแม้จะพูดคุยกับเพื่อนๆได้ทั้งที่อยากจะคุยใจจะขาด แต่เพื่อนๆไม่ได้หนีกลับไปไหน ต่างอยู่กันครบทุกคนจนมืดค่ำ จึงได้ขยับขยายกลับบ้าน พรุ่งนี้ป้อจะต้องให้คีโมอีกครั้ง...
“หนุ่ย...ป้ออาการไม่ดีเลยว่ะ...” ทีมน้ำเสียงร้อนรน
“เหรอ...กูจะรีบไปนะ...มึงบอกใครไปแล้วบ้าง” หนุ่ยน้ำเสียงร้อนรนไม่แพ้กัน เขากำลังจะเข้าเรียนแต่วันนี้สงสัยต้องให้เพื่อนเช็คชื่อให้ละ
“กูบอกไอ้แคน ไอ้น่านไปแล้ว...ที่เหลือกูฝากมึงหน่อยนะ...ตอนนี้ป้ออยู่ในห้องไอซียูว่ะ” หนุ่ยกระโดดขึ้นแท็กซี่จากมหาวิทยาลัยมาที่โรงพยาบาลทันที
“ป้ออย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ...กูกำลังไปหามึงอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว” หนุ่ยยกมือท่วมหัวภาวนาขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยไม่ให้ป้อต้องเป็นอะไรเลย
“พี่ธีร์ครับ...ป้ออาการไม่ดีเลยครับ...ผมจะไปโรงบาลนะพี่” หนุ่ยพูดกับธีร์ทางโทรศัพท์
“อืม...มีอะไรโทรบอกพี่ได้นะ...เดี๋ยวพี่ขอคุยงานกับพี่เต้ก่อน” ธีร์บอกแล้ววางหูไป
“ครับ...”
เวลาไม่นานนักหนุ่ยเดินทางมาถึงโรงพยาบาลแต่ก็ยังช้ากว่าเพื่อนๆ ทุกคนออกันอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน ไม่ไปไหนรอเวลาที่ป้อจะกลับออกมา
“พวกเราเดินไปไหว้พระอนุสาวรีย์กันดีกว่า...” อ้นชวนเพื่อนๆ
“ไปสิ...” กลุ่มเพื่อนๆเดินกันออกมาที่พระอนุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรมแล้วจุดธูปเทียนเพื่อถวายสักการะ ต่างคนต่างอธิษฐานขอให้ป้อปลอดภัยจากอาการที่เป็นและหายป่วยเร็วๆด้วย ทีมก้มลงกราบกับพื้นแล้วทรุดลงอยู่ตรงนั้น ทีมร้องไห้ออกมาเพื่อนๆต้องเข้าไปประคอง เด็กๆตัดสินใจที่จะอยู่เป็นเพื่อนป้อให้ดึกที่สุดและพากันจับกลุ่มนั่งคุยอยู่บริเวณนั้น มันร่มรื่นด้วยพรรณไม้ ผู้คนหลากหลายพากันมากราบไหว้และขอพรให้คนที่รักและญาติของตนหายป่วยจากโรคร้าย พวกเขาก็เช่นเดียวกัน...ไม่แตกต่าง ความเจ็บความไข้มักมีกันถ้วนทั่วทุกคน...สิ่งเหล่านี้หรือที่เรียกว่า”อนิจจัง”
“ป้อจะเป็นอะไรมากมั้ยวะทีม...” อ้นน้ำตาซึม เริ่มถามอาการของป้อจากทีมที่มาเฝ้าเพื่อนอยู่เมื่อคืน
“เมื่อเช้าหลังให้คีโมแล้วอาการไม่ดีเลย...ทรุดลงเรื่อยๆ...จนเข้าไอซียู” ทีมพูดพลางเช็ดน้ำตา
“กูว่าป้อ...มันต้องหาย...” แคนบอกพลางจับมือให้กำลังใจเพื่อน
“ญาติป้อมากันหลายคนเลย...กูกลัวว่าป้อมันจะ....” ทีมพูดออกมาเบาๆพลางเอาหลังมือป้ายน้ำตา
“ไม่หรอกน่า...ป้อต้องปลอดภัย” หนุ่ยบอก
“ไปเราไปเฝ้าป้อกันเถอะ” ปรีย์เอ่ยปากทำให้ทุกคนลุกออกมาจากที่ตรงนั้น...แทบไม่มีใครสนใจจะหาอะไรกินในมื้อเย็นกันเลย
คืนนั้นเด็กๆกลับบ้านกันค่อนข้างดึก หลายคนอยากอยู่ต่อ แต่ก็เฝ้าป้อไม่ได้เนื่องจากเป็นห้องไอซียู จนเช้าวันรุ่งขึ้นขณะที่แต่ละคนไปเรียนหนังสือกันนั้น อาการเจ็บป่วยที่เรื้อรังมานาน ความที่ร่างกายต้องสู้ทนกับความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน ดวงวิญญาณที่แสนบริสุทธิ์ดวงหนึ่งได้หลุดลอยออกจากร่าง...ป้อได้ลาจากพ่อ แม่ ญาติพี่น้องและเพื่อนๆไปอย่างไม่มีวันกลับ ป้อทิ้งไว้เพียงความทรงจำที่ดีให้กับเพื่อนได้จดจำ...ความเป็น”เพื่อน”ความมีน้ำจิตน้ำใจ ความเป็นผู้นำ ความเป็นคนรักเพื่อนฝูง...และที่สำคัญความอ่อนไหวในจิตใจที่แสนบอบบาง...แต่แฝงไว้ด้วย”ความมั่นคง...ในรักไม่เสื่อมคลาย”ของป้อ...มันเป็นบทพิสูจน์ในความมีรักแท้...”รักของป้อ”รักที่ไม่เคยได้ครอบครอง...