พิมพ์หน้านี้ - ระโนด <by ต้นคุง>

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 09-08-2009 04:39:04

หัวข้อ: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 09-08-2009 04:39:04
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง กาเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


---------------------------
เรื่องนี้เราได้รับอนุญาตให้โพสจากผู้เขียน (ต้นคุง) เรียบร้อยแล้วนะคะ  ผิดพลาดประการใด ขอความกรุณาไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ  
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> ==
เริ่มหัวข้อโดย: หอยทาก ที่ 09-08-2009 04:53:59
ว้าววววววววว
นิยายใหม่ เอิ้กกกกก
ปู เสื่อ + แทะ เม็ด กวย จี๊ รอ ^^
 :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> ==
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 09-08-2009 04:55:09
๑ ปฐมบท

          รถเก๋งโตโยต้าคัมรี่สีขาวรุ่นใหม่ล่าสุดวิ่งห้อตะบึงไปตามถนนสายเล็กๆสายหนึ่งในจังหวัดสงขลา หลังพวงมาลัยของรถหรูราคาเหยียบสองล้านปรากฏร่างของ “ธีร์”หนุ่มน้อยวัยยี่สิบสี่ปี เขาเพิ่งเข้าทำงานในตำแหน่งผู้แทนฝ่ายขายของบริษัทยายักษ์ใหญ่ที่สุดของประเทศ ธีร์เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯในสาขาการตลาด แล้วงานนี้ก็เป็นงานที่เขาเองอยากจะทำเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะชื่อเสียงขององค์กรที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ความจริงแล้วแม่ของธีร์เองก็ไม่เห็นด้วยที่ลูกชายคนเดียวต้องมาทำงานในภาคใต้ ซึ่งมีความเสี่ยงเป็นอย่างมากกับชีวิตอันสดใส เพราะปัญหาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ทำให้ผู้เป็นแม่อดเป็นห่วงไม่ได้อีกทั้งเรื่องของการขับรถของธีร์ แม้ว่าธีร์จะขับรถเป็นตั้งแต่เรียนม.ปลาย แต่ว่าระยะทางที่ไกลแสนไกลต่างหากที่ทำให้ผู้เป็นแม่มักไม่สบายใจอยู่เสมอ

“แม่ครับ...รถของแม่ที่ธีร์ขับไปเรียนสภาพมันไม่ไหวแล้วนะครับแม่”ธีร์กำลังอ้อนภาณีแม่ของเขาในเช้าวันหนึ่งที่เขารู้ว่าบริษัทตกลงรับเขาเข้าทำงานในตำแหน่งนี้
“ทำไมล่ะธีร์...จะให้แม่ซื้อให้ใหม่เหรอ...”ภาณีพูดพลางลูบหัวลูกชายคนเดียวด้วยความรักและเอ็นดู ธีร์ชอบมาอ้อนและประจบอย่างนี้เสมอเมื่อต้องการได้อะไรจากนาง
“ครับแม่...วิ่งก็ช้าเป็นเต่า...แซงสิบล้อยังไม่ขึ้นเลยแม่”ธีร์เพิ่มน้ำหนักและเหตุผลให้ภาณีเห็นว่ารถที่เขาใช้อยู่มันแก่เกินกว่าจะขับไปไกลๆ
“เอาไปเทิร์นสิลูก...ได้เงินเท่าไหร่แล้วแม่จะเพิ่มเงินดาวน์ให้...แต่ธีร์ต้องผ่อนต่อเองนะ”ภาณีต้องการให้ลูกชายของนางรู้จักการเก็บหอมรอมริบและไม่เอาแต่แบมือขอเงินเป็นอย่างเดียว เพราะอย่างน้อยธีร์เองก็มีงานทำแล้ว และเงินเดือนบวกเบี้ยเลี้ยงก็ไม่ใช่เงินน้อยๆ

          ธีร์ใจลอยคิดถึงวันที่เขาคุยกับแม่เมื่อเดือนก่อน แล้วยิ้มอย่างภาคภูมิใจในรถเก๋งคันงาม พลางลูบไล้คอนโซลหน้าด้วยความทะนุถนอม ก่อนกดคันเร่งพาเครื่องยนต์ขนาดสองพันสี่ร้อยซีซี บึ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วปานพายุ เขามองออกไปข้างหน้า เลนซ้ายมือของเขามีรถกระบะบรรทุกอะไรบางอย่างวิ่งอยู่อย่างช้าๆ ด้วยสภาพที่เก่าแก่ของมันและสิ่งของที่บรรทุกมาเต็มหลังรถ ฟางข้าวนั่นเอง มันปลิวเกลื่อนถนนไปหมด

“เฮ้อ...ทำไมไม่หาอะไรมามัดไว้ซะหน่อยนะ...อย่างนี้กว่าจะถึงบ้าน...ฟางข้าวปลิวหมดคันแน่ๆ...แล้วจะเอาอะไรให้ควายกิน”ธีร์รู้สึกเห็นใจผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาติ แล้วเตรียมจะแซงออกขวา “สัญญาณไฟเลี้ยว”ธีร์นึกขึ้นมาแวบนึง...แค่นึกเท่านั้น เขาไม่ได้ให้สัญญาณว่าจะแซง แต่หักพวงมาลัยออกมา แล้วกดคันเร่งเพื่อแซงทันที รถของธีร์พุ่งขึ้นมาเทียบรถกระบะได้ครึ่งคัน ธีร์ก็เห็นเงาตะคุ่มของคนชายคนหนึ่งเดินตัดหน้ารถของเขาในระยะกระชั้นชิด เขาไม่ทันจะแตะเบรกด้วยซ้ำ ธีร์มีเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นในการตัดสินใจ เขาตัดสินใจหักพวงมาลัยไปทางซ้ายแต่ก็หักได้เล็กน้อยเท่านั้นเพราะรถกระบะด้านซ้ายยังขวางทางอยู่

“โครม”ไม่มีเสียงเบรกใดๆ มีแต่เสียงหนักๆกระแทกกับกันชนหน้า ร่างเล็กๆของชายวัยกลางคนลอยละลิ่วไปไกลและหล่นตุ๊บลงไปในร่องน้ำกลางถนน เสียงเบรกของล้อทั้งสี่ดังขึ้น ไฟเบรกของระบบเบรกเอบีเอส โชว์หราที่หน้าปัดรถหรู ธีร์ตกใจสุดขีดกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาเบนรถเข้าจอดข้างทาง เสียงโหวกเหวกโวยวายของชาวบ้านในละแวกนั้นดังขึ้น ธีร์ลงมาจากรถด้วยความตกใจ เขาสับสนไปหมด ชายคนนั้นมาได้ยังไงกัน ชายคนนั้นเดินออกมาจากทางไหน ทำไมเขาไม่เห็นมาก่อน แล้วนี่เขาจะเป็นอะไรมากรึเปล่า ธีร์นึกถึงตำรวจขึ้นมาได้

“ใช่สิ...โทรหาตำรวจก่อน”ธีร์ก้มลงไปหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วกดเบอร์ที่เขาคิดว่าคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กๆ...ใช่แล้ว “191”
“ที่นี่สถานีตำรวจภูธรระโนด ผมสิบตำรวจตรี......รับสายครับ”เสียงตำรวจหนุ่มรายงานตัวราวกับเปิดเทปที่อัดไว้
“...ผมขอแจ้งเหตุร้าย...มีคนถูกรถชนครับ”ธีร์เสียงสั่นด้วยความตกใจ
“ครับ...เหตุเกิดบริเวณไหนครับ”ตำรวจส่งเสียงมาตามสาย
“เอ่อ...ไม่ทราบครับ...เอ่อ...ผมดูก่อนนะ...ปากทางเข้าสำนักสงฆ์หัวสิงโตครับ”ธีร์เพ่งมองฝ่าความมืดไปยังป้ายสำนักสงฆ์สีขาวหม่นๆผุๆ
“มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตรึเปล่าครับ”
“ผมไม่ทราบครับ...เห็นแต่ตกลงไปในร่องน้ำกลางถนนครับ”
“กรุณาแจ้งชื่อและนามสกุลของคุณด้วยครับ”เสียงตำรวจดุๆทำเอาธีร์สั่นหนักเข้าไปอีก
“ผมชื่อธีร์ นันทนกุลครับ...ผมเป็นคนขับรถชนเองครับ”ธีร์สารภาพเสียงสั่น
“คุณธีร์...คุณคอยอยู่ที่นั่นนะครับผมจะรายงานผู้บังคับบัญชาและให้หน่วยกู้ภัยไปที่เกิดเหตุให้เร็วที่สุด”ตำรวจส่งเสียงดุๆมาตามสายแล้วก็วางหูไป

          ธีร์ก้าวช้าๆ เขากำลังจะเดินไปที่ร่องน้ำกลางถนน ที่ตอนนี้เริ่มมีชาวบ้านมามุงดูชายคนนั้นบ้างแล้ว หลายคนเบือนหน้าหนีพลางส่ายหน้า “ตาอินเอ้ย...แกข้ามถนนทำไมไม่ดูรถเลยว้า...” ยายคนหนึ่งเดินออกมาพลางเช็ดน้ำตาป้อยๆ
“ไอ้หนู...เอ็งไปบอกที่บ้านตาอินมันที...ตาอินมันถูกรถชนตาย” สิ้นเสียงยายคนนั้น ธีร์ถึงกับเข่าอ่อน เขาทรุดลงนั่งกับพื้นก้าวขาไม่ออก ความตกใจและเสียขวัญทำให้เด็กหนุ่มร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย ธีร์คิดอะไรไม่ออกแล้ว ได้แต่นั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อนไปไหน จนมีมือมาจับที่ข้อมือเขาไว้แล้วจูงข้อมือชายหนุ่มให้เดินออกมา
“นั่งตรงนี้ก่อนไอ้หนุ่ม...”เสียงผู้ชายสำเนียงทองแดงพูดอย่างใจดี
“ฮืออ...ฮือออ...”ธีร์ร้องไห้ออกมา เขาเอามือปิดหน้าไว้ไม่มองอะไร ได้แต่ก้มหน้าร้องไห้
“ใจเย็นๆลูกใจเย็นๆ...ทำใจดีๆไว้...ไม่ต้องไปดูนะ...ตายแล้วแหละ”เสียงชายคนเดิมพูดอยู่ไม่ไกลนัก
“ฮืออ...ฮือออ....ผมทำเค้าตาย...ฮืออ...ผมทำเค้าตาย...”ธีร์ฟูมฟายออกมามากขึ้น สติสตังกระเจิดกระเจิงไปแล้ว ธีร์คิดถึงแม่ขึ้นมาได้ แม่...เค้าต้องโทรบอกแม่ก่อน...อย่างน้อยจะได้รู้สึกอุ่นใจ...แม่เป็นที่พึ่งให้เขาเสมอ...ชีวิตนี้ธีร์มีแม่เพียงคนเดียวเท่านั้น...ธีร์กดโทรศัพท์หาแม่
“แม่ครับ...แม่...ฮือออ...ฮือออ...”ธีร์พูดไม่ได้ ได้แต่ร้องไห้ออกมาอย่างเดียวทำเอาภาณีใจหายวาบ
“ธีร์...ธีร์เป็นอะไรลูก...ร้องไห้ทำไม...บอกแม่สิ...ใครทำอะไรลูก”เสียงของผู้เป็นแม่บ่งบอกว่าเป็นห่วงลูกชายคนเดียวสุดชีวิต
“ธีร์ขับรถชนคนตายครับแม่”สิ้นเสียงธีร์ ภาณีถึงกับเข่าอ่อน นางควานหาเก้าอี้มานั่งเพราะไม่มีแรงแม้แต่จะยืน นางเป็นห่วงลูกชายสุดที่รักเอามากๆ ตั้งแต่เกิดมาธีร์ไม่เคยประสบกับเหตุการณ์ร้ายๆอย่างนี้มาก่อน
“ธีร์...ธีร์อยู่ที่ไหนลูก...”ภาณีถามลูกชาย
“ธีร์อยู่อำเภอระโนดครับแม่...แม่มาช่วยธีร์ด้วย...ธีร์กลัวครับแม่...ธีร์ชนเค้าตายครับ...ไม่น่าเกิดขึ้นเลยครับ...ธีร์กลัวครับแม่...ฮือ...ฮือ...ฮือ”เสียงร้องไห้ของลูกชายสุดที่รักดังก้องอยู่ในโสตประสาท

          ภาณีมืดแปดด้านตอนนี้นางคิดไม่ออกว่าจะทำยังไงต่อไป นางไม่รู้จักใครที่ไหนเลย เพราะตั้งแต่คุณวัลลภสามีของนางเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตกเมื่อธีร์ยังอายุได้แค่สิบขวบ นางก็ได้แต่ทำงานๆๆ...ไม่ได้เข้าสังคมเลย “แล้วจะทำยังไงดีนะ” ภาณีตั้งสติอยู่สักพัก ก็นึกถึงน้องชายของนางขึ้นมาได้ น้องชายของภาณีเป็นนายอำเภออยู่ทางภาคอีสาน “เจ้านพมันน่าจะมีพวกพ้องอยู่ทางใต้บ้าง มันน่าจะช่วยเหลือได้ อย่างน้อยเจ้าธีร์ก็หลานของมัน” ภาณีหาเบอร์โทรศัพท์ของนายอำเภอนภดล น้องชายคนเล็กของนาง หลังจากได้เบอร์มาแล้ว ภาณีต้องวิ่งหาแว่นตาอีกเพราะนางเองก็อายุเกือบห้าสิบเข้าไปแล้ว เป็นธรรมดาอยู่ที่สายตามันจะเริ่มสั้น มองไม่เห็นตัวเลข นางกดแป้นโทรศัพท์ด้วยมือที่สั่นเทา

“อะโหล...นพใช่มั๊ย...นี่พี่ณีเองนะนพ...”ภาณีพูดกับคนที่รับโทรศัพท์ปลายสาย
“ครับพี่ณี...มีอะไรหรือพี่”เสียงนพดลสงสัย เพราะผิดสังเกตที่พี่สาวโทรมาหา ร้อยวันพันปีพี่สาวคนนี้แทบไม่ได้โทรหาเขาเลย ต้องมีเรื่องด่วนอะไรสักอย่าง
“นพ...ตอนนี้เจ้าธีร์น่ะมันขับรถไปชนคนตาย...ที่อำเภอระโนด...แกมีเพื่อนฝูงอยู่แถวนั้นบ้างมั๊ย...แกช่วยมันทีนะ...”เสียงภาณีร้อนรนและมีน้ำเสียงเครือๆเหมือนจะร้องไห้
“เหรอครับพี่ณี...เอ่อ...เดี๋ยวนะ...ผมนึกก่อน...”นพดลเงียบไปพักนึง
“ไงเจ้านพ...แกมีเพื่อนอยู่แถวสงขลาบ้างมั๊ย”เสียงภาณีร้อนรน
“เออ...มีครับพี่...เพื่อนผมเป็นปลัดอำเภออยู่สิงหนคร...เดี๋ยวผมจะติดต่อมันดู...ไม่รู้ว่ามันอยู่รึเปล่า”
“พี่ฝากหลานด้วยนะ...ได้ความยังไง...แกโทรบอกพี่หน่อยแล้วกัน”ภาณีวางหูโทรศัพท์ลงกับแป้นแล้วกดเบอร์ลูกชายของนางทันที
“ธีร์เป็นไงบ้างลูก...”
“ผมโทรบอกหัวหน้าแล้วครับแม่”ธีร์บอกแม่เสียงยังสั่นอยู่
“อืม...แล้วหัวหน้าเค้าว่าไงล่ะลูก”ภาณ๊ถามด้วยความร้อนรน
“เค้าจะต้องรายงานไปตามขั้นตอนก่อน...เค้าก็ถามว่าธีร์เป็นอะไรบ้างรึเปล่า”ธีร์บอก
“แล้วตำรวจมารึยังลูก”
“มาแล้วครับ...ผมคอยตำรวจอยู่จะต้องไปที่โรงพักครับ...”ธีร์บอก
“ธีร์ไปกับตำรวจนะลูก...น้านพเค้ากำลังโทรหาเพื่อนเค้าให้ไปดูลูกแล้วนะ”ภาณีบอกลูกชาย
“ครับแม่...หัวหน้าผมเค้าก็โทรให้เพื่อนที่อยู่ใกล้ๆกันมาหาผมแล้วแม่...”น้ำเสียงธีร์ค่อยดีขึ้นเล็กน้อย แต่ยังไงนางก็เป็นห่วงอยู่ดีนั่นแหละ
“เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่จะไปหานะลูก”ภาณีบอกลูกชาย ใจนางอยากจะไปหาซะแต่คืนนี้ด้วยซ้ำแต่มันจะเป็นไปได้ยังไง ทางตั้งไกล เครื่องบินก็ไม่น่าจะมีแล้ว นางจะทำยังไงดี
“โทรหานังสาดีกว่า...”ภาณีนึกถึงเลขาส่วนตัวขึ้นมาได้ ปกติภาณีไม่เคยโทรศัพท์ไปหาสานิตย์ นอกเวลางานเลย “แต่ครั้งนี้มันจำเป็น...”ภาณีกดโทรศัพท์หาสานิตย์ทันที
“ค่ะคุณณี...มีอะไรรึเปล่าคะ”เสียงใสๆของเลขานุการส่วนตัวดังขึ้น
“นี่สา...พี่ณีรบกวนหน่อยเถอะ...สาช่วยจองตั๋วเครื่องบินไปหาดใหญ่ให้พี่หน่อยนะ...”
“เมื่อไหร่คะคุณณี”
“พรุ่งนี้เช้าจ๊ะ”
“คุณณีมีประชุมสิบโมงเช้าไม่ใช่เหรอคะ...”
“เออ...แจ้งทางเมลไปก่อนว่าพี่ขอเลื่อนประชุมออกไปไม่มีกำหนด...”
“คุณณีจะไปหาดใหญ่ทำไมคะ”เลขาจอมจุ้นถาม
“เอ่อ...ไปธุระนิดหน่อยจ่ะ...”
“ได้ค่ะเดี๋ยวสาจองให้...แล้วสาจะโทรไปหาคุณณีอีกทีนะคะ”

          ภาณีนึกขึ้นมาได้ว่าแล้วรถของเจ้าธีร์จะทำยังไง ถ้านางลงไปแล้วพาลูกชายกลับทางเครื่องบิน รถเก๋งคันใหม่เอี่ยมขนาดนั้น ใครจะขับกลับ “เจ้าเต้”ภาณีคิดถึงลูกของวันดี น้องสาวของคุณวัลลภ “เต้”เป็นลูกผู้น้องของธีร์แต่ทั้งสองอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นเพื่อนเรียนกันมาตั้งแต่เล็กๆ จนถึงมหาวิทยาลัย ธีร์กับเต้สนิทกันมากแทบจะไม่เคยห่างกันเลย จนเรียนจบแล้วต่างคนต่างทำงานในสาขาที่ตัวเองเรียนมา ตอนนี้เจ้าเต้กำลังเริ่มงานใหม่เป็นพนักงานบริการบนเครื่องบิน ในสายการบินแห่งชาติ ภาณีกดโทรศัพท์หาเต้ด้วยความร้อนรน
“เต้...อยู่ที่ไหนลูก”ภาณีเรียกลูกอย่างสนิทปาก เพราะเต้ก็เหมือนกับลูกของนางคนหนึ่งเหมือนกัน
“อยู่บ้านครับคุณป้า”เต้ส่งเสียงใสๆมาตามสาย
“เอ่อ...เจ้าธีร์มันไปขับรถชนคนตายน่ะลูก...ตอนนี้มันอยู่สงขลา”ภาณีบอกเต้
“หา...ธีร์เป็นอะไรรึเปล่าครับ...แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหนครับ”เต้ร้องออกมาด้วยความตกใจและเป็นห่วง เพราะทั้งคู่สนิทกันเหมือนพี่น้อง
“อยู่อำเภอระโนดลูก...พรุ่งนี้ป้าจะชวนเต้ไปหาธีร์ด้วยกัน...เอ่อ...นั่งเครื่องไปน่ะลูก”ภาณีบอกเด็กหนุ่ม น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเกรงใจเพราะไม่รู้ว่าเต้จะว่างหรือเปล่า เต้เพิ่งทำงานได้ไม่กี่วันเอง
“ได้ครับคุณป้า...แล้วคุณป้าจะไปไฟล์ทกี่โมงครับ...ผมให้เพื่อนจองตั๋วให้มั๊ยครับ”เต้รีบรับปากทั้งๆที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะลางานได้รึเปล่า
“เออ...ป้าให้เลขาจองให้แล้วแต่เดี๋ยวป้ายกเลิกก่อนก็ได้...ป้าให้เต้จองให้ดีกว่า”ภาณีลืมนึกไปว่าหลานชายก็ทำงานอยู่การบินไทย ถ้าให้เต้จองจะได้ตั๋วราคาถูกและมีที่นั่งแน่นอนกว่า นางจึงโทรหาเลขาแล้วก็ให้ยกเลิกการจองตั๋วไป

“ธีร์...เป็นยังไงบ้างลูก”หัวใจนางจะขาดรอนๆซะให้ได้เมื่อได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายของคนรอบข้าง ดังแทรกเข้ามาในโทรศัพท์
“แม่ครับ...ธีร์กลัวครับ...”เสียงเด็กหนุ่มเบาแผ่วเอามากๆ เหมือนกับไม่ต้องการให้ใครได้ยินเสียง
“...ธีร์ไม่ต้องกลัวนะ...ไปหาตำรวจนะลูก...อยู่ใกล้ๆตำรวจไว้” ภาณีกลัวบรรดาญาติพี่น้องของคนที่เสียชีวิตจะมากลุ้มรุมทำร้ายลูกชายของนาง
“ครับแม่...”ธีร์เป็นเด็กดีและไม่เคยดื้อ ตลอดเวลาที่นางเลี้ยงดูลูกชายคนนี้มา ธีร์ไม่เคยขัดใจนางเลย แต่ธีร์ก็ไม่ใช่เด็กหัวอ่อนที่ไม่มีความคิด นางมักจะเลี้ยงลูกด้วยเหตุและผล ให้ลูกได้ฝึกการตัดสินใจด้วยตัวเองและสอนให้ลูกรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมาตลอด
“เดี๋ยวแม่โทรกลับนะลูก...น้านพโทรมาแล้ว” ภาณีกดวางสายแล้วกดรับโทรศัพท์ของน้องชายนาง

“ว่าไงนพ...เพื่อนแกอยู่มั๊ย”ภาณีเสียงระรัว
“อยู่ครับพี่ณี...มันบอกว่าจะโทรไปหารองผู้กำกับฯให้ก่อนแล้วเดี๋ยวมันจะตามไปที่ระโนด”ภาณีโล่งใจสุดๆ นางขอบอกขอบใจน้องชายซะยกใหญ่ ทำเอานภดลถึงกับต้องบอกกับภาณีว่า
“พี่ณีครับ...เจ้าธีร์มันก็หลานผมเหมือนกันนะครับ...ยังไงผมก็ต้องช่วยมัน...พี่ณีสบายใจได้เลย...เดี๋ยวให้เพื่อนผมมันรับเจ้าธีร์ไปนอนกับมันที่สิงหนครก็ได้...ส่วนรถเจ้าธีร์ถ้ายังขับได้เดี๋ยวให้ลูกน้องมันขับกลับมา”นพดลบอกกับพี่สาวเป็นชุด เหมือนกับว่าเรื่องราวทั้งหมดจะถูกคลี่คลายในไม่ช้านี้แล้ว...แต่ใครจะรู้ว่า...เรื่องนี้มันแค่เริ่มต้นเท่านั้นเอง


หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> ==
เริ่มหัวข้อโดย: หอยทาก ที่ 09-08-2009 05:03:07
อหงะ
โผล่มาตอนแรกก็ขับรถชนคนตายซะแล้ว
น่าสงสารคุณตากับหลานจังเลย
ท่าทางจะมีกันสองตาหลานแหงเลย
ใช่ป่าวนิ = =
ยังไงก็รออ่านต่อนะครับ สนุกดีอ่ะ
> w <
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> ==
เริ่มหัวข้อโดย: thaitanoi ที่ 09-08-2009 07:42:40
 :pig2:  มาให้กำลังใจเรื่องใหม่ครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> ==
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 09-08-2009 11:53:56
มาจิ้มเรื่องใหม่จ้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> ==
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 09-08-2009 16:02:17
มาอ่านเรื่องใหม่

พร้อมกำลังใจค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> ==
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 09-08-2009 16:56:10
 :mc4: :mc4: :mc4:
มาเจิมเรื่องใหม่
+1 เป็นกำลังใจให้นะคราบที่เอาเรื่องมาลง
อ่านตอนแรกแล้วรู้เลยว่าเรื่องนี้เนื้อเรื่องปึ้กมาก
ภาษาที่ใช้ค่อนข้างอยู่ในเกณฑ์ดี แล้วจะมารออ่านต่อครับ
เหตุรักเกิดที่ระโนดจะเป็นเช่นไรหนออออออออออออออออออออออออ

นิว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> ==
เริ่มหัวข้อโดย: 0nePiece ที่ 09-08-2009 21:37:16
มาเจิม เรื่องใหม่

 :a5:แต่

นั่น.
.
.
.
มันบ้านเกิดเรานี่หว่า


รออ่านตอนต่อไป

อิอิ 
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> ==
เริ่มหัวข้อโดย: WEERACHOT ที่ 09-08-2009 22:12:28
ขยันลงน่ะครับ อย่าหายไปนาน(เหมือนเรา อิอิ)

เป็นคนสงขลาเหรอครับ

 :m4: สู้ๆครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> ==
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 10-08-2009 01:39:20
 :mc4:
บวก 1 แต้มเป็นกำลังใจให้กับเรื่องใหม่จ้า
สนุก น่าติดตาม
รออ่านต่อนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> ==
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 10-08-2009 01:50:32
น่าติดตามมากกกกกกกกกกก



ประเดิมเรื่องก็มีคนตายซะงั้น



รออ่านตอนต่อไปค้าบบบบบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> ==
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 10-08-2009 04:43:14
๒ หาดใหญ่

          เครื่องบินโบอิ้ง 737-200 ลำมหึมา ร่อนลงจอดที่สนามบินหาดใหญ่ด้วยความนิ่มนวล ภาณีร้อนรุ่มไปทั้งตัว นางอยากให้ถึงเร็วๆจะแย่ เมื่อคืนนางนอนไม่หลับเอาซะเลย ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าลูกชายคนเดียวของนางปลอดภัยและอยู่ในความดูแลของเพื่อนเจ้านพที่เป็นปลัดอำเภอ แต่กว่าที่ธีร์จะออกจากโรงพักได้ก็เล่นเอาดึกโขอยู่ ตำรวจต้องสอบปากคำและเรียกประกันภัยมาดูที่เกิดเหตุ กว่าธีร์จะกลับมาถึงบ้านพักเพื่อนเจ้านพได้ก็ดึกมาก รถของธีร์ยังขับได้ดี ลูกน้องของปลัดอำเภอ เป็นคนขับกลับมาให้
“ตอนนี้รถธีร์อยู่ที่ไหนครับคุณป้า”เต้ถามหลังจากเหม่อมองไปข้างนอก เต้เป็นคนพูดน้อยอยู่แล้วนางจึงรู้สึกเกรงใจเอามากๆ เมื่อเต้นั่งมองออกนอกหน้าต่างมาตลอดทาง ภาณีไม่อาจคาดเดาได้ว่าเด็กหนุ่มคิดอะไรอยู่
“ก็คงอยู่ที่สิงหนคร...เอ่อบ้านปลัดอำเภอนั่นแหละ”ภาณีตอบพลางมองเข้าไปในดวงตาหลานชาย... “เด็กคนนี้เป็นคนที่มีแววตาช่างคิด” 

          ธีร์มารับภาณีที่สนามบิน แต่เขาไม่ได้ขับรถมาเอง ปลัดอำเภอให้ลูกน้องขับมาให้ ธีร์ยังขยาดกับการขับรถอยู่ เขาไม่กล้าแม้แต่จะเดินเฉียดรถตัวเองด้วยซ้ำ
“ธีร์...เป็นไงบ้างลูก”ภาณีสวมกอดลูกชายสุดที่รักด้วยความห่วงใย 
“ไม่เป็นอะไรแล้วครับแม่...ธีร์ดีขึ้นแล้วครับ”ธีร์กอดตอบนางด้วยเช่นกัน ธีร์น้ำตาไหลอาบแก้มเหมือนเด็กๆ เขาไม่อยากบอกผู้เป็นแม่ว่าเมื่อคืนเขานอนไม่หลับเลย จนเกือบเช้า ภาพของชายคนนั้นยังติดตาธีร์อยู่ หลับตาทีไรก็ให้นึกถึงภาพนั้นทุกที ภาพที่ศีรษะของชายคนนั้นชนเข้ากับกระจกหน้ารถเขา แล้วร่างนั้นก็ลอยละลิ่วเหมือนไม่มีน้ำหนัก ตกลงตรงร่องน้ำกลางถนน ธีร์คิดแล้วก็น้ำตาไหลออกมาอีก
“ทำใจดีๆไว้ธีร์”เต้เดินมาลูบหลังธีร์ด้วยความห่วงใย เขาไม่เคยเห็นธีร์เป็นแบบนี้มาก่อน ธีร์ เด็กหนุ่มที่มีแต่ความร่าเริงสดใส ช่างพูดช่างคุยหายไป มีเด็กหนุ่มหน้าอมทุกข์และแววตาที่แฝงไว้ด้วยความเศร้าตลอดเวลามาแทน เต้ไม่อยากเห็นธีร์เป็นแบบนี้เลย
“ขอบใจนะเต้”ธีร์บอกพลางปาดน้ำตา ตั้งแต่เกิดมาก็มีเต้นี่แหละ ที่เป็นเพื่อนและยืนเคียงข้างเขาเสมอมา คอยให้กำลังใจเขาในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าเรื่องเรียนหรือเรื่องรัก

          ทั้งหมดเข้าเปิดโรงแรมในตัวเมืองหาดใหญ่แล้วก็ออกเดินทางด้วยรถส่วนตัวของปลัดฯไปยังสภ.ระโนด ส่วนรถของธีร์นั้นจอดอยู่ที่บ้านพัก เพราะตอนบ่ายๆจะมีตัวแทนศูนย์รถเข้ามาเอาไปซ่อมให้ หมดปัญหาไป ส่วนเรื่องที่ต้องไปเคลียร์กับตำรวจ ประกัน และเจ้าทุกข์ตอนบ่ายนี้คงจะพอรู้เรื่อง ภาณีอยากให้เรื่องมันจบโดยเร็วที่สุด
“เราเข้าไปเคารพศพก่อนดีกว่านะลูก” ภาณีคุยกับลูกชาย
“ได้ครับแม่...เห็นตำรวจบอกว่าอยู่ที่วัดหรือสำนักสงฆ์อะไรสักที่นี่แหละ”
“อยู่ที่สำนักสงฆ์ตรงที่เกิดเหตุนั่นแหละครับน้อง”พี่คนขับรถที่ปลัดฯส่งมาอำนวยความสะดวกบอกกับธีร์
“ครับพี่...งั้นไปที่นั่นก่อนแล้วกันครับ”ธีร์บอก
“ได้ครับ”คนขับรถพูด
“ธีร์...ไม่กลัวญาติพี่น้องเค้าเหรอ”เต้ซึ่งนั่งเงียบมานานเอ่ยขึ้นบ้าง
“ไม่น่าจะมีอะไร...เราเอาเงินไปช่วยเค้าก่อนเท่าไหร่ดีครับแม่”ธีร์หันมาถามภาณี
“ห้าหมื่นก็แล้วกันเนอะ”ภาณีบอกลูกชาย
“ครับ...”

          รถของราชการสี่ประตูมาจอดนิ่งสนิทที่หน้าวัด ทำเอาสายตาทุกคู่หันมามอง วัดบ้านนอกอย่างนี้ไม่น่าจะมีเจ้าใหญ่นายโตจากอำเภอเข้ามา แถมนี่ยังมาจอดหน้าศาลาสวดศพ “นายอิน ขันโหมด” ชาวบ้านจนๆคนหนึ่ง แม้แต่ญาติมิตรที่มาร่วมงานก็ประมาณสิบคนเท่านั้น
“ไปลูกลงไปเคารพศพกัน”ภาณีจับมือลูกชายแล้วก็ต้องมองหน้าธีร์ เพราะมือเย็นเฉียบด้วยความตื่นเต้น ธีร์หน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ก้าวเท้าลงมาจากรถอย่างไม่อิดออด “ลูกผู้ชายทำผิดแล้วก็ต้องยอมรับผิด” ธีร์บอกกับตัวเอง
          ทั้งหมดเดินเข้าไปที่หน้าโลงศพภายในศาลาสวดศพ ที่มีเพียงศาลาเดียวในวัดแห่งนี้ โลงศพใบเดียวตั้งตระหง่านอยู่บนแท่นที่วาง ไม่มีดอกไม้ประดับหน้าโลงเลยสักดอก ด้านหน้าโลงศพมีกระถางธูป และตะเกียงน้ำมันก๊าดที่จุดอยู่ส่งกลิ่นอวลไปทั้งศาลา กลิ่นควันธูปและน้ำมันก๊าดกระตุ้นประสาทรับรู้ของผู้มาเยือนว่าที่แห่งนี้มีความสูญเสียเกิดขึ้น เสาหลักของครอบครัวได้หักสะบั้นลงด้วยน้ำมือของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ที่ตอนนี้กำลังก้มหน้าพนมมือไหว้ศพอยู่ สักพักเสียงอึงอลแว่วเข้ามาทำให้สายตาผู้มาเยือนทุกคู่หันไปมอง คนขับรถที่แยกไปคุยตั้งแต่ทีแรก ส่งสัญญาณมาบอกว่าทางญาติพี่น้องของผู้เสียชีวิตเริ่มรู้แล้วว่า “ธีร์เป็นใคร”
“เดี๋ยวแม่เข้าไปคุยเอง...เต้อยู่กับธีร์นะลูก” ภาณีสั่งก่อนจะเดินเข้าไปหาญาติพี่น้องผู้เสียชีวิต...ภาณีกล้าหาญเสมอยามที่ต้องตัดสินใจและเผชิญหน้ากับบางสิ่ง นางเด็ดเดี่ยวขึ้นมากหลังจากที่สามีนางเสียชีวตจากอุบัติเหตุ...ตั้งแต่ธีร์ยังเด็กๆ เพราะนางต้องเป็นทั้งพ่อและแม่ของลูกไปพร้อมๆกัน

          ธีร์นั่งเหม่อมองโลงศพที่ตั้งอยู่กลางศาลา น้ำตาของเด็กหนุ่มเริ่มซึมออกมาทางหางตา เต้นั่งนิ่งมองธีร์ด้วยความรู้สึกสงสารจับใจ เป็นเต้เองคงจะร้องไห้ไปแล้ว
“เต้...ธีร์เสียใจ...ธีร์ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเลย”ธีร์ร้องไห้มากขึ้น สะอื้นจนตัวโยน เต้เข้ามานั่งข้างๆญาติสนิทแล้วโอบกอดธีร์ไว้
“ใจเย็นๆนะธีร์...เราไม่ได้ตั้งใจ...เราไม่ได้ตั้งใจ...มันเป็นอุบัติเหตุ”เต้พยายามบอกธีร์ แล้วธีร์ก็หันมากอดเต้เอาไว้แน่น น้ำตาไหลลงมาเปียกเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดของเต้จนชุ่มบ่าไปหมด

          ทั้งสองนั่งกันเงียบๆสักพักก็ปรากฏร่างของเด็กผู้ชายคนหนึ่งถือถาดใส่น้ำมาสองแก้ว แล้วมายื่นให้ชายหนุ่มสองคน เต้รับน้ำมาแล้ววางเอาไว้ข้างตัว เขากินไม่ลงหรอก...ไม่รู้เอาน้ำอะไรมาให้กิน...ที่รับไว้เพราะเป็นมายาท เต้หยิบน้ำอีกแก้วนึงส่งให้ธีร์ ธีร์จิบน้ำเล็กน้อยแล้ววางไว้ข้างตัวเหมือนกัน แต่ธีร์ไม่ได้นึกรังเกียจ เขารู้สึกคอแห้งผากขึ้นมา ดีซะอีกที่ได้น้ำมาจิบทำให้ชุ่มคอขึ้นมาบ้าง
“นั่นแหละค่ะ...หลานชายของชั้น...หลานคนเดียว...ตาอินรักและห่วงหลานคนนี้มาก” ยายอิ่มผู้เป็นเมียของตาอินชี้ให้ภาณีดูเด็กคนที่เอาน้ำมาให้ธีร์และเต้
         ครอบครัวนี้มีกันอยู่แค่ ๓ คน ตาอินเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของบ้าน ยายอิ่มนั้นป่วยกระเสาะกระแสะด้วยโรคเบาหวาน ทำงานอะไรมากไม่ได้ ได้แต่ปลูกผักหักหญ้าแถวบ้านกินไปเรื่อยๆ เลี้ยงไก่ เลี้ยงนกไว้กินไข่ ตาอินและยายอิ่มสองคนผัวเมียมีลูกชายคนเดียว ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วจากเหตุการณ์สึนามิที่พังงา ลูกชายทำงานที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งที่เขาหลัก และในวันที่สึนามิเข้าถล่มนั้น ลูกชายตาอินก็หายสาบสูญไป ตาอินเทียวไปเทียวมาที่พังงาหลายเที่ยวเพื่อตามหาลูกชายคนเดียว สุดท้ายก็ได้แต่ศพกลับมา ลูกชายคนเดียวของครอบครัวจากไปด้วยวัยเพียง ๒๗ ปี ทิ้งไว้แต่เพียงลูกชายวัย ๗ ขวบชื่อ”หนุ่ย”ไว้ให้เลี้ยง ตาอินและยายอิ่มจึงทั้งรักและห่วงหลานชายคนนี้เอามากๆ

“ฉันก็ไม่รู้จะมีปัญญาเลี้ยงมันยังไง...สิ้นตาอินแล้ว...ใครจะมาดูแลส่งเสียมัน”ยายอิ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมาอีกครั้ง ทำเอาผู้ที่อยู่บริเวณรอบข้างสะเทือนใจไปตามๆกัน ภาณีหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับหัวตาที่มีน้ำตามาเอ่อ...
“หนุ่ย...มานี่สิ”ญาติคนหนึ่งร้องเรียกเด็กชายให้เข้ามาตรงที่ภาณีนั่งอยู่
“สวัสดีครับ”เด็กชายยกมือไหว้ภาณี
“มานี่สิหนู”ภาณีดึงเด็กชายเข้ามาพินิจดูรูปร่างหน้าตา เด็กชายวัย ๑๒ ปี รูปร่างหน้าตาคมคายแบบฉบับเด็กใต้ จมูกโด่งเป็นสัน ตากลมโต ผิวที่ไม่คล้ำมากเหมือนคนท้องถิ่นทั่วไป รูปร่างเด็กชายที่เริ่มโตเป็นหนุ่มบวกกับแววตาที่ซุกซนและใฝ่รู้ทำให้ผู้พบเห็นอดไม่ได้ที่จะนึกเอ็นดู กิริยาที่แสดงออกมาก็บ่งบอกว่าได้รับการอบรมมาอย่างดีจากปู่และย่า ภาณีนึกไม่ออกเลยว่าถ้าเป็นนางจะทำยังไงเมื่อคนที่ทำให้ปู่อันเป็นที่รัก ต้องจากไปมานั่งอยู่ตรงหน้า นางจะเก็บอาการได้ครึ่งหนึ่งของเด็กคนนี้หรือไม่ ภาณีรู้สึกนับถือน้ำใจเด็กคนนี้ขึ้นมามากทีเดียว
“เต้...พาธีร์มานี่สิ”ภาณีเรียกเต้ด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดแต่ไม่แข็งกระด้าง
“คุณยายอิ่มคะ...นี่คือลูกชายดิฉัน...คนที่ขับรถชนคุณตาอินเสียชีวิต...”ภาณีแนะนำ พลางส่งสายตาให้ธีร์นั่งลงกับพื้นหน้าเก้าอี้ที่ยายอิ่มนั่งอยู่ ธีร์ทำตามอย่างง่ายดาย เขาไม่ใช่คนดื้อด้านอะไร
“ธีร์กราบขอโทษคุณยายอิ่มสิลูก...”ธีร์คุกเข่าก้มลงกราบแทบเท้ายายอิ่ม ก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมาอีก
“ธีร์กราบขอโทษคุณยายด้วยนะครับ...ความผิดครั้งนี้ธีร์ขอรับผิดชอบเองทั้งหมด...ไม่ว่าจะต้องชดใช้ด้วยอะไรก็ตาม...” ธีร์น้ำตาไหลออกมาอีก เต้ส่งผ้าเช็ดหน้าให้ซับน้ำตา
“ไม่เป็นไรลูก...มันเป็นอุบัติเหตุ...มันเป็นเวรเป็นกรรม...เอ็งไม่ได้ตั้งใจ...ยายรู้...ไม่ต้องร้องไห้”เพียงแค่คำปลอบโยนเล็กน้อยจากยายอิ่มเท่านั้น ทำให้ธีร์ต้องก้มลงกราบแทบเท้าอีกครั้ง...พร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาอีก ภาณีเองก็พยายามกลั้นน้ำตาด้วยความรู้สึกเต็มตื้น ที่ครอบครัวหนึ่งต้องมาประสบความลำบากในความสูญเสียเสาหลักของครอบครัวไปแต่ไม่ได้นึกโกรธหรืออาฆาตแค้นอะไรเลย

          แต่ถ้าใครสังเกตสักนิด...ในแววตาของเด็กน้อยที่เป็นหลานชายคนเดียวของตาอิน...แววตาซุกซนและใฝ่รู้นั้น...มีสิ่งหนึ่งที่เด็กน้อยซ่อนมันเอาไว้ได้อย่างแนบเนียน...เนียนเสียจนกระทั่งเจ้าตัวยังไม่รู้สึกเลย

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 2=
เริ่มหัวข้อโดย: ifwedo ที่ 10-08-2009 05:42:39
ม่ายฌผล่มาก็เศร้าเลยยย :m15:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 2=
เริ่มหัวข้อโดย: หอยทาก ที่ 10-08-2009 08:14:24
ง่ะ ยังไงล่ะทีนี้
ซ่อนอะไรไว้ตาหนุ่ย = =
แค้น หรือ รัก >w<
เอิ้กๆ มาต่อเร็วๆนะคร้าบบบบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 2=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 10-08-2009 11:10:45
แววตาที่ซ่อนไว้

คือไรเอ่ย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 2=
เริ่มหัวข้อโดย: hene2526 ที่ 10-08-2009 12:58:04
ทำไมเลือก ระโนด เป็นที่เดินเรื่องเหรอครับ

ทำไมถึงให้ธีร์เป็นผู้แทนยาหล่ะครับ

ช่วยตอบหน่อยนะครับ...

แล้วจะติดตามผลงานนะครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 2=
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 10-08-2009 13:05:59


เหตุเกิดบนถนนสาย  นครศรีฯ - สงขลา

ช่วง  หัวไทร  ระโนด  ถนนสองเลน  อิอิอิ   ข้ามเลน้อยจากระโนดไป  พัทลุง  อ้าย  บ้านใครหว่า?

นิดนึงครับ . . .

เครื่องบินโบอิ้ง 737-200 ลำมหึมา

. . . เครื่องรุ่นนี้  ไม่มีบินในรูท  DOM  เมืองไทยนะครับผม  แล้ว 737 - 200  ลำมันจิ้ดดดดดดดดด  เดียวเองครับ  เมื่อก่อนภูเก็ตแอร์เคยเอามาบิน  คาดว่า  ลำมหึมา  น่าจะ . . .

. . .น่าจะเป็น 777 - 200   ในบางเวลา  ทีจีเอามาบินแทน  AB6  รูท  หาดใหญ่ครับ

ตามมาอ่านต่อ  ชอบเรื่องเกิดที่บ้านนอก 

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> ==
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 10-08-2009 13:35:32
น่าสนใจจังเลยเรื่องนี้



อยากรู้จัง   คนแต่งเรื่องนี้อะ  เปนคนระโนดใช่ป่าว




ได้บรรยากาศชนบทดีจริง ๆ




 :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 2=
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 10-08-2009 19:38:55
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 2=
เริ่มหัวข้อโดย: 0nePiece ที่ 10-08-2009 21:55:49
เป็นกำลังใจให้ ครับ

+1ให้  แล้วคนแต่งเป็นคนในพื้นที่ป่ะครับ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 2=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 10-08-2009 22:23:23
 :z2: :z2: :z2:
มาเป็นกำลังใจให้คนเขียนด้วยคน อิๆสู้ๆ
เรื่องแนวๆนี้มีน้อย เลยยิ่งทำให้งานที่ออกมายิ่งน่าอ่าน และน่าติดตาม
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 2=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 11-08-2009 03:15:58
ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจค่ะ  ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ

สำหรับคำถาม เดี๋ยวเราก๊อปส่งไปให้นายต้นนะคะ   ขอบคุณมากค่ะ    :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 2=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 11-08-2009 03:23:34
๓ เขาหลัก

          นอกจากเงินห้าหมื่นบาทที่ภาณีให้กับยายอิ่มไว้เป็นค่าทำศพเบื้องต้นแล้ว ข้อตกลงที่ไม่มีใครรู้เลยก็คือ เมื่อใดก็ตามที่ยายอิ่มร้องขอ ธีร์และภาณีต้องรับผิดชอบการดูแล “หนุ่ย”ต่อจากยายอิ่ม เพราะสิ่งเดียวที่ยายอิ่มคุยให้ภาณีฟังก็คือ ความต้องการของตาอินที่อยากให้หลานคนเดียวเรียนให้สูงที่สุด และหนุ่ยเองก็เป็นเด็กที่เรียนดี สอบได้ที่ ๑ ทุกเทอม เป็นหัวหน้าห้อง เป็นเด็กที่ทำกิจกรรมและเป็นที่รักของครูและเพื่อนๆตลอดมา ภาณีเองก็เต็มใจให้ความช่วยเหลือเพราะภาณีดูแล้วว่ายายอิ่มคงจะเลี้ยงดูหลานชายต่อไปได้อีกไม่นาน
          หลังจากเผาศพตาอินเรียบร้อยแล้ว ภาณีคุยกับตำรวจและยายอิ่มผู้เป็นภรรยา ยายอิ่มได้รับเงินส่วนหนึ่งตามข้อตกลงที่ประกันต้องจ่าย ภาณียังให้เงินสดกับยายอิ่มไว้เป็นเงินหนึ่งแสนบาท หนุ่ยเองก็ได้บวชเณรเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับตาอินผู้ล่วงลับอีกด้วย

          หลายปีผ่านไป...ยายอิ่มกังวลอยู่ว่าตัวนางเองจะอยู่ดูแลเด็กน้อยไปได้อีกนานแค่ไหน เพราะอาการเบาหวานที่กำเริบขึ้นทุกวัน บางทีนางมองอะไรพร่ามัวไปหมด ยาฉีดอินซูลินที่ต้องฉีดอยู่บ่อยๆก็ต้องไปรับจากโรงพยาบาลที่อำเภอ ตาอินก็จากไปแล้วนางจึงได้ยาบ้างไม่ได้บ้าง ทำให้อาการแย่ลงทุกวัน ยายอิ่มก็ต้องทนเพราะนางเองก็มีรูปร่างที่ใหญ่และอ้วนจึงไม่สามารถไปไหนมาไหนได้คล่องแคล่ว เรื่องเงินที่ได้รับมาหลายแสนยายอิ่มก็ได้แต่ฝากเอาไว้ในธนาคาร เบิกเอาแต่ดอกเบี้ยอันน้อยนิดมาใช้จ่าย เรื่องกินเรื่องอยู่นั้น ยายอิ่มไม่คิดว่าเป็นปัญหา เพราะเลี้ยงไก่ เลี้ยงปลาก็พอยาไส้ไปได้ ไม่ได้ใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยอะไร อีกอย่างหนุ่ยเองก็เป็นเด็กที่ประหยัด และพยายามหาทางช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการไปโรงเรียนด้วยการรับจ้างไปทั่ว ใครมีงานอะไรมาจ้างให้ทำ หนุ่ยไม่เคยเกี่ยงขอให้ได้เงินมาเถอะหนุ่ยเอาทั้งนั้น

“หนุ่ยเอ้ย...ปีนี้เรียนชั้นไหนแล้วล่ะ”ยายอิ่มถามเมื่อเห็นเด็กชายกำลังแต่งตัวไปเรียน
“ปีนี้ขึ้นม.๔แล้วครับย่า”หนุ่ยใส่รองเท้านักเรียนคู่เก่าแล้วเตรียมเป้ใส่หนังสือเรียนสะพายขึ้นหลัง
“เออ...ขยันเรียนเข้านะ”ยายอิ่มอวยพรหลานคนเดียว
“สวัสดีครับย่า...ผมไปโรงเรียนก่อนนะครับ...”หนุ่ยบอกยายอิ่มแล้วยกมือไหว้ เด็กหนุ่มยิ้มตาเป็นประกาย รูปร่างที่ใหญ่โตขึ้นตามวัย แต่ก็ดูใหญ่กว่าเด็กรุ่นเดียวกันมากมายนัก
“เร็วเหลือเกินตาอินเอ้ย...หลานเราเรียนจนม.๔แล้ว นี่ถ้าแกอยู่แกคงจะปลื้มน่าดูนะ...สามปีมานี่...ฉันแก่ลงไปเยอะเลย...ไม่รู้ว่าจะอยู่ดูแลไอ้หนุ่ยมันไปได้อีกนานแค่ไหน...”ยายอิ่มปาดน้ำตา พลางเอื้อมมือไปปัดหยากไย่ที่รูปถ่ายหลังโกศใส่กระดูกเบาๆ
          ยายอิ่มวิตกเอามากๆถึงอนาคตของหลานชายที่มันไม่รู้ตัวเอาเลยว่า ยายอิ่มผู้ที่เป็นหลักคนเดียวของบ้านมีอาการของโรคหัวใจเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง เสียงของหมอที่โรงพยาบาลประจำอำเภอยังคงก้องอยู่ในโสตประสาทของแกอยู่ทั้งคืน
“คุณยายต้องมารับยาให้ได้ตลอดนะครับ...อย่าขาดยาเด็ดขาด...เพราะว่าอาการที่เกี่ยวเนื่องกับโรคเบาหวานของยายตอนนี้ลุกลามไปจนคุณยายเป็นโรคหัวใจเพิ่มอีกโรคนึงแล้ว”หมอหนุ่มบอกกับยายอิ่ม
          ยายอิ่มกลับมาถึงบ้านก็เฝ้าแต่ทอดถอนใจ...กินไม่ได้...นอนไม่หลับ...จนวันหนึ่งยายอิ่มตัดสินใจติดรถผู้ใหญ่บ้านไปอำเภอ...เพื่อไปโทรศัพท์หาคุณภาณี...เบอร์โทรที่ให้ไว้ในกระดาษสีเกือบเหลือง ตัวเลขเลือนลงไปมากจนเกือบจะมองไม่เห็น ยายอิ่มไปค้นมาจากหิ้งใส่โกศตาอิน...ยายอิ่มเก็บกระดาษใบนั้นไว้ที่นั่นตลอดมา

          หลายวันต่อมายายอิ่มเรียกหลานชายคนเดียวมาคุยหลังจากที่ล้างจานและเก็บสำรับอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว
“หนุ่ยเอ้ย...เอ็งโตขึ้นจะทำงานอะไร”
“จบม.หกผมจะทำงานโรงงานแถวๆนี้แหละย่า” หนุ่ยตอบยายอิ่มด้วยดวงตาที่มุ่งมั่นและเต็มไปด้วยประกายวิบวับ แกสังเกตว่าปีนี้หนุ่ยโตขึ้นมากเป็นหนุ่มเกินวัย ไอ้ไข่ลูกผู้ใหญ่บ้านยังตัวไม่ใหญ่เท่าหลานแกเลย
“สมัยเอ็งเล็กๆ...ย่าเห็นเอ็งอยากจะเป็นตำรวจไม่ใช่เหรอลูก”ยายอิ่มลูบหัวเด็กหนุ่มที่ตอนนี้มานอนซุกอยู่ที่ตักแกด้วยความรักและเอ็นดู
“ครับ...แต่ถ้าผมจะไปเป็นตำรวจแล้วใครจะดูแลย่าล่ะ...ย่าไม่สบายด้วยอย่างนี้...ผมไปไหนไกลไม่ได้หรอกครับ...”หนุ่ยมองหน้าผู้เป็นย่าแล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้ เขารู้สึกว่าย่าแก่ลงไปมาก เดินเหินไม่คล่องแคล่วเหมือนก่อน บางทีเขาเห็นย่าเหนื่อยง่าย ทำอะไรนิดนึงก็ต้องนั่งพัก บ่อยครั้งย่าเหนื่อยขนาดที่นอนไม่ได้ต้องนั่งหลับ หนุ่ยเคยถามย่าว่าเป็นอะไร...แต่ย่าไม่เคยบอกสักที...
“เอ็งมันก็เป็นซะอย่างนี้...ถ้าปู่เอ็งรู้ขึ้นมา...ย่าจะบอกปู่เอ็งว่ายังไงหึ...”ยายอิ่มพูดแล้วมองไปที่รูปตาอินบนหิ้ง
“โธ่ย่าครับ...ฟ้องปู่อย่างนี้...เดี๋ยวปู่มาเข้าฝันผมละแย่เลย”เด็กหนุ่มพูดติดตลก ทำเอาผู้เป็นย่าต้องหัวเราะไปด้วย ปกติบ้านนี้ไม่ค่อยจะมีเสียงหัวเราะเท่าไหร่นัก นับแต่การจากไปของตาอิน วันนี้เด็กหนุ่มทำให้ย่าของเขาหัวเราะออกมาได้...เขารู้สึกมีความสุขจริงๆ “อยากให้ย่ายิ้มแบบนี้ทุกวัน”หนุ่ยคิดในใจ
“ย่ามีอะไรรึเปล่าครับ...”หนุ่ยเห็นยายอิ่มเหม่อมองไปที่รูปตาอินสักพัก
“เอ้อ...หนุ่ยเอ้ย...ย่าน่ะอยากให้เอ็งได้เรียนสูงๆ...เป็นเจ้าคนนายคน...อยากให้เอ็งทำความฝันของปู่ให้เป็นจริง”ยายอิ่มพูดพลางดึงชายพกเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่มันเอ่อออกมา
“ปู่ฝันอยากให้ผมเป็นอะไรเหรอย่า”หนุ่ยถาม
“ปู่เอ็งอยากให้เอ็งได้เรียนสูงๆ...จะได้ไม่ลำบากเหมือนปู่กับย่า”ยายอิ่มเอามือลูบผมหลานชายด้วยความรัก หนุ่ยกุมมือยายอิ่มมาแนบแก้มแล้วหอมเบาๆก่อนจะพูดว่า
“ย่าครับ...ปู่เสียไปแล้วนะครับ...เราก็มีกันอยู่แค่สองคนเท่านั้น...ถ้าผมไปเรียนแล้วใครจะคอยดูแลย่าล่ะครับ... ย่าไม่ต้องกลัวนะ...ถึงแม้เราจะไม่รวย...แต่ผมก็จะไม่ทำให้ย่าอดตาย...ให้ผมอยู่กับย่าไปเรื่อยๆอย่างนี้นะครับ”หนุ่ยพูดด้วยความรู้สึกว่าชีวิตนี้มีเขากับย่าแค่สองคนเท่านั้น...
“ย่าน่ะอายุมากแล้ว...จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้...แต่อนาคตเอ็งมันอีกยาวไกล...ถ้าสิ้นย่าไปแล้วเอ็งต้องทำให้ฝันของปู่เอ็งเป็นจริงนะลูก...เงินที่มีอยู่นั้นเอาไปใช้เรียนหนังสือ...แล้วก็จงเป็นคนดี...กตัญญูรู้คุณคน”ยายอิ่มน้ำตาไหล...นึกเวทนาหลานชายของแกจริงๆหนุ่ยนอนฟังอย่างตั้งใจแต่ก็แปลกใจอยู่ที่ย่าพูดแบบนี้ทั้งๆที่ตลอดมาย่าไม่เคยพูดอะไรที่เป็นลางอย่างนี้เลย...มันทำให้หนุ่ยน้ำตาไหลออกมาแต่ก็พยายามไม่ให้ย่าเห็น...หนุ่มแอบปาดน้ำตาแล้วสูดน้ำมูกเบาๆ
“เป็นหวัดเหรอลูก”ยายอิ่มถามหลานชายด้วยความห่วงใย
“ไปพักผ่อนไป...พรุ่งนี้ต้องไปเรียนไม่ใช่รึ”ยายอิ่มดันหัวหลานชายให้ลุกขึ้นนั่งแต่หนุ่ยยังไม่ยอมหันมากอดยายอิ่ม แล้วปล่อยโฮออกมาจนยายอิ่มตกใจ
“ไม่ต้องร้องไห้นะลูก...ลูกผู้ชายน่ะเค้าไม่ร้องไห้กันหรอกนะ...เอ็งต้องเข้มแข็ง...”ยายอิ่มกอดหลานชายไว้ด้วยความเป็นห่วงพลางนึกในใจ “ถ้าคุณภาณีรักและสงสารมันสักครึ่งนึงของเรา...คงจะเป็นบุญของหนุ่ยมัน”


          วันหนึ่งยายอิ่มถูกชาวบ้านพาส่งโรงพยาบาลด้วยอาการหมดสติ เด็กหนุ่มรีบมาที่โรงพยาบาลเพื่อดูอาการของย่า เด็กหนุ่มสอบเสร็จวิชาสุดท้ายพอดี เขาเรียนจบชั้นม.๔แล้ว
“ย่าเป็นยังไงบ้างครับ”เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนเขย่าแขนยายอิ่มที่นอนนิ่ง
“..........”เงียบไม่มีเสียงตอบ มือยายอิ่มกำกระดาษสีหม่นๆยับยู่ยี่ แกพยายามจะยัดใส่มือหลานชายแล้วทำปาก เหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่เครื่องช่วยหายใจครอบปากอยู่จึงได้แต่ทำปากพะงาบๆ หนุ่ยรับเอากระดาษยับยู่ยี่อันนั้นเอามาถือไว้ในมือ
          เด็กหนุ่มมองรอบๆเตียง เครื่องมือช่วยชีวิตทั้งสายยาง สายน้ำเกลือระโยงระยางเต็มไปหมด สักพักเสียงเครื่องวัดชีพจรและการเต้นของหัวใจดังยาวๆขึ้นมา พยาบาลรีบเข้ามาดูอาการพร้อมทั้งฉีดยากระตุ้นหัวใจให้ยายอิ่ม เด็กหนุ่มถูกกันออกมา ผ้าม่านถูกปิด หมอวิ่งเข้ามาดูอาการเสียงโกลาหลวุ่นวายเกิดขึ้นในห้องฉุกเฉิน ของโรงพยาบาลเล็กๆประจำอำเภอ...เด็กหนุ่มหมดแรงนั่งลงกับพื้น...สงสารย่าอย่างที่สุด น้ำตาไหลอาบแก้มสะอึกสะอื้นเป็นที่น่าเวทนากับผู้พบเห็น เขาไม่รู้จะหันไปหาใครเพราะ “ย่า”ที่พึ่งสุดท้ายในชีวิตเขากำลังยื้อชีวิตกับมัจจุราชอยู่

          ตั้งแต่ยังจำความได้ปู่และย่าเลี้ยงหนุ่ยมาตลอด ที่บ้านหลังเล็กๆที่อยู่กันเพียงสามคนเท่านั้น นานๆครั้งพ่อของหนุ่ยจะกลับมาบ้านสักทีหนึ่ง ด้วยระยะทางที่ไกลกันมาก ต้องเดินทางทั้งคืนกว่าจะมาถึง พ่อจึงไม่ได้มาบ่อยๆ แต่ละครั้งที่พ่อมา พ่อจะซื้อของเล่นติดมือมาเสมอ เป็นที่ถูกใจเด็กน้อยยิ่งนัก หนุ่ยรักพ่อมากกว่าใครๆ ถึงพ่อจะไม่ค่อยพูด...แต่หนุ่ยก็รู้ว่าพ่อเป็นคนใจดี ส่วนแม่นั้นหนุ่ยไม่เคยรับรู้เลยว่าอยู่ที่ไหน ไม่มีใครพูดถึงเลย ฤดูหนาววันหนึ่งมีข่าวในโทรทัศน์เรื่องคลื่นยักษ์ หนุ่ยไม่รู้หรอกว่ามันเป็นยังไง หนุ่ยยังคงเล่นกับไอ้ไข่ไม่ได้สนใจเสียงพูดคุยอย่างตระหนกตกใจกันของผู้ใหญ่ แต่วันนั้นเมื่อกลับบ้านไปก็เห็นปู่ย่านั่งร้องไห้กันสองคน เหมือนมีเรื่องทุกข์ใจใหญ่หลวง ย่าเอาหนุ่ยเข้ามากอดแล้วบอกกับหนุ่ยให้ไปอาบน้ำกินข้าวซะ...หนุ่ยก็ทำตามอย่างว่าง่าย เด็กน้อยไม่รู้หรอกว่าพ่อที่ใจดีของเขานั้นถูกคลื่นยักษ์ในข่าวคร่าชีวิตไปแล้ว...ไม่ใช่หนุ่ยหรอกนะที่ไม่รู้..แม้แต่ปู่กับย่าก็ยังไม่รู้แม้ชะตากรรมของลูกชายคนเดียวอีกเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 3=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 11-08-2009 03:38:56
เรื่องมันจะดำเนินไปแนวทางใดกันนะ ถ้าหากว่ายายอิ่มไม่อยู่แล้ว
ไม่อยากคาดเดา
รออ่านต่อนะคะ
บวก 1 แต้ม ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 3=
เริ่มหัวข้อโดย: ifwedo ที่ 11-08-2009 03:59:29
เศร้าได้อีกมากมาย :sad11: :monkeysad: :m15:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 3=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 11-08-2009 12:10:09
หนุ่ยน่าสงสารอะ

คนดีๆมักไปไวเนอะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 3=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 11-08-2009 14:29:33
 :m15:   :m15:



เรื่องราวเพิ่มเริ่มต้น ก้อเศร้ามาตลอดเลย



 :z2:   :z2:



จะรอตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 3=
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 11-08-2009 14:46:39


เศษกระดาษที่ยายใส่ในมือหนุ่ย . . .

. . . อาจจะ

อาจจะเป็นตัวเชื่อมไปถึงคุณภาณี  แม่ของธีร์

แล้วหนุ่ยก็เข้าไปอยู่ที่บ้านธีร์  (ยายแกขอคุณภาณีเอาไว้แล้วนี่หว่า  ตอนคุณภาณีมาช่วยงานศพสามีแก)   โดยที่เขาพกพาความแค้นในหัวอกเพราะธีร์คือคนทำให้ปู่ต้องตาย  แล้วหลังจากนั้นจึงเกิด "รักในรอยแค้น"

หนุ่ยพยายามแก้แค้นธีร์  แต่  ตัวเอง  ยิ่งทำร้ายธีร์  ยิ่งเจ็บปวดหัวใจตัวเองดี

ปล.  อ่านไป มันนึกต่อแบบนี้อ่ะคร๊าบบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 3=
เริ่มหัวข้อโดย: g[a]de ที่ 11-08-2009 15:30:42
เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 3=
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 11-08-2009 21:56:23
 :a5: :a5: :a5: :a5: :a5: :a5: :a5: :a5: :a5: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:



สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ น่ะ ครับบบบบ



เปนกำลังใจไห้ ครับบ

 :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 3=
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 11-08-2009 23:35:02
ได้อ่านเรื่องนี้จากอีกบอร์ดหนึ่งเหมือนกัน ถึงตอนที่ 1x ละ เนื้อเรื่องน่าติดตามมากๆเลย

เป็นกำลังใจให้ครับ  :3123:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 3=
เริ่มหัวข้อโดย: หอยทาก ที่ 12-08-2009 00:00:21
เมื่อไหร่ถึงจะมีความสุขเสียที
แง๊ >< ยิ่งอ่านยิ่งเศร้า
 :sad4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 3=
เริ่มหัวข้อโดย: hene2526 ที่ 12-08-2009 00:12:20
ต่อด่วนนะครั้าบบบบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 3=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 12-08-2009 00:21:42
 :m15:
เศร้าคำเดียวเลยสำหรับตอนนี้
อ่านแล้วมันอึ้งๆอะ แล้วจะรออ่านต่อน๊า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 4=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 12-08-2009 05:12:46
๔ หัวลำโพง

          ยายอิ่มจากหลานชายคนเดียวไปอย่างไม่มีวันกลับ นำความเศร้าโสกเสียใจมาให้เด็กหนุ่มยิ่งนัก หนุ่ยได้รับความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่บ้านและเพื่อนบ้านรับศพยายอิ่มกลับไปบำเพ็ญกุศลที่วัดเดียวในหมู่บ้าน วัดเดียวกับที่ทำศพตาอิน ก่อนจะออกจากโรงพยาบาลมีพี่พยาบาลคนนึงวิ่งตามหนุ่ยออกมาแล้วเรียกให้หนุ่ยกลับเข้ามาคุยกันก่อน
“น้องได้กระดาษในมือยายไปแล้วใช่มั๊ย”พยาบาลพูดเบาๆด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา
“เอ่อ...”หนุ่ยกำลังงงกับคำถามที่ยังนึกไม่ออกว่ากระดาษอะไร...เขายังทำใจไม่ได้กับการจากไปของย่า
“กระดาษที่ยายอิ่มถืออยู่ในมือน่ะน้อง...แกไม่ยอมให้ใคร...บอกแต่จะเอาให้หลานชาย...ก็คือน้องใช่มั๊ยล่ะ”
“อ๋อครับ...”หนุ่ยนึกขึ้นมาได้ว่าย่าพยายามยัดกระดาษเหลืองๆใส่มือเขาให้ได้ จนป่านนี้เขายังไม่รู้เลยว่ากระดาษนั้นมีข้อความอะไร หนุ่ยควักกระดาษออกมาจากกระเป๋าเสื้อช้าๆ สีเหลืองหม่นบ่งบอกถึงการเก็บมาเป็นเวลานาน ตัวหนังสือซีดจางลงมากแต่ยังอ่านได้อยู่ว่า “ภาณี 081-XXX-XXXX”
“นั่นแหละ...ย่าเค้าสั่งพี่ไว้ก่อนจะเสียนะว่าให้เราน่ะโทรหาเบอร์นี้...ให้ได้...ยังไงต้องโทรหาให้ได้”พยาบาลบอกเท่านี้ก็ควักเงินออกมาใส่ซองแล้วยื่นให้
“อ่ะน้องรับนี่ไปด้วยนะ...พี่ช่วยทำบุญด้วย”พยาบาลผู้เปี่ยมด้วยเมตตาพูดเบาๆแล้วกำชับอีกครั้งว่า
“โทรหาเบอร์นี้ด้วยนะ...ย่าเราน่ะเค้าฝากไว้จริงๆ...”

          งานศพของยายอิ่มจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายและรวดเร็ว สวดเพียง ๓ คืนแล้วก็เผาเลย ญาติโกโหติกาที่ไหนก็ไม่มี หนุ่ยต้องทำเองทั้งหมด ดีที่มีเพื่อนๆมาช่วยงานกันทุกคืนทำให้คลายเหงาไปได้บ้าง ในวันสุดท้ายหลังจากที่เผาศพยายอิ่มเรียบร้อย หนุ่ยมานั่งร้องไห้คนเดียวที่หน้าบันไดบ้าน สงสารย่าที่ต้องเจ็บปวด...เขาไม่รู้หรอกว่าความเจ็บปวดแค่ไหนถึงจะทำให้คนเราตายลงไปได้ หนุ่ยคิดถึงปู่ ปู่ที่จากเขาและย่าไปเมื่อ ๓ ปีก่อน ป่านนี้ท่านทั้งสองคงจะได้พบกันอยู่บนฟากฟ้า “ปู่ครับ...ย่าครับ...มองลงมาที่ผมบ้างนะครับ...ผมอยู่คนเดียว...ผมไม่เหลือใครแล้ว” เด็กหนุ่มสะอื้นไห้เบาๆ น้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม สงสารชีวิตตัวเองที่มันอ้างว้างเหลือเกิน หันไปทางไหนก็ไม่มีใคร อนาคตเป็นยังไงเด็กหนุ่มยังไม่รู้เอาซะเลย
          หนุ่ยมองขึ้นไปบนฟ้า “ปู่ครับ...ย่าครับ...ชีวิตผมจะต้องเดินต่อไป...ผมจะทำให้ได้ตามที่ปู่ฝันเอาไว้...ปู่กับย่าเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ”เด็กหนุ่มปาดน้ำตาทิ้งอีกครั้ง ดวงตากลมโตกลับมาเป็นประกายเหมือนเดิม...แววตาแห่งความมุ่งมั่น ใฝ่รู้และซุกซน
          รุ่งเช้าเด็กหนุ่มเข้าไปในอำเภอ เข้าไปถอนเงินที่ธนาคาร หนุ่ยตั้งใจแล้วหลังจากที่นอนคิดมาทั้งคืน เขาจะจัดการเรื่องทางนี้ให้เรียบร้อย จัดสร้างเจดีย์เพื่อเก็บกระดูกปู่กับย่าไว้ด้วยกันที่วัด ส่วนบ้านที่เขาอยู่นั้นปิดเอาไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยมาจัดการ เมื่อวานนี้บอกไอ้ไข่ไว้แล้วว่าว่างๆให้มาดูแลบ้านตัดหญ้าถางหญ้าให้เขาบ้าง ส่วนตัวเขานั้นจะไปทำความฝันของปู่ให้เป็นความจริง....เขาจะเข้ากรุงเทพฯ...

          สถานีรถไฟหาดใหญ่บนขบวนรถไฟยะลา-กรุงเทพฯ หนุ่ยนั่งเหม่อมองออกไปข้างนอกรถ รู้สึกใจหายอยู่เหมือนกันที่จะต้องจากบ้านเกิดเมืองนอน เขาไม่เคยเดินทางมากรุงเทพฯมาก่อนเลยในชีวิต ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของเขา หนุ่ยนั่งคิดถึงคำพูดของคุณภาณีที่ดังอยู่ในหู น้ำเสียงที่เฉียบขาดแต่แฝงไว้ด้วยความใจดี
“พรุ่งนี้เช้าป้าจะให้คนขับรถไปรับที่หัวลำโพง”
“ขอบคุณครับ...แต่ไม่ต้องก็ได้ครับ...ผมไปหาคุณภาณีเองก็ได้ครับ...ผมเกรงใจ”หนุ่ยบอกอย่างเจียมตัว
“...เธอจะมาถูกได้ยังไง...เข้ากรุงเทพฯครั้งแรกไม่ใช่เหรอ...กรุงเทพฯนะ...ไม่ใช่หาดใหญ่”ภาณีบอกอย่างรำคาญเพราะงานค่อนข้างจะยุ่งนั่นเอง
“ครับๆ...”หนุ่ยรับคำอย่างเกรงใจ ตัวใหญ่ๆลีบลงเกือบจะแทรกลงไปในหูโทรศัพท์ได้เลยทีเดียว

          ค่ำคืนของการเดินทาง หนุ่ยหลับไม่ลง คืนนี้ไม่มีเสียงหรีดหริ่งเรไรมาขับกล่อมประโคมเหมือนเดิม มีแต่เสียงกระฉึกกระฉักของรถไฟดังหนวกหู ความเมื่อยขบน่ะไม่เท่าไหร่เพราะความที่ยังหนุ่มแน่น

          รถไฟมาถึงหัวลำโพงเกือบเที่ยง ช้ากว่ากำหนดตามมาตรฐานรถไฟไทย หนุ่ยเดินไปหาตู้โทรศัพท์เพื่อโทรฯหาคนขับรถที่มารอรับตามเบอร์ที่ภาณีให้ไว้ หนุ่ยได้พบลุงสดคนขับรถ ลุงสดอายุประมาณ ๕๐ปีมารอรับอยู่ที่จุดนัดพบ ลุงสดขับรถไปส่งหนุ่ยที่บ้านภาณีระหว่างทางไปบ้านช่างตื่นตาตื่นใจเด็กหนุ่มเหลือเกิน กรุงเทพฯเมืองใหญ่ที่มีแต่รถรา และผู้คนมากมาย เขาเคยเห็นแต่ในรูปและในเวปไซต์ในอินเตอร์เนตที่โรงเรียน มาเจอของจริงวันนี้เขาจึงรู้สึกตื่นเต้นเอามากๆ นั่นรถไฟลอยฟ้ามันใหญ่โตมโหฬารจริงๆ นี่ถ้าได้กลับไปบ้านจะไปเล่าให้ไอ้ไข่เพื่อนรักฟัง บ้านคุณภาณีอยู่แถวๆเพลินจิต เมื่อมาถึงบ้าน“ป้าจิต”แม่บ้านวัย ๔๕ ซึ่งเป็นภรรยาลุงสดได้เตรียมห้องไว้ให้หนุ่ยในปีกด้านหลังบ้าน ห้องเล็กๆมีห้องน้ำในตัว บ้านหลังนี้ใหญ่โตมากๆถึงจะดูเก่าไปหน่อยแต่ก็น่าอยู่ไม่น้อย ดูร่มรื่นเพราะมีต้นไม้ใหญ่ๆมากมาย สะอาดและเป็นระเบียบ 
“คุณหนุ่ยนอนที่ห้องนี้ก่อนนะคะ...ห้องข้างบนคุณภาณีกำลังให้ช่างตกแต่งอยู่...อีกไม่นานก็เสร็จ...”ป้าจิตบอกอย่างใจดี คนที่นี่ดีกับเขาเหลือเกิน แค่วันแรกหนุ่ยก็สัมผัสได้
“ผมต้องช่วยทำอะไรบ้างครับป้า”หนุ่ยถามป้าจิตด้วยความนอบน้อม
“ไม่ต้องค่ะ...คุณภาณีสั่งไว้ว่า...ให้คุณหนุ่ยพักผ่อนก่อน”ป้าจิตพูดเสร็จแล้วก็ออกไป
“ขาดเหลืออะไรเรียกป้านะคะ”ป้าจิตหันมาพูดแล้วยิ้มให้เด็กหนุ่มอย่างเอ็นดู
“ขอบคุณครับป้า”หนุ่ยกำลังจะยกมือไหว้
“อุ๊ย...ไม่ต้องไหว้ค่ะ...เจ้านายจะไหว้คนรับใช้ไม่ได้นะคะ”ป้าจิตรีบกลับมาจับมือหนุ่ยไว้ไม่ให้ไหว้
“เอ่อครับ...”หนุ่ยเกาหัวอย่างเขินๆ

          หนุ่ยปลดเป้เดินทางใบใหญ่ลงวางที่พื้น แล้วทรุดตัวลงนั่ง เอนหลังพิงเตียงไม้ที่วางอยู่มุมห้อง เขากวาดตาไปรอบๆห้อง แค่นี้ก็ดีถมเถไปแล้วสำหรับเขา “นี่คุณภาณีจะให้ไปนอนบนตึกอีกหรือ” เด็กหนุ่มถอดเสื้อยืดตัวเล็กๆพาดไว้กับราวตากผ้าในห้อง ใบหน้าอิดโรยเล็กน้อย จมูกโด่ง ตากลมโต ผมทรงนักเรียนที่เริ่มยาวออกมาแล้ว นี่ถ้าอยู่ที่โรงเรียนเก่ามีหวังถูกอาจารย์สั่งให้ไปตัดแล้ว เพราะว่าตามระเบียบจะไว้ยาวอย่างนี้ไม่ได้ แต่นี่เขาบอกอาจารย์ที่ปรึกษาก่อนมาอยู่ที่นี่ว่า จะขอลาออกมาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ อาจารย์ยังถามอยู่ว่าจะไปกินไปอยู่ยังไง...เขาไม่ตอบได้แต่ยิ้ม
          หนุ่ยมองไปที่หน้าท้องเป็นลอนแกร่ง เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อพองามของตัวเองแล้วลูบไล้ไปมา ไรขนที่หน้าท้องเริ่มมากกว่าเมื่อก่อน มันทำให้เขารู้สึกว่าเขาเริ่มโตเป็นหนุ่มแล้ว มันลามออกมาจากขอบกางเกงยีนส์ที่ใส่อยู่ อีกทั้งความรู้สึกบางอย่างที่มีมากขึ้น มันไม่เหมือนเดิม เวลาที่เขาคุยกับเพื่อนผู้หญิงบางคนที่รู้สึกพึงใจ เขาจะรู้สึกแปลกๆ มันเขินๆยังไงไม่รู้ บางทีหน้าแดงซ่านออกมาโดยไม่รู้ตัวจนเพื่อนแซวบ่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อเขาคุยกับ “แต้ว”เพื่อนหญิงที่สนิทที่สุดของเขา หนุ่ยคิดถึงแต้วขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต้วลูกสาวของอาจารย์วิชัย แต้วเรียนเก่งมาก แต่ก็ไม่เท่าเขา แต้วชอบมาคุยกับเขาเรื่องเรียนบ่อยๆ โดยเฉพาะวิชาที่เธอไม่ถนัด เขาสอนและติวให้แต้วอยู่เสมอ...จนทำให้สามารถเข้าออกบ้านแต้วได้อย่างสนิทสนม อาจารย์วิชัยพ่อของแต้วก็ดูจะพอใจด้วยซ้ำเมื่อเห็นเด็กทั้งสองหรือมีเพื่อนคนอื่นๆมารวมกลุ่มกันอ่านหนังสือ หนุ่ยหยิบกระดาษเขียนจดหมายออกมาจากเป้ เขาเตรียมซองและแสตมป์มาจากบ้านด้วยกลัวว่าจะหาซื้อที่กรุงเทพฯลำบาก หนุ่ยจรดปากกาเขียนจดหมายถึงแต้ว อยากจะบอกว่าเขาถึงกรุงเทพฯแล้วไม่ต้องห่วง
...........................

          หนุ่ยสะดุ้งตื่นเมื่อมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นถี่ๆ พร้อมกับร้องเรียกชื่อเขาดังลั่นไปหมด หนุ่ยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ จดหมายถึงแต้วที่เขากำลังเขียนอยู่นั้นเขียนไปได้ครึ่งหน้า หนุ่ยรีบกระโดดไปเปิดประตูห้องทันที
“ครับป้าจิต...”หนุ่ยยืนแคะขี้ตาพลางหาวเล็กๆ
“หลับอยู่หรือคะ...”
“เผลอไปหน่อยครับ...สงสัยเมื่อคืนนี้ผมนอนไม่หลับ”หนุ่ยบอกแม่บ้าน
“คุณธีร์เรียกให้ไปพบค่ะ”ป้าจิตบอกเสียงตื่นเต้นดูเหมือนทุกคนจะเกรงชื่อนี้เป็นพิเศษ แต่หนุ่ยยังจำได้ไม่ลืมว่า “ธีร์”ชื่อนี้เองที่ทำให้ปู่ต้องจากเขาและย่าไป ชื่อนี้เองที่ทำให้เขาต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนมาไกลขนาดนี้ ถ้าไม่มีคนๆนี้เขาคงจะไม่ต้องลำบากขนาดนี้...
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 4=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 12-08-2009 05:40:54
หนุ่ยแค้นธีร์อยู่ในใจนี่นะ
แบบนี้จะมีการแก้แค้นกันเกิดขึ้นหรือเปล่า
บวก 1 แต้ม รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 4=
เริ่มหัวข้อโดย: hene2526 ที่ 12-08-2009 12:05:10
เอาอีกครับ...ยังวไม่สาแก่ใจเลยครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 4=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 12-08-2009 12:27:59
มารอตอนต่อไปเช่นกันจ้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 4=
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 12-08-2009 15:00:45
+เป็นกำลังใจให้ครับ+
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 4=
เริ่มหัวข้อโดย: ifwedo ที่ 12-08-2009 15:05:19
เอาอีกๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 4=
เริ่มหัวข้อโดย: 0nePiece ที่ 12-08-2009 16:14:07
มาเป็นกำลังใจให้ครับ
แล้วความแค้นที่ฝังใจ จะเปลี่ยนเป็นรูปแบบใหนกันนะ
  รอติดตาม ตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 4=
เริ่มหัวข้อโดย: nithiwz ที่ 12-08-2009 16:16:16
 o22 เปิดมาก็ดราม่าซะแล้ว  อ๊ากกกกกกกกกกก
รออ่านต่อไป เหอะๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 4=
เริ่มหัวข้อโดย: หอยทาก ที่ 12-08-2009 19:46:10
เอิ้กๆ แล้วจะเป็นยังไงต่อไปล่ะนี่
ธีร์เรียกมาทำอะร้าย
อยากจะรู้จริงๆเยย
มาต่อไวๆนะคร้าบบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 4=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 13-08-2009 01:42:12
 :z2: :z2: :z2:
มาเรื่อยๆ แบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป น่า+1คะแนนให้จริงแต่ยังบวกไม่ได้
อ่านแล้วชวนให้ติดตามต่อนะ ภาษาดึงดูดดีแล้วจะรออ่านต่อคราบบบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 4=
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 13-08-2009 02:19:29
แค้นมันฝังใจ


สงสัยธีร์จะโดนแก้แค้นแน่งานนี้
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 4=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 13-08-2009 04:05:13
 :z13:


คนแต่งนะคับ




+1 ให้ด้วยเลย




 o18  แค้นฝังใจ จะกลายเป็นอย่างอื่นหรือป่าวนะ






 :z2:    :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 4=
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 13-08-2009 06:56:57
อ่านเม้นท์ของแต่ละคนแล้ว ไม่อยากจะคิดเล้ย... ว่าถ้าอ่านตอนต่อๆไปแล้วจะรู้สึกยังไง หุ หุ หุ


ปล.รู้ดี เพราะตอนอ่านครั้งแรก ก็คิดแบบที่หลายๆคนคิดเหมือนกัน  :oni2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 4=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 13-08-2009 09:43:31
๕ เพลินจิต

“คุณหนุ่ยอาบน้ำอาบท่าก่อนก็ได้นะคะ...ขึ้นไปสภาพนี้มีหวังคุณธีร์ตะเพิดแน่ๆ”ป้าจิตพูดเบาๆเหมือนกลัวใครมาได้ยิน
“ครับป้า...”หนุ่ยเข้าห้องปิดประตูแล้วค้นเป้เพื่อหาผ้าเช็ดตัวที่เตรียมมาด้วย แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ เป้ใส่เสื้อผ้าก็ใบเท่านี้เอง สงสัยจะลืมเอามาด้วย หนุ่ยนึกฉุนตัวเองที่ไม่เก็บของให้ดี ของสำคัญที่ต้องใช้ทุกวันก็ดันลืมเอามาด้วย “จะทำยังไงดีว้า...อาบน้ำมันทั้งอย่างนี้แหละ จะขออะไรป้าจิตก็เกรงใจเดี๋ยวจะหาว่าแค่นี้ก็ไม่รู้จักเตรียมมา” หนุ่ยคิดในใจ
          เด็กหนุ่มถอดกางเกงยีนส์ออกแล้วพาดไว้ที่ราวตากผ้า เผยให้เห็นผิวเนียนเรียบสีน้ำผึ้งใต้ร่มผ้า เอวคอดรับกับช่วงต้นขาที่แน่นหนัน กางเกงในสีเขียวราคาถูกๆที่หนุ่ยใช้มานานจนขอบยางยืดย้วยไปหมดถูกถอดตามออกไปพาดทับกางเกงยีนส์ไว้ “เดี๋ยวใส่อีกทีแล้วค่อยซักก็ได้”หนุ่ยบอกกับตัวเองแล้วเดินเปลือยกายเข้าห้องน้ำไป หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วเกิดปัญหาขึ้นมาละสิ จะเอาอะไรเช็ดตัว หนุ่ยเห็นเสื้อยืดที่ใส่เมื่อวาน ก็คว้าเอามาเช็ดตัวอย่างลวกๆแล้วก็หยิบกางเกงในมาใส่ก่อนจะสวมทับด้วยกางเกงยีนส์อีกชั้น หนุ่ยคุ้ยหาเสื้ออีกตัวมาใส่ลวกๆแล้วรีบวิ่งออกไปหาป้าจิต เพื่อให้ป้าจิตพาเข้าไปพบคุณธีร์

          วันนี้ “ธีร์”อายุล่วงเข้ายี่สิบแปดปี ปัจจุบันหน้าที่การงานของชายหนุ่มก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ธีร์มีตำแหน่งเป็นแบรนด์เมเนเจอร์ ของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางยี่ห้อดังของฝรั่งเศสและยังร่วมหุ้นกับเต้เปิดบริษัททัวร์อีกด้วย ธีร์ไม่ค่อยมีเวลามากนัก ฉะนั้นการที่ต้องมานั่งคอยเด็กบ้านนอกคนนึงอาบน้ำแต่งตัว จึงเป็นเหตุผลที่ไม่เข้าท่าในสายตาของธีร์นัก...เขาเริ่มหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ แต่นี่เป็นคำสั่งของคุณแม่เขาจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทำตาม...
“คุณธีร์คะ...คุณหนุ่ยมาแล้วค่ะ”ป้าจิตตัวลีบเล็กเมื่อเห็นธีร์ที่กำลังเริ่มเดินไปเดินมา
“ป้าจิตครับ...ผมไม่มีเวลาจะมานั่งคอยเด็กเล็กๆอาบน้ำแต่งตัว...หรอกนะ...งานผมเยอะแยะมากมาย...ไม่รู้จักเวล่ำเวลาเอาซะเลย”ธีร์ส่งเสียงเกรี้ยวกราดลั่นบ้าน ทำเอาป้าจิตตัวลีบลงไปอีก แต่ที่หน้าซีดกว่าคือ “หนุ่ย”ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ผมเปียกลู่ลงมาเพราะลืมเช็ด น้ำหยดติ๋งๆลงมาที่ใบหู หน้าตาที่บ่งบอกว่าเพิ่งตื่นนอน เสื้อที่ใส่ก็ยับย่นยู่ยี่ แต่ดวงหน้ายังคงสดใสตามวัย แววตาที่ซุกซนสลดลงเล็กน้อย หนุ่ยก้าวขึ้นมายืนข้างหน้าป้าจิตเพื่อไม่ให้คุณธีร์...ต่อว่าป้าจิตต่อไป...เพราะเขาเองเป็นคนผิด...ที่เผลอนอนหลับไป
“สวัสดีครับคุณธีร์”หนุ่ยยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“.........”ธีร์รับไหว้ด้วยอาการตะลึง เด็กน้อยที่เขาพูดถึงเมื่อกี้นี้คือเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า เด็กหนุ่มวัยเพียง ๑๖ ปี แต่พาความสูงเกือบ ๑๘๐ เซนติเมตร สูงเกือบเท่าเขาเลยทีเดียว เวลาเพียง ๔ ปีทำให้เด็กน้อยในวันนั้นเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงเพียงนี้ ดวงตากลมโต สีสนิมเหล็ก ส่งประกายมุ่งมั่นและซุกซน จมูกโด่งเป็นสัน ผิวพรรณสดใส เนียน ไร้สิวฝ้าของเด็กหนุ่มทำเอาธีร์ตะลึงงันอยู่พักหนึ่งเลยทีเดียว
“สวัสดีครับ...คุณ...ธีร์”หนุ่ยยกมือไหว้อีกครั้ง ธีร์รับไหว้แล้วนั่งลง ทำให้ป้าจิตนั่งลงที่พื้นตามด้วยหนุ่ยที่ยืนเก้ๆกังๆ เขาจึงตัดสินใจนั่งลงที่พื้นบ้านข้างๆป้าจิต
“เอ้า...ไปนั่งทำไมตรงนั้น...”ธีร์ตะคอกเสียงดังลั่น
“ขึ้นมานั่งตรงนี้สิ”ธีร์ชี้มาที่เก้าอี้รับแขกอีกตัว
“เอ่อ..ค...ครับ...”หนุ่ยตัวสั่น หน้าซีดเผือด
“เดี๋ยวชั้นจะพาเธอไปซื้อของใช้ส่วนตัว...และเสื้อผ้า”ธีร์ปรายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าเมื่อเห็นสภาพการแต่งตัวของเด็กหนุ่มจากบ้านนอก...ชายหนุ่มถอนหายใจ...
“ครับ...แต่...เอ่อ...ผม...”หนุ่ยตะกุกตะกักเล็กน้อย
“แต่อะไร...”ธีร์หันมาถามเสียงดังทำเอาหนุ่ยสะดุ้งเฮือก
“ผมไม่มีเงินครับ...”เด็กหนุ่มตอบพลางหลบตาลงต่ำ
“ชั้นบอกแล้วไงว่าจะพาไปซื้อ...นั่นก็หมายความว่า...ชั้นจะเป็นคนออกเงินทุกบาทให้เธอเอง”ธีร์พูดพลางลุกขึ้นเดินนำออกไป หนุ่ยรู้สึกกลัวและประหม่าจนไม่กล้าเดินตามออกไป ทำให้ชายหนุ่มต้องหันมาถามอีกครั้ง
“จะให้ชั้นอุ้มเธอไปคงไม่ไหวหรอกนะ”เสียงดังเด็ดขาดทำให้หนุ่ยสะดุ้งแล้วรีบวิ่งตามลงจากตึกไปทันที
         เด็กหนุ่มเดินตามมาถึงรถเก๋งบีเอ็มดับบลิว ซีรี่ 3 รุ่นใหม่ป้ายแดง ธีร์ขึ้นรถแล้วปิดประตูสตาร์ทเครื่อง เด็กหนุ่มเปิดประตูด้านหลังเข้าไปนั่งแต่สักพักก็ต้องรีบเปิดออกมาแล้วเปิดประตูด้านหน้าเข้าไปนั่งข้างคนขับทันที
“ชั้นไม่ใช่คนขับรถให้เธอ...จำไว้นะ...ทีหลังถ้านั่งรถกับชั้นแล้วไม่มีคุณแม่หรือคุณเต้นั่งหน้า...เธอต้องมานั่งคู่กับชั้นด้านหน้าเสมอ”หนุ่ยตัวสั่นด้วยความกลัวเป็นทวีคูณ อีกอย่างนึงตอนนี้ใจเขาสั่นหวิวๆด้วยความหิว เพราะตั้งแต่เช้าที่มีเพียงก๋วยเตี๋ยวห่อบนรถไฟเท่านั้นที่ตกถึงท้อง นี่มันก็ปาเข้าไปบ่ายสามโมงแล้วเขายังไม่ได้กินอะไรเลย “แต่จะบอกได้ยังไงว่าหิว...เขาต้องอดทน...ไม่ได้กินแค่นี้ไม่ตายหรอก”หนุ่ยนึกในใจ
“ทำไมน้า...พออยู่ต่อหน้าคุณธีร์แล้วเขากลับกลัวและประหม่าขนาดนี้”หนุ่ยคิดอยู่ในใจระหว่างที่นั่งรถไปห้างสรรพสินค้า
          ธีร์พาหนุ่ยไปซื้อของใช้ส่วนตัว ทุกอย่างทุกยี่ห้อ...ธีร์จะเป็นคนเลือกให้หนุ่ยทั้งนั้น อีกทั้งเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวทั้งหลาย ธีร์แปลงโฉมเด็กบ้านนอกด้วยเสื้อผ้า รองเท้าตามสมัยนิยม อย่างที่เด็กกรุงเทพฯคนหนึ่งๆจะมีได้ ที่ห้องลองเสื้อผ้ายี่ห้อหนึ่งที่ธีร์พาหนุ่ยเข้าไปซื้อสำหรับใส่ไปทานข้าวคืนนี้ ใช่เขานัดกับภาณีและเต้เอาไว้ที่ห้องอาหารหรูในโรงแรมชั้นนำแห่งหนึ่ง...เพื่อเป็นการเลี้ยงต้อนรับสมาชิกใหม่ของครอบครัว...เพราะนี่คือคำสั่งของภาณี

“เสร็จรึยัง...”ธีร์ถามเด็กหนุ่มที่อยู่ในห้องลองเสื้อ
“เอ่อ...เอาไซส์ L มั๊ยคะ...เสื้อรุ่นนี้ทำเล็กกว่าปกติค่ะ”พนักงานขายอธิบาย
“ครับ...”หนุ่ยส่งเสียงตอบออกมาธีร์พยักหน้าให้พนักงานขายไปเอาเสื้อไซส์ L มาลอง
“ไหนดูสิ...”ธีร์ถือวิสาสะเปิดม่านเข้าไปดู เห็นเด็กหนุ่มกำลังถอดเสื้อที่ลองอยู่ออก ผิวเนียนเรียบ กล้ามท้องเป็นลอน เนื้อตัวแน่นหนันด้วยมัดกล้าม ท่อนแขนและหัวไหล่ที่ผึ่งผาย ทำเอาชายหนุ่มอดที่จะมองไม่ได้
“มันคับไปหน่อยครับคุณธีร์...ผมใส่ไม่ได้”หนุ่ยบอกพลางถอดออกมา ธีร์มองไปที่ขอบกางเกงยีนส์ตัวเก่าที่หนุ่ยใส่อยู่ ชายหนุ่มเห็นขอบกางเกงในสีเขียวตัวเก่าที่ยางยืดมันย้วยเสียจนแทบจะหลุดอยู่แล้ว ชายหนุ่มนึกในใจ “ต้องเปลี่ยนกันใหม่ทั้งตัวเลยนะเนี่ย”
“น้องครับพี่ขอกางเกงในไซส์....”ธีร์ประเมินคร่าวๆว่า...หุ่นอย่างหนุ่ยน่าจะใส่ไซส์อะไร
“ไซส์ L ครับ...ขอสีขาวนะ”
“เอากี่ตัวค่ะคุณธีร์...”พนักงานขายถาม
“เอามาตัวนึงก่อน...จะเปลี่ยนเลย”ธีร์บอกพนักงานขายแล้วหันกลับมาที่เด็กหนุ่ม
“เอ่อ...ของเก่ามันก็ยังใส่ได้นี่ครับ”หนุ่ยบอกด้วยความเกรงใจ เขาไม่อยากให้ธีร์ต้องมาเปลืองเงินกับเรื่องส่วนตัวเล็กๆน้อยๆแบบนี้ แค่กางเกงใน ๒-๓ ตัว เขาหาซื้อได้อยู่แล้ว ถ้าแถวๆบ้านมีตลาดนัดที่เขาพอจะเดินไปเองได้
“เปลี่ยนให้หมด...กางเกงในสีๆแบบนี้อย่ามาใส่ให้ชั้นเห็นอีก...”ธีร์ดุเอาจนได้ เด็กหนุ่มได้แต่งงๆ กับแค่กางเกงใน ทำไมต้องให้มันวุ่นวาย เขาเองก็ใส่มาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ไม่เห็นปู่กับย่าจะต้องมาบอกเขาเลยสักครั้ง
“เอ้า...ถอดตัวเก่าใส่ถุงไว้แล้วจะได้ฝากเขาเอาไปทิ้ง...”ธีร์ชี้ไปที่ขอบกางเกงในสีเขียวย้วยๆตัวนั้น เด็กหนุ่มหน้าสลดลงไปอีกด้วยความเกรงใจ ธีร์รูดม่านปิดเพื่อให้เด็กหนุ่มจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะออกมาเลือกดูกางเกงตัวใหม่ให้หนุ่ยอีกสักตัว เพราะยี่ห้อที่ซื้อเมื่อกี้นี้มันไม่เหมาะกับสถานที่ที่จะไปเอาซะเลย หลังจากได้กางเกงแล้ว ธีร์เดินไปดูเสื้อเชิ้ตอีกตัวนึงแล้วเดินไปที่ห้องลองเพื่อเอาไปให้หนุ่ยลองใส่
“เอ้านี่...ลองใส่ทั้งชุดเลย...น่าจะพอดีนะ”เด็กหนุ่มเปิดม่านออกมา ร่างกายท่อนบนมีเสื้อยืดขนาดพอดีตัวแต่ท่อนล่างนี่สิ กางเกงในสีขาวที่เด็กหนุ่มใส่อยู่ทำเอาธีร์ถึงกับต้องเหลือบมองอย่างไม่ตั้งใจ กระเปาะที่เป้าดูสวยงามได้รูป ชายหนุ่มรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว
“เอ้าใส่กางเกงซะ...”ธีร์ยื่นกางเกงให้เด็กหนุ่ม สักพักนึงหลังจากที่หนุ่ยใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว
“คุณธีร์ครับ...เป็นไงครับ”หนุ่ยเปิดม่านออกมา ทำเอาธีร์ต้องตะลึงใน“ลุคส์”ใหม่ของเด็กบ้านนอกแห่งอำเภอระโนด หนุ่ยในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำและกางเกงทรงอินเทรนส์ ดูดีขึ้นมาทันตาเลยทีเดียว ขาดแต่รองเท้า ถุงเท้าและเข็มขัดเท่านั้นเอง
“ออกมาดูรองเท้าก่อน”ธีร์บอกเด็กหนุ่ม
          เด็กหนุ่มเดินตามอย่างว่าง่าย ธีร์ให้พนักงานขายเอารองเท้าทุกแบบในร้านมาให้ลอง จนได้คู่ที่ธีร์ถูกใจ รวมทั้งเข็มขัดและถุงเท้า บัดนี้เด็กหนุ่มบ้านนอกได้กลายมาเป็นเด็กกรุงเทพฯเต็มตัวซะที ดูจากการแต่งตัวที่ดูดีจนทุกคนต้องเหลียวมามอง ประกอบกับหน้าตาที่คมสัน คิ้วดกดำเป็นเส้นคมโค้ง ขับให้ใบหน้าดูหล่อเข้าไปอีก หนุ่ยถือของพะรุงพะรัง ส่วนธีร์เดินตัวปลิวไปยังชั้นล่างของห้าง หนุ่ยเดินตามแทบไม่ทันทีเดียว ใส่รองเท้าแบบนี้เดินก็ไม่ถนัด แถมยังเสื้อผ้าที่ใส่แล้วไม่มั่นใจเอาซะเลย ไม่เหมือนชุดเดิมที่ใส่มาจากบ้านเลย
“ชั้นจะพาเธอไปตัดผม”ธีร์บอกพลางเดินไปตามทาง
“หวัดดีครับพี่แป้ว...”ธีร์เอ่ยปากทักทายเจ้าของร้านอย่างสนิทสนม
“จับโมให้หน่อย...น้องผมน่ะ...มาจากต่างจังหวัด”ธีร์บอกพลางหยิบนิตยสารมาเปิดอ่าน
“น้องเอาของวางไว้ก่อนนะครับ...แล้วมานั่งนี่”หนุ่ยเก้ๆกังๆเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ ทำไมเครื่องไม้เครื่องมันถึงได้เยอะแยะอย่างนี้วะ มากกว่าร้านตัดผมหลังโรงเรียนที่เคยตัดอีก

ครู่เดียวผมทรงใหม่ก็ออกมาตามความต้องการของธีร์
ชายหนุ่มพอใจเอามากๆที่เด็กหนุ่มเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงขนาดนี้ จนถึงกับเอ่ยปากชม

“แต่งตัวให้ดีก็ดูดีนี่...”
“.............” หนุ่ยยิ้มอย่างเขินๆ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีผู้ชายคนไหนมาเอ่ยปากชม ว่าดูดีเลยสักครั้ง


หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 5=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 13-08-2009 10:06:24
คุณธีร์

ทำไมดุหนุ่ยอย่างงี้อะ

หนุ่ยก็กลัวซะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 5=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 13-08-2009 11:31:52
คุณธีร์  ชอบเด็กบ้านนอกแล้วหละสิ




 :กอด1:   หนุ่ย ดีกว่านะ




 :z2:   :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 5=
เริ่มหัวข้อโดย: ifwedo ที่ 13-08-2009 13:58:39
ว๊ายย รักเด็ก
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 5=
เริ่มหัวข้อโดย: Vesi ที่ 13-08-2009 14:34:01
เจี๊ยกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก กินเด็กอ่ะ กินเด็ก

รึจะโดนเด็กกินหว่า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 5=
เริ่มหัวข้อโดย: ronney ที่ 13-08-2009 15:35:29
ไม่ไหวจะเคลียร์ . . .

. . . อิคุณธีร์  นี่  ลุคออกแนวกะเทยจ๋าเลย  ไม่มีแอ๊บแมนมั่งเล้ยยยยยยย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 5=
เริ่มหัวข้อโดย: xiiiNG ที่ 13-08-2009 17:08:29
ใครจะเสร็ตใครกันแน่เนี้ย ค่ะ ...*

แล้ว หนุ่ยจาแก้แค้นป๊ะ..ไมมาสั่นใส่พี่เค้าเนี้ยย 5555*

~ ~*
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 5=
เริ่มหัวข้อโดย: Vesi ที่ 13-08-2009 17:45:36
ไม่ไหวจะเคลียร์ . . .

. . . อิคุณธีร์  นี่  ลุคออกแนวกะเทยจ๋าเลย  ไม่มีแอ๊บแมนมั่งเล้ยยยยยยย

ผมว่า ออกแนวพวกลูกคุณหนูที่ถูกเอาอกเอาใจจนเคยตัวมากกว่านะ ดูทำเข้ายังกะน้องเป็นตุ๊กตาตัวใหม่เลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 5=
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 13-08-2009 21:07:33
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 5=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 14-08-2009 00:50:02
หนุ่ยก็กลัวจนสั่น
ธีร์เองเริ่มด้วยการดุ แต่ตอนนี้ก็คิดอยากจะกินเด็กบ้างแล้วสิ
ที่แน่ๆกว่าจะตัดผมเสร็จหนุ่ยคงหิวข้าวจนเป็นลมแล้วมั้ง
บวก 1 แต้มนะคะ รออ่านต่อ ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 5=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 14-08-2009 05:58:49
๖ สิงคโปร์

          ค่ำคืนนั้นที่โรงแรมหรูริมแม่น้ำย่านบางรัก ครอบครัว “นันทนกุล”ก็ได้มีโอกาสต้อนรับสมาชิกใหม่ เด็กหนุ่มจากระโนดถูกชุบตัวในบ่อเงินบ่อทอง ด้วยความเต็มใจจากครอบครัวนี้ คุณภาณีออกอาการดีใจเอามากๆที่ได้หนุ่ยมาเลี้ยง...เพื่อชดใช้ความผิดที่ลูกชายนางได้ทำไว้เมื่อ ๔ ปีก่อน
“นั่งรถไฟมาเหนื่อยมั๊ย”ภาณีถามเด็กหนุ่ม
“ไม่ครับคุณภาณี”หนุ่ยเรียกตามป้าจิตที่เป็นแม่บ้าน
“ไม่เอาอย่าเรียกอย่างนั้น...ต่อไปนี้ให้เรียกชั้นว่าคุณป้า...หรือจะเรียก “แม่”ก็ได้นะ”ภาณีพูดจบก็หัวเราะออกมาด้วยความสุข...สุขในความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ นางเต็มใจเหลือเกิน
“ถ้าห้องตกแต่งเสร็จแล้ว...ต่อไปก็ย้ายของขึ้นมานอนข้างบนตึกได้เลย...ห้องของหนุ่ยน่ะติดกับห้องเจ้าธีร์”ภาณีบอก
“ธีร์ลูกดูแลเรื่องเสื้อผ้า ข้าวของให้กับน้องรึยัง”ภาณีหันไปถามลูกชายซึ่งกดตัดสายโทรศัพท์พอดี
“เรียบร้อยครับแม่”ธีร์พูดพลางมองหน้าเต้ ญาติสนิทที่คบกันมานานและมีหุ้นส่วนบริษัททัวร์ด้วยกันอีก ตอนนี้เต้ไม่ได้ทำงานที่การบินไทยแล้ว แต่มาลุยธุรกิจทำทัวร์ทั้งในและต่างประเทศแทน
“จะให้หนุ่ยเรียนที่ไหนครับแม่...”ธีร์ถามภาณีเรื่องเรียนของหนุ่ย ซึ่งชายหนุ่มยังเห็นขัดแย้งกับแม่ของเขาอยู่ในเรื่องนี้
“ก็โรงเรียนเก่าลูกไง...”ภาณีพูดถึงโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนที่ธีร์จบม.ปลายมา
“แต่ผมว่าเราน่าจะส่งน้องไปเรียนที่ออสเตรเลียมากกว่านะแม่”ความขัดแย้งเริ่มเกิดขึ้นบนโต๊ะอาหาร
“แม่ว่าให้หนุ่ยเรียนให้จบม.ปลายก่อนดีกว่า...แล้วค่อยส่งไป”ภาณีบอกลูกชาย
“ผมว่าส่งไปเลยดีกว่านะครับ”ธีร์พูด ทั้งแม่และลูกไม่ได้มองมาที่หนุ่ยเลย เลยไม่มีใครรู้ว่าเด็กหนุ่มรู้สึกอย่างไร จนทำให้เต้ซึ่งลอบมองหนุ่ยอยู่ต้องพูดขึ้นมาบ้าง
“ทำไมเราไม่ให้หนุ่ยตัดสินใจเองล่ะครับ”เต้พูดน้อย แต่พูดแต่ละครั้งทำเอาทุกคนต้องหันมามอง
“เอ้อ...หนุ่ยว่าไงล่ะลูก...”ภาณีถามเจ้าตัว...ที่ตอนนี้นั่งงงอยู่
“ผมอยากเรียนที่นี่มากกว่าครับ”คำตอบของเด็กหนุ่มทำให้ธีร์ไม่พอใจอย่างมาก ธีร์ตั้งใจจะให้เด็กหนุ่มได้มีโอกาสในการเรียนให้สูงที่สุด
          ดูเหมือนว่าทั้งภาณีและธีร์ต้องการจะชดเชยสิ่งที่เด็กคนหนึ่งต้องสูญเสียไป...โดยไม่ได้ถามเด็กหนุ่มเลยว่าเขาต้องการสิ่งเหล่านั้นหรือไม่ อาหารมื้อเย็นที่ภาณีเลี้ยงต้อนรับลูกชายคนใหม่ของบ้านจบลงด้วยดี หนุ่ยกินได้ไม่เยอะเท่าไหร่เพราะอาหารฝรั่งที่กินกันไม่ถูกปากเขาเอาซะเลย สู้แกงเหลืองของย่าก็ไม่ได้ สรุปเรื่องโรงเรียนของหนุ่ยนั้นคงเป็นโรงเรียนเก่าที่ธีร์เคยเรียนนั่นเอง
“เรื่องเข้าเรียนเดี๋ยวแม่จัดการเอง...”ภาณีรู้วิธีการที่จะทำให้หนุ่ยได้เข้าเรียนต่อม.๕ที่โรงเรียนแห่งนี้ดี
“ห้องข้างบนจะเสร็จเมื่อไหร่ล่ะครับคุณแม่”ธีร์คุยเรื่องการตกแต่งห้องใหม่ของหนุ่ยขึ้นมาอีก ระหว่างที่ขับรถกลับบ้าน ที่ต้องถามภาณีเพราะว่าธีร์ไม่ค่อยกลับมานอนบ้านสักเท่าไหร่ เขามีคอนโดริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ถนนพระราม ๓ อีกแห่ง ส่วนมากจะกลับมาทานข้าวเย็นกับภาณีในบางวันเท่านั้นเอง
“...ฝากธีร์ช่วยไปดูเฟอร์นิเจอร์ใส่ห้องให้น้องด้วยนะ” ภาณีสั่งอีกเรื่อง
“อาทิตย์หน้าได้มั๊ยครับแม่...พรุ่งนี้ผมต้องไปประชุมที่สิงคโปร์”ธีร์บอกผู้เป็นแม่
“มันจะไม่ทันน่ะสิห้องจะเสร็จอยู่แล้ว...เดี๋ยวแม่ฝากเต้ก็ได้ถ้าแกไม่ว่างละก็”ภาณีใจร้อนเสมอเพราะนางเป็นคนที่จะทำอะไรต้องทำให้เสร็จลุล่วงโดยเร็ว
“ผมไปเองดีกว่าครับ...อย่าไปกวนเต้เค้าเลย...งานเค้าเยอะจะตาย”ธีร์หัวเสียอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ถ้าภาณีสังเกต นางจะเห็น
“ก็ธีร์ไม่ว่างนี่...”ภาณีหันมายิ้มให้หนุ่ยแล้วพยักเพยิดให้เด็กหนุ่มดูลูกชายคนเดียวของนางที่กำลังอารมณ์เสีย
“เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ตอนบ่ายผมพาไปดูก็ได้ครับ...เพราะผมบินตอนเย็น” ธีร์จัดเวลาให้น้องชายคนใหม่ของบ้านตามใจคุณแม่สุดๆ...หรือตามใจตัวเองก็ไม่รู้
“หนุ่ยพรุ่งนี้ตอนบ่ายพี่จะมารับ...เตรียมตัวไว้แล้วกัน”ธีร์มองผ่านกระจกมองหลังมาที่หนุ่ย
“ครับคุณธีร์...”หนุ่ยรับคำเบาๆ
“เรียกชั้นใหม่ว่าพี่ธีร์”ธีร์แกล้งวางอำนาจด้วยสายตาผ่านมาทางกระจกมองหลังอีกครั้ง
“ครับพี่ธีร์” หนุ่ยรับคำเบาลงไปอีก ก้มหน้าไม่สบตาธีร์อีกเลยจนถึงบ้าน

          ค่ำคืนแรกในบ้านนันทนกุลเด็กหนุ่มนอนหลับเป็นตาย คงเหนื่อยจากการเดินทางเมื่อคืน จนแล้วจนรอดเขาก็ยังไม่มีผ้าเช็ดตัวใช้อยู่ดี “เมื่อวานนี้น่าจะซื้อสักผืนนึงก่อน...ไม่น่าลืมเลย”หนุ่ยนึกในใจ หนุ่ยยังคงใช้วิธีเดิมคือใช้เสื้อยืดเก่าๆเช็ดตัวไปก่อน ขณะที่หนุ่ยกำลังนอนเขียนจดหมายถึงแต้วอยู่นั้น ป้าจิตก็เดินมาเรียกหนุ่ยที่ห้อง เด็กหนุ่มจึงโผล่ออกมาคุยด้วยในสภาพที่นุ่งบ๊อกเซอร์ตัวเดียว
“คุณธีร์โทรมาให้คุณหนุ่ยเตรียมตัว...คุณธีร์จะมารับไปทานข้าวและจะพาไปซื้อของค่ะ”ป้าจิตรายงานอย่างเร็ว
“ครับป้า...”เด็กหนุ่มรับคำแล้วจึงกลับเข้าห้องไป

          หนุ่ยเลือกเอาเสื้อออกมาจากถุง และแต่งตัวอย่างรวดเร็ว เสื้อยืดสีน้ำเงินเข้มขนาดพอดีตัว เขาถอดบ๊อกเซอร์แล้วเอาพาดกับราวไว้ ก่อนจะก้มลงหากางเกงในที่ซื้อมาเมื่อวาน หนุ่ยสวมกางเกงในสีขาวตัวใหม่ ถุงเท้าและรองเท้าถูกนำออกมาใส่ โดยเร็ว เพราะถ้าช้ากลัวคุณธีร์จะต่อว่าเอา ขณะที่เขากำลังใส่กางเกงยีนส์อยู่นั้นเอง ธีร์เดิมมาหาเขาถึงหน้าห้อง ชายหนุ่มชะโงกหน้าเข้ามาในห้องแล้วก็พบกับเด็กหนุ่มที่กำลังใส่กางเกงอยู่ เป้าที่อวบอูมที่เห็นทำให้ธีร์ถึงกับอ้าปากค้าง
“เอ่อ...หนุ่ย...เสร็จรึยัง”ธีร์ตะกุกตะกักอย่างเห็นได้ชัด
“อุ้ย...คุณธีร์...มาไม่ให้สุ้มให้เสียงเลย...ผมตกใจหมด”หนุ่ยตกใจจนเกือบล้ม ยิ่งเห็นชายหนุ่มมองมาที่เขาด้วยสายตาตกตะลึงด้วยแล้ว ทำเอาหนุ่ยหน้าเปลี่ยนสีเลยทีเดียว
“เสร็จแล้วก็ไปกันเลย”ธีร์หันหน้าออกมาแล้วเดินกลับไปที่รถ “ทำไมไอ้เด็กคนนี้มันไม่ค่อยระวังเนื้อระวังตัวซะเลยนะเจอทีไรต้องแก้ผ้าทุกที”ธีร์คิดในใจแล้วรีบเดินกลับไปที่รถ ใจเขามันรู้สึกวาบหวิวยังไงชอบกล ไอ้ความรู้สึกแบบนี้มันหายไปนานแล้ว...จำได้ว่าตั้งแต่กลับมาจากอเมริกาเมื่อปีที่แล้วเขาก็ไม่ค่อยรู้สึกแบบนี้อีกเลย

          หลังจากที่ธีร์ขับรถชนปู่ของหนุ่ยตายเมื่อหลายปีก่อน ภาณีก็ให้ลาออกจากงานแต่หนุ่มไม่ยอมจนต้องขอให้หัวหน้าเปลี่ยนเขตการทำงาน ธีร์ย้ายไปทำงานในภาคเหนืออยู่ได้อีกไม่กี่เดือน ก็ทนการบีบบังคับจากภาณีไม่ไหวจึงจำใจต้องไปเรียนต่อโทที่อเมริกา ที่อเมริกา.....ธีร์นึกแล้วก็ถอนหายใจออกมายาวๆแล้วหลับตาลง
“ขอโทษครับคุณธีร์”หนุ่ยเปิดประตูเข้ามานั่งคู่กับเขาด้านหน้า
“ช้าได้ทุกวัน...อีกหน่อยถ้าชั้นต้องไปส่งเธอไปโรงเรียนด้วย...ชั้นคงไม่ต้องทำงานทำการกันพอดี”ชายหนุ่มวีนได้อีก ทำเอาหนุ่ยถึงกับหน้าซีดลงไปเลย
“ขอโทษครับ...ทีหลังจะไม่ให้เกิดขึ้นอีกแล้วครับ”หนุ่ยก้มหน้า

          ธีร์ขับรถขึ้นมาบนถนนสุขุมวิท ระหว่างทางที่รถวิ่งมาบนถนน หนุ่ยเหม่อมองดูสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ด้านบนเป็นรางสำหรับรถไฟฟ้าที่ดูเหมือนหลังคาคลุมถนนให้ความร่มเงาตลอดเวลา ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดีกันแน่ ควันพิษจากท่อไอเสียลอยขึ้นไปข้างบนไม่ได้คนที่อยู่ข้างล่างก็ต้องสูดมันเก็บเอาไว้ “ช่างน่าอึดอัดแท้ๆ”

“อยากกินอะไร”เสียงของธีร์ทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือก
“เอ่อ...อะไรก็ได้ครับ”หนุ่ยรีบตอบเสียงระรัว
“ใจลอยถึงแฟนอยู่รึไง”ธีร์ถาม
“เอ่อ...เอ่อ...เปล่าครับ...”หนุ่ยตอบตะกุกตะกัก
“นั่งเหม่ออยู่...นึกว่าคิดถึงแฟน”ธีร์ดักคอ
“เปล่าครับ...ผมยังไม่มีแฟน”หนุ่ยตอบอายๆ
“ชั้นไม่เชื่อ...หน้าตาอย่างเธอเนี่ยนะ...ไม่มีแฟน”
“ยังครับ...ใครจะมาสนใจผม...”หนุ่ยก้มหน้า ใจหวนคิดถึง “แต้ว”ขึ้นมาอย่างฉับพลัน อย่างแต้วจะเรียกว่าแฟนได้ไหม...หรือเขาแค่คิดไปเอง
“ชั้นอยากกินอาหารอิตาเลี่ยนจัง...เธอไปกินเป็นเพื่อนชั้นหน่อยนะ”ธีร์ออกคำสั่งแกมขอร้อง
“พิซซ่าฮัทเหรอครับ”หนุ่ยเข้าใจอย่างนั้นจริงๆเพราเด็กบ้านนอกอย่างเขารู้จักก็แค่พิซซ่า...เพื่อนเคยพาไปกินตอนวันเกิดมัน
“จะบ้าเหรอ...พิซซ่าฮัทเนี่ยนะ...ชั้นกินไม่ลงหรอก”ธีร์ทำหน้าบ่งบอกว่าพิซซ่า อาหารสุดหรูของหนุ่ยกลายเป็นอาหารขยะในสายตาของคุณธีร์ไปได้
“ผมไม่ทราบครับ...ผมเคยกินแต่พิซซ่านี่ครับ”เด็กหนุ่มก้มหน้าลง
“เด็กน้อยเอ้ย...ชั้นจะพาแกไปในที่ๆแกไม่เคยไป...แกจะได้กินอะไรที่แกไม่เคยได้กินมาก่อน”ธีร์คิดในใจแล้วส่ายหน้าน้อยๆให้กับความไร้เดียงสาของหนุ่ย

          ธีร์พาหนุ่ยไปนั่งทานอาหารอิตาเลี่ยนที่เป็นอิตาเลี่ยนแท้ๆ ไม่ใช่พิซซ่าฮัทแบบที่หนุ่ยเคยกิน ตั้งแต่หนุ่ยเกิดมา อาหารมื้อนี้เป็นอาหารมื้อที่ไม่ถูกปากเอาซะเลย แต่หนุ่ยก็ต้องกล้ำกลืนฝืนกิน เพื่อว่าจะได้ไม่หิวและไม่เป็นปัญหาให้คุณธีร์ดุเอา หลังอาหารมื้อที่แสนทรมาน(ปาก)แล้ว ธีร์พาหนุ่ยไปยังบริษัทแห่งหนึ่งที่เกี่ยวกับการตกแต่งภายใน ในห้องประชุมธีร์นั่งคุยกับพนักงานถึงความต้องการของเขา ก่อนจะสรุปกันอีกครั้งโดยให้ทางบริษัทส่งงานให้เขาทางอีเมลและค่อยโทรคุยกัน ระหว่างที่ธีร์ไปสิงคโปร์
“คุณธีร์ไม่น่าจะต้องลำบากขนาดนี้เลยครับ”เด็กหนุ่มเกรงใจธีร์สุดๆ...กับสิ่งที่ธีร์ทำให้เขา
“...ชั้นอยากจะทดสอบฝีมือบริษัทนี้ด้วย...มีคนแนะนำว่าฝีมือดี...อีกอย่างคุณเต้ต้องการให้บริษัทนี้ออกแบบออฟฟิศใหม่ให้กับเรา...คุณเต้น่ะเรื่องมากสุดๆ...ยิ่งกว่าชั้นซะอีก...ชั้นอยากจะดูฝีมือในการตกแต่งห้องของเธอก่อน...ถ้าไม่ถูกใจชั้นก็จะไม่จ้างต่อ...”ธีร์ขับรถมาส่งหนุ่ยที่บ้านก่อนจะกลับออกไปข้างนอกอีกครั้ง แต่ก่อนจะออกไปธีร์หันมาพูดกับหนุ่ยว่า
“เธอใช้คอมพิวเตอร์เป็นมั๊ย”
“เป็นครับ...”หนุ่ยเคยเรียนมาบ้าง อินเตอร์เนตเค้าก็เคยเข้าอยู่บ่อยๆที่โรงเรียนก็มี
“ฉันอยากให้เธอหาที่เรียนพิเศษช่วงที่ยังไม่เปิดเทอม...เอาโน๊ตบุ๊คชั้นไปใช้สายแลนบนห้องชั้นก็มี...เธอไปต่อเนตใช้ได้...ให้ป้าจิตเปิดห้องให้นะ...ลองเสิร์ชหาที่เรียนพิเศษในเวปไซต์ดู...ปิดเทอมจะได้ไม่ว่าง...กลับมาแล้วชั้นจะพาเธอไปสมัครเรียน...”ธีร์สั่งเป็นชุดพลางลงจากรถแล้วเปิดท้ายรถ เพื่อหยิบโน๊ตบุ๊คอีกเครื่องนึงมาส่งให้หนุ่ย...
“คุณธีร์จะกลับเมื่อไหร่ครับ”หนุ่ยถาม...ไม่รู้ว่าจะถามทำไม
“วันเสาร์...ตอนค่ำๆ”ธีร์บอกแล้วเดินไปขึ้นรถก่อนจะขับออกไป
          หนุ่ยหิ้วโน้ตบุคเข้าห้องของตัวเองไป ความรู้สึกมันโหวงๆ...เหมือนกับว่าขาดอะไรไป...เหงาๆเงียบๆ...บรรยากาศตอนบ่ายแก่ๆของบ้านหลังใหญ่ๆมันเหงาชะมัดเลย มันทำให้คิดถึงบ้าน...คิดถึงย่า...

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 5=
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 14-08-2009 10:15:32
หนุ่ยกินได้ไม่เยอะเท่าไหร่เพราะอาหารฝรั่งที่กินกันไม่ถูกปากเขาเอาซะเลย สู้แกงเหลืองของย่าก็ไม่ได้



คนกรุงเทพฯ  เรียก "แกงเหลือง"

แต่ . . .

. . . คนใต้เรียก  "แกงส้ม"

หนุ่ยเด็กระโนด  เมื่อนึกถึงฝีมือย่า  ควรจะใช้คำว่า  "แกงส้ม"

นิดนึงเท่านั้นเองครับ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 6=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 14-08-2009 10:29:38
มาจิ้มต่อตอนเช้าจ้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้
เริ่มหัวข้อโดย: WEERACHOT ที่ 14-08-2009 17:31:37
กลับไปบ้าน เข้ามาอ่านเรื่องนี้ คืบหน้าไปเร็วน่ะครับ

มาต่อบ่อยๆ จะได้มาอ่าน อิ อิ

รออยู่ครับ เป็นกำลังใจให้
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 6=
เริ่มหัวข้อโดย: ifwedo ที่ 14-08-2009 18:02:02
มาดันนนจ้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 6=
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 14-08-2009 20:09:52
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 6=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 15-08-2009 00:55:41
ธีร์กับหนุ่ยเริ่มมีใจให้กันโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่านะ
ส่วนเต้นี่ก็น่าคิด เป็นตัวแปรที่จะแทรกไปทางไหนกัน หนุ่ย หรือ ธีร์
บวก 1 แต้ม ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 6=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 15-08-2009 05:41:52
7 สถานีสุรศักดิ์ 

          หนุ่ยบอกป้าจิตเรื่องที่คุณธีร์สั่งให้เปิดห้องให้เขาเข้าไปใช้อินเตอร์เนตในห้องคุณธีร์ได้ ป้าจิตไม่ไปเปิดห้องให้ แต่เลือกกุญแจออกมาดอกหนึ่งแล้วส่งให้
“อ่ะ...คุณเอาไปเปิดเองแล้วกันนะ...ห้องคุณธีร์อยู่ชั้นสาม...ขึ้นบันไดไปอยู่ด้านซ้ายสุดของตึก...”ป้าจิตยื่นกุญแจให้หนุ่ย
“ขอบคุณครับป้า”
“อ้อ...เดี๋ยวตอนบ่ายช่างจะมาเก็บงานในห้องคุณ...อาจจะเสียงดังบ้างนะคะ”ป้าจิตบอก
“ห้องผมอยู่ตรงไหนเหรอครับป้า”หนุ่ยถาม
“ห้องคุณถึงก่อนห้องคุณธีร์...ติดกันเลยค่ะ...”ป้าจิตบอกแล้วเดินกลับเข้าครัวไป

          ห้องของธีร์อยู่ในปีกด้านซ้ายสุดของตัวตึก บนชั้นสาม หนุ่ยสังเกตห้องที่ใหญ่โตและหรูหราด้วยความตื่นตา เตียงนอนใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง ด้านหัวนอนมีโต๊ะเล็กๆวางโคมไฟและมีกรอบรูปเล็กๆ หนุ่ยคุกเข่าลงไปนั่งดูรูปถ่ายนั้นด้วยความสนใจ เป็นรูปคุณธีร์ถ่ายคู่กับคุณภาณี ที่สะพานโกลเด้นท์เกต หนุ่ยเห็นแล้วอดยิ้มไปกับความรักที่มีให้กันของแม่ลูกคู่นี้ ไม่ได้ น่าอิจฉาจริงๆ หนุ่ยถือวิสาสะหยิบเอาขึ้นมาดู เด็กหนุ่มสังเกตเห็นว่าด้านหลังของกรอบรูปใบนี้มีรูปอีกรูปหนึ่งซ่อนอยู่ หนุ่ยค่อยๆดึงออกมาดู เป็นรูปคุณธีร์อีกนั่นแหละ...แต่รูปนี้ถ่ายคู่กับเพื่อน...ทั้งสองยืนกอดคอกัน สีหน้าของทั้งคู่บ่งบอกว่ามีความสุขมากๆ คุณธีร์สวมสเวตเตอร์สีดำ ผมยาวกว่าตอนนี้มาก สายลมคงจะพัดมาทำให้เส้นผมเล็กๆพลิ้วไปตามแรงลม ส่วนเพื่อนคุณธีร์นั้นสวมใส่สเวตเตอร์สีแดงสด ใบหน้าคมสัน จมูกโด่ง คิ้วเข้ม ผิวคล้ำเล็กน้อยแต่หน้าเนียนใส ทรงผมที่ตัดจนเกือบสั้น ทำให้ดูสดใส รูปถ่ายรูปนี้คงไม่ได้ถ่ายที่เมืองไทยแน่นอนเพราะถ้าเป็นเมืองไทย...คงไม่ใส่สเวตเตอร์ หนุ่ยไม่รู้หรอกว่าที่ไหน
          หนุ่ยสอดรูปถ่ายใบนั้นเข้าที่แล้ววางกรอบรูปนั้นลงที่เดิม ก่อนเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือริมหน้าต่าง หนุ่ยเปิดหน้าต่างบานใหญ่แล้วชะโงกหน้าออกมา ห้องนี้มองเห็นบริเวณบ้านโดยรอบได้ โดยเฉพาะด้านประตูหน้าใครเข้าออกทางหน้าบ้านนี่เห็นหมด ช่องหน้าต่างเป็นที่ตั้งของโต๊ะเขียนหนังสือด้วย แต่ดูแล้วคุณธีร์คงไม่ค่อยได้ใช้สักเท่าไหร่เพราะแทบจะไม่มีร่องรอยการใช้งานเลย ห้องชายหนุ่มตกแต่งแบบเรียบง่าย ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกอะไร โทรทัศน์ เครื่องเสียง ไม่มีสักอย่าง ผิดกับห้องของเขาที่คุณธีร์สั่งให้ติดทั้งโทรทัศน์ เครื่องเสียงและคอมพิวเตอร์ “สั่งให้ติดนู่นติดนี่ยังกับจะมานอนซะเอง”หนุ่ยคิดในใจพลางเดินไปเปิดโน้ตบุ๊คแล้วจัดการเสียบสายแลนที่วางอยู่บนโต๊ะเข้ากับเครื่องคอมฯ สักพักเมื่อเครื่องพร้อมแล้วหนุ่ยก็เริ่มเสิร์ชหาที่เรียนพิเศษทันที หนุ่ยเก็บข้อมูลเรื่องที่เรียนไว้แล้วเพื่อคอยให้คุณธีร์กลับมาตัดสินใจอีกครั้ง
.............

          หลังจากที่ธีร์กลับมาจากสิงคโปร์แล้ว ธีร์ก็พาหนุ่ยไปสมัครเรียนพิเศษที่สถาบันกวดวิชาแห่งหนึ่งย่านพญาไท หนุ่ยต้องเรียนทุกวัน เก้าโมงถึงสิบเอ็ดโมง แต่เรื่องที่เป็นปัญหาที่สุดคือการเดินทาง ธีร์ต้องขอให้ป้าจิตเป็นคนสอนหนุ่ยให้ขึ้นรถไฟฟ้าให้เป็น เพื่อจะได้ไปไหนมาไหนได้เอง ป้าจิตเล่าให้หนุ่ยฟังคร่าวๆถึงวิธีการซื้อบัตรรถไฟฟ้า รวมทั้งตั๋วนักเรียนแบบรายเดือน แค่นั้นเด็กหนุ่มก็สามารถไปเองได้แล้ว เด็กหนุ่มหัวไวไม่ใช่น้อย

          เริ่มไปเรียนวันแรกหนุ่ยรู้สึกได้ถึงความแตกต่างระหว่าง ที่เรียนพิเศษกับการเรียนในห้องเรียนโดยสิ้นเชิง ห้องเรียนของเขาที่ระโนดนั้นทุกคนเอื้ออาทรต่อกัน ใครจดงานไม่ทันก็ขอยืมเพื่อนไปลอก ใครขี้เกียจก็ลอกเพื่อนเอา แบ่งปันกันเป็นเรื่องปกติ แต่ที่นี่ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาเรียน ไม่มีการแบ่งปัน ทุกคนรักษาสิทธิ์ในส่วนที่พึงมีพึงได้ ของใครของมัน หนุ่ยรู้สึกว่าการแข่งขันที่สูงอย่างนี้มันทำให้เขาอึดอัดไม่ใช่น้อย
          คอร์สที่หนุ่ยเรียนเป็นคอร์สที่สั้นๆ ตอนนี้เรื่องเรียนของหนุ่ยที่โรงเรียนเก่าของธีร์นั้นเรียบร้อยแล้ว เขาไม่กล้าถามคุณภาณีว่าทำอย่างไรถึงทำให้เขาเข้าไปเรียนได้ ได้แต่ก้มหน้ารับคำอย่างเกรงใจ
“ป้าจะให้พี่ธีร์พาเราไปซื้อเสื้อผ้านักเรียนนะ”ภาณีบอกแล้วออกจากบ้านไป
“รบกวนคุณธีร์อีกแล้ว”หนุ่ยคิดในใจ
..............

          เปิดเรียนวันแรกธีร์ขับรถจากคอนโดฯมารับหนุ่ยแต่เช้า หนุ่ยเองก็ตื่นเต้นมากๆ เมื่อคืนนี้นอนไม่หลับเอาซะเลย ระหว่างทางหนุ่ยมองเส้นทางที่จะไปเรียนตลอดเพื่อจะจำไว้ว่าต้องไปทางไหน เขาไม่อยากรบกวนคุณธีร์ให้มาส่งทุกวันด้วย อีกอย่างเขาโตพอที่จะไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวเองแล้ว
“ผมต้องนั่งรถเมล์สายอะไรครับถึงจะมาโรงเรียนได้”หนุ่ยถามเผื่อว่าธีร์จะช่วยได้
“ไม่รู้เหมือนกัน...ตอนที่ชั้นไปเรียนมันก็นานแล้ว...ตอนนี้รถเมล์ก็เปลี่ยนชื่อสายจนจำไม่ได้แล้ว”ธีร์พูดเหมือนบ่น
“ชั้นว่าเธอน่าจะนั่งรถไฟฟ้าไปเรียนได้นะ...ลงสถานีสุรศักดิ์เดินไปอีกนิดเดียวก็ถึง”ธีร์บอก

          การมาเรียนในโรงเรียนที่มีแต่ชายล้วนทำให้หนุ่ยมีความรู้สึกแปลกไปอีก และขนาดโรงเรียนที่ใหญ่โตก็ทำให้เขาเองทำตัวไม่ค่อยถูก อีกอย่างที่สำคัญที่สุดคือการเข้ามาเรียนในระหว่างที่เพื่อนๆรู้จักกันหมดแล้ว เขาเลยเหมือนกับคนแปลกหน้าที่มาปรากฏตัวอยู่ในที่ๆไม่มีใครรู้จัก อีกทั้งสำเนียงทองแดงที่เวลาพูดออกมาทีนึงมีแต่คนอมยิ้ม อย่างหนักก็หัวเราะเยาะเอาเลยทีเดียว

“เอ้า...เทอมนี้เรามีเพื่อนใหม่เข้ามาเรียนกับพวกเรา...ครูขอให้พวกเราต้อนรับเพื่อนใหม่ด้วยไมตรีจิตมิตรภาพ...แนะนำเพื่อนด้วยว่าสถานที่ใดอยู่ตรงไหน...น่านฟ้า...ครูฝากเพื่อนใหม่ด้วยนะ”อาจารย์ที่ปรึกษาชั้นม.5/2 ฝากฝังหนุ่ยกับหัวหน้าห้อง
“อ่ะ...ขอให้เธอแนะนำตัวกับเพื่อนๆในห้องหน่อยนะ...”อาจารย์คนเดิมบอกให้หนุ่ยแนะนำตัวหน้าห้อง
“สวัสดีครับ...เพื่อนๆทุกคน...ผมชื่อ”ศิลปิน เพชรกุล”ชื่อเล่นชื่อ”หนุ่ย”ครับ ผมมาจากอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา”เรื่องพูดแบบนี้สบายมากสำหรับหนุ่ย เพราะตอนที่เรียนอยู่ระโนดนั้นเขาทั้งนำขึ้นเพลงชาติ นำสวดมนต์หน้าเสาธงเป็นประจำแถมเป็นพิธีกรในงานโรงเรียนเสมอๆ

          เสียงปรบมือดังลั่นห้อง เสมือนยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่ บางส่วนก็อมยิ้มเพราะสำเนียงของเด็กใต้ แต่หนุ่ยก็ไม่รู้สึกเก้อเขินแต่อย่างใด

“นายศิวัชไปไหน...ครูไม่เห็นมา 2-3 วันแล้ว...ศิลปินเธอไปนั่งกับน่านฟ้าก่อนแล้วกันนะ...พรุ่งนี้ครูจะให้นักการจัดโต๊ะเก้าอี้มาเพิ่มให้”อาจารย์สั่งพร้อมกับชี้นิ้วไปยังที่นั่งว่างๆข้างน่านฟ้า...หัวหน้าห้อง
“น่านฟ้าเดี๋ยวตามครูมาที่ห้องพักครูด้วยนะ”อาจารย์สั่งก่อนเดินออกไป
“นายนั่งไปก่อนนะ...ถ้าไอ้วัชมันมาแล้วค่อยย้าย...หรือนายจะนั่งตรงนี้เลยก็ได้”น่านบอกกับเพื่อนใหม่ด้วยใบหน้าที่ไม่สู้จะดีนักก่อนจะเดินออกไปหาอาจารย์
“ขอบใจนะ”หนุ่ยบอกก่อนนั่งลงที่เก้าอี้ตัวนั้น เก้าอี้ตัวที่หนุ่ยก็ไม่รู้หรอกว่า มันจะเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตเขาวุ่นวาย...ไม่สิ้นสุด

          วันแรกของการเรียนจบลงไปแล้วหนุ่ยมีเพื่อนใหม่มากมาย เพื่อนหลายๆคนแวะเวียนเข้ามาคุยกับเขาในเวลาที่ว่าง แต่”น่าน”ที่นั่งติดกับเขากลับไม่เคยแม้แต่จะหันมาคุย...”น่าน”ได้แต่เหม่อมองออกไปข้างนอกตลอดเวลา หนุ่ยเองก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่า”น่าน”น่าจะมีอะไรหนักใจอยู่...อย่างน้อยเขาก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของเพื่อนอยู่หลายครั้ง
..........

“เป็นไงบ้างคะคุณหนุ่ย...ไปโรงเรียนวันแรก”ป้าจิตทักทายหนุ่ยอย่างเอ็นดู
“สนุกดีครับป้า...ได้เพื่อนใหม่เยอะแยะเลย...”หนุ่ยยิ้มอย่างสดใส
“คุณหนุ่ยนั่งรถไฟฟ้าคล่องแล้วเหรอคะ...”ป้าจิตถามด้วยความเป็นห่วง
“สบายมากครับป้า...ผมไปกลับได้เองแล้ว...ขอบคุณป้าจิตมากนะครับ”หนุ่ยยกมือไหว้...ไม่ใช่แค่ขอบคุณเรื่องที่ป้าจิตสอนให้นั่งรถไฟฟ้าหรอก...แต่หนุ่ยรู้สึกอยากขอบคุณในน้ำใจไมตรีของป้าจิตมากกว่าที่ตลอดเวลาที่เขาเข้ามาอยู่ที่นี่ป้าจิตรักและเอ็นดูเขาอย่างมากมาย
“เก่งค่ะ...คนบางคนจบปริญญาโทปริญญาเอกยังนั่งรถไฟฟ้าไม่เป็นเลยค่ะ”ป้าจิตยิ้มเยาะพวกที่ไม่ทันเทคโนโลยี
“วันนี้คุณภาณีจะทานข้าวที่บ้านค่ะ...เห็นบอกว่าคุณธีร์กับคุณเต้จะมาทานด้วย...สั่งอาหารป้าหลายอย่างเชียว...ป้าขอตัวก่อนนะคะ...”ป้าจิตปลีกตัวไปหลังบ้าน

          เด็กหนุ่มเดินขึ้นห้องไปด้วยความอ่อนล้า...อยากนอนสักงีบ...เหนื่อยมาทั้งวัน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 7=
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 15-08-2009 09:48:42
+เป็นกำลังใจให้ครับ+
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 7=
เริ่มหัวข้อโดย: WEERACHOT ที่ 15-08-2009 10:57:40
อยากอ่านต่อครับ อิอิ

เป็นกำลังใจให้สู้ๆ หนุ่ยน่ารัก.... :-[
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 7=
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 15-08-2009 11:16:03
เด็กม่วงทองเหรอเนี่ย อิอิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 7=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 15-08-2009 11:34:06
เพิ่งเข้ามาอ่านเรื่องนี้

ชักติดใจน้องหนุ่ยซะแล้ว

 :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 7=
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 15-08-2009 12:29:49

ขึ้นรถไฟฟ้าไม่เป็นนี่คงเป็นพวกรวยจัด   มีคนขับรถรับส่งตลอด

เพราะ . . .

สาธารณูปโภคพื้นฐานด้านการขนส่ง  วิศวกรต้องออกแบบมาให้ใช้ได้ง่ายที่สุดแล้วล่ะครับ

แอบค้านสายตา . . .
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้
เริ่มหัวข้อโดย: Cha Ris Ma ที่ 15-08-2009 12:42:37
สนุกดี

ภาษาก็ดี เขียนจนเห็นภาพเลย

หนุ่ยน่ารัก อยากเอามาดูแลเอง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 7=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 15-08-2009 12:44:06
 :z13:  



คนแต่ง  +  คนโพส นะคับ




เรื่องราวจะเปนยังงัยนะ




กำลังมารออยู่นะ




 :z2:    :z2:


หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 7=
เริ่มหัวข้อโดย: clubza ที่ 15-08-2009 13:59:34
เห็นชื่อเรื่องตอนเเรกไม่คิดว่าจะเข้ามาอ่านเลย
พอได้ลองอ่าน บอกได้เลยว่าสนุกครับ น่าติด
ตามอยากอ่านเเบบรสดเดียวจบเลย มาต่อไวๆนะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 7=
เริ่มหัวข้อโดย: panpan ที่ 15-08-2009 14:59:39
สนุกอ่ะ  อ่านมา 7 ตอนรวดยังเดาแนวเรื่องไม่ถูกเลย

 :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 7=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 15-08-2009 15:21:59
+1 ให้คนเขียน
ณ ตอนนี้ หนุ่ยน่ารัก ธีร์น่าปลื้ม ต้องเลือก ยาก...
สนุกดีอ่านแล้วลุ้นตาม มีประเด็นให้คิดขบไปเรื่อยๆ ภาษาที่ใช้ก็ละมุนน่าอ่าน
แล้วจะมารออ่านต่อ

นิว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 7=
เริ่มหัวข้อโดย: ifwedo ที่ 15-08-2009 17:26:56
เข้ามาอ่านแล้วจ้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 7=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 15-08-2009 17:45:09
มาจิ้มต่อตอนเย็นๆจ้า

หนุ่ยน่ารักมาก
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 7=
เริ่มหัวข้อโดย: 0nePiece ที่ 15-08-2009 22:35:20
มาเป็นกำลังใจให้ต่อครับ อิอิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 7=
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 16-08-2009 00:29:21
พี่ธีร์โหดจัง


หนุ่ยหงอหมดแล้ว



รออ่านตอนต่อไปค้าบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 7=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 16-08-2009 02:44:41
ชีวิตหนุ่ยจะวุ่นวายเพราะศิวัชอย่างนั้นเหรอ
อย่างนี้ก็คงวุ่นหลายด้านเลยสินะ
บวก 1 แต้ม รอติดตามต่อค่ะ ขอบคุณนะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 7=
เริ่มหัวข้อโดย: คุณหนูไฉไล ที่ 16-08-2009 03:30:08
สมัครเป็นแฟนขลับเรื่องนี้อย่างแรง

อ่านไป ก็ได้แต่ปิดหน้าไป

.
.
.

คุณธีร์ .. แร่ดจริง ได้ใจ

555+
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 7=
เริ่มหัวข้อโดย: Tifa ที่ 16-08-2009 03:40:08
เป็นเด็กดีจัง หนุ่ยนี่

ถ้าเป็นเรานะ หึหึ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 7=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 16-08-2009 07:11:06
ขอบคุณทุกกำลังใจค่ะ  ขอบคุณมากจริง ๆ

ทุกกำลังใจจะส่งถึงต้นคุงแน่นอน  รวมคำถามและคำแนะนำติชมต่าง ๆ ด้วยค่ะ  ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 7=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 16-08-2009 07:18:26
8 ทองหล่อ

          หนุ่ยโยนเป้ใส่หนังสือลงบนเตียงแล้วเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อให้อากาศระบาย ลมเย็นๆยามบ่ายพัดเข้ามาเด็กหนุ่มถอดเสื้อนักเรียนผึ่งไว้ที่เก้าอี้ ก่อนจะเดินไปเปิดวิทยุ เขาหาคลื่นวิทยุคลื่นฮิตที่เพื่อนๆพูดถึงกันเมื่อกลางวันแล้วนอนฟัง ลมเย็นพัดเข้ามาทำให้หนุ่ยเคลิ้มหลับไปอย่างง่ายดาย นานแค่ไหนไม่รู้มีเสียงเคาะประตูแรงๆหลายครั้งทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งตื่น ท้องฟ้าข้างนอกสลัวลง “ฉิบหายแล้ว...หลับไปได้ไงวะ”หนุ่ยรีบกระโจนไปเปิดประตูก่อนที่มันจะถูกพังเข้ามา...ด้วยแรงโมโหของใครบางคน

“คะ...คะ...คุณธีร์...สวัสดีครับ...”หนุ่ยยกมือไหว้แล้วขยี้ตาสะบัดหัวแรงๆไล่ความมึน
“หลับอีกแล้วล่ะสิ...จะขี้เกียจไปถึงไหน...รู้มั๊ยว่าต้องลงไปทานข้าว...ให้ผู้ใหญ่คอยนานมันไม่ดีนะ”ธีร์หันกลับเดินลงบันไดไป...โดยที่หนุ่ยได้แต่ก้มหน้างุด ไม่ทันได้ตอบอะไร
“ซวยจริงๆเลยกู”หนุ่ยสบถออกมาเบาๆแล้วปิดประตู หนุ่ยปลดตะขอกางเกงนักเรียนที่สวมอยู่ แล้วปล่อยให้มันลงไปกองกับพื้น เด็กหนุ่มใช้นิ้วเท้าคีบมันโยนลงตะกร้า ก่อนจะเดินไปปิดหน้าต่างโดยมีกางเกงในสีขาวตัวเดียวปิดบังเรือนกาย หนุ่ยอาบน้ำอย่างรวดเร็วแล้วนุ่งผ้าขนหนูออกมาเขาหยิบเสื้อแขนยาวสีขาวที่ใส่นอนทุกวัน มันออกจะรัดๆสักนิดแต่ใส่สบายเพราะเนื้อผ้าที่มันยืดและอบอุ่นดี หนุ่ยใส่กางเกงในแล้วก็คว้ากางเกงวอร์มมาสวมทับแล้วรีบวิ่งออกจากห้องไป

“ไงมาแล้วเรอะ...จะได้เริ่มทานกันได้ซะที”ธีร์ส่ายหน้าเล็กน้อยอย่างไม่พอใจ
“เหนื่อยเหรอลูก...เห็นแม่จิตเค้าบอกว่าตั้งแต่หนุ่ยกลับมาก็ขึ้นห้องเงียบไปเลย”ภาณีพูดพลางตักข้าวจากโถให้เด็กหนุ่ม
“อาหารน่าทานมากๆเลยนะครับ...ป้าจิตนี่ฝีมือไม่เคยตกเลยจริงๆ”เต้พูดพลางตักอาหารใส่จานให้กับหนุ่ยแล้วก็ยิ้มให้ด้วยความเอ็นดู 'จะมีก็แต่คุณเต้นี่แหละที่เสมอต้นเสมอปลายกับเขา...ไม่เคยใส่อารมณ์กับเขาเลย' หนุ่ยนึกในใจแล้วยกมือไหว้ขอบคุณ
“หนุ่ยไม่ได้บอกแม่จิตเหรอว่าชอบทานอะไร...จะได้ให้แม่จิตเค้าทำให้ทาน”ภาณีถาม
“อะไรผมก็ทานได้ครับคุณป้า”หนุ่ยยิ้มพลางตักชิ้นปลากะพงวางบนจานของภาณี
“ไปเรียนวันแรกเป็นยังไงบ้างลูก”ภาณีชวนคุย
“ก็ดีครับ...สนุกดี...ผมได้รู้จักเพื่อนใหม่เยอะแยะเลย”หนุ่ยบอกพลางชำเลืองสายตาไปทางธีร์...เขาอยากรู้ว่าคุณธีร์คิดอะไรอยู่...เพราะตั้งแต่เขาลงมาคุณธีร์ได้แต่นั่งทานข้าวโดยไม่พูดไม่จากับใครเลย
“ดีแล้วลูก...พาเพื่อนมาที่บ้านบ้างก็ได้นะ...หรือจะมาทำการบ้านทำรายงานก็ได้...”ภาณีบอกอย่างใจดี
“เมื่อก่อนธีร์ก็พาเพื่อนมาเยอะแยะ...สนุกดีออก”เต้เสริมขึ้นมาบ้าง
“ก็ดีนะเต้...เด็กๆจะได้อยู่ในร่องในรอย...ไม่ไปที่อื่น...แม่จะเป็นห่วงมากกว่านี้”ภาณีบอก

          อาหารมื้อเย็นจบลงด้วยการที่ธีร์ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรเลย...หนุ่ยขึ้นห้องไปแล้วแต่ธีร์กับเต้ยังคงเดินออกมาคุยกันที่สวนหน้าบ้าน
“ไอ้ธีร์แกจะอะไรนักหนากับเจ้าหนุ่ยนั่นนะ...ชั้นเห็นแกชอบดุมันอยู่เรื่อยเลย”เต้ติงญาติหนุ่มเบาๆ
“ก็ดูมันสิ...ให้ผู้ใหญ่คอย...มันเหมาะมั้ยเล่า...นอนหลับไม่เป็นเวล่ำเวลา...เสียนิสัย”ธีร์พูด
“มันคงเหนื่อย...แกนึกดูสิ...เรียนมาทั้งวัน...” เต้แก้ตัวแทนหนุ่ย ด้วยไม่อยากให้ธีร์อารมณ์เสียอีก เด็กมันจะเข้าหน้าไม่ติด เต้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วธีร์เองทั้งรักและห่วงใยเด็กคนนี้มากกว่าใครๆ....แต่การแสดงออกนี่สิ...มันสวนทางกันโดยสิ้นเชิง
“สมัยชั้นเป็นเด็ก...ชั้นไม่เคยทำตัวอย่างนี้เลย” ธีร์ ไม่ลดราวาศอก
“ชั้นรู้เว้ย...คุณหนูธีร์ผู้อยู่ในระเบียบวินัย...แต่นี่มันไอ้หนุ่ย...ไม่ใช่ไอ้ธีร์...มันคนละคนกัน...ชั้นก็แค่อยากจะให้แกอย่าไปใส่อารมณ์กับมัน...เข้าใจมันหน่อย...และก็เห็นใจมันบ้างเท่านั้นเอง”เต้พูดยาวจนเหนื่อย
“เต้...วันนี้วันศุกร์...ไปหาเหล้ากินกันดีกว่า”ธีร์เปลี่ยนเรื่องพูด
“แกยังไม่ได้รับปากชั้นเลยว่า...แกจะไม่ไปใส่อารมณ์กับหนุ่ยมันอีก”เต้ไม่ยอมลุกจากเก้าอี้
“เออๆๆ...จะพยายาม...ว่าแต่จะไปไหนกันดีวะ”ธีร์ชวนอีกครั้ง
“ที่ไหนก็ได้...เอาใกล้ๆบ้านแล้วกัน...แกเมาแล้วขับรถยังกับจะบิน”เต้ส่ายหน้ากับการขับรถของธีร์...ขับรถเร็วไม่เคยเปลี่ยน...ยิ่งรถแรงๆด้วยไอ้ธีร์ไม่เคยบันยะบันยัง

          คืนนั้นสองหนุ่มหล่อตะลุยราตรีแถวทองหล่อกันจนเกือบเช้า ทั้งผับทั้งบาร์กินแล้วกินอีกเหมือนกับจะไม่ได้กินอีกเลยตลอดชีวิต เต้กลับบ้านตัวเองไปแล้ว ส่วนธีร์นั้นจากที่ตั้งใจจะกลับไปนอนที่คอนโดฯ กลับเมาแปร้มานอนที่บ้านทำเอาพวกคนรับใช้ต้องตื่นกันทั้งบ้าน รวมทั้งหนุ่ยด้วยที่ถูกปลุกกลางดึก

“ไอ้หนุ่ย...ไอ้หนุ่ย...เปิดประตูสิ...”เสียงธีร์อ้อแอ้และเสียงเคาะประตูดังลั่นทำเอาหนุ่ยซึ่งกำลังนอนหลับสบายสะดุ้งตื่นกลางดึก
“คุณธีร์มีอะไรครับ...”เด็กหนุ่มปิดปากหาวหวอด ธีร์มองเด็กหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า หนุ่ยใส่กางเกงบ๊อกเซอร์ตัวเดียว เป้ากางเกงตุงโด่เพราะมันกำลังตื่น...มันตื่นอย่างนี้ทุกครั้งตอนเกือบเช้า หนุ่ยรู้สึกตัวว่าคุณธีร์จ้องมองมาที่แก่นกายของเขาจึงเอามือมากุมไว้ด้านหน้า เพราะเกรงว่ามันจะไม่สุภาพกับคุณธีร์...กลัวมันจะชี้หน้าคุณธีร์

“ทำไมเธอยังไม่หลับไม่นอน...”ธีร์เริ่มหาเรื่องเพราะเห็นๆอยู่ว่าเด็กหนุ่มก็นอนหลับไปแล้ว...เขาเป็นคนปลุกขึ้นมาเอง
“ผมหลับไปแล้วครับ...คุณธีร์มาปลุกผมมีอะไรรึเปล่าครับ”หนุ่ยบอกงัวเงีย
“ทำอะไรอยู่...ไหนดูสิ...”ธีร์ก้างเข้าไปในห้องหนุ่ยด้วยอาการเมาโซเซ
“ห้องเนี้ย...เป็นไง...เธอชอบมั๊ย...”ธีร์กวาดสายตามองไปรอบๆห้อง
“ครับ...ชอบครับ”หนุ่ยกำลังประเมินอาการเมาของธีร์ดูว่าจะยืนไหวรึเปล่า เพราะจากที่สังเกตธีร์ยืนเอนไปมาเกือบจะล้มอยู่แล้วแต่หนุ่ยก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปใกล้กว่านั้น ในจังหวะที่ธีร์หันกลับไปที่ประตูชายหนุ่มสะดุดขาตัวเอง ร่างบางๆจึงเซถลาไปชนกับหนุ่ยเต็มๆ แต่ด้วยความระมัดระวังที่หนุ่ยเตรียมพร้อมอยู่แล้วและสัญชาตญาณของนักกีฬาทำให้หนุ่ยประคองธีร์ไว้ในอ้อมแขนได้อย่างรวดเร็ว ร่างกายที่มีขนาดไล่ๆกัน ทำให้ไม่ยากที่จะประคองเอาไว้

“อุ๊บบส์...คุณธีร์...ไหวมั๊ยครับ...คุณธีร์เมาแล้วครับ...นอนก่อนเถอะ...”หนุ่ยประคองธีร์ไปที่เตียงแล้วจับให้นอนเหยียดยาว หนุ่ยถอดรองเท้าและถุงเท้าของธีร์ออก
“ร้อนจังเลย...หนุ่ย...เปิดแอร์สิ...มีให้ใช้ทำไมไม่ใช้...” ธีร์โวยวายแล้วพยายามจะถอดเสื้อเชิ้ตออก แต่ด้วยมันมีกระดุมหลายเม็ดทำให้ไม่ทันใจชายหนุ่ม หนุ่ยจึงต้องเอื้อมมือไปปลดกระดุมให้ ก่อนจะถอดเสื้อออก ร่างท่อนบนเปล่าเปลือยต้องแสงนีออนที่สว่างจ้าภายในห้อง หนุ่ยมองร่างบอบบางของธีร์ หัวนมสีชมพูอ่อนๆ หน้าท้องที่ขาวเนียน ไม่มีกล้ามแกร่งเป็นลอน ไรขนอ่อนๆที่หน้าท้อง ลามขึ้นมาจากขอบกางเกงใน Calvin Klein สีขาว ชายหนุ่มพยายามที่จะแกะเข็มขัดเพื่อถอดกางเกงขายาวสีครีมออก แต่ด้วยความเมา ทำให้หนุ่ยต้องเข้าช่วยอีกครั้ง หนุ่ยแกะเข็มขัดออกแล้วปลดตะขอกางเกงก่อนจะรูดกางเกงขายาวออกทางปลายเท้า หนุ่ยมองไปที่ร่างเกือบเปลือย เป้ากางเกงในเป็นกระเปาะน้อยๆ ร่างขาวๆบางๆพลิกตัวเป็นนอนตะแคงแล้วก็ขดตัวด้วยความหนาว หนุ่ยสังเกตเห็นรอยสักสีที่เหนือสะโพกด้านซ้ายเป็นลายไม้กางเขนสีดำพันอยู่ด้วยเถาว์ต้นกุหลาบและมีดอกกุหลาบสีแดงอยู่ที่ปลายด้านหนึ่งของไม้กางเขน หนุ่ยก้มลงมองพลางนึกในใจว่า “คุณธีร์นี่ดูๆไปก็แปลกๆนะ...ไปสักมาอย่างนี้ไม่เจ็บบ้างหรือไงนะ” หนุ่ยดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างบางๆนั้นไว้ แล้วยืนดูความเรียบร้อยอีกครั้ง ผมเส้นเล็กโกรกด้วยสีน้ำตาลอ่อน ยาวปิดต้นคอขาว บางส่วนกระเซิงลงมาปิดใบหน้าขาวใส ดวงตาที่หลับพริ้ม ปากบางๆแดงจัด จมูกโด่งสวยได้รูป คิ้วบางๆเป็นปื้น รูปหน้าสวยๆของคุณธีร์...ประดุจว่าถูกเขียนมาด้วยฝีมือจิตรกรเอก

“เฮ้อ...”หนุ่ยถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกเมื่อเห็นธีร์หลับลงไปแล้ว เขาเดินไปปิดไฟแล้วเดินไปที่โซฟายาวปลายเตียงก่อนจะล้มตัวลงนอนด้วยความง่วง เขายกเตียงให้คุณธีร์ คุณธีร์จะได้นอนสบายๆ เขานอนยังไงก็ได้ นึกได้แล้วก็หลับตาลง...จิตสงบเข้าสู่ห้วงนิทรารมณ์ในเวลาอันรวดเร็ว
............

          แสงสว่างจากข้างนอกแยงตาทำให้หนุ่ยงัวเงียลุกขึ้น เด็กหนุ่มเดินเข้าไปทำธุระในห้องน้ำแล้วออกมาเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นกางเกงวอร์มตัวเมื่อวาน เขาเดินวนไปมาเพื่อหาเสื้อยืดใส่ “วันนี้ตื่นสาย...”เขาคิดในใจ อาจจะวิ่งได้ไม่นาน เขาเดินออกจากห้องอย่างเงียบๆปฏิบัติกิจวัตรอย่างทุกวัน

          หนุ่ยกลับเข้ามาในห้อง เขาอาบน้ำแต่งตัว ทุกอย่างต้องทำด้วยความเงียบ เขาระมัดระวังทุกฝีก้าวเลยทีเดียวเพราะว่ากลัวคุณธีร์จะตื่น หนุ่ยอยากให้คุณธีร์ได้นอนนานๆ คุณธีร์เหนื่อยจากงานที่ทำ บางทีจึงอยากระบายออกด้วยการดื่มกินบ้าง เขาควรจะปล่อยให้คุณธีร์นอนให้สบายที่สุด หนุ่ยกำลังจะย่องออกจากห้องพร้อมด้วยโน้ตบุ๊คเพื่อจะเข้าไปทำงานที่ห้องคุณธีร์ อาจารย์สั่งงานตั้งแต่วันแรกที่เรียน แต่เสียงคุณธีร์ทำให้เขาต้องหยุดกึก

“เมื่อคืนทำไมไม่นอนบนเตียง...เหม็นเหล้าชั้นรึไง”เสียงคุณธีร์พูดอย่างเย็นชา
 “เอ่อ...เปล่าครับ...ผมอยากให้คุณ...เอ่อ...นอนให้สบาย”หนุ่ยตะกุกตะกักขึ้นมาทันที
“แล้วนั่นจะไปไหน...”
“เอ่อ...ไปทำการบ้านครับ...”
“ทำไมไม่ทำที่นี่ล่ะ...”
“เอ่อ...ห้องผมไม่มีเนตครับ...ผมขอเข้าไปใช้เนตห้องคุณธีร์หน่อยนะครับ”หนุ่ยตัวเล็กลีบลงไปอีก
“ไปเอาน้ำส้มคั้นเย็นๆมาให้ชั้นหน่อยสิ...ป้าจิตเตรียมไว้แล้ว”
“ครับคุณธีร์...”หนุ่ยวางโน๊ตบุ๊คแล้ววิ่งลงมาข้างล่าง พบกับป้าจิตที่กำลังเอ็ดเด็กรับใช้คนนึงอยู่

“ป้าครับคุณธีร์เอ่อ...”ยังพูดไม่จบเลยป้าจิตก็หันมาบอกว่า
“ป้าเตรียมไว้ให้แล้ว...ในตู้เย็นในครัว...คุณหนุ่ยไปเอาเองได้มั้ยคะ”ป้าจิตบอก
“ครับ...”
“ถ้าคุณธีร์เมามาแบบนี้...ตอนเช้ามักจะเรียกหาน้ำส้มทุกครั้ง”
“เหรอครับ...”
“เอ๊ะ...คุณหนุ่ยรู้ได้ยังไงว่าคุณธีร์เธอเรียกหาน้ำส้ม”ป้าจิตตั้งข้อสังเกต
“คุณธีร์นอนอยู่ที่ห้องผมน่ะครับป้า”หนุ่ยพูดแล้วก็เดินไปที่ห้องครัวด้านหลัง ป้าจิตมองตามอย่างงงๆเพราะปกติแล้วคุณธีร์ไม่เคยนอนห้องใครเลย...เมามาขนาดไหนต้องนอนห้องตัวเองเสมอ...อีกอย่างนอกจากคุณภาณีและป้าจิตแล้วไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องนอนของเธอด้วยซ้ำ

          เด็กหนุ่มรีบเอาน้ำส้มจากในตู้เย็นไปให้คุณธีร์ในห้อง คุณธีร์นอนอยู่บนเตียงของเขา เสียงเพลงเบาๆจากเครื่องเสียง คุณธีร์เปิดวิทยุคลื่นที่เขาฟังอยู่เมื่อวานนี้
“เด็กสมัยนี้ฟังเพลงกันแบบนี้เหรอ”คุณธีร์เอ่ยออกมาพลางขยับตัวนั่ง แล้วรับแก้วน้ำส้มจากหนุ่ย
“ผมก็เพิ่งจะลองฟังน่ะครับ”หนุ่ยพูดแล้วยิ้มให้ คุณธีร์ดูจะอารมณ์ดีทำให้เขาคลายความประหม่าไปด้วย
“ฟังๆไปก็เพราะดีนะ”ธีร์พูดแล้วกระชับผ้าห่มขึ้นมาบังสายตาของเด็กหนุ่มที่มองมาที่ท่อนบนเปลือยเปล่าของเขา ธีร์ลืมไปเลยว่าเขานอนโป๊อยู่ แต่ไม่เป็นไรมั้ง...อยู่ใต้ผ้าห่ม...ว่าแต่เมื่อคืนใครถอดเสื้อผ้าให้เขา
“เฮ้ย...เมื่อคืนเธอถอดเสื้อผ้าให้ชั้นเหรอ...”ธีร์หน้าแดงด้วยความอาย
“เอ่อครับ...ผมเห็นคุณธีร์จะถอดเอง...แล้วถอดไม่ได้สักที...ผมเลย...เอ่อ...ถอดให้น่ะครับ”หนุ่ยหน้าซีดเพราะดูจากสีหน้าคุณธีร์แล้ว เขาอาจจะโดนไม่ใช่น้อย...ที่ละลาบละล้วงขนาดนั้น
“ไปๆๆ...จะไปทำการบ้านก็ไปทำ...ชั้นจะนอนต่ออีกหน่อย”ธีร์ทำหน้ายุ่งๆแล้วหันหลังให้หนุ่ย ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 8=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 16-08-2009 07:26:10
 :เฮ้อ:หนุ่ยนะหนุ่ย
ภาษาลุ่มลึก น่าอ่านเช่นเคย
แล้วจะรออ่านต่อน๊า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 8=
เริ่มหัวข้อโดย: beernp ที่ 16-08-2009 09:30:48
เป็นกำลังใจให้มาแต่งต่อไวๆนะครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 8=
เริ่มหัวข้อโดย: 0nePiece ที่ 16-08-2009 09:46:08
มาตามติดๆๆ 
วันนี้มาแต่เช้าเลย
แล้วตอนคเย็นๆๆจะมาลงให้อีกป่าวอ่ะครับ
รู้สึกว่าตาธี จะหลงหนุ่ยเข้าเต็มๆๆแล้วละซิ
 เป็นกำลังใจให้ทั้งคนแต่ง และคนโพส นะครับ :3123:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 8=
เริ่มหัวข้อโดย: hene2526 ที่ 16-08-2009 10:24:45
ไม่ได้มาอ่านหลายวัน...กลับมาอ่านอีกที เรื่องเดินหน้าไปเยอะจังเลย ขอบคุณนะครับที่มาต่อให้จุใจขนาดนี้

สนุกมากเลยครับ...แต่ผมว่าเริ่มเห็นเค้าความวุ่นวายมาแล้วนะครับ

ให้กำลังใจเสมอครับ...
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 8=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 16-08-2009 11:37:51
หุหุ

คุณธีร์ยังไงๆนะนี่
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 8=
เริ่มหัวข้อโดย: ifwedo ที่ 16-08-2009 11:46:49
มาตามอ่านแล้วจ้า สนุกดี
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 8=
เริ่มหัวข้อโดย: wiwanana ที่ 16-08-2009 13:49:19
หนุกหนานมากมาย

มาต่อเร็วๆน่ะครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 8=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 16-08-2009 14:24:25
ธีร์ทำตัวเป็นผู้ร้ายปากแข็งหรือนี่
แท้ที่จริงคือทั้งรักทั้งห่วงหนุ่ยแบบที่เต้บอกสินะ
รออ่านต่อนะคะ น่าติดตามมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 8=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 16-08-2009 16:58:09
 :z13:



+1 ให้นะคับ




 :o8:เรื่องราวเริ่มจะ :o8:มากขึ้นแล้วนะ




 :z2:  :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 8=
เริ่มหัวข้อโดย: Cha Ris Ma ที่ 16-08-2009 17:08:32
คุณธีร์เนี่ยแอบเข้าห้องเด็กชายดึกๆ :laugh:

แอบคิดอะไรลึกๆอ่ะป่าว  :haun4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 8=
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 16-08-2009 20:47:55
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 8=
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 16-08-2009 22:31:46
จะเกินไปป่ะถ้าจะเดาว่าใครรุกใครรับเนี่ย อิอิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 8=
เริ่มหัวข้อโดย: Tifa ที่ 17-08-2009 01:02:30
เมาจริงหรือเปล่าหว่า

หรือว่าแค่มาอ่อย คริๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 8=
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 17-08-2009 02:35:14
เมาหรือนี่


แหมหนุ่ยเนี่ยน่ารักจังเลย


ช่วยพี่ธีร์ถอดเสื้อผ้าด้วยอิอิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 8=
เริ่มหัวข้อโดย: nithiwz ที่ 17-08-2009 03:04:04
 :man1: ชอบหนุ่ยจังเลยอ่ะ เรียบร้อย น่ารักดี
 :m31: พี่ธีร์อย่าดุหนุ่ยบ่อยซีคับ
อ่านมายังไม่รู้ใครจะเป็นพระเอก นายเอก เหอะๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 8=
เริ่มหัวข้อโดย: WEERACHOT ที่ 17-08-2009 07:33:20
คิดด้วครับคุณ nithiwz หนุ่ย เรียบร้อย น่ารักดี

เป็นกำลังใจให้คนเขียนครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 8=
เริ่มหัวข้อโดย: MonkeYMauS ที่ 17-08-2009 08:00:28
แบบนี้มันต้อง ไผ่พงศธร

โคนนนนนนนน  บ้านเดียวกานนน  แค่มองตากานนนก้อ ท้องได้อยู่

แง่ววววววววววว

มาให้กำลังใจเจ้าของเรื่องคับ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 8=
เริ่มหัวข้อโดย: wichit14 ที่ 17-08-2009 14:40:36
นึกภาพออกเลยครับ ถนนเส้น ระโนด สงขลา มัน 2 เลน แคบ ๆ ขับรถลำบาก ชอบครับเนื้อเรื่องแนวนี้ น่าติดตามและน่าลุ้น.. รอตอนต่อไปน่ะครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 8=
เริ่มหัวข้อโดย: 0nePiece ที่ 17-08-2009 20:49:57
มานอนรอ ตอนต่อไป ครับ
มาต่อเร็วน่าาาาาา  เค้าคิดถึง :o8:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 8=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 18-08-2009 02:38:47
สวัสดีครับองค์หญิงและเพื่อนๆนักอ่านของผม
      ก่อนอื่นต้องขอบคุณมากๆนะครับที่"องค์หญิง"กรุณาเอา"ระโนด"มาโพสลง
ในเวปนี้...ให้เพื่อนๆได้อ่านกัน ที่มาปรากฎตัวแบบมาเป็นตัวอักษรนี้ ก็เพราะได้อ่าน
คอมเม้นต์ของเพื่อนๆ แล้วทำให้รู้สึกอบอุ่น ดีใจ กับการต้อนรับนักเขียนหน้าใหม่
ที่ด้อยประสบการณ์ ขอบคุณทุกกำลังใจและทุกๆคำแนะนำ ผิดพลาดบ้างขออภัย
ด้วย จะพยายามแก้ไข ปรับปรุงนำเสนอสิ่งที่ดีและสวยงาม...เพื่อเป็นกำนัลให้กับ
เพื่อนๆทุกคน มีอะไรบอกผ่าน"องค์หญิง"ของผมได้
จากใจจริง
ต้นคุง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 8=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 18-08-2009 02:56:22
 :z13:
จิ้มต้นคุง อิๆ
อ่านเรื่องนี้แล้วมีสไตล์เฉพาะตัวทำให้อ่านแล้วชวนติดตาม
ยังไงก็จะรออ่านไปเรื่อยๆนะ พยายามเข้าสู้ๆเขียนดีอยู่แล้ว

นิว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 8=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 18-08-2009 03:00:53
 :L2: เป็นกำลังใจให้ต้นคุงด้วยค่ะ
ขอบคุณที่แต่งเรื่องนี้มาให้อ่านนะคะ
สนุก ชวนติดตามมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 8=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 18-08-2009 03:42:48
9 อัมพวา

          เสียงเปิดประตูเบาๆทำให้หนุ่ยต้องหันกลับไปดู คุณธีร์เดินเข้ามาในห้องแล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้งบนเตียง หนุ่ยเซฟข้อมูลแล้วปิดเครื่องคอมฯ การบ้านเขาเสร็จพอดี หนุ่ยมองดูนาฬิกาที่ผนังห้อง “เกือบเที่ยงแล้วเหรอ”หนุ่ยคิดในใจแล้วกำลังเดินออกนอกห้อง
“หนุ่ย...การบ้านเสร็จแล้วเหรอ...”ธีร์ถาม
“ครับคุณธีร์”หนุ่ยก้มหน้า
“วันนี้เธอต้องทำอะไรรึเปล่า”
“เปล่าครับ...ว่าจะลงไปช่วยป้าจิตปลูกผักสวนครัวข้างล่าง”หนุ่ยบอก
“บอกป้าจิตให้เตรียมอาหารเช้าให้ชั้นด้วย”
“ครับ...”
“แล้วเธอกินอะไรรึยัง...”
“ผมทานมื้อเช้าแล้วครับ...”
“อือ...กินกลางวันเป็นเพื่อนชั้นเลยแล้วกัน”ธีร์ออกคำสั่งก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำไป

          หนุ่ยรีบเดินลงมาข้างล่างเพื่อบอกป้าจิตให้เตรียมอาหารเช้าให้คุณธีร์ และในส่วนของเขาด้วย จริงๆแล้วหนุ่ยไม่ค่อยหิวเท่าไหร่แต่เมื่อคุณธีร์สั่ง....ก็ต้องกิน
“อีกนานค่ะ...คุณธีร์เข้าห้องน้ำทีนึงเป็นชั่วโมง”ป้าจิตหันมาบอกหนุ่ย เมื่อหนุ่ยทวงถามอีกครั้งสำหรับอาหารเช้า
“เหรอครับ...”
“ขึ้นชื่อเลยค่ะ...เรื่องเข้าห้องน้ำเนี่ย...”ป้าจิตเม้าท์เจ้านาย

          โต๊ะอาหารเช้าของคุณธีร์ในเวลาเที่ยง ผสมกับอาหารเที่ยงของหนุ่ย เงียบเชียบผิดปกติชายหนุ่มก้มหน้ากินข้าวต้มหมูอย่างช้าๆ
“หนุ่ย...ไปไหว้พระเป็นเพื่อนชั้นหน่อยสิ”
“ที่ไหนครับ...”หนุ่ยเงยหน้าจากจานราดหน้า
“แม่กลอง”ธีร์บอกแล้วยิ้มบางๆ
“ได้ครับ...ผมไม่เคยไปมาก่อน...หลวงพ่อวัดบ้านแหลมเหรอครับ”หนุ่ยถามกลับ
“อือ...ความรู้รอบตัวดีนี่...ชั้นไม่สบายใจยังไงไม่รู้”ธีร์บ่นอออกมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
“คุณธีร์ไปไหว้พระเผื่อจะดีขึ้นบ้าง”หนุ่ยพูด
.........

          บีเอ็มดับบลิวคันหรูวิ่งลงทางด่วนที่ถนนพระราม2 มุ่งหน้าออกนอกเมือง ชายหนุ่มแต่งตัวสบายๆกางเกงยีนส์ขาเดฟสีเทากับเสื้อยืดคอปกสีแดง แว่นกันแดดสีดำทำให้ธีร์ดูดีมากๆ ส่วนหนุ่ยนั้นก็แต่งตัวธรรมดาๆเหมือนกับวัยรุ่นทั่วๆไปใส่กัน รูปร่างที่ไล่ๆกันทำให้สองคนคล้ายกับเพื่อนกัน โดยเฉพาะธีร์ดูอายุน้อยลงเยอะ หน่าใสๆเหมือนเด็กเพิ่งจบมหาลัยเลยทีเดียว
“คุณธีร์ไหว้พระบ่อยเหรอครับ...”
“ก็ไม่บ่อยนักหรอก...พี่ไม่ค่อยว่างน่ะ”ธีร์เปลี่ยนสรรพนามเรียกตัวเองว่าพี่ ทำให้หนุ่ยรู้สึกเป็นกันเองและผ่อนคลายลงมาก
“เมื่อก่อนตอนอยู่ระโนดผมก็เข้าวัดบ่อยๆ...”
“ไปไหว้พระเหรอ...”ธีร์ถามเพราะสงสัยว่าเด็กอย่างหนุ่ยเนี่ยจะเข้าวัดเข้าวากับเขาเป็นด้วย
“เปล่าครับ...ไปขอข้าวพระกิน”หนุ่ยตอบหน้าตาใสซื่อ
“หึหึหึ...ขนาดนั้นเชียว” ธีร์หัวเราะในมุขตลกๆของหนุ่ย...แต่ก็สะท้อนใจในโชคชะตาของเด็กหนุ่มไม่น้อย
“จริงๆนะครับคุณธีร์...ตอนพักกลางวันผมเดินไปขอข้าวหลวงลุงกินบ่อยๆไป”หนุ่ยเล่าให้ฟังอย่างไม่รู้สึกอาย
“คงลำบากน่าดู...”ธีร์พูดเบาๆ ทั้งสองเงียบกันไปสักครู่
“ชินแล้วครับ...”หนุ่ยยิ้มสดใส
“ไหนลองเรียกพี่ธีร์สิ...”ธีร์หันมามองหน้าเด็กหนุ่ม
“ครับพี่ธีร์...” หนุ่ยรู้สึกดีขึ้น...มันใกล้ชิดกันมากกว่าและที่สำคัญ ถ้าตัวตนที่ธีร์แสดงออกมาเป็นแบบนี้เขาคงจะไม่ประหม่าอีกเลย
“หนุ่ยน่าจะมีแว่นกันแดดสักอันนะ...เดี๋ยวพี่ไปดูอันเก่าของพี่ให้ดีกว่า...น่าจะเหมาะกับหนุ่ยนะ”ธีร์เหยียบคันเร่งเพิ่มขึ้นอีก หนุ่ยรู้สึกได้ว่า ชายหนุ่มขับรถเร็วเกินไป...เศษเสี้ยวความคิดผุดขึ้นมา...ขับรถอย่างนี้นี่เอง...ทำให้ปู่ของเขาต้องจากเขาไป...เด็กหนุ่มกำมือแน่น...จนเหงื่อซึมออกมา

          หลังจากที่ทั้งสองไหว้หลวงพ่อวัดบ้านแหลมที่วัดเพชรสมุทรวรวิหารเสร็จแล้ว ธีร์ก็ชวนหนุ่ยไปเดินเล่นที่ตลาดน้ำอัมพวากัน
“ผมเคยดูแต่ในรูปกับโทรทัศน์นะครับ...”หนุ่ยบอกสีหน้าบ่งบอกกว่าดีใจ
“พี่เคยมาหนสองหนเอง...พาเจ้านายฝรั่งมาเที่ยว...”
“...ผมอยากกินน้ำมะพร้าว”หนุ่ยยิ้มสดใส
“ได้เลย...พี่จะพาไปกิน...”
“ที่ตลาดอัมพวามีอะไรขายมั่งครับ”หนุ่ยถามขณะที่นั่งรถไปตลาดน้ำที่มีชื่อเสียงที่สุดในตอนนี้
“เยอะแยะ...โดยเฉพาะของกิน...”ธีร์บอก
“พี่ธีร์ชอบทานอะไรครับ...”หนุ่ยรู้สึกเป็นกันเองมากขึ้นทำให้กล้าพูดมากขึ้น บรรยากาศชวนอึดอัดแบบเมื่อก่อนค่อยๆหายไป
“แม่ชอบฝรั่งกิมจู...แต่พี่ชอบไข่ปลาหมึกทอด...ราดน้ำจิ้มซีฟู๊ด...อร่อยสุดๆไปเลย”ธีร์เริ่มน้ำลายสอเมื่อนึกขึ้นมา

          สองพี่น้องเดินเล่นและกินของที่อยากกิน หนุ่ยซื้อขนมหลายอย่างไปฝากคุณภาณีและป้าจิต ทั้งสองหิ้วของกันพะรุงพะรัง อากาศร้อนแต่ก็ไม่ทำให้บรรยากาศสนุกๆคลายลงไป
“พี่ธีร์...นี่ไงไข่ปลาหมึกเจ้านี้รึเปล่าพี่”หนุ่ยเดินเข้ามาหน้าร้านขายไข่ปลาหมึกที่แม่ค้าทอดอยู่ มันกำลังส่งกลิ่นหอมฉุย
“ใช่เลย...นี่แหละ” ธีร์สั่งไข่ปลาหมึกทอด แม่ค้าให้ไม้จิ้มมาด้วย แต่มื้อที่ถือของทำให้กินได้ลำบาก
“มาผมป้อนให้”หนุ่ยอาสาพลางจิ้มไข่ปลาหมึกชิ้นโตป้อนเข้าปากธีร์
“อร่อยมั๊ยพี่...”หนุ่ยยิ้มให้กับธีร์อีกครั้งแล้วจิ้มไข่ปลาหมึกส่งเข้าปากตัวเองบ้าง
“เอาอีกมั๊ยพี่...”หนุ่ยจิ้มอีกชิ้นป้อนให้ธีร์อีกคำ ชายหนุ่มไม่เคยมีความรู้สึกอย่างนี้มานานแล้ว เด็กคนที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้...ช่างเหมือนเหลือเกิน...ธีร์คิดแล้วก็หวนคิดไปถึงวันเก่าๆ

“พี่ธีร์ครับ...สวยมั๊ยครับ”หนุ่ยหยิบเสื้อยืดแฮนด์เมดสกรีนลายสวยๆของบรรยากาศในอัมพวาเอามาทาบกับตัวแล้วให้ธีร์ดู
“อืม...สวยดี...”ธีร์นึกชอบรสนิยมของเด็กหนุ่มอยู่ในใจ มุมมองเรื่องศิลปะของหนุ่ยนั้นเข้าท่าดีทีเดียว เขาสังเกตตั้งแต่เข้าไปในห้องของหนุ่ยเมื่อคืนนี้แล้ว บางสิ่งบางอย่างที่หนุ่ยหามาตกแต่งห้องทำให้ห้องนอนของเด็กหนุ่มดูดีขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพหรือแจกันทรงประหลาดหรือแม้แต่โมเดลบางอันที่เค้าเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน
“เอาสองตัวครับ...”หนุ่ยหันไปสั่งเจ้าของร้านแล้วหันมายิ้มให้กับธีร์
'จะใส่เองทำไมตั้งสองตัว...ซื้อลายเหมือนกันอีก' ธีร์นึกในใจแต่ไม่ได้พูดอะไร...คงซื้อส่งไปให้เพื่อนที่ระโนด

          ก่อนกลับบ้านวันนั้นธีร์พาหนุ่ยไปทานอาหารทะเลร้านแดง อาหารทะเลและปูทะเลนึ่งสดๆ ทำเอาทั้งสองอิ่มจนพุงแทบแตก วันนั้นสองหนุ่มถึงบ้านเกือบสามทุ่ม ธีร์คิดอยู่ว่าจะกลับไปนอนที่คอนโดฯแต่สิ่งที่ทำให้เขาเปลี่ยนใจก็คือคำพูดของหนุ่ย
“คุณป้าคงอยากให้พี่ธีร์นอนบ้านนะผมว่า...”หนุ่ยพูดแล้วยิ้มบางๆ
“ทำไมหนุ่ยคิดอย่างนั้นล่ะ...”
“มีแม่ที่ไหนอยากให้ลูกออกไปนอนนอกบ้านบ้างล่ะพี่”ธีร์หันมามองหน้า

          ธีร์หวนนึกไปถึงเมื่อปีก่อน...คอนโดฯที่เค้าอุตส่าห์ดาวน์เอาไว้ตั้งแต่กลับมาจากเมืองนอก ธีร์เอาเงินเก็บทั้งหมดที่ได้มาจากการทำงานตอนที่เรียนที่นิวยอร์ค มาดาวน์คอนโดฯนี้ไว้เพื่อคอยใครสักคน...จนบัดนี้ชีวิตที่วาดหวังไว้ว่าจะเริ่มต้น...คำสัญญาเป็นเพียงลมปาก...เขาคนนั้นไม่ “ตาม” กลับมาอย่างที่พร่ำบอก...

“พี่ธีร์ครับ...เป็นอะไรไป...”หนุ่ยจับแขนธีร์เขย่าเบาๆจนธีร์สะดุ้ง
“เอ่อ...ปะ...ปะ...เปล่า...”ธีร์ยกแขนเสื้อขึ้นมาป้ายน้ำใสๆที่หางตา ก่อนจะหันมามองเด็กหนุ่ม
“พี่ธีร์ร้องไห้...”หนุ่ยเอ่ยออกมาเมื่อเห็นดวงตาที่เริ่มแดงของธีร์
“เปล่า...เปล่า...พี่ไม่เป็นอะไร”ธีร์หลบสายตาของหนุ่ยที่เริ่มค้นหา...บางสิ่งบางอย่างจากดวงตาของเขา...ธีร์ไม่กล้าสบตาเด็กคนนี้...
“พี่ธีร์บอกผมสิ...ใครทำอะไรพี่”หนุ่ยถามอย่างเร่งเร้า...เขารู้สึกเป็นห่วงธีร์เอามากๆ...ห่วงหรือแคร์ความรู้สึกก็ไม่อาจจะรู้ได้
“ไม่มีอะไร...ไป...เข้าบ้านเถอะ...หนุ่ยพูดอย่างนี้พี่นอนบ้านก็ได้” ธีร์เดินกอดคอเด็กหนุ่มเข้าบ้าน คนรับใช้เดินมารับของไปเก็บในครัว...มีแต่ของกิน
“หนุ่ยทำอาหารใต้เป็นรึเปล่า...พี่อยากกินอาหารใต้มากเลย”ธีร์บอกหนุ่ย
“ไม่ค่อยเป็นหรอกครับ...ถ้าพี่ธีร์จะทาน...ผมจะพยายามทำให้...”
“แล้วมันจะกินได้มั๊ยล่ะ...”
“ได้สิพี่...ให้ป้าจิตช่วย...”หนุ่ยบอกแล้วส่งยิ้มสดใสมาให้
“ร้ายนักนะเราเนี่ย...ใจคอจะให้แม่ครัวเอกเป็นผู้ช่วยเชียวหรือ” ธีร์จับหัวเด็กหนุ่มโยกไปมาด้วยความเอ็นดู

“พี่ธีร์...ผมมีอะไรจะให้...” หนุ่ยเอาเสื้อออกมาจากถุงแล้วทาบลงบนตัวชายหนุ่ม เสื้อยืดราคาถูกกับลายเส้นรูปตลาดน้ำอัมพวา เป็นลายเส้นที่มีสีสันสวยงาม...ธีร์ก้มลงมอง...ชายหนุ่มรู้สึกชอบมาก...ชอบในความละเอียดอ่อนของเด็กหนุ่มที่ “นึกถึง” เขา...มันเป็นของที่มีค่ามากๆในความรู้สึกอันแห้งแล้งของธีร์
“ขอบคุณมากน้องชาย...”ธีร์ดึงหนุ่ยมากอดเอาไว้แนบแน่น...น้ำตาชายหนุ่มไหลซึมออกมาอีกครั้ง...วันนี้ธีร์ต้องเสียน้ำตาถึงสองครั้ง...ให้กับผู้ชายถึงสองคน

          ทุกสิ่งล้วนอยู่ในสายตาของภาณีที่มองมาจากบนห้องนอน นางยิ้มให้กับตัวเอง...แล้วรูดม่านปิดลงตามเดิม นางเดินเข้านอนด้วยความรู้สึกสุขใจ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 9=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 18-08-2009 04:22:07
ท่าทีของธีร์อ่อนโยนลงจนเกือบถึงอ่อนแอในบางมุมอย่างเห็นได้ชัด
เป็นเพราะได้รับการดูแลจากหนุ่ยในคืนที่เมามาหรือเปล่า
หรือส่วนหนึ่งจากคำเตือนของเต้
หรือว่าจากความรู้สึกพิเศษของธีร์เอง
หนุ่ยเองก็เหมือนจะติดอยู่กับเรื่องเดียวคือเรื่องที่ธีร์ขับรถชนตา นอกนั้นก็ดูจะรู้สึกพิเศษกับธีร์ด้วยเช่นกัน

เรื่องคำเรียกขาน จำได้ว่าธีร์เองเคยให้หนุ่ยเรียกว่าพี่ครั้งหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังแทนตัวเองว่าชั้นอยู่
มาตอนนี้เรียกแทนตัวเองว่าพี่เต็มปากเต็มคำเลยทำให้หนุ่ยกล้าเรียกพี่ธีร์ และทำให้สัมพันธภาพเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นสินะ

บวก 1 แต้มนะคะ ขอบคุณมากค่ะ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 9=
เริ่มหัวข้อโดย: ifwedo ที่ 18-08-2009 04:50:51
ชอบอะๆๆแอบติดแล้วนะไงมาลงทุกวันนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 9=
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 18-08-2009 11:18:35

อ้าวววววววววววววว


แม่ดันรู้เห็นเป็นใจให้มีการพรากผู้เยาว?  ซะงั้น

นึกถึง   'เหยา'   ขึ้นมาจับใจเลยวุ้ย . . .
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 9=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 18-08-2009 11:19:13
 :z13: ผู้แต่งคับ

ชอบจังเลย บรรยากาศแบบนี้

ธีร์ มีความหลังฝังใจด้วยหรอ

แล้วจะทดแทนกันได้หรือป่าว

ไม่แน่ เค้าอาจจะมาทวงของคืนก้อได้นะ


 :z2:   :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 9=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 18-08-2009 11:38:29
ชอบบรรยากาศแบบนี้อะ

ดูเหมือนธีร์เป็นคนอ่อนไหวง่ายนะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 9=
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 18-08-2009 13:19:55
อยากรู้จังว่าหนุ่ยจะเป็นพระเอกป่าว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 9=
เริ่มหัวข้อโดย: wichit14 ที่ 18-08-2009 13:39:15
โดนอย่างแรง อ่านแล้วดีใจจนน้ำตาไหล นึกถึงภาพระหว่าง หนุ่ย กับ ธีร์ แถมคุณภานี มาแอบดูอีก อิอิ อยากมีแบบนี้บ้าง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 9=
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 18-08-2009 16:37:58
+เป็นกำลังใจให้ครับ+
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 9=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 19-08-2009 02:31:41
 :z2: :z2: :z2:
ภาษายังคงความเลิศไว้ได้เป็นดิบดี
เรื่องราวดูจะเป็นไปตามครรลองที่ควรจะเป็นมากขึ้น
เป็นกำลังใจนะคราบต่อเรื่องทุกวันเลย มีความสุขที่ได้อ่านแล้วจะรออ่านต่อน๊า

นิว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 9=
เริ่มหัวข้อโดย: nithiwz ที่ 19-08-2009 04:24:49
หนูหนุ่ยเริ่มมีอาการอ้อน  น่ารักเชียวครับ
แต่คุณธีร์นี่ก็เซนซิทีฟจริง เอาเถอะๆ เหมือนจะเริ่มมี something wrong ซะแล้ว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 9=
เริ่มหัวข้อโดย: wichit14 ที่ 19-08-2009 17:41:44
แล้วจะมาอัพต่อวันไหนครับ....รอเชียร์หนุ่ยกับธีร์ อยู่น่ะครับ.. เป็นกำลังใจให้คนแต่งครับ...
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 9=
เริ่มหัวข้อโดย: WEERACHOT ที่ 19-08-2009 20:39:58
 :man1:ดีแล้ว.....ที่เข้าใจกัน

เป็นกำลังใจให้คนเขียนต่อไปครับบบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 9=
เริ่มหัวข้อโดย: MonkeYMauS ที่ 19-08-2009 20:53:34
แวะมารอตอนต่อไปคร๊าบบบบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 9=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 19-08-2009 23:04:07
สวัสดีครับเพื่อนๆวันนี้ขอตอบข้อข้องใจที่ถามกันมา
-เรื่องที่ถามว่าทำไมธีร์ต้องเป็นผู้แทนยา-เรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่มีเค้าโครงมาจากเรื่องจริง
-เรื่องนี้เกิดที่ระโนด...-เป็นเรื่องราวที่มีเค้าโครงมาจากเรื่องจริง...เหตุเกิดจริงๆครับ
-ผมเป็นคนระโนดรึเปล่า-ตอบว่าไม่ได้เป็นครับ ไม่ได้เป็นคนใต้ด้วย...แต่มาภาคใต้บ่อยมาก...ทั้งมาทำงานและมาเที่ยว
-เหตุเกิดบนถนนสาย  นครศรีฯ - สงขลา ช่วงนั้นมีทั้งถนนสี่เลนและสองเลน ช่วงเย็นๆจะขับรถยากมากเพราะชาวบ้านเยอะขับรถกันขวักไขว่
-เรืองเครื่องจัมโบ้ 737-200 นั้นผิดพลาดเรื่องข้อมูลครับ ผมจะพยายามไม่ให้เกิดขึ้นอีก...ขอบคุณครับ
-หนุ่ยเด็กระโนด  เมื่อนึกถึงฝีมือย่า  ควรจะใช้คำว่า  "แกงส้ม" สำหรับข้อนี้...ผมมีเพื่อนเป็นคนใต้มากมาย...เวลาเค้าเรียก"แกงส้ม"บางทีเค้าก็เรียกแทนผมว่า"แกงเหลือง"ซะงั้น...อาจจะทำให้ผมสับสนไปเอง...ขอโทษด้วยครับที่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆทำให้เพื่อนๆต้องติติงมา...จะทำการบ้านให้มากขึ้นครับและจะไม่สับสนครับ
-ขอบคุณสำหรับแรงเชียร์และกำลังใจ...อีกอย่างขอบคุณมากๆสำหรับคนที่สมัครเป็นแฟนคลับของเรื่องนี้
อย่างไรก็ดีกำลังใจในการเขียนเรื่องนี้มาจาก"คอมเม้นต์"ครับ
ขอบคุณ"องค์หญิง"ของผมอีกครั้ง
ต้นคุง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 9=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 19-08-2009 23:13:08
10 โรงอาหาร

“พี่ธีร์ครับ...พี่ธีร์...”หนุ่ยเคาะประตูเรียกอยู่พักใหญ่ก่อนที่ธีร์จะเดินออกมาเปิดประตูให้แล้วกำลังจะเดินกลับไปล้มตัวบนเตียงอีกครั้ง
“เรียกแต่เช้าเลย...พี่อยากนอนต่ออีกหน่อย”ธีร์เริ่มมุดเข้าไปใต้ผ้าห่มอีกครั้ง
“ตื่นเถอะพี่...เกือบเที่ยงแล้วนะ”
          ธีร์เหลือบมองนาฬิกา ช่างเถอะ...วันอาทิตย์ควรจะพักผ่อน...พรุ่งนี้ต้องทำงานอีกแล้ว...เหมือนคนทำงานทุกคนคิด...เป็นแบบนี้กันหมด
“พี่ธีร์จะทานอาหารใต้ไม่ใช่เหรอ...”หนุ่ยเขย่าตัวธีร์
“เดี๋ยวก็ได้...ทานกันมื้อเย็นไม่ใช่เหรอ”ธีร์ต่อรองไปเรื่อยๆ หนุ่ยกระโดดขึ้นมานอนบนเตียงชายหนุ่มแล้วแกล้งด้วยการเขย่าตัวธีร์ไปมา หนุ่ยไม่รู้หรอกว่าหนุ่ยเป็นคนเดียวที่ได้ขึ้นมาเล่นบนเตียงของชายหนุ่ม...ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่...ป่านนี้โดนถีบตกเตียงไปนานแล้ว
“ไปซื้อกับข้าวกับผมหน่อยนะ”เด็กหนุ่มออดอ้อน...แล้วมันก็ได้ผล
“ไปก็ไป...เดี๋ยวให้พี่อาบน้ำก่อนนะ”
“ครับพี่ธีร์...”
“จะทำอะไรให้พี่กินล่ะ...หา...”
“ก็มีปลาทอดขมิ้น...แกงเหลือง...แกงพริกกระดูกหมู...พอมั้ยครับพี่ชาย”หนุ่ยสาธยายออกมาทำเอาชายหนุ่มน้ำลายสอ ไม่ได้ทานอาหารใต้มานานแค่ไหนแล้ว...นึกไม่ออกจริงๆ
“ทำเป็นทุกอย่างเลยเหรอ...”ธีร์ยังไม่เชื่อ
“ก็...ก็...ป้าจิตบอกจะทำให้บางอย่าง...”
“เช่น...”ธีร์ซักไซ้ไล่เรียง
“ก็...แกงเหลืองกับแกงพริกกระดูกหมู”
“แล้วหนุ่ยล่ะ...”
“ผมทอดปลาให้ได้นะ...”หนุ่ยยิ้มทำหน้าทะเล้น
“ขี้โกงนี่...ทำเองไม่ได้เลยซักอย่าง...”ธีร์เอามือขยี้หัวเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดู
“เราจะต้องไปซื้อของให้ได้ตามที่ป้าจิตสั่ง”หนุ่ยชูโพยที่ป้าจิตจดให้
“เอ้า...เอาก็เอา...เชื่อเด็กสักครั้ง...”ธีร์พูดแล้วก็ยิ้มเห็นฟันขาว
“โธ่พี่ธีร์...เชื่อใจผมได้เลย...”หนุ่ยส่งสายตาเป็นประกายมุ่งมั่น

          หนุ่ยเดินออกมาข้างนอกปล่อยให้ธีร์จัดการกับตัวเอง พักใหญ่กว่าจะเสร็จ...หนุ่ยลงมาคอยชายหนุ่มที่ห้องนั่งเล่นข้างล่าง พอดีกับที่ภาณีกำลังจะออกไปข้างนอก
“เมื่อวานนี้สองพี่น้องไปอัมพวาได้อะไรมาฝากแม่บ้าง”ภาณีทักทายเสียงสดชื่น
“ได้หลายอย่างครับ...ของกินทั้งนั้นเลย...ผมซื้อฝรั่งกิมจูมาฝากคุณป้าด้วย”หนุ่ยบอก
“เรียก”แม่”สิลูก” ภาณีเดินเข้ามากอดหนุ่ย...เป็นอ้อมกอดที่อบอุ่น...เหมือนเมื่อหลายปีก่อน...ในวันที่เผาศพปู่...ภาณีเคยกอดเขาแบบนี้
“ครับแม่”เด็กหนุ่มน้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม ชีวิตนี้เขาไม่มีใครอีกแล้ว ความรักความห่วงใยที่ภาณีมีให้ตั้งแต่วันแรกที่เขาเหยียบย่างเข้ามาในบ้านหลังนี้...มันทำให้น้ำตาลูกผู้ชายไหลออกมาอีกครั้ง...ครั้งหลังสุดที่เขาร้องไห้เขาจำได้ว่าเขากอด ”ย่า”แล้วร้องโฮออกมา...ผิดแต่วันนั้นเขาร้องไห้ด้วยความทุกข์...เขาร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดหัวใจ...เขาร้องไห้กับย่าด้วยความคิดถึงปู่...วันนี้ความอิ่มเอิบมันอาบซ่านรินรดหัวใจ...เขาร้องไห้ด้วยพลังแห่งความรัก....

“แม่ไปข้างนอกหน่อยนะ...ไปดูร้านสักพักนึง...เย็นๆจะกลับมา...เห็นแม่จิตเค้าบอกว่าหนุ่ยจะทำอาหารใต้ให้พี่ธีร์ทานไม่ใช่เหรอลูก”นอกจากงานบริษัทแล้วภาณียังมีธุรกิจที่ทำเสริมรายได้อีกอย่างคือร้านอาหารญี่ปุ่น ภาณีหุ้นกับเพื่อนอยู่...รายได้น่าจะดีกว่างานประจำที่ทำอยู่ซะอีก
“ครับ...แต่ส่วนมากป้าจิตจะเป็นคนทำซะมากกว่า...ผมทำไม่ค่อยเป็นหรอกครับ”หนุ่ยยิ้มแหย่ๆ
“เย็นๆแม่จะกลับมาทานด้วย”ภาณีกอดหนุ่ยกระชับแน่นอีกครั้งแล้วเดินออกไป

          หลังจากอาหารเช้าเบาๆแล้วธีร์กับหนุ่ยก็ออกไปซื้อกับข้าวตามที่ป้าจิตสั่ง ธีร์เลือกจะไปเดินซื้อที่ฟู๊ดแลนด์ แถวๆซอยนานา เพราะว่าเขาไม่ชอบตลาดสดที่เฉอะแฉะ ทั้งสองเลือกซื้อปลากระบอกมาได้หลายตัว อีกทั้งปลาทะเลสำหรับทำแกงเหลือง รวมทั้งกระดูกหมูอ่อนที่จะเอามาทำแกงพริกกระดูกหมู พริกแกงใต้นั้นหาได้ไม่ยากเพราะเดี๋ยวนี้มีแบบสำเร็จรูปขายกันดาษดื่น

          ธีร์ช่วยหนุ่ยและป้าจิตทำกับข้าวอยู่ในครัวด้วย บรรยากาศเป็นไปอย่างสนุกสนานมาก หนุ่ยมีลูกเล่นลูกฮามากมาย จนป้าจิตถึงกับหัวเราะได้ไม่เว้นวรรค ธีร์เองก็รู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่สดใสและสนุกสนานอีกวันหนึ่งเลยทีเดียว จนเย็นย่ำค่ำลงอาหารใต้ฝีมือของทั้งสามก็เสร็จสมบูรณ์ ถึงรสชาติจะไม่จัดจ้านอย่างที่หนุ่ยเคยกิน แต่ก็ทำให้คลายความอยากลงไปได้มากทีเดียว
“อร่อยจริงๆ...ฝีมือดีเลยนะเนี่ย” ภาณีชม
“แค่ปลากระบอกทอดขมิ้นน่ะครับคุณแม่” ธีร์มองมาทางหนุ่ยแล้วยิ้มเยาะ
“ครับ...ที่เหลือพี่ธีร์ทำทั้งหมดเลย”หนุ่ยพูดบ้าง
“แต่ทำให้วุ่นวายนะครับ...”หนุ่ยพูดแล้วก็หัวเราะออกมา ทำให้ภาณีอดหัวเราะไปด้วยไม่ได้
“เรานี่เหลือเกินนะ...ไปว่าพี่เค้า”ภาณีพูด...นางมองดูหนุ่ยไม่ต่างไปจากมองดูธีร์สมัยเป็นเด็กๆ
.......................................................


“ใครให้มึงมานั่งที่กูหึ...ไอ้บ้านนอก” เสียงใหญ่ๆห้าวทำเอาหนุ่ยถึงกับสะดุ้ง อาจารย์ที่กำลังพูดอยู่หน้าห้องมองมาทางต้นเสียง
“อะไรกัน...นายศิวัช...” เสียงอาจารย์ที่ปรึกษาพูดออกมาทำให้ไอ้เจ้าของเสียงสะดุดหยุดลง
“ที่นั่งผม...อาจารย์ให้ใครมานั่งล่ะครับ” น้ำเสียงที่ไม่มีทีท่าจะเคารพครูอาจารย์สวนขึ้นทันที
“เมื่อวันก่อนศิลปินเค้าไม่มีที่นั่ง...ครูเลยให้นั่งที่เธอไปก่อน...เธอย้ายไปนั่งตรงนู้นแล้วกัน หรือเธอจะมีปัญหา”เสียงที่ทรงอำนาจทำให้ไอ้เถื่อนหยุดลงฉับพลัน
“เดี๋ยวเธอไปพบครูที่ห้องพักครูด้วย...”อาจารย์สมเกียรติพูดแล้วเดินออกจากห้องไป

          ศิวัชย่างสามขุมเข้ามาหาหนุ่ยแล้วกระชากคอเสื้อจนกระดุมเม็ดบนขาดกระเด็น มันผลักอกหนุ่ยจนเซไปชนโต๊ะเรียน มันชี้หน้าหนุ่ยพร้อมกับพูดว่า”มึงเจอกับกูแน่ไอ้สัตว์” หนุ่ยก้มลงหยิบกระดุมที่ขาดกระเด็นนั้นเก็บใส่กระเป๋าเสื้อไว้แล้วปัดเนื้อตัวเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงที่เดิม เขาไม่เปลี่ยนที่นั่ง...อยากจะเจอเหมือนกัน...ใครที่ว่าแน่
“เราว่านายไปนั่งตรงนู้นเถอะ...”ไอ้ปรีย์พูดออกมาเบาๆราวกับกลัวว่าไอ้วัชจะมาได้ยินเข้า
“ไม่เป็นไรหรอก...อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันจะทำอะไรเรา”หนุ่ยพูด เขาไม่กลัวคนอยู่แล้ว...ใครดีกับเขา...เขาจะดีด้วย...ใครที่มาร้ายกับเขาก่อน...มันจะได้รับบทเรียนอันเจ็บปวดกลับไปเหมือนกัน...
“เย็นนี้มึงไปเจอกับกูหลังโรงเรียน...ไอ้บ้านนอก”ไอ้วัชกลับมาพร้อมกับหมายกำหนดการปะฉะดะ หนุ่ยนึกไม่ถึงว่ามันจะเร็วถึงเพียงนี้ แค่การนั่งทับที่มันเท่านั้นเหรอ...หนุ่ยนั่งก้มหน้านิ่งไม่ได้ยอมรับ...และไม่ได้ปฏิเสธ แต่เขาเลือกที่จะไม่พูดกับคนนิสัยอันธพาลแบบนี้ แต่การไม่พูดมันยิ่งทำให้ศิวัชถึงกับเดือดมากขึ้นเมื่อถึงตอนพักกลางวัน

          ที่โรงอาหารระหว่างที่หนุ่ยกำลังทานข้าวกับเพื่อนๆอีก4-5 คนมี ปรีย์ แคน ป้อ อ้นและทีม มีแก้วน้ำใบหนึ่งลอยลงมากลางวงตรงที่เขานั่งพอดี จานข้าวแตกกระจายเต็มโต๊ะ เสื้อผ้าของแต่ละคนเปรอะเปื้อนไปด้วยเศษอาหารที่หกเลอะเต็มโต๊ะ มันทำให้เลือดหนุ่มฉีดพล่านทันที เขาเงยหน้าขึ้นไปเห็นไอ้วัชและกลุ่มเพื่อนของมันอีก2-3 คนซึ่งเป็นเพื่อนต่างห้องทั้งนั้น แต่ถ้าหนุ่ยสังเกตเห็นว่าห่างไปอีกเล็กน้อย”น่าน”ก็นั่งอยู่ใกล้ๆด้วย 

“มองเหี้ยไร...ไอ้ทองแดง...”เสียงเพื่อนมันในกลุ่มดังลั่นขึ้นมา ทำเอานักเรียนรุ่นน้องรอบๆแตกกระจายออกเป็นวง ทีมกับป้อเดินตามหนุ่ยออกมา ตามมาด้วยแคน ปรีย์ อ้น ทั้งหมดพร้อมที่จะช่วยหนุ่ยเมื่อมีการตะลุมบอนเกิดขึ้น
“กูไปทำอะไรให้พวกมึง”หนุ่ยชี้หน้าพวกมันเรียงตัวแล้วเอ่ยถาม
“กูไม่ชอบขี้หน้าไอ้เหี้ยนี่ว่ะ...”เสียงไอ้วัช หัวโจกในกลุ่มพูดออกมา เพื่อนมันอีก 2 คนลุกขึ้นมา 1 ใน 2 ถือขวดน้ำอัดลมอยู่ในมือ ขณะนั้นหนุ่ยเห็น”น่าน”เริ่มขยับตัวออกจากกลุ่มแล้ว
“กูถามว่ากูไปทำอะไรให้พวกมึง...”หนุ่ยย่างเท้าเข้าไปหามันอีก มันเริ่มมองหน้ากัน...ในสายตาของหนุ่ย...เด็กหนุ่มมองว่ามันเริ่มไม่มั่นใจกันเองแล้ว...
“...กูขอโทษว่ะ...กูคิดว่าตรงนั้นมันเป็นถังขยะ...มีอะไรมั๊ย...กูทิ้งขยะมันผิดเหรอวะ...ฮาฮาฮา”ไอ้วัชหัวเราะลั่น สมุนมันหัวเราะตามไปด้วย หนุ่ยเดินเข้าไปหาทันที สมุนทั้งสองของมันรีบออกมาขวาง
“อย่าเสือก...ถ้ามึงไม่อยากเจ็บตัว”ไอ้นั่นชะงักทันที...มันยังไม่เคยเจอคนจริงอย่างนี้มาก่อน...เลยคิดว่าในโรงเรียนนี้มันแน่สุด...ขณะที่หนุ่ยชี้หน้าไอ้หน้าอ่อนนั่นอยู่ สมุนของไอ้วัชอีกคนกำลังจะฟาดขวดน้ำอัดลมลงมา เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น หนุ่ยจับแขนล๊อกไว้แล้วปล่อยหมัดตรงเข้าที่ปลายคางมันทันที...ผลคือไอ้สมุนจอมวายร้ายลงไปนอนหมดสติอยู่บนพื้น ทำเอาไอ้อีกคนที่กำลังถูกชี้หน้าต้องก้มหน้าแล้ววิ่งออกไปทันที
“อ้าว...ไอ้จอน...ไอ้เหี้ย..ทิ้งกูนะมึง”เสียงไอ้วัชไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มันลนลานชอบกล หนุ่ยย่างเท้าเข้าไปดวงตาจ้องมองไปที่ไอ้วัชอย่างเอาเรื่อง หนุ่ยเดินไปถึงเก้าอี้ที่มันนั่งอยู่ ก่อนจะหยิบชามก๋วยเตี๋ยว ที่มันกินไปได้ครึ่งชามราดรดลงบนหัวมัน
“นี่คือการชดเชยสำหรับที่มึงทำกับเพื่อนกู...”ไอ้วัชก้มหน้างุดๆหมดสภาพนักเลงโตประจำโรงเรียน น้ำก๋วยเตี๋ยวเข้าหน้าเข้าตาจนมันร้องลั่นเพราะแสบตา เด็กรุ่นน้องยืนหัวเราะกันลั่น ทุกคนต่างสมน้ำหน้าไอ้วัชเป็นแถว
“และนี่สำหรับเมื่อเช้าที่มึงผลักอกกู”หนุ่ยต่อยเปรี้ยงเข้าไปที่เบ้าตา ไอ้วัชทรุดลงไปนั่งจ้ำเบ้ากับพื้นก่อนจะวิ่งหนีออกไปหลังโรงอาหารด้วยความอับอาย...ปล่อยให้เพื่อนมันอีกคนนอนหมดสติอยู่ตรงนั้น แวบเดียวจริงๆที่เขาเห็น”น่าน”วิ่งตามไอ้วัชไปทางห้องน้ำ หนุ่ยคลางแคลงใจเอามากๆที่”น่าน”ซึ่งเป็นหัวหน้าห้องแท้ๆ กลับไม่เข้ามาห้ามเลยสักนิด ปล่อยให้ไอ้วัชมาแกล้งคนอื่นก่อน ซ้ำยังหลบหน้าหลบตาหนีหายไปอีก เขาอยากจะคุยกับ”น่าน”จริงๆว่ามันเรื่องอะไรกัน ...

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 10=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 19-08-2009 23:20:35
มาจิ้มตอนเกือบดึกจ้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 10=
เริ่มหัวข้อโดย: Vesi ที่ 19-08-2009 23:43:29
หนุ่ย นายเยี่ยมมาก  o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 10=
เริ่มหัวข้อโดย: ifwedo ที่ 20-08-2009 00:19:36
แมนนๆแบบนี้อยากได้จังอิๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 10=
เริ่มหัวข้อโดย: MonkeYMauS ที่ 20-08-2009 01:29:17
สุดยอดเลย

หนุ่ยสู้ๆ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 10=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 20-08-2009 02:05:31
เด็กใต้ แรงได้ใจจริง 


ถือคติที่ว่า ฆ่าได้ แต่หยามไม่ได้   o18


 :z2:   :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 10=
เริ่มหัวข้อโดย: nithiwz ที่ 20-08-2009 02:58:22
หนุ่ยแรงนะเรา  ทำเอานายวัชง้อไปเลย
เอ...วัช กับ น่าน จะเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตหนุ่ยหนอ
ลุ้นๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 10=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 20-08-2009 03:08:19
ความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างธีร์กับหนุ่ยเป็นไปอย่างรวดเร็วมากจริงๆ

น่านกะวัช มีซัมธิงรองกันเปล่า
แต่ถึงแม้คราวนี้หนุ่ยจะทำได้แบบนี้ แต่มีศัตรูแน่นอนเลย

ตอนนี้มีพิมพ์ผิดเล็กน้อย แต่ภาษายังอ่านสบายๆเหมือนเดิม
บวก 1 แต้มนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 10=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 20-08-2009 03:27:30
 :z2: :z2: :z2:
เข้ามาอ่านเพราะ ธีร์เลยนะเนี่ย 555+
หลงละคนนี้ชอบอะ อ่านแล้วสบายๆไม่เครียดเหมือนเคยนะ
แล้วจะมารออ่านต่อตอนหน้า

นิว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 10=
เริ่มหัวข้อโดย: wiwanana ที่ 20-08-2009 18:42:08
น่านกับนายวัชต้องมีอะไรบางอย่างแน่เลยอ่ะ

ลุ้นๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 10=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 20-08-2009 22:27:22
 o13 สุดยอดเลยน้องหนุ่ย

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 10=
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 20-08-2009 23:16:25
หนุ่ยร้ายไม่ใช่เล่น



วู้เก่งจิงๆๆๆเลย



หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 10=
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 21-08-2009 08:46:40
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 10=
เริ่มหัวข้อโดย: kikipanda ที่ 21-08-2009 13:36:28
ว่าแล้ว...น่านดูแปลกๆ พิกล

แต่ตอนนี้หนุ่ยแร๊งงงงงง ได้ใจป้ามาก ตอนเอาก๋วยเตี๋ยวราดวัชนี่ นึกภาพตอนอ้อนธีร์ไม่ออกเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 10=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 21-08-2009 22:35:36
11 โรงพยาบาล

          ช่วงบ่ายหลังจากเกิดเรื่องแล้วศิวัชไม่ได้โผล่มาเรียนอีกเลย “น่าน”ก็พลอยหายไปด้วย ป้อซึ่งเป็นรองหัวหน้าต้องทำหน้าที่แทน อาจารย์เรียกหนุ่ยและเพื่อนทั้งหมดไปสอบสวนแต่ยังไม่มีการลงโทษอะไรกับหนุ่ย เพราะต้องให้ผู้ปกครองมาคุยด้วย ทางคนเจ็บที่ชื่อ “ไอ้ปิง”นั้นแม่มารับไปโรงพยาบาลแล้วพร้อมประกาศจะเอาเรื่องทั้งหนุ่ยและศิวัช อาจารย์สมเกียรติบ่นเรื่องน่านและศิวัชที่หายไปไม่มาพบที่ห้องปกครอง

“ไอ้หนุ่ยกูว่าพวกกูไปส่งมึงที่บ้านดีกว่า...กูว่าไอ้พวกนั้นกลับมาเล่นมึงแน่”ปรีย์มีสัญชาตญาณไวเหมือนสัตว์บางชนิด
“ไม่ต้องหรอก...กูกลับเองได้...พวกมึงกลับไปเถอะ...ขอบใจมากว่ะ”หนุ่ยบอกเพื่อนๆก่อนจะเดินขึ้นรถไฟฟ้า

          จริงดังที่ปรีย์คาดไว้ไม่มีผิด ระหว่างทางเดินเข้าซอยกลุ่มวัยรุ่นท่าทางเกเร 4 คนเดินออกมาจากมุมบ้านร้างข้างทาง หนุ่ยเห็นแล้วแต่ก็เดินเข้าไปเพราะเขาไม่กลัว หนึ่งในสี่มีไม้เบสบอลอยู่ด้วย ขณะนั้นเองกลุ่มเพื่อนๆที่นำโดยทีม ป้อ แคน อ้นและปรีย์ก็เดินตามเข้าซอยมา เพื่อนๆไม่ยอมทิ้งให้หนุ่ยกลับคนเดียวอยู่แล้วเลยตามมาด้วย แต่ทั้งหมดก็ตามมาห่างๆโดยไม่ให้หนุ่ยรู้ตัว เมื่อเห็นหนุ่ยกำลังโดนล้อมกรอบ ทั้งหมดก็วิ่งเข้าตะลุมบอนกัน หนุ่ยพลาดท่าในจังหวะที่เอาตัวเข้าบัง”ป้อ”จากไม้เบสบอล ทำให้ไม้เบสบอลฟาดเข้าที่ท่อนแขน เด็กหนุ่มร้องลั่นขึ้นมาทันที
“โอ๊ย...”หนุ่ยกลิ้งลงไปนอนที่พื้น
“ปี๊น...ปี๊น...ปี๊น...”เสียงบีบแตรดังลั่นถนนทำเอาพวกเด็กอันธพาลพวกนั้นกระเจิงหายไปหมด คนที่วิ่งลงมาถึงหนุ่ยก่อนคือธีร์
“หนุ่ย...หนุ่ย...เป็นอะไรมั๊ย...หนุ่ย...หนุ่ย...”ธีร์ร้องเรียกหนุ่ยเสียงสั่นไปหมดและรีบเข้ามาประคองหนุ่ยขึ้นมาในอ้อมแขน โชคดีที่ธีร์กลับมาพอดี ไม่งั้นเด็กๆอาจจะเจ็บตัวกันมากกว่านี้
“ไม่เป็นไรครับพี่...”หนุ่ยกุมแขนที่โดนฟาดด้วยไม้เบสบอลเมื่อกี้ เขาปวดมากจนร้องออกมาอีกครั้ง
“โอ๊ย...ปวดแขนอ่ะพี่ธีร์...ผมปวดแขน...”หนุ่ยร้องเอามือกุมท่อนแขนไว้ เพื่อนๆรุมกันเข้ามา
“แขนหักแน่เลย...เมื่อกี้ไอ้นั่นมันเอาไม้เบสบอลฟาดลงมา”ป้อพูดเสียงระรัว...เป็นห่วงเพื่อนหนักหนา ถ้าหนุ่ยไม่เอาท่อนแขนมาบังไว้ป้ออาจจะถูกตีที่หัวก็ได้
“ไปโรงพยาบาลก่อนเถอะ”ธีร์บอกแล้วเข้าประคองหนุ่ยไปนั่งข้างหน้า
“เอ้าเด็กๆขึ้นรถ”พวกเพื่อนๆยกโขยงพากันไปโรงพยาบาลทั้งหมด
“ไหนเล่าให้พี่ฟังสิว่าเกิดอะไรขึ้น”ธีร์เริ่มสอบสวนขณะที่ขับรถฝ่าการจราจรที่ติดอย่างสาหัสไปโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เพราะว่าใกล้ที่สุดแล้ว
          แคนเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้ธีร์ฟัง ตั้งแต่วันที่หนุ่ยเข้าไปเรียนวันแรกจนถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ธีร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“หนุ่ยเอ้ย...เวรกรรมจริงๆ”ธีร์ลูบหัวน้องชายด้วยความเป็นห่วงแล้วหยิบโทรศัพท์รายงานแม่เขาทันที
“ครับแม่...ได้ครับ”ธีร์วางหู
“คุณแม่จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด...”ธีร์หันมาบอกกับหนุ่ย
“อย่าเลยพี่ธีร์...พอเถอะครับ...แค่นี้ก็หายกันแล้ว...ผมไปต่อยเพื่อนมันซะสลบไปเลย”หนุ่ยร้องขอไม่ให้เอาเรื่อง เขากลัวเรื่องจะยาวไม่จบ
“เดี๋ยวคุณแม่จะมาที่โรงพยาบาล...หนุ่ยคุยกับท่านเองแล้วกัน”
“ครับพี่...ผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้นะพี่...ผมขอโทษครับ..”หนุ่ยก้มหน้า...พลางกุมแขนแล้วครางออกมาด้วยความเจ็บปวด
“เป็นไงบ้าง...ปวดเหรอ...”ธีร์ห่วงใยอย่างที่สุด ถ้าความเจ็บปวดของหนุ่ยครั้งนี้เขาเจ็บแทนได้เขาเต็มใจที่จะรับเอาไว้เอง
“หนุ่ย...มึงปวดมากมั๊ย...มึงอย่าหลับนะ”ปรีย์เอ่ยขึ้นมา
“โป๊ก...”ทีมเขกหัวปรีย์เสียงดัง
“ไอ้เหี้ยทีม...มึงเขกหัวกูทำไมอ่า”
“ไอ้ควายเอ้ย...ไอ้หนุ่ยมันไม่ได้โดนงูกัดซะหน่อย...ให้มันหลับไปเถอะ...”ไอ้ทีมพูด ทุกคนหัวเราะออกมาไม่เว้นแม้แต่หนุ่ยซึ่งแทบจะหัวเราะทั้งน้ำตาทีเดียว ปวดก็ปวด ขำก็ขำ
“หลับให้สบายนะไอ้หนุ่ย...”ไอ้ปรีย์พูดออกมาอีก
“โป๊ก...”ไอ้แคนตบหัวไอ้ปรีย์อีก
“ไอ้แคนตบหัวกูทำไม...สาดดด...เจ็บนะเว้ย”ปรีย์คลำหัวป้อยๆ
“ไอ้หนุ่ยมันยังไม่ตาย...พูดอย่างกับจะให้มันตาย...ถึงโรงบาลแล้ว...หนุ่ยมึงไม่ต้องหลับแล้ว...พวกมึงลงๆๆ”แคนไล่เพื่อนลงจากรถ เจ้าหน้าที่รีบเอารถเข็นมารับตัวหนุ่ยแล้วเข็นเข้าห้องฉุกเฉินทันที ธีร์และเด็กๆทั้งหมดรีบเดินตามเข้าไปด้วยแต่โดนกันออกมาก่อน ถ้าขืนให้เข้าไปอาจจะวุ่นวายมากกว่านี้
“หนุ่ยจะเป็นอันตรายมั๊ยวะ”ปรีย์ถามขึ้นมา
“ถึงโรงบาลแล้ว...ไม่มีอะไรมากแล้วละ”อ้นซึ่งเงียบมานานพูดขึ้นมาบ้าง
“มันจะโดนตัดแขนมั๊ยวะ...”ไม่มีใคร...ไอ้ปรีย์คนเดิม
“ไอ้สาดดด...ไอ้หนุ่ยมันแค่กระดูกหัก...เอาไว้แขนมึงหักก่อนนะกูจะบอกหมอให้ตัดแขนมึงเอง”ป้อหันมาด่าไอ้ (ปากอับ)ปรีย์...
“สมฉายามึงจริงๆ...ไอ้ปากอัปปรีย์”ไอ้แคนว่าแล้วก็เตะตูดไอ้ปรีย์ดังป้าบ...
“แม่งแกล้งกูอยู่คนเดียว...เดี๋ยวกูน้อยใจนะมึง”ปรีย์หน้างอเดินหนีเพื่อนๆไปนั่งข้างธีร์ที่กำลังให้ปากคำกับตำรวจอยู่ ภาณีนั่นเองที่โทรไปหาผู้กำกับฯ

          สักพักหมอเรียกธีร์เข้าไปที่ห้องพักแพทย์แล้วอธิบายให้ฟังพร้อมดูฟิล์มเอกซเรย์ ว่าหนุ่ยกระดูกแขนช่วงระหว่างข้อศอกถึงข้อมือ ท่อนด้านนอกหัก ต้องผ่าตัดเพื่อดามเหล็ก คืนนี้ต้องนอนพักที่โรงพยาบาลก่อนพรุ่งนี้ถึงจะทำการผ่าตัดได้ ธีร์พยักหน้ารับทราบและเซ็นชื่อยินยอมให้ทำการผ่าตัด คืนนั้นหลังจากที่ภาณีมาดูอาการแล้วและฝูงลิงทั้งหลายกลับบ้านไป ธีร์มาเฝ้าหนุ่ยที่โรงพยาบาล ชายหนุ่มกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านเรียบร้อยแล้วก็มาทำหน้าที่พี่ชายที่ดี
“พี่ธีร์ครับ...ปวดครับ...”หนุ่ยร้องออกมากลางดึกเมื่อมันไม่ไหวจริงๆ ตอนนี้แขนเขาบวมมากและความเจ็บปวดจากกระดูกหักนี่มันแสนสาหัสจริงๆ
“พี่เรียกพยาบาลให้นะ...หนุ่ยอดทนหน่อยนะ”ธีร์กดปุ่มเรียกเจ้าหน้าที่
“ครับ...ผมทนครับ...”หนุ่ยตัวร้อนจัดจนธีร์รู้สึกได้จากการจับเนื้อตัว
พี่เช็ดตัวให้นะ...ตัวจะได้ไม่ร้อน”ธีร์เอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตามเนื้อตัวของหนุ่ย ทั้งหน้าท้อง แผ่นหลัง แขน ขา เด็กหนุ่มรู้สึกดีขึ้นแต่ความปวดยังไม่หาย
“พยาบาลมาฉีดยาให้แล้วนะหนุ่ย”ธีร์กระซิบบอกหนุ่ยเบาๆ พยาบาลเดินยาจากเข็มเข้าสู่ท่อน้ำเกลือช้าๆ

          สักพักหนุ่ยก็หลับลงไปท่ามกลางการเฝ้ามองของธีร์ ชายหนุ่มแทบจะไม่ได้หลับเลย เขานั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง มือของพี่ชายคนนี้กุมอยู่ที่มือของน้องชายสุดที่รักตลอดเวลา หนุ่ยขยับตัวเขาก็ตื่นทันที
“เอาอะไรมั๊ย...เป็นไงบ้าง”ธีร์พูดพลางเอามือลูบไล้ไปตามตีนผมที่หน้าผากของหนุ่ยเบาๆ เม็ดเหงื่อชื้นที่ไรผมอ่อนๆ
“พี่ธีร์ครับ ผมปวดแขนจังเลยครับพี่...”หนุ่ยมองหน้าธีร์แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา มันย้อยจนเปียกหมอนเป็นดวงๆ
“เดี๋ยวพี่เรียกหมอให้นะ...ทนไหวมั้ย”ธีร์กดปุ่มเรียกพยาบาลอีกครั้ง

“อดทนหน่อยนะคะ...คุณหมอสั่งยาไว้แค่นี้...คือยามันค่อนข้างแรงนะค่ะ...ให้ติดกันเกินคำสั่งหมอไม่ได้”พยาบาลอธิบายแต่มันก็ยังไม่ทำให้ธีร์พอใจ
“แล้วน้องผมปวดอย่างนี้...จะให้ทำยังไง...คุณไม่มีแพทย์เวรหรือไง...เรียกแพทย์เวรมาดูก็ได้นี่...หรือจะปล่อยให้คนป่วยนอนปวดอย่างนี้...หา...”ธีร์ตวาดพยาบาลด้วยเสียงที่ดังอย่างไม่พอใจ
“เดี๋ยวถามแพทย์เวรให้นะคะ”พยาบาลลนลานออกไป
“พี่ธีร์ครับ...ไม่เป็นไรครับ...ผมทนได้”หนุ่ยกุมมือธีร์แล้วดึงไว้
“ไม่ได้หรอก...หนุ่ยนอนปวดอยู่อย่างนี้...พี่ทนไม่ไหวหรอก...”ธีร์เอานิ้วปาดน้ำตาที่แก้มของน้องชาย ธีร์มองหน้าหนุ่ย แสงจากโคมไฟด้านนอกสาดเข้ามา ดวงหน้าใสๆผมยุ่งเหยิงชี้ไปทุกทิศทางที่มันจะชี้ไปได้ นัยตากลมโตสีสนิมเหล็กที่ดูไร้เดียงสา เด็กน้อยอ่อนต่อโลกนัก
“พี่ธีร์ผมฝันถึงย่า...พี่ธีร์ย่ามาหาผม...”หนุ่ยร้องไห้ออกมาอีก ปกติแล้วหนุ่ยเป็นเด็กที่เข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ แต่สิ่งที่มากระทบจิตใจบางเรื่องเท่านั้นที่สามารถเรียกน้ำตาของเด็กหนุ่มคนนี้ได้
“พี่อยู่ตรงนี้แล้วนะครับ...ไม่ต้องกลัว...ไม่ต้องร้องไห้...”ธีร์ก้มลงไปกอดเด็กหนุ่มคนนี้ไว้ในอ้อมแขน...เด็กที่ขาดความอบอุ่นจากพ่อและแม่...ไม่เคยมีแม้แต่พี่ชาย...ตอนนี้หนุ่ยมีครบแล้วทุกอย่าง...แต่ว่า...ไม่เคยมีพร้อมหน้าพร้อมตากันสักครั้ง...

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 11=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 21-08-2009 22:46:07
 :z2: :z2: :z2:
ภาษายังคงความสลวยไว้ได้เช่นเคย
เรื่องก็ยังคงเดินไปในทางที่มันควรจะเป็นจะอะไรก็แล้วแต่จะรออ่านต่อนะคราบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 11=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 21-08-2009 22:48:18
มาจิ้มก่อนเข้านอนจ้า

ธีร์ใจดีจังเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 11=
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 21-08-2009 23:11:15
ต้องเอาคืนพวกมัน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 11=
เริ่มหัวข้อโดย: ifwedo ที่ 21-08-2009 23:59:03
น่าสงสารจังเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 11=
เริ่มหัวข้อโดย: wichit14 ที่ 22-08-2009 00:43:04
คุณแม่จะเข้าไปจัดการยังงัยน้า..อยากรู้จัง สงสัยตอนนี้ธีร์รักหนุ่ยเข้าไปเต็มใจแล้วหล่ะ จะรอตอนที่ 12 น่ะครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 11=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 22-08-2009 01:18:09
12 แอฟริกาใต้

“ไอ้น่าน...กูเจ็บ...เบาๆหน่อยสิ...”เสียงเกรี้ยวกราดของศิวัชดังลั่นห้อง
“เจ็บเหรอ...ขอโทษนะ...น่านจะทำเบาๆ” น่านเสียงอ่อยลง แล้วทำแผลแตกที่หางตาอย่างเบามือ
“น่านบอกวัชแล้ว...อย่าไปแกล้งเค้าก็ไม่เชื่อ”น่านพูดเบาๆพลางเก็บเครื่องมือปฐมพยาบาลลงกล่อง
“ทำไมกูต้องเชื่อมึง... มึงเข้าข้างมันเหรอ...ไอ้น่าน...”ศิวัชตวาดลั่นด้วยความโมโหน่าน...และลูกสมุนทั้งหลายที่ต่างโดนไอ้บ้านนอกเล่นซะอ่วม
“ไอ้เหี้ยจอน...อย่าให้กูเจอนะมึง...จะอัดแม่งให้น่วมเลย”ศิวัชคำรามในคอ
“มันคงกลัว...น่านเคยเตือนแล้วเรื่องไอ้จอน...มันก็มาคบกับวัชแค่กินเที่ยวไปวันๆเท่านั้นแหละ...”น่านพูดแบบไม่มั่นใจ
“ไอ้บ้านนอกนี่แม่งหมัดหนักฉิบหาย...ต่อยไอ้ปิงสลบเลย...มันเป็นไงมั่งน่านรู้มั๊ย”ศิวัชหันมาถามน่านที่กำลังทาแซมบัคลงบนโหนกแก้ม
“เดี๋ยวถามให้...”น่านหยิบโทรศัพท์มากดเบอร์รุ่นน้องคนหนึ่งที่โรงเรียนเพื่อถามข่าวคราวของไอ้ปิง สมุนมือขวาของศิวัช
“นนท์...ปิงมันเป็นไงบ้างวะ...”เสียงน่านพูดเร็วๆผ่านโทรศัพท์มือถือ
“เหรอ...อืม...อืม...แม่มันไม่ยอม...ด่าวัช...อืมมม...ขอบใจว่ะ”น่านวางหู หันมาหาศิวัชที่กำลังมองหน้าอย่างอยากรู้ที่สุด
“แม่มันมารับตัวไปโรงบาล...แล้วแม่มันประกาศจะเอาเรื่องไอ้หนุ่ย...แล้วก็วัชด้วย...”น่านพูดเสียงอ่อยลง
“เอาเรื่องกู...เรื่องอะไรวะ...”ศิวัชเดือดดาลเป็นที่สุด
“ก็เรื่องที่เป็นหัวโจก...เค้าบอกลูกเค้าน่ะเป็นเด็กดีพอมาคบกับวัชเลยเป็นแบบนี้...ส่วนเรื่องหนุ่ยน่ะไม่เท่าไหร่เพราะมีคนบอกอาจารย์ว่าหนุ่ยป้องกันตัว ไอ้ปิงจะเอาขวดไปตีหัวหนุ่ยก่อน”น่านอธิบายยาวเหยียดและพูดเพื่อให้เพื่อนรักรู้สึกดี แต่
“อีเหี้ย...ลูกมันน่ะเหรอเด็กดี...เล่นทั้งเคเล่นทั้งไอซ์เนี่ยนะ...ลูกกูเป็นเด็กดี....เดี๋ยวกูจะแฉแม่งให้หมดเลย...ว่ามึงเป็นเจ้ามือหวยรายใหญ่...ไอ้หนุ่ยอีกตัว...กูไม่จบแค่นี้หรอก...มึงรู้จักกูน้อยไป...ไอ้สัตว์...”ศิวัชตาลุกวาว ประกาศกร้าวด้วยความเคืองแค้นเป็นที่สุด...เพราะสุดท้ายแล้วเค้าเองต้องรับผิดชอบเต็มๆกับเหตุการณ์นี้ ศิวัชหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ลงไป
“พี่อุ้ย...หาคนให้สักสี่ห้าคนได้มั๊ย...”ศิวัชพูด
“......”
“วันนี้เลย...เลิกเรียน...ในซอยบ้านมัน...พี่ก็ให้เด็กพี่สะกดรอยตามมันไปสิ...เออ...เดี๋ยวผมให้คนของผมไปชี้เป้าให้...เอาเบอร์ไปเลย”ศิวัชหันมาหาน่านขอเบอร์ไอ้นนท์เพื่อนรุ่นน้องที่อยู่แก๊งเดียวกันให้เป็นคนชี้ตัวหนุ่ย...
“........”
“เอาแค่เบาะๆก็พอ...ไม่ต้องถึงตาย...”ศิวัชบงการ
“...........”
“ผมให้พี่หมื่นนึง...”ศิวัชบอกไปก่อนวางหู
“อย่าให้เรื่องมาถึงผมนะ...เดี๋ยวโอนให้ก่อนห้าพัน...ที่เหลือดูตามผลงาน”ศิวัชพูดอย่างมีเชิง
“วัชจะทำอะไร...มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ...น่าจะจบได้แล้วนี่”น่านปรามศิวัช...เขาไม่อยากให้เรื่องมันบานปลายจนจบไม่ลงอย่างนี้ เด็กหนุ่มเป็นห่วงศิวัชมากๆ เขาไม่อยากให้มีเรื่องกันเลยจริง...แต่เค้าไม่สามารถจะทำให้ศิวัชมองเห็นความหวังดีของเขาได้เลย ศิวัชเป็นคนเอาแต่ใจ...ถูกเลี้ยงด้วยเงินมาตั้งแต่เล็กๆ...

          ศิวัชเป็นเด็กที่มีปัญหา พ่อแม่แยกทางตั้งแต่เค้ายังเล็กๆ แม่แต่งงานใหม่กับเศรษฐีชาวแอฟริกาใต้ ซึ่งตอนนี้มีกิจการโรงแรมอยู่ที่นั่น ส่วนพ่อของเขาเป็นนักธุรกิจอยู่ที่อเมริกาทั้งเปิดบริษัทนำเข้าส่งออก บ้านศิวัชมีฐานะร่ำรวยมาก แต่ลูกคนเดียวไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากพ่อแม่เลย ทั้งคู่อยากให้ศิวัชไปอยู่กับตนในต่างประเทศด้วย แต่ศิวัชไม่ไปเพราะเขาโตขึ้นมากับตาและยาย ตายายเลี้ยงดูเขาซึ่งเป็นหลานคนเดียวมาตลอด ทั้งสองท่านทำงานสาธารณกุศลจนแทบไม่มีเวลาเลี้ยงดูหลาน ปล่อยให้หลานอยู่กับคนรับใช้บ้าง เพื่อนบ้าง ให้เรียนโรงเรียนที่คิดว่าดีที่สุด ใกล้บ้านที่สุด ศิวัชน่าจะมีเพื่อนที่ดีแต่ก็กลับไปคบกับเด็กเกเรซึ่งเป็นลูกของคนรับใช้ในบ้าน ก่อเรื่องให้ปวดหัวอยู่เป็นประจำ ก็ไอ้พี่อุ้ยนั่นแหละที่เป็นนายหน้าจัดหาทุกอย่าง...ทั้งเหล้า ทั้งยาสารพัด แต่อีกมุมนึงของชีวิต ศิวัชรักตากับยายมาก ถ้าหลายๆคนมาเห็นอีกมุมที่ว่านี้ ทุกคนต้องหลงรักเด็กหนุ่มคนนี้    ศิวัชพูดเพราะ ออดอ้อนตากับยายเสมอ ถ้าว่างเด็กหนุ่มจะขับรถเอง เพื่อพาตากับยายไปเที่ยว ไปซื้อของหรือไปธุระ...เขาทำได้ทุกอย่างถ้าตากับยายสั่ง แต่ห้วงเวลาเหล่านั้นไม่ค่อยมีสักเท่าไหร่ เพราะเดี๋ยวนี้ตากับยายไม่มีเวลาเหมือนก่อน เด็กหนุ่มทั้งเหงาและว้าเหว่ จนมี”น่าน”เข้ามาในชีวิตอันเงียบเหงาของเขา

          ตอนเข้าเรียนม.สี่ใหม่ๆ ศิวัชย้ายโรงเรียนมาจากที่อื่น เขาไม่มีเพื่อนเลย จนได้มานั่งคู่กับ”น่าน” ทั้งสองสนิทกันอย่างรวดเร็ว น่านเป็นเด็กที่เรียนเก่งมาก นิสัยดี ช่วยเหลือศิวัชทุกอย่าง ทั้งสองสนิทกันอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นคู่ปาท่องโก๋คู่หนึ่งเลยทีเดียว

          ย้อนกลับไปเมื่อก่อนสอบไล่เทอมที่ผ่านมานั้นเอง ทั้งสองต้องจับคู่ทำรายงานด้วยกัน ทำให้น่านต้องมาทำรายงานที่บ้านของศิวัช จนคืนสุดท้ายที่ทำรายงานเสร็จ
“เหนื่อยจังเลย...”น่านล้มตัวลงนอนข้างๆศิวัช น่านรู้สึกหวาบหวิวยังไงบอกไม่ถูก ตั้งแต่เขาพบกับศิวัชในวันแรกที่โรงเรียน เด็กผู้ชายผมรองทรง หน้าใสๆ จมูกโด่งคล้ายลูกครึ่ง ริมฝีปากที่หยักสวยแต่แดงคล้ำเล็กน้อยเหมือนคนที่สูบบุหรี่อยู่ประจำ นอกจากแผลเป็นที่ปลายคางแล้วใบหน้าเรียวๆรูปไข่นั้น ไม่ได้บ่งบอกเลยว่าเด็กหนุ่มจะเป็นคนที่เอาแต่ใจและมีเรื่องตีรันฟันแทงอยู่เป็นประจำ
“ขอบคุณมากนะน่าน...”เสียงแหบพร่าของศิวัชกระซิบอยู่ที่ข้างหู ทำเอาน่านขนลุกขึ้นมาทันที
“เรื่องอะไร...”น่านหันไปมองหน้าศิวัชที่อยู่ใกล้แค่คืบ ลมหายใจรินรดกัน ทำให้น่านรู้สึกว่าศิวัชตั้งใจมากกว่าเผลอทำลงไป
“ก็เรื่องที่น่านมาทำรายงานให้วัชไง...”ศิวัชพูดเพราะกับน่านมากๆเวลาที่อารมณ์ดีหรือถ้าน่านตามใจเขา
“ยังไงน่านก็ต้องทำอยู่แล้ว...วัชไม่ต้องคิดมากหรอก...”น่านพูดกับวัช มันใกล้กันจนเกือบจะเผลอใจไปกับลมหายใจอุ่นของศิวัช
“ถ้าวัชไม่ได้รู้จักน่าน...วัชคงไม่มีเพื่อนเลย...น่านรู้มั้ยวัชเหงามากเลยนะ...”ศิวัชซบลงบนหน้าอกของน่าน จังหวะการหายใจเปลี่ยนไป น่านใจเต้นระรัวเป็นกลองเพล ทำไมศิวัชต้องมานอนซบอย่างนี้ด้วย มันทำให้น่านรู้สึก...ใจสั่นไปหมด
“น่านอยู่นี่ไง...น่านไม่ไปไหนหรอก...น่านเป็นเพื่อนกับวัช...ไม่ว่าใครจะว่าอะไร...น่านจะยืนอยู่ข้างๆวัชนะ...”น่านลูบไล้ปลายนิ้วไปที่สันจมูกของศิวัชแผ่วเบา เขาสงสารและเห็นใจเพื่อนคนนี้เหลือเกิน ศิวัชใจร้อนและชอบก่อเรื่องไปทั่ว จนเพื่อนๆในห้องไม่มีชอบหน้า มีแต่เขาคนเดียวเท่านั้น...คนเดียวจริงๆ
“ขออะไรอย่างได้มั๊ย...”น่านพูดเบาๆ
“หืม...ถ้าน่านขอ...วัชให้ได้ทั้งหมดแหละ...ยกเว้นเดือนกับดาวนะ...”วัชยิ้มตาหยี ฟันสีขาวเรียงกันเป็นระเบียบ
“วัชอย่าก่อเรื่องชกต่อยอีกเลยนะ...น่านไม่อยากให้วัชไปมีเรื่องกับใครเลย” น่านพูดจบ ความเงียบเข้ามาเยือน เหมือนกับมีเส้นบางๆขึ้นมากั้นระหว่างคนสองคน
“ถ้ามีใครมากวนตีนก็ต้องสั่งสอนมันบ้าง...เอาว่าเวลาที่มีเรื่องน่านก็ถอยออกไปห่างๆก็แล้วกัน...วัชกับลูกน้องจัดการได้อยู่แล้ว...”ศิวัชพูดแล้วยิ้ม ตั้งแต่เด็กสิ่งที่ศิวัชเห็นเป็นประจำคือการที่พ่อทำร้ายแม่ เขาเกลียดพ่อ เขารักแม่มาก ศิวัชไม่เคยเจอหน้าพ่อเลย ตลอดเวลาที่พ่อเดินออกจากชีวิตเขาไป ถ้าพ่อโทรมาหา เขาจะพูดด้วยน้อยมาก แทบจะนับคำได้ ขณะเดียวกันเขาจะคุยกับแม่ค่อนข้างบ่อย
“วัชทำให้น่านไม่ได้...ใช่มั๊ย...”น่านเสียงเครียดขึ้นมาจนศิวัชจับความรู้สึกได้
“ไม่เอาน่าน่าน...อย่าอารมณ์เสียสิ...เอาเป็นว่าวัชจะพยายามก็แล้วกันนะ”ศิวัชยิ้มให้น่าน มันเป็นรอยยิ้มที่อ่อนหวานที่สุดครั้งเดียวที่น่านได้เห็นจากเพื่อนรักคนนี้ เพราะหลังจากนั้น”น่าน”ก็ไม่ได้เป็นเพียง”เพื่อนรัก”ของวัชอีกต่อไป ฐานะของเพื่อนมันสิ้นสุดลงแล้วนับแต่...วินาทีนั้น
“น่าน...”เสียงวัชแหบพร่า
“หืม...”ดวงตาหวานๆของน่านมองลงมาที่ดวงตาของวัช ใบหน้าอันงดงามของเด็กหนุ่มทั้งสองห่างกันไม่ถึงนิ้ว ลมหายใจอุ่นๆรินรดกัน ศิวัชประกบปากของเขากับริมฝีปากบางๆของน่าน ลิ้นสอดประสานกันราวใบไม้ที่แตกยอดอ่อนล้อเล่นลม ความรู้สึกวาบหวิวเกิดขึ้น น่านใจสั่นหวิว...เหมือนกับมันจะขาดใจตายลงตรงนั้น มือไม้ป่ายเปะปะกอดรัดเพื่อนรักไว้ในอ้อมแขน ความคับแน่นในร่องรอยแห่งรักที่สอดประสาน บทรักที่เพื่อนรักมอบให้ มันเจ็บปวดและซ่านเสียวไปพร้อมๆกัน เขาอยากหยุดเวลานี้ไว้ให้นานๆ ไม่อยากให้มันหายไป อยากอยู่ด้วยกันอย่างนี้ตลอดไป เรือนกายของเด็กหนุ่มสอดประสานกันอย่างลงตัว ทั้งแผ่วเบา ทั้งรุนแรง กระแทกกระทั้น ตามพลังแห่งความรัก ความผูกพันที่มีให้กัน

“วัช...น่านรักวัชนะ”น่านนอนซบลงบนอกที่แน่นไปด้วยกล้ามเนื้อของคนรัก
“วัชก็รักน่าน...น่านอย่าทิ้งวัชไปไหนนะ...”วัชจับใบหน้าของน่านขึ้นมาแล้วระดมจูบไปทั่วใบหน้า
“พอแล้ววัช...เดี๋ยวช้ำหมด...หอมแรงจัง” น่านดิ้นหนี แต่ก็ไม่พ้นเงื้อมมือของวัชไปได้
“ขอวัชอีกครั้งนะ...ที่รัก...”เสียงของ”วัช”บ่งบอกถึงความต้องการอย่างที่สุด มันทำให้น่านไม่อาจหลีกเลี่ยงอารมณ์อ่อนไหวนั้นไปได้ จนแล้วจนรอดน่านก็ไม่หลุดพ้นอ้อมขาของวัชไปไหนได้ จวบจนแสงแห่งยามรุ่งอรุณมาเยือน

“วัช...ตื่นเถอะ...ไม่ไปโรงเรียนเหรอ...”น่านปลุกวัชให้ตื่น ร่างกายเปลือยเปล่าของทั้งคู่กอดรัดกันอยู่ใต้ผ้าห่ม ใจน่านเองก็อยากจะอยู่กับวัชอย่างนี้นานๆ ไม่อยากไปเรียนเลย แต่ด้วยภาระหน้าที่ของหัวหน้าห้อง เขาต้องจำใจตื่น
“วัช...ใกล้สอบแล้วนะ...ต้องไปเรียนนะครับ”น่านเขย่าร่างกายเปลือยเปล่าของวัช มัดกล้ามแน่นหนันไปทุกส่วน ไรขนที่หน้าอกมันลามลงไปจนถึงเนินหน้าท้อง น่านนอนซบลงที่หน้าอกเด็กหนุ่มฟังเสียงหัวใจที่เต้นเบาๆ พลางเอามือลูบไล้ไรขนสีดำสนิท ที่มันเลื้อยลามลงไปเบื้องล่างที่อยู่ใต้ผ้านวมผืนหนา สัญลักษณ์แห่งความรักที่วัชมอบให้เขาเมื่อคืนนี้ มันอ่อนตัวนอนสงบนิ่งอยู่ มันไม่เหมือนกับเมื่อคืนเลย...ที่ดูโชนเขม็งและดุดัน...ตอนนี้มันดูไร้พิษสงและสงบเสงี่ยมจริงๆ น่านปิดผ้าห่มลง
“ทำอะไรอ่ะครับ...แอบดูเหรอ...”เสียงวัชแหบพร่า
“เปล่า...ทำไมมันไม่น่ากลัวเลยวัช”น่านเอื้อมมือลงไปจับเล่น...
“เดี๋ยวมันตื่นจะเจ็บตัวอีกนะ...”วัชยิ้มแล้วจับน่านให้มานอนหนุนแขน
“วัช...ตื่นเถอะ...ไปเรียนนะ...”น่านบอกเป็นครั้งที่สาม
“อืม...ไม่ไปไม่ได้เหรอ...วัชอยากนอนกอดกับน่านทั้งวันเลยรู้มั๊ย...ไม่ต้องไปหรอกนะ...”วัชลูบไล้เรือนร่างของน่าน เขาลากนิ้วผ่านหัวนมที่แข็งเป็นไตของน่าน และน่านต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อปลายลิ้นลากผ่านซ้ำลงไปอีก เกมส์แห่งรักเริ่มอีกครั้ง
...............................................


“ป้อเหรอ...น่านเองนะ...ป้อช่วยรวบรวมรายงานส่งอาจารย์สมเกียรติที่สิ...น่านไม่สบายอ่ะ...ไปไม่ไหวจริงๆ...ส่วนรายงานของน่านกับ...เอ่อ...วัชน่ะ...เดี๋ยวจะให้คนเอาไปฝากไว้ที่ยามหน้าประตู...วานป้อออกมาเอาไปส่งให้หน่อยนะ...นะป้อนะ...”เสียงออดอ้อนเพื่อนได้ผลเสมอ...ป้อเป็นคนใจดี ทั้งสองเป็นหัวหน้าและรองฯที่เข้าขากันมาก ตอนที่ป้อเป็นอีสุกอีใสเมื่อเทอมที่แล้ว...น่านนี่แหละที่ทำการบ้านส่งให้ตลอด...จนศิวัชแอบเหน็บแนมตลอดเวลา เป็นอีกเหตุผลที่ศิวัชไม่ค่อยชอบหน้าป้อ...ศิวัชหึงเหรอ...ไม่ใช่หึงแต่รู้สึกว่าไม่ค่อยชอบใจที่น่านทำอะไรให้ใคร...

“มองอะไร...”น่านถามศิวัชที่มองตามตลอดเวลาที่น่านเดินคุยโทรศัพท์อยู่ปลายเตียง
“ก็ฟังอยู่ว่าน่านคุยอะไรมากกว่านี้มั๊ย...”ศิวัชหันหลังให้หลับตาลง น่านกระโดดขึ้นเตียงเข้าไปกอดกับเด็กหนุ่ม
“บ้ารึเปล่า...วัชเนี่ย...ไม่เข้าเรื่องเลย...น่านไม่ได้คิดอะไรกับป้อเลยนะ”น่านกอดวัชไว้แล้วก็หอมแก้ม
“วัชกลัวว่าน่านจะไม่รักวัชน่ะสิ”  วันนั้นทั้งวัน...เด็กหนุ่มทั้งสองต่างอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน...
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 11=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 22-08-2009 01:47:01
แล้วจะเปนยังงัยต่อนะ    อยากรู้จังเลย



วัช จะเข้ามารบกวน หนุ่ย แบบไหนนะ



ทั้ง ๆ ที่ วัช ก้อมี น่าน อยู่แล้ว



จะมีบทชิงรักหักสวาทกันหรือป่าวนะ




 :z2:    :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 12=
เริ่มหัวข้อโดย: ifwedo ที่ 22-08-2009 01:53:36
ลุ้นคู่หนุ่ยกะธีร์ด้วย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 12=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 22-08-2009 01:57:21
ศิวัชก็มีปมชีวิตมากมาย น่าสงสารเหมือนกัน
เด็กที่เติบโตมาโดยปราศจากผู้ชี้นำที่ดี แต่กลับได้คนใกล้ชิดที่เป็นไปในทางตรงข้ามโดยสิ้นเชิง
แล้วแบบนี้ความขัดแย้งระกว่างหนุ่ยกับศิวัชมันจะลุกลามขนาดไหนกันนะ
บวก 1 แต้ม รออ่านต่อไป ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 12=
เริ่มหัวข้อโดย: WEERACHOT ที่ 22-08-2009 05:31:36
 :L2:เป็นกำลังใจให้ครับบบ

ธีร์กับหนุ่ยสู้ๆ

ศิวัชก็เหมือนกัน ไม่น่ามาโกรธกับหนุ่ยเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 12=
เริ่มหัวข้อโดย: wichit14 ที่ 22-08-2009 11:06:00
แล้วมันจะลงเอยแบบไหนเนี่ย ดูแล้วรวย ๆ กันทั้งนั้น
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 12=
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 22-08-2009 11:20:01
วัชเองก็มีมุมเศร้าๆเหมือนกันน่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 12=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 22-08-2009 13:27:23
ว่าแล้ว

วัช กะ น่านอะ

เหลือแต่ ธีร์กะหนุ่ย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 12=
เริ่มหัวข้อโดย: Vesi ที่ 22-08-2009 15:50:04
ธีร์นี่เปลี่ยนไปในทางดีมากๆเลยนะนี่ ผิดไปจากตอนแรกยังกะคนละคน

นายวัชก็เป็นเด็กมีปัญหา หวังว่าน่านคงจับนายวัชอบรมให้ดีขึ้นได้มั่งนะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 12=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 23-08-2009 06:36:29
13 ห้องปกครอง

          อาจารย์ฝ่ายปกครองเรียกผู้ปกครองของเด็กที่มีเรื่องกันไปพบที่ห้องประชุมเพื่อพูดคุยกันในเรื่องนี้ ธีร์และหนุ่ยนั่งอยู่ด้วยกัน คุณโสภาพรรณ เจ้ามือหวยรายใหญ่ เอ้ย...แม่ของปิงเมือง นั่งอยู่กับลูกชายสุดหล่อที่ตอนนี้ปากบวมเจ่อเป็นลูกครุฑ ส่วนศิวัชนั่งโหนกแก้มเขียวปั๊ดอยู่กับพลโทสง่า ชลวินิตย ผู้ที่เป็นคุณตา ทั้งสามฝ่ายต่างมารับทราบกฎระเบียบการลงโทษนักเรียนของโรงเรียน และหาทางแก้ปัญหาร่วมกันในแนวทางสันติวิธี หนุ่ยและปิงโดนทำทัณฑ์บนไว้ ห้ามไม่ให้มีเรื่องอีกเป็นครั้งที่สอง และโดนตีอีกคนละ 3 ที ส่วนค่าเสียหายธีร์ยอมชดใช้ค่ารักษาพยาบาลและค่าทำขวัญให้คุณโสภาพรรณ ที่หนุ่ยไปต่อยปิงจนสลบ คุณโสภาพรรณพอใจเรื่องจึงจบลงไป ส่วนศิวัชนั้นอาจารย์ให้กล่าวขอโทษหนุ่ย ที่ใช้วาจาก้าวล่วงและดูถูก

“นายศิวัช...ครูสั่งให้ขอโทษศิลปิน...เธอไม่ได้ยินเหรอ...”อาจารย์สมเกียรติเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงกร้าว
“............”  เงียบ...ไม่มีปฏิกิริยาจากศิวัช
“............”
“เจ้าวัช...ไปขอโทษเพื่อนสิลูก”เสียงพลโทสง่าดังกังวานออกมา คุณตาที่นั่งนิ่งมานานเอ่ยขึ้นมา บ่อยครั้งเหลือเกินที่คุณตาต้องออกโรงเอง...ท่านไม่อยากให้หลานชายต้องเป็นแบบนี้เลย ทุกครั้งที่มาโรงเรียนด้วยเรื่องแบบนี้ท่านรู้สึกอายจริงๆ
“เราขอโทษ...ที่ล่วงเกินนายด้วยวาจา...เราจะไม่ทำอีก”  ศิวัชพูดเบาๆแต่ทุกคนในห้องได้ยิน
“ไม่เป็นไร...เราไม่โกรธนาย...ทุกอย่างจบลงไปแล้ว” หนุ่ยยื่นมือข้างที่ไม่หักออกมาให้จับแต่วัชไม่จับด้วย...

          หลังจากที่ทุกคนยกเว้นพลโทสง่าและศิวัชออกมาจากห้องประชุม หนุ่ยก็เข้าไปขอโทษคุณโสภาพรรณและปิง
“ผมขอโทษคุณน้าด้วยที่ระงับอารมณ์ไม่ได้...ผมเสียใจ...และจะไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก”หนุ่ยพยายามจะยกเฝือกขึ้นมาอีกข้างเพื่อไหว้ขอโทษคุณโสภาพรรณและปิง
“ไม่เป็นไรหรอก...ทีหลังจะทำอะไรก็ระวังหน่อยก็แล้วกัน...คิดก่อนทำนะ...จำไว้” คุณโสภาพรรณหันหลังเดินไปขึ้นรถ ส่วนปิงที่ยังยืนอยู่ตรงนั้น หนุ่ยก็ยื่นมือออกไปให้จับพร้อมกับพูดว่า
“ขอโทษนะ...เราไม่ได้ตั้งใจให้มันรุนแรงอย่างนี้...”
“ไม่เป็นไร...เราเองก็ต้องขอโทษนายเหมือนกัน...ที่พยายามทำร้ายนายก่อน” ปิงกับหนุ่ยจับมือกันแล้วยิ้มให้กับมิตรภาพที่เพิ่งเกิดขึ้น
“ว่าแต่นายทำไมหมัดหนักนักวะ” ปิงกระซิบถาม
“ไม่รู้เหมือนกัน...”
“เอาไว้สอนเราต่อยมวยหน่อยนะ” ปิงพูดแล้วยิ้มออกมาจนน้ำลายสอ เพราะปากหุบไม่ได้

          ปิงเดินไปส่งคุณโสภาพรรณขึ้นรถแล้วก็เดินไปเรียนก่อนจะจากไปยังหันมาโบกมือให้กับหนุ่ยอีก  ทำให้หนุ่ยใจชื้นขึ้นเป็นกอง เขายังห่วงก็แต่ศิวัชกับคุณตาที่ยังอยู่ในห้องประชุม...ไม่รู้จะโทษหนักขนาดไหน ขนาดเมื่อกี้นี้โดนฟาดไปสามทียังเจ็บตูดอยู่เลย สงสัยตูดจะแตกแน่ๆ
“ขอบคุณพี่ธีร์มากครับที่มาวันนี้...”หนุ่ยยกมือไหว้ธีร์
“พี่เป็นผู้ปกครองของหนุ่ย...ด้วยหน้าที่และความรับผิดชอบพี่ต้องมาอยู่แล้ว...แต่หนุ่ยเองก็ต้องมีหน้าที่และความรับผิดชอบเช่นเดียวกันคือ...ต้องตั้งใจเรียนและไม่ก่อเรื่องให้วุ่นวายอีก...พี่หวังว่าเรื่องเล็กๆแค่นี้หนุ่ยคงทำให้พี่ได้นะ”ธีร์ให้โอวาทยาวเหยียด หนุ่ยก้มหน้าสำนึกผิด

          หนุ่ยกลับไปนั่งเรียนอีกครั้ง น่านนั่งเหม่อมองออกไปข้างนอกตลอดเวลา จนอาจารย์ที่สอนต้องเรียกหลายครั้ง หนุ่ยเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมหัวหน้าห้องผู้นิ่งเฉยคนนี้ไม่พูดไม่คุยกับเขาเลย
“น่าน...”หนุ่ยเรียกน่านพร้อมเอาขากระแทกโต๊ะให้น่านตื่นจากภวังค์ซะที
“หืม...”
“อาจารย์ให้การบ้าน”หนุ่ยบอกพลางเลื่อนสมุดให้น่านลอกโจทย์
          ทั้งสองทำการบ้านด้วยกัน ครั้งนี้น่านเป็นคนลอกหนุ่ยทั้งหมดเพราะว่าน่านไม่ได้ตั้งใจฟัง เลยทำไม่ได้ หนุ่ยเต็มใจให้เพื่อนลอกไปก่อน
“เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟังนะ”หนุ่ยบอกยิ้มๆ
“.......”น่านยิ้มให้หนุ่ยเหมือนกัน
....................................................

          บรรยากาศที่ห้องปกครองเต็มไปด้วยความตึงเครียด พลโทสง่าร้องขอทางโรงเรียนไม่ให้ไล่ศิวัชออก แต่อาจารย์สมเกียรติยังยืนยันในกฎระเบียบของโรงเรียน ศิวัชเป็นเด็กที่มีปัญหามาตลอด ไม่เคยอยู่ในกรอบระเบียบของโรงเรียนเลย ไม่พยายามทำตัวให้ดีขึ้น พลโทสง่ายังขอร้องอีกครั้งและรับปากว่าจะดูแลให้ดีไม่ให้มีปัญหาอีก ในที่สุดอาจารย์ก็ยอมเพื่อให้โอกาสกับลูกศิษย์อีกครั้ง แต่มีข้อแม้อยู่ว่าถ้าทำผิดอีก ทางโรงเรียนจะไล่ออกสถานเดียว
“ขอบคุณครับ” ศิวัชก้มลงกราบอาจารย์สมเกียรติ
“เธอต้องไปกราบขอโทษคุณตาเธอมากกว่านะ...ท่านต้องเหนื่อยกับเธอมาหลายครั้ง...ต้องรับผิดชอบกับเธอโดยที่เธอเองไม่เคยแม้แต่จะคิดสำนึก...” อาจารย์พูด
“คุณตาครับ...ผมขอโทษครับ”ศิวัชกราบพลโทสง่าที่ตัก
“วัชฟังตานะลูก วัชต้องทำตัวให้ดีอาจารย์ท่านให้โอกาสแล้ว วัชต้องใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์นะลูก...ทำตัวให้ดีให้สมกับเป็นหลานตา...อย่าวู่วามทำอะไรให้ยับยั้งชั่งใจ...ตั้งใจเรียนนะลูกนะ”พลโทสง่าลูบหัวหลานชายคนเดียวด้วยความรัก

          จากนั้นศิวัชก็กลับขึ้นห้องไปเรียน ท่ามกลางสายตาของเพื่อนร่วมห้องที่กลัวว่าศิวัชจะมาหาเรื่องใครๆอีก แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ศิวัชนั่งเรียนเงียบๆจนเลิกเรียนโดยที่ไม่พูดหรือคุยกับใครสักคนเดียว หลังจากสัญญาณเลิกเรียนวิชาสุดท้ายดังขึ้น ศิวัชเดินออกจากห้องกลับบ้านทันที น่านมองตามด้วยความเป็นห่วงแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แต่ไม่สบายใจเอามากๆ ก่อนจะลุกกลับบ้านหนุ่ยก็ดึงตัวไว้อีก
“จะอธิบายที่อาจารย์สอนให้ฟัง...น่านจะฟังมั๊ย”หนุ่ยมองตาเหมือนจะสะกดให้น่านนั่งลงเพื่อคุยกับเขาก่อน
“ก็ได้...เร็วๆนะ”น่านบอกก่อนจะนั่งลงตรงหน้า หนุ่ยเริ่มอธิบาย แต่จนแล้วจนรอดน่านก็ยังไม่มีสมาธิจะฟัง เมื่อหนุ่ยพูดจบ น่านจึงไม่ได้อะไรจากที่หนุ่ยอธิบายเลย
“ขอบใจนะหนุ่ย”น่านลุกขึ้นยืนจะกลับบ้านแต่หนุ่ยกลับจับมือเอาไว้แล้วดึงให้นั่งลงก่อน
“น่าน...เราคุยอะไรด้วยหน่อยสิ”หนุ่ยมองหน้าเพื่อนก่อนจะพูดต่อ โดยไม่ปล่อยให้น่านปฏิเสธ
“น่านสนิทกับวัชมากใช่มั้ย...”หนุ่ยเปิดประเด็น
“น่านน่าจะเตือนวัชบ้างนะ...เราเป็นห่วง”หนุ่ยมองเข้าไปในดวงตาหวานๆของน่าน เขาอยากให้น่านรู้เหลือเกินว่าเขาเองก็ห่วงวัช เหมือนกัน เรื่องเมื่อวันนั้นน่ะ...ทำไปแล้วเขาก็เสียใจ
“แค่นี้เหรอหนุ่ย...”น่านถาม น้ำเสียงที่บ่งบอกว่าไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกของหนุ่ยเลย น่านรู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่สามารถที่จะพูดอะไรได้...แค่ได้อยู่ใกล้ๆ....แค่ได้รัก...หรือแค่วัชหันมามอง...น่านก็รู้สึกว่ามันมากเกินพอแล้ว เด็กหนุ่มไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้
“............”หนุ่ยพยักหน้าแทนคำตอบ แล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

          ทั้งสองคนเดินลงมาจากตึกเรียนพร้อมๆกันโดยไม่ได้พูดกันอีกเลย เมื่อถึงทางเดินชั้นล่างสุดแล้วต่างคนก็ต่างกลับบ้านไป น่านเองเมื่อเดินมาถึงบ้านแล้ว ด้วยความคิดถึงและเป็นห่วงวัชอย่างที่สุดเขาจึงกดโทรศัพท์หาวัช เสียงเรียกอยู่หลายครั้ง...วัชไม่รับ...แต่น่านก็ยังไม่ละความพยายามกดซ้ำเรียกอีก วัชรับโทรศัพท์...น่านไม่ปล่อยให้วัชพูดแม้แต่คำว่า”ฮัลโหล” 
“วัช...เป็นยังไงมั่ง...น่านเป็นห่วงนะ”น่านพูดไปตามสาย
“.................”
“แต่น่านเป็นห่วงวัชมากนะ...”    น่านคิดไปถึง”เรื่องอย่างว่า”แล้วมันก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที...น่านกดมันลงไป
“.................”
“ให้น่านไปหานะวัช...ให้น่านไปนอนเป็นเพื่อนก็ได้”น่านตื้อต่อ
“..............”
“วัช...นะวัชนะ...น่านไปหานะ”น่านยังจะไปให้ได้
“...............”

          น่านคว้าเสื้อผ้าใส่เล่น2-3ชุดและเสื้อผ้านักเรียนอีกชุดใส่เป้ เขาคิดระหว่างที่เก็บเสื้อผ้าว่าพรุ่งนี้วันศุกร์...เขาอาจจะอยู่กับวัชตลอดเสาร์อาทิตย์เลยก็ได้...น่านนั่งแท็กซี่ออกจากบ้านไปหาวัชที่บ้านทันที อาณาบริเวณที่กว้างใหญ่ของคฤหาสน์ราคาหลายสิบล้าน เด็กหนุ่มเดินเข้าไปหาวัชถึงหน้าห้อง
“...ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...”น่านเคาะประตูและลองบิดลูกบิด ปรากฏว่าประตูไม่ได้ล๊อก น่านเดินเข้าไปในห้องที่ปิดไฟมืดมิดไปหมด แอร์เปิดอยู่เย็นเฉียบ เพลงเบาๆจากเครื่องเสียงยังเปิดอยู่ แต่ไม่เห็นแม้เงาของวัช เตียงนอนเรียบไม่มีร่องรอยของการนอนมาก่อน น่านเดินสำรวจไปทุกซอกมุมของห้อง ทั้งห้องน้ำ ห้องแต่งตัว น่านล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดเบอร์ของวัช เสียงโทรศัพท์ดังแว่วๆอยู่ น่านเดินหาจนเจอโทรศัพท์มือถือของวัชที่มันอยู่ในกระเป๋านักเรียน น่านกดดูเบอร์ที่เรียกเข้า มีเบอร์แปลกๆอยู่สองสามเบอร์ แต่น่านไม่ได้สนใจ เขาอยากรู้มากกว่าว่าวัชไปไหน จนไปถึงนอกชาน น่านต้องตกใจเพราะเสียงเพลงเบาๆเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นจังหวะเร่าร้อนขึ้น ไฟทั้งห้องสว่างจ้า พร้อมๆกับการปรากฏตัวของวัช วัชเข้ามากอดน่านจากด้านหลัง

“มาแล้วเหรอครับ...คิดถึงจังเลย...”วัชกดจมูกลงที่ต้นคอขาวๆของคนรัก
“ตกใจหมดเลย...วัชนี่เล่นบ้าๆ...” น่านหันมากอดวัชเอาไว้ในอ้อมกอดเช่นเดียวกัน
“แล้วดูสิ...เสื้อผ้าไม่ใส่...” น่านก้มลงมองวัชในสภาพที่ใส่กางเกงในสีขาวเพียงตัวเดียว ขอบกางเกงในสีแดงมีตัวหนังสือเขียนไว้รอบเอว Calvin Klein วัชบดเบียดท่อนล่างเข้ากับน่านเบาๆ
“น่าน...รักวัชมั๊ย...”วัชถามพลางดึงน่านเข้าไปในห้อง วัชไม่ต้องการคำตอบ ทั้งคู่ล้มลงบนเตียง อีกครั้งที่น่านโดนรุกล้ำ แต่ครั้งนี้มันผิดปกติจนน่านเองรู้สึกได้ วัชใช้พลังในการทำให้น่านมีความสุขอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ละครั้งก็นานอย่างเหลือเชื่อ ...

“วัชเป็นอะไรไปครับ...คึกจังเลย” น่านถามด้วยความสงสัยเพราะตั้งแต่หัวค่ำ...วัชยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเลย
“ดีมั้ยล่ะ...วัชมีความสุขจังเลย...น่านมาอยู่กับวัชที่นี่ได้มั้ย” วัชพูดออกมาพร้อมกับร่างกายที่โถมเข้ามากอด
“ได้ไง...ลูกเค้ามีพ่อมีแม่นะ” น่านยิ้มอายๆ
“บอกก่อนสิว่าจะมาอยู่ด้วยกันมั้ย....” วัชจับแขนน่านขึ้นไปกดไว้เหนือหัวก่อนจะก้มลงไปไซร้ที่ซอกคอ ทำเอาน่านดิ้นพราดๆเลยทีเดียว
“วัชอย่าสิ...ไม่ไหวแล้วอย่า...เจ็บไปหมดแล้ว...ไปกินอะไรมา...คึกจัง” น่านไม่รู้หรอกว่า...ที่พูดออกมานะเป็นความจริงทุกอย่าง แต่สิ่งที่น่านคิดว่าวัช”กิน”น่ะมันไม่ใช่ คนทั่วไปเค้าเรียกว่า”เสพ” ต่างหาก
.....................................................

          เมื่อตอนเย็นหลังจากสัญญาณเลิดเรียนดังขึ้นแล้ว วัชเดินออกมาจากห้องเรียนด้วยความเซ็งสุดขีด คุณตาบอกกับเขาเมื่อกลางวันว่าจะไปเมืองจีนกับคุณยายกลับวันพุธหน้า เขาต้องอยู่คนเดียวเกือบหนึ่งสัปดาห์ มันเป็นอะไรที่เหงาเอามากๆ
“พี่อุ้ย...เซ็งว่ะ...มี”กลาส”มั่งมะ”  วัชคุยกับเพื่อนรุ่นพี่หลังจากเดินลงจากแท็กซี่เข้าบ้าน
“..........”
“เดี๋ยวให้ใครเอามาให้ที่บ้านด้วยนะ...เท่าไหร่พี่”
“............”
“...ห้าพัน...”วัชร้องออกมาเขานึกในใจทำไมมันแพงจังวะ...พี่อุ้ยนี่มันขึ้นราคาทุกครั้งที่สั่งเลยเหรอ คราวก่อนยังไม่ใช่ราคานี้นี่ แต่ทำไงได้...ห้าพันก็ห้าพัน
“.............”
“เออ...เอาก็เอา...เร็วๆนะ...”วัชวางหูแล้วเปิดประตูเข้าห้อง
          ก่อนที่จะวางสายจากพี่อุ้ยมีโทรศัพท์แทรกเข้ามาสองครั้งเป็นโทรศัพท์ของน่าน เค้าไม่ค่อยอยากรับเท่าไหร่เลย แต่นึกๆไปเขาเองก็คิดถึงน่านเหมือนกัน ไม่ได้เจอกันแบบส่วนตัวหลายวัน เขาจึงกดรับโทรศัพท์”น่าน”
“...................”
“อืม...วัชอยากอยู่คนเดียวนะน่าน”ศิวัชเปิดปากพูดกับน่านเป็นครั้งแรก
“..................”
“ไม่เป็นไร...ไม่ต้องห่วงนะ”ศิวัชเริ่มคิดอะไรในสมอง
“....................”
“....................” ศิวัชไม่พูด เขากำลังใช้ความคิด
“....................”
“อืม...ตามใจ” ศิวัชพูดเบาแล้ววางสาย เขานึกในใจ ”ดีเหมือนกัน...เก็บกดมาหลายวัน...น่านมาก็ดีจะได้ระบายให้หายอยาก...”
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 12=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 23-08-2009 11:23:58
 :L2:   มาให้กำลังใจคับ

เรื่องราวต่อไปมันจะสับสนกว่านี้อะป่าว

อยากอ่าน  :oo1: แบบนี้บ้างจัง

หนุ่ยกับธีร์ จะเปนยังงัยต่อนะ

 :z2:   :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 13=
เริ่มหัวข้อโดย: ifwedo ที่ 23-08-2009 12:03:34
ลุ้นหนุ่ยกะธีร์ด้วยอิๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 13=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 23-08-2009 12:31:21
เหมือนรีบนจ้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 13=
เริ่มหัวข้อโดย: MonkeYMauS ที่ 23-08-2009 12:37:42
วัชเอ้ยยยยย


ไม่น่าเลยยยย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 13=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 23-08-2009 13:25:36
ดูๆไปนายศิวัชก็น่าสงสารเหมือนกันนะ :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 13=
เริ่มหัวข้อโดย: WEERACHOT ที่ 23-08-2009 14:48:45
 :o12: สงสารน่านกับวัชอ่ะครับ...เหอ เหนื่อยๆจัง

คู่ธีร์กับหนุ่ย ยังไม่คีบหน้า อิอิ

เป็นกำลังใจให้คนเขียนครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 13=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 23-08-2009 20:18:59
น่านรักวัช
แล้ววัชคิดยังไงกับน่านกันแน่
คนที่ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองได้รับความรัก รักตัวเองก็ไม่เป็น จะรักคนอื่นเป็นจริงหรือ
น่าสงสารทั้งวัชและน่าน
บวก 1 แต้มนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 13=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 23-08-2009 21:00:16
 :เฮ้อ: อ่านแล้วเครียดตามไปด้วยเลย สงสารน่านจังรักเค้าแล้วจะเป็นไงต่อน๊า
ในเมื่อเค้าไม่เคยมองเห็นอะไรเลยแล้วจะรู้หรือ...

นิว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 13=
เริ่มหัวข้อโดย: nithiwz ที่ 24-08-2009 03:34:22
เนื้อเรื่องเริ่มโหด  เหมือนจะมี something wrong นายวัชน่ากลัวอ่ะ สงสารน่านจัง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 13=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 24-08-2009 05:57:17
14 HUA-HIN

“น่าน...ไปหัวหินกันมั๊ย...” วัชเอ่ยชวนน่านหลังจากที่ทั้งคู่เดินออกมาจากห้องน้ำ
“ไปสิ...พรุ่งนี้เลิกเรียนไปกันเลยดีมั๊ย” น่านบอกยิ้มๆเขาเตรียมเสื้อผ้ามาแล้ว
“ไม่เอา...ไปเดี๋ยวนี้แหละ” วัชยิ้มแล้วเอาผ้าขนหนูผืนเล็กๆเช็ดผมให้น่าน
“หา...ไปเดี๋ยวนี้เหรอ...” น่านตาโต
“แล้วพรุ่งนี้ไม่เรียนเหรอ” น่านพูดพลางส่ายหน้าเดียะ
“ไปเหอะ...ขี้เกียจเรียน” วัชเป็นอย่างนี้เสมอ...หลังๆน่านเรียนไม่ค่อยทันเพื่อนเลย...โดดเรียนเป็นประจำ ดีที่น่านมีทุนเรื่องมันสมองอันดีเลิศ เขาเรียนทันอยู่แล้วละ แต่วัชสิน่าห่วงกว่า
“วัชเรียนไม่ทันเพื่อนอยู่นะ...” น่านพยายามชักจูงให้วัชเข้าเรียน
“จะไปรึเปล่า” ประโยคสั้นๆทำให้น่านพยักหน้ารับคำโดยง่าย
“ดี...คิดว่าไม่ไป...วัชจะได้ชวนคนอื่นไป”
“ไปก็ไป...วัชนี่เอาแต่ใจจริงๆ” น่านเข้าไปกอดร่างเปลือยที่ยืนเช็ดตัวอยู่หน้ากระจกในห้องแต่งตัว
“มีแฟนเอาแต่ใจก็ต้องตามใจใช่มั๊ย...ที่รัก” วัชหันมาหาน่าน ร่างกายท่อนล่างตื่นตัวตามอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน มันคล้ายน้ำที่เดือดตลอดเวลา...”ฤทธิ์ของไอซ์นี่มันดีจริงๆ...เอาไปด้วยดีกว่า” วัชคิดในใจก่อนจะเดินไปหยิบเอากล่องใส่อุปกรณ์หาความสำราญของเขาไปด้วยโดยที่น่านไม่รู้เลย
“แต่งตัวก่อนเลย...” น่านบอกวัชให้ใส่เสื้อผ้าก่อนที่อะไรจะเลยเถิดไปกว่านี้
“แต่งตัวให้หน่อยสิ...” วัชยืนกางแขนกางขาออกเหมือนรูปวาด”วิทรูเวียนแมน”ของดาวินชี่
“ยังกับเด็กเลย...” น่านดึงลิ้นชักใส่กางเกงในออกมา น่านหยิบกางเกงในสีดำออกมาตัวนึง
“ไม่เอา...วัชจะเอาตัวนั้น” วัชชี้ไปที่กางเกงใน Calvin Klein สีขาวที่มีขอบสีฟ้า
“นี่เหรอ...” น่านหยิบออกมาแล้วยกขาวัชข้างนึงเพื่อใส่กางเกงให้
“กางขาอย่างนี้จะใส่ได้ยังไงเนี่ย” น่านใส่ได้ขาเดียวก็ต้องหยุดเพราะใส่อีกไม่ได้ วัชยืนกางขากว้างจนเห็นไอ้...
”น่าเกลียดจริงๆวัชนี่” น่านใส่กางเกงในให้จนเสร็จ วัชเดินไปหยิบเสื้อยืดออกมาใส่เองได้ ทั้งสองแต่งตัวครู่เดียวเท่านั้นก็พร้อมออกเดินทาง
“หิวจังเลย...” น่านยังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เย็น มาถึงก็โดน....ไม่ได้หยุด จนนี่มันเกือบจะตีหนึ่งเข้าไปแล้ว
“วัช...พาน่านไปหาอะไรกินหน่อยนะ...” น่านกอดเอววัชขณะที่เดินลงมาจากห้อง

          วัชเดินลงมาพร้อมกับน่าน จนมาถึงโรงรถเขากำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะเอารถคันไหนไปดี  “ถ้ารถเบนซ์คุณตามันเหมือนคนแก่เอามากๆ” วัชคิดในใจ เอาคันเล็กๆดีกว่าเพราะไปกันแค่สองคนเท่านั้น
“คุณหนูจะไปไหนครับ” เสียงดังขึ้นด้านหลังทำเอาวัชสะดุ้งเฮือก
“ไอ้บ้า...ตกใจหมด...เอากุญแจมินิมาให้ฉันหน่อย” วัชทำหน้ายุ่งๆ
“นี่ครับ...” คนขับรถคุณตาเอากุญแจมาให้วัช
“ชั้นจะไปหัวหิน...อย่าบอกคุณตานะ”วัชสั่งคนขับรถ

          สองหนุ่มแวะกินข้าวมันไก่ที่ถนนเพชรบุรีเรียบร้อยก็ออกเดินทาง วัชไม่ลืมที่จะเอากุญแจคอนโดที่หัวหินมาด้วย ความเร็วที่วัชขับนั้นเกือบทำให้น่านหัวใจวายตาย น่านต้องคอยเตือนอยู่เรื่อยๆเมื่อเร็วเกิน 160 วัชขับรวดเดียวถึงหัวหินโดยไม่ได้หยุดพักเลย ตีสามกว่าๆ ทั้งสองหนุ่มก็เดินทางถึงหัวหิน สองหนุ่มนอนหลับไปจนเกือบเที่ยงของอีกวัน
................................................

“หนุ่ย...ตำรวจเรียกไปพบที่โรงพักนะ...พรุ่งนี้เลิกเรียนพี่จะไปรับ”ธีร์บอกหนุ่ย
“ครับ...พี่ธีร์...ผมเอ่อ...ไม่อยากให้ตำรวจเอาเรื่องไอ้พวกนั้นเลย” หนุ่ยไม่อยากยุ่งยากอีกแล้ว เขากลัวว่าจะทำให้เรื่องมันบานปลายไปกันใหญ่ เพราะลึกๆแล้วหนุ่ยรู้ดีว่าใครเป็น”คนบงการ”เขาไม่อยากให้เพื่อนต้องหมดอนาคต
“คดีทำร้ายร่างกายเป็นอาญา...ตำรวจไม่ยอมหรอก” ธีร์บอกแล้วก็เข้าห้องไป หนุ่ยถอนหายใจแล้วก็เดินคอตกเข้าห้อง

          รุ่งขึ้นตอนเย็นหนุ่ยและเพื่อนๆที่อยู่ในเหตุการณ์ในวันนั้นเข้ามาให้การกับตำรวจเพิ่มเติมอีกครั้ง ทำเอาทั้งโรงพักวุ่นวายไปด้วยเหล่าทโมนทั้งหลาย เสร็จเรียบร้อยก็มืดค่ำธีร์ต้องเลี้ยงข้าวอีก ก่อนจะส่งกลับบ้าน ความคืบหน้าตอนนี้คือตำรวจได้ตัวคนทำร้ายร่างกายหนุ่ยมาแล้วคนนึง และจะตามจับให้ได้ทั้งหมด ที่สำคัญต้องการตัวไอ้อุ้ย...หัวโจกแก๊งนี้มาให้ได้เพื่อจะได้ซัดทอดต่อไปยังผู้อยู่เบื้องหลัง ซึ่งจากคำให้การแล้วตำรวจสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นศิวัช เพราะหนุ่ยไม่เคยมีเรื่องมีราวกับใครมาก่อน แต่ยังไงก็ตาม  ตำรวจยังสงสัยว่าไอ้อุ้ยมีส่วนในการค้ายาเสพติดอีกกระทงนึงด้วย ไอ้อุ้ยมีชื่ออยู่ในแก๊งค้ายา งานนี้จึงไม่ธรรมดา ผู้กำกับฯสั่งลงมาให้ติดตามคดีอย่างใกล้ชิด

“พี่ธีร์...เหนื่อยมั๊ยครับ” หนุ่ยถามเมื่อธีร์ขับรถมาส่งเขาที่บ้าน แล้วดูเหมือนว่าธีร์จะออกไปข้างนอกอีก
“พี่ไม่เหนื่อยหรอก...” ธีร์ยิ้มให้หนุ่ยแล้วลูบหัว
“พี่จะไปข้างนอกเหรอครับ” หนุ่ยถาม
“อืม...มีอะไรเหรอ...” ธีร์ถามเพราะเห็นหนุ่ยอึกอักๆ
“เอ่อ...เปล่าครับ...ขับรถดีๆนะครับ...อย่าดื่มมากล่ะ” หนุ่ยยิ้มให้ธีร์
“โหย...นอกจากแม่ก็มีหนุ่ยนี่ละ...เพิ่มมาอีกคน” ธีร์หัวเราะเบาๆ
“ก็ผมไม่อยากให้พี่ธีร์ออกไปดื่มข้างนอกนี่ครับ...” หนุ่ยบอก
“ทำไม...พี่ก็กินทุกวันศุกร์อยู่แล้ว...ไปละเดี๋ยวเพื่อนจะคอย...” ธีร์เดินกลับเข้ารถ
“ผมเป็นห่วงครับ” หนุ่ยพูดแล้วก็ยิ้มให้ธีร์ก่อนจะเดินเข้าบ้านไป

          ชายหนุ่มอิ่มเอิบใจเป็นที่สุด นอกจากคุณแม่แล้ว หนุ่ยก็เป็นห่วงเขา คำพูดแบบนี้ การแสดงออกแบบนี้...มันไม่มีมานานแล้ว...คำพูดที่ฟังแล้วชุ่มชื่นหัวใจเหลือเกิน...ธีร์ขับรถกลับคอนโดฯเขาปิดโทรศัพท์...กลัวเพื่อนโทรมาตาม...ตั้งใจแล้วว่าจะไม่กินเหล้า...ธีร์ก็แคร์คนที่เป็นห่วงเหมือนกัน         

          รุ่งขึ้นธีร์ตั้งใจจะชวนหนุ่ยไปงานเปิดตัวคอนโดฯของเพื่อนที่หัวหิน จึงออกจากคอนโดมารับหนุ่ยที่บ้านแต่เช้า หนุ่ยเพิ่งจะกลับจากไปวิ่งออกกำลังกายพอดี ทั้งสองคนพี่น้องเลยนั่งทานอาหารเช้ากันที่ระเบียงหน้าบ้าน

“เป็นไงลูก...เมื่อวานนี้ตำรวจว่ายังไง” ภาณีถามหนุ่ยพลางยกกาแฟขึ้นมาจิบ
“ก็ไม่มีอะไรครับ...ให้ปากคำเพิ่มเติมนิดหน่อย”หนุ่ยเช็ดเหงื่อที่ออกมาตามต้นคอ
“แล้วนี่แกมาทำอะไรแต่เช้าหือ...เจ้าธีร์...จะมารับน้องไปเที่ยวไหน” ภาณีดักคอ
“เพื่อนผมมันจัดงานเปิดคอนโดใหม่ที่หัวหินน่ะแม่...เลยจะมาชวนเจ้าหนุ่ยไปเที่ยวด้วย” ธีร์บอกภาณี สีหน้าระบายไปด้วยรอยยิ้ม
“หือ...เที่ยวกันทุกอาทิตย์เลย” ภาณีทำตาดุใส่
“หรือคุณแม่จะไปด้วยล่ะ” ธีร์ชวน
“ไม่ล่ะ...แม่นัดเพื่อนไว้น่ะ”
“งั้นผมพาน้องไปนะครับ...” ธีร์บอกแม่
“ขับรถดีๆล่ะ...แกน่ะชอบขับรถเร็ว” ภาณีตีมาที่มือของธีร์
“แหมก็รถมันแรงก็ต้องเหยียบหน่อย”ธีร์พูดแล้วก็หัวเราะ
“นี่ว่างๆแกสอนน้องขับรถบ้างสิ...จะได้ผลัดกันขับ...เผื่อเจ้าหนุ่ยมันขับไม่เร็วจะได้ขับให้แกนั่ง” ภาณีสั่งงานอีกอย่างแล้ว
“ครับคุณภาณี” ธีร์ล้อเลียนแม่ตัวเอง
“หนุ่ยทานข้าวเสร็จก็ไปอาบน้ำไป...เอากางเกงว่ายน้ำไปด้วยนะ” ธีร์สั่ง
“ผมไม่มีกางเกงว่ายน้ำครับ” หนุ่ยพูดยิ้มๆ...”พี่ธีร์คงลืมไป”หนุ่ยคิดในใจ
“เออ...เดี๋ยวไปซื้อเอาข้างหน้า” ธีร์สั่งแล้วโบกมือให้หนุ่ยขึ้นไปอาบน้ำ ระหว่างนั้นธีร์ก็คุยเรื่องรายละเอียดของคดีให้ภาณีฟัง
“จัดการให้หมด...พวกทรยศชาติ...ค้ายาเสพติด” ภาณีไม่ชอบมาแต่ไหนแต่ไรแล้วเรื่องยาเสพติด

          เกือบสิบโมงสองพี่น้องก็ได้เดินทางออกจากกรุงเทพฯธีร์ขับรถลงทางด่วนพระรามที่ 2 หนุ่ยขอเปิดวิทยุคลื่นที่ฟังประจำ ธีร์อนุญาตเพื่อว่าจะได้อัพเดทซะหน่อย เริ่มห่างชีวิตวัยรุ่นมานาน ปกติเขาฟังแต่คลื่น 105.5เพลงสากลหรือไม่ก็กรีนเวฟ 106.5

“พี่ธีร์...ง่วงมั๊ยพี่...กาแฟมั๊ยครับ”หนุ่ยบอกธีร์เพราะเป็นห่วง เขานึกว่าธีร์ออกไปดื่มมาเมื่อคืน
“ไม่ละ...เพิ่งกินมาเมื่อเช้าไง...”
“เมื่อคืนนี้พีธีร์กลับดึกรึเปล่าครับ”
“ไม่ดึก...พี่มาส่งหนุ่ยแล้วก็กลับไปนอนที่คอนโดเลย”
“อ้าว...ผมนึกว่าพี่จะไปดื่มเหล้ากับเพื่อน”
“ก็มีคนคอยเป็นห่วงอยู่...พี่เลยไม่กล้าไปน่ะสิ”
“โหยย...พี่ธีร์...ขนาดนั้นเลยเหรอ...”
“อืม...จริงๆพี่เห็นหนุ่ยไม่อยากให้พี่ออกไปดื่ม...พี่ก็เลยไม่ไป...” ธีร์หันมายิ้มให้หนุ่ย
“ถ้าคำพูดผมศักดิ์สิทธิ์ขนาดที่ทำให้พี่ธีร์ไม่ไปดื่มเหล้าได้นี่...ถ้างั้นผมขอให้พี่ธีร์ถูกหวยอีกอย่างนึงก็แล้วกัน” หนุ่ยพนมมือแล้วหลับตาแกล้งทำปากขมุบขมิบ
“ถ้าพี่ถูกหวยจะซื้อคอนโดฯของเพื่อนพี่ให้หนุ่ยห้องนึงเลยเอ้า...” ธีร์ยกมือขึ้นพนมบ้าง แล้วก็เอามือมาลูบหัวน้องชายด้วยความเอ็นดู
“ขอแว่นกันแดดกับกางเกงว่ายน้ำก่อนเถอะ...คอนโดฯใหม่ๆผมไม่เอา...ถ้าจะให้...ผมขอคอนโดฯที่พระรามสามก็พอ”

          หนุ่ยไม่รู้หรอกว่าคำพูดของเขากระทบหัวใจของธีร์อย่างแรง...ห้องชุดนี้...ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา...ราคาเกือบห้าล้าน...เขาดาวน์เอาไว้...ด้วยเงินเก็บเงินออม...รายได้ที่หาได้จากการตั้งใจทำงานนอกเวลาสมัยเรียนอยู่ที่นิวยอร์ค...เหนื่อยแทบขาดใจ...เพื่อจะซื้อไว้คอย...ใครสักคน...ที่บอกว่าจะกลับมาอยู่ด้วยกัน...

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 14=
เริ่มหัวข้อโดย: WEERACHOT ที่ 24-08-2009 06:28:53
ตอนแรกว่าจะนอน แต่พอเข้ามาดูเรื่องนี้...เย้ๆ มาต่อแล้ว

คู่น่านน่าสงสารอ่ะ ไม่รู้ว่าวัชทำไมถึงทำอย่างนั้น

คู่ธีร์กับหนุ่ย เหมือนลงรอยกันเยอะมากๆๆๆ

เรื่องดำเนินไปเร็วดีครับ

ปล.นักเขียนสู้ๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 14=
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 24-08-2009 09:15:27
ดูท่าทางจะวุ่นวายอีกยาวนานนนนนนนนนนนนนนน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 14=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 24-08-2009 10:15:30
อ้าว

ไปที่เดียวกันซะงั้น
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 14=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 24-08-2009 15:49:25
 :เฮ้อ:   แล้วจะไปเจอกับอีกคู่หรือป่าว

น่าจะมีเรื่องวุ่น ๆ อีกแล้ว นะ หนุ่ย

 :z2:   :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 14=
เริ่มหัวข้อโดย: Donpopper ที่ 24-08-2009 18:26:10
ท่าทางเหมือนว่านายวัชกำลังมีลางร้ายมาเยือนแล้วล่ะสิเนี่ย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 14=
เริ่มหัวข้อโดย: ifwedo ที่ 24-08-2009 19:29:00
มาอ่านน่ารักดี เอ๋ว่าแต่ หนุ่ย กะ ธีร์ ใครเป็น สามี ภรรยาน๊า อยากรู้จัง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 14=
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 24-08-2009 19:40:41
วัชน่าสงสารอ่ะ


เป็นเด็กขาดความอบอุ่นเลยทำให้นิสัยเสีย



ต้องโดนปรามซะแล้วงานนี้



เอาแต่ใจจิง




คงไปเจอกันแน่เลยที่หัวหินเนี่ย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 14=
เริ่มหัวข้อโดย: Vesi ที่ 24-08-2009 21:03:01
น่านกับวัชจะเป็นไงกันต่อไปนะ ส่อเค้าไม่ดีมาแล้ว

หนุ่ยกับธีร์ก็ความสัมพันธ์ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ถูกกั้นด้วยคำว่าพี่น้อง

เรื่องนี้ท่าทางวุ่นวายอีกยาว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 14=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 24-08-2009 21:21:46
ไปหัวหินคราวนี้ ท่าจะเจอเรื่องไม่ค่อยดีแน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 14=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 24-08-2009 22:39:49
น่านหมดความเป็นตัวของตัวเองไปเลย
ต้องเดือดร้อนเพราะวัชแน่ๆ ทั้งหนีเรียน ทั้งเสพยา แล้วยังมีเรื่องไปทั่วอีก
ส่วนธีร์กับหนุ่ยกำลังไปได้สวยเลยทีเดียว
แคร์ซึ่งกันและกันขนาดนี้ ยังไงๆคงไม่ใช่แค่พี่น้องแล้ว
บวก 1 แต้มนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 14=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 25-08-2009 04:27:24
15 อนันตรา

“พี่ธีร์...” หนุ่ยส่งเสียงเรียกเพราะเห็นว่าธีร์กำลังเหม่อ
“หา...อะไรหนุ่ย...เรียกซะตกใจหมดเลย...”
“พี่ธีร์เป็นอะไรไป...เหม่อขนาดนี้...”เสียงเด็กหนุ่มเรียกสติเขากลับมา
“ถึงหัวหินแล้วเหรอพี่...”
“ไม่ใช่...นี่มันแค่ชะอำ...” เด็กหนุ่มเห็นป้ายเลี้ยวซ้ายเพื่อจะแยกไปชะอำและหัวหิน
“ถึงชะอำก่อนแล้วค่อยถึงหัวหินเหรอพี่”หนุ่ยถาม
“ใช่...ถ้ามาจากกรุงเทพฯจะถึงชะอำก่อน”
“พี่พาผมไปดูทะเลที่ชะอำหน่อยได้มั๊ย...”
“ได้สิ...ขับเข้าไปนิดเดียวเอง” รถพุ่งลงสะพานข้ามทางรถไฟเล็กน้อย ธีร์ก็ชิดซ้ายเพื่อจะเลี้ยวเข้าหาดชะอำ เลี้ยวเข้าไปได้สักพัก
“พี่ธีร์...เค้าขายหมูหันกันทุกร้านเลยเนอะ...เจ้าไหนอร่อยที่สุด...พี่รู้มั๊ย...” หนุ่ยตั้งคำถามโลกแตก
“ใครจะไปรู้...ถ้าอยากรู้ต้องลองกินทุกเจ้า..เอามั๊ย...” ธีร์ทำท่าจะเลี้ยวเข้าจอด
“ไม่ต้องหรอกพี่...กินทุกเจ้า...ลงพุงพอดี...” หนุ่ยเปิดชายเสื้อยืดเอามือลูบหน้าท้องที่เป็นลอนสวย ธีร์มองตาม...เขาพยายามไม่คิด...
“ไม่กินจริงๆเหรอ...” ธีร์ขับรถไปจนสุดทางแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนเลียบชายหาด
“ถ้าเลี้ยวซ้ายไปจนสุดทางนะมีอาหารทะเลขาย...อร่อยดีเหมือนกัน” ธีร์นึกถึงร้านป้าฮี๊ด ที่หมู่บ้านประมงสุดทาง เขาเคยมากินกับเพื่อนสมัยเรียน...ยังจำความสุขสมัยเรียนมหาลัยได้ดี
“พี่เค้าขายอะไรน่ะ...” หนุ่ยมองเพิงขายของข้างทางด้านที่ติดชายหาด กะละมังพลาสติกสารพัดขนาดวางเรียงราย สายออกซิเจนพันกันนุงนังไปหมด
“ชาวบ้านเค้าเอาปู กุ้งมาวางขาย...อยากกินมั๊ย” ธีร์ถามเมื่อเห็นเด็กหนุ่มสนใจ
“ดูก่อนได้มั๊ยพี่...” ธีร์เปิดไฟเลี้ยวแล้วจอดเข้าข้างทาง ทั้งสองลงไปดู ในกะละมังหลายใบ มีกุ้ง ปูม้า หอย และอีกสารพัด เด็กหนุ่มคิดถึงบ้านที่ระโนดขึ้นมาทันที
“ปูม้าเท่าไหร่ครับลุง” ธีร์ถามพ่อค้า
“ไซส์นั้นสามร้อยยี่สิบบาทครับคุณ” ลุงบอก
“กินมั๊ย...ให้เค้านึ่งให้ด้วย...” ธีร์หันมาถามหนุ่ยที่กำลังเอานิ้วเขี่ยหอยเล่นอยู่
“พี่ถามว่าจะกินมั๊ย” ธีร์ถามซ้ำ
“แพงจังพี่...บ้านผมไม่ถึงร้อยเลย...” หนุ่ยส่ายหน้า
“เอาโลนึงนะลุงเลือกให้หน่อย...เอาแน่นๆนะครับ”
“เอ้าพี่ธีร์...แพงเกินนะพี่...”หนุ่ยดึงแขนธีร์
“เอาเถอะ...อยากกินก็กิน...อย่าไปสนถูกหรือแพง...ไม่ได้กินทุกวัน”
“นึ่งให้ด้วยนะครับ...น้ำจิ้มไม่ต้อง” ธีร์สั่ง
“อ้าวทำไมล่ะพี่...ไม่มีน้ำจิ้มก็ไม่อร่อยสิ...” หนุ่ยบอกแล้วก็ทำหน้างงๆ
“ปูเป็นๆ...เนื้อก็หวานอยู่แล้ว...ไม่ต้องจิ้มน้ำจิ้มให้เสียรสหรอก...” ธีร์บอก
“เหรอ...”หนุ่ยครางเบาๆ
“ปากก็ไม่เหม็นด้วย” ธีร์ต่อให้อีกหน่อยสำหรับเหตุผลของการไม่เอาน้ำจิ้มซีฟู้ด

          สองหนุ่มไปหาที่นั่งริมหาดเพื่อกินปูซะก่อน เพิ่งจะเที่ยงเอง...ไม่รีบร้อนอยู่แล้ว ธีร์นอนมองบรรยากาศชายทะเลชะอำ ซึ่งมันไม่ต่างไปสักเท่าไหร่เลยเมื่อเทียบกับสมัยที่เขามาเที่ยวกับเพื่อนๆ แต่นอกจากปูแล้วธีร์ยังสั่งกุ้งเผามาด้วย สองหนุ่มจัดการอาหารทะเลตรงหน้าจนเรียบ

“เรียบร้อยไปอีกมื้อ...” หนุ่ยยืนบิดขี้เกียจ ชายเสื้อลอยพ้นเอวมองเห็นเนินสะดือที่มีไรขนเล็กน้อย กล้ามท้องแกร่งเป็นลอน ซิคแพค
“น่าอิจฉาคนมีซิคแพค...” ธีร์พูดลอยๆออกมา หนุ่ยก้มลงมามองหน้าท้องตัวเองพลางเปิดเสื้อด้านหน้าขึ้นมาจนขอบกางเกงในสีขาวโผล่พ้นขอบกางเกงยีนส์ออกมา
“...ผมมีอยู่แค่เนี้ย...พี่ธีร์อย่าอิจฉาเลย...พี่ว่าถ้าผมเล่นเวทให้ไหล่มันใหญ่หน่อยจะดูดีมั๊ย” หนุ่ยเบ่งกล้ามที่ไหล่ให้ธีร์ดู
“อืมก็ดี...หนุ่ยต้องไปฟิตเนสสิ...มีเครื่องออกกำลังกายหลายอย่าง...” ธีร์บอก
“มันแพงน่ะสิพี่...ผมวิ่งอยู่แถวบ้านก็ได้นะ...เปลืองเงินเปล่าๆ”
“วิ่งมันก็ดี...มันก็ได้กำลังขาเท่านั้นเอง...อยากให้ไหล่กว้างหรือส่วนอื่นๆให้มันเฟิร์ม...หนุ่ยไปฟิตเนสดีกว่า...พี่ซื้อเมมเบอร์ให้เอามั๊ย...จะได้ไปเล่นกับพี่...” ธีร์อยากหาเพื่อนไปเล่นอยู่พอดี เพราะเขาเบื่อที่จะไปคนเดียว...เขาเบื่อที่จะตกเป็นเป้าสายตาของหลายๆคน
“ไม่เอาหรอกพี่...เป็นหมื่นเลยไม่ใช่เหรอ...ผมเล่นกีฬาที่โรงเรียนก็ได้” หนุ่ยส่ายหน้าเค้าไม่อยากจะให้ธีร์เปลืองเงินกับเรื่องไม่ใช่เรื่องแบบนี้
“อยากไปก็บอกพี่ก็แล้วกัน” ธีร์พูดแล้วเตรียมจะลุก
“ไปกันเถอะ...เดี๋ยวไปงานตอนเย็นอีก...เราเข้าโรงแรมก่อนดีกว่า...พี่อยากว่ายน้ำ” ธีร์บอกแล้วเดินกลับไปที่รถ
“ไปซื้อกางเกงว่ายน้ำกับผมก่อนนะ” หนุ่ยเดินตามขึ้นรถ
“อืม...ไปกันเลยหนุ่มน้อย” ธีร์กอดคอหนุ่ยแล้วเดินไปที่รถ

          ธีร์ขับรถเลยสี่แยกกลางเมืองหัวหินไปสองแยกก็พาหนุ่ยเลี้ยวเข้าไปที่มาร์เก็ตวิลเลจ หัวหิน เพื่อซื้อกางเกงว่ายน้ำให้หนุ่ย เมื่อเลือกซื้อกางเกงว่ายน้ำได้แล้ว ธีร์ขับรถย้อนกลับมาทางเดิม เพื่อเข้าพักที่อนันตรา หัวหิน ที่นี่ธีร์มาพักเป็นประจำ เพราะชอบในบรรยากาศที่เป็นไทยๆและของที่ใช้ตกแต่งห้องล้วนเป็นของแอนทีคที่ธีร์รู้สึกว่ามันมีเสน่ห์ บริการที่น่าประทับใจ ธีร์เก็บของเรียบร้อยก็ชวนหนุ่ยไปว่ายน้ำกันที่สระว่ายน้ำ

“เปลี่ยนกางเกงว่ายน้ำยังไงล่ะพี่” หนุ่ยหันมาถามธีร์ เพราะเป็นครั้งแรกของหนุ่ยที่ใส่กางเกงว่ายน้ำ
“หนุ่ยก็เอากางเกงว่ายน้ำไปเปลี่ยนในห้องน้ำแล้วก็ใส่กางเกงขาสั้นทับเอาไว้สิ...”
“แล้วกางเกงในล่ะพี่...” หนุ่ยถาม
“โอย...ไม่ต้องใส่...ใครเค้าใส่กัน” ธีร์ว่าแล้วก็เข้าห้องน้ำไปก่อนเพื่อเปลี่ยนกางเกงว่ายน้ำ

          เด็กหนุ่มไม่คอยเวลาเพื่อเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำ เขาปลดกางเกงยีนส์ลงแล้วสะบัดๆออกทางขา ก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวมาพันตัวแล้วรูดกางเกงในสีขาวลงมา หนุ่ยหยิบกางเกงว่ายน้ำสีดำตัวจิ๋วมาสวมเข้าไป เขาถอดผ้าเช็ดตัวแล้วก็ก้มลงคุ้ยหากางเกงขาสั้นในเป้ ธีร์ออกมาจากห้องน้ำพอดี
“เอ้าเปลี่ยนเสร็จแล้วเหรอ...ไปกันเลย” ธีร์บอก แต่หนุ่ยยังไม่ได้กางเกงขาสั้น
“เดี๋ยวสิพี่...กางเกงขาสั้นผม” หนุ่ยคุ้ยจนเจอกางเกงขาสั้น จึงหยิบมาสวมทันที

          ที่สระว่ายน้ำอันกว้างใหญ่ สองหนุ่มเล่นน้ำกันสนุกสนาน หนุ่ยไปซื้อลูกบอลมาลูกหนึ่งแล้วเอามาเล่นกับธีร์ เด็กหนุ่มสดใสเหลือเกิน อ้อมแขนที่กอดรัดธีร์ ทำเอาธีร์ใจหวิวๆ ท่อนล่างที่มันอยู่ใต้น้ำเสียดสีกันไปมา กางเกงว่ายน้ำที่หนุ่ยใส่เป็นแบบบิกินี่ ตอนซื้อธีร์พยายามบอกว่าให้เอาแบบเต็มตัว แต่หนุ่ยรั้นจะเอาแบบนี้ แต่มันก็ดูดีจนธีร์แอบลอบมองอยู่บ่อยๆเวลาที่หนุ่ยต้องปีนขึ้นไปเก็บลูกบอล...เด็กหนุ่มไม่ได้ระมัดระวังตัวเอาซะเลย...ทุกอิริยาบถที่สัมผัสกันในน้ำ...ความใกล้ชิดกันจนลมหายใจรินรดใบหน้า...ต้นขาที่แข็งแกร่งไปด้วยมัดกล้าม มันเสียดสีไปมาใต้น้ำ ทำเอาธีร์ขนลุกทุกครั้ง...ทำให้ชายหนุ่มเกือบจะอดใจไม่ไหว...ได้แต่บอกกับตัวเองว่า...นี่มันน้องชายนะไอ้ธีร์

“ไม่ไหวแล้วหนุ่ย...พี่ตัวดำไปหมดแล้ว...ขึ้นเถอะ” ธีร์ชวน
“โหย...อะไรพี่...แป๊บเดียวเอง”
“แป๊บอะไรล่ะ...ดำหมดแล้ว” ธีร์ยกแขนให้หนุ่ยดู มันคล้ำลงไปจริงๆ
“ผมดำกว่าพี่อีก...” หนุ่ยยกแขนขึ้นมาเทียบกับธีร์ มันเทียบกันไม่ได้จริงๆ...ธีร์ดูขาวกว่าตั้งเยอะ...หนุ่ยนั้นแขนคล้ำเนียนเป็นมันเลื่อม กล้ามแกร่งแน่นไปทั้งแขน
“ว่ายน้ำแข่งกันมั๊ยพี่...” หนุ่ยท้า
“ไม่เอาหรอก...หนุ่ยชนะพี่อยู่ดี...พี่ว่ายไม่เร็ว” ธีร์ปฏิเสธ เขาอยากจะขึ้นจากน้ำแล้ว เหนื่อยมาก อยากจะพักสักหน่อย
“โห...พี่ธีร์อ่ะ...ขึ้นก็ขึ้น...” หนุ่ยว่ายน้ำไปที่เขาและธีร์ถอดกางเกงวางไว้ ธีร์มองตาม หนุ่ยปีนขึ้นจากสระก่อน รูปร่างได้สัดส่วนของหนุ่ยที่กำลังปีนบันไดขึ้นไป หยดน้ำที่ไหลมาตามท่อนขาแกร่ง ขนหน้าแข้งเปียกน้ำลู่ลงมาดูสวยงาม หนุ่ยหันมาจับขอบบันไดแล้วย่อเข่าลงนั่งขวางบันไดทางขึ้นไว้ เป้ากางเกงว่ายน้ำตุงเต่งอยู่ตรงหน้าธีร์ ชายหนุ่มเหลือบมองเล็กน้อย ใจมันสั่นอีกแล้ว
“ไม่ให้ขึ้น...” หนุ่ยยิ้มหัวอย่างร่าเริง
“เล่นอะไรอีกล่ะ...หลีกไปเลยพี่จะขึ้น” หนุ่ยขวางทางขึ้นไว้ไม่ให้ธีร์ขึ้นจากสระ
“ให้แช่อยู่อย่างนี้ให้ดำไปเลย...” หนุ่ยแกล้งธีร์ไม่ให้ขึ้น
“อย่าให้ขึ้นไปได้นะ...จะเขกกะโหลกให้” ธีร์พูดดุๆ สายตาเหลือบมองหยดน้ำที่มันหยดจากเป้ากางเกงเด็กหนุ่ม
“มาขึ้นมา...ผมช่วย” หนุ่ยเอื้อมมือมาจับข้อมือธีร์ไว้แล้วดึงขึ้นจากสระ ธีร์เหยียบบันไดแล้วโหนตัวขึ้นได้อย่างง่ายดายเพราะหนุ่ยดึงมืออยู่แล้ว เขาไม่คิดว่าหนุ่ยจะเล่นพิเรนทร์ๆด้วยการปล่อยมือ...”ตูม” ธีร์หล่นน้ำลงไปอีกครั้ง
“ฮาฮาฮา...” หนุ่ยหัวเราะเสียงดังเมื่อสามารถแกล้งธีร์ได้
“ไอ้หนุ่ย...แกล้งพี่เดี๋ยวเถอะ...” ธีร์ลูบหน้าลูบตาที่เปียกไปด้วยน้ำ ธีร์ชี้ไปที่หนุ่ยซึ่งกำลังยืนหัวเราะอยู่ขอบสระ รูปร่างสูงได้ส่วนของเด็กหนุ่ม กล้ามท้องเป็นลอนซิคแพคสวยงาม ผิวสีน้ำผึ้งเนียนเรียบ รูปหน้าหล่อคมของหนุ่ยยามที่ต้องแสงแดดตกกระทบ เม็ดน้ำที่พราวพร่างตามตัว ดั่งภาพสลักอันงดงามของเทพเจ้าก็ไม่ปาน
“มาเร็วพี่ธีร์...ผมไม่แกล้งแล้ว...” หนุ่ยยื่นมือมาที่ชายหนุ่ม เขากำลังพยายามปีนขึ้นบันได
“ไม่ต้องเลย...เดี๋ยวแกล้งพี่อีก...ไปไกลๆเลย” ธีร์ค้อนให้หนุ่ยสองวง...พองาม
“โอ๋ๆๆ...ขอโทษคร้าบ...พี่ชาย...” หนุ่ยเข้ามากอดรัดเมื่อชายหนุ่มขึ้นมาบนขอบสระเรียบร้อยแล้ว
“ไปเลย...ไปใส่กางเกงก่อนเลย” ธีร์โบกมือไล่หนุ่ยให้ไปใส่กางเกง
“ใส่ก็เปียกอ่ะดิ..ผมเอากางเกงขาสั้นมาตัวเดียว” หนุ่ยบอก
“แล้วจะเดินกลับแบบนี้เหรอ”ธีร์ถาม
“ใส่เสื้ออย่างเดียวก็แล้วกัน...” เด็กหนุ่มหยิบเสื้อมาสวมแล้วเดินกลับห้องพัก ธีร์เดินตามแล้วยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

          ห้องพักส่วนนี้เป็นแบบที่สามารถมองเห็นทะเลได้ หนุ่ยขอเข้าไปอาบน้ำก่อน ธีร์จึงเดินออกมาที่ระเบียงหลังห้อง ชายหนุ่มเอนหลังลงที่เก้าอี้ เขาเหยียดแขนจนสุด”...อ้า...”ความเมื่อยขบหายไป...รู้สึกสบาย...ทั้งกายและใจ...ลมทะเลพัดมาเบาๆชายหนุ่มหลับตาลง ภาพของหนุ่ยเมื่อครู่นี้ค่อยๆปรากฏขึ้น....รางๆ....ช้าๆ...มันชัดเจน....จนเขาคิดไปว่าหนุ่ยมายืนอยู่ตรงหน้า...

...หนุ่ย...
...น้องชาย...
...หนุ่ย...
...น้องชาย...
...น้องชายของพี่...
...จิตค่อยๆสงบลง...
...ดำดิ่งสู่ห้วงนิทรารมณ์...


หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 15=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 25-08-2009 04:34:57
หนุ่ยหยอกล้อไป คงไม่ได้คิดอะไร (มั้ง)
แต่พี่ธีร์น่ะคิดกับน้องชายไปเยอะแล้ว
แล้วมันจะอะไรยังไงต่อไปกันหละหนอ
ขอบคุณคนแต่งและคนโพสต์มากนะคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 15=
เริ่มหัวข้อโดย: ifwedo ที่ 25-08-2009 05:26:45
ม่ายจะเศร้าไหมนะเรื่องนี้ :serius2: มาต่อไวๆๆนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 15=
เริ่มหัวข้อโดย: WEERACHOT ที่ 25-08-2009 09:09:43
จบเศร้าจะ... :m31: กระทู้ อิอิ

เป็นกำลังใจให้คนเขียนครับ

แล้วหนุ่ยไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ..ฮื่อๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 15=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 25-08-2009 10:53:47
เหมือนรีบนคร้าบ

จบเศร้าละน่าดู

อิอิอิ

ล้อเล่น
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 15=
เริ่มหัวข้อโดย: สาวบ้านนอก ที่ 25-08-2009 11:11:12
สนุกดีค่ะแต่รู้สึกว่าคุณธีร์นี่หื่นชนะเลิศเลยนะคะ  :z1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 15=
เริ่มหัวข้อโดย: wichit14 ที่ 25-08-2009 11:17:11
แล้วคืนนี้หนุ่ยจะรอดธีร์ไหมเนี่ย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 15=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 25-08-2009 18:47:16
เมื่อไหร่ หนุ่ย จะชอบ พี่ธีร์ นะ

 :z2:   :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 15=
เริ่มหัวข้อโดย: hene2526 ที่ 25-08-2009 19:37:30
สนุกทุกตอนจริงๆเลยครับ...เอ้ารีบมาต่อนะครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 15=
เริ่มหัวข้อโดย: Vesi ที่ 25-08-2009 21:57:01
หนุ่ยระวังทำพี่ธีร์สติแตกนะครับ

ขำรีก่อนๆ มากเลยครับ มีการขู่เผากระทู้ด้วย

มาช่วยกดดัน :m31:ด้วยคน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 15=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 26-08-2009 00:48:50
 :z2: :z2: :z2:
หยอกกันแบบนี้แรงไปไหมเนี่ย
ภาษยังคงดีเหมือนเดิม แล้วจะรออ่านต่อ ยิ่งอ่านยิง่ติด
กลับมาห้องต้องมานั่งดูว่าระโนดอัพยัง อิๆ
นิว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 15=
เริ่มหัวข้อโดย: nithiwz ที่ 26-08-2009 01:12:35
 :oo1: งานนี้พี่น้องท้องชนหลังชัวร์ อิอิ

หนุ่ยน่ารักมากมาย  ชอบอ่ะดูเด็กๆ ซนๆ ดี ชอบอ่ะคับ เหอะๆๆๆ
แต่งงเรื่องคู่นายวัชกับน่าน  ดูเหมือนจะมีอะไรแปลกๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 15=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 26-08-2009 05:39:10
16 ตลาดโต้รุ่ง

“พี่ธีร์...พี่ธีร์...” เสียงหนุ่ยเรียกเบาๆ
“หืม...เรียกทำไม...กำลังสบายเลย” ธีร์ลืมตาขึ้นมา เห็นหนุ่ยใส่กางเกงขาสั้นตัวเดียวนั่งอยู่ข้างเก้าอี้
“อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ...”
“เสร็จตั้งนานแล้วพี่”
“อ้าว...แล้วไม่ปลุก”
“เห็นพี่หลับสบายอยู่...เลยไม่กล้าปลุก...”
“อืม....หาว....” ธีร์อ้าปากหาวเห็นฟันครบทุกซี่
“ไปอาบน้ำก่อนเถอะพี่...นอนตัวเปียกเดี๋ยวเป็นสังคัง” หนุ่ยพูดแล้วอมยิ้ม
“เคยเป็นเหรอ...สังคังเนี่ย” ธีร์ถามแล้วเขย่าหัวหนุ่ยเล่นเบาๆ
“ไม่เคยครับ...เคยแต่เห็นไอ้ไข่มันเป็น” หนุ่ยนึกถึงภาพของปื้นแดงที่ซอกขาไอ้ไข่เพื่อนรัก...สมัยที่อยู่ระโนดแล้วยิ้มกับตัวเอง ขำตอนที่ไอ้ไข่มันเกาจนเลือดซิบๆแล้วก็ซื้อซีม่ามาทา...ไอ้ไข่ลงไปดิ้นพราดๆกับพื้น...มันร้องออกมาว่าแสบมากๆ
“ไอ้ไข่ไหน...”ธีร์ถาม
“ไอ้ไข่เพื่อนผม...ที่ระโนด...มันเป็นเต็มซอกขาเลยพี่...สกปรกจัง...มันไม่ค่อยอาบน้ำ...” หนุ่ยทำท่าแขยงขน
“อืม...แล้วหนุ่ยไม่เคยเป็นเหรอ...” ธีร์ถามแล้วก็หันมามอง
“ไม่เคยเป็นหรอกพี่...ผมอาบน้ำเช้าเย็น...ขืนไม่อาบนะ...ย่าตีตายเลย” หนุ่ยพูดออกมาแล้วก็ยิ้ม
“นอกจากสังคังนะมันยังเป็นเกลื้อนอีก...ตัวลายอย่างกับม้าลาย...” หนุ่ยหัวเราะเอิ๊กอ๊าก...แต่ใจก็คิดถึงเพื่อนขึ้นมาจับใจ...ป่านนี้มันจะทำอะไรอยู่...คงช่วยพ่อมันออกเรือไปกู้ลอบดักปู
“อืม...เดี๋ยวพี่อาบน้ำก่อนแป๊บเดียวนะ...” ธีร์เดินเข้าห้องน้ำ
“ให้เวลาสิบนาที...” หนุ่ยบอกพร้อมยกนิ้วขึ้นมาสิบนิ้ว
“ครึ่งชั่วโมง...” ธีร์ต่อรอง
“พี่ธีร์อาบน้ำนานจัง...เข้าไปทำอะไรเหรอพี่” หนุ่ยยิ้มอย่างมีเลศนัย
“เด็กบ้า...” ธีร์อมยิ้มอย่างรู้ความนัย

          เย็นนั้นธีร์กับหนุ่ยไปร่วมงานเปิดตัวคอนโดแห่งใหม่ของเพื่อนธีร์ที่แถวๆเขาตะเกียบ ทั้งสองหนุ่มแต่งตัวแบบไม่เป็นทางการนัก แต่ก็ดูดีและเรียบร้อย เพื่อนของธีร์เป็นผู้หญิงและสวยซะด้วยจนหนุ่ยอดที่จะแซวพี่ชายตัวเองไม่ได้...หลังจากออกมาจากงานแล้วเด็กหนุ่มก็เปิดปากแซวพี่ชายตัวเองทันที

“เพื่อนพี่สวยจังเลย...ทำไมไม่จีบเลยล่ะพี่”
“เป็นเพื่อนกันเว้ย...” ธีร์ดื่มไวน์มาเล็กน้อย หน้าแดงระเรื่อของชายหนุ่มทำให้ดูดีไปอีกแบบ
“เริ่มจากเพื่อนกันทั้งนั้นแหละพี่” หนุ่ยพูดออกมา...แต่ใจก็คิดไปถึงตัวเองกับแต้ว...เขากับแต้วเป็นเพื่อนหรือแฟน
“พี่ยังไม่อยากมีแฟน...ยังอยากเป็นโสด...ฮาฮาฮา...หาเงินส่งหนุ่ยจนเรียนจบก่อน” ธีร์หัวเราะอย่างอารมณ์ดีทำให้หนุ่ยยิ้มออกมาอย่างปลื้มใจ...ในความรันทดของชีวิต...เขาก็ยังโชคดีที่ได้เจอพี่ธีร์
“เราจะกลับเลยเหรอพี่...” หนุ่ยถามเพราะเห็นว่าเพิ่งจะทุ่มเดียวเอง
“พี่จะพาไปเดินตลาดโต้รุ่ง...” ธีร์พูดพลางเลี้ยวซ้ายที่สี่แยกมีลูกศรชี้ไปสถานีรถไฟ ชายหนุ่มเลี้ยวขวาอีกครั้งแล้วก็หาที่จอด เดินไปอีกนิดนึงก็ถึงตลาดโต้รุ่งละ

          สองหนุ่มเดินเที่ยวตลาดโต้รุ่งกันอย่างเพลิดเพลิน กับสินค้าและของกินที่วางขายกันมากมาย ร้านขายอาหารทะเลที่หนุ่ยดูแล้วรู้สึกว่าแพงเกินเหตุ ผลไม้สดและไก่ทอดก็น่ากิน เด็กหนุ่มซื้อเพื่อเอากลับไปกินที่โรงแรม   ”เผื่อพี่ธีร์จะดื่มเบียร์”หนุ่ยคิดในใจ เขาละเอียดอ่อนมากๆ...คิดเผื่อคนอื่นก่อนตลอดเวลา

“พี่ธีร์...กินโรตีมั๊ย...” หนุ่ยสะกิดธีร์ให้ดูร้านโรตีที่มีคนมุงกันเต็มหน้าร้าน
“เอาสิ...หนุ่ยจะกินก็สั่งเลย” หนุ่ยเดินเข้าไปสั่งโรตี
“เอาโรตีไส้กล้วยหอมสองอันครับ” หนุ่ยสั่งพ่อค้า
“คอยนานนะครับ...ครึ่งชั่วโมงครับ...คอยนานครับ...”  พ่อค้าหน้าหงิก”พ่นคำบ่น”ออกมาจากปาก...หนุ่ยรู้สึกเหมือนกับว่า...เค้าคงไม่อยากจะขายแล้วมั้ง...เลยถอยออกมา...
“อ้าว...ทำไมล่ะหนุ่ย...” ธีร์งงที่หนุ่ยถอยออกมา
“เค้าไม่อยากขายมั้งพี่...เห็นบ่นอยู่อย่างเดียวว่าอีกครึ่งชั่วโมง อีกครึ่งชั่วโมง...” หนุ่ยยิ้มๆแล้วหันกลับไปมองที่ร้านโรตีเจ้าดังอีกครั้ง พลันสายตาเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มสองคนเดินเข้าไปสั่งโรตีเจ้านั้น...
“พี่ไปร้านหนังสือก่อนนะ” ธีร์ชี้มือไปที่ร้านหนังสือแล้วเดินไป
“น่าน...น่าน...” หนุ่ยตะโกนเรียกเพื่อนที่นั่งเรียนคู่กัน น่านหันมามองตามเสียงเรียก หนุ่ยเห็นวัชยืนอยู่ข้างๆน่านด้วยและกำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาของคนที่ไม่พอใจ....แต่หนุ่ย...ก็ยังเดินเข้าไปหา
“น่านกับวัช...มาอยู่นี่เอง...แล้วเมื่อวันศุกร์ทำไมไม่ไปเรียนล่ะน่าน” หนุ่ยนึกขึ้นได้เลยพูดออกไป...เขาไม่ได้คิดอะไรนอกจากห่วงเพื่อนมากกว่า
“มันเรื่องอะไรของมึงล่ะ...” น่านยังไม่ทันได้อ้าปากเลย เสียงของวัชตอบออกมาแทน
“ไป...กลับเหอะน่าน...วัชไม่อยากกินแล้ว” วัชหันหลังกลับทันที ไม่สนใจน่านที่กำลังทำหน้าแบบ...ซีด...ซีด
“นายมากับวัชเหรอ...” หนุ่ยถามน่าน...ด้วยความงุนงง...ในอากัปกิริยาของวัชและสิ่งที่เขาคิดไม่ถึงว่าจะมาเจอสองคนนี้ที่หัวหิน
“อือ...เราไปก่อนนะ...” น่านบอกหนุ่ยก่อนที่จะหันไปบอกกับ”พ่อค้าหน้ามุ่ย”ว่าไม่เอา”โรตีแสนนาน”อีกแล้ว
“ไอ้น่าน...มึงจะไปรึยัง...” เสียงแห่งนรกของวัชแทรกเข้ามา ทำเอาน่านลนลาน...
“แล้วเจอกันนะ...” น่านโบกมือให้เบาๆแล้วรีบแทรกฝูงคนเดินตามวัชออกไป

          หนุ่ยได้แต่ถอนหายใจ สงสัยจังเลย ”ทำไมน่านถึงได้กลัววัชนักนะ” แล้ว ”ทำไมสองคนถึงมาด้วยกันได้นะ” หรือ ”สองคนโดดเรียนมาด้วยกัน” หนุ่ยเดินไปคิดไปจนเจอธีร์ ซึ่งกำลังยืนดูแมกกาซีนอยู่ที่ร้านหนังสือใหญ่กลางตลาด

“กลับเถอะพี่ธีร์...”หนุ่ยชวนกลับ
“อ้าว...”ธีร์เดินตามหนุ่ยที่หันหลังกลับ
“เป็นอะไรหนุ่ย...อยู่ๆก็จะกลับขึ้นมาเฉยๆ” ธีร์งงกับอาการที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของหนุ่ย
“เปล่า...”หนุ่ยเดินไปเรื่อยๆจนเกือบถึงรถ
“น้องชายของพี่เป็นอะไรไปครับ...ทำไมซึมเป็นส้วมอย่างนี้ล่ะ...เมื่อกี้นี้ยังดีๆอยู่เลยนี่” ธีร์พยายามดึงอารมณ์ซึมเศร้าออกจากหนุ่ยให้ได้
“ผมไปเจอเพื่อน....น่านกับวัช...น่ะพี่” หนุ่ยเปิดปากออกมา
“ทำไมล่ะ..ไม่เห็นแปลกเลย...” ธีร์พยายามพูดให้หนุ่ยรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา
“ก็สองคนนั่นไม่มาเรียนตั้งแต่วันศุกร์แล้ว...สงสัยโดดเรียนมาด้วยกัน” หนุ่ยบอกสิ่งที่สังเกตเห็น แต่ชายหนุ่มมองลึกลงไปมากกว่านั้น ธีร์จึงเริ่มถามเพื่อหาข้อมูลว่าอะไรทำให้เด็กผู้ชายสองคนถึงโดดเรียนมาด้วยกัน...มันน่าจะมีอะไรที่มากกว่า”เพื่อน”
“ไอ้วัชนี่มันมีคดีกับเราอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“ครับพี่”
“แล้วน่านนี่เหรอที่หนุ่ยบอกว่าเป็นหัวหน้าห้อง”
“ครับ...เมื่อก่อนสองคนเค้านั่งด้วยกัน แต่วันที่ผมไปเรียนวันแรก...ผมไม่มีที่นั่ง...อาจารย์เลยให้ไปนั่งที่ที่วัชมันนั่งอยู่...มันอาจจะไม่พอใจผมก็ได้” หนุ่ยเล่าให้ฟัง
“ขออาจารย์ย้ายที่ซะสิ...” ธีร์ลองใจหนุ่ย
“ผมก็ว่าจะย้ายนะพี่...ไม่อยากจะมีเรื่องกับมัน...”
“เลี่ยงได้ก็เลี่ยง...แต่เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วมันจบไม่ได้...หนุ่ยก็รู้” ธีร์ลูบหัวหนุ่ยเหมือนกับจะให้กำลังใจ
“ครับ...ผมรู้”
..........................................


“คุยอะไรกับมันนัก...หา” เด็กหนุ่มตะโกนเสียงลั่นรถ
“ไม่ได้คุยอะไรนี่...แค่ทักกัน...” น่านเสียงสั่นด้วยความกลัว...พักหลังวัชเป็นแบบนี้บ่อยๆ
“ทักเหี้ยอะไร...กูเห็นมึงโบกมือให้มันอีก...” วัชแหกปากใส่หน้าน่าน...
“ก็เป็นเพื่อนกันน่ะ...น่านแค่โบกมือให้หนุ่ยนิดด...” น่านพูดยังไม่ทันจบ
“...เพี้ยะ...”เสียงฝ่ามือกระทบแก้มบางๆของเด็กหนุ่ม...น้ำตา”น่าน”ร่วงออกมาทันที...
          มันไม่เจ็บหน้าหรอก...แต่มันเจ็บที่หัวใจ...เจ็บที่ทำไม”วัช”ไม่ฟังน่านอธิบายเลย
“วัช...” น่านพูดได้แค่นั้นก็นิ่งก้มหน้า....น้ำตาไหลออกมา...เด็กหนุ่มสะอื้นไห้จนตัวโยน...
“...น่าน...”วัชเองก็ตกใจไม่ใช่น้อย...นี่เป็นครั้งแรกที่เขาบันดาลโทสะได้ขนาดนี้...เขาไม่เคยทำร้ายน่านมาก่อนเลย...เขาไม่เข้าใจตัวเอง...ทำไมเรื่องแค่นี้เขาถึงได้เกรียวกราดมากมายนัก...แต่ลึกๆแล้วเขารู้สึกหวาดระแวง...กลัวว่าน่านจะไม่รักเขา...ตอนหลังๆมานี่เขารู้สึกแบบนี้มากขึ้นทุกวัน
“...น่าน...”วัชเอื้อมมือมาจับมือของน่านไว้...
“น่าน...พูดสิ...”
“น่าน...วัชขอโทษ...วัชขอโทษ...” วัชกอดร่างของเด็กหนุ่มเอาไว้ในอ้อมแขน ถ้าใครเดินผ่านมาเห็นรถยนต์มินิที่จอดอยู่ข้างทาง ฟิล์มที่ค่อนข้างใส...มองเข้ามาจะเห็นเด็กหนุ่มสองคนกอดกันอยู่...ทั้งสองร้องไห้...ทั้งวัช...ทั้งน่าน
“...น่าน...วัชขอโทษ...วัชจะไม่ทำร้ายน่านอีกแล้ว...น่าน...วัชขอโทษ...ฮืออ...ฮือออ...” วัชร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่แพ้น่านเมื่อกี้นี้เลย...
“กลับกันเถอะ...” น่านบอกวัช...แล้วจับร่างเด็กหนุ่มให้นั่งตัวตรงๆก่อน...จึงขับรถกลับคอนโดฯ
“น่าน...ไม่โกรธวัชนะ...” วัชก้มลงไปหอมแก้มน่านอีกครั้ง เขาไม่แคร์สายตาบางคู่ที่มองเข้ามา
“อืม...กลับกันเถอะ...” น่านกุมมือวัชที่กุมอยู่บนกระปุกเกียร์ ก่อนจะออกรถ

          ที่คอนโดหรูริมทะเล เด็กหนุ่มสองคนเดินเข้ามาในห้องด้วยความเงียบ ทั้งสองคนไม่พูดไม่จากันมาตลอดทางตั้งแต่ตลาดโต้รุ่งจนมาถึงที่นี่ วัชไขกุญแจเข้าห้องแล้วปิดทันที
“...ปัง...” ประตูบานใหญ่เกือบกระแทกหน้าเด็กหนุ่มอีกคนที่เดินตามมา
“วัช...เปิดให้หน่อยสิ...วัช” น่านเรียกเบาๆ แต่ก็เงียบ...สักพัก
“...อะไรนักหนาวะ...ผีเข้าผีออกจริงๆ...” น่านนึกในใจก่อนจะวางของลงแล้วบิดลูกบิดเปิดประตู
“...กริ๊ก....” น่านก้มลงหยิบของพะรุงพะรังที่พื้นแล้วปิดประตูลงตามเดิม น่านต้องวางของแล้วเปิดประตูเอง ไฟในห้องยังไม่ได้ถูกเปิด แก้วเหล้าและขวดเหล้าวางระเกะระกะเต็มไปหมด...ประตูห้องน้ำปิดอยู่...”วัชน่าจะอยู่ในนั้น” น่านไม่อยากกวนใจวัช...เขาคงเข้าไปสงบสติอารมณ์ในห้องน้ำ น่านก้มลงเก็บของที่วางอยู่ลงถังขยะจนเรียบร้อย จานชามที่เปรอะเปื้อนถูกน่านเก็บเข้าไปล้างในห้องครัวอีกด้านนึง
“น่าน...” วัชใส่บ๊อกเซอร์ตัวเดียว เดินยิ้มออกมาจากห้องน้ำ กลิ่นแปลกๆติดตามตัว แต่น่านไม่รู้หรอกว่ากลิ่นอะไร
“วัช...เป็นอะไรรึเปล่า” น่านเดินเข้ามาแล้วสวมกอดวัชเอาไว้ ร่างกายที่แน่นหนันด้วยมัดกล้าม...เหมือนคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ...
“น่าน...เอาเบียร์ให้วัชหน่อยนะ”
“อืม...อะไรล่ะ...กินทั้งวันแล้วนะ...”
“อย่าบ่นเลย...ไปหยิบมาเถอะ...” วัชเดินออกมาที่ระเบียงกว้าง...อากาศบริสุทธิ์พัดเข้ามา...เด็กหนุ่มสูดหายใจเข้าปอด...มันช่างมีความสุขจริงๆ...”ไอซ์”ช่วยทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้นเยอะ...วัชยิ้มคนเดียวในความมืด
“อ่ะครับ...” น่านยื่นเบียร์เย็นๆให้วัช เด็กหนุ่มรับไปกระดกลงคออย่างรวดเร็ว
“น่านมานี่หน่อยสิ...” น่านเดินเข้าไปหาวัชที่ยืนอยู่ริมระเบียง วัชกอดรัดร่างนั้นด้วยความหื่นกระหายอย่างที่น่านเองก็รู้สึกแปลกใจว่าทำไมหนอ...ตั้งแต่สองวันก่อนแล้ว...วัชไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนนัก...เขาไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเอาเลย...น่านเจ็บ...มันระบมไปหมดแล้ว แล้วนี่ถ้าวัชเอาเบียร์มาราดตามตัวอีกเหมือนเมื่อวานนี้ล่ะ...ต้องเปลี่ยนผ้าปูที่นอนอีกรึเปล่า...น่านเกรงใจแม่บ้านจังเลย แต่จะว่าไปแล้ว...ด้วยแรงกำหนัดที่ซัดเข้ามา...ซ้ำแล้ว...ซ้ำอีก...ราวเกลียวคลื่นแห่งพายุร้าย...น่านก็ทานไม่ไหว...มันยากที่จะต้านทานได้จริงๆ...วัชจัดการกับน่าน...ตรงริมระเบียงนั้น...มันทั้งรุนแรง...ทั้งกระแทกกระทั้น...เหมือนคนตายอดตายอยาก...มากกว่าสิ่งที่เรียกว่า”ความรัก”
ถ้าผู้ที่รู้อาจจะบอกได้ว่า...นี่มันเป็นอาการของผู้ที่”เสพยาไอซ์”...กระปรี้กระเปร่า...ร่าเริง...เสพความรัก...ได้ไม่รู้จักอิ่ม...
..................................................


“พี่ธีร์...เอาเบียร์มั้ยครับ” หนุ่ยถามธีร์
“ให้พี่ดื่มด้วยเหรอ...” ธีร์มองหน้าเด็กหนุ่ม...ฤทธิ์ของไวน์ยังกรุ่นอยู่
“ดื่มแล้วไม่ได้ขับรถ...พี่ก็ดื่มไปเถอะครับ” หนุ่ยยิ้ม
“นิดนึงแล้วกัน...” ธีร์ยกหูโทรศัพท์ในห้องพักเพื่อสั่งเบียร์และน้ำแข็ง เขาชอบเบียร์ใส่น้ำแข็งเยอะๆ...
“ผมซื้อไก่ทอดมาเผื่อพี่ธีร์ด้วย” หนุ่ยบอกพลางยกถุงใส่ไก่ทอดให้ดู
“จะกินยังไงล่ะ...”ธีร์ถาม
“เอามือจับฉีก...แล้วใส่ปากไปเลยพี่” หนุ่ยสาธิตการกินไก่ให้ดู...ธีร์ไม่เคยมาก่อนกับการกินแบบนี้ ถ้ากินที่โรงแรม เขาต้องไปนั่งดื่มที่เลาจน์หรือคอฟฟี่ชอปในโรงแรม...ไม่เคยซื้อไก่ทอดใส่ถุงมากินแบบนี้เลย...ครั้งแรกที่ทำ
“เอางั้นเลยเหรอ...”ธีร์ลองทำดูบ้าง เขารู้สึกดี...ได้ทำอะไรที่มันง่ายๆ...ไม่มีพิธีรีตอง


          สองหนุ่ม...สองคู่...มาหัวหินพร้อมกัน...สนุกกับกิจกรรมที่ทำร่วมกัน...ริมระเบียงเช่นเดียวกัน...ริมทะเลเช่นเดียวกัน...แต่คู่นึง...สับสน...ไม่รู้ว่าความรักหรือความโหยหา...อีกคู่...เข้าใจ...สนิทใจ...เชื่อมั่น...และเริ่มศรัทธา”ความรัก”ที่เกิดขึ้น...ทีละน้อย...ทีละน้อย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 16=
เริ่มหัวข้อโดย: Cha Ris Ma ที่ 26-08-2009 05:50:01
^
^
^
จิ้มองค์หญิง

สนุกจัง ชอบหนุ่ย ปลื้มธี มีใจให้วัช รักน่าน

 :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 16=
เริ่มหัวข้อโดย: wichit14 ที่ 26-08-2009 10:41:15
ตอนนี้กลายเป็นสิ่งเสพติดไปแล้ว ต้องเปิดทุกวันตอนเช้า 5555555+ สนุกครับ เขียนได้อรรถรสดี ชอบ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 16=
เริ่มหัวข้อโดย: ifwedo ที่ 26-08-2009 11:49:33
ชอบ หนุ่ยกะธีร์ด้วย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 16=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 26-08-2009 11:59:31
ยิ่งอ่าน

ยิ่งหนุกอะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 16=
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 26-08-2009 13:25:56
ตัวอย่างขาวและดำแบบเห็นๆเลยน่ะเนี่ย เศร้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 16=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 26-08-2009 17:04:56
วัชไม่น่าทำกับน่านอย่างนั้นเลย  สงสารน่านจัง  เมื่อรัยวัชจะเข้าใจนะ

แต่หนุ่ย กับพี่ธีร์ คู่นี้น่ารักจังเลย ค่อยเปนค่อยไป   o13   o13

 :z2:   :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 16=
เริ่มหัวข้อโดย: foxkykung ที่ 26-08-2009 18:18:33
มาติดตามด้วยคนครับ

สงสารน่าน จังเลย อ่า ศิวัช เอง ก้ไม่น่าเล้ย

ครับ แวะมาเปนกำลังใจให้ครับผม ^^"
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 16=
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 26-08-2009 19:56:32
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 16=
เริ่มหัวข้อโดย: WEERACHOT ที่ 26-08-2009 20:03:09
 :o12:สงสารน่าน กับความรัก(เหรอ?)....ของวัช

หนุ่ย น่ารักกกก....
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 16=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 26-08-2009 20:58:02
 :z2: :z2: :z2:
เหมือนยิ่งอ่านยิ่งจะเห็นภาพตอนท้ายๆชัดขึ้นนะเนี่ย เขียนดีจริงๆอ่านแล้วชวนติดตาม
ตอนนี้อ่านแล้วสงสารน่านจับใจเลย ไม่เข้าใจว่าทำไม วัช ถึงทำกับน่านได้ลงคอ
แล้วจะรออ่านต่อไป
นิว

ปล.ไม่ว่าจะยังไงก็ขอเป็นแฟนคลับ หนุ่ย กับ ธีร์ ด้วยคนคราบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 16=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 26-08-2009 21:55:53
น่านกับวัช เริ่มมาจากความเป็นเพื่อน กลายมาเป็นคนรัก แล้วจากนั้นจะจบลงเช่นไร
ในขณะที่หนุ่ยกับธีร์รู้จักกันจากสถานการณ์ที่เลวร้ายแต่กลายมาเป็นพี่น้องที่รักใคร่สนิทสนมกัน
จนอาจสานต่อไปเป็นความรู้สึกที่ลึกซึ้งขึ้น
ทั้งที่จุดเริ่มต้นบวกลบแตกต่าง แต่ด้วยสิ่งแวดล้อมนำพาให้บั้นปลายแห่งสายสัมพันธ์น่าจะแตกต่างกันด้วยหรือไม่
ยิ่งอ่านยิ่งสนุกมากค่ะ
บวก 1 แต้ม รออ่านต่อนะคะ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 16=
เริ่มหัวข้อโดย: Vesi ที่ 26-08-2009 22:43:19
อ่านแล้วติดมากมาย

อยากส่งนายวัชไปบำบัดไวๆ ละนี่ ทำกับน่านงี้ได้ไงนะ

ส่วนหนุ่ยกับธีร์นับวันยิ่งความสัมพันธ์ดีขึ้น

ปล. จบเศร้าจะ :m31:กระทู้  :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 16=
เริ่มหัวข้อโดย: hene2526 ที่ 26-08-2009 23:50:47
สองคู่เหรอ...มันจะเป็นแบบนี้จิงง่ะ

ไม่รู้สิ แต่ลุ้นให้หนุ่ยกับวัชรักกัน ส่วนพี่ชายสุดหล่อก็เจอกับคนที่รออยู่
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 16=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 27-08-2009 02:08:06
แหงะ   เผากระทู้เลยเหรอคะ     เตรียมถังดับเพลิงก่อง   อิอิ
พูดเล่นนะคะ   :m18:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 16=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 27-08-2009 02:18:18
17 สถานบำบัด

          สามเดือนต่อมาไอ้อุ้ยถูกตำรวจจับ ในข้อหายาเสพติดโดยถูกล่อซื้อจากตำรวจ พร้อมทั้งโพยรายชื่อลูกค้าทั้งหมด ซึ่งมีทั้งคนในแวดวงไฮโซ นักเรียน นักศึกษา ดารา ในรายชื่อทั้งหมดนั้นมีชื่อของศิวัชอยู่ด้วย...หลังจากที่เคารพธงชาติเสร็จแล้วในวันก่อนสอบไล่เทอมหนึ่ง...รถตำรวจคันหนึ่งแล่นเข้ามาในโรงเรียน

“อาจารย์ครับผมขอคุยกับลูกศิษย์อาจารย์ที่ชื่อศิวัชหน่อยน่ะครับ” ร้อยตำรวจเอกวิทูร บอกจุดประสงค์ที่มาในครั้งนี้กับอาจารย์สมเกียรติหลังจากที่เล่าเรื่องราวคร่าวๆให้ฟังแล้ว...ตำรวจต้องการสอบปากคำและตรวจปัสสาวะในฐานะที่มีชื่อเป็นลูกค้าของไอ้อุ้ย

          หลังจากนั้น เสียงประกาศเรียกศิวัชก็ดังขึ้นทั่วทุกตึก

“วัช...เสียงประกาศเรียกวัชน่ะ...” น่านเรียกวัชที่นั่งอยู่ข้างๆ หนุ่ยคืนที่นั่งให้ศิวัชตั้งแต่กลับจากหัวหิน
“ได้ยินแล้ว...เรื่องอะไรอีกวะ” วัชหน้ายุ่งๆ เขาเองก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรเพราะเรื่องที่จ้างคนไปทำร้ายหนุ่ยนั้นมันเงียบไปนานแล้ว เขาไม่คิดว่าจะมีอะไร...แต่หารู้ไม่...เรื่องนี้มันร้ายแรงมาก...ร้ายแรงจนทำให้เขาแทบไม่มีแผ่นดินจะอยู่เลยทีเดียว
“ให้น่านไปเป็นเพื่อนมั้ย” น่านมองแฟนหนุ่มด้วยความเป็นห่วง พักหลังวัชซูบผอมไปมาก ปากที่เคยแดงระเรื่อกลับดำคล้ำ ครั้งหนึ่งน่านเคยจับได้ว่าวัชแอบเล่น”ไอซ์”ในห้องน้ำที่บ้าน ทั้งสองทะเลาะกันแทบตาย...น่านนะที่แทบตาย...โดนวัชอัดซะจมที่นอนไปเลย...เด็กหนุ่มขี้โมโหมากขึ้นทุกวันและหวาดระแวงเอามากๆจนเดี๋ยวนี้น่านห่างจากสายตาวัชไปไม่ได้เลย
“ไม่ต้อง...กูไปเองได้...ยุ่งจริงๆ” เด็กหนุ่มหงุดหงิดอีกแล้ว...
“...........” น่านได้แต่นั่งก้มหน้าเงียบ

          หลังจากวัชลงไปแล้ว จนเกือบเที่ยงถึงได้กลับเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้หน้าตาที่เคยดูอวดดีกลับกลายเป็นซีดเผือด...วัชเหม่อมองออกไปข้างนอกห้องตลอดเวลาจนถึงเวลาอาหารกลางวัน...เพื่อนๆออกจากห้องกันหมดแล้ว

“ไปกินข้าวเถอะวัช...” น่านสะกิดชวน
“..........”
“วัช...ไม่หิวเหรอ” น่านสะกิดอีกครั้ง
“..........”
“วัช...เป็นอะไร” น่านก้มลงไปดูหน้าแฟนหนุ่ม
“.........” วัชนั่งน้ำตาไหลออกมา...
“น่าน...วัชกลัว....วัชกลัว...” วัชกอดน่านแน่น...ในห้องไม่มีใครแล้ว...มีเขาเพียงสองคนเท่านั้น
“มีอะไรวัช...กลัวอะไร...” น่านงงมากๆ...
“ตำรวจมาคุยกับวัช...ให้วัชเป็นพยานเรื่องไอ้อุ้ยมันถูกจับ...มันถูกจับเรื่องยา...” วัชพูดวนไปวนมาจน เกือบจับใจความไม่ได้
“น่าน...ตำรวจจะจับวัชมั้ย...” วัชดูสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด...เด็กหนุ่มหน้าซีด...ตัวสั่น
“วัชก็บอกตำรวจไปสิ...ว่ามันเป็นยังไง” น่านให้ความเห็นได้แค่นั้นเพราะว่าเขาเองก็รู้อยู่แค่นั้นจริงๆ
“ตำรวจตรวจฉี่วัช...”
“แล้วเจอมั้ย...”น่านถาม
“เจอ...”

          สิ้นเสียงวัช...น่านทรุดลงนั่งกับเก้าอี้...น้ำตาไหลพรากออกมา และแล้ววันนี้ก็มาถึง...วัชต้องโดนไล่ออกแน่ๆ...

“ไปคุยกับอาจารย์กันมั้ย...อาจารย์สมเกียรติต้องช่วยเราได้” น่านแนะนำ...
“ไม่ทันแล้วน่าน...บ่ายนี้คุณตาจะมา...ตำรวจด้วย...”
“...........” น่านไม่รู้จะปลอบอะไรวัชอีกแล้ว...คงต้องเผชิญความจริงกันแล้ว
“วัชกลัว...กลัวจังเลย...น่านช่วยวัชด้วย...”วัชร้องไห้โฮออกมาเหมือนสติแตก...
“วัชไม่ต้องกลัวนะ...น่านจะอยู่ข้างๆวัช...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...น่านจะไม่ทิ้งวัช...” น่านบีบมือวัชไว้แน่นราวกับจะบอกว่า...น่านยังจำ”สัญญา”ที่ให้ไว้กับวัชในคืนนั้นได้ดี...

          ทางโรงเรียนให้โอกาสกับศิวัชอีกครั้งแต่ต้องให้ศิวัชได้รับการบำบัดรักษาก่อน...เพราะตำรวจบอกว่าจะกันศิวัชไว้เป็นพยาน...เพื่อสืบสาวไปให้ถึงผู้ค้ารายใหญ่กว่านี้...และให้ศิวัชเป็นคนป่วยที่ต้องเข้ารับการบำบัดรักษาตามขั้นตอน...วัชต้องพักการเรียนเพื่อเข้าบำบัดที่สถานบำบัดผู้ติดยาเสพติด...กรณีของวัชนั้นเป็นหนึ่งในทางออกของสังคม...ที่ให้กับผู้หลงผิด...ให้กลับตัวกลับใจ...และกลับมาเป็นคนดีของสังคมอีกครั้ง


          บ่ายวันนั้นที่ห้องประชุม...คุณตาของศิวัชเสียใจมากๆ นายพลแห่งกองทัพ...กล่าวถ้อยคำที่กินใจกับผู้ที่ได้ฟัง...ทั้งน้ำตา

“ผมต้องกราบขอโทษอาจารย์และคุณตำรวจที่อุตส่าห์เสียสละเวลาอันมีค่า...มาด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง...ของหลานชายผม...” คุณตาทิ้งศักดิ์ศรีและเกียรติยศด้วยการยกมือไหว้ขอโทษนายตำรวจรุ่นหลานและอาจารย์สมเกียรติก่อนจะหันมาพูดกับศิวัช หลานคนเดียว...และเป็นหลานคนที่รักสุดหัวใจว่า
“ตามันไม่ดีเอง...ตาเลี้ยงหนูไม่ดี...ถึงทำให้หนูเป็นแบบนี้...หนูต้องลำบาก...และเจ็บปวด...เพราะตา....ตารักหนูนะลูก...” ศิวัชก้มลงไปกอดตุณตาของเขาก่อนที่จะกราบลงแทบเท้า...พลางร้องไห้สะอึกสะอื้น ด้วยความสำนึกผิด
“คุณตาครับ...วัชขอโทษ...วัชไม่ดี...ไม่เคยทำให้คุณตาภูมิใจเลย...วัชมีแต่นำความเสื่อมเสียและอับอายมาให้...” ศิวัชร้องไห้ออกมาไม่อายใคร...อาจารย์สมเกียรติถอดแว่นเช็ดน้ำตาที่ซึมออกมา
“เรากลับบ้านกันเถอะลูก...” คุณตาเดินจูงมือพาหลานออกจากห้องประชุม...โดยก้มหน้าเล็กน้อยให้กับการทำความเคารพของนายตำรวจหนุ่ม
“ท่านไม่ต้องห่วงเรื่องคดีนะครับ...ผมจะดูแลให้เต็มที่” นายตำรวจกล่าวกับพลโทสง่า...ที่วันนี้ท่านมีความ”สง่างาม”สมชื่อ
.................................................


“วัช...เป็นยังไงบ้าง” เสียงน่านโทรมาหาในเย็นวันนั้น
“อืม...น่านเหรอ...วัชสบายดี...กำลังทานข้าวอยู่กับคุณตาแล้วก็คุณยาย...” เสียงของวัชตอบน่านด้วยความสดใส...สมวัย ไม่มีใครรู้ว่าคุณตาและคุณยายคุยอะไรกับศิวัช...ทำให้ศิวัชเปลี่ยนไปเป็นคนละคน...ในเวลาอันรวดเร็ว...อานุภาพแห่งความรักที่คุณตากับคุณยายมีให้หลานคนนี้แน่ๆ...ถึงทำให้ที่มีผลขนาดนี้...
“คิดว่าวัชจะเป็นอะไรมาก...” น่านพูดแต่รู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกันที่วัชดูจะไม่ทุกข์ร้อนอะไร
“น่าน...มาหาวัชหน่อยได้มั้ย...เย็นนี้นะ...” วัชบอกแล้ววางหูไป

          น่านขอที่บ้านไปนอนบ้านวัชอย่างที่เคยทำเป็นปกติ...แทบจะทุกวันศุกร์อยู่แล้วที่เป็นแบบนี้...จนทางบ้านไม่รู้จะว่าอะไรเด็กหนุ่มอีกแล้ว... "ถ้าการเรียนไม่ตกชั้นก็ไม่รู้จะไปว่าอะไรแก"พ่อของน่านเคยพูดแบบนี้

“เป็นไง...คิดถึงล่ะสิ” น่านนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาแฟนหนุ่มด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า
“อืม...เหนื่อยน่าดูเลย...” วัชนอนหงายเหยียดยาว น่านเอานิ้วไล้เล่นที่สันจมูกของวัช
“วัช...น่านรักวัชนะ...” น่านก้มลงไปหอมแก้มคนรักอย่างแผ่วเบา
“น่าน...วัชมีอะไรจะบอก...” วัชหันมาพูดหน้าตาจริงจัง
“อะไรครับ...” เด็กทั้งสองหน้าเกือบติดกัน
“พรุ่งนี้คุณตาจะพาวัชไปหาหมอ...เพื่อจะอดยา” วัชยิ้มให้น่าน...สายตาเด็กหนุ่มมุ่งมั่นเต็มที่...เขาพร้อมจะกลับตัวเป็นคนดี...หัวใจที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะทำให้กลับคืนสู่สังคมได้
“ดีสิวัช...น่านว่าวัชต้องเลิกได้แน่ๆ...” น่านยิ้มให้กำลังใจพร้อมกับเอาสองมือนุ่มๆมากุมใบหน้าหล่อๆเอาไว้
“น่านเป็นกำลังใจให้วัชด้วยนะ...” วัชมองลึกเข้าไปในดวงตาของน่าน...ทั้งสองสบตากันนิ่งและเนิ่นนาน
“แน่นอน...น่านเป็นกำลังใจให้วัชเสมอนะ...น่านไม่เคยลืมคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับวัชเลย...” น่านย้อนคิดไปถึงคืนนั้น...คืนที่เขาทั้งสอง...มอบหัวใจรักให้แก่กัน
“พรุ่งนี้ให้น่านไปกับวัชด้วยนะ”
“น่านต้องไปส่งวัชอยู่แล้ว...แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่วัชจะได้กลับมาก็ไม่รู้นะ...วัชต้องคิดถึงน่านมากแน่ๆเลย” วัชพูดแล้วหอมแก้มคนรักฟอดใหญ่
“อืม...นอนเถอะนะครับ...ดึกแล้ว...” น่านบอกวัช
“ยังอ่ะ...ขอชื่นใจอีกครั้งนึงไม่ได้เหรอ...” วัชพูดจบโดยไม่ต้องคอยคำอนุญาตจากคนรักเลย เขากดจมูกลงที่ซอกคอน่านอีกครั้ง...แล้วทุกอย่างก็ดำเนินต่อไปตามครรลอง...ที่มันควรจะเป็น
......................................................

          คุณตาของศิวัชไม่ได้ใช้เส้นสายที่มีอยู่ในการวิ่งเต้นช่วยเหลือหลานชายคนเดียวเลย...ท่านปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของศาล...ที่ท่านเชื่อมาตลอดว่า”ยุติธรรม”เสมอ แม้ตอนนี้จะผ่านเรื่องราวร้ายๆมาหลายเดือนแล้ว ศิวัชก็ได้รับการบำบัดรักษาตามขั้นตอนที่ถูกต้องและเข้ารายงานตัวและตรวจหาสารเสพติดอยู่ตลอด...ตามคำสั่งของศาล แต่เด็กหนุ่มไม่เรียนต่อที่โรงเรียนเดิม...ศิวัชอยากสอบเทียบให้ได้ทันเพื่อน...เขาขะมักเขม้น...อ่านหนังสือ เพื่อจะให้ได้เรียน กศน. เวลาล่วงเลยผ่านไปจนทุกอย่างเริ่มเป็นปกติ...อย่างที่มันควรจะเป็น...แต่มีสิ่งหนึ่ง...คืบคลานเข้ามาช้าๆ...สิ่งนี้แหละที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเด็กหนุ่มไปตลอดกาล
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 17=
เริ่มหัวข้อโดย: ifwedo ที่ 27-08-2009 02:30:03
อุ้ยแล้วสิ่งที่เปลี่ยนมันดีรึไม่ดีน๊า อยากรู้จังมาต่ออีกน๊าๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 17=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 27-08-2009 02:47:31
ศิวัชกลับตัวกลับใจได้มากมายเป็นคนละคนเลยรึเนี่ย
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นอีก ความเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลขนาดนั้นคืออะไรกันนะ
ตอนนี้เหมือนจะรวบรัดตัดความทางด้านศิวัชไปเลย
แล้วทางด้านหนุ่ยกับธีร์เป็นยังไงบ้าง
รออ่านต่อนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 17=
เริ่มหัวข้อโดย: WEERACHOT ที่ 27-08-2009 02:50:08
* เหมือนคนเขียน รีบเขียนไงไม่รู้ครับ (อันนี้ผมรู้สึกไปเองหรือเปล่า) หรือว่าเป็นสไตร์คนเขียนเอง ความรู้สึกผมคืออยากร้องไห้

แต่เหมือนเรื่องผ่านไปรวดเร็มมาก จนน้ำตาไหลไม่ออก เหมือนมันรวบรัดอ่ะครับผม

เป็นกำลังใจให้ครับสู้ๆ (ผมเองไม่ใช้นักเขียน แต่เป็นเพียงผู้อ่านธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้นครับ อิอิ) :L2:


คิดถึงคู่ธีร์เหมือนกันน่ะเนี่ย ขนาดหายไปตอนเดียว...

น่านกับวัชสู้ๆ ทุกอย่างมันต้องผ่านไปได้ และเชื่อว่าวันหนึ่ง...

ทั้งสองคน คงจะยิ้มทั้งน้ำตา เพราะรู้ว่าการอดทน และรอใครสักคน

มันมีค่าแค่ไหน (บ่นไรเนี่ยผม อิอิ)   o7
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 17=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 27-08-2009 02:57:51
มีเรื่องราวอีกมากหรือป่าวครับ  เห็นรวบรัดตัดความไปเยอะเลย

การเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้น เปลี่ยนไปไหนทางไหนครับ

แล้วจะติดตามต่อว่าเป็นยังงัย

 :z2:   :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 17=
เริ่มหัวข้อโดย: hene2526 ที่ 27-08-2009 11:13:37
เนกำลังใจให้วัชนะครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 17=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 27-08-2009 11:19:56
คำพูดของคุณตา ทำเอาน้ำตาไหลเลย

ชีวิตของศิวัชคงจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นนะ

 :sad11:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 17=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 27-08-2009 11:35:56
ขออย่าให้มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นอีกเลยนะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 17=
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 27-08-2009 14:03:07
เริ่มสดใสแล้วววววววววววว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 17=
เริ่มหัวข้อโดย: kikipanda ที่ 27-08-2009 15:42:15
พอฟ้าจะเริ่มใส คุณต้นคุงก็พัดพาบรรยากาศครึ้มฝน(หรือจะพายุ) มาอีกแล้ววว  :sad4:

ทำผิดแล้วคิดได้ พร้อมกลับตัวนี่น่าอภัยให้นะน้องวัช สู้ๆ นะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 17=
เริ่มหัวข้อโดย: wichit14 ที่ 27-08-2009 17:27:56
นั่งลุ้นอยู่เหมือนกัน ว่าวัช จะกลับมาดีได้ไหม ถ้ากลับตัวได้ก็ดีครับ.. วัชติดไอซ์ แต่ผม ติดเรื่องนี้งอมแงมเลย... ถ้าวันไหนไม่ได้เสพ คงตาย..555+
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 17=
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 27-08-2009 23:59:44
กลับตัวกลับใจได้ก็ดีแล้ววัช



แต่ทิ้งท้ายแบบนี้เรื่องยุ่งจะตามมาล่ะซิ




น่าสงสารจิงดีไม่ทันไรจะเลวร้ายลงไปอีกเหรอเนี่ย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 17=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 28-08-2009 00:37:28
 :z2: :z2: :z2:
มาอ่านต่อของวันนี้ก็แฮปปี้ในระดับหนึ่ง
เพราะเหมือนต้องเข้ามาอ่านวันละรอบไปแล้วสำหรับเรื่องนี้
แล้วจะรออ่านต่อ
นิว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 17=
เริ่มหัวข้อโดย: MonkeYMauS ที่ 28-08-2009 01:56:46
อารายยางงายต่อ

แบบว่า

รอลุ้นน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 17=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 28-08-2009 04:02:16
18 ห้องนอน

          หลังจากที่ศิวัชต้องออกจากโรงเรียนเพื่อเข้ารับการบำบัดรักษาอาการของผู้ที่ติดยาเสพติดแล้ว น่านซึมเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะช่วง 3 เดือนแรกที่ศิวัชต้องไปอยู่สถานบำบัด น่านนั่งเหม่อลอยและไม่ได้ตั้งใจเรียนเหมือนก่อน...เรื่องผลการเรียนที่ตกลงไปของน่านนั้นทำให้หนุ่ยรู้สึกเป็นห่วงเอามากๆ...เขากับเพื่อนร่วมแก๊งนั้นเรียนดีขึ้นเป็นลำดับ...ทั้งหมดเริ่มมองหาที่เรียนในระดับมหาวิทยาลัยแล้ว การที่น่านมาเป็นแบบนี้ทำให้หนุ่ยพยายามอย่างยิ่งที่จะดึงน่านให้เข้ามาอยู่ในกลุ่มด้วยกัน น่านจะได้ไม่รู้สึกเหงาและเก็บตัวอีกต่อไป อีกอย่างจะได้ช่วยเรื่องเรียนของน่านไปด้วย

“น่านรายงานของอาจารย์สำเนียง...น่านมาอยู่กลุ่มเดียวกับเรานะ...” เสียงหนุ่ยชวนน่านเข้ากลุ่มด้วยกัน แก๊งของหนุ่ยมี 6 คนแต่อาจารย์ให้จับกลุ่มละ 7 คนฉะนั้นต้องดึงน่านมาเข้ากลุ่มอีกคนจะได้ครบพอดี
“ยังไงก็ได้...” น่านหันมายิ้ม
“กลุ่มของเรามีแคน อ้น ป้อ ปรีย์ ทีมหนุ่ยแล้วก็น่าน” หนุ่ยบอกน่าน
“ไอ้ทีม...เขียนชื่อส่งอาจารย์เลย...กูจองชื่อกลุ่มที่หนึ่งนะเว้ย” แคนบอก
“ทำไมต้องเอากลุ่มหนึ่งด้วยวะ...เดี๋ยวต้องพรีเซ้นต์ก่อน” ทีมถามเพื่อน
“เออน่าพรีเซ้นต์ก่อนน่ะไม่กดดัน...เสร็จแล้วจะได้นั่งดูคนอื่น...มึงรู้รึเปล่า...ถ้าพรีเซ้นต์ที่หลัง...มึงก็มานั่งใจตุ้มๆต่อมๆ” ไอ้ปรีย์เสนอแนวความคิดที่แยบยล
“เออดีเหมือนกันนะ...” น่านเห็นด้วย...ทุกคนในกลุ่มสรุปตามนั้น...ขอเป็นกลุ่มที่หนึ่ง

          วิชานั้นจะต้องส่งในอีกสัปดาห์ถัดมาและต้องพรีเซนต์ไปพร้อมๆกันเลย เพราะฉะนั้นระหว่างนี้ เพื่อนๆทั้งหมดต้องแบ่งงานกันทำ น่านกับหนุ่ยและปรีย์ได้รับงานพิมพ์ลงคอมและเข้ารูปเล่ม...เป็นงานที่น่านถนัดเหมือนกัน แม้จะไม่มากนักแต่น่านน่าจะทำได้ดี...
“ไปทำที่บ้านเราก็ได้นะ...” หนุ่ยเสนอให้ไปใช้สถานที่ที่บ้าน
“ดีเหมือนกัน...บ้านไอ้หนุ่ยกว้างยังกะวัง” ปรีย์พูด

          เด็กทั้งสามคนมาทำรายงานกันที่บ้านหนุ่ย หนุ่ยพาเพื่อนเข้ามาทำงานกันในห้องนอนของเขา เมื่อเห็นห้องนอนส่วนตัวของหนุ่ยที่ออกแบบและตกแต่งอย่างสวยงามทำให้น่านคิดถึงวัชขึ้นมาทันที สองคนนี้มีห้องส่วนตัวเหมือนกัน น่านเองนั้นต้องนอนกับน้องชาย บ้านก็เป็นตึกแถวขายอาหารอยู่แถวๆโรงเรียนนั่นเอง น่านไม่เคยมีห้องส่วนตัว ส่วนปรีย์ก็เช่นเดียวกัน เขาต้องนอนกับพี่ชายเหมือนกัน ปรีย์นั้นเคยมาแล้วจึงไม่ได้ตื่นตาตื่นใจอะไร ปรีย์เริ่มทำรายงานโดยใช้โน้ตบุ๊คของหนุ่ย...
 “ของเก่าน่ะ...พี่ธีร์ให้เอามาใช้” หนุ่ยบอกน่าน
“ขอเปิดโทรทัศน์หน่อยนะ...” น่านขออนุญาต
“ตามสบายเลยน่าน...เดี๋ยวหนุ่ยลงไปหาอะไรมาให้กิน” หนุ่ยว่าแล้วก็เดินออกจากห้องไป

          น่านเปิดโทรทัศน์โดยไล่ไปเรื่อยๆจนมาหยุดที่ข่าวการล้อมจับนักค้ายาบ้ารายใหญ่ เนื้อหาที่ข่าวรายงานมานั้นเหมือนกับเป็นผลการจับนักค้ารายย่อยที่ชื่อนายอุ้ย...ต่อมาก็สืบสวนขยายผลจนมาจับนักค้ายารายใหญ่นี้ได้...
“นายอุ้ย...” น่านทวนชื่อๆนี้ไปมา...ใครนะชื่อคุ้นๆ
“น่านมาดูนี่สิ...ไอ้นี่จะทำยังไง” ปรีย์ตะโกนถามน่านที่นั่งคิ้วขมวดอยู่บนที่นอน
“เป็นอะไรไป...ทำไมทำหน้าอย่างนั้น...” ปรีย์ถามน่าน
“ดูข่าวยาบ้าเมื่อกี้นี้...มีชื่อนายอุ้ย...เราคุ้นๆนะ...นายรู้จักมั้ย...” น่านถามปรีย์ แต่พอดีหนุ่ยเข้ามาได้ยินพอดี
“ไอ้อุ้ยที่ถูกจับเรื่องที่มันทำร้ายร่างกายเราเมื่อตอนนั้นรึเปล่า...” หนุ่ยพูดจบทำให้น่านนึกขึ้นมาได้ทันที
“เออใช่...” น่านร้องออกมา ใจเขาคิดถึงวัชขึ้นมาทันที ตอนนี้วัชอยู่ที่ไหนนะ น่านเป็นห่วงขึ้นมา จึงกดโทรศัพท์หาวัชทันที

“วัชเมื่อกี้น่านดูข่าวว่ามีการจับคนค้ายาบ้า...ที่ตำรวจขยายผลจากคดีไอ้อุ้ย” น่านรายงานเร็วปรื๋อ
“อืม...วัชก็ดูอยู่เหมือนกัน” น้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีของวัชทำให้น่านเป็นห่วง
“น่าน...น่านอยู่ไหนอ่ะ...” เสียงวัชดูร้อนรน
“น่านอยู่กับปรีย์..มาทำรายงานบ้านหนุ่ย...”
“อืม...ทำเสร็จแล้วโทรมาหาหน่อยสิ...วัชอยากเจอน่าน...ให้วัชไปรับที่บ้านหนุ่ยก็ได้นะ” เสียงวัชเจื้อยแจ้วมาตามสาย น่านนั่งยิ้มที่คนรักอยากเจอเขา...เขาเองก็อยากจะเจอวัช...ใจจะขาด
“ได้...เสร็จแล้วน่านจะโทรไปหานะ...” น่านวางหู

          เด็กๆทำรายงานกันจนเสร็จ หลังจากนั้นปรีย์รับอาสาที่จะไปเย็บเล่มให้ น่านเลยกดโทรศัพท์หาวัช...ปรีย์ขอตัวกลับไปก่อนพร้อมแฮนดี้ไดร์ฟเก็บข้อมูลรายงาน ระหว่างที่น่านคอยให้วัชมารับ
“น่าน...คิดอะไรอยู่” หนุ่ยเห็นเพื่อนที่นั่งเรียนคู่กัน ทำหน้าเศร้ากว่าที่เคยเป็น
“อือ...น่านกำลังกลุ้มใจเรื่องข่าวเมื่อกลางวัน” น่านหันมาบอก ดวงตาเอ่อคลอคล้ายจะร้องไห้
“ไม่มีอะไรมากหรอกมั้ง...น่านคิดมากไปรึเปล่า” หนุ่ยเดินมาโอบไหล่เพื่อนเอาไว้ รูปร่างหนุ่ยพอๆกับวัช ทำให้น่านรู้สึกเหมือนกับมีวัชมายืนเคียงข้าง
“ไม่มีอะไรมากก็ดีสิ...น่านกลัวว่ามันจะตามล้างแค้นวัชเอาน่ะสิ” น่านบอก
“เรื่องอะไรต้องมาล้างแค้น” หนุ่ยถามด้วยความสนใจ
“ก็เรื่องที่หนุ่ยเคยถูกกันเป็นพยานเพื่อสาวให้ถึงผู้ค้ารายใหญ่...ตอนที่ไอ้อุ้ยถูกจับเมื่อหลายเดือนก่อนน่ะสิ” น่านถอนหายใจเฮือกใหญ่
“วัชรู้ตัวรึเปล่า...” หนุ่ยถาม
“น่าจะรู้นะ...ตอนหลังๆน่านเห็นวัชไปไหนมาไหนต้องหลบๆซ่อนๆตลอดเวลา...แค่ชวนไปจตุจักรวัชยังไม่ยอมไปเลย” น่านตั้งข้อสังเกต
“ต้องบอกผู้ใหญ่ให้รู้นะ...เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆนะน่าน” หนุ่ยพยายามหาทางออกที่ดีที่สุดให้เพื่อน
“น่านก็บอกวัชว่าให้บอกคุณตา...คุณยาย...ไม่รู้เหมือนกันว่าวัชบอกรึเปล่า...” น่านเล่าให่หนุ่ยฟังจนหมด เพราะลึกแล้วน่านเองก็มองเห็นอยู่แล้วว่า...หนุ่ยเองน่าจะเป็นคนที่ไว้ใจได้...และน่าจะเป็นที่พึ่งทางความคิดได้
“....ปี๊น...ปี๊น...” เสียงบีบแตรรถเบาๆทำให้ทั้งคู่หันไปมอง
“วัชมารับแล้ว...น่านไปก่อนนะ...แล้วเจอกันวันจันทร์” น่านโบกมือให้หนุ่ย

           เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างหนักเมื่อคิดถึงเรื่องของวัชขึ้นมา...คิดไม่ออกว่าถ้าเป็นเขา...เขาจะทำยังไง...จะหนีหรือจะสู้กับมันดี
..................................................


“พี่ธีร์...มาเมื่อไหร่ครับ” หนุ่ยทักธีร์เมื่อเดินลงมาเห็นธีร์ที่โต๊ะอาหารเย็น วันนี้ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าเลยทีเดียวทั้งคุณภาณี ธีร์และเต้
“หวัดดีครับพี่เต้...” หนุ่ยยิ้มแย้มแจ่มใสเสมอ...ใครเห็นก็ต้องชม
“มาเมื่อกี้นี้เอง...มานั่งคอยคุณชายของบ้านนันทนกุล” เสียงของธีร์ค่อนขอด
“ธีร์นี่ก็ละ...”คุณภาณีตีมือของลูกชาย
“ดูสิคุณแม่...จะทานข้าวกันทีไร...ต้องคอยทุกครั้ง” ธีร์พูดกับคุณภาณี แต่สายตาก็หันไปหาพวกด้วยการพยักเพยิดกับเต้
“แกไม่ต้องมาหาพวกไอ้ธีร์...แกมีเรื่องจะต้องคุยกับชั้นหลายเรื่อง” เต้มองธีร์แบบดุๆ...ยิ่งคนพูดน้อยๆอย่างเต้ได้พูดแล้วด้วย...ธีร์จึงสงบปากลงได้
“ขอโทษครับทุกคน...พอดีผมดูข่าวภาคค่ำอยู่ครับเลยลงมาช้า” หนุ่ยบอกทุกคน
“อะไร...หนุ่ย...เนี่ยนะดูข่าว...” ธีร์พูดออกมาเพราะไม่เคยเห็นเด็กหนุ่มดูโทรทัศน์สักเท่าไหร่เลย
“ผมดูข่าว.....” หนุ่ยเล่ารายละเอียดของข่าวที่เขาดูเมื่อกลางวันและข้อสังเกตที่น่านคุยกับเขาเมื่อเย็นนี้ให้ทุกคนฟังจบหมด

“เฮ้อ...” ภาณีถอนหายใจออกมา
“เป็นอะไรคุณแม่...” ธีร์แซวแม่ตัวเอง
“หนักใจแทน...พ่อแม่เจ้าวัชจริงๆ” ภาณีพูด
“ไม่ต้องหนักใจหรอกครับคุณแม่...พ่อวัชมันอยู่อเมริกา...แม่มันอยู่แอฟริกาใต้” หนุ่ยบอกยิ้มๆ
“โอย...ฉันจะเป็นลม...ทำไมมันถึงรันทดขนาดนี้นะ” ภาณีกุมขมับ
“ยังกับเป็นลูกตัวเองเลยนะ” ธีร์ประชดประชัน
“ไอ้ธีร์ขอคุยด้วยหน่อยสิ” เต้เบรคธีร์ไว้กลางคัน...แล้วดึงมือธีร์ออกไปข้างนอก
“ป้าจิต...ขอชาร้อนถ้วยนึง...น้ำขิงถ้วยนึง” เต้ร้องสั่ง
“คุณแม่ครับ...วัชน่ะอยู่กับตายายสามคนเท่านั้นนะครับ” หนุ่ยเล่าให้ภาณีฟังถึงชีวิตของวัช...ว่าโตมายังไงและปัญหาทางด้านจิตใจ...รวมทั้งเรื่องที่เคยติดยา

“ดีนะที่มีคุณตาคุณยายที่ยังรักและเข้าใจ...วัชเองก็น่าจะมีพื้นฐานทางจิตใจที่ดี...ไม่งั้นอาจจะเสียคนไปแล้วก็ได้” ภาณีให้ความเห็นอย่างคนที่มีประสบการณ์
“เออหนุ่ย...เรื่องบ้านเราที่ระโนดน่ะ...หนุ่ยจะเอายังไงหือ...หนุ่ยจะขายหรือจะเก็บเอาไว้ก่อน” ภาณีถาม
“คุณแม่เห็นว่ายังไงล่ะครับ...” หนุ่ยย้อนถามความเห็น
“แม่ก็แล้วแต่หนุ่ยนะ...จะเก็บไว้ก็ได้...แต่ก็ต้องหาคนดูแล...เห็นว่ามีเจดีย์เก็บกระดูกปู่กับย่าอยู่ไม่ใช่เหรอ...”
“ครับ...ผมไม่อยากจะขาย...ผมอยากเอาไว้เป็นเอ่อ...เอ่อ...”หนุ่ยก้มหน้า
“แล้วแต่นะลูก...เก็บไว้ก็ได้...จ้างคนแถวๆนั้นช่วยดูแลก็น่าจะได้เนอะ...” ภาณีหาทางออก
“ครับ...” หนุ่ยรับคำ
“แม่ว่าปิดเทอมนี้หนุ่ยชวนพี่ธีร์ไปจัดการให้เรียบร้อยดีมั้ยลูก” ภาณีว่า
“โหย...คุณแม่ครับ...พี่ธีร์จะว่างเหรอครับ...วันๆทำงานหนักขนาดนี้” หนุ่ยพูดยิ้มๆ
“เออ...ถ้าหนุ่ยชวนแม่ว่าพี่ธีร์อาจจะหาเวลาว่างพาไปก็ได้นะ...” ภาณีพูดยิ้มๆ
“ผมจะลองชวนดูครับ” หนุ่ยบอก
“ใกล้จะปิดเทอมแล้วนี่...ยังไงบอกพี่เค้าล่วงหน้าหน่อยก็ดีนะ” ภาณีว่าแล้วเดินขึ้นห้องไป  ...

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 18=
เริ่มหัวข้อโดย: ifwedo ที่ 28-08-2009 04:08:21
อุ๊ยย จู๋จี๋ๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 18=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 28-08-2009 04:10:55
เหมือนเหตุการณ์บางอย่างกำลังระอุอยู่
และพร้อมจะระเบิดขึ้นมาในไม่ช้านี้
นานๆเต้จะมีบทบาทเสียที เขามีความสำคัญอย่างไรกับเรื่องนี้แค่ไหนหนอ น่าลุ้นๆ
ยังสนุก และน่าติดตามเช่นเคยค่ะ
บวก 1 แต้มนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 18=
เริ่มหัวข้อโดย: Nichdia ที่ 28-08-2009 06:51:22
อ่านมาหลายตอนละ เม้นซะหน่อย

ชอบมากเลยคับ ตัวละครดูมีหตุผลดี

ไม่ได้เน้นเรื่องรักๆใครๆมากมาย อิอิ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 18=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 28-08-2009 08:40:56
 :z2: :z2: :z2:
อ่านตอนนี้แล้วสนุกแบบบอกไม่ถูก เรื่อเริ่มจะมันขึ้นมาแล้ว ตัวไม่เด่นเริ่มจะมีบท 555+
แล้วจะรออ่านต่อไม่รู้คืนนี้จะได้อ่านต่อไหมเนี่ย
นิว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 18=
เริ่มหัวข้อโดย: สาวบ้านนอก ที่ 28-08-2009 09:04:38
ยาเสพติดไม่ไปเกี่ยวข้องด้วยดีที่สุดเลย สนุกดีค่ะรออ่านต่อไป :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 18=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 28-08-2009 09:28:15
อย่าให้ม่เรื่องเกิดขึ้นเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 18=
เริ่มหัวข้อโดย: kikipanda ที่ 28-08-2009 09:41:30
ลุ้นค่ะ ลุ้น ขออย่าให้มีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นเลยเน้อ  :call:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 18=
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 28-08-2009 14:41:54
จะมีอะไรต่อไปมั้ยเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้
เริ่มหัวข้อโดย: WEERACHOT ที่ 28-08-2009 21:51:29
 :กอด1:เป็นกำลังใจให้คนโพส และคนแต่ง อิอิ

อะไรๆก็ เกือบ!!! ดีแล้วน่ะครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 18=
เริ่มหัวข้อโดย: MonkeYMauS ที่ 28-08-2009 23:07:31
เงื่อนงำอะไรซักอย่างนึงง


อะไรนะ

จะเกิดอะไรต่อ

เดาไม่ออก
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 18=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 28-08-2009 23:28:42
19 สนามบินสุวรรณภูมิ  

“ธีร์...งานที่บริษัทธีร์จะไม่ทำแล้วใช่มั้ย...” เต้ถามด้วยสีหน้าซีเรียสมากๆ
“เฮ้ย...ทำสิ...ทำไมล่ะ...ปกติมีอะไรเต้ก็ตัดสินใจได้อยู่แล้วนี่” เต้เป็นอีกคนในชีวิตที่ธีร์ให้ความไว้วางใจ ระยะหลังมานี้ธีร์แทบไม่ได้เข้าบริษัทที่เค้าเป็นหุ้นส่วนกับเต้เลย
“เต้เห็นธีร์สนใจแต่งานประจำแล้วก็เอ่อ...” เต้เลือกที่จะไม่พูดต่อเพราะชายหนุ่มสังเกตจากสีหน้าของธีร์ที่มองมาที่เขา
“แล้วก็อะไร...” ธีร์เสียงเขียวขึ้นมาทันที
“เปล่า...เต้ก็อยากจะบอกแค่นี้แหละ...ว่าให้เข้าไปคุยกันบ้าง...ห้องทำงานของธีร์ที่บริษัทเราก็มี...แบ่งเวลามาบ้าง...ถ้าไม่มาดูบ้างเดี๋ยวเต้จะโกงให้หมดตัวเลย...” เต้พูดแล้วก็ยิ้ม...ชายหนุ่มไม่เคยโกรธธีร์ได้นานเลย
“โธ่เต้ครับ...ถ้าเต้จะโกงนะ...ธีร์ยอมให้โกงให้หมดเลย ตอนนี้งานของธีร์กำลังจะไปได้ดีนะ....ธีร์กำลังจะได้โปรโมทแล้ว...” ธีร์พูดอ้อนๆกับเต้...เป็นวิธีการเดิมๆเหมือนที่เคยใช้แต่ได้ผลดีเสมอ
“แล้วเสาร์อาทิตย์ล่ะ...คุณชายทำอะไรครับ” เต้วกเข้าเรื่องที่มันค้างอยู่ในใจ
“เสาร์อาทิตย์ก็อยู่บ้านไง...อยู่กับคุณแม่แล้วก็เอ่อ...” ธีร์ไม่พูดต่อเหมือนกัน เหมือนมีเส้นบางๆมากั้นระหว่างสายสัมพันธ์อันแนบแน่นของเขาทั้งสอง... ธีร์ไม่พูดต่อ...เต้ก็ไม่พูดต่อ ทั้งสองเลือกที่จะนิ่งเงียบ เพราะตั้งแต่หนุ่ยเข้ามาอยู่ในฐานะของน้องชายของธีร์เต็มตัว เต้กับธีร์เจอกันแทบจะนับครั้งได้ ถ้าไม่นับการที่ต้องเข้าไปทำงานที่บริษัททัวร์ ดังนั้นจึงเป็นเหตุที่เต้ต้องเข้ามาคุยกับธีร์ในวันนี้ สองสัปดาห์หลังจากที่กลับจากหัวหินแล้วธีร์ก็สอนให้หนุ่ยขับรถและสัปดาห์ต่อๆมาก็มีกิจกรรมต่างๆกับแม่และหนุ่ยตลอด...เรียกว่าเสาร์อาทิตย์...ธีร์อยู่ติดบ้านมากขึ้น เวลาที่จะไปกับเต้ เช่นการไปเล่นกีฬาหรือดื่มกินเที่ยวก็น้อยลงไปด้วย เต้รู้สึกเหมือนกับตัวเองถูกลดความสำคัญลงไป...ความน้อยใจก่อเกิดขึ้นในใจทีละเล็กทีละน้อย...แต่เต้ก็เป็นคนที่ยอมธีร์เสมอมา ทั้งอดทน ทั้งเฝ้ารอ เต้ไม่กล้าแม้จะพูดความในใจกับชายหนุ่ม...เพราะเต้ “กลัว”...
...........................................................


“น่าน...คิดถึงจังเลย” เสียงวัชออดอ้อนแฟนหนุ่ม
“อืม...น่านก็คิดถึงวัช...” ทั้งสองหนุ่มกอดกันกลม บนที่นอนที่หนานุ่มในห้องของวัช ร่างกายที่เปลือยเปล่า กล้ามแกร่งของเด็กหนุ่ม ลอนหน้าท้องที่เป็นซิคแพคดูสวยงาม ไรขนที่เลื้อยลามมาถึงสะดือ น่านลูบไล้ด้วยความหลงใหล
“น่าน...ทำไมไม่ถอดเสื้ออกล่ะครับ...วัชจะทนไม่ไหวแล้วนะ...” วัชพยายามจะถอดเสื้อยืดตัวเล็กๆออกทางหัว
“น่านยังไม่ได้อาบน้ำเลยนะวัช...เหม็นเหงื่อจะตาย” น่านครางเบาๆแล้วถอดเสื้อและกางเกงของตัวเองก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำด้วยกางเกงในตัวเล็กๆตัวเดียว
“วัชอาบให้นะ...” วัชจะเดินตามเข้าห้องน้ำไปด้วยแต่น่านกดล็อกประตูซะก่อน
“น่าน...น่าน...เปิดหน่อนสิ...วัชอาบให้” วัชเคาะประตูเบาๆ
          เด็กหนุ่มเดินไปหยิบกุญแจสำรองในตู้เก็บเสื้อผ้าแล้วไขเข้าไปอย่างแผ่วเบา... ร่างเล็กๆบางๆของน่านเปลือยเปล่าอยู่ท่ามกลางสายน้ำที่สาดลงมาจากฝักบัว น่านยืนอยู่ในอ่างอาบน้ำ แชมพูสระผมที่เพิ่งจะชโลมลงบนหัว วัชย่องเข้าประชิดด้านหลังก่อนจะกอดรัดร่างบางๆเปลือยเปล่าเอาไว้ จมูกโด่งแหลมของวัชกดลงที่ซอกคอขาวผ่องของน่าน
“วัช...เข้ามายังไง...” น่านตกใจเมื่อหันมาเห็นร่างปลือยของศิวัชเข้ามายืนประกบอยู่ด้านหลัง
“บ้านวัชนะ...ทุกห้องในบ้านนี้วัชมีสิทธิ์ที่จะเข้า...” เด็กหนุ่มพูดเป็นนัยๆ
“อืม...เข้าใจครับ...แต่นี่น่านกำลังอาบน้ำอยู่นะ...อาบเสร็จก่อนไม่ได้เหรอครับที่รัก...”
“ไม่ไหวละ...วัชคอยไม่ไหวแล้ว” วัชตะโบมทั้งมือและปากลงฟอนเฟ้นเรือนร่างเปล่าเปลือยของน่าน สองร่างสะท้านเยือกแล้วเยือกเล่า ภายใต้กระแสน้ำที่ไหลหลั่งลงมาไม่ขาดสาย สายน้ำที่สาดซัด ทั้งดุดันทั้งซาบซ่าน ราวกับน้ำทิพย์ที่ชะโลมลงมาเติมเต็มความรัก ความใคร่ให้สองหนุ่ม...อบอุ่นและอิ่มเอม...

“น่าน...” วัชมองตาคนรักที่นอนอยู่ข้างๆ
“วัชเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณตาคุณยายฟังแล้ว...” วัชพูดขึ้นมา
“แล้วท่านว่ายังไง” น่านตะแคงตัวหันมามองอย่างตั้งใจฟัง
“ท่านจะให้วัชไปอยู่กับแม่สักพักนึง” วัชก้มหน้านิ่ง...น้ำตาเอ่อ...
“แล้ววัช...ว่า...ไงล่ะ” น่านพูดช้าลง...หัวตามันร้อนผ่าว... เด็กหนุ่มกระพริบตาอีกทีเดียว...น้ำตาก็หยดแหมะออกมา
“น่าน...ไม่ต้องร้องไห้...น่านอย่าร้องไห้สิ” วัชกอดน่านไว้ในอ้อมแขน พลางเอามือลูบหลังของน่าน “อ้อมกอดที่อบอุ่นนัก...ต่อแต่นี้จะไม่มีอีกแล้วเหรอ...”น่านคิดในใจ...น้ำตายิ่งไหลลงมาอีก...
“บอกแล้วว่าอย่าร้อง...” วัชพูดเสียงเครือ...เด็กหนุ่มน้ำตาคลอไปด้วย เขาคิดว่าตัวเองเข้มแข็ง เขาคิดว่าเมื่อบอกน่านแล้วน่านร้องไห้ เขาจะปลอบโยนให้น่านยอมรับความเป็นไปของชีวิตได้บ้าง แต่เขาเองนั่นแหละที่ไม่สามารถจะทำอย่างที่คิดไว้ได้เลย
“วัช...แล้วน่านจะอยู่กับใคร...แล้วน่านจะอยู่กับใคร...”น่านฟูมฟายออกมา
“น่านอย่าร้องสิ...น่านต้องเข้มแข็งนะ...” วัชกอดน่านแน่น...สองร่างแทบจะเป็นร่างเดียวกัน
“แล้วน่านจะอยู่กับใคร...ฮือ...ฮือ...ฮือ...” น่านร้องโฮออกมา เสียงดัง น่านซบหน้าลงกับหน้าอกแข็งแกร่งเปลือยเปล่าของแฟนหนุ่ม น่านรักวัช “สุดหัวใจ”เขาเพิ่งรู้คำตอบวันนี้นี่เอง... วันที่รู้ว่า “ต้องจากกัน” 

          เด็กหนุ่มสองคนนอนคุยกันตลอดทั้งคืน เรื่องราวในอดีตตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จักกัน ถูกผลัดกันเล่าออกมาเรื่อยๆ ราวกับว่าจะย้อนวันเวลาเหล่านั้นแล้วฉายเป็นภาพให้อีกคนได้เห็น สิ่งเหล่านี้จะเก็บเป็นความทรงจำซึ่งกันและกันตลอดไป

“จะเช้าแล้ว...ยังไม่ง่วงอีกเหรอครับ...” วัชถามน่านก่อนที่จะหอมแก้มคนรักฟอดใหญ่
“อยากอยู่ด้วยกันอย่างนี้นานๆ”
“อืม...ตามใจสิครับ” วัชพูดยิ้มๆ
“วัชคิดไว้รึยังว่าจะไปเมื่อไหร่” น่านถามราวกับว่าเรื่องที่จะต้องจากกันนั้นเป็นเรื่องเล็กๆที่พอจะทำใจได้
“ไม่ร้องไห้แล้วเหรอ” วัชเชยคางน่านขึ้นแล้วจูบแผ่วเบาที่ปากบางๆ
“อืม...ไม่รู้จะร้องทำไม...ถ้าการที่วัชไปแล้วมันจะดีต่อตัววัชเอง...” น่านยิ้มให้วัช
“น่านต้องเข้มแข็งนะ...วัชคิดว่าคงไปไม่นาน...เรื่องเงียบแล้วอาจจะกลับมาก็ได้” วัชบอกกับน่านไว้...เพราะเขาคิดอย่างนั้นจริงๆ
“น่านอยากให้วัชเรียนไปด้วยเลย...วัชปรับเรื่องภาษาเล็กน้อยก็น่าจะได้แล้ว” น่านเห็นอย่างนั้นเพราะภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่วัชถนัดที่สุด
“ถ้าเรียนต้องปรับอีกเยอะ...อย่างน้อยก็ครึ่งปีน่ะน่าน” วัชบอก
“ก็ดีกว่าไปอยู่เฉยๆ...”
“อืม..จะลองดูนะ...” วัชกอดคนรักอีกครั้ง เขาเองแม้จะรุนแรงกับน่านไปบ้างบางครั้ง เจ้าอารมณ์บางที เอาแต่ใจหรือแม้แต่ทำร้ายร่างกายน่าน แต่...ตั้งแต่มีน่านเข้ามาในชีวิต วัชยังรักและซื่อสัตย์กับน่านเสมอมา ด้วยรูปร่างหน้าตาและฐานะอย่างวัช เขาไม่สนใจใครเลยไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ทั้งๆที่มีพวกนี้เข้ามาเกาะแกะเต็มไปหมด
“วัชก็ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยสิ...” น่านพูดเปรยๆขึ้นมา ไม่คิดว่าวัชเองน่ะคิดล่วงหน้าไปแล้ว
“วัชก็ว่าจะทำงาน...เอ่อรับจ้างแม่น่ะ...แล้วจะเก็บเงินซื้อตั๋วเครื่องบินให้น่านตามไป...เราจะไปอยู่ด้วยกัน...ดีมั้ย” วัชพูดพลางทำตาเคลิ้มฝัน
“จริงเหรอวัช...” น่านซบหน้ากับซอกคอวัชอีกครั้ง น้ำตามันไหลรินออกมา...มันซึ้งใจ...มันกินใจเอามากๆ...ถ้ามันเป็นจริงอย่างที่วัชพูด...น่านน่าจะเป็นคนที่โชคดีที่สุดคนนึงเลยทีเดียว


          ที่สนามบินสุวรรณภูมิ หน้าเคาน์เตอร์เช็คอินของสายการบินไทย น่านยืนจับมือวัชไว้แน่น ทั้งสองกอดกันด้วยน้ำตานองหน้า
“น่าน...แล้ววัชจะโทรมานะ...” วัชเอานิ้วโป้งเกลี่ยคราบน้ำตาที่เลอะแก้มน่านเบาๆ
“วัชอยู่ที่นู่นก็ต้องดูแลตัวเองด้วยนะ...ถ้าอากาศมันเย็น...วัชต้องใส่เสื้อหลายๆชั้นนะ...” น่านพูดเบาๆกับวัช อยากให้ได้ยินแค่สองคน คุณตาและคุณยายยืนอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย ท่านปล่อยให้วัชได้ล่ำลาน่านเป็นการส่วนตัว
“น่าน...กลางวันต้องลงไปกินข้าวนะ...ไปสนุกสนานกับเพื่อนๆ...น่านอย่าเก็บตัวนะ...เดี๋ยวไม่มีเพื่อน” วัชห่วงน่านตรงนี้เหลือเกิน เขารู้สึกว่าน่านเปลี่ยนไปมากเมื่อมาคบกับเขา...แต่จะว่าไปแล้วเขาเองนั่นแหละที่ไม่อยากให้น่านไปคบกับใคร...อยากให้น่านอยู่กับเขาแค่เพียงคนเดียว
“วัช...นอนห่มผ้าด้วยนะ...” สิ่งที่จะพอเตือนกันได้ก็เท่านี้ เมื่อห่างไกลจากกันแล้ว...ใครจะมาเตือน

          วัชสวมกอดกับน่านแนบแน่นและเนิ่นนาน น้ำตาของน่านไหลออกมาอีกครั้ง “ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอกันอีก...” น่านพูดเบาๆกับวัช   “ได้เจอสิ...วัชจะทำงานเก็บเงิน...ซื้อตั๋วเครื่องบินให้น่านตามไปนะ...”  วัชให้สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ...สองสายตาสบกันอย่างลึกซึ้ง...   

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 19=
เริ่มหัวข้อโดย: hene2526 ที่ 28-08-2009 23:42:20
ขอจิ้มก้นองค์หญิงก่อนแล้วกันนะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 19=
เริ่มหัวข้อโดย: WEERACHOT ที่ 29-08-2009 00:03:47
 :o12: สงสารวัชกับน่าน ฮื่อๆๆๆ

แล้วคู่ธีร์กับหนุ่ย จะเอาไง หึหึ.....

เหอ...ลุ้นว่าเรื่องจะดำเนินไปอย่างไร

ขอบคุณครับ...เป้นกำลังใจให้เหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 19=
เริ่มหัวข้อโดย: hene2526 ที่ 29-08-2009 00:06:00
เรื่องราวระหว่าง ธีร์ หนุ่ย และเต้ กำลังเข้มข้นเลยทีเดียว...จะเกิดศึกชิงนายกันเหรอป่าวเนี้ย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 19=
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 29-08-2009 00:42:24
ซึ้งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 19=
เริ่มหัวข้อโดย: 6488 ที่ 29-08-2009 00:48:36
(http://www.uptopic.net/images/rgh1251481673e.gif)
จากกัน เพื่อมาพบกันใหม่ สดใสกว่าเดิม
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 19=
เริ่มหัวข้อโดย: nithiwz ที่ 29-08-2009 01:10:06
 :jul1: อ้าวพี่เต้เริ่มมี something wrong  เหอะๆๆๆๆๆๆ

ชอบคู่วัชกับน่านอ่ะ  น่ารักมากมาย  สงสารน่านครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 19=
เริ่มหัวข้อโดย: ifwedo ที่ 29-08-2009 01:32:01
ซึ้งงจัง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 19=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 29-08-2009 01:44:06
 :sad11:  การจากลา นี้ มันแสน :monkeysad:  มาก

แล้วเรื่องราวจะเปนเช่นรัยอีกนะ

 :z2:  :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 19=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 29-08-2009 02:07:44
เต้เป็นคนสำคัญคนหนึ่งจริงๆ
ธีร์เองก็คงรับรู้และเข้าใจ แต่ต่างฝ่ายก็คงไม่ได้พูดอะไรออกมา
แบบนี้หนุ่ยกลายเป็นมือที่สามเหรอ หรือว่ามันยุ่งมาตั้งแต่หนุ่ยยังไม่เข้ามาละ
น่านกับวัชเองก็ต้องแยกจากกันอีก
ดูท่าทางจะวุ่นวายกันไปอีกระลอก
ขอบคุณนะคะทั้งคนแต่งและคนโพสต์ รออ่านต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 19=
เริ่มหัวข้อโดย: Vesi ที่ 29-08-2009 02:31:33
โฮ่ว เรื่องนี้ รักหลายเส้าจัง

วัชกับน่าน คงต้องรอพระอาทิตย์ของทั้งสองคนขึ้นพร้อมกันอีกครั้งละมั้ง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 19=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 29-08-2009 07:27:12
ซึ้งเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 19=
เริ่มหัวข้อโดย: shokung ที่ 29-08-2009 15:01:07
ตอนเห็นชื่อตอนครั้งแรก นึกว่าจะไม่สนุก แต่พอเริ่มอ่านถึงกับวางไม่ลงเลย สนุกมากๆเลยครับ


ชอบพี่ธีร์กับน้องหนุ่ยจัง เมื่อไหร่คู่นี้จะเริ่มเปลี่ยนความสัมพันธ์กันสักทีนะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 19=
เริ่มหัวข้อโดย: MonkeYMauS ที่ 29-08-2009 21:44:00
แล้วต่อไปจะอะไรยังไง

อีรุงตุงนังกันแน่ๆเลย

เฮ้ออออ

เหนื่อยก่อนล่วงหน้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 19=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 30-08-2009 02:20:56
20 ภูเก็ต

“เต้...ต้นเดือนเมษาชั้นขอพักร้อนสักอาทิตย์นึงนะ” เสียงธีร์เจื้อยแจ้วไปตามสาย
“จะไปไหนวะ...” เต้ถามกลับมา
“ว่าจะไปใต้สักหน่อย...ไปทำธุระเรื่องบ้านของหนุ่ยที่ระโนด” ธีร์บอกเหตุผลที่ต้องลาพักร้อน เค้ายื่นใบลากับบริษัทแล้ว 5 วันรวมเสาร์อาทิตย์ด้วยก็ได้วันหยุดยาวอยู่ เขากะว่าจะขับรถเที่ยวไปเรื่อยๆ
“นั่งเครื่องไปกลับก็ได้นี่นา...” เต้ยังไม่เห็นว่าจะต้องหยุดยาวๆไปเพื่ออะไร
“ขอพักหน่อยเหอะ...ว่าจะขับรถเที่ยวไปเรื่อยๆน่ะ...”
“เออๆ...ทางนี้ไม่ต้องห่วงหรอก...ขับรถดีๆก็แล้วกัน” เต้อวยชัยให้พรอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก
“จะเอาอะไรมั้ยจะซื้อมาฝาก” ธีร์หยอดคำหวานๆรื่นหู
“กล้วยเล็บมือนาง....ชั้นชอบ” เต้บอก
“เอาน้ำพริกกุ้งเสียบมั้ย...” ธีร์ถาม
“ชั้นไปซื้อโลตัสก็ได้...มีเยอะแยะ” เต้บอกมา ด้วยความคิดที่ว่าของฝากจากบางที่บางแห่งนั้นมีขายกันแพร่หลายดาษดื่น ทั้งๆที่ไม่รู้หรอกว่าโลตัสมีขายรึเปล่าแต่ก็พูดติดตลกไปอย่างนั้นเอง
“ก็นั่นแหละเดี๋ยวชั้นไปซื้อมาให้...ที่โลตัสพระรามสี่...นะครับเต้” ธีร์พูดแล้วก็หัวเราะ
“ไอ้บ้าธีร์...ไปทำอะไรก็ไป...ชั้นจะทำงานต่อ” เต้พูดแล้วก็หัวเราะกับธีร์
“ฝากด้วยนะครับ...คุณเต้...” ธีร์อ้อนได้อีก
“ครับคุณชาย เที่ยวให้สนุกนะ...ขับรถดีๆด้วยล่ะ” เต้บอกก่อนที่จะวางหูไป

          ธีร์ยกหูโทรศัพท์หาหนุ่ยเพื่อบอกแผนการเดินทางคร่าวๆ แล้วบอกให้หนุ่ยเตรียมตัวเดินทางในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ หนุ่ยเองก็ดีใจไม่น้อยที่จะได้กลับบ้าน เขาอยากเจอไอ้ไข่ อยากเจอลุงผู้ใหญ่ ไปดูบ้านช่องที่ทิ้งร้างมานานแรมปี ไม่รู้ว่าแคร่ไม้ไผ่หน้าบ้านที่เขาเคยนอนหนุนตักย่าจะผุพังไปรึยัง มะยมต้นเล็กที่เขาเอามาปลูกตั้งแต่ก่อนที่ย่าจะเสียมันโตไปแค่ไหนแล้ว คิดถึงโรงเรียนเก่า และที่สำคัญเขาคิดถึง “แต้ว”เพื่อนสนิทที่เขายังไม่รู้ใจตัวเอง...คนที่เขาเพียรถามตัวเองเรื่อยมาว่าเขาคิดกับ”แต้ว”ยังไง...

“จะซื้ออะไรไปฝากแต้วดี...ฝากไอ้ไข่ด้วย...” หนุ่ยนึกในใจก่อนจะยกหูโทรศัพท์ที่พี่ธีร์ซื้อให้ กดเลขโทรด่วนที่ตั้งสำหรับคนพิเศษ ซึ่งก็มีพี่ธีร์ คุณแม่ พี่เต้ แล้วก็น่าน
“น่านเหรอ...” หนุ่ยส่งเสียงใสๆไปหาน่าน เค้ารู้สึกว่า ตั้งแต่วัชไปแอฟริกาใต้แล้ว น่านเริ่มเก็บตัวอีกครั้งยิ่งหลังจากสอบเสร็จ โรงเรียนปิดเทอมแล้ว”น่าน”ก็เงียบหายไปกับสายลม ทำไมเขาถึงเป็นห่วงเพื่อนคนนี้เป็นพิเศษนะ
“น่าน...หนุ่ยมีอะไรให้ช่วยหน่อยสิ” หนุ่ยพูดรัวเร็ว
“ช้าๆก็ได้หนุ่ย...มีอะไรเหรอ...” น่านงัวเงีย
“น่านพาหนุ่ยไปเดินซื้อของหน่อยสิ...เอ่อ...หนุ่ยจะกลับบ้านที่ระโนดน่ะ...หนุ่ยจะซื้อของไปฝากเพื่อนๆที่นู่น” หนุ่ยบอกจุดประสงค์
“อือ...หนุ่ยจะไปเมื่อไหร่...” น่านถาม
“ไปวันเสาร์...ไปกับพี่ธีร์” หนุ่ยบอก
“เออ...ถ้างั้นตอนเที่ยงเราเจอกันที่สยามแล้วกันนะ” น่านนัดหมาย
“ได้ๆ...ถึงแล้วโทรหาด้วยนะ” หนุ่ยบอกก่อนจะวางสายไป

          บ่ายวันนั้นเด็กหนุ่มสองคนเดินหาซื้อของฝาก ไอ้ไข่ได้กางเกงยีนส์ขาเดฟหนึ่งตัวกับเสื้อยืดสวยๆ ส่วนของอื่นๆก็ลดหลั่นกันลงไปตามความสำคัญและความเหมาะสมของคนที่รับ เหลือแต่ของฝากของ”แต้ว”ที่สองหนุ่มเดินจนเมื่อย แต่ก็ยังไม่มีอะไรถูกใจหนุ่ยเอาซะเลย
“ได้รึยังอ่ะหนุ่ย...นู่นก็ไม่เอานี่ก็ไม่เอา....” น่านเริ่มหน้างอ มันก็น่าจะหงุดหงิดน่ะแหละ เพราะเดินหาของสำหรับ”แต้ว”นานมาก ยังไม่ถูกใจหนุ่ยสักที
“ไปหาไรกินก่อนเถอะ...สมองตื้อคิดไม่ออก” หนุ่ยเริ่มหิวแล้ว ถ้าได้ทานอะไรสักหน่อย อาจจะทำให้สมองแล่นก็ได้

          หลังจากที่ทั้งสองหาอะไรทานกันเรียบร้อยแล้ว ก็เดินเลือกซื้อของต่อจนค่ำ สรุปแล้วหนุ่ยได้สายสร้อยที่มีจี้รูปดาวเล็กๆ “ก็ดีนะ...น่ารักดี”น่านให้ความเห็น
“น่านว่าเค้าน่าจะชอบมั้ย...” หนุ่ยถาม
“ไม่รู้สิ...ถ้าเป็นน่าน...น่านชอบนะ...” น่านบอกแล้วยิ้มบางๆ...ใจคิดถึง”วัช”สุดที่รัก...ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง...เอ็มคุยกันเมื่อวานนี้แล้วก็เงียบไปเลย


          คืนนั้นพี่ธีร์กลับมานอนที่บ้าน เพื่อที่ว่าเช้าจะได้ออกเดินทางแต่เช้า ทั้งสองหนุ่มวางแผนกันง่ายๆว่าจะเดินทางไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน จะวิ่งไปชุมพร ภูเก็ต แล้ววิ่งเข้าตรัง พัทลุง สงขลา ระโนด แล้วก็ย้อนขึ้นมาทางนครศรีฯ สุราษฎร์ฯแล้วก็กลับ เมื่อรถพร้อมคนพร้อมก็ออกเดินทางกันได้เลย

“ว่าไง...เน...วิ่งถนนเส้นไหนดีครับ...แล้วคืนนี้จะนอนสุราษฎร์ฯหรือภูเก็ตดีล่ะ” ธีร์ถามหนุ่ยที่นั่งคู่กันด้านหน้า
“เน...อะไรครับพี่ธีร์”
“เอ้า...เนวิเกเตอร์ไง...” ธีร์พูดแล้วก็หัวเราะออกมา
“อ้อ...ผมคิดว่าอะไร...ยาวไปภูเก็ตเลยดีกว่าพี่ธีร์...พี่ขับไหวมั้ยล่ะ...” หนุ่ยหัวเราะพลางเกาหัวแก้เก้อ หนุ่ยหยิบแว่นกันแดดอันใหม่ที่ธีร์พาไปซื้อมาใส่
“ไหวอยู่แล้ว...แค่ภูเก็ตเอง...” ธีร์กดคันเร่งลงไปอีก ความเร็วทะยานขึ้นสู่เลขไมล์ที่ 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
“ใส่แล้วดูดีนะเนี่ย...” ธีร์ชมหนุ่ยที่ใส่แว่นกันแดด นั่งยิ้มหน้าบานข้างหน้า
“จริงเหรอ...” หนุ่ยเปิดกระจกออกมาส่องดู เอียงซ้ายเอียงขวา...แล้วยิ้มกับตัวเอง
“หล่อจริงๆด้วย...” หนุ่ยชมตัวเอง
“โหยย...ไม่ค่อยเลยน้องพี่...ชมตัวเองก็ได้ด้วย”
“ครับ...ไม่ชมตัวเองแล้วจะคอยใครมาชมล่ะ...” หนุ่ยคิดไปถึงสีหน้าของ”แต้ว”ถ้าแต้วได้เจอเขา...ในตอนนี้...เด็กกรุงเทพฯเต็มตัว ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม...”แต้ว”จะว่ายังไงมั่งนะ
“ผมไรท์เพลงมาหลายแผ่นเลยพี่” หนุ่ยเอื้อมไปหยิบกระเป๋าแฮนด์แบ๊กที่วางอยู่เบาะหลัง มันมีทุกอย่างที่จำเป็นจะต้องใช้ ไม่ต้องไปคุ้ยในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ กระเป๋าของหนุ่ยกับธีร์สองใบเกือบจะเต็มท้ายรถแล้ว ไม่นับเสื้อที่แขวนไว้ด้านหลังอีก กลิ่นเนื้อหนุ่มจากอกแน่นๆที่เอี้ยวตัวเฉียดๆหน้า ทำเอาธีร์อดสูดเข้าไปไม่ได้
“ขอเปิดเพลงหน่อยนะพี่” หนุ่ยสอดแผ่นเข้าเครื่อง เพลงเริ่มบรรเลง
“เพลงแรกก็ไม่ผ่านละ...พี่ฟังด้วยไม่ไหวแน่ๆ” ธีร์บ่นเพลงแนวๆที่หนุ่ยเปิด
“พี่ไม่ต้องฟังสิ...ขับรถไป...” หนุ่ยยิ้มกวนๆให้ธีร์...รอยยิ้มที่ทำเอาโลกทั้งใบสดใสขึ้นมาทันตา
“เดี๋ยวถ้าผลัดกันขับ...พี่เปิดเพลงของพี่มั่งนะ” ธีร์บอก
“ผมก็หลับพอดีสิ...พี่เปิดสิ...ผมจะหลับให้ดู” หนุ่ยหัวเราะแล้วก็ร้องครวญครางตามเพลง

          สองหนุ่มแวะทานอาหารกลางวันที่ร้านคุณสาหร่ายริมถนนใหญ่ก่อนถึงชุมพรเล็กน้อย ก่อนออกเดินทางต่อไปจนถึงสุราษฎร์ฯ ความเร็วที่ใช้ทำให้ทั้งสองเดินทางมาถึงสุราษฎร์ไม่เย็นมากเลยต่อไปถึงภูเก็ตแบบค่ำพอดี ทั้งสองหนุ่มเข้าพักที่โนโวเทล แหลมพันวา ซึ่งเต้ได้จองไว้ให้แล้ว

“อยู่ที่นี่กี่วันครับ...” หนุ่ยถาม
“อยากอยู่สักกี่วันก็ได้” ธีร์พูดยิ้มๆ
“สองคืนก็พอมั้งพี่”
“ขอสามได้มั้ย...” ธีร์ต่อรอง
“แล้วแต่พี่ธีร์...” หนุ่ยพูดยิ้มๆแต่ใจเขาน่ะไปถึงระโนดตั้งแต่ล้อหมุนแล้ว เขาอยากเจอ”แต้ว”ใจจะขาด
“เหนื่อยมั้ยครับพี่...ขับคนเดียวเลย” หนุ่ยถามพลางเดินเข้าไปโอบเอวชายหนุ่มไว้ เมื่อเห็นธีร์กำลังยืนมองทะเลอยู่เงียบคนเดียวที่นอกระเบียง
“เอาเบียร์เย็นๆสักแก้วมั้ยพี่...” หนุ่ยถาม...ธีร์หันมายิ้ม...วินาทีนี้ไม่มีใครรู้ใจธีร์เท่าหนุ่ยอีกแล้ว

“นี่ครับพี่ธีร์...” เด็กหนุ่มยื่นแก้วเบียร์มาให้ธีร์หลังจากที่เดินหายไปพักนึง สายลมพัดมาเอื่อยๆ หอมกลิ่นทะเลกรุ่นๆ ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ ความเมื่อยล้าปลาสนาการหายไปสิ้น เบียร์เย็นๆทำให้ความรู้สึกสดชื่นกลับคืนมา
“หนุ่ยคุยกับคุณแม่แล้วเหรอ...ว่าจะทำยังไงกับบ้านที่ระโนด” ธีร์เอ่ยปากครั้งแรกกับภารกิจที่ต้องดั้นด้นมาในครั้งนี้
“ครับ...ผมกะว่าจะเก็บเอาไว้...ผม...เอ่อ...ไม่อยากขาย...เสียดาย...ครับ”หนุ่ยพูดเบาๆด้วยน้ำเสียงของคนที่มีความรู้สึกราวกับว่า บ้านหลังนี้เป็นสิ่งสุดท้ายที่ยึดเหนี่ยวความรู้สึกรักและผูกพัน...หนุ่ยไม่รู้หรอกว่า...มีอีกสิ่งหนึ่ง...ที่จะเข้ามาผูกพันและยึดโยงเพิ่มมากขึ้น...มันไม่ใช่...แค่...ระหว่างปู่ ย่า พ่อ กับตัวเขาเอง....เท่านั้น

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 20=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 30-08-2009 02:27:59
กลับไประโนดคราวนี้มันจะเกิดอะไรขึ้นอีกรึนี่
อีกสิ่งหนึ่งที่จะมาโยงใยด้วยนั้นคืออะไรกัน
ค้างคา ชวนให้ติดตามหาคำตอบ
บวก 1 แต้ม แล้วรอคอยคำตอบนะคะ
ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 20=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 30-08-2009 02:49:28
มารอลุ้นความสัมพันธ์ ของ พี่ธีร์ กับ หนุ่ย ว่าจะเปนยังงัยกันแน่

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 20=
เริ่มหัวข้อโดย: WEERACHOT ที่ 30-08-2009 03:08:12
 :a5: หนุ่ยยยย !!! สนใจธีร์บ้างดิ ฮื่อๆๆๆๆๆ

เป็นกำลังให้คนโพสแล้วคนเขียนครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 20=
เริ่มหัวข้อโดย: ifwedo ที่ 30-08-2009 03:12:56
ม่ายแล้วแต้วจะเป็นอุปสรรค์ไหมนะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 20=
เริ่มหัวข้อโดย: wichit14 ที่ 30-08-2009 09:17:41
อยากไปเที่ยวภูเก็ตบ้างจังเลย.... จะรออ่านตอนไปถึงระโนด อยากรู้ว่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นอีกป่าว...
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 20=
เริ่มหัวข้อโดย: Nichdia ที่ 30-08-2009 09:50:50
ทิ้งท้ายไว้อย่างน่าติดตามครับ อิอิ  o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 20=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 30-08-2009 11:52:22
และแล้วหนุ่ยห็กลับบ้านเกิด

จาเกิดไรต่อไหมเนี่ย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 20=
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 30-08-2009 13:30:59
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 20=
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 30-08-2009 14:03:24
จะเป็นรักสามเศร้ามั้ยอ่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 20=
เริ่มหัวข้อโดย: paulla ที่ 30-08-2009 16:47:41
มาเป็นแฟนคลับน้องต้นคับ 
เรียบเรียงเนื้อเรื่องได้ดีมาก ๆ คับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 20=
เริ่มหัวข้อโดย: hene2526 ที่ 30-08-2009 16:53:34
ขอแบบชัดเจนๆเลยได้มั้ยครับ เช่น ธีรเมากลับมากดหนุ่ย เต้เข้ามาเห็น ขับรถหนีไปชนน่าน วัชกลับมาดูแลน่านแต่เกิดพบรักกับเต้ อะไรประมาณเนี้ยครับ แบบนี้มันอึดอัดมากกกกกมาย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 20=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 30-08-2009 21:46:02
รอคำตอบอยู่นะคะ

ว่าคือใครหรืออะไร
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 20=
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 30-08-2009 23:42:48
อะำีไรจะมาผูกมัดล่ะเนี่ย


รออ่านตอนต่อไปค้าบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 20=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 31-08-2009 00:41:25
 :z2: :z2: :z2:
ลุ้นว่าจะใช้คำพูดที่ว่า "รักสามเศร้า ของเราสามคน" ได้ไหมน๊า อิๆ
คำตอบของคำถามจะบอกอะไรได้มากน้อยแค่ไหนลุ้นจริงๆ
อุปสรรคคานี้จะผ่านกันไปได้ไหมนะ
หรือว่าจะแอบเป็นเพียงแค่ หัสสาสารที่หยอดหลอกคนอ่านเล็กๆ
นิว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 20=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 31-08-2009 04:21:10
21 ระโนด 1

          วันรุ่งขึ้นทั้งสองหนุ่มไปวิ่งออกกำลังกายกันรอบๆบริเวณโรงแรม จนเหนื่อยก็ลงมาว่ายน้ำกันจนเกือบสาย ก่อนที่จะหมดเวลาอาหารเช้า
“หนุ่ยลองกินนี่ดูสิ...” ธีร์ตักเอาเบคอนทอดใส่มาในจานหนุ่ย
“อร่อยเหรอพี่...” หนุ่ยเงยหน้าจากจานของตัวเอง
“เปล่า...พี่กินไม่หมด...ช่วยหน่อย” ธีร์พูดหน้าตาเฉย
“โธ่...คิดว่าอยากให้น้องกินของอร่อย” หนุ่ยมองหน้าธีร์แบบข้องใจ
“พูดเล่นครับ...พี่ตักมาเผื่อ....” ธีร์พูดแล้วยิ้ม
“ขอบคุณครับ...อร่อยดีนะ...” หนุ่ยจัดการเบคอนจนเรียบ ก่อนจะลุกไปเอาน้ำส้มแล้วก็ผลไม้มาให้ธีร์
“อยากกินของอร่อยๆมั้ย...เดี๋ยวบ่ายๆจะพาไปกิน” ธีร์บอก
“จริงเหรอพี่...”
“หมี่ฮุ้น...เคยกินมั้ย” ธีร์บอกชื่ออาหารแปลกๆที่หนุ่ยไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ยังมีโอวเอ๋วอีกอย่างนะ...” ธีร์บอกชื่อที่ประหลาดกว่านั้น ทำเอาหนุ่ยตาวาว จริงอยู่ที่เป็นคนใต้แต่ว่าอาหารชื่อแปลกๆขนาดนี้ เขาเองไม่รู้จักหรอก อีกอย่างภูเก็ตกับบ้านของเขานั้นห่างกันมากๆทีเดียว
“พาผมไปกินหน่อยนะพี่...ชื่อแปลกขนาดนี้ต้องไปกินซะหน่อยแล้ว” หนุ่ยออกอาการอยากกิน

          หลังจากที่พี่น้องสองคนจัดการกับอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว ธีร์พาหนุ่ยไปไหว้พระครูวัดฉลอง “ไม่ได้ไปมานานมาก”ธีร์นึกในใจ หลังจากที่ปิดทองไหว้พระเรียบร้อยแล้วสองหนุ่มก็ขับรถชมเมืองภูเก็ตกัน ในละแวกอาคารบ้านเรือนที่เก่าแก่ มันเป็นเสน่ห์ของภูเก็ตอีกอย่างหนึ่งที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยว
“สถาปัตยกรรมแบบนี้เรียกกันว่าชิโน-โปรตุกีส...” ธีร์อธิบายพลางชี้มือให้ดูบ้านเรือนเก่าแก่
“พี่ธีร์ดูชื่อถนนสิ...” หนุ่ยชี้ให้ธีร์ดูชื่อถนนที่เป็นชื่อจังหวัดในภาคใต้ เช่นถนนสตูล ถนนกระบี่ ถนนแต่ละสายมีอาคารเก่าแก่แบบชิโน-โปรตุกีสให้เห็นมากมาย
“เมื่อก่อนสมัยที่มีการทำเหมืองแร่...ภูเก็ตบูมมาก...มีคนต่างชาติเข้ามาปักหลักอยู่อาศัยมากมาย...วัฒนธรรมการก่อสร้างบ้านเรือนก็เป็นแบบตะวันตกตามไปด้วย...โดยเฉพาะชาวโปรตุเกสและชาวจีนที่มาอยู่”
“ชิโน-โปรตุกีสเนี่ยแบ่งเป็นสองแบบนะ...มีแบบ”อั้งม้อหลาว”ซึ่งเป็นแบบคฤหาสน์กับ”เตี้ยมฉู่”ซึ่งก็คือตึกแถว...เดี๋ยวพี่จะพาไปดูแบบที่เป็นคฤหาสน์...” ธีร์พูดจบก็เลี้ยวรถออกไปอีกทาง
“พี่ธีร์...ให้นอนโรงแรมนี้เอามั้ย” หนุ่ยชี้ไปที่โรงแรมเก่าแก่ชื่อ”ออน ออน”เป็นโรงแรมเก่าแก่ที่สุดในภูเก็ต
“โห...ไม่ไหวนะ...พี่กลัวว่ะ” ธีร์ทำท่าแขยงขน
“คลาสสิคดีนะพี่...” หนุ่ยพูดพลางมองไปรอบๆตัวที่มีสถาปัตยกรรมแบบชิโน-โปรตุกีสแบบที่เรียกว่า”เตี้ยมฉู่”
“คนภูเก็ตเนี่ยเค้าจะมีอาหารเช้าที่ไม่เหมือนคนจังหวัดอื่น” ธีร์บอก
“เค้าทานอะไรกันเหรอพี่”
“เค้านิยมทาน”ติ่มซำ”กัน” ธีร์บอก
“เหรอ...แล้วจะอิ่มเหรอพี่...” หนุ่ยอุทานออกมา เค้าเองก็เพิ่งรู้จัก”ติ่มซำ”จากร้านสุกี้เอ็ม.เค.ที่ไปทานบ่อยๆกับเพื่อนในแก๊ง
“มีอยู่ร้านนึงชื่อร้าน”บุญรัตน์”อร่อยมากๆถ้าไปเกินเก้าโมงเช้า...อดกิน” ธีร์อธิบาย
“โห...พรุ่งนี้พาผมมากินได้มั้ยพี่ธีร์...”หนุ่ยงอแง
“สงสัยไม่ได้หรอก...เราอยู่ตั้งไกล...กว่าจะตื่น...กว่าจะมาถึง...สงสัยต้องช่วยเค้าเก็บร้านแน่ๆเลย” ธีร์บอก เพราะสมัยที่เขามาทำงานที่เขตภาคใต้....ขนาดนอนในเมือง...เขาเองยังตื่นไม่เคยทันเลย...เขาได้กินก็แทบจะนับครั้งได้
“...อด...” หนุ่ยเมินหน้าไปอีกทาง ธีร์รู้ใจหนุ่ย เขารู้ว่าหนุ่ยชอบกินขนมจีบมากๆ
“ตื่นเช้าๆสิ...จะพามากิน”
“จริงนะพี่” หนุ่ยตาวาว หนุ่ยเองไม่ใช่คนที่อยากกินอะไรไปเรื่อย แต่นิสัยของเด็กหนุ่มก็คือเป็นคนที่ชอบความท้าทายและหากรู้ว่าอะไรดีหรืออะไรที่เด่น...และมีสไตล์เป็นของตัวเอง...เขามักจะไม่พลาด...ยิ่งถ้ายากลำบากในการที่จะต้องเสาะแสวงหาแล้วละก็...มันดูท้าทายเอามากๆทีเดียว
“ถ้าตื่นทันนะ...พี่ไม่รับปาก” ธีร์พุดแล้วก็อมยิ้ม

          บ่ายแก่ๆธีร์พาหนุ่ยไปนั่งกินหมี่ฮุ้น ซึ่งก็คือเส้นหมี่ผัดกับซีอิ้ว ดูไปคล้ายๆผัดซีอิ้วแต่ว่าเส้นอร่อยกว่าและเสิร์ฟกับน้ำซุปกระดูกหมูที่หอมอร่อย ใกล้ร้านที่ขายหมี่ฮุ้นยังมีขนมโอวเอ๋ว หวานเย็นชื่นใจให้กินตบท้ายอีกด้วย

“แปลกดีนะพี่...น้ำซุปหอมอร่อยดี...ราคาถูกดีด้วย” หนุ่ยเดินลูบท้องออกมา
“มีอีกหลายอย่างนะที่อร่อย...” ธีร์บอก
“ผมกินไม่ไหวละ...เที่ยวกับพี่ธีร์นี่กลับไปอ้วนแน่ๆเลย” หนุ่ยยิ้ม
“กลับกันเถอะ...” ธีร์อยากนอนสักงีบ
“ครับ...นั่งเล่นเกมส์ที่ห้องก็ได้” สองหนุ่มขับรถกลับโรงแรมด้วยความอิ่มอก อิ่มใจ
“เดี๋ยวเย็นๆไปเดินเล่นป่าตองกัน” ธีร์เสนอโปรแกรม
“ดีครับ...” หนุ่ยรับคำ

“หนุ่ยไม่เล่นน้ำทะเลเหรอ” ธีร์พูดขณะที่เลี้ยวรถเข้าโรงแรม
“ก็อยากเล่นอยู่นะพี่...แต่ไม่มีเพื่อนน่ะสิ” หนุ่ยมองด้วยสายตาเว้าวอน ขอให้ธีร์เป็นเพื่อนเล่นน้ำทะเล
“ไม่ต้องมาอ้อนเลย...พี่ไม่อยากเล่น...เดี๋ยวตัวดำหมด” ธีร์ปฏิเสธทันทีเพราะเขาไม่ชอบเล่นน้ำทะเล อีกอย่างเขาอยากจะนอนมากกว่า
“ถ้าเล่นน้ำสระค่อยว่ากัน...” ธีร์บอก
“ไม่อ่ะพี่...เมื่อเช้าเล่นไปแล้ว”

          สรุปแล้วหนุ่ยเองก็ไม่ได้เล่นน้ำทะเล เขากลับมาเล่นเกมส์จากโน้ตบุ๊ค ธีร์กลับห้องก็นอนหลับยาวไปจนเย็น จนได้ออกไปเดินเล่นแถวจังซีลอน หาดป่าตอง
“คึกคักจังเลยพี่” หนุ่ยเห็นนักท่องเที่ยวคลาคล่ำเต็มถนน ร้านรวงมีชีวิตชีวา เพราะนักท่องเที่ยวเยอะแยะ
“มันก็คล้ายๆพัทยานั่นแหละ”

          หนุ่ยกับธีร์เดินเล่นกันไปเรื่อยเปื่อย แต่ไม่ได้ซื้ออะไรซักอย่าง จนเกือบดึกจึงกลับโรงแรม
.................................................

          ธีร์พาหนุ่ยเดินทางผ่านจังหวัดต่างตามแผนมาเรื่อยจนถึงระโนด หลายปีผ่านไประโนดยังคงรักษาความเป็นตัวตนไว้ได้เหมือนเดิม บรรยากาศเงียบสงบของตัวอำเภอ ทำให้ธีร์อดคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนั้นไม่ได้

“พี่ธีร์เข้าไปตลาดก่อนได้มั้ย...เราไปหาซื้ออะไรเข้าไปกินแล้ว...ผมจะซื้อพวงมาลัยกับดอกไม้ไปไหว้ปู่กับย่าด้วย” หนุ่ยบอกให้ธีร์ขับเลยไปที่ตลาดในตัวอำเภอก่อน
“ได้ครับ...น้อง” ธีร์รับคำ
“พี่ธีร์อยากทานอะไรเป็นพิเศษมั้ย” หนุ่ยถาม
“อะไรที่ว่าพิเศษล่ะ...” ธีร์หันมาถาม
“ก็พวกหมูหยอง ไส้กรอกอะไรอย่างเนี้ย...เผื่อพี่ธีร์ทานอาหารพื้นบ้านไมได้”
“ไม่ต้องหรอกมั้ง...ขอกาแฟสำเร็จรูปไปชงตนเช้าแล้วกัน”
“ซื้อที่เซเว่นแล้วกันนะพี่” หนุ่ยบอกให้ธีร์เลี้ยวจอดหน้าเซเว่นกลางตลาดในอำเภอ มีเซเว่นที่ไหนอุ่นใจทั่วกันจริงๆ เรื่องปากท้องไม่ต้องห่วง

          นอกจากกาแฟที่ว่าแล้ว สองหนุ่มอดไม่ได้ที่จะต้องซื้อทั้งขนมปัง เนย ไส้กรอกติดไม้ติดมือไปด้วย ธีร์กลัวอยู่อย่างเดียวคือกลัวไม่มีกาแฟกิน

“เกือบถึงบ้านแล้วหล่ะ...” หนุ่ยบอกธีร์ที่ค่อยๆขับรถเลี้ยวเข้าถนนซอย ป้ายบอกทางยังคงเก่าเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงอะไร ทั้งป้ายวัด ป้ายโรงเรียน ต้นไม้ใหญ่น้อยที่ยังคงอยู่เหมือนเดิมทุกต้น ทำให้หนุ่ยเงียบอึ้งกับบรรยากาศเก่าๆที่เขาจากมาแรมปี เงาของบ้านตะคุ่มอยู่ข้างหน้าไม่ไกลนัก เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะบอกให้ธีร์ชะลอความเร็วลง
“ข้างหน้าน่ะพี่...” หนุ่ยชี้ไปที่บ้านหลังคามุงสังกะสีเก่าๆ ฝาบ้านบางส่วนบุด้วยไม้ระแนงเพื่อให้ลมโกรกเข้าบ้านหรือด้วยฐานะที่ไม่ค่อยดีนักจึงไม่มีปัญญาใช้ไม้แผ่นมาตีเป็นฝา หนุ่ยถอนหายใจหนักขึ้น แสงของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า สะท้อนกับยอดเจดีย์ที่เก็บกระดูกปู่กับย่าวิบวับ มันงดงามในความรู้สึกของหนุ่ย เพราะมันเต็มไปด้วยความรัก ความคิดถึง “ปู่ครับ...ย่าครับ...หนุ่ยกลับมาแล้ว...หนุ่ยกลับมาแล้ว”หนุ่ยคิดในใจได้เท่านั้น น้ำตาก็ไหลออกมา

“อ่ะ...” ธีร์ดึงกระดาษทิชชู่ส่งให้หนุ่ยด้วยความรันทดใจ ใจนึกไปถึงว่าเขาเองก็มีส่วนที่ทำให้เด็กหนุ่มเป็นแบบนี้
“ขอบคุณครับพี่” หนุ่ยรับกระดาษมาเช็ดน้ำตา
“เข้าไปจอดข้างในเลยครับ...เดี๋ยวผมเปิดรั้วให้” ธีร์จอดรถตรงหน้ารั้วไม้ระแนงเก่าๆซึ่งโย้เย้ไปมา หนุ่ยเดินลงไปเปิดรั้วให้ ก่อนที่ธีร์จะเข้าไปจอดนิ่งสนิท เสียงเครื่องยนต์ครางกระหึ่มสักพัก....ก่อนที่ธีร์จะดับเครื่อง...ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบงันอีกครั้ง...
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 21=
เริ่มหัวข้อโดย: ifwedo ที่ 31-08-2009 04:36:56
ดูเศร้าจังเลยตอนสุดท้าย ไม่อยากคิดว่าหนุ่ยเจอแต้วแล้ว ธีร์จะเป็นไง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 21=
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 31-08-2009 07:29:48
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 21=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 31-08-2009 10:42:53
หนุ่ยกลับถึงบ้านแล้ว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 21=
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 31-08-2009 10:53:04
กลัวตอนต่อไปจริงๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 21=
เริ่มหัวข้อโดย: WEERACHOT ที่ 31-08-2009 11:00:16
>>>นึกถึงบ้านมากๆเลยครับ

 :L2:::::เป็นกำลังใจให้คนโพสคนเขียนเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 21=
เริ่มหัวข้อโดย: kikipanda ที่ 31-08-2009 13:21:28
กลัวตอนต่อไปจริงๆ

^
^
^
เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งค่ะ  กลัวเกิดอาการนี้  :a5:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 21=
เริ่มหัวข้อโดย: paulla ที่ 31-08-2009 14:13:44
มาถึงตอนนี้แล้วดูเศร้าจังเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 21=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 31-08-2009 14:52:43
เศร้าไปกับน้องหนุ่ยด้วย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 21=
เริ่มหัวข้อโดย: MonkeYMauS ที่ 31-08-2009 16:30:53
อย่าเพิ่งเศร้านะ

ง่าส์์ๆๆ


ไม่ทันแระ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 21=
เริ่มหัวข้อโดย: nithiwz ที่ 31-08-2009 21:26:46
แล้วก็กลับมาถึงระโนดแล้ว  หนุ่ยเจอแต้วแล้วจะเป็นไงหนอ.....

อยากอ่านเรื่องของวัชกับน่านต่ออ่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 21=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 31-08-2009 23:17:41
มาถึงระโนดแล้ว
ตื่นเต้นและลุ้นๆยังไงไม่รู้
เหมือนจะมีอะไรรออยู่
หรือว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกเนี่ย
บวก 1 แต้มเป็นกำลังใจกันเ่ช่นเคยจ้า
ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 21=
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 01-09-2009 01:10:00
พอมาถึงระโนดแล้วเศร้าจัง



สงสารหนุ่ยจิงๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 21=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 01-09-2009 02:07:41
ระโนด ที่เกิด ระโนด เรื่องราว อ่านแล้วดูเศร้าๆจัง
ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลยอ่านแล้วทั้งกังวล และกดดันไปด้วยคู่ๆกัน
แล้วจะรออ่านต่อ
นิว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 21=
เริ่มหัวข้อโดย: Vesi ที่ 01-09-2009 02:22:23
ผมว่าธีร์รู้สึกผิดกับการตายของปู่ของหนุ่ยมากพอจนดูแลหนุ่ยเป็นอย่างดีจนถึงปัจจุบัน ก็ได้แต่ขอให้หนุ่ยยอมละเลิกความโกรธแค้นในเรื่องนี้ที่มีต่อธีร์ไปซะเหอะ พี่เขารักเราจะตายไป เนอะๆ
แต่ก็แอบเครียดหน่อยๆ เหมือนกัน กลัวจะ  :a5:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 21=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 01-09-2009 05:57:19
22 ระโนด 2

          หนุ่ยเดินมาหยิบพวงมาลัยและดอกไม้ที่อยู่ในรถแล้วเดินไปที่เจดีย์เก็บกระดูกปู่กับย่า หนุ่ยคุกเข่าก้มลงกราบแทบพื้นเจดีย์ เด็กหนุ่มวางพวงมาลัยลงที่กระถางธูปใกล้ๆรูปถ่าย ก่อนจะก้มหน้าสะอื้นจนตัวโยน เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังแว่วมาเบาๆ ธีร์ยืนอยู่หน้ารถเงียบๆท่ามกลางแสงโพล้เพล้ในยามค่ำ สายลมเงียบสงัด ใบมะยมหลุบตัวลีบลงกับก้านอ่อนๆ นกบินกลับรังอยู่ลิบๆ ปลาตัวเล็กในบ่อน้ำใกล้ๆดีดตัวผลุงขึ้นกินแมลง หนุ่ยอยู่ในท่าเดิมสักพัก ก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วเดินตรงมาหาชายหนุ่ม ดวงตาแดงช้ำของหนุ่ยบอกความรู้สึกแทนคำพูดได้

“หนุ่ย...พี่ขอโทษ” ธีร์ยืนนิ่ง แขนตกลงข้างตัว เขาไม่มีแม้แต่แรงที่จะยกแขน เขาอยากกอดหนุ่ยเหลือเกิน ความอบอุ่นที่เด็กหนุ่มเคยมีได้ขาดหายไปจากชีวิต แต่แรกเขาคิดว่าเขาจะชดเชยสิ่งที่ขาดหายไปได้...แต่จวบจนวันนี้...เวลาที่ผ่านมาหลายปีแล้ว เขาเชื่อว่ามันยังทดแทนไม่ได้แม้แต่เสี้ยวเดียว
“พี่ธีร์ครับ...ไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับ...มันเป็นเวรกรรมของเรา” หนุ่ยพูดพลางสะอื้นออกมาอีกครั้ง
“ยังไงพี่ก็ต้องขอโทษ...เพราะพี่...” ธีร์พูดยังไม่ทันจบ มือของเด็กหนุ่มก็ปิดลงที่ปากบางๆของธีร์แล้ว
“ไม่หรอกพี่...ผมไม่เคยคิดโทษพี่เลย...ย่าบอกเสมอว่า...มันเป็นเวรกรรม...มันเป็นอุบัติเหตุ...พี่ธีร์ไม่ได้ตั้งใจ” หนุ่ยสวมกอดกับธีร์แนบแน่นและเนิ่นนาน ธีร์น้ำตาไหลซึมออกมา ด้วยความรักและเห็นใจในชะตากรรมของเด็กน้อยคนนี้
“พี่ขอสัญญาต่อหน้าเถ้ากระดูกปู่และย่าของหนุ่ย...จากนี้และตลอดไป...พี่จะดูแลหนุ่ยด้วยความรัก...จะทำทุกอย่างที่คนคนนึงจะสามารถทำได้...จะเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปให้หนุ่ย...ตราบจนสิ้นลมหายใจของพี่” ธีร์ร้องไห้ออกมาและกอดตอบหนุ่ยอย่างแนบแน่น
“พี่ธีร์...พอเถอะครับ...พี่ธีร์ไม่ต้องถึงขนาดนี้ก็ได้ครับ...” หนุ่ยร้องไห้ออกมา หนุ่ยสงสารธีร์...จับใจ
“แค่นี้...เท่าที่คุณแม่และพี่ธีร์ให้ผม...มันก็มากเกินพอแล้วครับ” หนุ่ยกอดธีร์ ใบหน้าซบลงกับบ่าแล้วก็ร้องไห้สะอื้นหนักกว่าเดิม
“ไม่ได้หรอกหนุ่ย...มันเป็นสิ่งที่พี่ต้องทำ...มันคือความรับผิดชอบ...” ธีร์พูดได้แค่นั้นเอง แท้จริงแล้วชายหนุ่มไม่รู้หรอกว่า...ทุกสิ่งที่เขาทำให้หนุ่ยตลอดมา...มันคือ”ความรัก”
“ขอบคุณครับพี่...” หนุ่ยพนมมือไหว้ธีร์แนบอก ธีร์จับไหล่ของเด็กหนุ่มและมองเข้าไปในดวงตาสีสนิมเหล็ก แววตาคู่นี้...ที่นี่...เมื่อหลายปีก่อน...วันที่เด็กน้อยคนนั้นมองหน้าเขาขณะเดินถือรูปปู่ลงมาจากเมรุ...แววตาที่มองเขา...ด้วยความรู้สึกที่เขาเองก็ไม่เข้าใจ...แต่วันนี้...ธีร์พอจะมองออกแล้วว่า...เด็กน้อยที่กลายมาเป็นเด็กหนุ่มในวันนี้...คิดอะไรกับเขา
“เข้าบ้านก่อนดีกว่ามั๊ย” เสียงหนุ่ยปลุกเขาให้ตื่นจาก แววตาอันน่าค้นหานั้น
“ไปสิ...เอาของออกจากท้ายรถก่อนนะ” ขณะที่ธีร์เดินไปเปิดท้ายรถ หนุ่ยได้ยินเสียงสวบสาบของคนเดินเข้ามาใกล้ ใบหน้าอันคุ้นตาของไข่ค่อยๆกระจ่างชัดขึ้นเรื่อยๆ
“ไอ้ไข่” หนุ่ยตะโกนเรียกเด็กหนุ่มที่เคยเป็นเพื่อนเล่นกันมาแต่เล็กแต่น้อย
“หนุ่ย...หนุ่ยจริงๆรึนี่” ไข่เดินรี่เข้ามา พูดกลางสำเนียงทองแดงแจ่มชัดกังวาน
 “คิดถึงจริงๆ...สบายดีมั๊ย” หนุ่ยกระโดดเข้ากอดเพื่อนรักแนบแน่น
“ดีใจที่กลับมาเยี่ยมกัน...ไปหาพ่อกับแม่กูก่อน” ไข่จับมือหนุ่ยไว้แน่นราวกับกลัวว่าหนุ่ยจะหลบลี้หนีหายไปไหนอีก
“ไป...ไปหาพ่อแม่กูก่อน” หนุ่ยถูกดึงมือ
“เฮ้ยเดี๋ยวสิ...ไอ้ไข่...นี่พี่ธีร์...ที่กูไปอยู่กับเขา” หนุ่ยดึงมือไข่ให้กลับมาก่อน ไข่มองหน้าธีร์อย่างเอาเรื่อง สายตาที่ดุดันชวนหาเรื่องทำให้ธีร์รู้สึกไม่ดีขึ้นมาด้วยเหมือนกัน
“มึงไปอยู่กับคนที่ทำให้ปู่มึงตายเหรอ” ไข่สำรากออกมา...แบบไม่ไว้หน้าใครแม้กระทั่งหนุ่ย...เพื่อนมันเองแท้ๆ
“ไอ้ไข่...มึงพูดดีๆนะ...พี่ธีร์กับคุณแม่ดูแลกูอย่างดี...” หนุ่ยพูดออกมาบ้าง เขาเองไม่ชอบใจที่ไข่ยังเป็นคนเดิม...มันไม่เคยเปลี่ยนไปเลย...ความดื้อด้านของมัน...ตั้งแต่วันที่ปู่เขาตาย...ไอ้ไข่ไม่เคยมองใครในแง่ดีเลย...จนวันนี้มันก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่รู้ใครเป่าหูมันอยู่สิน่า
“มึงจะไปหาพ่อกับแม่กูไหม...” ไข่ทำท่าจะเดินออกจากบ้าน
“เดี๋ยวกูไป...บอกลุงผู้ใหญ่กับป้าด้วย”หนุ่ยหันกลับมาหาธีร์ ชายหนุ่มก้มหน้าลงต่ำ...
“...”มัน” ไม่ต้องโผล่ไปนะ...กูขอเตือน” ไข่ชี้หน้าธีร์
“ไอ้ไข่...มึงจะมาทำแบบนี้ไม่ได้...มึงกลับมาก่อน” หนุ่ยเสียงดังเฉียบขาด ทำเอาไอ้ไข่หยุดเดินแล้วหันกลับมาสายตาที่มันมองมาที่ธีร์...แบบคนที่อาฆาตแค้น
“............”
“กูเรียกมึง...ให้กลับมา” หนุ่ยเสียงดัง...ชัดถ้อยชัดคำจน ไอ้ไข่ต้องเดินกลับมาตามคำสั่งหนุ่ย...
“ทำไม...มึงเรียกทำไม...กูไม่มีอะไรจะพูดกับมึง” ไข่ยังมีแววตาโกรธ...หนุ่ยไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้...มันนานขนาดนี้แล้ว...ไข่ยังไม่ละวางความโกรธได้อีก
“มึงขอโทษพี่ธีร์เดี๋ยวนี้...” หนุ่ยสั่งเสียงเฉียบขาด
“...ถุย...” เสียงไข่ถ่มน้ำลายลงพื้น
“....พลั่ก....” หมัดลุ่นๆประเคนลงบนครึ่งปากครึ่งจมูก แรงหมัดที่หนักพอตัวส่งไอ้ไข่ลงไปกองกับพื้น... มันเอามือกุมครึ่งปากครึ่งจมูกด้วยความมึน ไข่คงไม่นึกว่า เพื่อนที่โตมาด้วยกันอย่างหนุ่ยจะกล้าต่อยมันได้
“มึงจะขอโทษพี่กูได้รึยัง...หา...” หนุ่ยส่งเสียงเด็ดขาดอีกครั้งพร้อมกับเงื้อหมัดขึ้นอีก
“............” ไข่ไม่พูดเอามือปาดเลือดที่ไหลย้อยออกมาจากจมูก
“ไอ้ไข่...” หนุ่ยเรียกเสียงดัง...ด้วยความโกรธ
“ผม...ขอโทษ...” ไข่ยกมือไหว้แบบขอไปทีแล้วเดินหันหลังกลับไป
“บอกลุงผู้ใหญ่กับป้าด้วย...พรุ่งนี้กูจะไปหา” หนุ่ยตะโกนบอกไอ้ไข่ ที่เดินก้มหน้าเอามือกุมปากกลับบ้านไป
“หนุ่ย...ทำไมไปทำเพื่อนอย่างนั้น...” ธีร์ดุหนุ่ยออกมา เขาไม่อยากให้มีความรุนแรงเกิดขึ้นเลย
“มันปากไม่ดี...ต้องสั่งสอนมันบ้าง” หนุ่ยก้มหน้ารับผิด...เขาเองก็ไม่น่าจะไปต่อยไข่เลย สงสารเพื่อนเหมือนกัน เขายอมไม่ได้ที่มันพูดจาจาบจ้วงธีร์
“เค้าจะพูดอะไรก็ช่างเค้าเถอะ...พี่ทนได้...” ธีร์ก้มหน้า
“พี่ทนได้แต่ผมทนไม่ได้...ใครจะมาพูดอย่างนี้กับพี่ชายผมไม่ได้”หนุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงกร้าว ดวงตาดุดันจนน่ากลัว... ธีร์ไม่เคยเห็นมาก่อน
“เอาของขึ้นบ้านเถอะ...” ธีร์ตัดบทก่อนที่หนุ่ยจะเดินไปกระทืบไอ้ไข่อีกรอบ
“ครับ...” ทั้งสองช่วยกันเอาของขึ้นบ้าน สภาพบ้านที่มีคนดูแลอยู่ตลอดเวลา ฝุ่นและหยากไย่ไม่ได้ขึ้นรก ถึงพอจะมีบ้างแต่ก็พอกินอยู่หลับนอนได้

          หลังจากที่ทั้งสองช่วยกันกวาดบ้านถูบ้านเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มก็เตรียมตัวอาบน้ำเขาเดินลงไปดูห้องน้ำหลังบ้านว่ามีน้ำหรือไม่
“พี่ธีร์...วันนี้อาบน้ำข้างนอกห้องน้ำก่อนได้มั๊ย...” เสียงหนุ่ยร้องขึ้นมาจากข้างล่าง แสดงว่าในห้องน้ำไม่มีน้ำ
“วันนี้ผมขี้เกียจตัก...เดี๋ยวพรุ่งนี้ตักให้” หนุ่ยตะโกนต่อ
“ได้ครับ...” ธีร์ตอบไปแล้วก็มานั่งคิดว่าจะอาบยังไง
“ปะพี่อาบน้ำกัน” หนุ่ยคุ้ยหาเครื่องอาบน้ำในกระเป๋าส่วนตัวออกมาเตรียมไว้
“อ้าว...เร็วดิพี่...เดี๋ยวมองอะไรไม่เห็น...” หนุ่ยเร่ง
“มองอะไรล่ะ...” ธีร์ถาม
“ก็เอ่อ...มองอะไรๆนั่นแหละ...” เด็กหนุ่มเกาหัวเก้อเขินแล้วหัวเราะออกมา
“คอยก่อนสิ...เดี๋ยวพี่เก็บของก่อน...” ธีร์เก็บนู่นนี่นั่นอยู่พักใหญ่...จนฟ้ามืดสนิท...มองอะไรไม่เห็นอย่างว่า
“ไฟข้างบ้าน...ไม่มีนะพี่...” หนุ่ยเริ่มแกล้งหยอกธีร์
“แล้วไง...” ชายหนุ่มปากดีได้อีก
“ไม่กลัวเหรอ...” หนุ่ยทำเสียงยานๆ
“ไอ้หนุ่ย...ไอ้บ้า...”
“เร็วสิพี่ธีร์...ผมกลัวหนาว”
“เสร็จแล้ว...เสร็จแล้ว” ธีร์กวาดเอาเครื่องอาบน้ำประดามีถือไปด้วย ชายหนุ่มใส่บ๊อกเซอร์ตัวเดียวแล้วถอดเสื้อออกเผยให้เห็นความขาวผ่องของเนื้อหนุ่ม ส่วนหนุ่ยเหลือบ๊อกเซอร์ตัวเดียวตั้งนานแล้ว สองหนุ่มเดินลงจากบ้านค่อยๆย่องไปที่ลานปูนที่ใช้ซักล้างและอาบน้ำบ้าง...บางครั้ง หนุ่ยชอบอาบข้างนอกมากกว่าการอาบในห้องน้ำ หนุ่ยโยกคันโยกสองสามที...น้ำบาดาลก็ไหลออกมาให้ธีร์อาบได้แล้ว กล้ามเนื้อแน่นมองเห็นลางๆแต่กระจ่างชัดในความรู้สึกของธีร์ หนุ่ยโยกน้ำให้ธีร์อาบจนเสร็จ ธีร์ถอดบ๊อกเซอร์ตัวเดียวออกมาซัก ชายหนุ่มนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวแต่ต้องบิดผ้าและเริ่มหอบเครื่องอาบน้ำไว้ในอ้อมแขน ทันใดนั้นปมผ้าที่ขมวดอยู่ก็คลายและหลุดลง
“เฮ้ย...ผ้าหลุด...” ธีร์ร้องออกมาได้แค่นั้น ผ้าขนหนูก็หลุดลงไปกองที่พื้น
“ฮา...ฮ่า...ฮ่า...” หนุ่ยระเบิดเสียงหัวเราะออกมา...เด็กหนุ่มชี้มือมาที่หว่างขาของธีร์ที่ตอนนี้มันโหวงเหวง...ลมพัดมา...ชายหนุ่มขนลุก...ด้วยความหนาว...จน
”หดเหลือนิดเดียว” หนุ่ยร้องออกมาแทน...
“หนุ่ย...ไอ้หนุ่ยนี่” ชายหนุ่มปัดป้องเป็นพัลวัน เมื่อหนุ่ยเริ่มเข้ามาแหย่ด้วยการหยิบเอาผ้าขนหนูไปไว้กับตัว
“อย่าแกล้งพี่สิ...” เสียงธีร์ดูเหมือนไม่ตั้งใจจะให้หนุ่ยเอาผ้ามาคืน...

          ธีร์เข้าไปแย่งผ้าขนหนูจากมือของหนุ่ย ร่างกายที่เปลือยเปล่าของธีร์ รสสัมผัสที่เนียนละเอียดของผิวเนื้อกำลังเสียดสีกับร่างกำยำ แน่นหนันไปด้วยกล้ามเนื้อของวัยหนุ่ม ผิวเนื้อเนียนนุ่มของธีร์ที่สัมผัสกับหน้าขา แม้หนุ่ยจะมีบ๊อกเซอร์ใส่อยู่ก็ตาม อวัยวะบางส่วนของธีร์ที่มันกวัดแกว่งไปมา มันขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ...หัวใจหวั่นไหว...วาบหวิว...มันไม่ใช่แค่ธีร์ที่รู้สึกคนเดียว...แต่”หนุ่ย”เองก็รู้สึกได้เหมือนกัน

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 22=
เริ่มหัวข้อโดย: 0nePiece ที่ 01-09-2009 10:04:08
 :z1:ความรักค่อยๆๆเกิดขึ้นเรื่อยๆๆ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 22=
เริ่มหัวข้อโดย: kikipanda ที่ 01-09-2009 10:57:35
อ๊า~~~ป้าก็รู้สึกค่ะ(หวั่นไหว วาบหวิว ไม่แพ้ธีร์)  :-[

เมื่อไหร่ป้าจะได้ยลฉาก NC ซะทีละค่ะคุณต้นคุง/คุณองค์หญิงฯ  :impress2:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 22=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 01-09-2009 11:07:24
หุหุหุ

รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 22=
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 01-09-2009 13:57:46
อ้ายยยยยยยยยยยยยยย :-[
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 22=
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 01-09-2009 14:30:06
 :z1: มันหนาวๆนี่ โบราณว่าต้องกอดกันถึงจะหายหนาวนะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 22=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 01-09-2009 15:31:45
เล่นกันซะผ้าผ่อนหลุด

แล้วจะได้เรื่องไหมล่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 22=
เริ่มหัวข้อโดย: wichit14 ที่ 01-09-2009 17:31:02
หนุ่ยรู้สึก ธีร์ก็รู้สึก แล้วคนอื่นรู้สึกเหมือนผมไหมครับ อิอิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 22=
เริ่มหัวข้อโดย: paulla ที่ 01-09-2009 18:43:33
อิอิ ชักอยากจะรู้ ตอนต่อไปซะแล้ว   o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 22=
เริ่มหัวข้อโดย: MonkeYMauS ที่ 01-09-2009 19:15:00
รอลุ้น

จะมีเลิฟซีนป่าวหว่า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 22=
เริ่มหัวข้อโดย: pkung ที่ 01-09-2009 20:28:07
พี่ธีร์ครับ... หนุ่ยเป็นน้องนะครับ :z6:
อย่า... อย่า.... อย่าครับ.... อย่าช้าครับ หนุ่ยรักพี่ธีร์ครับ :o8:
  :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: ห้าที ฮิฮิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 22=
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 01-09-2009 21:03:13
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 22=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 01-09-2009 23:45:13
พี่น้องยังไม่เปลี่ยนสถานะง่ายๆใช่มั้ยเนี่ย
รออ่านตอนต่อไปดีกว่า
บวก 1 แต้มนะคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 22=
เริ่มหัวข้อโดย: ifwedo ที่ 02-09-2009 01:21:45
กี๊ตตตตต ลุ้นรอตอนต่อแรงงง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 22=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 02-09-2009 01:32:24
 :เฮ้อ:
ลุ้นทุกช่วงที่ลงเลยอยากอ่านต่อใจจะขาดละ
แล้วจะรออ่านนะคราบ
นิว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 22=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 02-09-2009 01:43:53
 :laugh:   :laugh:

มารอตอนต่อไปดีกว่า

 :z2:   :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 22=
เริ่มหัวข้อโดย: nithiwz ที่ 02-09-2009 01:58:07
เนื้อแนบเนื้อ เหอะๆๆๆๆ
หนาวเนื้อห่มเนื้อถึงหายหนาว  อิอิ 
จะเกิดอะไรต่อไปหนอ  เริ่มจะมี something right that แล้ว  เหอะๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 22=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 02-09-2009 05:00:56
23 ระโนด 3

“หนุ่ยเอาผ้ามาให้พี่เดี๋ยวนี้” เสียงดุๆของธีร์ทำเอาหนุ่ยต้องคืนผ้าให้ชายหนุ่ม
“อ่ะ...อ่ะ...ไม่แกล้งแล้ว” หนุ่ยยื่นผ้าคืนให้
“ขี้แกล้งว่ะ” ธีร์รับผ้ามาพันรอบเอวแล้วเหน็บอย่างแน่นหนา
“หนุ่ยอาบเร็วสิ...จะได้ขึ้นบ้านพร้อมกัน” ธีร์เร่ง
“อ้าวพี่ขึ้นไปก่อนสิ...ผมจะอาบน้ำ...”
“ไม่เอาอ่ะ...ขึ้นพร้อมกัน” ธีร์สั่นหน้า เขาเองก็กลัว
“งั้นรอก่อนนะ...ผมอาบแป๊บเดียว...ครึ่งชั่วโมงก็เสร็จละ” หนุ่ยยิ้มเห็นฟันขาว
“โหย...เร็วๆดิ...ล้างอะไรเยอะแยะ...มีอยู่แค่นั้นน่ะ...” สายตาที่หลุบต่ำลงของธีร์ ทำให้เด็กหนุ่มก้มลงไปมอง กึ่งกลางร่างกายของตัวเอง
“ไม่แค่นั้นนะพี่...” หนุ่ยส่ายหน้าขา ทำเอาไอ้ที่มันอยู่ในบ๊อกเซอร์เปียกๆกวัดแกว่งไปมา
“เล่นอยู่นั่นละ...พี่หนาว” ธีร์เร่งอีกเป็นครั้งที่สอง
“ถ้าพี่ธีร์หนาว...เดี๋ยวคืนนี้ผมนอนกอด...” หนุ่ยพูดแล้วก็หันไปโยกคันโยกน้ำ ร่างกายสูงใหญ่สมส่วน กล้ามเนื้อเป็นลอนเงาวาววาม ล้อแสงไฟที่ส่องลอดมาตามร่องไม้ระแนง มันส่องทะลุกางเกงที่เปียกน้ำทำให้เห็นไปถึงไหนต่อไหน
“ไม่ต้องมากอดเลย...อึดอัดตาย...” ธีร์ยังปากแข็งได้อีก...ชายหนุ่มรู้สึกห่างเหินการถูกสัมผัสและกอดรัดมานานมาก...หวนคิดไปถึงค่ำคืนอันแสนเหน็บหนาวที่มีอ้อมกอดของ...”เขา”...คนนั้น ท่ามกลางหิมะที่ตกอย่างหนัก...อ้อมกอดอบอุ่น...ใต้ผ้าห่มผืนหนา แม้ไม่ได้สวมใส่อะไร...ความรู้สึกนั้นทั้งวาบหวิวทั้งซาบซ่าน
“พี่ธีร์...พี่ธีร์...จะนั่งอยู่อย่างนี้เหรอ...” เสียงเรียกของหนุ่ยทำเอาธีร์ตื่นจากภวังค์
“เสร็จแล้วเหรอ...” ธีร์ลุกขึ้นมาจากการนั่งยองๆ
“โอ๊ย...ขาพี่” ชายหนุ่มเซเล็กน้อยเพราะตะคริวกินขาไปข้างนึง
“เป็นอะไรพี่...” หนุ่ยปราดเข้ามาทันทีที่สิ้นเสียงร้อง
“ตะคริวกิน...” ความปวดแล่นปราดเข้าเกาะกินกล้ามเนื้อที่น่องของชายหนุ่ม มันแข็งเป็นลูกเลยทีเดียว
“พี่อยู่เฉยๆเดี๋ยวผมพยุงไปเอง” หนุ่ยพยุงธีร์ไปนั่งที่บันไดหน้าบ้าน

“เป็นไงพี่” หนุ่ยถาม
“ปวดอ่ะดิ...ปวดตรงเนี้ย...” ธีร์ยกขาข้างที่ปวดขึ้นแล้วบีบตรงที่มันแข็งเป็นลูก
“ตรงไหนพี่...” หนุ่ยคลำไปที่น่องของธีร์
“เออ...เออ...ตรงนั้นแหละ...หนุ่ยเบาๆพี่ปวด” ธีร์แหงนหน้าห่อปากบางๆ...พลางสูดปากซี๊ดดด
“ทนหน่อยนะ...เดี๋ยวหาย...ผมเคยทำให้เพื่อน” หนุ่ยยกขาธีร์ให้เหยียดตรงแล้วยกสูงขึ้นจนเกือบจะพาดบ่า ก้นที่นั่งอยู่ที่ขั้นบันไดกระถดลอยขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้... "โอยยยย....เจ็บบ...หนุ่ย...เบาๆ...ตึงไปหมดแล้ว..." ท่อนขาที่ตึงของธีร์ถูกหนุ่ยยกจนสูง ทำเอาธีร์ร้องเร่าๆอย่างเจ็บปวด เพราะความตึงเปรี้ยะของกล้ามเนื้อท่อนขา ผ้าขนหนูที่นุ่งอยู่ร่นขึ้นจนเกือบปิดสัดส่วนไว้ไม่ได้
“เป็นไงบ้างพี่....ดีขึ้นมั๊ย...หายเจ็บรึยัง...หายตึงมั๊ย...”  หนุ่ยถามเป็นชุด
“อืม...ดีแล้ว...ค่อยยังชั่ว” ธีร์บอกพลางหายใจเข้าอย่างแรง หนุ่ยเอาขาลง
“อีกทีดีมั๊ย...” หนุ่ยไม่รอให้ตอบ...เขายกขาธีร์ขึ้นอีกครั้งคราวนี้ไม่เจ็บเท่าครั้งแรก มันหายตึงที่น่องแล้ว แต่ใจมันคิดไปถึง...”เขา”...วันนั้น...อากาศอบอุ่นสบายๆ......ท่ามกลางกองเฟอร์นิเจอร์...ขณะที่กำลังย้ายของในอพาร์ทเม้นต์เพื่อไปอยู่ด้วยกัน...ธีร์ถูกยกขาแบบนี้...เพราะตะคริวกิน...ครั้งนั้นมันเจ็บ...มากกว่านี้นัก...แต่หลังจากหายจากตะคริวแล้ว...ธีร์ก็ถูกยกขาแบบนี้...อีก...ซ้ำ...แล้ว...ซ้ำ...เล่า...
“ดีขึ้นแล้วนะพี่ธีร์...” เด็กหนุ่มเอาท่อนขาของธีร์วางลงที่บันได ชายหนุ่มเก็บชายผ้าขนหนูที่เลิกขึ้นไป
“ใครสอนให้ทำแบบนี้...หึหนุ่ย...ใครมาเห็นท่าเมื่อกี้นี้...เขาต้องลือกันไปสามบ้านแปดบ้านแน่เลย” ธีร์พูดยิ้มๆ
“ลือเรื่องอะไร...เรื่องที่ผมรักษาตะคริวได้น่ะเหรอ...” หนุ่ยพาซื่อ
“เออ...หมอหนุ่ย” ธีร์ยิ้มในความไร้เดียงสา
“ผมทำให้เพื่อนๆบ่อยไป...ตอนเล่นฟุตบอลแล้วมันเป็นตะคริวนะ...ผมจับยกขานี่เป็นต้องหายทุกราย” หนุ่ยคุยโขมง...พลางเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดนอน กางเกงนอนขายาวกับเสื้อยืดถูกเอาออกมาใส่ หนุ่ยยกที่นอนออกมาจากในตู้เก็บของ...มันเป็นที่นอนของเขาเอง...คืนนี้เขายกให้ธีร์นอน...ส่วนที่นอนของเขานั้น...แค่เสื่อผืนเดียวเขาก็นอนได้แล้ว...เด็กหนุ่มกางมุ้ง...หลังใหญ่
“พี่ธีร์เคยนอนมุ้งมั๊ย...” หนุ่ยถาม เพราะเพื่อนเขาหลายคนที่โรงเรียน...ไม่เคยนอนมุ้งแบบนี้เลย
“เคยสิ...บ้านเราไม่ได้รวยมาตั้งแต่เกิดนะ...เมื่อก่อนก็ลำบากเหมือนกัน” ธีร์เล่าให้หนุ่ยฟังถึงสมัยที่ยังเด็กมากๆ และอยู่กันที่ห้องเช่าแถวปากคลองตลาด คุณแม่ยังเป็นพนักงานบริษัทระดับต้นๆอยู่เลย...ส่วนคุณพ่อนั้นค้าขายเล็กๆน้อยๆ...ท่านต้องต่อสู้มามากทีเดียวกว่าจะมีวันนี้ได้...คุณพ่อมีหัวทางการค้าจึงลงทุนทำธุรกิจส่งออก...ทำให้เราลืมตาอ้าปากได้จนทุกวันนี้...แต่อุบัติเหตุเครื่องบินตกก็มาพรากเสาหลักของครอบครัวไป...ธีร์นอนเล่าเรื่องของครอบครัวให้หนุ่ยฟัง...

“เออ...แล้วเสื้อนอน...อยู่ไหนหมด” ธีร์ถามเมื่อเห็นหนุ่ยนอนตะแคงฟังอย่างตั้งใจ
“ใหม่เอี่ยมอยู่ในตู้...ผมไม่ชอบเสื้อที่มันเข้าชุดกัน...เหมือนเด็กอนุบาลถูกต้อนเข้านอน...”
“เออ...จริง...” ธีร์เห็นด้วยกับข้อสังเกตของเด็กหนุ่ม
“ถ้าใส่ทั้งชุด...ต้องนอนดูดนมด้วยนะ” หนุ่ยพูดแล้วหัวเราะชอบใจ
“พรุ่งนี้หนุ่ยต้องทำอะไรบ้าง” ธีร์ถาม เขาอยากจะให้หนุ่ยจัดการกับเรื่องตัวเองให้เรียบร้อย
“ไปบ้านไอ้ไข่...คุยกับพ่อมันเรื่องให้ดูแลบ้านให้หน่อย...พี่ธีร์ว่าเราจะจ้างเค้ายังไงดี...” หนุ่ยขอความเห็น
“ก็เดือนละห้าร้อยดีมั๊ย...” ธีร์เสนอความเห็น
“หูยย...เยอะไปรึเปล่า...ผมจะเอาเงินที่ไหนมาให้เค้าล่ะ” หนุ่ยพูดพลางส่ายหน้า
“แล้วจะทำยังไง...ขายไปเลยดีมั๊ย” ใจธีร์อยากจะให้ขายเหมือนกัน...จะได้หมดเรื่องหมดราวไป
“ไม่ขายหรอก...ห้าร้อยก็ได้เนอะพี่...ผมเก็บได้...ประหยัดหน่อย...ผมอยากให้ปู่กับย่าอยู่แบบนี้...ถ้าขายไปคนที่ซื้อเค้ามารื้อออกละแย่เลย” หนุ่ยก้มหน้าซบกับหมอน...หมอนของย่า...หนุ่ยสูดความคิดถึงเข้าเต็มปอด...
“ไม่ต้องหรอก...เดี๋ยวพี่จ่ายให้...หนุ่ยขอเลขที่บัญชีเค้ามาด้วยนะ” ธีร์สั่ง
“อ้อ...พรุ่งนี้หนุ่ยต้องไปขอโทษไข่ด้วยนะ...หนุ่ยทำแบบนี้ไม่ดีเลย...ไข่เป็นเพื่อน...เค้าเป็นห่วงเรามาก...ดูสิเค้าดีใจแค่ไหนที่เห็นหนุ่ยมา...แล้วอย่าลืมเอาของฝากไปให้เค้าด้วย” ธีร์บอกพลางขยับผ้าห่มให้กระชับขึ้น
“พี่ธีร์...พรุ่งนี้ก่อนกลับไปหาดใหญ่...พาผมไปหาเพื่อนที่ระโนดได้มั๊ย...” หนุ่ยบอกแล้วยิ้มฝันหวาน
“ได้สิ...ไปหาใครล่ะ”
“ไปหาแต้ว...” หนุ่ยยิ้มบางๆ...นัยตาคมๆเคลิ้มฝัน
“แฟนรึไง...” ธีร์เอามือโยกหัวเด็กหนุ่มเบาๆ
“เอ่อ...เปล่าครับ...เพื่อนสนิทน่ะพี่”
“เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ” ธีร์บอกแล้วหัวเราะเบา
“พี่ธีร์ก็...” หนุ่ยเขินหน้าแดง
..................

          เช้านั้นหลังจากที่ทั้งสองได้ทานอาหารเช้าที่ช่วยกันทำแบบง่ายๆแล้ว หนุ่ยก็เดินถือของฝากต่างๆเข้าไปที่บ้านไข่ที่ถัดเข้าไปไม่ไกล หลังจากนั้นไม่นานหนุ่ยก็กลับออกมา พร้อมกับของฝากมากมายเต็มมือโดยมีไข่เดินออกมาส่งที่บ้าน

“พี่ธีร์...ไอ้ไข่จะมาขอโทษพี่” ธีร์เงยหน้าจากการเก็บของใส่รถ
“พี่ครับ...ผมขอโทษเรื่องเมื่อวาน...ผมเสียมารยาทไปหน่อย” ไข่ยกมือไหว้ธีร์
“ไม่เป็นไรครับ...พี่ฝากบ้านด้วยนะไข่...แล้วเสื้อกับกางเกงไข่ลองใส่แล้วรึยัง...หนุ่ยอุตส่าห์ซื้อมาฝาก” ธีร์พูดแล้วยิ้มให้อย่างจริงใจ
“ลองแล้วครับ...”
“ใส่ได้มั้ย...”
“พอดีเลยครับ” น้ำเสียงของไข่...ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่เพราะปากที่บวมเจ่อนั่นเอง
“เรื่องธนาคารกูต้องไปเปิดบัญชีก่อน...แล้วกูจะโทรฯไปบอกเบอร์บัญชีแล้วกัน” ไข่หันมาบอกกับหนุ่ย
“เออ...เอาเงินนี่ไปเปิดบัญชีนะแล้วก็ทำบัตรเอทีเอ็ม.ไปเลยจะได้กดง่ายๆ” ธีร์ควักเงินให้ไข่หนึ่งพันบาทเพื่อเอาไปเปิดบัญชี...
“ไข่...กูฝากปู่กับย่าด้วยนะ...มึงอย่าให้หญ้ามันขึ้นรกล่ะ...ดูแลแทนกูที” หนุ่ยพูดกับไข่แล้วก็เดินไปหยิบธูปมา...เพื่อจะไหว้เจดีย์ปู่กับย่าอีกครั้ง เขาไม่ลืมที่จะหยิบมาเผื่อธีร์ด้วย
“พี่ธีร์ไปลาปู่กับย่ากันก่อน” หนุ่ยจับมือธีร์เดินไปที่หน้าเจดีย์
“ปู่ครับ...ย่าครับ...ผมลาไปก่อนนะ...ถ้าว่างเมื่อไหร่จะมาเยี่ยมใหม่...ขอให้ปู่กับย่าอวยชัยให้พรผมด้วย...นะครับ” หนุ่ยปักธูปก่อนจะก้มลงกราบที่พื้นหน้ารูป... ธีร์เองก็ทำแบบเดียวกัน
“ไปกันเถอะ” ธีร์สะกิดเรียกหนุ่ยแล้วเดินไปสตาร์ทรถ
“ผมขับให้...” หนุ่ยเดินไปที่นั่งคนขับ ธีร์มองตามอย่างงงๆ...

          หนุ่ยขับรถออกมาเรื่อยๆจนถึงปากทางถนนใหญ่ หนุ่ยเลี้ยวขวาอย่างคล่องแคล่วเพื่อกลับไปยังตัวอำเภอระโนดอีกครั้ง สายสร้อยที่เป็นของฝากอยู่ในกระเป๋ากางเกง มันเต้นตุ้บๆร้อนๆ...จังหวะเดียวกับหัวใจเลยทีเดียว หนุ่ยขับรถผ่านโรงเรียนไปสักพักก็เลี้ยวเข้าซอย บ้านแต้วอยู่ในนี้แหละ รถวิ่งไปจนสุดซอย หนุ่ยจอดรถสนิทนิ่งหน้าบ้านหลังหนึ่ง ที่ไม่มีรั้วรอบ หนุ่ยมองเห็นคนคู่หนึ่งนั่งติดกันอยู่ที่ม้าหิน...ที่ๆเขาเคยนั่งอ่านหนังสือกับ”แต้ว” ทันทีที่รถจอด สายตาสองคู่ของหนุ่มสาวมองมา แต้วเดินนำออกมาก่อน

“หนุ่ย...มายังไง” เสียงใสๆของแต้วทักทายมา...แต่เด็กหนุ่มแทบไม่ได้ยินเสียง...หูมันอื้อ
“แต้ว...” หนุ่ยเรียกชื่อเสียงเบาโหวง...ไร้น้ำหนัก...มันลอยหายไปในอากาศ หนุ่ยถอดแว่นกันแดดออกมา
“ใครมาเหรอแต้ว” เสียงห้าวๆคุ้นๆดังขึ้นด้านหลัง ก่อนการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มอีกคน
“ไอ้ชัย...” หนุ่ยเรียกชื่อนั้นออกมาเบาๆ .....
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 23=
เริ่มหัวข้อโดย: ifwedo ที่ 02-09-2009 05:23:11
ม่ายยลุ้นๆๆๆ รอตอนต่อเลยมาลงไวๆนะจ๊ะ ติดแล้วนะ :L2: :3123:
ปล. จะกลายเป็นอกหักมารักเกย์รึเปล่านี่
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 23=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 02-09-2009 05:28:32
หนุ่ยเศร้าเลย
ไม่เคยบอกแต้ว แต้วไม่รับรู้อะไรด้วย
หนุ่ยอยู่ไกลขนาดนั้น หวังมากไปมั้ง
พี่ธีร์ต้องปลอบใจน้องหนุ่ยแล้วหละคราวนี้

ขอบคุณมากนะคะ
รออ่านต่อค่ะ  o13

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 23=
เริ่มหัวข้อโดย: paulla ที่ 02-09-2009 08:30:35
พี่ธีร์ คงต้องปลอบแล้วล่ะนะ น่าสงสารจังน้องหนุ่ย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 23=
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 02-09-2009 09:00:52
ดีแล้ว แบบนี้หนุ่ยจะได้ตัดใจจากแต้ว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 23=
เริ่มหัวข้อโดย: kikipanda ที่ 02-09-2009 09:11:30
เห็นแววหนุ่ยเจ็บช้ำมารำไรๆล่ะ  :เฮ้อ:

พี่ธีร์เตรียมทำหน้าที่ด่วนนน  :กอด1:

ขอบคุณทั้งคนเขียน และคนโพสนะค่ะ ขยันจริงๆ  o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 23=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 02-09-2009 09:49:57
อยู่ไกลกันมันก็เป็นอย่างนี้ละ

เศร้านะ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 23=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 02-09-2009 09:58:39
ตัดใจจากแต้วไปซะเถอะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 23=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 02-09-2009 11:25:20
 :เฮ้อ:   อย่างนี้ก้อต้องทำใจแล้วหนุ่ย

ไม่ต้องหวังอะไรให้มากนัก กาลเวลาจะช่วยเยียวยาให้เอง โดย ใครบางคน

 :z2:   :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 23=
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 02-09-2009 11:34:53
ก็นะ ก่อนไปก็ไม่พูดให้แน่นอนว่าจะเป็นแฟนเป็นอะไร ดีแล้วล่ะเราก็กลับกทม.ไปหาสาวชาวกรุงซะเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 23=
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 03-09-2009 00:30:13
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 23=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 03-09-2009 02:55:30
24 ระโนด 4

“แต้ว...” หนุ่ยเรียกซ้ำอีกครั้ง เสียงเบาๆลอยหายลงคอไปอีกครั้ง
“หนุ่ยมาได้ยังไง...” เสียงสดใส...เสียงที่เมื่อก่อนได้ยินทีไร...โลกสดใสทุกครั้ง แต่ตอนนี้...เสียงนี้ทำไมมันถึงบาดลึกเข้าไปในหัวใจ...
“ไอ้หนุ่ย...” เสียงห้าวๆที่เขาแทบไม่อยากได้ยิน
“มายังไงวะ...นั่งก่อนสิ...”  ไอ้ชัย...ศัตรูหัวใจเรียกซะคุ้นเคย...ราวกับบ้านของมันทีเดียว
“นั่งก่อน...เดี๋ยวไปเอาน้ำมาให้” ชัยวางตัวเป็นเจ้าของบ้านเต็มตัว แสดงว่ามันเข้านอกออกในบ้านนี้ได้
“ไม่เป็นไร...เราจะรีบไป...เราคิดถึง”แต้ว”เราเลยมาหา...”  หนุ่ยไม่รู้ตัวแล้วว่าพูดอะไรออกไป
“แต้ว...สบายดี...แต้วได้จดหมายของหนุ่ยทุกฉบับเลย...”  แต้วส่งเสียงเจื้อยแจ้ว
“แต่ต่อไปหนุ่ยโทรหาแต้วดีกว่านะ...แต้วมีโทรศัพท์แล้ว...จะได้ไม่ต้องเขียนจดหมายอีก” แต้วเดินไปหยิบเศษกระดาษมาเขียนเบอร์โทรศัพท์ยิกๆลงไป
“อ่ะนี่เบอร์แต้ว” แต้วยัดเศษกระดาษใส่มือหนุ่ย
“แต้วทำอะไรอยู่...”
“แต้วกำลังติวภาษาอังกฤษให้ชัยอยู่น่ะ...”
“หนุ่ยไม่ค่อยมีเวลานะ...เกรงใจพี่ชายที่คอยอยู่...หนุ่ยกลับก่อนนะแต้ว” หนุ่ยอยู่ไม่ไหวแล้ว ภาพที่เห็นมันชัดเจนเหลือเกิน ไอ้ชัยกำลังจะเดินออกมาจากบ้านแต้ว มันถือขวดน้ำออกมาพร้อมกับแก้วอีกใบ
“หนุ่ยไม่คอยพ่อก่อนเหรอ...พ่อพูดถึงหนุ่ยบ่อยๆนะ...” แต้วพยายามจะดึงไว้
“ไม่เป็นไรหรอก...หนุ่ยฝากแต้วกราบอาจารย์ด้วยแล้วกันนะ...บอกว่าถ้าว่างจะมาหาใหม่” หนุ่ยก้มหน้า
“หนุ่ยไปก่อนนะแต้ว...” หนุ่ยเดินหันหลังกลับไปที่รถ เปิดประตูด้านคนขับแล้วขึ้นไปนั่ง ก่อนที่บีเอ็มดับบลิวคันงามจะถอยออกจากซอยอย่างช้าๆ...ราวกับว่า...มันจะเก็บความทรงจำที่เหลืออยู่ไว้ในใจตลอดไป...
.............................................

“หนุ่ยขับได้มั้ย...”  ธีร์เห็นอาการน้องชายสุดที่รักแล้วต้องสะกิดถาม เขารู้ตั้งแต่เห็นเด็กทั้งคู่นั่งอยู่ด้วยกัน แล้วว่า หนุ่ยจะต้องเป็นแบบนี้ ธีร์สงสารน้องชายจับใจ
“หนุ่ย...จอดเถอะ...พี่ขับเองมา...”  หนุ่ยเปิดไฟเลี้ยวลงจอดข้างทาง เด็กหนุ่มเดินตัวเบาไปนั่งอีกด้าน ธีร์เข้าประจำที่คนขับแล้วหมุนพวงมาลัยรถเพื่อกลับสู่ถนนใหญ่อีกครั้ง

          ความเงียบแล่นเข้ามาเกาะกุมหัวใจเด็กหนุ่มอีกครั้ง เขาไม่นึกเลยว่า”ไอ้ชัย”ศัตรูหัวใจคนนี้จะมาแทนที่เขาได้ เมื่อก่อนหนุ่ยซึ่งเรียนเก่งกว่าแต้ว หนุ่ยจะเป็นคนที่ติวให้แต้วเสมอๆ ไม่ว่าจะเป็นวิชาอะไร เด็กหนุ่มสามารถทำได้ทั้งนั้น จนอาจารย์วิชัยพ่อของแต้วชอบเขามาก ติดที่ว่าเมื่อก่อนนั้นหนุ่ยมีฐานะทางบ้านที่ข้นแค้น เพราะตั้งแต่พ่อจากไปด้วยสึนามิแล้ว รายได้หลักที่เคยมีมาจุนเจือก็ต้องหดหายไป ปู่เองก็แก่แล้วรับจ้างอะไรได้ไม่มาก ย่าก็เจ็บออดๆแอดๆ สามวันดีสี่วันไข้มาตลอด เด็กชายจึงต้องรับจ้างทำงานทั่วไปไม่เกี่ยง หนุ่ยจึงต้องเจียมตัวเอามากๆ ขนาดที่ต้องวิ่งไปขอข้าววัดกินทุกๆกลางวัน มันทำให้เด็กหนุ่มไม่กล้าแม้แต่จะคิดเป็นแฟนกับแต้ว

          ตั้งแต่ปู่ตายไป ถึงแม้จะมีเงินที่ได้มาจากประกันและอีกส่วนที่คุณภาณีให้ไว้ หนุ่ยก็ไม่ได้มือเติบ เขาไม่เคยเบิกมาใช้สุรุ่ยสุร่าย มีบ้างที่ใช้หนี้ไป มีบ้างที่เบิกมาซื้อชุดนักเรียนหรือซื้อหนังสือ หนุ่ยตั้งใจจะเก็บเงินก้อนนี้เอาไว้เรียนหนังสือ จนวันนี้หนุ่ยมีครอบครัวใหม่เข้ามาอุปถัมภ์ค้ำชู และทำให้ไม่ลำบากเรื่องเงินทองอีกต่อไป หนุ่ยจึงพอจะคิดเรื่อง”ความรัก”ของหนุ่มสาวได้......คนแรกที่หนุ่ยหวนคิดถึง...ไม่ใช่สิ...คิดถึงอยู่ในใจเสมอมาคือ”แต้ว” แต่วันนี้ ความฝัน ความหวัง ความคิดถึงและทุกๆความรู้สึกที่มีมาตลอด...กลับพินธุ์พังไม่มีเหลือ...หนุ่ยคิดไปเองหรือเปล่า... ไม่หรอก...เขารู้ดี “ชัย”มีพ่อเป็นนายตำรวจอยู่ตัวจังหวัด แม่ก็เป็นอาจารย์สอนที่เดียวกับพ่อของแต้ว ระดับฐานะที่ใกล้เคียงกัน... ทั้งคู่เหมาะสมกันดี เมื่อก่อนพ่อของแต้วคงอาจจะชอบเขาในฐานะที่เรียนเก่งก็ได้ ส่วนเรื่องอื่นๆนั้น เขาเองไม่ได้เสี้ยวของ”ชัย”ด้วยซ้ำ


“หนุ่ย...เป็นไงบ้าง” ธีร์เอามือมาลูบหัวเด็กหนุ่ม เมื่อเห็นว่าหนุ่ยนิ่งเงียบมานานมาก
“หิวมั๊ย...”
“......”
“จะนอนหาดใหญ่กันดีมั๊ย...หรือหนุ่ยอยากจะไปไหน...” ธีร์เริ่มหวั่นใจ เด็กที่ร่าเริงอย่างหนุ่ยไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ธีร์ถอนหายใจเบาๆ
“พี่ธีร์...” หนุ่ยเรียกธีร์ พร้อมกับหันมามองหน้าพี่ชาย
“ผมอยากไปเกาะยอ” หนุ่ยบอกแล้วถอนหายใจอย่างหนัก
“ไปสิ...พี่ว่าเราไปทานกลางวันกันดีมั้ย”   ธีร์เหยียบคันเร่งนำรถวิ่งสู่จุดหมาย”เกาะยอ”

          รถแล่นขึ้นสู่สะพาน”ติณสูลานนท์”ธีร์ชะลอความเร็วลงปล่อยให้บรรยากาศรอบตัวค่อยๆแล่นผ่านไปเรื่อยๆ ทะเลสาบสงขลายามเที่ยงร้อนระอุด้วยเปลวแดด หนุ่ยขยับแว่นกันแดดเล็กน้อย ก่อนเมินหน้าออกไปนอกรถ เสียงเพลงที่เปิดดังแว่วมา

เธอจะเป็นความทรงจำอยู่ภายในลมหายใจ

จะจดจำเธอจนวันสุดท้าย

ใจของฉันคงต้องหมุนตามเวลา ซักวันคงมีใครผ่านเข้ามา

ตราบใดที่ยังหายใจจะไม่ลืมเธอ
นับจากนี้ใจฉันคงหยุดการมีเธอ

นับจากนี้คงต้องเริ่มออกเดินเพื่อเจอรักใหม่

เราสองคงไกลห่าง แต่จะไม่มีทางลบภาพเธอ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 23=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 03-09-2009 03:00:03
 :sad11:
ซึ้งจัง อ่านแล้วประทับใจ
ชอบเพลงนี้มากๆ

เธอจะเป็นความทรงจำอยู่ภายในลมหายใจ
จะจดจำเธอจนวันสุดท้าย
ใจของฉันคงต้องหมุนตามเวลา ซักวันคงมีใครผ่านเข้ามา
ตราบใดที่ยังหายใจจะไม่ลืมเธอ
นับจากนี้ใจฉันคงหยุดการมีเธอ
นับจากนี้คงต้องเริ่มออกเดินเพื่อเจอรักใหม่
เราสองคงไกลห่าง แต่จะไม่มีทางลบภาพเธอ
แล้วจะรออ่านต่อน๊า
นิว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 23=
เริ่มหัวข้อโดย: ifwedo ที่ 03-09-2009 03:00:50
เศร้าจัง ว่าแต่มันสั้นไงไม่รู้ ขอยาวๆๆได้ไหมจ๊ะอิๆ ขอบคุณจ้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 24=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 03-09-2009 04:00:02
อกหัก หัวใจบอบช้ำ
จุดเริ่มต้นของความเห็นอกเห็นใจที่มากขึ้น หรือเปล่านะ
บวก 1 แต้มนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 24=
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 03-09-2009 10:01:12
ดีแล้วแหละ จะได้ตัดใจจากแต้ว แล้วเปิดโอกาส์ให้พี่ธีร์
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 24=
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 03-09-2009 10:11:02
แอบสงสารหนุ่ย รีบหาคนปลอบใจซะนะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 24=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 03-09-2009 17:19:04
สงสารหนุ่ย

พี่ธีปลอบใจหน่อยจิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 24=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 03-09-2009 22:14:58
น่าสงสารหนุ่ยนะ

ความรักครั้งแรก......... :sad11:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 24=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 04-09-2009 04:23:43
25 ทะเลสาบสงขลา

          ธีร์วนรถกลับใต้สะพานเพื่อกลับไปยังร้านอาหารริมทะเล บรรยากาศของร้านน่านั่งมากเพราะเงียบสงบ สองหนุ่มเดินเงียบๆไปที่โต๊ะตัวที่ติดทะเล ลมพัดมาเบาๆ หอมกลิ่นทะเลโชยมา
“จะทานอะไรครับ...” ธีร์ถามหนุ่ย
“พี่ธีร์สั่งเลย” หนุ่ยมองออกไปในทะเล
“พี่สั่งให้นะ”

          ชายหนุ่มสั่งอาหารเสร็จแล้วก็มองหน้าเด็กหนุ่มที่ยังคงเหม่อมองออกไปข้างนอก แว่นกันแดดที่ปกปิดแววตาของเด็กหนุ่ม ทำให้ธีร์ไม่รู้เลยว่าหนุ่ยคิดอะไร ถึงแม้ว่าจะมองเห็นธีร์ยังไม่รู้เลยว่า เขาจะอ่านตาของหนุ่ยออกหรือไม่ อาหารมาเสิร์ฟเร็วมาก ธีร์ตักอาหารที่หนุ่ยชอบวางลงบนจาน แต่หนุ่ยก็แค่ยกน้ำขึ้นจิบเท่านั้น

“ทานอะไรหน่อยนะ...หนุ่ย” ธีร์เรียก
“ครับพี่...” หนุ่ยตัดปลาชิ้นเล็กๆใส่ปาก เขาเคี้ยวอย่างเชื่องช้า เหมือนกับมันไม่มีรสชาติอะไรเลย
“ทำไมหนุ่ยถึงอยากมาที่เกาะยอ” ธีร์ถาม
“ผมคิดถึงวันที่มาเที่ยวกับแต้วครั้งแรก”
“เรามาเที่ยวเกาะยอกัน...สถาบันทักษิณน่ะพี่...แต้วอยากมา...” หนุ่ยก้มหน้าลงมองพื้น...สักพักเด็กหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมามองหน้าธีร์
“พี่ธีร์ครับ...อย่างนี้เรียกว่าอกหักรึเปล่าครับ” หนุ่ยถอดแว่นกันแดดออกมา ตาแดงก่ำของเด็กหนุ่มทำเอาธีร์ใจหาย
“หนุ่ยร้องไห้...” ธีร์พูดได้แค่นั้นก็ขยับตัวย้ายมานั่งข้างๆหนุ่ย
“พี่ธีร์...ผมเสียใจ...” หนุ่ยน้ำตาซึมออกมา
“หนุ่ย...ไม่ต้องร้องนะ...” ธีร์โอบไหล่หนุ่ยให้เข้ามาซบที่ไหล่ของเขา น้ำอุ่นๆเริ่มเปียกชุ่มที่เนื้อผ้า
“ขอร้องแค่นี้ละครับ...ต่อไปผมจะไม่ร้องไห้ด้วยเรื่องนี้อีกแล้ว” หนุ่ยบอกธีร์แล้วสูดน้ำมูก
“ดีแล้ว...ต้องเข้มแข็งนะ...ถือซะว่าเป็นวัคซีน...เราจะได้มีภูมิคุ้มกัน” ธีร์บอกหนุ่ย ย้อนนึกไปถึงตัวเองที่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน
“ครับ...ผมเชื่อพี่...” หนุ่ยเช็ดน้ำตาแล้วดึงกระดาษทิชชู่มาสั่งน้ำมูกดังปื๊ด
“ผมขอเข้าห้องน้ำก่อนนะ...” หนุ่ยลุกขึ้นแล้วเดินเข้าห้องน้ำ

          สักพักหนุ่ยจึงออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย คงไว้แต่รอยแดงช้ำที่ดวงตาเท่านั้น ธีร์ย้ายกลับมานั่งที่นั่งตัวเองแล้ว หนุ่ยมาถึงก็ดื่มน้ำในแก้วรวดเดียวหมด ก่อนส่งแก้วให้เด็กเสิร์ฟรินให้ใหม่

“เสียน้ำตาเมื่อกี้นี้...ต้องหาน้ำเข้าไปทดแทน” หนุ่ยพูดติดตลก
“ดีขึ้นใช่มั้ย” ธีร์ถามด้วยความโล่งใจไปอีกเปลาะหนึ่ง
“ครับพี่...ทานข้าวกันเถอะ...” หนุ่ยตักอาหารในจานที่ธีร์ตักไว้ให้ส่งเข้าปากเรื่อยๆ
“ทานอะไรอีกมั้ย...สั่งเลยนะ” ธีร์บอกพลางเรียกเมนูจากพนักงาน
“ไม่แล้วพี่...เดี๋ยวเย็นๆไปทานที่หาดใหญ่ดีกว่า...” หนุ่ยจ้วงข้าวในจานจนหมด
“อร่อยดีนะ...พี่อิ่มแล้วเหรอ” หนุ่ยถามพลางยกน้ำขึ้นดื่ม
“อืม...เห็นน้องชายคนเดิมของพี่กลับมา...พี่ก็ดีใจละ” ธีร์บอกแล้วยิ้มให้
“เอาทิ้งไว้ที่นี่แหละ...ทิ้งรักไว้ที่ทะเลสาบสงขลา...เท่ห์มั้ยพี่” หนุ่ยหยิบแว่นกันแดดมาใส่ตามเดิมแล้วยิ้มให้ธีร์
“เท่ห์สิ...น้องพี่ทั้งหล่อทั้งเท่ห์เลย” หนุ่ยยิ้มกว้าง หน้าคมสันกับผิวเข้มราวอาบน้ำผึ้งรับกับแว่นกันแดดสีดำสนิท


          สองหนุ่มเดินทางต่อเพื่อเข้าสู่หาดใหญ่ ธีร์เล่าให้ฟังถึงเรื่องที่เที่ยวที่กินมากมาย ทั้งร้านไก่ทอดเดชา ชาชักร้าน”กู” ร้านตาเจิม จนมาถึงร้านในรูที่ตลาดกิมหยง เด็กหนุ่มสะดุดกับชื่อเรียก

“ชื่ออะไรนะพี่...” หนุ่ยถาม
“จริงๆแล้วชื่ออะไรก็ไม่รู้...แต่เห็นเรียกกันอย่างนี้” ธีร์อธิบายให้ฟัง
“ผมน่ะเด็กจังหวัดสงขลาแท้ๆ...ยังไม่รู้เลย” หนุ่ยบอก
“เด็กระโนดน่ะไม่ว่า...เคยไปหาดใหญ่กี่ครั้ง” ธีร์หันมาถาม
“เท่าที่จำได้...ก็ไม่กี่ครั้ง...นอกจากงานวิชาการที่มอ.แล้วผมไปกิมหยงแค่สองครั้งเอง” หนุ่ยหัวเราะกับความเป็นเด็กบ้านๆของตัวเอง
“นั่นสิ...จะรู้จักได้ยังไง...เด็กหาดใหญ่บางคนยังไม่รู้เลย” ธีร์บอก
“เย็นนี้นะพี่...ผมอยากไปร้านในรู” หนุ่ยอ้อนได้ผลเสมอ...ไม่ต้องอ้อนหรอก...แค่บอกอย่างเดียวธีร์ก็พาไปแล้ว
“ได้สิ...เป็นอาหารจีนแบบบ้านๆน่ะ...แต่อร่อยมาก มีน้ำอ้อยเย็นเจี๊ยบด้วย” ธีร์นึกแล้วน้ำลายสอ เขาไม่ได้กินร้านนี้มานานมากแล้ว
“มาเที่ยวกับพี่ธีร์...ผมอ้วนแน่ๆเลย” หนุ่ยคงจะเห็นว่าที่ไหนที่ไหน..ธีร์ก็รู้จักที่กินไปทั่วแล้วก็อร่อยจริงๆซะด้วยสิ
“นี่ถ้าอยู่หลายๆวันจะพากินทุกวันเลย”ธีร์บอก

“หนุ่ย...แล้วไปคุยกับไข่ยังไง...เค้าถึงได้เดินมาขอโทษพี่เมื่อเช้า” ธีร์ถามข้อข้องใจเรื่องไข่
“ไม่มีอะไรหรอก...ผมก็เข้าไปคุยเฉยๆ...เราสองคนทะเลาะกันประจำแหละ...ไอ้ไข่นี่มันประเภทชอบเจ็บแค้นแทนเพื่อน...เชื่ออะไรก็แบบหัวปักหัวปำ ไม่รู้หรอกว่าใครๆเขาไปถึงไหนๆกันแล้ว” หนุ่ยวิเคราะห์เพื่อนตัวเอง
“ผมก็เอาของไปให้มันในห้องแล้วก็ขอโทษมัน...พ่อมันถามว่ามีอะไรกันเพราะเห็นปากมันเจ่อ...ผมเลยเล่าให้พ่อมันฟัง...พ่อมันจะซ้ำมันด้วยกิ่งสน...ผมต้องห้ามไว้แล้วก็บอกว่าจะพาไปขอโทษพี่...แกถึงยอม” หนุ่ยเล่าไปหัวเราะไป
“ลุงผู้ใหญ่แกดีมากเลยนะ...แกไม่เคยเข้าข้างลูกแกเลย...ขนาดพี่ชายไอ้ไข่พาพวกมาเล่นไพ่ที่หลังวัดนะ...แกยังตามตำรวจมาจับซะเลย” หนุ่ยหัวเราะร่าเริง
“อือ...แล้วโดนจับมั้ย...” ธีร์ถาม
“โดนสิพี่...แถมแจ้งตำรวจมาจับวันศุกร์ตอนเย็นๆด้วยนะ...สารวัตรไม่อยู่เลยประกันตัวไม่ได้...ติดตารางอยู่สองวัน...แสบมั้ยล่ะพี่” ความร่าเริงกลับมาอีกครั้ง ธีร์รู้สึกทึ่งเอามากๆกับการจัดการหัวใจ ของหนุ่ย...เมื่อเทียบกับเขาเมื่อหลายปีก่อน... ธีร์ร้องไห้อยู่หลายวัน...ซึมอยู่หลายเดือน กว่าจะทำใจได้...แค่คิดก็เงียบลงอีก...ชายหนุ่มรู้สึกคิดถึง”เขา”ขึ้นมาจับใจ

“เราอยู่หาดใหญ่สักกี่วันดี” ธีร์ถามหนุ่ย
“แล้วแต่พี่...ผมยังไงก็ได้...พี่ทำงานเมื่อไหร่ล่ะครับ...”
“วันจันทร์หน้า”
“นี่วันพฤหัสแล้ว...ผมว่าเรากลับพรุ่งนี้ก็ได้นะ” หนุ่ยอยากให้ธีร์ได้พักผ่อนสักวันหรือสองวัน ก่อนจะเริ่มงาน
“ก็ได้...เรากลับพรุ่งนี้เลยก็ดี” ธีร์บอก
“หรือเราจะแวะชุมพรก่อนสักคืนนึงดี...พี่อยากไหว้ศาลกรมหลวง” ธีร์เสนอ
“ก็ได้ครับ...ผมน่ะสบายอยู่แล้ว...ผมไม่เคยไปเหมือนกัน...ศักดิ์สิทธิ์มากเหรอพี่” หนุ่ยถาม
“ก็แล้วแต่นะ...แต่สำหรับพี่แล้ว...เคยมาไหว้แล้วรู้สึกดีแล้วก็สบายใจ...พี่เลยอยากไปอีก” ธีร์บอก
“ผมอยากจะขออะไรบางอย่าง” หนุ่ยพูด
“จะขออะไร”
“ไม่บอก” หนุ่ยพูดแล้วก็อมยิ้ม...ในตาที่มีแววของความซุกซนฉายประกายเจิดจ้า
“แค่นี้ก็บอกไม่ได้...ไม่อยากรู้ละ” ธีร์ดึงคอเด็กหนุ่มเข้ามากอดไว้ แล้วทั้งสองหนุ่มก็เดินไปที่เคาน์เตอร์เช็คอินของโรงแรม ...

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 25=
เริ่มหัวข้อโดย: ifwedo ที่ 04-09-2009 04:36:14
ตอนนี้ดูน่ารักดีชอบๆๆๆ ไม่หลับไม่นอนรอคุณมาอั๊พนะนี่อิๆๆ มาอั๊พบ่อยๆแบบนี้น๊า o18
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 25=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 04-09-2009 05:54:11
ความผูกพันระหว่างหนุ่ยกับธีร์ค่อยๆเพิ่มมากขึ้นโดยไม่รู้ตัวสินะ
แต่มันคงไม่ลงตัวง่่ายๆมั้ง
อุปสรรคท่าทางจะเยอะ
บวก 1 แต้มนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 25=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 04-09-2009 17:05:04
หุหุหุ

มาจิ้มตอนเย็น
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 25=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 04-09-2009 17:05:50
ความผูกพันกำลังก่อตัวแบบรวดเร็ว

แล้วพี่น้องคู่นี้จะเป็นอย่างรัยต่อนะ

มารอตอนต่อไปดีกว่า

 :z2:   :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 25=
เริ่มหัวข้อโดย: WEERACHOT ที่ 04-09-2009 21:20:09
คิดถึงหาดใหญ่!!!

ปล.เป็นกำลังใจให้คนเขียนแล้วก็คนโพสครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 25=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 05-09-2009 00:13:01
 :z2: :z2: :z2:
เวลาทำให้อะไรเปลี่ยนไปได้ไม่ว่าจะสั้นจะยาวทุกอย่างย่อมเปลี่ยนไปเสอม
หวังว่าสิ่งที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้จะเปลี่ยนแปรและหันเหไปในทางที่ดีกว่าที่เป็น
สานต่อสายใยความผูกพันธ์ให้มันพันเกี่ยวเป็นเส้นใยรูปหัวใจด้วยเถอะ
นิว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 25=
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 05-09-2009 01:27:56
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 25=
เริ่มหัวข้อโดย: wichit14 ที่ 05-09-2009 12:55:17
รอตอนที่ 26 น่ะครับ จะรอลุ้น ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ว่าเมื่อไหร่พี่น้องจะท้องชนกันสักที
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 25=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 05-09-2009 22:10:08
 :n1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 25=
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 06-09-2009 00:56:12
พี่ธีร์ช่างเป็นพี่ชายที่แสนดี




อยากให้พี่มาพาไปกินบ้างอ่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 25=
เริ่มหัวข้อโดย: nithiwz ที่ 06-09-2009 01:00:12
อกหักจากหญิงแล้ว  เหอะๆๆๆๆ

หนุ่ย You can choose the best เหอะๆๆๆๆ

ป.ล.จะขออะไรพี่ธีร์หว่า   :serius2: อยากรู้ๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 25=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 06-09-2009 02:23:04
มารอองค์หญิงฯค่ะ

อยากรู้ว่าอกหักคราวนี้ จะทำให้หนุ่ยกับธีร์รู้ใจกันเพิ่มขึ้นหรือเปล่านะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 25=
เริ่มหัวข้อโดย: hene2526 ที่ 06-09-2009 22:34:56
มารายงานตัวคร้าบบบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 25=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 07-09-2009 03:00:25
26 ชุมพร

“อธิษฐานอะไร...บอกได้รึยัง” ธีร์แอบถาม เขาอยากให้เด็กหนุ่มเผลอตอบ

“ไม่บอก...เดี๋ยวไม่ขลัง” หนุ่ยยิ้ม พลางก้มลงใส่รองเท้า ก่อนจะเดินออกไปยังซุ้มสำหรับจุดประทัดถวาย

“สวยจังเลยพี่ธีร์” หนุ่ยมองออกไปยังทะเลเบื้องหน้า

“อืม...ชุมพรนี่น่าอยู่นะ...พี่อยากมีบ้านริมทะเลสักหลัง” ธีร์บอก

“ไม่เอาที่ระโนดเหรอ”

“ไกลจัง...”

“เงียบดีนะพี่...ผมคิดไว้ว่าถ้าสักวันนึง...ผมพอมีพอเก็บ...ผมจะไปหาซื้อที่ริมทะเลสักผืน...มีครอบครัวเล็กๆ...มีลูกสักสองคน...คงจะมีความสุข” หนุ่ยมองออกไปข้างหน้า กางแขนออกขนานกับพื้น สูดลมหายใจสดชื่นเข้าปอด

“ทำเหมือนโฆษณาเลยนะ” ธีร์แซว

“พี่ธีร์ก็...เสียอารมณ์หมด...กำลังบิ้วอารมณ์ได้ที่เลย” หนุ่ยส่ายหน้าแล้วสองหนุ่มก็หัวเราะออกมา หนุ่ยเดินโอบเอวธีร์มาที่รถ

“พี่ธีร์...ผมขับให้” หนุ่ยยื่นมือออกมาขอกุญแจรถ

“อ่ะ...” ธีร์โยนให้

“ขับลงเขาดีๆนะน้อง...”

“ครับผม...คุณชาย” หนุ่ยทำท่าตะเบ๊ะเหมือนยามหน้าโรงเรียน

“ทำไมทำอย่างนั้นล่ะ...” ธีร์หันมาถาม

“ก็ยามที่โรงเรียนผมเค้าตะเบ๊ะแบบนี้อ่ะพี่”

“เหรอ...เออเพื่อนพี่มันเคยเล่าให้ฟังว่า...น้าชายมันเป็นนายทหาร...เข้าไปทำธุระในห้าง...เจอยามตะเบ๊ะให้...น้ามันดุเลยว่า คุณไม่มีสิทธิ์มาวันทยหัตถ์...เพราะคุณไม่ใช่บุคคลที่อยู่ในเครื่องแบบ...ยามก็งง...กูตะเบ๊ะมาตั้งนานเพิ่งเคยเจอของจริงวันนี้เอง...” ธีร์เล่าให้ฟังก็หัวเราะ

“อ้าว...เครื่องแบบยามไงพี่” หนุ่ยค้าน

“เฮ้ย...ไม่ใช่...เครื่องแบบเป็นของสูงเป็นของพระราชทาน...ให้ข้าราชการสวมใส่...เครื่องแบบยามน่ะไม่ใช่...เห็นมั้ยยามบางคนเอาสายนู่นนี่ไปแขวน... เข็มอะไรต่างๆอีก...ผิดกฎหมายนะ...ไม่ใช่อยากติดก็ซื้อมาติด” ธีร์อธิบาย

“ผมก็เพิ่งรู้นะเนี่ย”

“พี่ก็เห็นยามบางคนเวลาทำความเคารพก็เอานิ้วกลางแตะกลางหน้าผาก...เลยดูตลกเข้าไปใหญ่” ธีร์หัวเราะ

          หนุ่ยขับรถยาวจากชุมพรเข้ากรุงเทพฯเลย เด็กหนุ่มขับไม่เร็วมาก เพราะถนนหนทางไม่ค่อยดี ธีร์เองก็บ่นด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ ถนนเส้นหลักแท้ๆทำไมวิ่งอย่างกับอยู่บนโลกพระจันทร์ จนมาถึงเพชรบุรีนั่นแหละถึงได้มีสภาพเป็นถนนหน่อย เจอแบบนี้บ่อยๆรถพังหมด เครื่องในก็พลอยสั่นไปด้วย

...........................................

          เทอมนี้หนุ่ยขึ้นม.หกเป็นพี่ใหญ่ในโรงเรียนแล้ว เขากับเพื่อนในแก๊งก็สนุกสนานกันดี รวมทั้งน่านด้วยที่เข้ามาในชีวิตเขา ราวกับเป็นเงาตามตัวเลยทีเดียว หนุ่ยยังคงให้ความสนิท บางครั้งก็ดูเหมือนเกินเลยแต่หนุ่ยเองนั้นไม่ได้คิดอะไรที่มากกว่าเพื่อน

“เฮ้ยพวกมึง...สอบปลายภาคเสร็จ...กูว่าพวกเราน่าจะไปเที่ยวกันหน่อยนะ”

“เพื่อนพ่อกูเค้ามีรีสอร์ทอยู่ที่เมืองกาญจน์” ไอ้แคนเสนอ

“ที่ไหนล่ะ...” น่านถาม
 
“วังสิงห์” แคนบอก

“โหย...ผีดุจะตาย...” ปรีย์แจมขึ้นมา

“ผีพ่อมึงสิ” แคนหันมาด่า

“...มึงรู้ได้ไงว่าผีดุ” ทีมหันมาถาม

“ก็...ก็...มันใกล้ปราสาทหินเก่าๆไม่ใช่เหรอ...มันก็น่าจะมีนะ...” ปรีย์เสียงอ่อย

“ไอ้เวรเอ้ย...อยู่บ้านไปเถอะมึง...มึงไม่ต้องไปนะไอ้ปรีย์” อ้นว่า

“ไม่เอา...กูไปด้วย...ไม่มีกูพวกมึงจะแกล้งใครล่ะ...” ปรีย์ออดอ้อนพลางเขย่าแขนป้อ

“ไอ้ป้อ...ช่วยกูด้วยสิ” ป้อมองหน้า...

“มึงก็หุบปากซะมั่งสิ...พูดอะไรไม่เป็นมงคลเลย” ป้อส่ายหน้าอย่างระอาใจ

“เออ...กูไม่พูดก็ได้” ปรีย์นั่งเงียบๆฟังเพื่อนๆวางแผน

“สรุป...พวกเราสอบเสร็จแล้ววันรุ่งขึ้นก็เดินทางได้เลย...” หนุ่ยบอก

“ไป...ไปกลับบ้านอ่านหนังสือสอบ...” ปรีย์ลุกขึ้น

“โหไอ้ปรีย์...มีสาระเป็นกับเขาด้วย” แคนประชดประชัน

“ไปกลับบ้านเถอะ...” หนุ่ยหันมาหาน่าน...เขาสังเกตเด็กหนุ่มว่าทำไมเงียบผิดปกติ ขณะที่ทุกคนลุกออกจากม้าหินไปกันหมดแล้ว หนุ่ยหันมามองน่าน...

“น่านเป็นอะไรรึเปล่า” หนุ่ยถาม

“เรา...เออ...เราก็อยากไปด้วยนะ...แต่...” น่านตะกุกตะกัก

“มีอะไรรึเปล่าน่าน...” หนุ่ยนั่งลงพลางโบกมือให้สัญญาณเพื่อนให้ไปก่อน

“เราไม่ค่อยมีเงินน่ะ...ตอนนี้ป๊าเอาเงินไปลงทุนกับเพื่อนทำร้านอาหาร...แต่มันไม่ดี...เราต้องช่วยกันประหยัด...” น่านก้มหน้า

“โธ่...คิดว่าอะไร...” หนุ่ยยิ้มออกมา

“..........” น่านเงียบ...เด็กหนุ่มเงยหน้ามาสบตาหนุ่ย....

“น่านไปเถอะ...ค่าใช้จ่ายของน่านเดี๋ยวหนุ่ยออกให้”...หนุ่ยยิ้มให้น่าน

“ไม่เอาหรอกหนุ่ย...เราเกรงใจ...จะให้เราไปโดยไม่ให้เราออกเงินเลยไม่ได้หรอก...” น่านพูดเบาๆแล้วก้มหน้าลง

“น่าน...ไปเหอะ” หนุ่ยคะยั้นคะยอ

“หนุ่ย...เราไม่ได้เป็นอะไรกัน...หนุ่ยจะมาออกเงินให้เราทำไม...” น่านยังปฏิเสธ ใจหวนคิดไปถึง”วัช”ถ้า”วัช”อยู่น่านคงจะไม่มีความรู้สึกแบบนี้...แต่ถ้า”วัช”อยู่ ...น่านก็คงจะไม่ได้ไปไหนอยู่ดีนั่นแหละ

“เราเป็นเพื่อนกันไง...” หนุ่ยบอก

“.........” น่านเงียบ มองเข้าไปในแววตาหนักแน่น มั่นคงและจริงใจของหนุ่ย

“น่าน...ถ้าไอ้พวกนั้นมันรู้...มันคงไม่ยอมเหมือนกัน...” หนุ่ยจับมือน่านแล้วดึงขึ้นมา น่านลุกตามแล้วทั้งสองก็พากันเดินออกมา

“ยังไงเราก็ไม่สบายใจอยู่ดี” น่านบอกความรู้สึกในใจ

“เอาอย่างนี้...ถ้าน่านไม่ไป...พวกเราก็จะไม่ไป...” หนุ่ยพูดเสียงเฉียบขาด

“หนุ่ยอ่ะ...” น่านถอนหายใจหนักหน่วง

“ไม่ต้องกังวลเลยนะ...” หนุ่ยก้าวเดินพลางหันมามองหน้าเพื่อน

“นะนะ...ไปด้วยกัน...” หนุ่ยยิ้มกว้าง

“...............”

“เอางี้...น่านเอาเงินหนุ่ยไปก่อน...แล้วไปเที่ยวกัน...น่านมีเมื่อไหร่ค่อยเอามาคืน”

“............”

“ดีมะ...” หนุ่ยถาม

“ก็ได้...” น่านพยักหน้าแล้วยิ้ม

“เท่านั้นแหละ...” เด็กหนุ่มทั้งสองยิ้มออกมาได้...พร้อมๆกัน หนุ่ยเดินเอาแขนโอบรอบคอน่านแล้วเดิน รูปร่างต่างกันลิบ น่านตัวบางๆเล็กๆ หนุ่ยนั้นสูงกว่าน่านมากรูปร่างก็หนากว่า เดินบังกันแทบมิด น่านรู้สึกอบอุ่นขึ้นมามากมายทีเดียว ความรู้สึกแบบนี้เด็กหนุ่มห่างเหินมานานแล้ว .....
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 25=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 07-09-2009 03:03:36
กลับบ้านไปเลือกตั้งนิดหน่อยค่ะ  ขอโทษที่ไม่ได้บอกก่อน  ขอโทษจริง ๆ ค่ะ 

ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจที่มีให้เสมอมานะคะ  ขอบคุณมากค่ะ   

/ หอบกำลังใจไปให้ต้นคุง   :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 25=
เริ่มหัวข้อโดย: tutu ที่ 07-09-2009 03:10:04
 :L2: :L2: :L2:

น่านอย่าหวั่นไหวดิ

สนุกดีจะรออ่านอีกนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 25=
เริ่มหัวข้อโดย: ifwedo ที่ 07-09-2009 03:12:48
ขอบคุณมากกจ้า ม่ายพี่ธีร์เจอคู่แข่งอีกคนแล้วอิๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 25=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 07-09-2009 03:34:23
ที่แท้ก็กลับบ้านไปเลือกตั้งนี่เอง
ขอบคุณนะคะที่กลับมาแล้วก็มาโพสต์ให้เลย
บวก 1 แต้มให้ค่ะ

น่านห่างเหินความรู้สึกแบบนี้มานาน
แล้วจะกลายเป็นติดใจความรู้สึกแบบนี้จากหนุ่ยหรือเปล่าเนี่ย
ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลย สงสารธีร์

ปล องค์หญิงฯลืมเปลี่ยนชื่อตอนนะคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 25=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 07-09-2009 14:39:19
มารอตอนต่อไปครับ

 :z2:   :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 25=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 07-09-2009 23:33:47
27 สายใต้ใหม่

        ในขณะที่เด็กหนุ่มสองคนเดินออกจากโรงเรียน พลันสายตาคู่หนึ่งแอบมองมาจากริมรั้วหลังต้นไม้ใหญ่ เจ้าของดวงตาคู่นั้นมองมาด้วยแววตาที่เศร้าสร้อยและผิดหวัง นึกถึงแค่ว่าทำไมเขาไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิด”น่าน”แบบนั้นบ้าง เขาไม่กล้า...หรือ...กลัว...หรืออะไรกันแน่ เด็กหนุ่มสับสน...และกังวลเอามากๆว่าทั้งสองคนคุยอะไรกัน เด็กหนุ่มก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม... เขาถึงคิดชอบเพื่อนคนนี้ขึ้นมา... และชอบมาตั้งแต่เมื่อไหร่เขาเองก็ไม่รู้ได้...

“....พลั่ก...” เสียงชนวัตถุนิ่มๆหยุ่นๆคล้ายคน แต่เสียงนั้นทำเอาเขาต้องสะดุ้งขึ้นมา

“เอ้า...เดินดีๆสินายปรเมษ...ไม่ดูตาม้าตาเรือเลย” อาจารย์ทิพาภรณ์ตวาดดังลั่น

“โอยย...ขอโทษครับอาจารย์..ผมไม่ได้ตั้งใจขอโทษครับ” ปรเมษไหว้ปลกๆ

“แหม...ยังกับคนอกหัก...”อาจารย์ยังแว้ดๆๆ แต่ไอ้แว้ดๆๆของอาจารย์ทำเอาเขาสะดุ้ง ยังไม่อกหักซะหน่อย แค่แอบรักเพื่อนสนิทเท่านั้นเอง

.............................................................


          ที่สถานีขนส่งสายใต้(ใหม่สุดๆ) แคน หนุ่ย ป้อยืนคอยเพื่อนอยู่ในอาคารที่พักผู้โดยสาร ส่วนทีม ปรีย์และอ้นไปซื้ออะไรกินเล่นที่เซเว่น ใกล้ๆ ด้วยความกว้างของอาคารและปรับอากาศทั้งหมดจึงทำให้ไม่ร้อน เหมือนอยู่ในห้างสรรพสินค้าดีๆนี่เอง

“ไอ้น่านยังไม่มาอีกเหรอวะ” เสียงแคนถามอย่างร้อนรน

“เดี๋ยวสิ...เดี๋ยวก็มา...” หนุ่ยบอก

“โทรตามสิ...” แคนเริ่มอารมณ์เสีย เพราะน่านเสียเวลานานแล้ว

“น่าน...น่านอยู่ไหนแล้ว” หนุ่ยส่งเสียงลงไปในโทรศัพท์

“เออ...เออ...ไอ้แคนมันโวยวายใหญ่แล้ว” หนุ่ยบอก

“...เออ...” หนุ่ยวางสาย

“เสียงน่านมันไม่ดีเลยว่ะ...” หนุ่ยแสดงสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด

“ทำไมวะ...น่านเป็นอะไร” ป้อถามอย่างร้อนรนไม่แพ้กัน

“ไม่รู้สิ...มันบอกว่าเดี๋ยวเล่าให้ฟัง” หนุ่ยบอกป้อ พอดีกับที่พวกที่ไปซื้อของเดินกลับมา จึงไม่เห็นแววตาที่สลดลงของป้อ เขาอยากให้น่านมาเร็วๆ ไม่รู้เพราะอะไร เขาเป็นห่วงน่านเอาจริงๆ หัวใจของป้อมันกังวลตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว กลัวน่านจะไม่มา

“เฮ้ย...ซื้ออะไรมาเยอะแยะ...” แคนหันไปมองปรีย์ ทีมแล้วก็อ้น ที่เดินถือของมาพะรุงพะรัง

“เสบียง...” ไอ้ปรีย์ยิ้ม

“ไอ้ควายเอ้ย...ที่นู่นก็มีเซเว่น...พวกมึงแม่งงี่เง่าฉิบเป๋ง...ทำไรไม่ปรึกษา” แคนโวยอีกรอบ

“กูไม่รู้นี่...คิดว่าบ้านป่าเมืองเถื่อน...” ปรีย์พูดหน้าตาเฉย

“ซื้อมาแล้วก็ช่วยกันถือ...หน่อย...นะเพื่อน” อ้นพูด

“อ่ะ...โวยวายนักเอาถุงนี้ไปถือแล้วกัน” ปรีย์เอาถุงใส่น้ำสิงห์ขวดใหญ่หกขวดส่งให้แคน

“โอย...พระเจ้า...ซื้อน้ำมาอีก....” แคนกุมขมับทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น

“มึงเอาอะไรคิดเนี่ย” แคนมองถุงใส่น้ำสิงห์หกขวด...ตาละห้อย

“นี่สายใต้ใหม่เองนะโว้ย...พวกมึงซื้อกันขนาดนี้...ได้หอบกันซี่โครงบานแน่” แคนไม่เลิกบ่น จนหนุ่ยเริ่มหัวเราะกับอาการสติแตกของแคนและความกวนตีนของเพื่อนๆในกลุ่ม

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวกูถือเองก็ได้” หนุ่ยบอกเพื่อตัดปัญหา

“เออ...เดี๋ยวช่วย” ป้อบอก

“นั่นไอ้น่านรึเปล่าวะ...” อ้นถามเมื่อเห็นน่านเดินมาลิบๆ

“อ้าว...กระเป๋าเสื้อผ้ามันไม่มีรึไง...อย่าบอกนะว่าไม่ไป...” ทีมตั้งข้อสังเกต

“น่าน...” หนุ่ยครางในใจ เกิดอะไรขึ้นวะ

“ไอ้น่านมึงไม่ไปเหรอ...” อ้นถามเมื่อเห็นน่านเดินมาถึงในระยะที่พอจะได้ยิน

“..............” น่านมองมาที่หนุ่ยคนเดียว

“ไปสิ...” น่านตอบเบาๆ

“อ้าวแล้วกระเป๋าเสื้อผ้าล่ะ” แคนถาม

“หยิบไม่ทัน...คว้ากระเป๋าตังได้ก็ออกมาเลย...” ทุกคนมองหน้าน่านเป็นตาเดียวกัน

“เกิดอะไรขึ้น” หนุ่ยถาม

“โดนด่าเละเลย...จะโดนตีเอาด้วยสิ...ป๊าหาว่าเราเที่ยวเก่ง...ไม่มีเงินแล้วยังจะไปเที่ยวอีก...” น่านตาแดงเหมือนจะร้องไห้ เพื่อนๆเดินเข้ามาปลอบ

“ไม่เป็นไรน่าน...ไม่มีก็ไปได้...เดี๋ยวเอาเสื้อผ้าพวกเราใส่ก็ได้...” แคนบอก น่านหันมายิ้มให้ทุกคน น้ำตาไหลออกมาเด็กหนุ่มเอาแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตา

“ไม่เอา...น่านไม่ต้องร้องไห้...พวกเราก็มีกันอยู่เท่านี้....เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา...ขอให้น่านไปกับพวกเราเถอะ” ป้อพูดบ้างหลังจากเงียบมานาน เขามักถูกมองข้ามไปเสมอ แต่ครั้งนี้เขาอยากเข้าไปปลอบเหลือเกิน แต่น่านมักจะคิดถึงแต่หนุ่ย... อะไรก็หนุ่ย... อะไรก็หนุ่ย

“เงินเราพอมี...” น่านบอกเพื่อน พลางมองหน้าหนุ่ย ก็เงินที่หนุ่ยให้ไว้วันก่อน

“ไอ้ปรีย์มึงไปเซเว่นทีสิ...ซื้อกางเกงในสักสองสามตัว...เอาไซส์อะไรดีวะ” แคนหันมาสั่ง

“อ้าวไหนมึงบอกที่นู่นก็มีเซเว่นไง...ซื้อที่นู่นก็ได้นี่” ปรีย์ย้อนทันควัน

“ไอ้สัดเอ้ย...” แคนหันไปทำท่าจะถีบ เพื่อนๆต่างหัวเราะกันออกมา บรรยากาศพลอยดีขึ้น น่านเช็ดน้ำตาทั้งที่หัวเราะไปด้วย หนุ่ยมองหน้าน่านอย่างสงสัย “มันต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่ๆ”

“เดี๋ยวกูไปซื้อตั๋วก่อน...” แคนเดินเข้าไปในช่องจำหน่ายตั๋วสักพักแล้วก็เดินออกมา

“เฮ้ยดูดิ...กลุ่มนั้นน่ะ...” อ้นมองไปที่กลุ่มเป้าหมาย เป็นนักเรียนหญิงกลุ่มเล็กๆเจ็ดแปดคน ซึ่งคงกำลังจะคอยเพื่อนอยู่เหมือนกัน

“เดินมาแล้ว....เดินมาแล้ว” ทีมส่งเสียงปรามเพื่อนๆ

“ไปเที่ยวกันเหรอครับ...” อ้นทักทายเสียงอ่อนเสียงหวาน

“มารับแฟน” เสียงห้วนสั้นตอบกลับมา แล้วเดินหนีไปอีกทาง

“....แป่ว....”

“ใครร้องแป่ววะ” อ้นถาม

“.............”

“ไอ้เชี่ยเอ้ย...เสียความมั่นใจหมดเลยกู” อ้นบ่นแล้วนั่งลงกับพื้น

“ก็ดีแล้วไง...เค้าก็บอกแล้วว่ามารับแฟน...” หนุ่ยพูดแล้วยิ้ม

“จะได้ไม่ไปเหยียบตีนใครเข้า” แคนบ่นออกมาอีกคน

“จีบผู้หญิงแท้จริงแสนลำบาก” อ้นพูดลอยๆออกมาแล้วส่ายหัวไปมา

“ลำบากมากกูว่าจีบกันเองดีกว่าว่ะ” ในขณะที่ทุกคนเงียบ เสียงป้อทะลุกลางปล้องออกมา แถมป้อยังชำเลืองมาที่น่านอีก... แต่น่านไม่รู้ตัวเพราะมัวแต่คุยโทรศัพท์อยู่ เพื่อนคนอื่นได้แต่หัวเราะออกมา...ไม่มีใครคิดหรอกว่ามันจะมีความหมายอะไร...ป้อคงพูดเล่นๆสนุกๆ แต่มีอยู่คนนึงที่เริ่มสังเกตเห็นตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

 “มองอะไรวะไอ้หนุ่ย...” ป้อต่อยเบาที่ต้นแขนหนุ่ย...

“เปล่านี่...” หนุ่ยลอยหน้าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทำเอาป้อเขินจนหน้าแดง

“เฮ้ย...เดินกลับมาแล้วเว้ย...ไอ้อ้นเร็ว...” ทีมพูดขึ้นมาพลางสะกิดอ้น

“เชี่ยทีม...มึงไม่เห็นเหรอ...มันมากับแฟนมัน”อ้นดึงแขนทีม เด็กกลุ่มนั้นเดินผ่านมาพร้อมกับผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกันอีกคนนึง

“ทำไมหน้ามันผ่องๆวะไอ้ทีม”อ้นตั้งข้อสังเกต

“ไหนวะ...”ทีมมองไปที่กลุ่มผู้หญิงสามสี่คนที่กำลังเดินกลับไปหาเพื่อนที่คอยอยู่ฝั่งตรงข้าม

“แม่งมองมาที่มึงด้วย”แคนบอก

“โดนตีนแน่มึง...เสือกไปแซวแฟนมัน” ไอ้ทีมพูดออกมา

“ไอ้เชี่ย...มันเดินตูดบิดจังเลยวะ...ตุ๊ดแน่ๆเลย...” อ้นหัวเราะออกมาพลางสะกิดให้เพื่อนดู

“มันเดินมาหามึงแน่เลย...” เด็กผู้ชายในกลุ่ม...คนนั้นเดินตรงเข้ามาหาอ้น

“ขอเบอร์หน่อยได้มั้ยครับ...”เด็กหนุ่มตาหวานตูดบิดเอ่ยขึ้น

“ใครให้มาขอครับ...” อ้นเสียงสั่นๆ

“เพื่อนครับ...คนนู้น” เด็กหนุ่มที่สาวเกือบแตกกรีดนิ้วแล้วชี้ไปที่เพื่อนที่ยืนอยู่

“เสื้อส้มน่ะ” เด็กผู้หญิงเสื้อส้มยืนหันข้างให้ กำลังคุยกับเพื่อนอยู่พลางเหลือบหางตามองมาที่อ้น

“จริงรึเปล่า...” อ้นยังไม่หายสั่น

“จริงสิ...เค้าบอกว่านายน่ะน่ารักดี...” เด็กหนุ่มตาหวานพูด

“เพื่อนนายอ่ะเรียนที่ไหนครับ”อ้นถาม

“ศอ.” ตาหวานตอบ

“ศุนย์อพยพ...” อ้นปากหมาได้อีก...

“ศรีอยุธยา...ศูนย์อพยพอะไรล่ะ...” เด็กตาหวานตอบพลางค้อนแทนเพื่อน

“แล้วนายล่ะเรียนที่ไหน...”

“กรุงเทพคริสเตียน” อ้นตอบ

“จะให้มั้ยเบอร์อ่ะ...” เด็กหนุ่มหันไปมองเพื่อนอีกทีกลุ่มเพื่อนเริ่มขยับตัวเหมือนกับจะไปจากตรงนั้น

“089-773xxxx “ อ้นบอกเบอร์

“ขอบคุณนะจุ๊บๆ...” เด็กตาหวานขอบคุณแล้วหันหลังวิ่งกรีดกรายกลับไป

“ร้ายนะเมิง...มีคนมาขอเบอร์ด้วย...ไอ้อ้น...” แคนแซว...อ้นหน้าบาน...หารู้ไม่ว่าจะมีปัญหาจะตามมา...ยุ่งเป็นลิงแก้แหเลยทีเดียว

“ไปเถอะ...เดี๋ยวรถออก” แคนลุกขึ้นหยิบสัมภาระเตรียมตัว


          บนรถปรับอากาศกรุงเทพฯ-กาญจนบุรี น่านนั่งคู่กับหนุ่ยแถวหลังเพื่อนๆ โดยมีเสียงแซวแว่วมาว่า เรียนก็นั่งคู่กัน เที่ยวยังนั่งคู่กันอีกแต่ทั้งสองก็ไม่ได้สนใจอะไร หนุ่ยมองไปที่ป้อซึ่งมีออกอาการเหม่อๆ ในขณะที่ไอ้ปรีย์นอนอิงไหล่ป้ออยู่ในเก้าอี้แถวหน้า

“เล่าให้ฟังหน่อยสิ...เมื่อเช้ามีอะไร...” หนุ่ยถามน่านเบาๆ

“ก็อย่างที่เล่านั่นแหละ”

“แต่มันมากกว่านั้น...ป๊าอารมณ์ไม่ดีมากกว่า...ป๊าจับได้ว่าเพื่อนที่หุ้นกันทำร้านอาหารโกงเอา...” น่านบอก

“อ้าว...”

“เงินเป็นล้านๆเลย...ป๊าโมโห...เลยพาลมาลงกับน่าน...ซวยจริงๆเลย...เอาอะไรมาไม่ได้สักอย่าง” น่านก้มหน้าน้ำตาไหลออกมาอีก

“น่านเครียดจังเลย...หนุ่ย...” น่านบอก

“เฮ้อ..” หนุ่ยถอนหายใจใหญ่

“บางทีเรื่องของผู้ใหญ่ก็ทำให้เราเครียดได้เหมือนกัน...”

“เมื่อก่อนนะ...หนุ่ยสาหัสกว่านี้เยอะ...” หนุ่ยเล่าให้น่านฟังถึงเรื่องของตัวเองเมื่อครั้งที่อยู่ระโนด ทั้งเรื่องพ่อ เรื่องปู่ เรื่องย่า...และเรื่องแต้ว


“เรื่องของหนุ่ยนี่...หนักกว่าเราเยอะเลย...หนุ่ยทำใจได้ยังไง...” น่านถาม

“ไม่รู้สิ...เราเครียดเหมือนกันนะ...แต่ก็พยายามไม่คิดมาก...มองโลกในแง่ดี...เราต้องเปิดโอกาสให้กับตัวเราเอง เราต้องอยู่ให้ได้” หนุ่ยมองตาน่าน อย่างลึกซึ้งราวกับจะถ่ายทอดความรู้สึกห่วงใยไปให้ ....


หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 27=
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 08-09-2009 00:03:16
ตกลงระหว่างน่านกับพี่ธีร์นี่..ใครกันหนอจะเป็นคู่ตัวจริงของหนุ่ย :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 27=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 08-09-2009 00:09:39
 :z2: :z2: :z2:
เลือกไม่ถูกเลยว่าจะเชียร์ใครดีเฮ้อคิดแล้วหนักใจไปกับหนุ่ย
แล้วจะรออ่านต่อน๊า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 27=
เริ่มหัวข้อโดย: nithiwz ที่ 08-09-2009 01:04:55
 :m16: เริ่มจะมี something wrong กับหลายคนนะหนูหนุ่ย  ทั้งน่าน ทั้งพี่ธีร์

 :-[ เมื่อไหร่จะรักกันสักทีอ่ะคร้าบบบบบบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 27=
เริ่มหัวข้อโดย: Vesi ที่ 08-09-2009 01:06:46
หนุ่ย นายช่างเป็นมนุษย์แสนดีซะจริงๆ เลย ห่วงคนอื่นเขาไปทั่ว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 27=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 08-09-2009 01:30:30
จากคนที่อาภัพ กลับกลายมาเป็นคนที่ดี

ให้กำลังใจเพื่อน ดูแลเพื่อน เรื่องมันจะเป็นยังงัยต่อนะ

 :z2:   :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 27=
เริ่มหัวข้อโดย: WEERACHOT ที่ 08-09-2009 01:52:47
หนุ่ย...ความรู้สึกทำไมไม่มีแสดงออกมาหน่อยมาชอบใคร์ ลุ้นน่ะโว้ย

ปล.เป็นกำลังใจให้คนโพส คนเขียนครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 27=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 08-09-2009 03:47:05
เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
ตัวแปรเริ่มเยอะึขึ้นทั้งจากคนและเหตุการณ์
ดูไม่ออกเลยว่า หนุ่ยจะเป็นตัวละครเอกคู่กับใคร
แถมยังมี ป้อ กับ อ้น ที่เริ่มมามีบทบาทเพิ่มอีก
ท่าทางจะอีกยาว
บวก 1 แต้มนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 27=
เริ่มหัวข้อโดย: tutu ที่ 08-09-2009 20:35:15
อึมครึมในอารมณ์มาก  รอต่อไป
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 27=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 09-09-2009 03:53:53
28 รีสอร์ทแสนเศร้า

          เด็กหนุ่มทั้งสองคุยกันมาเรื่อยจนรถวิ่งเข้ามาสู่ตัวเมืองกาญจน์ เด็กๆเช่าสองแถวไปที่พักทันที ห้องพักที่จัดไว้ให้เป็นห้องนอนรวม นอนได้ประมาณหกคน ซึ่งไม่พอดีกับเด็กๆทั้งหมดซึ่งมากัน 7 คน ต้องมีสองคนนอนด้วยกัน

“หนุ่ยนอนที่พื้นก็ได้...น่านนอนเถอะ” หนุ่ยขยับตัวลง
“ไม่ต้องหรอก...เดี๋ยวน่านไปนอนกับป้อก็ได้” น่านบอก
“เออ...น่านมานอนนี่เถอะ” ป้อร้องบอกมาจากเตียงที่อยู่ริมห้อง
“น่านนอนข้างในนะ...เดี๋ยวป้อจะนอนริมด้านนอกเอง...” ป้อบอกพลางขยับที่ให้น่าน
“ขอบคุณนะป้อ” น่านยิ้มให้ป้อ แค่นี้ก็ทำเอาหัวใจเด็กหนุ่มสะท้านไปถึงไหนๆแล้ว

“แล้วเราจะทำอะไรกันมั่ง...” อ้นถาม
“คอยโทรศัพท์ไง...ให้เบอร์เค้าไปแล้วไม่ใช่เหรอมึง” ทีมพูด
“ไอ้เชี่ย...ใครวะจะบ้าขนาดนั้น...ให้ไปแป๊บเดียวเอง...เค้าไม่กล้าหรอก...กูว่าเค้าดูขี้อายยังไงไม่รู้” อ้นยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู แล้วทำคิ้วขมวด “ใครยิงเข้ามาวะ...” มีเบอร์โชว์มา อ้นกดโทรศัพท์ออกไปตามเบอร์ที่เรียกเข้ามาทันที

“สวัสดีครับ...เมื่อกี้นี้ไม่ทราบว่าใครโทรมาเบอร์ผมครับ” อ้นกรอกเสียงลงไป
“เอ่อ...ให้เบอร์ใครไปล่ะคะ” เสียงหวานๆของน้องเสื้อส้มแน่เลย ทีมกระโดดจากเตียงตัวเองลงมาที่เตียงอ้น แทบจะทับไข่กันเลยทีเดียว
“ใช่รึป่าววะ” ทีมทำเสียงกระซิบ อ้นพยักหน้าบอกว่าใช่แล้วคุยต่อ
“เอ่อ...ครับผมชื่ออ้นครับ”
“ทราบแล้วค่ะ”
“ทราบได้ยังไงครับ”
“อ่อ...เพื่อนบอกค่ะ”
“อืม...คุณชื่ออะไรครับ”
“ส้มค่ะ”
“โหยย...ชื่อเดียวกับสีเสื้อเลย” อ้นหน้าแดงแป๊ด...ทีมเงี่ยหูฟังข้างๆด้วยใจอันจดจ่อ

“อ้น...”
“ครับ”
“เสาร์หน้าว่างมั๊ย”
“ว่างครับ”
“อยากเจอจังเลย”
“ที่ไหนดี” อ้นหน้าแดง ซาบซ่านไปหมดทั้งตัวทั้งใจ
“สยามก็ได้”
“ได้ได้...แล้วโทรมาหานะ...นี่เบอร์ส้ม”
“คร๊าบบบ” อ้นวางหู เอาโทรศัพท์แนบอก ถอนหายใจรุนแรงหนักหน่วง...ความรักวิ่งเข้าชนเต็มประตูเลย คิดถึงอาทิตย์หน้า...จะแต่งตัวยังไง เสื้อสีส้มดีกว่า เพราะถ้าส้มถามจะได้บอกว่ามีแต่ส้มทั้งตัวทั้งหัวใจ.... (สำนวนบ้านนอกได้อีก) คิดแล้วมีความสุข...โหยยย...ไม่คิดว่าจะเจอกามเทพแผลงศรให้ขนาดนี้...หัวใจมันอิ่มเอม...

“ไอ้อ้น...เป็นเชี่ยอะไรมึง...นอนยิ้มอยู่ได้...ชาวบ้านเค้าออกไปข้างนอกกันหมดแล้ว” เสียงทีมเรียกยังไม่ทำให้สะดุ้งเท่าแรงถีบที่กระแทกลงมาที่สีข้าง...”พลั่ก”...
“อูยยย...ไอ้บ้านี่...ไอ้ทีมมึงถีบกูทำไม...สาดดดนี่....กูเจ็บนะเมิง” อ้นลงไปนอนแอ้งแม้ง แต่ยิ้มเผล่อยู่ข้างเตียง
“นอนฝันกลางวันอยู่ได้...คนอื่นมันไปเล่นน้ำกันหมดแล้ว...กูมาปลุกมึงเนี่ย...จะไปด้วยกันรึเปล่า” ทีมเสียงดังพลางคุ้ยหากางเกงว่ายน้ำในกระเป๋า
“เล่นน้ำสระเหรอ...” อ้นถาม
“เออ...เล่นที่แม่น้ำเดี๋ยวได้จมตาย” ทีมถอดกางเกงนอก กางเกงในแล้วใส่กางเกงว่ายน้ำอย่างรวดเร็ว พลางเดินออกจากห้อง
“ไปด้วยดิ...กูไม่มีกางเกงว่ายน้ำเค้าให้ลงป่าววะ” อ้นถอดกางเกงขายาวลงมาสะบัดออกอย่างรวดเร็วเหลือแค่บ๊อกเซอร์ตัวเดียว “ไปทั้งอย่างนี้แหละวะ”
“รอด้วย...” อ้นวิ่งออกจากห้องตามทีมไป

          ที่สระว่ายน้ำเด็กหนุ่มทั้งเจ็ดคนเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน อ้นกับทีมตามมาทีหลังวิ่งมาแต่ไกลแล้วกระโดดลงน้ำพร้อมกัน ทีมใส่กางเกงว่ายน้ำสีดำรัดเปรี๊ยะ แต่อ้นกระโดดลงไปทั้งบ๊อกเซอร์ น้ำกระจายขึ้นมาที่ขอบสระเปียกไปหมด เด็กๆเล่นลิงชิงบอลกัน แน่นอนคนที่ตัวเล็กอย่างน่านกับป้อเป็นลิงอยู่บ่อยๆ จนเหนื่อย...ทั้งสองเหนื่อยกว่าใครๆ จนเกือบค่ำทั้งหมดจึงขึ้นมาจากน้ำแล้วก็ไปทานอาหารกันที่ห้องอาหารของทางรีสอร์ท  แคนให้จัดอาหารไว้แล้ว หลังจากทานอาหารเย็นแล้วทั้งหมดมานั่งคุยนั่งเล่นกันที่หน้าบ้านพัก

          ธรรมชาติตอนเย็นย่ำค่ำลง ลมพัดมาแผ่วๆใบไม้พลิ้วไหวล้อลมอยู่ ทีมเอากีต้าร์ออกมาเกาเพลงเบาๆ เรื่องถนัดมันอยู่แล้ว ทีมเป็นนักดนตรี พ่อมันชอบเล่นดนตรี ส่วนปรีย์นั่งข้างๆร้องตาม หนุ่ยกำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับธีร์

“ครับพี่...ไม่มีปัญหาครับ”
“..........”
“ขอบคุณครับ...” หนุ่ยวางหูไปแล้วเดินเข้ามาร่วมวงร้องเพลงกับเพื่อน
“พี่ธีร์โทรมาเหรอ” น่านถามพลางเช็ดผมด้วยผ้าขนหนูผืนเล็กๆ เสื้อตัวโคร่งของหนุ่ย กางเกงขาสั้นของป้อ เพื่อนเอาเสื้อผ้ามาแบ่งให้ใส่ ส่วนเสื้อผ้าที่ใส่มานั้นเอาไว้ใส่กลับ
“อืม...พี่ธีร์ถามว่าขาดเหลืออะไรให้บอก”
“บอกยังไง...” น่านถาม
“ก็พี่เค้าจะให้ลูกน้องซื้อเข้ามาให้” หนุ่ยบอก
“ไอ้ทีม...กูว่ามึงน่าจะเอากลองชุดมาด้วย”ปรีย์พูดพลางกระดกเบียร์
“เอามาให้พ่อมึงตีเหรอ...แค่นี้ก็ขนกันเหมือนกับจะย้ายบ้านอยู่แล้ว...ไหนจะน้ำเปล่าหกขวดที่ขนมาจากสายใต้อีก...” ทีมด่าเป็นชุดแถมกัดปรีย์อีกหนึ่งดอก
“ด่ากูอีก...เดี๋ยวกูจะเอาไปอาบให้หมดเลย” ปรีย์พูดงอนๆ
“ไม่ต้องกัดกัน...น้ำแค่หกขวด...ล้างKก็หมดแล้ว” อ้นพูด
“Kมึงใหญ่ขนาดนั้นเลยไอ้อ้น...ไหนกูดูสิ” ปรีย์กำลังจะเอื้อมมือไปจับเป้ากางเกงอ้น แต่ไม่ทันไอ้อ้นถกกางเกงลงมาให้ดูซะก่อน หัวห้อยออกมาเหี่ยวๆ ขาวๆเหมือนตัวมัน...
“แค่เนี้ยทำคุย...” ปรีย์พูดทำปากเบะๆเล็กน้อย
“อ่ะ...” แคนยื่นเบียร์มาให้หนุ่ย
“ขอบใจว่ะ” หนุ่ยรับมาดื่มแบบจิบๆ เพราะเพิ่งเริ่มดื่ม เขาเองก็ดื่มไม่เก่ง เคยแอบย่ากินตอนงานวันเกิดเพื่อนที่ระโนดและดื่มกับพี่ธีร์บ้าง...พี่ธีร์บอก ”หัดไว้บ้างเผื่อเข้าสังคม” หนุ่ยจำขึ้นใจ เลยซัดอักๆลงคอไปอีก เสียงกีต้าร์เล่นเพลงที่มันขึ้นเรื่อยๆประกอบกับเบียร์ที่พร่องลงไป เด็กๆสนุกสนานกันมาก จะทำอะไรไม่มีใครว่า ถึงจะนอกหูนอกตาผู้ใหญ่แต่ก็ไม่มีใครออกนอกร่องนอกรอยเลย แค่เบียร์กับสปายอย่างเดียวเขาก็รู้สึกว่ามันมากเกินไปแล้ว

“ป้อ...หน้าแดงเชียว...” น่านทักป้อ แต่ตัวเองก็จิบสปายเรด หน้าขาวใสแดงแป๊ดเหมือนกัน
“น่านก็แดง...เขินเหรอ...” ป้อถามพลางลงมานั่งข้างๆ กลิ่นหอมของยาสระผมบนหัวของน่าน ทำเอาเด็กหนุ่มเคลิ้ม เบียร์นิดหน่อยก็ทำให้ป้อกล้าขึ้นมาบ้าง...อย่างน้อยก็กล้าที่จะคุย
“หอมอะไรอ่ะน่าน” ป้อแกล้งถาม
“หอมอะไรเหรอ...” น่านหันหน้ามาถาม
“ไม่รู้สิ” กลิ่นเหมือนกับ ป้อทำจมูกฟุดฟิดแล้วไล่ดมไปจนถึงเส้นผมบางสลวยของน่าน ป้อดมที่เส้นผมของน่าน
“กลิ่นผมน่านนี่เอง” ป้อสูดลหายใจเอากลิ่นผมของน่านซะเต็มปอด
“ป้อ...ทำอะไร...อายเพื่อน...” น่านหน้าแดงแล้วเดินหนี
“ไปไหนล่ะ” ป้อถามกำลังจะตามไป แต่ไอ้อ้นดึงมือไว้ให้ร้องเพลงกับมัน

          น่านเดินปลีกไปที่ริมแม่น้ำ ทางเดินที่เป็นปูนคดเคี้ยวไปตามละเมาะไม้ สนามหญ้าสว่างไปด้วยไฟแสงจันทร์ น่านเดินออกมาจากวงเพื่อน มือถือสปายเรดขวดเดิม เด็กหนุ่มขยับขวดขึ้นดื่ม มันไม่เหลือแล้ว ไวน์หยดสุดท้ายไหลลงคอไป...น่านโยนขวดลงถังขยะข้างทาง น่านเดินมาสุดทาง สายน้ำเบื้องหน้าสีดำสนิท เงื้อมเงาของขุนเขาแทบจะบดบังท้องฟ้าเสียสนิท น้ำไหลเร็วและแรง เสียงหรีดหริ่งเรไรดังก้องป่า น่านมายืนอยู่ที่ระเบียงริมน้ำ ตลิ่งที่สูงปกคลุมด้วยกอหญ้าและไม้ดอกต้นเล็กที่ตอนนี้มันหลับใหลในราตรีกาล มันคอยเวลาแห่งแสงแรกในวันพรุ่ง แต่ใจคนสิ...จะมีใครรู้...ว่ามันก็รอแสงตะวันเฉกเช่นดอกไม้เหมือนกัน “วัช”หายไปเป็นเดือนๆแล้ว ไม่ออนเอ็มเหมือนก่อน ไม่โทรมาหา แถมน่านโทรไปก็มีสัญญาณติดต่อไม่ได้อีก ที่เคยบอกว่าจะทำงานเก็บเงินซื้อตั๋วเครื่องบินมาให้... หรือสัญญาเป็นเพียงแค่ลมปาก เขาก้มหน้านิ่ง ปัญหาหัวใจ ปัญหาเศรษฐกิจทางบ้านที่รุมเร้า น่านเดินลงไปที่ท่าน้ำ แล้วนั่งลงที่ริมโป๊ะ เท้าเปลือยเปล่าห้อยลงระสายน้ำเย็นเฉียบ ก้อนสะอื้นจุกที่คอ...เนื้อตัวสั่นด้วยความหนาว มันหนาวเข้าไปถึงขั้วหัวใจ ด้วยความเหงาอย่างที่สุด ความเหงานี่มันร้ายกาจนัก... เสียงเพลงแว่วมาจากเรือหางยาวที่รับนักท่องเที่ยว เสียงนี้ทำให้น้ำตาน่านไหลออกมา...มันควบคุมไม่ได้

 

คำว่ารักมันกลายเป็นฝุ่นไปแล้ว
อะไรที่หวัง ก็พังไปตั้งนานแล้ว
แต่ชีวิตไม่รู้ทำไม มันยังคงค้างคาใจ
ไม่มีวันใดที่ฉันไม่จดจำ

ก็คำว่ารักยังจำได้อยู่เสมอ
หลับตาทุกครั้งยังเจอเธออยู่ตรงนี้
ความเข้มแข็งที่ฉันเข้าใจ อ่อนแอลงทุกนาที
อยู่ดีๆ ใจก็ร้องไห้อีกครั้ง

ยังคิดถึงเธอเหลือเกิน ได้ยินมั้ย
เธอยังอยู่ในหัวใจ ของฉัน
ข่มตานอนทุกคืน ยังฝันยังเห็นว่าเรารักกัน
เธออยู่ที่ไหน คิดถึงเธอ
ชาตินี้ไม่มีสิทธิ์เจอ จบแล้วก็เข้าใจ
แต่จะให้ทำยังไง เมื่อในหัวใจยังจดจำ

คำว่ารักยังพอให้ต่อชีวิต
ยังทำให้คิดถึงวันเก่าๆ เหล่านั้น
ได้แต่หวังลึกๆ ในใจ จะมีบ้างไหมสักวัน
สิ่งที่ดีๆ เหล่านั้นจะกลับมา

ยังคิดถึงเธอเหลือเกิน ได้ยินมั้ย
เธอยังอยู่ในหัวใจ ของฉัน
ข่มตานอนทุกคืน ยังฝันยังเห็นว่าเรารักกัน
เธออยู่ที่ไหน คิดถึงเธอ
ชาตินี้ไม่มีสิทธิ์เจอ จบแล้ว ก็เข้าใจ
แต่จะให้ทำยังไง เมื่อในหัวใจมีแต่เธอ

“น่าน...มานั่งทำอะไรตรงนี้...”เสียงคุ้นๆทำเอาเด็กหนุ่มต้องหันมามอง

“...ป้อ...”น่านครางออกมาเมื่อป้อนั่งลงข้างๆ
  ...

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 28=
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 09-09-2009 08:15:20
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 28=
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 09-09-2009 09:32:37
เป็นกำลังใจให้ด้วยคนค่ะ :3123:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 28=
เริ่มหัวข้อโดย: wichit14 ที่ 09-09-2009 10:29:32
ไม่รู้จะเชียร์ใครดี ตกลงน้องน่านจะได้กันทั้งกลุ่มป่าว อิอิ (ล้อเล่น) หวนนึกถึงตอนเรียน มัธยมปลาย ก็ไปเที่ยวแบบนี้หล่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 28=
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 09-09-2009 11:14:47
น่านนี้ดวงอาภัพมากๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 28=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 09-09-2009 16:52:34
คิดถึงเขาข้างเดียวก้อยังนี้แหละ

 :z2:   :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 28=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 09-09-2009 18:12:00
วัชหายไปไหนอะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 28=
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 09-09-2009 21:05:38
น่านน่าสงสารจัง

วัชไม่ได้ติดต่อมาเลยเหรอ


ป้อจะจีบน่านจิงเหรอเนี่ย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 28=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 09-09-2009 23:50:16
 :z2: :z2: :z2:
หนึ่งสิ่งที่อยากถาม
หนึ่งถ้อยความที่อยากตอบ
คือ ฉันลำบากใจ 555+
ยิ่งอ่านยิ่งลำบากใจ เหนื่อย ลุ้น เครียดไปกับตัวละครในเรื่อง
ตัดสินใจยากมากไม่รู้ว่าจะเลือกใครดีน๊า
นิว(LOVEis)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 28=
เริ่มหัวข้อโดย: tutu ที่ 10-09-2009 00:01:25
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

sad!!
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 28=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 10-09-2009 05:34:08
29 แม่น้ำแคว

“ป้อ” น่านครางออกมาเมื่อป้อนั่งลงข้างๆ
“อ่ะ...ป้อเอามาให้” ป้อส่งสปายเย็นเจี๊ยบขวดใหม่ให้น่าน

“น่าน...เป็นอะไรรึเปล่า...” ป้อพูดพลางเอามือเกาะกุมมือของน่านเอาไว้ จะด้วยฤทธิ์ของอัลกอฮอล์หรือความรักความห่วงใยที่มันสุมในใจมานาน ทุกสิ่งที่ป้อแสดงออกมาทำให้น่านตกใจมาก
“ป้อ...ป้อ...” น่านเรียกชื่อเพื่อนเบาๆ
“น่าน...ป้อเป็นห่วงน่านมากรู้มั้ย...เป็นห่วงมานานแล้ว...” ป้อใช้คำว่าห่วงแทนคำว่า”รัก”ยังไงเขาก็ยังไม่กล้าพอ
“ป้อ...”น่านตกใจและแปลกใจเอามากๆที่ทำไมอยู่ๆป้อถึงมีอาการแบบนี้

“................” ความเงียบเข้ามาเกาะกุมหัวใจของเด็กหนุ่มทั้งสอง หัวใจที่เต้นระรัวของทั้งน่านและป้อ มันคอยอะไรอยู่...สายน้ำเบื้องหน้าที่กำลังไหลผ่านไป...ไม่มีทีท่าว่าจะไหลกลับ...เวลาผ่านไปเนิ่นนานจนในที่สุด

 

ในที่สุด...ป้อก็ไม่คอย...

เพราะสายน้ำคงไม่ไหลย้อนกลับมา

เด็กหนุ่มรวบรวมความกล้าทั้งหมด


 

“น่าน...ป้อรักน่าน...” เสียงแหบเครืออยู่ในลำคอ แม้จะได้ยินไม่ชัดนัก...แต่ทว่ามันสะท้อนก้องอยู่ในหัวใจของน่าน...สะท้อนไปสะท้อนมาอยู่หลายครั้ง...จนน่านแน่ใจ...แน่ใจว่า...มันออกมาจาก...คนที่นั่งใกล้ๆ ...คนที่นั่งกุมมือเขาอยู่

“...ป้อ...” น่านพูดได้แค่นั้น
“จริงๆนะน่าน...ป้อแอบ”รัก”น่านมานานแล้ว...” ป้อยกมือที่กุมอยู่ขึ้นมาหอม...แล้วอิงไปที่แก้มนิ่มๆของตัวเอง...

“................” น่านน้ำตาไหลออกมา... มากมาย...เสียงสะอื้นไห้...น่านกอดป้อเอาไว้ในอ้อมแขน...

“ทำไม...ทำไมล่ะป้อ...ทำไมเพิ่งจะมาบอก...ทำไม...” กำปั้นน้อยๆของน่านรัวทุบใส่หัวไหล่ของป้อ
“ทำไมป้อเพิ่งมาบอกเอาตอนนี้...ป้อ...” น่านสะอื้นไห้ออกมามากมาย ป้อนั่งก้มหน้านิ่ง
“ป้อไม่กล้า...ป้อกลัว...” เด็กหนุ่มก้มหน้าสะอื้นไห้...น้ำตาของความโล่งอก...รู้สึกโล่ง...ที่ได้พูดออกไป ไม่ว่าจะเป็นยังไงต่อ ป้อรับได้
“ป้อกลัวน่านจะไม่รักป้อ...อีกอย่าง...” เสียงป้อสะดุดหยุดลงตรงนี้ ก้อนสะอื้นทำให้เขาพูดไม่ออก มันรู้อยู่เต็มอกว่าน่านไม่ได้รักเขาเลย...น่านรักวัช...น่านรักวัช...เต็มหัวใจ

“อะไรล่ะ...อีกอย่างอะไร...” น่านเร่ง...น่านอยากรู้เหลือเกินอะไรที่ทำให้”เพื่อน”ต้องกลายมาเป็นแบบนี้
“น่านมีวัชอยู่แล้ว...ป้อเลยต้องทำใจ...ยอมรับ” ป้อก้มหน้าซบกับหัวเข่า ร่างบางๆสั่นสะท้านไปด้วยความหนาว หนาวไปถึงกระดูก หนาวไปถึงขั้วหัวใจ เด็กหนุ่มเฝ้ารอ...คำตัดสินจาก”น่าน” ความเงียบย่างกรายเข้ามา...คล้ายสายหมอกบางๆ...ค่อยลอยหายไป...

“ป้อ...ป้อคอยได้มั้ย...น่านไม่แน่ใจ...ว่า...”  น่านหยุดพูดแค่นั้นแล้วเด็กหนุ่มก็สวมกอด”คนที่เพิ่งบอกรัก”หมาดๆจนแน่น
“ป้อคอยได้...ให้โอกาสป้อนะน่าน...ให้ป้อได้คอย...” ป้อกระซิบข้างหูน่าน
“น่านขอเวลาสักพักนะ...”  น่านจับใบหน้าของ”เพื่อนสนิท”เข้ามาแนบชิด...จนลมหายใจรินรดกัน
“ให้โอกาสป้อนะ...แค่ได้”คอย”ก็ยังดี...” ป้อจรดปากบางๆลงกับปากของ”น่าน” มันแผ่วเบา อบอุ่น ซาบซึ้ง สองแขนกระหวัดเกี่ยวรัดกันไว้ ร่างบางๆสั่นสะท้านด้วยความหนาว อย่างนี้หรือที่เรียกว่า”หนาวเหน็บเจ็บขั้วหัวใจ”ความทรงจำในอดีตผุดพรายเต็มฟากฟ้าที่ไร้ดาว

          น่านเป็นหัวหน้าห้องโดยการเลือกตั้ง ป้อก็เข้ามาเสนอตัวเพื่อช่วย”หัวหน้าห้องที่รัก” ในตำแหน่งรองหัวหน้า งานเยอะแค่ไหนป้อช่วยโดยไม่ปริปากบ่น วันที่น่านหายไปกับวัชแบบข้ามวันข้ามคืน...ใครล่ะทำงานแทน ใครส่งการบ้านให้ แม้แต่วันนั้น...วันที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิต...เด็กหนุ่มมายืนคอยเพื่อเอารายงานของน่านกับวัชที่หน้าประตู เขาถามถึง”น่านและวัช”กับเด็กรับใช้  “คุณวัชอยู่กับคุณน่านในห้องตั้งแต่เมื่อวานไม่ออกไปไหนเลย...สงสัยไม่สบาย” เด็กรับใช้ที่เอารายงานมาส่งพูดซื่อๆ

          ป้อเดินคอตกเข้าไปในโรงเรียน เขารู้สึกเสียใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนมีหอกดาบนับพันเล่ม ทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจ ป้ำๆเป๋อๆเดินไม่ถูกทาง...ราวกับว่าสิ่งที่เห็น สิ่งที่รับรู้มันไม่มีอยู่จริง...ป้อเฝ้าเพียรถามกับตัวเองว่า มันไม่จริงใช่มั้ย...ยิ่งเวลาเห็นน่านกับวัชอยู่ด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน กลับบ้านพร้อมกัน เท่านี้ป้อก็เจ็บจะแย่...มันเจ็บเจียนตายเลยทีเดียว ป้อเจ็บแบบนี้มาเป็นเวลานานแค่ไหนแล้ว...

“ป้อคอยมานานแล้ว...ถ้าจะให้คอยอีก...นานแค่ไหน...ป้อก็จะคอย” ป้อถอนปากบางออกจากปากน่าน ริมฝีปากอบอุ่นยังคงกรุ่นๆอยู่ รสหอมหวานจากรอยจูบยังอวลอยู่ในโพรงปาก
“ป้อ...ให้เวลาน่านสักพักนะ...น่านสัญญา” น่านประกบปากป้ออีกครั้ง คราวนี้ทั้งร้อนแรงและรวดเร็ว ลิ้นสอดกระหวัดรัดเกี่ยวกันไปมา
“สัญญานะ...น่านจะ...รัก...หรือ...ไม่รักป้อ...ก็ไม่เป็นไรนะ...ขออย่างเดียว...ขอให้บอกกัน...ป้อจะคอยคำตอบ” ป้อพูดจบก็ดึงน่านให้ลุกขึ้น
“ไปเถอะ...เดี๋ยวเพื่อนเป็นห่วง...ขวดสปายล่ะ...ป้อถือให้” ป้อก้มลงไปหยิบขวดสปายมาถือแล้วสองหนุ่มก็ออกเดินขึ้นจากโป๊ะริมน้ำ
“น่าน...เมื่อกี้นี้เรียกว่า”จูบมัดจำ”รึเปล่า”  ป้อถามแล้วดันหลังน่านให้เดินนำขึ้นไปก่อน
“เรียกอย่างนั้นเลยเหรอ...”  น่านหัวเราะร่าเริง น้ำเสียงดูสดใส....แต่ภายในใจกำลังคิดอย่างหนัก

          สองหนุ่มเดินคุยกันมาเรื่อยๆจนถึงบ้านพัก เพื่อนต่างหันมามอง ทุกคนสงสัยว่าไอ้สองคนมันหายไปไหนกันมา มีแต่หนุ่ยคนเดียวเท่านั้นที่ไม่แสดงท่าทีอะไร ยังคงร้องเพลงต่อ ทุกอย่างเป็นอย่างที่หนุ่ยคิดไว้ไม่ผิด...

“ไอ้ป้อ...มาร้องเพลงเร็ว...หายไปเลยเมิง” อ้นพูดเสียงรัว ท่าจะเมา
“ไม่เอากูขี้เกียจร้อง” ป้อไม่ยอม
“โห...ไม่ร้องได้ไงเร็วๆ...กูอยากเล่นกีต้าร์ให้ระดับเทพอย่างมึงร้องจะแย่แล้ว” เสียงทีมเร่งเร้าอีก
“เดี๋ยวกูไปสะบัดเส้นเสียงก่อน...” ป้อลุกขึ้นเดิน เข้าบ้านพักเพื่อจะเข้าไปเยี่ยว ระหว่างนั้นป้อสวนกับน่านที่หน้าประตูห้องน้ำพอดี
“ขอหอมมัดจำอีกทีได้มั้ย” ป้อดึงมือน่านเข้าห้องน้ำ
“ไม่เอา...ป้อ...” น่านทำตาดุ
“โธ่...หอมทีเดียว...” ป้อเซ้าซี้
“ร้องเพลงให้ฟังก่อนสิ...” น่านเองก็ชอบเสียงป้อ เวลาร้องเพลง แหบๆแบบมีเสน่ห์
“ได้เลย เดี๋ยวเยี่ยวก่อนนะ” ป้อเดินเข้าห้องน้ำไป

“ทำห่าอะไรกันวะ...จุ๊กจิ๊กกันจัง...” ปรีย์ปากหมาพูด น่านหน้าแดงด้วยความเขิน
“ไอ้ป้อล่ะ...สะบัดเส้นเสียงเสร็จรึยัง...” เสียงอ้นพูด
“ไอ้ป้อชักว่าวเหรอเมิง” แคนเอาบ้าง

“มาแล้ว...พวกมึงนี่...ปากหมาแทบทุกตัวเลย...ไม่ร้องแล้ว...อยากฟังหมาเห่ามากกว่า” ป้อเล่นลิ้น
“รีบๆร้องเลยมึง...มีคนคอยฟังอยู่” หนุ่ยยิ้มให้ป้อ...บอกแล้วทุกอย่างอยู่ในสายตาหนุ่ยทั้งนั้น
“เพลงนี้มอบให้....เอ่อ...คนแถวๆเนี่ย...” ทีมพูดออกมาแล้วก็ยักคิ้วให้หนุ่ย...ทำเอาป้อหน้าแดงซ่านไปถึงหู


“เพลง....ปาฏิหาริย์ที่รอคอย”

เคย แอบมองเธออย่างนั้น
เคย เก็บไปฝันเดียวดาย
เคย โกรธดวงดาวแสนไกล
ที่ไม่ดลใจ เธอเลยสักครั้ง
รู้ ว่าเป็นเพียงแค่ฝัน
รู้ ว่าตัวฉันเป็นใคร
ก็รู้ แต่ไม่อาจห้ามใจ
ก็ยังฝันไกล หวังไปเลื่อนลอย
เผื่อจะมีสักคืน
เผื่อจะมีสักวัน
ที่มีปาฏิหาริย์
ช่วยทำให้ฝันจริงขึ้นมา
ได้เป็นคนรักเธอ
ได้เป็นคนพิเศษในสายตา
แม้ตื่นมาทุกอย่างจะหาย
และกลับไปเหมือนวันเก่า
ยอม หากจะต้องผิดหวัง
ยอม กลับไปเหงาดังเดิม
และยอม ถูกความจริงซ้ำเติม
แลกกับคืนหนึ่ง
ให้ใจนอนฝันดี
เผื่อจะมีสักคืน
เผื่อจะมีสักวัน
ที่มีปาฏิหาริย์
ช่วยทำให้ฝันจริงขึ้นมา
ได้เป็นคนรักเธอ
ได้เป็นคนพิเศษในสายตา
แม้ตื่นมาทุกอย่างจะหาย
และกลับไปเหมือนวันนั้น
ยอม หากจะต้องผิดหวัง
ยอม กลับไปเหงาดังเดิม
และยอม ถูกความจริงซ้ำเติม
แลกกับคืนหนึ่ง
ให้ใจนอนฝันดี
และยอม ถูกความจริงซ้ำเติม
แลกกับคืนหนึ่ง
ที่เป็นคนรักเธอ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 29=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 10-09-2009 06:54:40
วัชหายไปไหน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 29=
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 10-09-2009 08:45:44
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 29=
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 10-09-2009 08:51:35
  :a1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 29=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 10-09-2009 11:27:40
หนุ่ยน่ารักนะ

สนใจเพื่อนๆทุกคน

โดยเฉพาะ น่าน+ป้อ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 29=
เริ่มหัวข้อโดย: viky_mama ที่ 10-09-2009 16:11:48
ไม่น้าา วัชหายไปไหนอ่ะ น่านอย่าใจอ่อนโดยเด็ดขาด สงสารวัช เราคิดว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่นอน วัชรีบโทรกลับมาด่วน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 29=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 10-09-2009 17:13:28
การรอคอยของน่านจะเป็นอย่างไรนะ

ความสับสนกำลังทำให้น่านยิ่งเศร้าหรือเปล่านะ

 :z2:   :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 29=
เริ่มหัวข้อโดย: kikipanda ที่ 10-09-2009 18:27:08
โอยยยย เรื่องพลิกผันตลอด เดาทาง เดาคู่ไม่ถูกแล้วค่ะคุณต้นคุง/คุณองค์หญิง   :a5:

แต่ขออย่างเดียวขอพี่ธีร์คู่น้องหนุ่ยนะค่ะ พลีสสสสสสส  :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 29=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 11-09-2009 00:45:21
ป้อบอกรักแล้ว
น่านก็ขอเวลา
แล้วต่อไปจะยุ่งเหยิงกันขนาดไหนเนี่ย
วัชหายไปแบบนี้ ดีหรือร้าย จะยอมง่ายๆเหรอถ้าน่านจะไม่รอ
บวก 1 แต้มนะคะ ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 29=
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 11-09-2009 02:17:44
แล้ววัชล่ะน่าน



เง้อหรือจะรักแท้แพ้ใกล้ชิด



เอะหรือที่น่านคบวัชเพราะสงสารกันแน่อ่ะ




รออ่านตอนต่อไปค้าบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 29=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 11-09-2009 05:39:50
30 เรื่องเล่าริมน้ำ

          คืนนั้นเด็กๆทั้งเจ็ดคนเข้านอนกันดึกพอสมควร หนุ่ยนอนไม่หลับ เขากระสับกระส่ายทั้งๆที่ง่วงแสนง่วง สมองมันคิดกลับไปกลับมา วนไปวนมา ไม่นิ่งสักที ผิดกับเพื่อนคนอื่นซึ่งนอนหลับสนิทกันหมด เขามองไปทางเตียงที่ป้อและน่านนอนกันอยู่ ทั้งสองนิ่งเงียบไม่ไหวติง คงจะเพลียจากการเล่นน้ำเมื่อเย็นนี้ หนุ่ยจึงลุกออกมาจากที่นอน เด็กหนุ่มเปิดประตูห้องออกมา อากาศภายนอกเย็นชื้นด้วยกระไอหมอก ที่ลอยเป็นควันบางๆไปทั่วบริเวณ หนุ่ยกระชับเสื้อยืดแขนยาวเข้ากับตัว ลานไม้ที่นั่งเมื่อหัวค่ำเปียกชื้นไปหมดด้วยน้ำค้างที่ลงหนัก เด็กหนุ่มหาผ้ามาเช็ดที่เก้าอี้แล้วนั่งทอดอารมณ์อยู่เงียบๆ เขาคิดไปถึงเรื่องของเพื่อนรักทั้งสองคน...วันนี้ ทั้งน่านและป้อ...ทั้งสองคนเป็นผู้ชาย...เป็นเพื่อนกัน...และได้บอก”รัก”กัน เขาแน่ใจ...แน่ใจว่าทั้งสองรักกัน ไม่ใช่แค่สิ่งที่เขาได้เห็น ที่ท่าน้ำเท่านั้น เขาแน่ใจว่า  ”ป้อ”สามารถจะดูแล”น่าน”ได้และดูแลได้ดีกว่า”วัช”ด้วยซ้ำ...

“หนุ่ย...ไม่ง่วงเหรอ” เสียงคุ้นเคย...เอ่ยทักเบาๆ
“อืม...น่านออกมาทำไม...อากาศมันเย็นนะ” หนุ่ยเห็นน่านยืนสั่นๆอยู่ข้างหลัง
“เห็นหนุ่ยลุกออกมา...น่าน...เอ่อ...อยากคุยด้วยน่ะ” น่านนั่งลงกับพื้นตรงข้ามกับหนุ่ย
“เรื่องอะไรล่ะ” หนุ่ยถาม
“ก็เรื่อง...เอ่อ...” น่านอึกอัก
“เรื่องป้อน่ะเหรอ” หนุ่ยถาม
“เปล่า...เรื่องวัชน่ะ” น่านพูดออกมาอย่างนี้ทำให้หนุ่ยแปลกใจไปใหญ่
“มีอะไรเหรอ...” หนุ่ยคิ้วขมวด
“วัชน่ะ...หายไปเลย...เราไม่ได้คุยกันมาเป็นเดือนๆแล้ว...ไม่ออนเอ็ม...ไม่โทรมา...น่านโทรไปหาก็ไม่รับ...บางทีก็ติดต่อไม่ได้...น่านเป็นห่วง...กลัว...ว่า...วัชจะ” น่านหยุดแค่นี้ แล้วก้มหน้าซบลงกับเข่า น้ำตาไหลออกมาเช็ดหัวเข่า

“ดูน่านรักวัชมากๆเลยนะ...” หนุ่ยพูดออกมาเบาๆ
“อืม...น่านไม่เคยมีใครนี่...แล้ววัชก็เป็นคนแรก...ที่...เอ่อ...” น่านหยุดพูดแค่นี้
“หนุ่ยเข้าใจ...แล้วน่านจะทำยังไงต่อไป...ในเมื่อวัชมันหายไปแบบนี้”
“ไม่รู้เหมือนกัน...” น่านส่ายหัว น้ำตาไหลรินออกมาอีก เด็กหนุ่มสั่นสะท้านไปทั้งตัว

“น่าน...แล้วป้อล่ะ...” หนุ่ยอยากรู้เหลือเกินว่าน่านคิดยังไงกับป้อบ้าง
“ป้อเป็นเพื่อนที่ดี...ป้อเป็นคนดีมาก...” น่านพูดได้แค่นั้น
“แล้วไง...” หนุ่ยพยายามจะเปิดใจน่านออกมาให้ได้
“น่านบอกป้อว่า...ขอเวลาน่านสักพัก...” น่านก้มหน้า ตอนนี้เขาไม่กล้าสบตากับหนุ่ยอีกแล้ว ความรู้สึกที่มีตอนนี้ราวกับต้องเลือกที่จะเดิน...ไม่หนทางใดก็ทางหนึ่ง...ถ้าเดินไปกับป้อ...น่านก็จะกลายเป็นคนที่ไม่รักษาสัญญา จับจด ไม่มั่นคงในรัก เห็นแก่ตัว แต่ถ้าคอยวัช...น่านก็ยังไม่เห็นหนทางที่ทั้งสองจะครองรักกันได้เลย...เสียงถอนหายใจอย่างหนักหน่วงดังออกมาจากน่าน...

“ป้อมันว่ายังไง” หนุ่ยถาม
“ป้อบอกว่าป้อจะคอย...”
“คอยอะไร...คอยคำตอบหรือคอยน่าน...” หนุ่ยรุกน่านด้วยคำถามที่ทำให้น่านสะอึก
“น่านบอกให้ป้อคอยคำตอบ...จากน่าน...” น่านพูดเบา เสียงแผ่วๆเบาโหวง
“อือ...น่าน...หนุ่ยถามหน่อยสิ...น่านจะให้ป้อมันคอยนานแค่ไหน...”
“ไม่รู้สิ...”
“...........”

“จนกว่าน่านจะติดต่อวัชได้มั้ง...หรือจนกว่าวัชจะติดต่อกลับมา” น่านพูด

“.........” หนุ่ยเงียบ เอามือขึ้นมากุมขมับด้วยความเครียดและรู้สึกสงสารป้อ...จับใจ

“น่านจะตัดสินใจยังไงมันก็แล้วแต่น่านนะ...แต่หนุ่ยขอพูดอย่างนึงเถอะ...”
“............” น่านเงียบ เหมือนรอคอยคำพูดของหนุ่ย
“ป้อน่ะ...มันคอยน่านมานานแล้วนะ...อย่าให้มันคอยนานนักก็แล้วกัน”  หนุ่ยพูดจบก็เดินเข้าห้อง จิตใจว้าวุ่นกว่าเมื่อตอนที่นอนไม่หลับอีก “รู้อย่างนี้ข่มตาให้หลับลงไปเลยดีกว่า”หนุ่ยคิดในใจ เด็กหนุ่มเดินไปที่เตียงของป้อเพื่อนรักกำลังนอนหลับอยู่ ร่างเล็กๆขดตัวอยู่ด้วยความหนาว...ป้อถีบผ้าห่มผืนเล็กหล่นจากเตียง...จนตัวเองนอนหนาว หนุ่ยดึงเอาผ้าขึ้นมาห่มให้ “ป้อเอ้ย...กูเห็นใจมึงจริงๆเลยว่ะ”หนุ่ยส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วเดินกลับไปที่เตียงของตัวเอง

          รุ่งเช้าอากาศสดใส แม้ว่าเมื่อคืนจะนอนไม่หลับแต่หนุ่ยก็ตื่นแต่เช้า เด็กหนุ่มเดินออกมาข้างนอกห้อง สายหมอกบางเบาปกคลุมทั่วบริเวณ หนุ่ยเดินออกจากบ้านพักตรงไปยังท่าน้ำ เขาชอบแม่น้ำและขุนเขา แม้จะชอบน้อยกว่าทะเล แต่หนุ่ยก็รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากกว่าการอยู่ในสังคมเมือง หนุ่ยเดินไปสุดทางแล้วเดินลงบันไดไปที่ท่าน้ำ ที่นั่นมีเก้าอี้นั่ง ที่สามารถเอนหลังได้ หนุ่ยดึงพลาสติกที่คลุมอยู่ออกแล้วนั่งเหยียดแขนขา ทอดอารมณ์อย่างสบายใจ สายหมอกลอยเรี่ยผิวน้ำที่ไหลแรง น้ำใสๆไหลซอนเซาะไปตามขุนเขาลูกแล้วลูกเล่า สายน้ำมันไหลเพื่อหาทางออกสู่ทะเล ใจคนก็คงเหมือนกัน ยามที่ชีวิตต้องดิ้นรนเพื่อหาทางไป ชีวิตของหนุ่ยผ่านอะไรมาเยอะมาก มากกว่าเด็กในวัยเดียวกัน มีทั้งผิดหวังและสมหวัง แต่ดูๆแล้วน้อยครั้งที่จะสมหวัง แม้ชีวิตตอนนี้จะดีกว่าแต่ก่อน...แต่เขาเองก็หยุดไม่ได้...ต้องดิ้นกันต่อไป...เหมือนสายน้ำที่ต้องไหลแรงเมื่อเริ่มต้น...แต่มันจะค่อยๆแผ่วลงไปเมื่อใกล้ปลายน้ำ...จนกว่าจะออกทะเลนั่นแหละ...ชีวิตถึงจะสะดุดหยุดลง...คลื่นในทะเลจะซัดกลับเข้าหาฝั่ง...คล้ายชีวิตคน...

“มานั่งทำอะไรวะหนุ่ย...” ทีมเอ่ยทักขึ้นมา
“อาบน้ำแล้วเหรอ...” หนุ่ยทักเมื่อเห็นทีมเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดนอนเป็นชุดเดินทาง
“อืม...ไอ้ป้อนอนกอดไอ้น่านกลมดิ๊กไปเลย” ทีมพูดแล้วก็หัวเราะออกมา เหมือนกับทีมจะเชียร์ป้ออีกคน
“มึงดูรู้เหรอ” หนุ่ยถาม
“ไม่รู้ได้ไง...ไอ้ป้อแม่งออกอาการมานานแล้ว...” ทีมพูดเหมือนรู้มากกว่านั้น
“มึงรู้นานแล้ว...” หนุ่ยถาม
“เออ...กูรู้มาตั้งนานแล้ว” ทีมพูด
“.................”

“ไหนมึงเล่าให้กูฟังทีสิ” หนุ่ยพูดสีหน้าจริงจัง
“มีอยู่วันกูไปส่งมันที่บ้าน มึงเชื่อมั้ยในห้องมัน...มีแต่รูปวิว...ที่ไหนไม่รู้บางที่ก็สวย...บางที่ก็งั้นๆแหละ...กูถามมันว่าที่ไหน...มันบอกว่า จังหวัดน่าน...” ทีมหยุดพูดเมื่อเห็นหนุ่ยทำท่าเหมือนไม่เชื่อ
“อย่าเพิ่งอึ้งแดก...มีมากกว่านั้นอีก...มันบอกว่ามันไปตระเวนถ่ายรูปพวกนี้เอง...มันบอกให้พ่อแม่มันพาไปบ้านญาติที่เชียงราย... แล้วมันก็ชวนลูกพี่ลูกน้องมัน หนีพ่อแม่มันไปจังหวัดน่าน... ไปถ่ายรูปพวกนี้มาติดห้อง มันอยากให้ไอ้น่านไปที่ห้องมัน มันจะให้ดูรูปพวกนี้ แต่ไอ้น่านก็...เฮ้อ...อยู่แต่กับไอ้วัช...” ทีมพูดแล้วก็ส่ายหน้า
“รูปที่มันถ่ายมาแปะที่ห้องมัน...ไม่ใช่ขี้ๆนะมึง...แม่งอัดด้วยกระดาษสีอย่างดี ติดเป็นวอลเปเปอร์เลย... ผนังฝั่งปลายเตียงมันเป็นรูปพวกนี้ทั้งหมด หัวนอนมันมีรูปไอ้น่านวางไว้ด้วย...” ทีมเล่าอย่างออกรส
“เป็นเอามากนะเพื่อนกู” หนุ่ยครางออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ของที่ไอ้น่านให้มัน...แม่งเก็บไว้หมด...กูเห็นแล้วก็อึ้ง” ทีมเม้าท์เพื่อนไม่หยุด
“ปกติมันไม่เคยชวนใครไปบ้านมันนี่หว่า” หนุ่ยตั้งข้อสังเกต
“อืม...ก็ใช่...แต่วันนั้น...วันที่กูไปน่ะ...จริงๆแล้วกูไม่ได้ตั้งใจจะไปหรอก” ทีมอึกอัก
“อ้าว...”
“วันนั้นมันโทรมาหากู...มันบอกว่ามันนั่งแดกเหล้าอยู่คนเดียว...ให้กูมาหามันหน่อย...” ทีมเล่า
“ไอ้ป้อน่ะนะ...แดกเหล้า...” หนุ่ยแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
“เออ...กูไปหามันที่ร้านลาบแถวบ้านมัน...แม่งนั่งเมาหน้าแดงแป๊ดเลย กูเลยต้องแดกเป็นเพื่อนมันจากนั้นมันก็เล่าให้กูฟัง...หมดเปลือก...” ทีมเล่าไปก็เอาเศษลูกไม้เขวี้ยงลงน้ำ
“มันบอกว่าไอ้วัชกับไอ้น่านไม่มาเรียน...โทรมาฝากมันส่งรายงาน...มันถามคนที่เอามาส่ง...ไอ้นั่นดันบอกว่าไอ้สองคนอยู่ในห้องกันตั้งแต่เมื่อวาน...มันบอกว่ามันอกหัก...”มันรักไอ้น่าน”...กูแทบหงายท้อง ไม่คิดว่ามันจะเป็นเกย์ พอเมามากๆมันก็นั่งร้องไห้...กูละโคตรสงสารมันเลย...แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็ได้แต่ปลอบใจกันไป” ทีมพูดเสียงอ่อยด้วยความสงสารเพื่อน

“...เฮ้อ...” หนุ่ยถอนหายใจ
“กลับเถอะ...แม่งตื่นกันหมดรึยังวะ...” ทีมลุกจากพื้น
“ไอ้ทีม...มึงอย่าไปเล่าให้ใครฟังนะ...กูกลัวไอ้ป้อมันอายว่ะ” หนุ่ยบอกเพื่อนพลางกอดคอแล้วพากันเดินกลับบ้าน
“เออ...กูรู้น่า...เนี่ยถ้ามึงไม่ระแคะระคายพวกมันสองคนนะ...กูก็ไม่เล่าให้มึงฟังหรอก” ทีมหัวเราะเบาๆ  .....
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 30=
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 11-09-2009 08:52:16
+เป็นกำลังใจให้ครับ+
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 30=
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 11-09-2009 11:08:41
วุ่นเนอะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 30=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 11-09-2009 13:50:48
สรุปว่าคนที่ส่าสงสารมากที่สุดคือ...ป้อ   :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 30=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 11-09-2009 14:05:07
น่านก็แสนจะสับสน
หนุ่ยก็เหมือนจิตใจไม่สบาย
หลายๆคนมีเรื่องในใจ
เรื่องราวต่างๆ จะดำเนินไปทางไหนนะ รอคอยต่อไป
ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 30=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 11-09-2009 14:32:31
จะต้องให้รออีกนานแค่ไหนนะ

เมื่อไหร่จะได้เห็นชีวิตที่ดีของแต่ละคนนะ

 :z2:   :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 30=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 11-09-2009 15:37:41
วัชหายไปไหนอะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 30=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 11-09-2009 17:52:17
 o13
ยิ่งเขียนยิ่งทำให้อ่านแล้วปวดหัวขึ้นเรื่อยๆจนไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว  :เฮ้อ:
แล้วจะรออ่านต่อ
นิว(LOVEis)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 30=
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 11-09-2009 23:47:08
เง้อป้อก็น่าสงสารเนอะแอบรักมาแสนนาน



อย่างงี้ก็อย่าให้คอยนานเลยน่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 30=
เริ่มหัวข้อโดย: tutu ที่ 12-09-2009 01:56:46
ไม่รู้จะเลือกใคร....... :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 30=
เริ่มหัวข้อโดย: Vesi ที่ 12-09-2009 02:22:28
นายป้อเป็นเอามาก

ไม่รู้จะเลือกใคร อย่าจบเศร้านะก๊าบ

ไม่อยากเสียน้ำตา
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 30=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 12-09-2009 06:24:08
31 เหนือเขื่อน

“น้องส้มคร้าบบบ...มาให้พี่ทีมตำสักทีเถอะคร้าบ...”ทีมกอดรัดอ้นไปมา มือแข็งๆบีบไปที่หน้าอกของอ้น แล้วก็ไซร้ไปที่คอ ทำเอาอ้นตื่น หัวยุ่งๆชี้ไปทุกทาง คราบน้ำลายติดมุมปาก ตาตี่ๆปรือๆงัวเงียๆ
“ไอ้ทีม...ไอ้เชี่ยย...อย่าเล่นดิ...กูเสียววว...”อ้นด่าทีมแล้วดิ้นพราดๆ
“มาเป็นของพี่ทีมเถอะนะ...”ทีมยังไม่หยุด...
“ไอ้ทีม...เดี๋ยวกูยกขานะเว้ยย...กูเสียววว...ขนลุกไปหมดแล้ว”อ้นยกขาขึ้นแล้วถีบทีมลงไปนอนหงายแอ้งแม้งอยู่ที่เตียงหนุ่ย
“ไอ้สาดดด...ไอ้อ้นถีบกูเลยเหรอ...”ทีมร้องด่า เพื่อนๆหัวเราะชอบใจกัน
“มาว่าน้องส้มของกู...”อ้นพูดพลางยิ้มสมน้ำหน้า
“น้องส้มโดนตำเหรอวะ...ฮาฮ่าฮ่า...”แคนเสริมแล้วเพื่อนๆก็พากันหัวเราะ
“กูว่าเบอร์โทรฯมึงอ่ะ...น้องตูดบิดคนนั้นขอเองแน่ๆเลยว่ะ”ปรีย์ตั้งข้อสังเกต
“ไอ้สัดด...ไอ้ปากหมา...พูดเป็นลาง”อ้นตบกบาลปรีย์ไปหนึ่งที
“รถมารับกี่โมงวะแคน”หนุ่ยถาม
“สิบโมง...”แคนหันมาบอก
“กูว่าไปกินข้าวกันเถอะ...”อ้นร้องบอกเพื่อนหลังจากเดินออกมาจากห้องน้ำ
“ไอ้อ้นเยี่ยวรดกางเกงเหรอมึง...”ป้อชี้ไปที่เป้ากางเกงอ้นที่มีน้ำซึมออกมาเป็นรอยเปียกๆ
“อืม...รีบไปหน่อย...”อ้นจับเป้ากางเกงตรงที่เปียกๆแล้วเดินผ่านปรีย์ซึ่งกำลังหาวอยู่ อ้นเอานิ้วเปียกเยี่ยวป้ายปากปรีย์
“แผล่บ...”
“ไอ้อ้นไอ้เชี่ยย...เค็มฉิบหาย”ปรีย์ร้องด่า
“แดกน้ำว่าวมั๊ยจะได้หวานๆ...”อ้นทะลึ่งได้อีก
“เก็บไว้ให้อีส้มแดกเหอะ...”ปรีย์ปากหมาจริงๆ...หมากว่าใครเพื่อน เพื่อนหัวเราะกันเสียงดังด้วยความสะใจ
“....เพี้ยะ....”อ้นตบลงมากลางกบาลอีกหนึ่งครั้ง
“ไอ้นี่เล่นแล้วลาม...”อ้นเตะตูดปรีย์แล้ววิ่งหนี เด็กหนุ่มสองคนวิ่งไล่เตะกันไปจนถึงห้องอาหารของรีสอร์ท
“เดี๋ยวเราจะไปไหนกันวะ...”ทีมถามแคน
“ไปปราสาทเมืองสิงห์แล้วก็ไปน้ำตกเอราวัณถ้ามีเวลาจะให้เค้าพาไปเที่ยวเขื่อนศรีนครินทร์ด้วย”แคนบอก
“วันเดียวเที่ยวทั่วไทย”ป้อพูด
“ไอ้ป้อจะไปมั้ยมึง...เดี๋ยวให้อยู่เฝ้าห้องเลย...”แคนหันมาด่า
“ได้อยู่แล้ว...ถ้าน่านอยู่เป็นเพื่อนกู”ป้อพูดพลางหันไปยิ้มให้น่าน แต่น่านไม่ยิ้มตอบ
“อะไรกันพวกมึงนี่...นอนเตียงเดียวกันแค่คืนเดียว...จีบกันเลยเหรอวะ”แคนหันมาทำท่าล้อเลียน
“ไอ้บ้าแคน...”น่านยิ้มเขินๆ ป้อหันไปมองน่านแวบนึง เด็กหนุ่มใจชื้นขึ้นมา อย่างน้อยน่านก็ไม่ได้โกรธเขาที่พูดจาก้อร่อก้อติกแบบเมื่อกี้นี้

          เกือบสิบโมงรถสองแถวที่จ้างไว้ก็มารับเด็กๆ รถพาไปวนรอบๆปราสาทเมืองสิงห์แล้วเด็กๆได้ลงไปถ่ายรูปกันเล็กน้อย
“ไอ้ป้อถ่ายดีๆนะมึง...”แคนตะโกนบอกตากล้องประจำทีม
“ระวังอย่าถ่ายออกมาแบบเรื่องชัตเตอร์นะมึง...กูกลัว”ปรีย์ปากหมาตามเคย
“ไอ้เชี่ยยปรีย์...ให้ผีมาเกาะคอมึงคนเดียวนะ”ทีมเอาเท้ายันปรีย์ให้ออกนอกวง

          หลังจากนั้นทั้งหมดก็ไปยังเขื่อนศรีนครินทร์ ที่เขื่อนแดดค่อนข้างจะร้อนแต่ก็ยังดีที่มีลมพัดมาทำให้คลายร้อนจากแสงแดดได้บ้าง
“หนุ่ยมึงถ่ายรูปกูกับน่านหน่อยสิ”ป้อเดินมาข้างๆหนุ่ยแล้วยื่นกล้องให้
“จะถ่ายตรงไหนดี...”หนุ่ยถามพลางยกกล้องขึ้นเล็ง
“ตรงนี้ดีกว่า...”ป้อจูงมือน่านออกไปยืนกลางแดด ด้านหลังเป็นวิวทะเลสาบกว้างใหญ่
“ร้อนมั้ย”ป้อเอามือออกมาป้องแดดให้น่าน
“ไม่ร้อนหรอก...ถ่ายเถอะหนุ่ย...เอาให้สวยๆนะ”เสียงน่านสดใส เด็กหนุ่มใจชื้นขึ้นมาทันที
“ระวังนะ...หนึ่ง สอง สาม...แชะ...”เสียงชัตเตอร์ลั่น หนุ่ยดูภาพที่จอ
“อืม...ขออีกรูปนึง...สลับกัน...แขนโอบไหล่หน่อยดิเว้ย...หน้าใกล้กันอีกนิด...เอานะ...หนึ่ง...สอง...สาม...แชะ”ชัตเตอร์ลั่นเสียงดัง
“เป็นไงบ้างหนุ่ย...”ป้อกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาดูผลงานการถ่ายรูปของเพื่อน
“เออ...ดูดี...”ป้อชมฝีมือของหนุ่ย
“ดูมั่งสิ...”น่านเข้ามาดู...
“อืม...ป้อหล่อจัง...ส่งรูปนี้ให้มั่งนะ...”น่านบอก
“อัดขยายไปให้เลยนะ...”ป้อบอก
“บ้า...ป้อ...”น่านทุบดัง”อั๊ก”
“เฮ้ย...ไม่ร้อนรึไงวะ...เดี๋ยวไอ้หนุ่ยก็ไหม้หรอก...”เสียงปรีย์ปากหมาเหมือนเคย
“กูกินด้วย..”หนุ่ยร้องตะโกนแล้ววิ่งเข้าที่ร่มไปหาเพื่อนๆซึ่งกำลังกินลูกชิ้นปิ้งอยู่ ส่วนสองหนุ่มค่อยๆเดินกลับมาพลางกดดูรูปจากกล้อง หัวร่อต่อกระซิกกันน่ารัก
“น่ารักฉิบหายเลยคู่นี้”ปรีย์คนเดิม
“...เพี้ยะ...”ทีมตบกบาลปรีย์...วันนี้โดนตบเป็นครั้งที่สาม
“ไอ้ทีม...กูพูดเรื่องของมึงเหรอ...มาตบกบาลกูเนี่ย”ปรีย์เริ่มเดือด ปรีย์แกล้งไปอย่างนั้นแหละเพราะปรีย์มันกำลังจะอำทีมในเรื่องที่เป็นความลับของทีม
“อยากตบมึงจะทำไม...”
“กูจะเผามึงให้หมดเลย...เดี๋ยวกูเมาก่อนเถอะมึง”ปรีย์พูดจบ ทีมเริ่มกลัวว่าความลับตัวเองจะแตกออกมา
“อย่านะครับพี่ปรีย์...อย่าพูดนะครับ”ทีมก้มลงกอดรัดปรีย์ที่นั่งยองๆอยู่จนล้มลงไปกับพื้น จนมีเสียงขัดจังหวะดังขึ้นมา ทุกคนหันไปมองตามเสียง
“...ปรี๊ด..ปรี๊ด...ปรี๊ด....”เสียงโทรศัพท์หนุ่ยดังขึ้น เด็กหนุ่มกดรับสายแล้วเดินออกจากวงเพื่อนไปหาที่ร่มๆและเงียบ เขากลัวเสียงเพื่อนๆรบกวน หนุ่ยเป็นคนเดียวในกลุ่มที่มีเสียงเรียกของโทรศัพท์แบบเดิม หนุ่ยบอกไม่ชอบแบบที่เป็นเพลง แต่เพื่อนๆยังคงมองตามแถมเม้าท์ไปเรื่อยถึงเสียงโทรศัพท์ของหนุ่ย
“ครับพี่ธีร์...สนุกดีครับ ตอนนี้อยู่ที่เขื่อนศรีนครินทร์ครับพี่ เช่ารถมาครับ”หนุ่ยพูด
“.............”
“เดี๋ยวไปเล่นน้ำตกครับ...น้ำตกเอราวัณ...ยังไม่ได้ทานครับ...พี่ล่ะครับทานข้าวรึยัง...”
“พี่จะออกไปข้างนอกเหรอครับ...พี่ธีร์อย่าดื่มมากนะครับ...ครับ...ผมเป็นห่วงนะ...”หนุ่ยสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ก็แล้วแต่พี่สิครับ...พี่จะไปก็ได้...แต่ผมห่วงพี่จะขับรถเท่านั้นเอง...”
“ก็ดีครับ...แท๊กซี่ก็ดี...”หนุ่ยเสียงอ่อนลงแล้ว จากเมื่อกี้นี้ที่สายตาเพื่อนๆแอบมองอยู่
“ถึงแล้วโทรหาผมหน่อยนะ...ครับ...ดึกแค่ไหนก็จะคอยครับ...สวัสดีครับ” หนุ่ยยิ้มออกมาได้ในคำสุดท้ายที่พูดจบ เด็กหนุ่มเดินเข้ามารวมกลุ่มกับเพื่อน
“เฮ้ย...ถ่ายรูปหมู่กันหน่อยดิ”ป้อบอกเพื่อนๆ
“อ้าวไอ้ปรีย์ไปถ่าย...”อ้นบอก
“อ้าวกูไปถ่ายแล้วจะเรียกถ่ายหมู่ยังไงวะ”ปรีย์หันมาโวย
“เออกูล้อเล่น...ไปเอาขาตั้งกล้องมาวางก็ได้...”อ้นบอกแล้วเข้าไปกอดคอเพื่อน
“เดี๋ยวกูไปเอาขาตั้งกล้องเอง...”หนุ่ยบอกเพื่อนแล้วเดินไปที่รถ
“ไปด้วยสิ...”น่านวิ่งตามมา เมื่อห่างจากเพื่อนๆแล้ว
“เป็นไงน่าน...”หนุ่ยถามเสียงใส
“อะไรเป็นไง...”น่านถามกลับ
“ก็ป้อน่ะ...เป็นยังไง...”หนุ่ยถาม
“ก็รู้สึกดีนะ...แต่น่านยังต้องขอเวลาสักพักนึงนะ...หนุ่ยเข้าใจน่านนะ”น่านเดินตามหนุ่ยแทบไม่ทัน
“ก็เข้าใจ...หนุ่ยมีอะไรจะเล่าให้ฟัง...น่านต้องอึ้งแน่ๆ”หนุ่ยหยุดยืนมองตาน่าน
“เรื่องอะไร..”น่านถาม
“เดี๋ยวมีเวลาหนุ่ยจะเล่าให้ฟัง”หนุ่ยหยิบขาตั้งกล้องในรถแล้วรีบวิ่งกลับไปที่เพื่อนๆคอยอยู่
          เย็นนั้นหลังจากที่เล่นน้ำตกกลับมาแล้ว ฝนตกลงมาหนักมากๆ เด็กๆทานข้าวเย็นกันแล้วก็เข้ามานอนเล่น นั่งเล่นกีต้าร์กันในห้อง อยู่ข้างนอกไม่ได้ เบียร์และสปายที่ซื้อเข้ามาจากตลาดถูกแช่เต็มตู้เย็น
“จะกินกันหมดมั้ยเนี่ย...”ทีมพูดขึ้นมา
“ก็ดูคนซื้อสิ...แม่งขี้เมาขนาดนั้น...”แคนชี้ไปที่อ้น
“ช่วยกันกินให้หมด...จะได้ไม่ต้องขนกลับ...เอ้าไอ้หนุ่ย...”แคนโยนเบียร์ให้หนุ่ยอีกกระป๋อง

          คืนนั้นทั้งเบียร์ทั้งสปายถูกกวาดเรียบตู้เย็น เมามากสุดน่าจะเป็นแคน คงเพราะกลัวการหิ้วกลับ เด็กหนุ่มนอนกันไม่ดึกมากเพราะพรุ่งนี้จะต้องเดินทางกลับ นั่นหมายถึงการสิ้นสุดการเดินทางท่องเที่ยว แต่สำหรับบางสิ่งบางอย่าง...มันกำลังจะเริ่มต้น...เริ่มต้นจากคืนนี้นี่เอง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 31=
เริ่มหัวข้อโดย: 0nePiece ที่ 12-09-2009 08:50:20
หนุ่ย มีเรื่องอะไรจะเล่าให้น่านฟังกันนะ

สงสัยๆๆ :z1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 31=
เริ่มหัวข้อโดย: สาวบ้านนอก ที่ 12-09-2009 09:23:06
 :z1: อะไรจะเริ่มแล้วเริ่มอะไรหนา นี่แหละที่เค้าว่าน้ำเมาเป็นเหตุละมั๊ง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 31=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 12-09-2009 11:38:21
สุราอันเป็นเครื่องทำลายจิต มันจะทำให้อะไรๆในชีวิตเปลี่ยนไปได้เสมอ
แล้วจะรอดูผลขแงมันในครั้งนี้นะ
นิว(LOVEis)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 31=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 12-09-2009 15:01:11
อะไรกำลังจะเกิดขึ้นเหรอ อยากรู้นะ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 31=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 12-09-2009 21:23:57
รอลุ้นผล และอะไรๆที่จะเกิดในตอนต่อไปค่ะ
บวก 1 แต้มแล้วนะคะ ขอบคุณมากค่ะ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 31=
เริ่มหัวข้อโดย: viky_mama ที่ 13-09-2009 01:06:16
ตอนนี้รู้สึกว่าป้อมาแรงมาก แต่ยังไงเราก็ชอบวัชมากกว่าอยู่ดี วัชเธอหายไปหนายยย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 31=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 13-09-2009 02:28:57
จะเกิดอะไรขึ้นนะ

 :z2:   :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 31=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 13-09-2009 02:37:24
32 ถนนนี้กลับบ้าน

          หนุ่ยนอนเบิกตาโพลงอยู่ในความมืด เพื่อนๆหลายคนนอนหลับลงไปแล้ว คืนนั้นธีร์โทรมาหาหนุ่ยเกือบตีหนึ่ง ทำเอาเสียงของหนุ่ยเริ่มไม่ปกติแล้ว
“ถึงคอนโดแล้วเหรอครับ...”หนุ่ยถามเบาเสียงที่สุด
“...............”
“อ้าว...พี่ไม่นอนที่คอนโดเหรอ...”
“.................”
“กลับพรุ่งนี้ครับ...ถึงคงจะเกือบๆเย็น”
“.................”
“คิดถึงครับ....พี่เมาแล้วนะ...นอนเถอะ...ครับสวัสดีครับ”หนุ่ยปิดโทรศัพท์แล้วถอนหายใจ ก่อนจะปิดเปลือกตาลง ส่วนอีกด้านของห้อง เด็กหนุ่มสองคนที่นอนอยู่บนเตียงเดียวกันกำลังเริ่มทวงสัญญาที่ให้ไว้เมื่อวาน

“น่าน...”เสียงกระซิบเรียกเบาๆแผ่วๆตรงหน้า
“หืม...”น่านลืมตาขึ้นมาในความมืด
“เมื่อวานร้องเพลงให้ฟังแล้ว น่านยังไม่หอมแก้มป้อเลย”ป้อทวงสัญญา
“อ่ะ...”ป้อเอียงแก้มขึ้นมาให้น่านหอม
“มาเดี๋ยวหอมมัดจำก็ได้”น่านกระซิบเบาๆ
          น่านกำลังจรดปากลงที่แก้มนุ่มๆขาวๆของป้อ ทันใดนั้นป้อก็หันหน้ามา ปากของทั้งสองประกบกันทันที ป้อสอดลิ้นเข้าไปในปากน่านอย่างรวดเร็ว สองมือน่านโอบรอบคอไว้แล้วบดขยี้ริมฝีปากเข้าไป คราวนี้ทั้งรวดเร็วและรุนแรง ความอบอุ่นหอมหวานแผ่ซ่านเข้ามาในโพรงปาก กลิ่นไวน์แดงที่น่านดื่มทำให้ป้อรู้สึกได้ถึงความหอมของริมฝีปากอุ่นชื้นนั้นมากขึ้น ลิ้นกระหวัดรัดเกี่ยวกัน ทำให้ป้อถึงกับครางออกมาทีเดียว ป้อไม่เคยได้รับรสสัมผัสแบบนี้มาก่อน จึงทำให้เด็กหนุ่มครางออกมาเบาๆ
“อือ...น่าน”
          มือสองมือของป้อป่ายเปะปะไปตามแผ่นหลังของน่านโดยอัตโนมัติ น่านขนลุกเกรียวไปหมด ทั้งเสียวสะท้าน ทั้งวาบหวิวใจ ผ้าห่มถูกดึงขึ้นมาคลุมหัวไว้

“ป้อ...พอเถอะนะ...”น่านเลิกผ้าห่มออก
“น่าน...”ป้อมีใบหน้าสลดลงด้วยความเสียดาย
“น่านอยากให้ถึงวันนั้นก่อนนะ...”น่านพูดเบาๆ
“เมื่อไหร่ล่ะน่าน...เมื่อไหร่...”ป้อหันหน้าไปอีกทาง
“อย่างอนสิ...ป้อ”น่านประกบกอดจากด้านหลัง แล้วกดจมูกลงที่ต้นคอขาวๆของป้อ
“อืม...ป้อเข้าใจ...ป้อคอยได้”ป้อพูดในลำคอเบาๆ
“อือ...นอนเถอะนะ...”น่านหลับตาลงอีกครั้ง เป็นการหลับใหลที่น่านมีความสุขครั้งหนึ่งในชีวิตเลยทีเดียว


          เช้าวันรุ่งขึ้นเด็กๆเดินทางกลับ ขึ้นรถทัวร์เรียบร้อยก็หลับยิ่งกว่าโดนยาสลบ มีแต่น่านเท่านั้นที่นั่งเบิกตามาตลอดทาง น่านเอาแว่นกันแดดของหนุ่ยมาใส่ เหม่อมองออกนอกรถ ใช้ความคิดไปเรื่อยเปื่อย ป้อสลับกันนั่งกับหนุ่ย ป้อนอนเอาหัวอิงอยู่ข้างๆ มือกุมมือน่านอยู่
          น่านคิดว่ากลับบ้านไปจะต้องไปบ้านวัชสักหน่อย เพราะอยากจะรู้ข่าวคราวของวัชเหมือนกัน อย่างน้อยน่านก็คิดว่าวัชน่าจะโทรมาคุยกับคุณตาหรือคุณยายบ้าง หรืออาจจะมีเบอร์ของวัชที่นู่นบ้าง

“น่าน...กลับไปบ้านแล้วป๊าน่านจะว่าอะไรมั้ย”ป้อกระซิบถาม
“อืม...ไม่รู้สิ...อย่างเก่งก็โดนตี”น่านพูดเบาๆ
“โดนตีเลยเหรอ...”ป้อตกใจ เพราะไม่คิดว่าในพ.ศ.นี้ ยังจะมีการตีกันอยู่อีก ป้อเกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่น เป็นลูกคนเดียวที่แม่คอยดูแลมาตลอด พ่อของป้อเป็นนักบิน ไม่ค่อยอยู่บ้านวันๆเด็กหนุ่มจะอยู่แต่กับแม่แค่สองคนเท่านั้น พ่อต้องบินไปบินมาบ่อยๆ
“แล้วถ้าโดนตีน่านจะทำยังไง”ป้อถามคำถามที่แม้แต่น่านเองก็ตอบไม่ได้
“ไม่รู้สิ...ชินแล้วมั้ง....” น่านหวนคิดกลับไป หลายๆครั้งที่น่านโดนป๊าตี ทุกอย่างแปรเปลี่ยนไปตามอารมณ์ที่ขึ้นๆลงๆ มีอยู่ครั้งนึงที่น่านโดนตีทั้งพี่ทั้งน้อง เพียงเพราะเรื่องที่น้องของน่านขอเงินเพื่อจะไปเที่ยวกับเพื่อนๆบ้าง ป๊าเลยพาลมาตีทั้งคู่ แต่ที่จริงแล้วตอนนั้นป๊าขายของไม่ดี ค่าใช้จ่ายในบ้านเพิ่มก็มากขึ้น จะว่าไปป๊าก็มีข้อที่ดีอยู่อย่าง เรื่องที่เรียนของลูกๆทุกคน ป๊าจะให้เรียนที่ดีๆแม้จะมีค่าแป๊ะเจี๊ย หรือเงินกินเปล่าสูงแค่ไหน ค่าเทอมจะแพงป๊าก็ไม่เกี่ยง น่านถอนหายใจออกมา

“ถ้าป๊าตีอีกน่านหนีมาอยู่กับป้อก็ได้นะ”ป้อพูด
“อะไรกันป้อ...ลูกเค้ามีพ่อมีแม่นะ...”น่านยิ้ม อย่างน้อยก็อุ่นใจขึ้นมาอีกนิด
“...ล้อเล่น...แต่ถ้ามาจริงๆก็ดีนะ...เดี๋ยวป้อเลี้ยงเอง”ป้อยิ้มแล้วเอามือน่านขึ้นมาจูบเบาๆ ดีที่ไม่มีคนมอง
“บ้า...ป้อนี่เดี๋ยวคนเห็น...”น่านหน้าแดงไปถึงหู
“...................”

“ป้อชอบน่านตรงไหน...”น่านหันมาถาม
“ไม่รู้สิ...น่านเป็นน่านมั้ง...”ป้อยิ้มหน้าแดง
“เว่อร์น่า...”น่านเขิน
“ป้อเป็นอะไรรึเปล่า...”น่านถามเมื่อเห็นป้อแอ่นตัวแล้วเอามือเอื้อมไปคลำหลัง
“ปวดหลังนิดหน่อย”ป้อทำหน้าเหย่เก เค้าก็รำคาญอาการแบบนี้ เพราะตอนหลังๆนี้มันเป็นออกบ่อยๆ บางทีปวดจนไปไหนไม่ได้เลย ป้อไม่เคยบอกแม่เพราะคิดว่าอาจจะเกิดจากการเล่นกีฬาก็ได้


          เด็กๆแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมันเมื่อมาถึงกรุงเทพฯแล้ว หนุ่ยตรงเข้าบ้านเลย เขามีอะไรที่ต้องสะสางอีกหลายๆเรื่องทั้งโครงการผักสวนครัวของเขาที่ทำร่วมกับป้าจิตและเรื่องการทำสวนหน้าบ้านให้เป็นแบบบาหลี
“ไงพระเอก...กลับมาแล้วเหรอ...สนุกมั้ย”ธีร์เอ่ยทักเมื่อหนุ่ยเดินเข้ามา
“สนุกครับพี่...”
“มีอะไรมาฝากพี่บ้าง...”
“ไม่มีเลยครับ...ขี้เกียจหอบ...มีแต่ความคิดถึง”หนุ่ยยิ้มให้
“หิวมั้ย...เดี๋ยวให้ป้าจิตหาอะไรให้ทานก่อนดีมั้ย”ธีร์กำลังจะตะโกนเรียกป้าจิต
“ไม่เป็นไรพี่...เดี๋ยวผมลงไปหาอะไรทานเองก็ได้...แต่เดี๋ยวผมเอากระเป๋าไปเก็บก่อน”หนุ่ยเดินขึ้นห้องไป
“..........”ธีร์มองตามหนุ่ยจนลับตา “เฮ้อ...”ธีร์ถอนหายใจออกมา พลางยิ้มกับตัวเอง หนุ่ยบอกว่า”คิดถึง”มันรู้สึกชุ่มชื่นใจจริงๆ
“ป้าจิตวันนี้ทำอะไรทานบ้าง...”ธีร์เดินลงไปในครัวแล้วถามป้าจิต
“อุ้ย...คุณธีร์มีอะไรตะโกนเรียกก็ได้นี่คะ...ไม่เห็นต้องลงมาเลย”ป้าจิตตกใจ เมื่อเห็นธีร์เดินลงมาถึงครัว
“ไม่เป็นไร...ผมจะลงมาดูว่าเย็นนี้มีอะไรทานบ้าง...”
“อ้อ...ก็มี.......”ป้าจิตสาธยายให้ฟัง
“เอ่อ...เพิ่มไก่ทอดอีกอย่างนะ...เอาแบบที่คุณหนุ่ยชอบนะ”ธีร์สั่งของชอบของหนุ่ยด้วยตัวเอง
“ค่ะ...เค็มๆแห้งๆ”ป้าจิตยิ้ม
“คุณธีร์เอาอะไรเพิ่มอีกรึเปล่าคะ...”
“ไม่ละป้า...แต่เดี๋ยวขอของว่างก่อนแล้วกันนะให้คุณหนุ่ยรองท้องก่อน”ธีร์สั่งก่อนจะเดินออกไป

          สายน้ำเย็นที่ไหลรดลงบนร่างกายเปล่าเปลือยของเด็กหนุ่ม ทำให้สดชื่นและกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น ความเมื่อยล้าจากการเดินทางเมื่อได้น้ำเย็นๆอย่างนี้ทำให้หายล้าไปหมดสิ้น หนุ่ยไม่ชอบอาบน้ำอุ่น เขาชอบน้ำเย็นๆมากกว่า หนุ่ยจัดการกับตัวเองเรียบร้อยแล้วก็แต่งตัวเดินลงมาข้างล่าง ธีร์กำลังอ่านหนังสืออยู่

“หนุ่ยทานของว่างรองท้องก่อนสิ...”ธีร์เรียก
“ครับพี่ธีร์...”หนุ่ยนั่งลงตรงข้ามธีร์ แล้วเรื่องเล่าระหว่างการเดินทางก็ออกจากปากเด็กหนุ่ม สองคนพี่น้องหัวเราะกันดังลั่น เพราะธีร์เองก็ขำเรื่องของเด็กๆ และนึกสนุกแทนเด็กกลุ่มนี้ที่ได้ไปเที่ยวด้วยกัน
“เอาไว้พี่ไปด้วยสิ”ธีร์ร้องตาม
“โหยย...อย่าเลยพี่เดี๋ยวไอ้พวกนั้นเกร็งกันแย่เลย”หนุ่ยส่ายหน้ากลัวเพื่อนๆจะไม่ยินดี แต่สำหรับเขาเอง...ยังไงก็ได้ มีพี่ธีร์อยู่ด้วยเขารู้สึกอุ่นใจลึกๆ เหมือนมีผู้ปกครองมาดูแล...
“เกร็งอะไร...พี่ดุเหรอ”ธีร์ถาม
“ก็มีนะพี่...ไอ้น่านมันบอกพี่น่ะดูดุๆ”หนุ่ยว่า
“จริงเหรอ...”
“แต่ผมว่าถ้าพี่ธีร์จะไปเที่ยวกับพวกผมนะ...พวกมันถล่มพี่เละแน่ๆเลย”หนุ่ยหัวเราะออกมา


          ปิดเทอมครั้งนี้หนุ่ยได้จัดการกับโครงการทั้งสองจนเรียบร้อย จนคุณภาณีถึงกับเอ่ยปากชมว่าสวนบาหลีที่จัดไว้สวยมากๆ
“แม่ว่าสั่งโต๊ะไม้สวยๆไปวางเผื่อเอาไว้นั่งเล่นตอนเย็นๆดีมั้ย”ภาณีเอ่ยขึ้น
“ก็ดีครับ...แต่อย่าเพิ่งสั่งเลย เดี๋ยวผมไปดูเองดีกว่า...อยากให้มันลงตัวและก็ถูกใจผม”หนุ่ยมองพลางคิดไว้ในหัว
“อืม...ตามใจลูกนะ”ภาณียิ้มแล้วเอามือลูบหัวหนุ่ยด้วยความรักและเอ็นดู
“หนุ่ยอยากเรียนต่ออะไรลูก...”ภาณีถาม
“ผมอยากเรียนนิติศาสตร์ครับ...”
“ธรรมศาสตร์เหรอลูก”
“ครับ...”
“พยายามหน่อยนะ...” กำลังใจที่ได้รับอย่างสม่ำเสมอจากทั้งธีร์และภาณี แต่หนุ่ยก็ยังไหว้ปู่และย่าอยู่เสมอๆ ส่งใจไปถึงท่านทั้งสองเพื่อให้ท่านได้อวยชัยให้พร หนุ่ยถือว่าปู่ ย่าและพ่อนั้นถึงท่านทั้งสามจะจากไปแล้ว แต่ความรู้สึกผูกพันยังคงอยู่ในใจเสมอ อีกอย่างเพื่อนฝูงในกลุ่มจะคอยเป็นกำลังใจให้กันและกันอยู่ตลอด ไม่มีใครดูดาย ปัญหาของเพื่อนเสมือนปัญหาของตัว สิ่งเล็กๆน้อยๆที่เพื่อนพยายามดูแลกันนั้นทำให้หนุ่ยรู้สึกอบอุ่นเสมอ แต่ละคนต่างมีเป้าหมายในชีวิตต่างกันไป ป้อ แคน อ้นอยากเรียนวิศวะฯ น่านนั้นเบนเข็มไปทางอักษรศาสตร์ ปรีย์จะเข้านิเทศฯ มีทีมคนเดียวที่จะเรียนดุริยางคศิลป์ด้วยความที่อยากเป็นนักดนตรีตามสายเลือด...

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 32=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 13-09-2009 02:55:43
 :m15:
+1 ให้กับเรื่องนี้ที่ขยันลง
อ่านแล้วแสบทรวงมากมาย ไม่รู้จะทำไงดีแล้ว
เครียดๆ เขียนออกได้ยังไงนี่ ทรมานจัง
นิว(LOVEis)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 32=
เริ่มหัวข้อโดย: paulla ที่ 13-09-2009 09:41:15
+1 คับ ชอบมากๆเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 32=
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 13-09-2009 09:59:43
สนุกดีค่ะ แต่เดาไม่ถูกเลยว่าจะไปไงต่อ :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 32=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 13-09-2009 12:44:34
ชีวิตหนุ่ยราบรื่นแต่ไม่รู้ว่าจะมีอุปสรรคใดวิ่งเข้ามาชนอีก
ส่วนป้อปวดหลังแบบนี้ ไม่น่าจะธรรมดาสินะ จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ในอนาคตหรือเปล่า
ขอบคุณมากนะคะ ทั้งคนแต่งและคนโพส ขยันมากๆค่ะ
 :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 32=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 13-09-2009 14:02:18
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 32=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 13-09-2009 16:04:37
มีให้อ่านได้ตลอดเลยเรื่องนี้

+1 ให้นะครับ  แล้วจะรอตอนต่อไปครับ

 :z2:   :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 32=
เริ่มหัวข้อโดย: premkoe ที่ 13-09-2009 17:58:07
เพิ่งเช้ามาอ่านคับ

ชอบ มากๆ

รีบๆมาต่อนะคับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 32=
เริ่มหัวข้อโดย: Nichdia ที่ 13-09-2009 18:21:13
ว้าวว หนุ่ยจะมาเรียนมธ.ด้วย อิอิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 32=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 13-09-2009 23:58:03
33 ศูนย์รังสิต

          ผลการสอบเอนทรานซ์ออกมา ปรากฏว่าหนุ่ยสอบติดคณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ดั่งที่ใจหวัง หนุ่ยดีใจมากๆ ในวันที่รู้ผลนั้นคนทั้งบ้านร่วมดีใจกับเด็กหนุ่มด้วย ภาณีก็ดีใจ และคนที่ดูจะดีใจเป็นพิเศษคือธีร์ ชายหนุ่มดีใจและภูมิใจมากๆ ถึงขนาดที่ว่า
“หนุ่ยเอารถพี่ไปใช้แล้วกันนะ...จะได้ไม่ลำบาก” ธีร์บอก
“โหยย...ไม่อ่ะ...ผมไปรถเมล์ได้...” หนุ่ยส่ายหน้า
“ต้องไปเรียนที่ศูนย์รังสิตไม่ใช่เหรอ” ธีร์บอก
“บ้านเราอยู่เพลินจิตนะ...” ธีร์บอก
“รถไฟฟ้าไงพี่แล้วนั่งรถตู้ต่อไปได้” หนุ่ยส่ายหน้าเหมือนเดิม
“ผมน่ะปีหนึ่งเองนะ...เดี๋ยวโดนเขม่นเอา” หนุ่ยบอก
“สมัยเจ้าธีร์นะ...ปีหนึ่งมันก็เอารถแม่ไปใช้แล้ว ให้แม่ต้องซื้อใหม่” ภาณีพูดยิ้มๆ
“โธ่...ผมเรียนตั้งไกลนะแม่...เลยรังสิตไปอีก...สมัยนั้นรถตู้ไม่เต็มเมืองอย่างนี้นี่ครับ” ธีร์ยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“หนุ่ยแม่ให้ทริปไปยุโรปสักสิบวันดีมั้ยลูก...เป็นของขวัญที่เอ็นฯติด” ภาณีบอก
“จริงเหรอครับแม่...” หนุ่ยยิ้มกว้างดีใจมาก เขาอยากไปมานานแล้ว หนุ่ยกระโดเข้าไปกอดภาณีและหอมที่แก้มฟอดใหญ่ ภาณีหันมาหอมแก้มลูกชายด้วยเหมือนกัน
“อืม...คนเก่งของแม่...แม่ดีใจนะที่หนุ่ยทำได้สำเร็จ”
“ดูเรื่องเรียนให้เรียบร้อยก่อน ถ้าจะไปเมื่อไหร่ก็บอกแม่แล้วกัน...เดี๋ยวให้พี่เต้เค้าจัดการให้” ภาณีไม่ได้มองไปทางธีร์เลย แต่นางก็รู้ว่าลูกชายคนเดียวของนางต้องอยากไปด้วยแน่ๆ
“แต่แม่ครับ...ขอแค่ที่พักธรรมดาๆกับตั๋วเครื่องบินไปกลับก็พอครับ...เงินติดกระเป๋านิดหน่อยพี่ธีร์เป็นคนออก” หนุ่ยหันมาทางธีร์ที่นั่งยิ้มเพลิน
“อ้าว...ยกรถให้ใช้คันนึงหนุ่ยไม่เอาเอง...พี่ว่าจะไม่ให้อะไรแล้วนะ...” ธีร์พูดงอนๆ
          เด็กหนุ่มเลยพาร่างที่โตเป็นหนุ่ม กับความสูงราวๆ 180 ซม.ไหล่หนากว้าง ท่อนแขนแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มวัยเกือบ 18 ปีเดินเข้าไปหาแล้วเกาะเอวธีร์เอาไว้แน่นก่อนจะพูดว่า
“โธ่พี่ธีร์...อย่างอนสิครับ...เอาเป็นว่าผมจะใช้รถที่พี่ให้ แต่ตอนแรกๆขอไปเองก่อนได้มั้ยครับ...นะครับพี่ธีร์...แต่ถ้าผมเอารถพี่ไปใช้แล้วพี่ล่ะ” หนุ่ยกอดเอวธีร์ไว้แล้วดึงเข้ามากอดซะแน่นเลย
“พี่มีรถประจำตำแหน่ง....โอยย...ตัวใหญ่อย่างกับอะไร...เดี๋ยวนี้กอดพี่ทีนึง หายใจแทบไม่ออกเลย” ธีร์ดิ้นจนหลุดออกจากอ้อมแขนด้วยความเสียดายนิดๆ แต่ก็ต้องแสดงออกมาแบบนั้นเพราะทุกอย่างอยู่ในสายตาภาณี
“เล่นกับพี่ธีร์เบาๆสิลูก...พี่เค้าผอมจะแย่...กอดรัดแบบนี้เดี๋ยวกระดูกกระเดี้ยวหักหมด” ภาณีหัวเราะชอบใจ
“ก็ผมอยากขอบคุณพี่ธีร์นี่ครับ...” หนุ่ยยังไม่ยอมปล่อยมือจากเอว ยังคงเกาะแน่น ลมหายใจของเด็กหนุ่มรินรดอยู่ใกล้ๆ แค่สูดหายใจเบาๆก็ทำให้วาบหวิวไม่น้อย


          หนุ่ยยกหูโทรศัพท์โทรหาเพื่อนๆเพื่อเช็คดูว่าใครได้เรียนที่ไหนบ้าง และก็เป็นไปตามคาดที่เพื่อนๆได้เรียนในคณะที่ต้องการทุกคน ยกเว้น”น่าน”ที่พลาด หนุ่ยไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากอะไรกันแน่ แต่รู้ว่าระยะหลังๆที่เรียนอยู่ด้วยกันนั้น น่านดูเงียบขรึมไป ถึงแม้ว่าเพื่อนๆจะพยายามเข้าไปดูแลอย่างที่ควรจะเป็นแต่ก็ทำได้ไม่เต็มที่ ป้อเองก็กังวลไม่ใช่น้อยที่น่านเป็นแบบนี้แต่ป้อก็ยังผ่านด่านอรหันต์เข้าไปเรียนวิศวะเกษตรฯได้

“น่านไม่ต้องเสียใจนะ...” หนุ่ยได้คุยกับน่านในที่สุด
“ไม่หรอกหนุ่ย...น่านอาจจะพักการเรียนไปก่อน...ปีหน้าค่อยว่ากันใหม่...หรือไม่งั้นก็ลงรามฯไปเรื่อยๆ” น่านพูด
“พวกเรากลัวน่านจะคิดมาก...ไอ้ป้อมันเป็นห่วงน่านมากๆนะ...น่านคุยกับป้อบ้างมั้ย” หนุ่ยพูด
“ก็คุยบ้าง...ป้อโทรมาคุยบ่อยๆ...ยังไงน่านก็ขอบคุณมากๆนะ....” น่านวางหูไป
............................................


          เพียงสองสัปดาห์หลังจากสิ้นสุดเดือนที่ร้อนที่สุดในรอบปี ในคืนที่ฝนหลงฤดูตกลงมาอย่างหนัก ป้อในชุดเสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนสีดำ เดินลงจากแท็กซี่ในสภาพดูเกือบไม่ได้ ใบหน้าซีดเผือดเหมือนคนไม่มีเลือดฝาด ดวงตาบวมและแดงช้ำด้วยผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก กลิ่นเหล้าจางๆจากตัวของเด็กหนุ่มเฟรชชี่วิศวะฯเกษตร ไม่ได้ทำให้มีสง่าราศีเลย ระยะทางจากปากซอยอีกตั้งเกือบห้าร้อยเมตรกว่าจะถึงบ้าน แต่เขาก็ไม่ได้ให้แท็กซี่เข้าไปส่ง น้ำตาฟ้าที่หลั่งมาจากเบื้องบน ไม่สิ้นสุด ลมแรงกรรโชกพัดเอาสังกะสีที่เพิงขายส้มตำข้างทางสั่นพะเยิบพะยาบ ป้อเดินเซไปมาระหว่างที่กำลังเข้าซอย ป้อเดินช้าๆราวกับคนที่หมดแรง หนาวเหน็บไปทั้งสรรพางค์กาย เนื้อตัวเปียกปอนและสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เสื้อผ้าที่ใส่เปียกแฉะไปหมด เด็กหนุ่มเดินตากฝนเข้ามาถึงประตูหน้าบ้านแล้วก้มลงเปิดรั้ว แต่ด้วยความที่ไม่ได้พักผ่อนมาหลายวัน หลังจากปิดประตูแล้วป้อล้มคว่ำลงกับขอบประตูรั้วบ้าน ใบหน้าหล่อๆบางๆครูดไปกับพื้นปูนที่พื้น เลือดไหลออกมาซิบๆ ป้อหมแรงล้มลงไปด้วยฤทธิ์ไข้และความเมา เสียงของน่านยังคงก้องอยู่ในหัว ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลงไป...

“ป้อ...น่านอยากจะบอกกับป้อว่า...” ป้อก้มหน้าเตรียมรับชะตากรรมที่น่านจะพิพากษา...ชีวิตของเขา
“น่านจะไปอยู่กับวัชนะ...วัชจะซื้อตั๋วเครื่องบินให้...น่านจะไปทำงานที่นู่น...” สิ้นเสียงน่าน ดั่งความหวังพังทลาย การรอคอยของเขามันสิ้นสุดลงแล้ว...ป้อก้มหน้า...น้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม ความเสียใจ ความน้อยเนื้อต่ำใจเกิดขึ้นแบบท่วมท้นล้นหัวใจ ใจมันจะขาดเสียให้ได้เลยทีเดียว
“น่าน...ขอบคุณมากนะ...ขอบคุณที่ให้โอกาสป้อได้คอย” ป้อไม่สบตา เด็กหนุ่มก้มหน้าเสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาเบาๆ เขาอยากร้องไห้ อยากคร่ำครวญ อยากระบายเอาความอัดอั้นตันใจออกมาให้หมด ป้อซบหน้าลงกับท่อนแขนของตัวเอง เสียงกลั้นสะอื้นจนคนอื่นๆในร้านกาแฟเล็กๆแถวโรงเรียนหันมามอง
“น่านขอโทษนะ...ที่รักป้อแบบนั้นไม่ได้ แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้นะป้อ...” น่านน้ำตาซึมออกมา เมื่อเห็นเพื่อนรักต้องมานั่งร้องไห้แบบนี้ น่านไม่อยากให้เรื่องอย่างนี้มันเกิดขึ้น แต่จะทำยังไงได้ น่านไม่มีสิทธิ์จะไปห้ามหัวใจใครให้มารัก อีกอย่างที่น่านต้องปฏิเสธเพราะ”น่านรักวัช”มากๆนั่นเอง...คำสัญญาที่ให้ไว้แก่กันดังก้องในหัว
          น่านย้อนนึกไปถึงช่วงที่กลับมาจากเมืองกาญจน์ น่านไปบ้านวัช เพื่อขอพบคุณตาคุณยาย จนน่านได้เบอร์โทรของวัชมา น่านจึงติดต่อกับวัชได้ เหตุผลที่วัชหายไปคือ วัชย้ายไปทำงานที่เคปทาวน์เพราะวัชอยู่กับแม่ไม่ได้ เด็กหนุ่มทะเลาะกับพ่อเลี้ยง ด้วยอารมณ์ที่ร้อนแรงของวัชนั่นแหละที่เป็นสาเหตุ “น่านเตรียมตัวให้พร้อมนะ...วัชเก็บเงินได้สักก้อนนึงแล้ว...เราจะได้มาอยู่ด้วยกัน”นั่นคือเหตุผลที่น่านต้องชวนป้อออกมาคุยในวันนี้ 
....................................................


“หนุ่ย...หนุ่ย...ป้อเมามากเลย...” น่านส่งเสียงมาทางโทรศัพท์ปลุกหนุ่ยตื่นกลางดึก
“อะไรน่าน...ค่อยๆพูดสิ” หนุ่ยงัวเงีย
“เมื่อเย็นนี้น่านชวนป้อออกมาคุย...เรื่องเอ่อ...เอ่อ...เรื่องที่...ป้อรอคอย...เอ่อคือ...เอ่อ...น่านจะไปอยู่เคปทาวน์กับวัช...” น่านพูดเสียงสั่นระรัว..ด้วยความกลัวว่าหนุ่ยจะต่อว่า
“แล้วไง” หนุ่ยถาม
“เมื่อกี้นี้ป้อโทรมาหาน่าน...บอกว่าขอลาก่อน...ป้อเมามากเลย...ป้อพูดไม่รู้เรื่อง” น่านเองก็ห่วงป้อเหมือนกัน
“แล้วตอนนี้มันอยู่ที่ไหนละ” หนุ่ยถามเสียงเครียด
“ไม่รู้สิ...น่านโทรเข้ามือถือก็ไม่ติด เมื่อกี้นี้โทรไปที่บ้านจะบอกแม่น่านก็ไม่มีคนรับโทรศัพท์เลย...น่านเป็นห่วงป้อมากเลยหนุ่ย...ทำยังไงกันดีล่ะ” เสียงน่านเหมือนคนจะร้องไห้
“เอางี้นะน่านเดี๋ยวหนุ่ยจะเอารถออกไป...น่านออกมารอที่ปากทางนะเดี๋ยวหนุ่ยไปรับ แล้วเราไปตามหาน่านกัน” หนุ่ยบอกพลางกดโทรศัพท์ไปหาป้ออีกครั้งเผื่อว่าป้อจะรับ แต่ก็ต้องผิดหวัง หนุ่ยเลยกดโทรศัพท์ไปหาทีมเพราะบ้านทีมอยู่ใกล้กับบ้านป้อกว่าใคร
“ไอ้ทีมมึงออกไปดูไอ้ป้อที่บ้านสิ...ดูสิว่ามันกลับบ้านรึยัง...มันเมามาก” หนุ่ยวางหู
“เออ...เดี๋ยวมึงจะตามมาใช่มั้ย...” ทีมพูดพลางหาว
“ใช่เดี๋ยวกูไปรับน่านก่อน” หนุ่ยวางหูไป ก่อนที่จะเดินไปเคาะห้องธีร์เพื่อขอกุญแจรถ โดยหนุ่ยเล่าแค่ว่าป้อไม่สบายมากจะไปดูหน่อย
“หนุ่ยไปได้นะ...พี่ต้องไปเป็นเพื่อนมั้ย” ธีร์มองมาด้วยความห่วงใย แต่ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มไม่อยากให้เขาไปด้วย ธีร์จึงได้แต่ถาม ธีร์รู้ดีว่ายังไงๆหนุ่ยต้องกลับมาเล่าให้เขาฟังอยู่ดี
“ไม่เป็นไรพี่...เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังนะ...พี่ธีร์ไม่ต้องกังวล” หนุ่ยรับกุญแจแล้วรีบออกไปรับน่านทันที
.................................


“ไอ้ป้อ...ไอ้ป้อ...มึงเป็นอะไรวะ...” ทีมวิ่งปราดลงจากรถเมื่อเห็นร่างของป้อนอนหมดสติอยู่ที่หน้าบ้าน สายฝนพร่างพรมลงมาไม่ขาดสาย ร่างของป้ออ่อนปวกเปียก ตัวร้อนจี๋ ใบหน้าหล่อๆบางๆขาวซีดเหมือนกับคนไม่มีเลือด โหนกแก้มด้านขวามีรอยถลอกและเลือดซึมออกมาเล็กน้อย ทีมหยิบกุญแจที่หล่นอยู่ใกล้ๆเก็บไว้ แล้วอุ้มป้อขึ้นรถ
“ป้อ...อย่างเป็นอะไรนะ...กูจะพามึงไปโรงบาลแล้ว...อดทนหน่อยนะ” ทีมประคองป้อให้นอนที่เบาะข้างๆก่อนจะวิ่งอ้อมไปอีกด้านของรถแล้วออกรถโดยเร็ว สมองคิดถึงโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เด็กหนุ่มหยิบโทรศัพท์กดหาหนุ่ย
“ไอ้หนุ่ยกูพาไอ้ป้อไปโรงบาลนะ...” ทีมเสียงร้อนรน
“ที่ไหน...”
“พญาไท2” ทีมคิดได้ตอนนั้น
“เดี๋ยวกูตามไป”  หนุ่ยเลี้ยวรถไปที่โรงพยาบาลพญาไททันที ...

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 33=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 14-09-2009 00:00:44
 :monkeysad: เกิดเรื่องอีกแล้ว เรื่องนี้ยิ่งอ่านยิ่งเต็มไปด้วยเรื่อง
กลัว กลัวจนไม่รู้จะพูดอะไร หวังว่ามาอ่านต่อพรุ่งนี้จะไม่มีอะไรนะ
นิว(LOVEis)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 33=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 14-09-2009 00:43:53
ทั้งเหงา เศร้า สงสาร หลากหลายอารมณ์

เรื่องราวจะเป็นยังงัยต่อไปนะ

 :z2:   :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 33=
เริ่มหัวข้อโดย: Vesi ที่ 14-09-2009 00:45:07
เศร้าจัง รักคนมีเจ้าของแบบนี้ น่าสงสารจริงๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 33=
เริ่มหัวข้อโดย: viky_mama ที่ 14-09-2009 01:05:40
น่าสงสารป้อนะ แต่อย่างว่าเรามันมาทีหลัง ดันไปหลงรักคนมีเจ้าของ อ่านแล้วก็เศร้าใจแทน

น่านจะไปแล้วก็ขอให้มีความสุขมากๆ กับวัชนะ อย่าได้มีเรื่องอะไรกันอีก สองคนนี่ผ่านเรื่องอะไรร้ายๆ มาด้วยกันเยอะแล้ว

ว่าแต่เรื่องน้องหนุ่ยกับพี่ธีร์นี่มันอะร้ายยยค้าคนเขียน :fire: ผ่านมาสามสิบสองตอนแล้วยังไม่มีอะไรกันเลย!!

คนอ่านเคือง!  :m31:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 33=
เริ่มหัวข้อโดย: premkoe ที่ 14-09-2009 01:12:05
 :z13:

มาจิ้มคนเขียน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 33=
เริ่มหัวข้อโดย: nithiwz ที่ 14-09-2009 02:21:49
 :3125:  :m16:  :m31:  :fire:
อ่านสี่ตอนรวดแบบว่าไม่ได้มาอ่านนาน  คิดถึงหนูหนุ่ย.............

สงสารป้ออ่ะคับ   เซ็งน่านอ่ะ  พูดแบบให้ความหวัง สุดท้ายก็มาทิ้งป้อไป  :serius2:
สงสารป้อ  แล้วครายจะมาดามใจไอ้ป้อหว่า   คิดไม่ออกเลย

สงสารป้อ + รอเมื่อไหร่พี่ธีร์กับหนุ่ยจะรักกันซักที เหอะๆๆๆๆ
ป.ล. หนุ่ยเก่งอ่ะ  ติด นิติ มธ.ด้วย  :mc4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 33=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 14-09-2009 12:26:55

ว่าแต่เรื่องน้องหนุ่ยกับพี่ธีร์นี่มันอะร้ายยยค้าคนเขียน :fire: ผ่านมาสามสิบสองตอนแล้วยังไม่มีอะไรกันเลย!!

คนอ่านเคือง!  :m31:
^
^
ขออนุญาตฮา
เราก็ลุ้นเหมือนกัน หรือว่า เค้าสองคนไม่ใช่คู่กันจริงๆ
เดี๋ยวหนุ่ยไปเรียนมธ. จะเจอเรื่องราวอะไรเพิ่มอีกหละสิเนี่ย

สงสารป้อ รอมานานแสนนาน
น่านไม่น่าจะให้รอ เมื่อคิดว่ารักไม่ได้ น่าจะบอกเพื่อนไปแต่แรก
ทำแบบให้ความหวัง เหมือนว่าถ้าพลาดจากวัชแล้วค่อยมามองป้ออ้ะ

บวก 1 แต้มนะคะ ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 33=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 14-09-2009 16:26:25
สงสารป้อจังอะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 33=
เริ่มหัวข้อโดย: hene2526 ที่ 14-09-2009 23:14:59
ยังมีให้ติดตามอีกเยอะช่ายมั้ยเนี้ย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 33=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 15-09-2009 00:44:38
วันนี้ลงให้สองตอนนะคะ  ไม่อยากให้ค้างอยู่ในใจ  (เอ .. หรือจะค้างมากกว่าเดิม) 

ใครลุ้นคู่หนุ่ยกับพี่ธีร์ใจเย็นนะคะ

ขอบคุณมากค่ะ   :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 33=
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 15-09-2009 00:48:10
ยังมีให้ติดตามอีกเยอะช่ายมั้ยเนี้ย
แอบมาบอกว่า อีกเยอะเลยครับ เพราะตอนนี้ ต้นฉบับแปะถึงตอน 52 แล้วอะครับ และตอน 52 นี้ อาจเป็นตอนที่หลายๆคนรอคอย

 :bye2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 33=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 15-09-2009 00:50:40
34 พญาไท

“ป้อ...ถึงโรงพยาบาลแล้วนะ...มึงต้องไม่เป็นอะไรนะ” ทีมกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามรถเข็น ที่เข็นร่างอันไร้สติของป้อเข้าห้องฉุกเฉิน
“ญาติรอด้านนอกนะคะ....” เสียงพยาบาลทำให้เด็กหนุ่มหยุดยืนอยู่กับที่ หลังจากนั้นทั้งแพทย์เวรและพยาบาลก็เดินวิ่งกันให้ขวักไขว่ ความวุ่นวายมาเยือนโรงพยาบาลแห่งนี้ตอนตีสอง
“น้องเป็นอะไรกับคนไข้คะ” เสียงพยาบาลอีกคนเดินเข้ามา
“เอ่อ...เป็นเพื่อนครับ”
“แล้วญาติผู้ป่วย...”
“ยังติดต่อคุณแม่ไม่ได้เลยครับ...ไม่เป็นไรครับ...ผมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างครับ”
“ขอบัตรประชาชนของน้องกับคนไข้ด้วยค่ะ...”
“นี่ครับ...”
“คอยสักครู่นะคะ...คุณหมอกำลังดูอาการเบื้องต้นก่อนค่ะ...”
“ครับ...”
          ความกระวนกระวายใจเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อป่านนี้แล้วหนุ่ยยังมาไม่ถึงอีก ทีมกดโทรศัพท์หาหนุ่ยอีกครั้ง
“อยู่ไหนวะ”
“ถึงแล้วกูจอดรถอยู่”
“ห้องฉุกเฉินนะ..”
          หนุ่ยกับน่านเดินเข้ามาทางด้านหลังอย่างรีบร้อน เพื่อนทั้งสามคนไม่สามารถจะติดต่อกับแม่ของป้อได้เลย เพราะว่าไม่มีเบอร์โทรศัพท์และป้อก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา ก็ได้แต่นั่งกุมขมับรออยู่จนกระทั่งเกือบเช้า

“น้องคะเอ่อ...กรอกรายละเอียดตรงนี้ให้พี่หน่อยค่ะ” พยาบาลพูด
“ครับ...” ทีมขยับเข้าไปกรอกรายละเอียดในกระดาษเพื่อเปิดห้องพักสำหรับแอดมิทคนไข้
“เพื่อนผมเป็นยังไงบ้างครับ”
“รู้สึกตัวแล้วค่ะ...แต่ไม่ยอมพูดอะไรได้แต่นอนร้องไห้อยู่”
“ผมขอพบเพื่อนผมหน่อยนะครับ” ทีมพูดพลางเซ็นชื่อลงท้าย
“ค่ะ...เดี๋ยวเจ้าหน้าที่จะพาคนไข้ขึ้นไปบนห้อง”
“ครับ....” ทีมลุกพรวดเข้าไปในห้องฉุกเฉินแล้วรีบปรี่ไปที่เตียงที่ป้อนอนอยู่ ผ้าห่มสีขาวคลุมร่างอันบอบบางและซีดเซียวของป้อไว้ ป้อค่อยๆหันหน้ามาช้าๆ น้ำตาไหลที่อาบแก้มเป็นคราบ โหนกแก้มมีพลาสเตอร์ปิดไว้
“ป้อ...เป็นไงบ้าง” ทีมเดินเข้ามากุมมือป้อเอาไว้ เด็กหนุ่มน้ำตาซึมออกมาทางหางตา เมื่อเห็นสภาพของเพื่อนรักที่ผ่ายผอมและซีดเซียว เสื้อผ้าเปียกๆถูกถอดเปลี่ยนเป็นชุดคนไข้ของโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว สายน้ำเกลือระโยงระยาง
“ขอโทษครับ...” เจ้าหน้าที่มาขยับเตียงเตรียมจะเข็นออกจากตรงนั้น
“ป้อไหวนะ...เดี๋ยวขึ้นไปพักผ่อนก่อนนะ...กูอยู่ตรงนี้...กูอยู่ตรงนี้แล้ว” ทีมน้ำตาไหลออกมาเด็กหนุ่มยกแขนเสื้อเปียกชื้นขึ้นเช็ดน้ำตา
“..............” ไม่มีเสียงของป้อออกมาจากลำคอ นอกจากรอยยิ้มอันแห้งแล้ง ปากที่เขียวซีดของเด็กหนุ่มแห้งแตกจนเลือดซึมออกมา ป้อพยักหน้าน้อยๆราวกับรับรู้ในความรู้สึกของเพื่อน
“หนุ่ย น่าน...” ทีมพยักหน้าเรียกเพื่อนทั้งสองให้ตามขึ้นห้องไปด้วยกัน
“ป้อ...ป้อ...” หนุ่ยเดินตามพลางเรียกเพื่อนเบาๆ ป้อพยักหน้ารับรู้แล้วก็หลับตาลงเมื่อเห็นน่านเดินอยู่ด้านหลัง ป้อน้ำตาไหลออกมาอีก

          เมื่อเข้าห้องพักแล้วพยาบาลก็เดินเข้ามาอธิบายถึงการใช้ห้องพักและบริการที่โรงพยาบาลมีให้ เด็กๆรับทราบ
“คุณกวินคะ...เรียนเชิญทางนี้หน่อยค่ะ” พยาบาลยังเรียกทีมออกไปที่เคาน์เตอร์
“เอ่อ...ไม่ทราบว่าเราจะได้พบคุณแม่ของคุณปรเมษได้เมื่อไหร่คะ”
“เอ่อ...พรุ่งนี้ผมจะบอกท่านให้ครับ”
“ให้ไปพบอาจารย์คุณหมอสุวิทย์...ที่คลินิกโลหิตวิทยาด้วยนะคะหรือถ้าคุณแม่มาแล้วให้มาบอกพยาบาล...เราจะนัดอาจารย์ให้” พยาบาลบอก

          ทีมกลับเข้ามาในห้องพักอีกครั้ง เพื่อนสองคนยืนอยู่ข้างเตียง ป้อนอนหลับตาอยู่เหมือนไม่อยากจะรับรู้เลยว่าใครมายืนอยู่ข้างๆ ทีมเรียกหนุ่ยและน่านออกมาด้านนอกระเบียงแล้วเปิดฉากซักถามเพื่อนทั้งสองว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากที่น่านเล่าเรื่องทั้งหมดให้ทีมและหนุ่ยฟังอย่างละเอียดแล้ว
“เฮ้อ...” ทีมถึงกับส่ายหน้าอย่างผิดหวัง
“ทีมจะด่าจะว่าน่านก็ได้นะ...น่านยอมทุกอย่าง” น่านเอาแขนขึ้นมาเช็ดน้ำตา
“กูจะด่ามึงได้ยังไง...ทางเดินของมึง...ชีวิตของมึง...เพื่อนกูมันไม่เจียมกะลาหัวเองเสือกไปรักมึง” ทีมหน้าแดงด้วยความโกรธ
“เฮ้ยๆๆ...ไอ้ทีม...มึงไปว่าไอ้น่านอย่างนั้นมันก็ไม่ถูกนะ...” หนุ่ยห้ามศึก
“ให้ทีมว่ามาเถอะ...หนุ่ย...น่านมันไม่ดีเอง...” น่านนั่งลงไปกองกับพื้น แล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ไอ้ทีม...ไอ้ป้อมันก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว...กูว่าเดี๋ยวมันก็ดีขึ้น...” หนุ่ยบอกเพื่อนรักพลางเอามือโอบไหล่ไว้
“นะ...อย่าโทษกันเลย...มันไม่มีใครผิดทั้งนั้นแหละ” หนุ่ยพูดอีกแล้วนั่งลงข้างๆน่าน
“ตอนเนี้ย...สิ่งที่เราต้องทำก่อนเลยคือ...ติดต่อแม่ไอ้ป้อ...แล้วให้ท่านมาที่นี่...” หนุ่ยหาทางออกยามหน้าสิ่วหน้าขวานได้ดีเสมอ
“..............” เงียบกันไปทั้งหมด สายลมเย็นพัดเอื่อยๆเข้ามา สายฝนที่พร่างพรมโปรยละอองลงมาเล็กน้อย ทีมนั่งลงข้างๆน่านแล้วกอดคอเพื่อนเอาไว้
“น่านกูขอโทษว่ะ...” ทีมเอ่ยขึ้นมาแล้วดึงเพื่อนเข้ามากอด
“อือ...น่านขอโทษทีมด้วย...” น่านพูดเสียงสั่นๆ
“ไม่ต้องขอโทษทีมหรอก...ไปขอโทษไอ้ป้อนู่น...” ทีมพยักหน้าเข้าไปในห้องพักที่ป้อนอนหลับสนิทอยู่

          ทีมกลับบ้านเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ววนกลับไปที่บ้านป้อเพื่อไปบอกแม่ ก่อนที่จะกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง แม่ของป้อตามมาที่โรงพยาบาลในเวลาไม่นาน เพื่อนๆคนอื่นๆเข้ามาเยี่ยมอาการของป้อแต่เช้า ทำเอาห้องทั้งห้องสดใสและอบอวลด้วยความสุขและมิตรภาพ หนุ่ยกับน่านตามมาเพราะเพิ่งกลับไปบ้านหลังจากที่ทีมมาเฝ้าต่อ เด็กๆคุยกันเสียงดังลั่น ป้อที่นอนอยู่พลอยยิ้มแก้มปริไปด้วย ป้อมีความสุขมาก แม่ของป้อได้ไปพบอาจารย์หมอตามที่พยาบาลนัดให้ ห้องนี้จึงมีแต่เด็กๆ น่านเทโจ๊กที่เอามาจากบ้าน เด็กหนุ่มกำลังเลื่อนโต๊ะกินข้าวเข้ามาให้ป้อ
“โจ๊กที่บ้านนะ...ที่ป้อชอบกินไง” น่านพูดพลางตักใส่ปากป้อ
“ไม่เป็นไรป้อทานเองได้” ป้อพูดเบาๆ
“อ่ะ...เดี๋ยวเอาน้ำให้นะ” น่านหยิบแก้วน้ำแล้วรินน้ำเปล่าใส่แก้วให้ป้อ
“ไม่เอา...อยากได้น้ำเย็นน่ะ...”
“ไม่สบายแล้วยังดื่มน้ำเย็นอีกเหรอ....” น่านพูด
“อือ...ขอเถอะนะ...ป้ออยากกินน้ำเย็นๆ...อีกหน่อยอาจจะไม่ได้กินก็ได้” ป้อพูดแล้วยิ้ม เพื่อนๆที่ได้ยินต่างหันกลับมามองด้วยความงุนงงว่าทำไมป้อถึงพูดอะไรแบบนี้
“ทำไมล่ะ...เดี๋ยวหายแล้วนะ...มึงจะกินน้ำใส่หิมะกูก็จะไปหามาให้” ทีมพูดหลังจากเงียบมานาน
“ขนาดนั้นเลยไอ้ทีม...” ปรีย์สวนขึ้นมา
“ไอ้เชี่ยปรีย์...เงียบๆไปเลยมึง” ทีมหันไปด่า เหมือนกับกลัวว่าปรีย์จะหลุดอะไรออกมา
“ไอ้ป้อ...หน้าเสียโฉมเลยมึง” ปรีย์จับแผลที่โหนกแก้มเบาๆ
“อย่างนี้เรียกหน้าบากรึเปล่า” แคนพูด
“ไม่ขนาดนั้น...แค่ถลอกนิดหน่อยเอง” ป้อพูดเบาๆ
“ต้องศัลยกรรมรึเปล่าวะ” ปรีย์ถาม
“ให้หมอทำจมูกด้วยเลย...มันโด่งเกินนะกูว่า” อ้นตอบแทนป้อ
“โด่งแบบนี้น่ารักมั้ยวะไอ้ทีม...” ปรีย์ปากหมาอีกจนได้ ทุกคนเลยหันมามองเป็นตาเดียวกัน
“ไอ้ปรีย์...มึงออกไปข้างนอกเลยปะ” ทีมชี้นิ้วไล่
“ก็ได้วะ...” ปรีย์เดินคอตกออกข้างนอกไป
“ไปไหนวะปรีย์” อ้นเดินตามออกมา
“เปล่า...เบื่อขี้หน้าไอ้เชี่ยทีม...” ปรีย์ส่ายหน้า
“เฮ้อ...เพื่อนกันน่า...อย่าคิดมาก...ปะไปหาอะไรกินกันดีกว่า” อ้นพาปรีย์เดินออกจากโรงพยาบาลไป  ....

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 33=
เริ่มหัวข้อโดย: viky_mama ที่ 15-09-2009 01:46:26
ทำไมป้อพูดชวนสงสัยแบบนี้นะ อย่าบอกว่าจะคิดสั้นนะ ถ้าทำจริงนี่จะด่าให้เลย กะอีแค่อกหัก ไม่สงสารพ่อแม่ซะบ้าง (คนอ่านอินจัดขออภัยฮ่ะ)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 33=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 15-09-2009 02:40:34
35 ห้องตรวจ

          ที่ห้องตรวจของแพทย์ทางด้านโลหิตวิทยา วิภาพรนั่งรอพบอาจารย์หมอสุวิทย์ที่หน้าห้อง สักพักพยาบาลก็เชิญเข้าพบ
“คุณเป็นแม่ของคนไข้ที่ชื่อนายปรเมษใช่มั้ยครับ...”
“ค่ะ...”
“คืออย่างนี้นะครับ...จากอาการของคนไข้โดยทั่วไปแล้ว ไม่มีอะไรมาก อาจจะพักผ่อนน้อยและมีอาการเมาสุราร่วมด้วยจึงวูบไป บาดแผลที่ใบหน้าก็แค่รอยถลอกเท่านั้น...แต่ที่หมอเรียกคุณมาพบนั้นมันมีข้อที่น่าสงสัยอีกเรื่องที่หมอต้องบอก...คือ...หมอดูจากอาการอื่นประกอบกันแล้วเช่นการวูบหมดสติ การที่คนไข้มีภาวะไข้สูง ได้สั่งให้แลปตรวจเลือดแบบ CBC ของคนไข้ดูแล้ว ปรากฏว่าผลที่ได้นั้นพบว่า มีความผิดปกติของเซลล์เม็ดเลือด ทำให้มีการสร้างเม็ดเลือดชนิดผิดปกติออกมามากกว่าปกติ และจะไปรบกวนการสร้างเม็ดเลือดปกติ ทำให้จำนวนเม็ดเลือดที่ปกตินั้นมีจำนวนลดน้อยลง...พูดง่ายๆว่าหมอสงสัยว่าคนไข้น่าจะมีอาการของ”มะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือลูคีเมียนั่นเองครับ”” สิ้นเสียงของหมอ วิภาพรถึงอ้าปากค้าง...น้ำตานางไหลออกมา

“ป้อ...” นางครางเรียกชื่อลูกชายคนเดียวออกมา
“.............”
“แต่เพื่อให้ผลการวินิจฉัยออกมาแน่นอนหมอจะขอตรวจไขกระดูกอีกครั้งนะครับ”
“มีทางรักษามั้ยคะ...” วิภาพรพูดอย่างร้อนรน
“โดยทั่วไปเราต้องควบคุมโรคให้สงบก่อนลงเสียก่อน...พูดง่ายๆคือทำให้มันนิ่งหลังจากนั้นจะต้องป้องกันไม่ให้มันกลับมาเป็นซ้ำ...” หมอร่ายยาวถึงรายละเอียดของการรักษาและค่าใช้จ่ายที่ต้องเกิดขึ้น
“หมอแนะนำให้คุณพาลูกเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของรัฐเพื่อจะได้มีค่าใช้จ่ายที่ถูกลง...แล้วหมอจะประสานงานให้” หมอแนะนำไปเรื่อยๆด้วยความเมตตา แต่สมองของวิภาพรนั้นไม่รับเสียแล้ว นางช็อกไปชั่วครู่ พรุ่งนี้พ่อของป้อถึงจะบินกลับมา อยากโทรไปบอกสามีของนางให้รู้ใจจะขาด แต่กลัวว่าจะกระทบกับการทำงานของเขา นางจึงได้แต่เก็บความไม่สบายใจเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว
“ลูกชายดิฉันจะหายรึเปล่าคะ...”
“หมอไม่รับปากนะ...เพราะอาการที่แสดงออกมามันค่อนข้างรุนแรงอยู่...เราต้องให้เคมีบำบัดเพื่อควบคุมไม่ให้เซลส์มะเร็งแพร่กระจายออกไปอีก...เดี๋ยวเช้านี้หมอขอเจาะเลือดที่ไขกระดูกเพื่อดูผลอีกครั้งนะครับแล้วเราค่อยคุยกันอีกครั้งนึง” หมอกล่าวแล้วขอตัวออกไป วิภาพรนั่งสะอื้นไห้...น้ำตาร่วงอยู่กับเก้าอี้ ปกติแล้วนางเป็นคนเข้มแข็งพอสมควร แต่พอมาเจอเรื่องอย่างนี้เข้าความรู้สึกนางเหมือนกับดวงใจถูกเด็ดออกเป็นชิ้นๆ

          วิภาพรเดินออกจากห้องแพทย์เพื่อกลับไปหาลูกชายคนเดียวของนางที่คอยอยู่ที่ห้อง นางกลับเข้ามาในห้อง เด็กๆต่างเงียบกันหมด นางเดินไปที่เตียงของลูกชาย เด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียง แวดล้อมด้วยเพื่อนฝูงมากมาย นางคิดระหว่างที่เดินมาแล้วว่า “นางต้องทำได้...นางต้องเข้มแข็ง จะให้ลูกรู้ไม่ได้เด็ดขาด เขายังเล็กเกินไปที่จะมารับรู้ชะตากรรมของตัวเอง”

“ป้อทานอะไรรึยังลูก...” นางก้มลงไปหอมหน้าผากลูกชาย มันหอม หอมมากๆ เหมือนวันแรกที่ป้อเกิดมาเลย...กลิ่นหอมของเส้นผม ใบหน้าหล่อๆบางๆจมูกที่โด่งคล้ายพ่อ นางเอาใจใส่ดูแลลูกชายคนเดียวสารพัด ลูกหิวนางป้อนนม ลูกร้องโยเย...นางก็เครียดไปด้วย ชีวิตที่มีกันแค่แม่ลูกบ่อยๆเพราะพ่อของป้อต้องทำแต่งาน จึงไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่นัก หากป้อเป็นอะไรไป...นางจะอยู่อย่างไร
“ป้อทานโจ๊กแล้วครับแม่...” ป้อพูดเบาๆ เด็กหนุ่มสงสัยเหมือนกันว่าทำไมวันนี้แม่ถึงหอมที่หน้าผากนานกว่าปกติ
“เหรอ...อิ่มมั้ยลูก...ใครซื้อมาล่ะ”   
“โจ๊กจากบ้านของน่านครับ...” ป้อพูดแล้วยิ้มอย่างดีใจที่ได้กินโจ๊กจากบ้านน่าน
“เหรอ...” นางหันไปมองน่านที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เด็กหนุ่มยิ้มตอบ นางสงสัยว่า”คนนี้รึเปล่าที่ป้อพูดถึงอยู่บ่อยๆ”
“น่านที่เป็นหัวหน้าห้องน่ะเหรอลูก...”
“ครับแม่...เป็นไงครับ...นี่แหละหัวหน้าห้องของผม...น่านเป็นคนเก่งนะแม่” ป้อยิ้มภูมิใจ
“แม่ครับนี่เพื่อนๆผมทั้งแก๊งค์เลยครับ...นี่หนุ่ย...นี่ทีม...นี่แคน...อ้าวอ้นกับปรีย์ไปไหนล่ะ” ป้อถาม
“ไปหาอะไรกินมั้ง...” แคนว่า
“ไอ้ทีมมึงก็เหลือเกิน...ชอบแกล้งปรีย์มัน...กูขอเถอะวะ...สงสารมัน” ป้อจับมือทีมเบาๆ ทีมพยักหน้ารับรู้แต่สายตามองมาที่หน้าของแม่เพื่อน ที่ตอนนี้สลดลงและมีร่องรอยของความกังวลใจราวกับมีเรื่องทุกข์ใจใหญ่หลวง
          หลังจากนั้นไม่นานพยาบาลและเจ้าหน้าที่ก็มารับตัวป้อออกไป โดยป้อนั่งในรถเข็น เพื่อออกไปเจาะไขกระดูกตามคำสั่งของหมอ ระหว่างที่ป้อออกไปนั้น ทีมได้ตามไปด้วย เขาอยากคุยกับแม่เหลือเกิน
“แม่ครับ...ป้อมาทำอะไรครับ”
“หมอขอเจาะดูเลือดที่ไขกระดูกน่ะลูก...”
“ทำไมต้องดูครับ...ป้อเป็นอะไรครับแม่...”
“ไม่เป็นไรมากหรอกลูก...” สีหน้าของนางทำให้เด็กหนุ่มไม่เชื่อ
“แม่บอกผมเถอะแม่...ป้อเป็นอะไร...” ทีมทำท่าจะร้องไห้ นางจึงเข้ามากอดแล้วบอกว่า
“หมอ...หมอสงสัยว่าป้อจะเป็นมะเร็งเม็ดเลือดน่ะลูก” นางบอกทีมพลางกอดเด็กหนุ่มไว้ แล้วร้องไห้ออกมาอย่างหนัก จนทีมตกใจ
“.................” ทีมอึ้งจนพูดไม่ออก เด็กหนุ่มนิ่งงงงันเหมือนใครเอาอะไรหนักๆมาทุบหัว คำถามทำไม...ทำไม...ทำไม...วนรอบหัวไปหมด
“แม่ครับ...อย่าร้องครับแม่...ป้อต้องไม่เป็นไรแม่...ป้อเป็นคนดี...พระต้องคุ้มครองป้อ...แม่เชื่อผมนะ...ป้อเป็นเด็กดี...ป้อต้องหาย”ทีมสะอึกสะอื้นไปด้วย เขารู้สึกสงสารป้อ ทำไมต้องเป็นป้อด้วย ทำไมต้องเป็นเพื่อนเขา ทำไมต้องเป็นคนที่เขา”รัก”ด้วย ในที่สุดทีมก็ทนไม่ไหว ถ้าเขาเป็นแทนเพื่อนได้เขาจะเป็นซะเอง
“ฮือ...ฮือ...ป้อ...”ทีมร้องโฮออกมา

          ตอนนั้นหนุ่ยเดินเข้ามาข้างหลังแล้ว เขาได้ยินและรู้เรื่องทั้งหมด หนุ่ยทรุดนั่งลงกับพื้น น้ำตาไหลออกมาโดยไม่ได้สะอื้นเลย หลากหลายคำถามที่วนเข้ามาในหัวเช่นเดียวกัน ป้อไปทำบาปทำกรรมอะไรมานะ ทำไมสวรรค์ถึงต้องลงทัณฑ์เพื่อนของเขาถึงขนาดนี้ หนุ่ยนึกอะไรไม่ออกเอาเลย มันรุนแรงมากกับความรู้สึกของเด็กหนุ่ม นี่ขนาดป้อยังไม่ได้เป็นอะไรนะ แต่อาจจะด้วยความรู้ที่พอมีว่า มะเร็งเม็ดเลือดนั้นมันรักษายากมากๆยิ่งเป็นกับผู้ใหญ่ด้วยแล้ว โอกาสหายจะยิ่งน้อยลงไปอีก

“หนุ่ย...ป้อ...” ทีมพูดได้แค่นั้นก็เดินเข้ามากอดหนุ่ยแล้วก็ร้องไห้ออกมาอีก
“ทีม...ทำใจดีๆไว้...ป้ออาจจะไม่ได้เป็นก็ได้” หนุ่ยพยายามจะปลอบประโลมหัวใจอันเจ็บช้ำด้วยคำพูดดีๆ
“ฮือ...” ทีมกอดหนุ่ยแน่น ร้องไห้โฮออกมาอีก

          อีกพักใหญ่ๆป้อถูกเข็นออกมาจากห้องผ่าตัด ป้อนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง พนักงานเข็นเตียงพยายามเข็นอย่างเบาที่สุด แล้วพาป้อขึ้นไปส่งบนห้องพัก ที่นั่นเพื่อนๆยังอยู่กันครบและกำลังพูดคุยกันถึงเรื่องของป้อ ยังไม่มีใครรู้หรอกว่าป้อเป็นอะไร เพียงแต่ทุกคนสงสัยกันว่าป้อจะกลับได้เมื่อไหร่ บางคนประชดไปว่าโรงพยาบาลเลี้ยงไข้ไปนู่น

          น่านสังเกตเห็นสีหน้าของหนุ่ย ทีมและแม่ของป้อซึ่งทุกคนเหมือนมีเรื่องทุกข์ใจ และดวงตาที่แดงช้ำเหมือนกับเพิ่งร้องไห้มา ทำให้น่านดึงหนุ่ยออกมานอกห้องโดยบอกเพื่อนๆว่า”หิวข้าว”
“หนุ่ย...ป้อเป็นอะไร” น่านเปิดฉากถามทันทีที่พ้นประตูห้อง
“ไม่รู้เหมือนกัน...หมอยังไม่ได้บอกเลย” หนุ่ยพูดตามจริงเพราะว่าหมอยังไม่ได้ฟันธง
“ต้องคอยหมอก่อน...” หนุ่ยบอก
“แล้วป้อไปทำอะไรมา...”
“ป้อไปตรวจไขกระดูก...”
“ตรวจทำไม...”
“หมอสงสัยว่า...เอ่อ...ว่า”
“...สงสัยอะไร” น่านดึงชายเสื้อหนุ่ย
“สงสัยว่า...ป้อเป็นลูคีเมีย”
“หา...ลูคีเมียเหรอ...” น่านเอามือปิดปาก น้ำตาเอ่อขึ้นมา น่านกะพริบตาทีเดียวน้ำตาก็ไหลพร่างพรูลงมาทันที
“อืม...”
“มีใครรู้บ้าง...” น่านถาม
“มีหนุ่ยกับทีมแล้วก็น่าน”
“คุณแม่ป้อว่ายังไงบ้าง”
“ท่านร้องไห้ แต่ท่านยังไม่ได้บอกพ่อเลย...พ่อบินกลับมาเย็นนี้...ท่านจะบอกเอง ท่านบอกว่าอย่าเพิ่งให้ป้อรู้” หนุ่ยพูด น่านเอาแขนเสื้อเช็ดน้ำตา

          ในวันนั้นเพื่อนฝูงทั้งกลุ่มเปลี่ยนความรู้สึกจากหน้ามือเป็นหลังมือกันหมด ความห่วงใยและห่วงหาอาทรที่มีต่อป้อ...มันมากล้น...มันเต็มไปด้วยความรักและความห่วงใยสงสารในชะตากรรมของเพื่อน แม้กระทั่งน่านเองที่เพิ่งจะปฏิเสธความรักที่ป้อมีให้ ยังอดไม่ได้ที่จะต้องทำให้ป้อรู้สึกดี”

“...แม่ครับน่านขอมาเฝ้าป้อสลับกับแม่นะครับ” น่านจับมือวิภาพรแน่นแล้วร้องไห้ออกมา นางกอดเด็กหนุ่มร่างบางๆไว้แน่น พลางลูบหลังแล้วบอกว่า
“ได้สิลูก....หนูมาอยู่เป็นเพื่อนป้อ...ป้อจะต้องหายเร็วขึ้น”  ...

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 33=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 15-09-2009 02:43:55
 :z3:
ตอนนี้อ่านแล้วยังคงเต็มกลืนเหมือนเดิม มีแต่คำว่า ฉงนสนเท่ห์ คลางแคลง 555+
เห็นด้วยกับรีบนนะบางที ถ้ามองว่าคิดสั้นเกิดจากคำว่าไม่สนใจพ่อแม่
เพียงแต่ในเวลาที่คนเรามีความรัก มักจะมีดวงตาที่มืดบอด มองขาวเป็นดำ มองดำเป็นขาว
สิ่งรอบตัวไม่อาจเข้ามาแทรกและเปลี่ยนปรับให้ถูกไม่ได้
คิดสั้นมันเป็นเรื่องของอารมณ์ มันมาเป็นบางครั้งบางคราว และชั่ววูบ
ขออย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย คงต้องมีคนมายั้งไว้ละ
เรื่องยิ่งเขียนยิ่งวุ่นวายดีแท้ ลำบากใจมากถ้าเป็นป้อก็คงอยาก... เหมืิอนกัน
เรื่องนี้เริ่มเข้าตามสูตรเกาเหลา กับช่ิองเจ็ดยังไงๆอยู่นะ อิๆ
แล้วจะรออ่านต่อ +1 ให้เลยวันนี้มาลงสามตอน
นิว(LOVEis)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 33=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 15-09-2009 02:46:41
ยังมีให้ติดตามอีกเยอะช่ายมั้ยเนี้ย
แอบมาบอกว่า อีกเยอะเลยครับ เพราะตอนนี้ ต้นฉบับแปะถึงตอน 52 แล้วอะครับ และตอน 52 นี้ อาจเป็นตอนที่หลายๆคนรอคอย

 :bye2:

ถูกค่ะ  ต้นคุงขยันจริง ๆ เลย  เราโพสทุกวันยังไม่ทัน   :serius2:
ต้นฉบับที่เรามี เลยตอน 52 ไปอีกค่ะ   ถ้าต้นคุงหยุดโพสซักหน่อย รับรองเราแซงแน่   อิอิ   o3
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 35=
เริ่มหัวข้อโดย: nithiwz ที่ 15-09-2009 02:52:00
ป้อเป็นลูคีเมีย  ไม่นะ...........
จะร้องไห้อ่ะ  สงสารป้ออ่ะ  ผิดหวัง  อกหัก  เมา  หน้าบาก  แล้วยังมาเป็ฯโรคลูคีเมียอีก
เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจริงๆ ไม่เอาน้า.......ป้อต้องไม่เป็นไร

รู้สึกมี something wrong นะ  ทีมกับป้อเนี่ยะ  ชอบมีอะไรแปลกๆ ให้คิดเล่นๆ
เศร้าอ่ะคับ  อ่านแล้ว  เริ่มเครียด  -*-
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 35=
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 15-09-2009 10:40:42
เนื้อเรื่องช่วงนี้ ยอมรับเลยอะครับว่า อ่านไปน้ำตาไหลไปอ่ะ

ป้อน่าสงสารจริงๆ  :o12:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 35=
เริ่มหัวข้อโดย: paulla ที่ 15-09-2009 11:32:40
ป้อน่าสงสารจัง  น่านก้อน่าจะให้ป้อมีความสุขมากๆ ก่อนจะไปนะ :o12:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 35=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 15-09-2009 12:46:49
โอวววววว
มีเรื่องเศร้าเข้ามาอีกแล้ว
สงสารป้อ เจ็บทั้งกายและใจเลย
มีแผลใจแบบนี้จะมีแรงอยากรักษากายมั้ยเนี่ย
สงสารพ่อกับแม่ป้อด้วยอ้ะ

บวกอีก 1 แต้มนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 35=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 15-09-2009 13:47:49
ความสัมพันธ์ ระหว่างเพื่อนพ้องนี้ดีจังเลยนะครับ

มีการดูแลเป็นห่วงเป็นใยที่ดีและน่ารักมาก

 :เฮ้อ: สงสารป้อจังเลยไม่น่าจะเป็นอย่างนี้

 :z2:   :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 35=
เริ่มหัวข้อโดย: premkoe ที่ 15-09-2009 20:51:23
แอร๊ายยยย

จะหายไหมเนี้ย

สงสารป้ออ่ะ

ซิกๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 35=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 15-09-2009 22:14:06
น้ำตาซึมเลย สงสารป้อ  :sad11:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 35=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 16-09-2009 03:07:26
36 รอยยิ้ม...

          ที่ห้องตรวจทางโลหิตวิทยากัปตันพารณและวิภาพรนั่งอยู่ต่อหน้าคุณหมอสุวิทย์ หมอกำลังอธิบายถึงวิธีควบคุมเซลล์มะเร็ง การรักษาและวิธีปลูกถ่ายไขกระดูก ซึ่งจะเป็นลำดับขั้นของการรักษา ทุกสิ่งอย่างที่คุณหมอบอกกับพารณและวิภาพรนั้นทำให้ทั้งสองมีกำลังใจมากขึ้น เพราะหนทางในการรักษายังพอมี

“ในขั้นแรกอาการอาจจะรุนแรงบ้างเพราะผลจากเคมีบำบัดอาจจะทำให้คนไข้ทรมานมากด้วยอาการคลื่นไส้อาเจียน ผมร่วง และเม็ดเลือดต่ำลง ซึ่งอาจจะติดเชื้อได้ง่าย”
“แล้วต้องให้เคมีบำบัดนานแค่ไหนครับ” พารณถาม
“ก็อาจจะต้องหลายครั้ง...หมอจะต้องดูอาการคนไข้ไปพร้อมๆกันด้วย...ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับร่างกายของคนไข้ด้วยนะครับว่าแข็งแรงและพร้อมขนาดไหน...และอีกอย่างคือชนิดความผิดปกติทางพันธุกรรมของมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่ผู้ป่วยเป็น” หมอกล่าว

          หลังจากที่รับทราบถึงขั้นตอนการรักษาเรียบร้อยแล้ว พารณและวิภาพรก็กลับขึ้นไปหาลูกชายที่อยู่บนห้องพัก
“พ่อครับ...แม่ครับ...ป้อเป็นอะไรครับ...หมอว่ายังไง” นั่นคือคำถามที่ทั้งสองไม่อยากได้ยิน เพราะทั้งคู่ไม่รู้จะหาวิธีบอกกับลูกได้อย่างไร...
“เอ่อ...คุณหมอยังไม่ได้บอกอะไรน่ะลูก...” วิภาพรพูดพลางเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่ม
“ป้อต้องนอนที่โรงบาลอีกนานแค่ไหนครับ...ป้ออยากกลับบ้านจังเลยแม่” ป้อมองหน้าแม่
“สักพักก็ได้กลับแล้วลูก...หมอขอวินิจฉัยให้ละเอียดอีกครั้งนะ”

          การไม่พูดความจริงบางครั้งก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่เสียหาย เพื่อความสบายใจของลูกชายและเพื่อกำลังใจของลูก วิภาพรเลือกที่จะโกหก นางยอม“โกหกสีขาว” ไม่พูดความจริงเพื่อให้ลูกสบายใจและไม่กังวล


“หมอว่ายังไงครับ...” ป้อถามหลังจากที่นางและสามีลงไปพบหมออีกครั้งในวันรุ่งขึ้น
“หมอบอกว่าป้อเป็นโรคเลือดน่ะลูก” วิภาพรลูบหัวลูกชายคนเดียวด้วยความรักและห่วงใย
“ยังไงครับแม่...” ป้อถาม
“ก็ติดเชื้อในกระแสเลือดอะไรทำนองนั้นแหละ....” วิภาพรบอก
“เมื่อไหร่จะได้กลับบ้านครับ...” ป้อถามอีกครั้ง...
“ต้องให้ยาและอยู่โรงพยาบาลอีกระยะ...ลูกต้องอดทนนะ...มันอาจจะคลื่นไส้อาเจียนบ้าง...” พารณบอกลูกชาย
“ครับแม่...ป้อจะทน...” ป้อเป็นเด็กที่อดทนมาตลอด เรื่องเจ็บป่วยเล็กน้อย ป้อแทบจะไม่เคยปริปากบ่นออกมาเลย บางทีเด็กหนุ่มปวดกระดูกแทบตายแต่ด้วยความที่รักแม่ กลัวว่าแม่จะลำบากและเหนื่อย ป้อแอบกินแค่ยาแก้ปวดเท่านั้น
.......................


          หลังจากที่ป้อย้ายมาอยู่โรงพยาบาลศิริราชและการให้เคมีบำบัดครั้งแรกผ่านไป ป้อมีอาการตามที่หมอบอกไว้ทุกอย่าง กินแทบไม่ได้กิน แต่ก็ยังอาเจียนได้ทั้งวัน มันทั้งคลื่นไส้ เวียนหัวราวกับห้องถูกหมุนด้วยมือของยักษ์ เส้นผมที่ร่วงเป็นกระจุกของป้อทำให้ป้อเกิดคำถามอีกมากมาย ป้อเพียรถามวิภาพรกับพารณแทบทุกวัน จนในที่สุดแล้วความลับต่างๆก็ปิดบังต่อไปอีกไม่ได้ ในเช้าวันหนึ่งที่มีกันแค่เพียงพ่อ แม่ ลูก
“พ่อครับ...แม่ครับ...บอกป้อเถอะครับว่าป้อเป็นอะไร...” ป้อนอนไม่ไหวติงบนเตียง ริมฝีปากบางๆแห้งและซีดเซียว ป้อถามถึงตัวเอง มือลูบไปที่หัว เส้นผมก็หลุดตามออกมาเป็นกระจุก
“ป้อ...ป้อทำใจดีๆนะลูก...” พารณพูดออกมา น้ำเสียงที่สั่นเครือ ชายหนุ่มกลั้นน้ำตาไว้แทบไม่ได้
“หมอบอกว่าป้อเป็นลูคีเมียน่ะลูก...” พารณพูดออกมาจนได้ หลังจากที่ทนเห็นลูกชายคนเดียวเป็นอย่างนี้มาหลายวันแล้ว
“....................”ไม่มีเสียงใดๆเปล่งออกมาจากปาก...เด็กหนุ่มนิ่งเงียบ...ก้มหน้า...น้ำตาไหลออกมาอาบแก้ม สองสามีภรรยาก้มลงกอดลูกชายคนเดียวด้วยความรักสุดหัวใจ ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ทั้งคู่คิดว่ามันทรมานมากไปกว่านี้อีกแล้ว วิภาพรสะอื้นไห้น้ำตาไหลเปียกแก้มของเด็กหนุ่มไปหมด ผู้เป็นพ่อก็พยายามที่จะประคับประคองให้แม่ยืนอยู่ได้ แต่คำพูดที่หลุดออกจากปากลูกชายคนเดียวทำเอาวิภาพรถึงกับปล่อยโฮออกมาอีกครั้งเลยทีเดียว
“แม่อย่าร้องไห้สิ...ป้อยังไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” ป้อจับใบหน้าของวิภาพรขึ้นมาแล้วหอมแก้ม
“ป้อ...ป้อ...ลูกแม่...อดทนหน่อยนะลูก...” นางลูบแก้มลูกชาย แล้วสะอื้นไห้
“แม่ครับ...พ่อครับ...ป้ออุตส่าห์สอบติดวิดวะเกษตรฯที่เดียวกับพ่อ...ป้อยังไม่ทันได้เรียนเลย...ป้อจะต้องหายครับ...” ป้อพูดแล้วยิ้ม ด้วยความหวังว่าอนาคตจะต้องได้เรียนจนจบวิศวะ...สถาบันเดียวกับพ่อของเขา
“อืม...ป้อต้องหายลูก...ป้อต้องหาย...พ่อกับแม่รักลูกนะ...” พารณจับมือลูกชายไว้แน่น เด็กหนุ่มบีบมือตอบ แสดงถึงกำลังใจที่เข้มแข็งของป้อ

          สายๆวันนั้นเองพื่อนๆที่ได้รู้ข่าวว่าป้อต้องเข้ารับเคมีบำบัดเมื่อวานนี้ ต่างก็ทยอยกันมาเยี่ยมแต่เช้า ทำเอาห้องแคบลงไปถนัดตาเลยทีเดียว
“เจ็บมั้ยวะป้อ...” ปรีย์ยืนเกาะเตียงถามอาการเพื่อน
“อือ...ไม่หรอก...แค่เวียนหัวนิดหน่อย” ป้อบอกเหมือนกับจะให้เพื่อนสบายใจ แต่แท้จริงแล้วเขาทรมานเอามากๆ
“แล้วผมมึงจะขึ้นอีกมั้ยวะไอ้ป้อ...” แคนถาม
“ไม่รู้สิ...ถ้าไม่ขึ้นก็บวชไปเลย...” ป้อตอบโต้แบบทันกัน
“...ถ้ามึงบวชกูจะบวชเป็นเพื่อน” ทีมพูดพลางบีบมือป้อไว้แน่น แรงที่ป้อบีบมือกลับมันเริ่มอ่อนล้าเต็มที
“ถ้าป้อหายเราจะบวชพร้อมกันหมดเนี่ยเลยดีมั้ย...” หนุ่ยพูด ทำเอาเพื่อนๆทุกคนเห็นดีเห็นงามด้วย
“ดี...ดี...บวชหลายๆคนอบอุ่นไม่กลัวผี...” ปรีย์พูด
“ไอ้ปรีย์...เณรที่ไหนกลัวผี...”อ้นถาม
“มึงดูบุปผาราตรีรึเปล่าไอ้อ้น...พระเณรวิ่งหนีก่อนเลย...” ปรีย์พูดออกมาทุกคนก็ขำ ทำเอาป้อยิ้มไปด้วยอย่างมีความสุขแม้รอยยิ้มจะแห้งแล้งเอามากๆ
“น่าน...ไปเมื่อไหร่...” ป้อส่งเสียงแหบแห้ง...ถามน่านที่ยืนก้มหน้านิ่งๆมานาน
“ยังหรอก...ป้อยังไม่สบายอย่างนี้...น่านยังไม่ไปหรอก...” น่านพูดแล้วยิ้มพลางจับมือป้อมากุมไว้
“วัชไม่ว่า...เหรอ...” ป้อถาม เหมือนกับคนที่ทำใจได้แล้วแต่ทุกคำที่เปล่งออกมา ป้อเหนื่อยเหลือเกิน
“วัชฝากมาบอกว่าให้ป้อหายเร็วๆ” น่านพูดออกมาทำเอาป้อยิ้มออกมาได้
“บอกวัชด้วย...ขอบคุณนะ...” ป้อยิ้มน้อยๆพลางหายใจยาวๆเหมือนคนเหนื่อย ป้อรู้สึกเริ่มเวียนหัวอีก
“ป้อเหนื่อยมั้ย...” ทีมถามพลางส่งแก้วน้ำให้จิบ
“ยัง...กูสนุกดี...” ป้อเบือนหน้าหนี ป้อได้แค่จิบๆน้ำเท่านั้น
“ทีม...อ้อก...อ้อก...” ป้อทำท่าจะอาเจียนออกมา ทีมรีบเอากระโถนออกมารอง ป้ออ้วกออกมา มันมีแต่น้ำ เด็กๆถอยห่างออกมาจากเตียง ไม่ใช่ว่ารังเกียจแต่ขยับให้ทีมได้เข้าไปดูแลป้อใกล้ๆ
“พอ....” ป้อโบกมือเบาๆส่งสัญญาณให้เอากระโถนออกไป ทีมน้ำตาซึมออกมา เด็กหนุ่มแอบเอาเสื้อขึ้นมาเช็ด ด้วยความสงสารเพื่อน คนอื่นๆก็เช่นกัน
“พี่ธีร์ฝากมาบอกว่ากลับจากต่างประเทศ...แล้วจะมาเยี่ยมนะ” หนุ่ยบอก
“.............” ป้อยกมือห้ามเป็นความหมายว่าไม่ว่างก็ไม่เป็นไร
“.......น่า....” ป้อเรียกได้แค่นั้น แต่สายตามองไปที่น่าน... น่านเดินเข้ามาหาป้อแล้วจับมือป้อไว้แน่น...
“ป้อนอนก่อนเถอะนะ...” ทีมจับผ้าห่มขึ้นมาห่มให้ เพื่อนๆขยับออกมาห่างๆ
“อืม......” ป้อหลับตาลงเพื่อพักผ่อน ก่อนที่เพื่อนๆจะพากันมานั่งข้างนอก คงเหลืออยู่แต่ทีมเท่านั้นที่ยืนดูอยู่ข้างเตียงไม่ห่าง
“ป้อพักก่อนเถอะนะ...กูอยู่ตรงนี้แหละ...กูไม่ไปไหนหรอก...จะอยู่เป็นเพื่อนมึงนะ” ทีมขยับหมวกไหมพรมที่หัวให้กระชับ แล้วเอามือลูบแก้มของเพื่อนรัก...
“ทีม...” ป้อยังไม่หลับ...เด็กหนุ่มพยักหน้าช้า เรียกให้ทีมเข้าไปใกล้ๆ ทีมเอาหูไปแนบข้างปากของป้อ...คอยฟังว่าป้อจะพูดอะไร
“...........” ป้อไม่พูดอะไร แต่สายตาที่มองมามันสื่อความหมายดีๆที่เพื่อนคนนึงพึงจะมีให้...ไม่มีคำพูดคำใดออกมาจากปากหรือต่อให้คำพูดเป็นร้อยเป็นพัน...คงไม่เทียบเท่า..สายตาของป้อที่มองมา...มันลึกซึ้งและน่าจดจำเกินกว่าที่ทีมจะลบเลือนมันออกไปจากใจ....
“ขอบคุณนะ...” เสียงแหบๆแผ่วเบา ทำเอาทีมอดที่จะอมยิ้มไม่ได้ ทีมพยักหน้าช้าๆยอมรับ
“นอนเถอะป้อ...” ทีมขยับผ้าห่ม ป้อยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มที่มันอ่อนแรงเต็มทน ทีมหันหน้าหนีภาพตรงหน้า...น้ำตาเด็กหนุ่มไหลซึมออกมา...

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 36=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 16-09-2009 03:25:05
 :m15: เศร้ามากมายเลยอะ
+1 ให้ครับ ขอบคุณที่มาลงให้อ่าน
อ่านแล้วใจไม่ดีเลยเหมือนเห็นภาพเรื่องหนึ่งที่เคยอ่านนานมากแล้ว
สุดท้ายก็ต้องจากไปอยู่ดี จะบอกว่านิวก็เคยมีเพื่อนเป็นโรคมะเร็งเหมือนกัน
เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองตอนแรกหมอก็ให้กำลังใจ ให้ทำคีโมแบบนี้
แล้วรอดูอาการ ซึ่งรักษาตัวไป ทำคีโมไปหลายครั้งจนหยุดการเจริญเติมโต
และลดขนาดก้อนเนื้อได้้จนมันคงที่ แต่แม้โรคเหือบจะหาย
คีโม และยาต่างๆที่ใช้สู้กับโรคมันก็ทำให้ร่างกายรับภาระหนักเกินไปทั้งตับ
และอวัยวะภายในอื่นๆไม่อาจทนรับไหว สุดท้ายเพื่อนนิวก็จากไปทั้งที่ไม่น่าเลย
 :monkeysad:
นิว(LOVEis)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 36=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 16-09-2009 07:44:35
ป้อต้องหายแน่นอน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 36=
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 16-09-2009 08:59:11
เศร้าจัง :o12:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 36=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 16-09-2009 11:14:33
เศร้า.....

สู้นะป้อ  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 36=
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 16-09-2009 11:26:43
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 36=
เริ่มหัวข้อโดย: paulla ที่ 16-09-2009 13:01:39
หายไว ๆนะคับ ป้อ  :bye2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 36=
เริ่มหัวข้อโดย: thaitanoi ที่ 16-09-2009 13:04:36
น่าสงสารจัง ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 36=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 17-09-2009 01:15:55
37 ห้องพี่ธีร์

“สวัสดีครับคุณพ่อ คุณแม่” ธีร์และหนุ่ยกล่าวทักทายพารณและวิภาพร
“เป็นยังไงหนุ่มน้อย...เห็นหนุ่ยบอกว่าดีขึ้นเยอะแล้วนี่...” ธีร์ส่งเสียงทักทายป้อที่นอนยิ้มอยู่บนเตียง
“หวัดดีคับพี่...” ป้อยิ้มเหนื่อยๆ
“ทานอะไรได้บ้าง...พี่เอาผลไม้มาให้ทาน...” ธีร์ส่งกระเช้าผลไม้ให้วิภาพร
“ขอบคุณครับ...” ป้อยกมือไหว้
“เป็นไงป้อ...มีใครมาบ้างวันนี้” หนุ่ยถามถึงเพื่อนๆที่จะผลัดกันมา...ไม่ใครก็ใคร...ถ้าว่างต้องมาเยี่ยมกันทุกวัน เพื่อนๆในแก๊งร่วมกันตั้งกฎเกณฑ์นี้ขึ้นมา ด้วยความยินยอมพร้อมใจของทั้งหมด โดยทีมกับน่านจะเป็นสองคนที่อาสามาดูแลบ่อยที่สุดและมักจะผลัดกันนอนเฝ้าเสมอๆ
“อ้นเพิ่งไป...” ป้อบอก
“เมื่อคืนนี้ตาทีมมานอนเฝ้าทั้งคืน...กลับไปตอนเช้า...แล้วอ้นก็เข้ามา...” วิภาพรบอก
“รักกันดีจริงๆ...เด็กพวกนี้...พี่ธีร์เห็นด้วยมั้ยครับ” พารณถามความเห็นโดยเรียกธีร์ตามที่ป้อเรียก
“ครับ...เด็กๆกลุ่มนี้น่ารักครับ...รักกันมาก” ธีร์เห็นด้วย
          หลังจากนั้นธีร์ก็ไถ่ถามอาการเพิ่มเติม โดยส่วนใหญ่แล้วจะคุยกับพ่อและแม่มากกว่า หนุ่ยยืนอยู่ข้างเตียงเพื่อนไม่ไปไหนเลย คอยดูว่าเพื่อนอยากได้อะไร แต่ป้อก็ได้แต่นอนหลับ...จนพักใหญ่ๆธีร์กับหนุ่ยก็ได้ขอตัวกลับไปก่อน
“พรุ่งนี้จะมาใหม่นะป้อ...” หนุ่ยบอกพร้อมกับจับมือเพื่อนบีบเบาๆ
“พี่ไปก่อนนะ...หายเร็วๆนะป้อ...” ธีร์พูดพลางเอามือลูบเบาที่หลังมือ ป้อพยักหน้ารับรู้แต่ไม่ลืมตา

          ธีร์ลาพ่อแม่ของป้อ ก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับหนุ่ย เด็กหนุ่มนั่งเงียบมาตลอดทางจนถึงบ้าน หนุ่ยเดินเข้าห้องนอนโดยไม่พูดไม่จากับใคร ธีร์เดินตามเข้ามาดู
“เป็นอะไรไปรึเปล่าครับ...” ธีร์ถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่หรอกครับ...แค่สงสารป้อน่ะครับ...” หนุ่ยบอก
“ไปนั่งกินกาแฟกับพี่ที่สวนข้างล่างดีกว่า” ธีร์ชวนหนุ่ยพร้อมกับเข้าไปดึงมือหนุ่ยให้ออกมาจากห้อง
“อยู่คนเดียว...เบื่อแย่เลย...เอาโน้ตบุ๊คลงไปเล่นเกมส์ด้วยก็ได้นี่...” ธีร์บอก หนุ่ยจึงเดินเข้าไปหยิบเอาโน้ตบุ๊คออกมาด้วย

          หนุ่ยกับธีร์นั่งดื่มกาแฟและอาหารว่างกันที่ใต้ต้นไม้ในสวนแบบบาหลี ที่หนุ่ยเป็นคนออกแบบและสร้างไว้ ธีร์ชวนหนุ่ยคุยไปเรื่อยเปื่อย
“เปิดเรียนเมื่อไหร่ล่ะ”
“ใกล้แล้วละพี่...อีกสองอาทิตย์” หนุ่ยบอกพลางเล่นคอมไปด้วย
“อือ...แล้วเรื่องเรียนของป้อต้องดรอปไปก่อนเหรอ” ธีร์ถาม
“คงงั้นแหละพี่...เฮ้อ...ยังไม่ทันได้เรียนเลย” หนุ่ยถอนหายใจ
“เดี๋ยวก็กลับไปเรียนได้...” ธีร์พูดอย่างมีความหวังว่าป้อจะต้องหาย
“ผมก็อยากให้มันเป็นอย่างนั้นแหละพี่”
.......................................


          หลังจากที่เปิดเรียนแล้ว หนุ่ยต้องออกจากบ้านแต่เช้าทุกๆวันและกลับมาในตอนเย็นบางวันถ้ามีการซ้อมเชียร์หรือรับน้องโต๊ะหรือกิจกรรมอะไรก็จะกลับค่ำมืดดึกดื่น ดังนั้นในสัปดาห์แรกหนุ่ยแทบไม่ได้ไปเยี่ยมป้อเลย แต่ขนาดไม่ได้ไปเยี่ยมก็ยังโทรเข้าไปหาป้อทุกวัน แม้บางครั้งจะไม่ได้คุย ถ้าได้คุยหนุ่ยจะรู้สึกว่าน้ำเสียงของป้อจะดีใจมาก เช่นวันนี้
“เป็นยังวะนักศึกษาใหม่” ป้อเสียงสดใส
“ก็ดี...สนุกดี...วันนี้มีกิจกรรมนิดหน่อย” หนุ่ยพูด
“อิจฉาหนุ่ยจังเลย”
“ป้อก็หายเร็วๆสิ...จะได้มาเรียน...” หนุ่ยพยายามพูดให้เหมือนกับว่าอาการป่วยของหนุ่ยมันเป็นเรื่องเล็กๆ
“วันนี้ใครมาเฝ้าป้อล่ะ”
“วันนี้น่านมาเฝ้า...อยู่เนี่ยละ...จะคุยมั้ย...” ป้อจะส่งโทรศัพท์ให้ ในขณะที่น่านจับมือป้ออยู่อีกข้างนึง
“ไม่ละอยากคุยกับป้อมากกว่า...โทรมาหาไม่เคยได้คุยเลย...ป้อหลับตลอด” หนุ่ยบอก
“เรียกสิ...ป้ออยากคุยกับทุกคนแหละ...”
“อยากให้ป้อได้พักผ่อนมากกว่า” หนุ่ยพูด
          หนุ่ยคุยกับป้อสักพักก็วางหู เพราะฟังจากเสียงของป้อแล้วดูป้อเหนื่อยเอามากๆ หลังจากวางหูแล้วหนุ่ยก็เดินเข้าไปหาธีร์ในห้อง ซึ่งระยะหลังๆนี้ธีร์แทบจะไม่ได้กลับไปนอนที่คอนโดเลย ยกเว้นวันที่งานยุ่งมากๆ แต่ถ้าไม่ยุ่งธีร์จะกลับเร็วและกลับมาที่บ้านเสมอๆ เหมือนจะกลับมาคอยใครบางคน

“ว่าไงหนุ่ย” ธีร์เงยหน้าจากคอมฯ
“จะมาชวนพี่ธีร์ไปเยี่ยมป้อพรุ่งนี้...พี่ธีร์ว่างมั้ยครับ” หนุ่ยยืนข้างๆโต๊ะมองไปที่จอโน้ตบุ๊ค
“ว่างสิ...ไปกี่โมงล่ะ...สักสิบโมงเป็นไง”

“ไปเรียนเป็นไงบ้าง”ธีร์ถาม
“ก็สนุกดีครับ...เพื่อนเยอะแยะมากมาย...” หนุ่ยบอก...เขาอยากจะชวนธีร์ไปไหว้หลวงพ่อโสธรที่แปดริ้วแต่จากที่ดูแล้วเห็นธีร์นั่งทำงานอยู่...เลยไม่กล้าชวน
“มีอะไรรึเปล่า” ธีร์เห็นหนุ่ยจะพูดอะไรสักอย่างแต่ไม่กล้าพูด
“อ้อ...ปะ...เปล่าครับ” หนุ่ยกำลังจะเดินออกจากห้องแต่ธีร์ก็เรียกไว้
“หนุ่ย...”
 “ครับพี่ธีร์...”
“มีอะไรพูดมาซิ...” ธีร์เสียงเข้ม
“เอ่อ..ผมอยากจะไปไหว้พระทำบุญน่ะครับ...ขอพรพระสักหน่อย...ป้ออาจจะหายเร็วขึ้น” หนุ่ยพูด
“แล้วก็ไม่บอก...เรื่องแค่นี้เอง...จะชวนพี่ไปหรือไง” ธีร์พูดแล้วยิ้ม ก่อนจะเดินมาหา
“ทีหลังมีอะไรก็บอกพี่นะ...ถ้าพี่ว่างจะไปไหนก็ได้...ถ้าไม่ว่างพี่จะบอกว่าไม่ว่าง” ธีร์พูดพลางกอดคอเด็กหนุ่มไว้ ไม่น่าเชื่อว่าจากเด็กหนุ่มตัวกระเปี๊ยกที่นั่งรถไฟเข้ากรุงเทพฯคนเดียว...บัดนี้หนุ่ยกลายเป็นเด็กหนุ่มร่างกายสูงใหญ่กำยำ...แม้ผิวจะคล้ำไปบ้างแต่ก็ถือว่าขาวกว่าตอนที่มาอยู่กรุงเทพฯใหม่ๆ หน้าใสไร้สิวยังหล่อคมไม่เสื่อมคลาย คิ้วเข้ม นัยน์ตาสีสนิมเหล็ก ทรงผมที่ไม่อินเทรนเหมือนเด็กวัยรุ่นคนอื่นๆ แต่ก็เป็นทรงที่เรียบร้อย ดูเป็นตัวของตัวเอง และที่สำคัญรอยยิ้มที่เจืออยู่บนใบหน้าเสมอ ท่าทางที่สุภาพอ่อนโยน จึงเป็นที่รักของผู้ที่พบเห็นและเพื่อนฝูง ไม่ว่าที่ไหนในมหาวิทยาลัยที่หนุ่ยไป มักจะถูกมองมาด้วยสายตาที่อยากเข้ามารู้จัก...ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
“เดี๋ยวพี่ทำงานให้เสร็จแล้วพรุ่งนี้เจอกัน” ธีร์พูดแล้วยิ้ม
“ครับพี่...อย่าหักโหมนักนะครับ...ถ้าไม่เสร็จก็ไม่เป็นไรนะครับ...ผมไม่ซีเรียส...แค่อยากชวนพี่ไปด้วยเท่านั้นเอง” หนุ่ยบอกพลางปิดประตู

          กลางดึกคืนนั้นหนุ่ยตื่นขึ้นมาเพื่อที่จะเข้าห้องน้ำ พลันสายตาเด็กหนุ่มเห็นแสงไฟในห้องที่สาดส่องลงไปที่ต้นไม่ใหญ่ เขาแน่ใจว่าธีร์ต้องทำงานอยู่แน่ๆเลย หนุ่ยเหลือบมองนาฬิกาดูเวลา “นี่มันตีหนึ่งแล้วนี่...พี่ธีร์ยังไม่นอนอีก”เด็กหนุ่มเดินไปที่ห้องของธีร์ ประตูไม่ได้ล็อกเขาจึงเปิดเข้าไป ธีร์นอนฟุบอยู่กับโต๊ะทำงาน มือของชายหนุ่มยังวางอยู่ที่โน้ตบุ๊คอยู่เลย หน้าจอปิดและดับไปแล้ว

“พี่ธีร์ครับ...พี่ธีร์นอนเถอะครับ...” หนุ่ยเดินไปปลุกธีร์ที่นอนไม่รู้ตัว
“อือ...พี่งีบไปพักนึง...เดี๋ยวจะทำงานต่อ...หนุ่ยไปนอนเถอะ...” ธีร์งัวเงีย
“พี่ง่วงก็นอนเถอะครับ...พรุ่งนี้ไม่ต้องไปไหนก็ได้...ผมไม่ไปแล้ว” หนุ่ยบอกพลางดึงมือธีร์ให้ลุกขึ้น
“หนุ่ยไปนอนเถอะ...นะ...พี่ทำอีกนิดเดียวก็เสร็จแล้ว” สำหรับเรื่องงานแล้วธีร์ดื้อเสมอ
“เฮ้อ...ผมทำให้พี่ลำบากรึเปล่า” หนุ่ยพูดราวกับโทษตัวเอง....เขาไม่รู้หรอกว่าธีร์ต้องรีบทำงานให้เสร็จก่อนพรุ่งนี้อยู่แล้ว เขาต้องส่งให้เจ้านายก่อนเที่ยงวันพรุ่งนี้
“ไม่หรอกหนุ่ย...ถ้าอยากช่วยพี่...หนุ่ยไปชงกาแฟให้พี่หน่อยไป...” ธีร์บอก พลางเอามือดุนหลังเด็กหนุ่ม
“ครับพี่...” หนุ่ยเดินออกไปจากห้อง

          เด็กหนุ่มหายไปสักพักก็กลับมาด้วยกาแฟแก้วใหญ่ ส่งกลิ่นและควันหอมลอยตามลมมาเลยทีเดียว หนุ่ยวางแก้วกาแฟลงตรงหน้าพร้อมกับชาจีนร้อนๆ เผื่อธีร์อยากจะล้างคอ
“นี่ครับพี่ชาย...”
“อือ...หอมจังเลย” ธีร์สูดกลิ่นหอมของกาแฟ ที่หนุ่ยตั้งใจชงให้
“ลองชิมสิครับ...อร่อยเหมือนเลขาพี่ชงรึเปล่าก็ไม่รู้” หนุ่ยบอก
“พี่ว่าอร่อยกว่าแน่นอน...อย่างน้อยตาสว่างแน่ๆถ้ากินตอนนี้”
“ทำไมล่ะครับ...”
“ก็ร้อนอย่างนี้มีหวังปากพองน่ะสิ” ธีร์ยิ้ม
“ผมอยู่เป็นเพื่อนมั้ยครับพี่...” หนุ่ยก้มลงมาถาม กลิ่นกายหอมๆของชายหนุ่มทำเอาธีร์แทบสำลักกาแฟ ก็หนุ่ยเล่นก้มลงมาซะติดหน้าเขาเลย
“ไม่เป็นไรหรอก...ไปนอนเถอะ...พรุ่งนี้ขับรถให้พี่แล้วกัน”
“โห...ยังไงผมก็ขับอยู่แล้ว...หลังๆนี่...ถ้าผมไปไหนกับพี่...พี่ไม่เคยขับเลยนี่” หนุ่ยนวดต้นคอเบาๆ ทำให้ชายหนุ่มคลายความเมื่อยล้าไปได้มาก
“อืม...นี่ไปหัดนวดมาจากไหน...” ธีร์เอ่ยปากชม
“เพื่อนมันเคยนวดให้ผมน่ะครับ...ตอนเล่นกีฬาเสร็จใหม่ๆ...นวดคลายกล้ามเนื้ออะไรแบบนั้นแหละพี่” หนุ่ยบอกพลางนวดแรงขึ้นอีก เขาขยับไปนวดตามต้นแขนที่บอบบาง
“พอแล้วอย่าขยำ...พี่จะละลายอยู่แล้ว...” ธีร์หัวเราะชอบใจ
“ขยำให้ละลายไปเลย...นี่ๆๆ” หนุ่ยนวดเล่นๆอีกห้าหกครั้งแล้วก็คลึงมาที่หัว หนุ่ยนวดเบาๆที่ขมับ
“ไปนอนได้แล้วไป...” ธีร์เอ่ยปากไล่...ถ้าปล่อยให้นวดอยู่แบบนี้เขาทำงานไม่ได้พอดี...หนุ่ยชอบเล่นอะไรถึงเนื้อถึงตัวเสมอๆ...ไม่ระวังบ้างเลย...ว่าหัวใจชายหนุ่มมัน...วาบหวิวขนาดไหน .....

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 37=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 17-09-2009 01:34:54
 :impress2: ทีแรกอ่านแล้วว่าจะเศร้าเจอหวานๆของสองหนุ่มเข้าไปก็เลยยิ้มได้อิๆ
แล้วจะรออ่านต่อ
นิว(LOVEis)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 37=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 17-09-2009 01:55:20
^
^
จิ้มที่รัก
รู้สึกเหมือนกัน ตอนที่แล้ว สงสารป้อ
ตอนนี้ลงท้ายแบบเกือบละลายนิดๆ เพราะสิ่งที่ธีร์รู้สึกกับหนุ่ย

บวก 1 แต้ม ขอบคุณมากค่ะ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 37=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 17-09-2009 02:12:14
 o18  มารอตอนต่อไปด้วยคนนะครับ

 :z2:   :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 37=
เริ่มหัวข้อโดย: WEERACHOT ที่ 17-09-2009 02:27:29
เป็นกำลังใจให้คนโพส คนเขียนครับ...

ขอตามอ่านก่อนน่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 37=
เริ่มหัวข้อโดย: premkoe ที่ 17-09-2009 03:31:58
รอ ตอน ต่อ ไป คับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 37=
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 17-09-2009 04:07:36
ยิ่งอ่าน ก็ยิ่งสงสารป้ออะ สอบได้แล้วแต่ไม่ได้เข้าเรียนพร้อมเพื่อนนี่ มันน่าเศร้ามากๆเลย

 :sad4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 37=
เริ่มหัวข้อโดย: viky_mama ที่ 17-09-2009 04:46:39
สงสารป้อจังเลยค่ะ ขอให้หายไวๆ นะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 37=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 17-09-2009 07:08:10
เมื่อไรจาถึงคิว หนุ่ยธีย์อะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 37=
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 17-09-2009 09:40:21
รอฉากหวานของหนุ่มกับธีร์อยู่นะคับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 37=
เริ่มหัวข้อโดย: wichit14 ที่ 17-09-2009 10:33:43
ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ในความคุ้นเคยกันอยู่ มันแฝงอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น อิอิอิ ชอบ ชอบ ชอบ จินตนาการตาม นึกแล้วขนลุกซู่ 555555555+ รอตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 37=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 17-09-2009 10:34:55
พี่น้องน่ารักกันจัง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 37=
เริ่มหัวข้อโดย: ChiOln ที่ 17-09-2009 11:32:33
น่ารักโหะ ๆ
 :o8:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 37=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 18-09-2009 03:12:35
38 ความรักของป้อ

          หนุ่ยตื่นขึ้นมาแต่เช้า เขาออกไปวิ่งอย่างที่ทำเป็นประจำ ระยะหลังที่ต้องไปเรียนแต่เช้า หนุ่ยไม่ค่อยได้ออกไปวิ่งเท่าไหร่ เสาร์-อาทิตย์จึงวิ่งมากกว่าปกติ หนุ่ยกลับมาถึงบ้าน ธีร์ยังไม่ตื่น เขาเลยขึ้นไปดูที่ห้อง ปรากฏว่าห้องยังล็อกอยู่ ไม่อยากจะปลุกธีร์ อยากให้พี่ชายนอนต่ออีกสักพัก เด็กหนุ่มจึงถอดเสื้อออกแล้วกลับไปที่ห้องตัวเอง กางเกงวอร์มและกางเกงในสีขาวถูกถอดผึ่งไว้ที่ราวตากผ้าในห้อง ผ้าขนหนูถูกพาดไว้ที่บ่ากว้าง เด็กหนุ่มเดินเข้าห้องน้ำด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า สายน้ำเย็นๆที่ไหลสาดไปทั่วร่าง ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกสดชื่นและตื่นตัว...
          หนุ่ยแต่งตัวอย่างไม่เร่งรีบ อารมณ์ที่คุกรุ่นด้วยความกำหนัดเมื่อครู่ ถูกระบายออกไปแล้ว เหลือแต่ความสดใส หน้าตารูปร่างงามสง่าของเด็กหนุ่มวัยสิบเก้าปี หล่อสมาร์ทเดินออกมาจากห้อง น้ำหอมที่ถูกฉีดพรมส่งกลิ่นหอม หนุ่ยเดินลงไปคอยธีร์ที่โต๊ะอาหารด้านล่าง จนธีร์ลงมาจากห้องเกือบสิบเอ็ดโมง
“เสร็จแล้วเหรอ...โอ้โห...หล่อจังเลยน้องพี่” ธีร์เอ่ยชมหนุ่ยด้วยใจจริง
“ป้าจิตมีอะไรทานบ้างครับ...” ชายหนุ่มร้องเรียกแม่บ้าน
“พี่ธีร์นอนตีเท่าไหร่...”
“พี่นอนตีสาม...แต่ก็ยังดีนะ...งานเสร็จเรียบร้อย...สงสัยได้กาแฟที่หนุ่ยชงให้นั่นแหละ” ธีร์ยิ้มสดใส
“ไหวรึเปล่าพี่...”
“ไหวสิ...แต่หนุ่ยขับนะ”
“ได้ครับ...เราทานอะไรกันก่อนเถอะ...” หนุ่ยบอก
“อ้าวหนุ่ยยังไม่ได้ทานเหรอ...”
“คอยพี่อยู่น่ะครับ” หนุ่ยยิ้มอารมณ์ดี
“ไม่เอานะทีหลัง...ถ้าหนุ่ยหิวก็ทานไปก่อนเลยไม่ต้องคอยพี่” ธีร์พูดไปอย่างนั้น แต่ในใจรู้สึกดีที่มีคนคอยทานอาหารด้วย ไม่ต้องนั่งทานคนเดียวเหมือนที่เป็นอยู่ประจำ

          สองหนุ่มออกจากบ้านแล้วขึ้นทางด่วนวิ่งไปออกพระราม๙ แล้ววิ่งเข้ามอเตอร์เวย์เพื่อตรงเข้าสู่แปดริ้ว หนุ่ยใช้ความเร็วไม่มากแต่ก็มาถึงวัดโสธรฯได้ในเวลาแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น
“พี่ธีร์ครับเราปิดทองไหว้พระแล้วซื้ออะไรกลับไปฝากป้อสักหน่อยดีมั้ย...” หนุ่ยว่า
“ดีเหมือนกันนะ...เมื่อกี้นี้ผ่านร้านกระยาสารท...เดี๋ยวเราแวะที่นั่นดีกว่า” ธีร์เคยมาที่ร้านนี้หลายครั้ง ที่ร้านขายขนมไทยหลายอย่างที่ขึ้นชื่อของแปดริ้วคือกระยาสารท
“ป้อชอบกินกระยาสารทพอดีเลยพี่”
          ทั้งสองไหว้พระเรียบร้อยก็ขับรถย้อนกลับเข้ามาที่ร้านขนมที่ธีร์พูดถึง หนุ่ยเลือกกระยาสารทหลายอย่างและหลายกล่องเพื่อเอาไปฝากป้อและฝากที่บ้านด้วย จนบ่ายสองโมงกว่าทั้งสองจึงเดินทางกลับกรุงเทพฯเพื่อเข้าไปเยี่ยมป้อที่ศิริราช

“ป้อ...เป็นไงบ้าง...” หนุ่ยก้มลงไปพูดกับป้อที่นอนนิ่งไม่ไหวติง อาการเริ่มไม่ดีขึ้นมาอีก
“อืม...”
“ป้อ...หนุ่ยซื้อกระยาสารทมาฝาก...เจ้าอร่อยจากแปดริ้วเชียวนะ” หนุ่ยพูดกระซิบเบาๆที่ข้างหู
“อืม...ขอบใจ” ป้อลืมตามองมาที่เพื่อน

          ธีร์คุยกับวิภาพรพลางหันมาดูป้อ วิภาพรเล่าถึงอาการที่ไม่ค่อยดีของป้อให้ฟังว่า หมอต้องให้คีโมอีกครั้งในวันสองวันนี้แต่ห่วงอยู่ที่อาการหลังจากนั้น
“สงสารลูก” วิภาพรเช็ดน้ำตา
“อืม...” ธีร์ส่ายหน้า
“ป้อคงจะทรมานมาก” นางร้องไห้ออกมาอีก หลายวันมานี่ อาการของป้อทรงๆทรุดๆไม่เหมือนเมื่อให้คีโมครั้งแรก
“ป้อต้องอดทนนะ...” หนุ่ยจับมือแล้วบีบเบา
“อืม...อยากกินกระยาสารท...” ป้อร้องขอเบาๆ
“อ่ะ...” หนุ่ยเอากระยาสารทออกมาป้อนให้ป้อ ป้อกินกระยาสารทได้เพียงสามสี่คำก็ไม่ไหวเพราะความแข็ง มันทำให้ป้อเจ็บปากมากเกิน
“แล้วคุณพ่อล่ะครับ...” ธีร์ถาม
“พรุ่งนี้ก็จะกลับค่ะ...”
          หลังจากที่เฝ้าดูอาการเพื่อนอีกสักพัก หนุ่ยกับธีร์ก็ขอตัวกลับก่อน โดยบอกว่าพรุ่งนี้จะมาเยี่ยมอีกครั้งกับเพื่อนๆ หนุ่ยดูอาการของป้อแล้ว อยากนัดเพื่อนมาให้กำลังใจป้อ หนุ่ยอยากให้เพื่อนๆมากันเยอะๆ เย็นนั้นหนุ่ยโทรนัดเพื่อนให้ไปพบกันที่โรงพยาบาล

          ในตอนเที่ยงๆของวันรุ่งขึ้นเด็กมาเยี่ยมป้อที่โรงพยาบาลกันพร้อมหน้า ยกเว้นทีมที่มาเฝ้าตั้งแต่เมื่อคืน เสียงเอะอะเจี๊ยวจ๊าวดังลั่นห้องไปหมด ป้อนั่งอยู่เงียบๆบนเตียงและพยายามกินกระยาสารทที่หนุ่ยซื้อมาตั้งแต่เมื่อวานนี้อีกครั้ง
“ไม่ไหวก็ไม่ต้องกินนะป้อ...” ทีมป้อนกระยาสารทใส่ปาก
“อืม...ขอบใจนะ” ป้อเมินหน้าไม่รับกระยาสารทอีก
“เป็นไงบ้างวะป้อ...” แคนเกาะขอบเตียงถาม
“ไม่เป็นไร...” ป้อพูดเบาๆ
          หลังจากนั้นในตลอดบ่าย ป้อเป็นฝ่ายที่หลับไปซะมากกว่า ที่จะคุยกับเพื่อนๆ ร่างกายที่อ่อนล้าของเด็กหนุ่มไม่สามารถแม้จะพูดคุยกับเพื่อนๆได้ทั้งที่อยากจะคุยใจจะขาด แต่เพื่อนๆไม่ได้หนีกลับไปไหน ต่างอยู่กันครบทุกคนจนมืดค่ำ จึงได้ขยับขยายกลับบ้าน พรุ่งนี้ป้อจะต้องให้คีโมอีกครั้ง...

“หนุ่ย...ป้ออาการไม่ดีเลยว่ะ...” ทีมน้ำเสียงร้อนรน
“เหรอ...กูจะรีบไปนะ...มึงบอกใครไปแล้วบ้าง” หนุ่ยน้ำเสียงร้อนรนไม่แพ้กัน เขากำลังจะเข้าเรียนแต่วันนี้สงสัยต้องให้เพื่อนเช็คชื่อให้ละ
“กูบอกไอ้แคน ไอ้น่านไปแล้ว...ที่เหลือกูฝากมึงหน่อยนะ...ตอนนี้ป้ออยู่ในห้องไอซียูว่ะ” หนุ่ยกระโดดขึ้นแท็กซี่จากมหาวิทยาลัยมาที่โรงพยาบาลทันที
“ป้ออย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ...กูกำลังไปหามึงอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว” หนุ่ยยกมือท่วมหัวภาวนาขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยไม่ให้ป้อต้องเป็นอะไรเลย
“พี่ธีร์ครับ...ป้ออาการไม่ดีเลยครับ...ผมจะไปโรงบาลนะพี่” หนุ่ยพูดกับธีร์ทางโทรศัพท์
“อืม...มีอะไรโทรบอกพี่ได้นะ...เดี๋ยวพี่ขอคุยงานกับพี่เต้ก่อน” ธีร์บอกแล้ววางหูไป
“ครับ...”

          เวลาไม่นานนักหนุ่ยเดินทางมาถึงโรงพยาบาลแต่ก็ยังช้ากว่าเพื่อนๆ ทุกคนออกันอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน ไม่ไปไหนรอเวลาที่ป้อจะกลับออกมา
“พวกเราเดินไปไหว้พระอนุสาวรีย์กันดีกว่า...” อ้นชวนเพื่อนๆ
“ไปสิ...” กลุ่มเพื่อนๆเดินกันออกมาที่พระอนุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรมแล้วจุดธูปเทียนเพื่อถวายสักการะ ต่างคนต่างอธิษฐานขอให้ป้อปลอดภัยจากอาการที่เป็นและหายป่วยเร็วๆด้วย ทีมก้มลงกราบกับพื้นแล้วทรุดลงอยู่ตรงนั้น ทีมร้องไห้ออกมาเพื่อนๆต้องเข้าไปประคอง เด็กๆตัดสินใจที่จะอยู่เป็นเพื่อนป้อให้ดึกที่สุดและพากันจับกลุ่มนั่งคุยอยู่บริเวณนั้น มันร่มรื่นด้วยพรรณไม้ ผู้คนหลากหลายพากันมากราบไหว้และขอพรให้คนที่รักและญาติของตนหายป่วยจากโรคร้าย พวกเขาก็เช่นเดียวกัน...ไม่แตกต่าง ความเจ็บความไข้มักมีกันถ้วนทั่วทุกคน...สิ่งเหล่านี้หรือที่เรียกว่า”อนิจจัง”

“ป้อจะเป็นอะไรมากมั้ยวะทีม...” อ้นน้ำตาซึม เริ่มถามอาการของป้อจากทีมที่มาเฝ้าเพื่อนอยู่เมื่อคืน
“เมื่อเช้าหลังให้คีโมแล้วอาการไม่ดีเลย...ทรุดลงเรื่อยๆ...จนเข้าไอซียู” ทีมพูดพลางเช็ดน้ำตา
“กูว่าป้อ...มันต้องหาย...” แคนบอกพลางจับมือให้กำลังใจเพื่อน
“ญาติป้อมากันหลายคนเลย...กูกลัวว่าป้อมันจะ....” ทีมพูดออกมาเบาๆพลางเอาหลังมือป้ายน้ำตา
“ไม่หรอกน่า...ป้อต้องปลอดภัย” หนุ่ยบอก
“ไปเราไปเฝ้าป้อกันเถอะ” ปรีย์เอ่ยปากทำให้ทุกคนลุกออกมาจากที่ตรงนั้น...แทบไม่มีใครสนใจจะหาอะไรกินในมื้อเย็นกันเลย

          คืนนั้นเด็กๆกลับบ้านกันค่อนข้างดึก หลายคนอยากอยู่ต่อ แต่ก็เฝ้าป้อไม่ได้เนื่องจากเป็นห้องไอซียู จนเช้าวันรุ่งขึ้นขณะที่แต่ละคนไปเรียนหนังสือกันนั้น อาการเจ็บป่วยที่เรื้อรังมานาน ความที่ร่างกายต้องสู้ทนกับความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน ดวงวิญญาณที่แสนบริสุทธิ์ดวงหนึ่งได้หลุดลอยออกจากร่าง...ป้อได้ลาจากพ่อ แม่ ญาติพี่น้องและเพื่อนๆไปอย่างไม่มีวันกลับ ป้อทิ้งไว้เพียงความทรงจำที่ดีให้กับเพื่อนได้จดจำ...ความเป็น”เพื่อน”ความมีน้ำจิตน้ำใจ ความเป็นผู้นำ ความเป็นคนรักเพื่อนฝูง...และที่สำคัญความอ่อนไหวในจิตใจที่แสนบอบบาง...แต่แฝงไว้ด้วย”ความมั่นคง...ในรักไม่เสื่อมคลาย”ของป้อ...มันเป็นบทพิสูจน์ในความมีรักแท้...”รักของป้อ”รักที่ไม่เคยได้ครอบครอง...

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 38=
เริ่มหัวข้อโดย: wowhaha ที่ 18-09-2009 03:19:44
ไม่มีอะไรจะพูด  :m15:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 38=
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 18-09-2009 03:48:08
ยิ่งอ่าน ยิ่งสงสารป้ออะ


แต่ชื่นชมความรักกันในกลุ่มเพื่อนกลุ่มนี้จังเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 38=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 18-09-2009 04:40:08
 :m15: ตอนนี้มีแต่เศร้า แล้วก้อน้ำตา

สงสารป้อจังเลย ไม่น่า..... :m15:   :m15:

 :z2:   :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 38=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 18-09-2009 06:54:28
เศร้ามากมาย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 38=
เริ่มหัวข้อโดย: kikipanda ที่ 18-09-2009 09:31:38
น้ำตาซึมแต่หัววันเลยค่ะ

หลับให้สบายนะจ๊ะน้องป้อ  :sad11:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 38=
เริ่มหัวข้อโดย: wichit14 ที่ 18-09-2009 11:27:35
ตกลงมันแนวดราม่าเหรอ เรื่องนี้อ่ะ คิดว่าจะเป็นตลกขบขัน โอ้ยสงสารป้อจัง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 38=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 18-09-2009 14:37:14
 :m15:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 38=
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 18-09-2009 14:47:04
 :sad11:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 38=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 18-09-2009 19:17:52
สงสารป้อ และพ่อแม่
เพื่อนๆก็เสียใจไม่น้อยเลย  :monkeysad:

บวก 1 แต้ม ขอบคุณมากค่ะ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 38=
เริ่มหัวข้อโดย: Vesi ที่ 18-09-2009 20:22:33
เข้ามาไว้อาลัย :m15:

/เช็ดน้ำตาแล้วเดินออกจากกระทู้
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 38=
เริ่มหัวข้อโดย: CHOKUN ที่ 18-09-2009 23:12:28
 :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 38=
เริ่มหัวข้อโดย: 0nePiece ที่ 18-09-2009 23:13:48
อ่านตอนนี้แล้ว น้ำตาร่วงเลย
 :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 38=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 19-09-2009 05:19:23
39 ศาลาสวดศพ

“หนุ่ย...ป้อเสียแล้ว....” เสียงสะอึกสะอื้นของทีมส่งมาตามสาย
“ป้อไหนวะ...ไอ้ทีมมึงว่าไงนะ...พูดอีกทีสิ” หนุ่ยแทบไม่เชื่อหูตัวเอง อีกใจก็นึกว่ามันไม่ใช่”ป้อ”...เพื่อนของเขาแน่นอน...ต้องเป็น   ”ป้อ”อื่น...”ป้อ”ที่ไม่ใช่คนเดียวกับเพื่อนเขา...แต่ความเป็นจริงแล้ว...มันจะเป็นป้อไหนล่ะ
“ไอ้หนุ่ย”ป้อ”เสียแล้ว...เมื่อเช้านี้เอง...หนุ่ย...ฮือ...ฮือ...ฮือ...กูสงสารมัน...หนุ่ย...มาหากูเร็วๆ...ฮือ...ฮือออ...” เสียงคร่ำครวญปานจะขาดใจของทีมทำเอาหนุ่ยกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้...หนุ่ยเอามือปาดน้ำตาที่เอ่อไหลออกมา...นี่เพื่อนเขา...นี่คือ”ป้อ”จริงๆหรือนี่...”ป้อ”จากพวกเราไปแล้วจริงๆเหรอ

          เสียงโทรศัพท์ดังอย่างถี่ยิบจากเพื่อนๆในกลุ่มและเพื่อนในห้องที่ทราบข่าว...หนุ่ยแจ้งข่าวเท่าที่รู้มาจากทีมให้เพื่อนได้รู้แล้วหนุ่ยก็รีบกดโทรศัพท์หาธีร์ทันที...
“พี่ธีร์...ป้อเสียแล้วนะพี่..เมื่อเช้านี้เอง...” หนุ่ยสูดน้ำมูกพร้อมกับเช็ดน้ำตาที่มันไหลออกมา
“อืม...เดี๋ยวพี่ไปนะ...ที่โรงพยาบาลใช่ไหม” ธีร์พูด
“ครับพี่...ผมกำลังไปโรงพยาบาล...ตอนนี้ผมออกจากมหาลัยแล้ว”
“ขับรถดีๆนะ...ไม่ต้องรีบ...” ธีร์กำชับ...แต่ไม่เป็นผล...จรวดทางเรียบบึ่งมาถึงโรงพยาบาลภายในเวลาไม่เกินชั่วโมง
          ที่นั่นเพื่อนๆหลายคนมากันแล้วยกเว้นอ้นซึ่งกำลังเดินทางมา...ทั้งหมดยืนอออยู่ที่หน้าห้องเก็บศพจนเจ้าหน้าที่เข็นรถที่มีร่างอันไร้วิญญาณของ”ป้อ”ออกมา ทีมกับน่านรีบเดินเข้ามาที่รถ ใบหน้าขาวซีดเจือด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ปากบางๆของป้อปิดสนิท ดวงตาหลับพริ้ม ป้อเหมือนคนนอนหลับ...มีเพียงรูจมูกเท่านั้นที่ถูกแพคด้วยก้อนสำลีเล็กๆ...ป้อสวมหมวกไหมพรม...มีตราสโมสรฟุตบอลทีมโปรด...น่านซื้อมาให้...ป้อสวมมันไว้จนวันสุดท้ายของชีวิต ป้อพูดกับน่านหลังจากที่น่านใส่หมวกใบนี้ให้ว่า”เหมือนมีมือที่อบอุ่นของน่านจับไว้ที่หัวตลอดเวลา”

“ป้อ...ป้อ...กูรักมึงนะ...ป้อ...ฮืออ...ฮือ...” ทีมร้องโฮออกมาพลางเข้าไปกอดร่างของเพื่อนรัก..ทีมร่ำไห้ปริ่มว่าจะขาดใจ
“ทีม...ป้อไปสบายแล้วทีม...” หนุ่ยรั้งตัวทีมเอาไว้...พลางยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตา หนุ่ยกลัวว่าน้ำตาทีมจะไปโดนป้อ...หนุ่ยเคยเชื่อตามผู้ใหญ่ว่าจะทำให้ป้อกังวล...ดวงวิญญาณไม่สงบสุข
“ป้อ...ทำไมป้อ...ทำไมต้องเป็นป้อ...ฮือ...ฮือ...” น่านร้องโฮออกมาอีกคน ครั้งนี้แคนและปรีย์เดินออกจากรถเข็น ทั้งสองก็ทนไม่ได้เหมือนกันที่เห็นเพื่อนที่เป็นที่รักต้องจากไป...ทั้งทีมและน่านต่างร้องไห้สะอึกสะอื้นกันอยู่ ทำเอาผู้ที่อยู่ใกล้ๆรวมทั้งพ่อแม่และญาติๆของป้อร้องไห้กันระงม...

          ร่างของป้อถูกนำไปที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ย่านบางเขน บ่ายนั้นมีการรดน้ำศพ ป้อแต่งตัวหล่อในชุดนักศึกษา ป้อผูกเนคไท...มันเป็นสัญลักษณ์ของเฟรชชี่...น้องใหม่...ที่ยังไม่เคยได้เรียน... เพื่อนๆมาที่วัดครบทุกคน อ้นตามมากับน้องส้มแฟนสาวที่ยังคบกันอยู่
          เด็กหนุ่มทั้งหกคนเรียงแถวเข้ารดน้ำศพเพื่อนด้วยความอาลัยรักอย่างที่สุด...ทีมก้มลงไปกอดร่างอันไร้วิญญาณของเพื่อนแล้วสะอื้นออกมาอีกครั้ง... คนทั้งศาลาต่างร้องไห้ด้วยความสงสารในชะตากรรมของ”ป้อ”หลังจากที่เพื่อนๆรดน้ำจนหมดแล้ว คนสุดท้ายคือหนุ่ยที่เดินเข้ามาพร้อมกับธีร์ที่เพิ่งเดินทางมาถึง
“ป้อ...ขอให้ป้อไปสู่สุขคตินะ..เกิดชาติหน้าฉันใดขอให้เป็นเพื่อนกันอย่างนี้ทุกชาติไป...” หนุ่ยยกมือจรดแล้วรดน้ำจากขันเงินใบเล็กๆลงสู่ฝ่ามือของเพื่อนรัก สายน้ำใสกับกลีบดอกไม้ที่ไหลรินลงสู่มือของป้อนั้น...ทำให้หนุ่ยถึงกับสะอื้นออกมาอีกครั้ง เด็กหนุ่มก้มลงจับมือเย็นเฉียบและเริ่มแข็งซีดแล้วของป้อ...จนธีร์ต้องตามมาโอบหนุ่ยให้ห่างออกมาจากบริเวณนั้น เด็กๆเดินออกมารวมตัวกันอยู่ที่โคนต้นไม้ด้านนอกศาลา ทุกคนนั่งซึมเหม่อมองไปที่ร่างของ”ป้อ”ที่นอนนิ่ง ไม่มีเสียงพูดคุยออกมาจากปากของใคร...ทุกคนต่างก็อยู่ในอาการโศกเศร้า


“เป็นไงบ้าง...หนุ่ย...กินอะไรรึยัง..” ธีร์เอ่ยปากถามเมื่อเห็นหนุ่ยหน้าซีดๆ
“ยังครับพี่...ผมทานอะไรไม่ลง” หนุ่ยก้มหน้า พลางขยับแว่นกันแดด
“กินอะไรกันมั้ยเด็กๆ...พี่เดินออกไปซื้อมาให้” ธีร์เอ่ยปากถามแต่ไม่มีใครพูดอะไรนอกจากปรีย์
“ไปพี่ธีร์...ผมไปด้วย...” ปรีย์เดินไปจับมือธีร์แล้วจูงออกมาจากตรงนั้น
“เซเว่นดีกว่าพี่...” ปรีย์เดินออกไปกับธีร์

          ของกินทั้งนมกล่อง ซาลาเปา ขนมจีบ มากมายถูกวางลงตรงหน้าเด็กๆ ไอ้ที่บอกไม่หิวแต่แรก...ทุกคนหยิบกันคนละหนุบคนละหนับเพียงครู่เดียวก็หมด...ปรีย์แอบยิ้มให้ธีร์
“ทีแรกบอกไม่หิว...พวกมึงนี่จริงๆเลย” ปรีย์บ่นเบาๆแล้วเก็บขยะไปทิ้ง
“ไปเอาน้ำให้กินหน่อยสิ...ไอ้ปรีย์” อ้นพูด
“ได้ครับเจ้านาย...” ปรีย์กำลังเดินเข้าไปหลังศาลา
“ไปด้วย...” หนุ่ยอาสาขึ้นมาแล้วเดินตามปรีย์ไปเพื่อช่วยกันเอาน้ำมาให้เพื่อนๆ

          วันแรกของงานสวดศพผ่านไปอย่างเชื่องช้าและเงียบเหงา มีเพียงพ่อแม่และญาติสนิทรวมทั้งเพื่อนๆในห้องเท่านั้น เด็กๆวิ่งรับพวงหรีดเอาไปให้เจ้าหน้าที่ของวัดแขวนในศาลาสวดศพ ทำให้มีกิจกรรมทำจะได้ไม่เงียบเหงาเกินไป หลังจากสวดแล้วศาลาก็ปิดลงเด็กๆกลับบ้านโดยมีรถของธีร์ที่เป็นรถประจำตำแหน่งคันหนึ่งและรถของหนุ่ยที่ขับมาอีกคัน...หนุ่ยตะเวนส่งเพื่อนจนครบทุกคนแล้วกลับบ้าน...ที่บ้านธีร์กลับมาคอยก่อนแล้ว...
“ถึงนานแล้วเหรอพี่” หนุ่ยเดินตาแดงช้ำเข้าไปหาธีร์ที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่
“แป๊บเดียวเองครับ...หนุ่ยหิวมั้ย...” ธีร์ถามด้วยความห่วงใย
“ก็หิวเหมือนกันครับ...แต่ไม่ทานอะไรดีกว่า...เกรงใจป้าจิต...” หนุ่ยกำลังจะเดินขึ้นห้อง
“เดี๋ยวพี่พาไปหาอะไรกินเอามั้ย...” ธีร์ถาม
“ไม่ดีกว่าพี่...พรุ่งนี้ไปเรียนแต่เช้า...ผมนอนดีกว่า” หนุ่ยเดินขึ้นห้อง

          ธีร์เดินเข้าไปในครัวเรียกป้าจิตให้อุ่นนมให้ร้อน แล้วเขาก็เอาขึ้นไปให้เด็กหนุ่มบนห้องด้วยตัวเอง ธีร์เคาะประตูเบาๆสักพักประตูก็เปิดออกมา
“ดื่มนมอุ่นๆสักหน่อยนะหนุ่ย...เดี๋ยวหิวแย่...” ธีร์ส่งนมอุ่นๆแก้วใหญ่ให้หนุ่ยรับเอาไป
“พี่ธีร์ง่วงรึยังครับ...”
“ทำไมเหรอ...” ธีร์เดินเข้าไปในห้องเมื่อหนุ่ยเปิดประตูกว้างขึ้น เหมือนกับจะเชิญเขาเข้ามา หนุ่ยคงอยากจะคุยอะไรด้วยแน่ๆ
“หนุ่ยมีอะไรรึเปล่า” ธีร์นั่งลงบนเตียง
“พี่ธีร์เมื่อกี้นี้ตอนที่ผมกลับมากับเพื่อนๆ...พวกเราคุยกันว่าจะเป็นเจ้าภาพสวดศพป้อสักคืน...พี่ธีร์มีความเห็นยังไง” หนุ่ยถาม
“ก็ดีนะ...เมื่อไหร่ดีล่ะ...”
“ต้องคุยกันก่อน...แล้วผมต้องทำยังไงกันบ้างล่ะ” หนุ่ยไม่รู้จริงๆ
“ก็ไม่มีอะไรมากนี่...เราก็ช่วยเงินเค้าไป...แล้วทางวัดเขาก็จัดให้เองนั่นแหละ...แต่หนุ่ยต้องบอกพ่อกับแม่เค้าก่อนนะ” ธีร์พูด
“ครับ...เดี๋ยวคุยกับเพื่อนก่อน” หนุ่ยว่าแล้วก็เดินเข้าห้องน้ำ

          คืนนั้นหนุ่ยนอนไม่หลับ...ไม่รู้เป็นเพราะอะไรทั้งๆที่เหนื่อยแสนเหนื่อย...เพลียแสนเพลีย...ใบหน้าของป้อมาลอยไปมาอยู่เต็มไปหมด... ทั้งฝัน ทั้งคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อยเปื่อย...เรื่องราวของป้อสมัยที่ยังมีชีวิต...ทุกคำพูด ทุกการกระทำของป้อ...วนไปวนมา...ในความฝัน...กว่าหนุ่ยจะหลับลง...ก็เกือบเช้า  .....

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 39=
เริ่มหัวข้อโดย: Nichdia ที่ 19-09-2009 06:35:04
คือวัดตรงบางเขนเนี่ย

ชื่อวัดพระศรีมหาธาตุนะครับ

ไม่ใช่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ นะคับ

แหะๆ

ผิดนิดนึง โรงเรียนผมเอง ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 39=
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 19-09-2009 07:53:10
สงสารป้อ และพ่อแม่ของป้อจังเลย
แต่ก็คิดเสียว่า ป้อไปดีแล้ว พ้นกรรมไปแล้วละกัน



จะว่าไป ผมแอบติดใจตรงที่ ทำไมปรีย์ต้องจับมือพี่ธีร์ด้วยอะ ตอนจะเดินไปซื้อของกันเนี่ย คือสงสัยตั้งแต่ตามอ่านที่ gbs แล้ว แต่ก็ไม่ได้ถามคุณต้นคุงอะ สงสัยผมจะคิดมากไปคนเดียวมั้งเนาะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 39=
เริ่มหัวข้อโดย: paulla ที่ 19-09-2009 11:12:28
หวับให้สบายนะคับ น้องป้อ :sad4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 39=
เริ่มหัวข้อโดย: ChiOln ที่ 19-09-2009 11:39:38
น้ำตาไหลเลยอ่ะ


เศร้ามากครับ

 :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 39=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 19-09-2009 12:48:50
ซึ้งในน้ำใจของเพื่อนป้อทุกคน

นี่แหละเพื่อนแท้...... :sad11:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 39=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 19-09-2009 15:01:49
 :sad11:    :sad11:    :sad11:

ก็มีแต่    :m15:    :m15:   :m15:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 39=
เริ่มหัวข้อโดย: 0nePiece ที่ 19-09-2009 17:30:52
ป้อ เค้าไปสบายแล้วอ่ะนะ
คนเป็นมะเร็งนี่มันทรมานมากจริงๆๆเลยนะ
เรารู้ดี


เพราะ

พ่อเรา

ก็เสียด้วยโรคมะเร็ง

อ่านแล้วร้องทุกรอบเลย :monkeysad: :sad11:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 39=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 19-09-2009 18:31:16
มันผ่านไปเร็วนะเรื่องแบบนี้ ไม่ทันได้สังเกตเลยด้วย  :m15:
อ่านแล้วเศร้าตามไปอินไปกับเรื่องของคุณที่นำมาลงให้อ่าน
อ่านแล้วชวนนึกถึงเพื่อนที่เสียไปแล้วเหมือนกัน
นิว(งามอย่างผู้ดี)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 39=
เริ่มหัวข้อโดย: Vesi ที่ 19-09-2009 18:50:43
น้ำตาหยดติ๋งๆ อ่านแล้วนึกถึงเพื่อนที่จากไป
ความรักความผูกพันระหว่างเพื่อนเป็นสิ่งที่งดงามจริงๆ
RIP นะป้อ

/ยืนไว้อาลัย ๑ นาที
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 39=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 20-09-2009 01:58:42
ป้อจากไปแล้ว
ตอนนี้มีแต่ความเศร้า

คิดเหมือนรีบนโน้น (คุณ patz) ว่า ทำไมปรีย์ต้องจับมือพี่ธีร์ตอนออกไปซื้อของกินด้วยล่ะ
หรือว่าไม่มีอะไรในกอไผ่

บวก 1 แต้มนะคะ ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 39=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 20-09-2009 05:19:32
แสดงความเสียใจกับทุกท่านสำหรับการสูญเสียผู้เป็นที่รักด้วยค่ะ   ตัวเราเอง ทั้งปู่  ย่า  ตา  ก็จบชีวิตด้วยโรคมะเร็งเช่นกัน  ตอนนี้เหลือยายคนเดียวที่อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ลูกหลานค่ะ

ขอบคุณสำหรับข้อมูลด้วยค่ะ  จะนำความไปบอกต้นคุงให้นะคะ  (เราก็เด็กต่างจังหวัดเหมือนกันง่ะ  ไม่ค่อยเข้าวัดด้วย  :call:)  ขออภัยสำหรับข้อผิดพลาดค่ะ

เรื่องปรีย์กับพี่ธีร์ตอนเราอ่านเราไม่ได้ติดใจนะ  จริง ๆ  คือเหมือนจะทำให้รู้สึกว่าพี่ธีร์เค้าภายนอกยังวัยรุ่นนะ  ไม่ได้แก่ขนาดเด็กเกร็ง ๆ  เราคิดแค่นั้นเองง่ะ  เอ๊ะ! หรือจะมีอะไรจริง ๆ  :a5:

ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ  ขอบคุณมากค่ะ   :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 39=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 20-09-2009 05:30:53
40 สีลม
“คุณหนุ่ย...คุณหนุ่ย...” เสียงเคาะประตูเรียกในตอนเกือบแปดโมงเช้าทำเอาหนุ่ยสะดุ้ง เด็กหนุ่มเหลือบมองดูนาฬิกาที่หัวเตียง
“เฮ้ย...จะแปดโมงแล้ว...ตายละหว่า...” เด็กหนุ่มร้องออกมาก่อนจะวิ่งไปเปิดประตู
“ป้าจิตขอกาแฟใส่แก้ว...ขนมปังแซนวิชด้วย...กินในรถนะป้า” หนุ่ยร้องสั่งก่อนปิดประตูห้องแล้วถอดเสื้อ กางเกงสะบัดไปคนละทางสองทางแล้ววิ่งแก้ผ้าเข้าห้องน้ำไป ห้านาทีสำหรับการทำความสะอาดร่างกายในเวลารีบเร่งแบบนี้
“ป้าจิตอยู่ไหน...กาแฟผมล่ะ...” หนุ่ยวิ่งไปใส่กระดุมเสื้อไป ชายเสื้อเปิดเห็นกล้ามท้องเป็นลอนสวย
“ในรถค่ะ...” หนุ่ยวิ่งไปที่รถ กุญแจพร้อม อาหารเช้าในรถพร้อมแล้วเด็กหนุ่มออกเดินทางไปเรียนด้วยความเร็วปานพายุ เขาขับขึ้นทางด่วนลงดินแดงแล้วต่อด้วยโทลเวย์เพื่อลงที่รังสิต...แต่ยังไงก็ไม่ทันเรียน...เพราะวิชาแรกเข้าเรียนแปดโมง

“ไปทำห่าอะไรมาวะ...ทำหน้าตายังกะไฟไหม้บ้าน” ไอ้เจี๊ยบเพื่อนปากหมาทักทายแต่เช้า
“ไอ้บ้า...ตื่นสายเว้ย...เมื่อคืนกูนอนไม่หลับ”
“อาจารย์ยังไม่เช็คชื่อ...” เจี๊ยบพูดยิ้มๆในความโชคดีของหนุ่ย


          เลิกเรียนแล้ว วันนี้ที่มหาลัยมีกิจกรรมแต่หนุ่ยไม่ได้เข้าร่วม เขาขอลากับรุ่นพี่เพราะต้องรีบไปรับอ้นกับแคน เขาจะไปหาเพื่อน เขารู้ว่า”ป้อ”คอยพวกเขาอยู่ที่วัด วันนี้อาการโศกเศร้าของเด็กๆดีขึ้นมาก ยกเว้นทีมกับน่านที่ตายังบวมช้ำอยู่ เมื่อคืนคงจะร้องไห้และแน่นอนมันสองคนต้องนอนไม่หลับแน่ๆ เพราะเท่าที่คุยกับอ้นและแคน มันสองคนก็นอนไม่หลับเหมือนกัน...อาการเหมือนกับเขาเปี๊ยบเลย
“ไอ้ทีมเป็นไงบ้างมึง” แคนเดินเข้าไปกอดคอเพื่อน
“นอนไม่หลับเลยว่ะ...คิดถึงป้อทั้งคืนเลย” ทีมพูดเศร้าๆ
“อือ...กูก็เหมือนกันเลย...” อ้นพูด
“ตกลงเราเป็นเจ้าภาพวันศุกร์นี้นะ...สวดคืนสุดท้าย...พ่อกับแม่บอกว่าจะเผาวันเสาร์นี้” หนุ่ยกับน่านออกมาจากศาลาหลังจากที่เข้าไปคุยกับพ่อแม่ของป้อ
“ฮัลโหล” หนุ่ยกดโทรศัพท์หาธีร์
“ว่าไงหนุ่ย...” ธีร์รับสาย
“พี่ธีร์ครับ...เราจะเป็นเจ้าภาพกันวันศุกร์นี้ครับ...”
“อืม...เดี๋ยวพี่จะชวนคุณแม่ไปด้วย...แต่ไม่รู้ท่านจะว่างรึเปล่า”
“ครับ...”
“ขับรถกลับบ้านดีๆนะหนุ่ย” ธีร์ยังเป็นห่วง


          หลังจากที่งานสวดศพป้อวันสุดท้ายผ่านพ้นไปแล้ว ธีร์ขับรถไปส่งแม่ที่บ้านแล้วออกไปกับเต้...ชายหนุ่มทั้งสองออกไปเที่ยวอีกตามเคย ในร้านเหล้าที่บรรยากาศสบายๆ ทั้งสองนั่งคุยกันถึงเรื่องธุรกิจของบริษัทที่กำลังไปได้สวย
“เต้นี่เก่งนะ...ทำให้บริษัทมีกำไรตั้งเยอะ...ปีหน้าเต้ตั้งเป้าไว้สักเท่าไหร่ดี”
“คนจะกินเหล้าธีร์มาคุยเรื่องงานอีก...ไปคุยที่บริษัทดีกว่าธีร์” เต้พูดยิ้มๆ พักหลังๆนี้ธีร์เข้ามาดูงานในบริษัทบ่อยขึ้น ทำให้งานราบรื่นและรวดเร็วขึ้น เพราะบางครั้งเขาเองไม่คล่องตัวเรื่องการติดต่อภายนอก สู้ธีร์ไม่ได้ เต้เป็นคนเก็บตัวและมีโลกส่วนตัวสูง มีธีร์นี่แหละที่เต้แสดงออกด้วยมากที่สุด ทั้งความคิดและอารมณ์
“หนุ่ย...เห็นวันก่อนคุณป้าบอกว่าจะให้รางวัลหนุ่ยที่เอนทรานซ์ติด...” เต้ถามขึ้นมา
“อืม...คุณแม่ว่าอย่างนั้น” ธีร์กระดกเหล้าหมดแก้ว เพราะเริ่มจับหางเสียงของเต้ได้...
“คุณป้าให้หาที่พักกับตั๋วเครื่องบินให้...” เต้พูดห้วนๆ
“ธีร์ว่าจะไปด้วย...” ธีร์พูดออกมาแค่นั้นเอง
“จะไปสักกี่วันล่ะ...งานการไม่ต้องทำกันพอดี...” เต้กระแทกหางเสียงแล้วมองมาที่ธีร์อย่างที่ธีร์ไม่เคยเห็นมาก่อน
“เต้มาเป็นเจ้านายธีร์ตั้งแต่เมื่อไหร่...” ธีร์ย้อนเข้าให้
“เต้ไม่กล้าเป็นเจ้านายของคุณชายธีร์หรอกครับ” เต้ประชดประชัน
“แล้วเต้จะพูดทำไม...ค่าที่พักค่าเครื่องบินเต้ก็บวกค่าจัดการแล้วเอาเข้าบริษัทซะสิ...แพงกว่าที่อื่นคุณแม่ก็เต็มใจจะจ่ายอยู่แล้ว...ธีร์ไม่เห็นว่าเต้ต้องมาค่อนขอดอะไรนี่” ธีร์เหลืออดเลยใส่เข้าให้ เขารู้สึกว่าระยะหลังๆมานี้ เต้คอยจะเจ้ากี้เจ้าการและเข้ามาวุ่นวายเรื่องส่วนตัวของเขาบ่อยมากเกินไป...ธีร์เป็นคนที่ไม่ชอบเรื่องแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ข้อจำกัดของธีร์ข้อนี้...เต้น่าจะรู้ดีที่สุดคนหนึ่งด้วยซ้ำ
“ก็เปล่า...แต่เห็นว่าแค่เอนฯติด...ไม่เห็นต้องโอ๋ต้องอวยกันขนาดนี้เลย” เต้ยังไม่หยุด
“เต้...ทำไมเต้พูดแบบนี้ล่ะ...เมื่อก่อนนี้ไม่เห็นเต้พูดจาอะไรแบบนี้เลย” ธีร์เริ่มสงสัยว่ามันจะมากเกินกว่าคำว่า”ญาติ”ซะแล้ว
“ถ้าพูดกันแบบนี้ก็กลับบ้านดีกว่า...อย่าไปกินมันอีกเลย...” ธีร์กวักมือเรียกเด็กมาเก็บเงิน
“ขอโทษนะ...เต้ไม่ได้ตั้งใจ...จะพูดแบบนี้...” เต้ก้มหน้า แต่ธีร์ยังไม่ยอมพูดอะไร...เขาควักเงินจ่ายค่าอาหารแล้วเดินออกมาจากโต๊ะโดยไม่เรียกเต้สักคำ
          เต้เดินตามออกมา ตอนมาเขามาพร้อมกับธีร์...ร้านก็เข้าซอยมาลึก...เต้เลยต้องเดินตามมาขึ้นรถด้วยความจำใจ...
“ไปไหน...ธีร์จะไปส่ง” ธีร์พูดพร้อมกับสตาร์ทรถ
“สีลม”เต้พูด...อยากจะประชดให้ธีร์รู้บ้างว่า...ถ้าเขาไปเที่ยวธีร์จะห่วงรึเปล่า
“.............” ธีร์เงียบ ชายหนุ่มออกรถอย่างแรงมุ่งหน้าไปสีลมตามความต้องการของเต้ สักครู่เดียวธีร์ก็จอดรถตรงที่เต้บอก...ริมถนนสีลม เขาออกรถไปเลยโดยที่ไม่มองมาที่เต้ด้วยซ้ำ...
          เต้เดินขึ้นรถแท็กซี่แล้วบอกกับคนขับรถด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยว่า”ไปประชานุกูลครับ”เต้ตัดสินใจกลับบ้าน...ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำแบบนี้...เขาไม่ใช่คนที่ชอบเที่ยวอยู่แล้ว...จะออกไปกินหรือเที่ยวก็เพราะธีร์ชวนเท่านั้น กับคนอื่นมาลากถึงบ้าน...เต้ไม่เคยไปเลย เต้นั่งมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง มองสรรพสิ่งที่ผ่านไป ใจลอยไม่รู้ตัวจนรถแท็กซี่วิ่งลงทางด่วน คนขับหันมาถามว่าจะลงตรงไหนนั่นหล่ะ...เต้ถึงได้สะดุ้งตื่นจากภวังค์...ชายหนุ่มปาดน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
“เลี้ยวเข้าซอยหน้าครับลุง...” เต้บอกพลางขยับตัวเพื่อจะลง
“จอดหน้าบ้านที่เปิดไฟครับ...” เต้จ่ายค่าโดยสารแล้วลงมายืน เขาควานหากุญแจบ้านจากเป้ใส่โน๊ตบุ๊คที่สะพายอยู่ด้านหลัง เต้อยู่คนเดียวมาหลายวันแล้ว...แม่เขาไปเมืองจีนกับเพื่อนๆ...เวลาว่างของแม่คือเที่ยว...เขาเต็มใจที่เห็นแม่มีความสุข...เต้มีพ่อก็เหมือนไม่มี...แม่กับพ่อแยกทางกันนานแล้ว
“ไปไหนวะ...” เต้บ่นเบาๆ
“สงสัยหล่นในรถธีร์แน่ๆเลย...” เต้นึกขึ้นมาได้เพราะตอนที่นั่งมากับธีร์ มีหมาเดินตัดหน้ารถทำให้ธีร์เบรกอย่างแรง...พวงกุญแจอาจจะตกอยู่ในรถก็ได้
“ทำไงดีวะ...” เต้บ่น...เขาจะเข้าบ้านได้ยังไง เกรงใจถ้าธีร์จะต้องเอากุญแจมาให้ จะออกไปเอาก็ไม่รู้ว่าธีร์อยู่ที่ไหน...บ้านหรือคอนโด ชายหนุ่มจำใจกดโทรศัพท์หาธีร์ ด้วยความหวั่นใจว่าธีร์จะรับโทรศัพท์รึเปล่า...ธีร์โกรธอยู่นี่นา
“................” เสียงโทรศัพท์เรียกอยู่นานจนสายถูกตัดไปเอง เต้กดใหม่อีกครั้ง...จะไม่ให้ธีร์ต้องออกมาหรอก...เขาอยากรู้เท่านั้นว่าธีร์อยู่ที่ไหนเขาจะไปเอากุญแจเอง
“.................” เงียบ...ไม่มีผู้ใดมารับสาย เต้คิดอยู่อย่างเดียวว่าธีร์ต้องโกรธเขาแน่ๆ ชายหนุ่มเดินออกมากะว่าจะนั่งแท็กซี่มาหาธีร์ที่บ้านก่อน...ถ้าไม่อยู่จะไปที่คอนโดอีกรอบ...
“ปรี๊ดดดด...ปรี๊ดดดดด.....” เสียงธีร์โทรเข้ามา...เต้ดีใจมาก...ไม่คิดว่าธีร์จะโทรมา...นั่นแสดงว่าธีร์ไม่โกรธเขาแล้ว
“ธีร์...เต้ทำกุญแจรถหล่นในรถธีร์รึเปล่า...” เต้ส่งเสียงไปทันที
“อืม...ไหนบอกว่าไปเที่ยวไง....แล้วไง...เข้าบ้านไม่ได้เหรอ...” ธีร์พูดด้วยน้ำเสียงที่ปกติ
“ขอโทษนะ...ธีร์อยู่ไหน...เดี๋ยวจะไปเอากุญแจ” เต้ไม่กล้าบอกให้ชายหนุ่มเอามาให้
“คอยอยู่ที่ร้านเนตฯปากซอยนั่นแหละ...เดี๋ยวให้หนุ่ยเอาไปให้...” ธีร์กดโทรศัพท์ทันที
“เฮ้อ...” เต้โล่งอก...ไม่ใช่เรื่องกุญแจบ้านหรอก...แต่เป็นเรื่องธีร์ไม่โกรธเขาแล้วต่างหาก ...

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 40=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 20-09-2009 06:22:46
สงสัยเต้จาคิดไม่ซื่อซะแล้ว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 40=
เริ่มหัวข้อโดย: ChiOln ที่ 20-09-2009 08:50:21
 :call:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 39=
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 20-09-2009 11:25:58
เรื่องปรีย์กับพี่ธีร์ตอนเราอ่านเราไม่ได้ติดใจนะ  จริง ๆ  คือเหมือนจะทำให้รู้สึกว่าพี่ธีร์เค้าภายนอกยังวัยรุ่นนะ  ไม่ได้แก่ขนาดเด็กเกร็ง ๆ  เราคิดแค่นั้นเองง่ะ  เอ๊ะ! หรือจะมีอะไรจริง ๆ  :a5:

ตกลงเรื่องของปรีย์ ไม่มีอะไรในกอไผ่จริงๆด้วย คุณต้นคุงไขข้อสงสัยของผมให้แล้วที่ gbs แหะๆ  :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 39=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 20-09-2009 12:57:27
เรื่องความรักมันไม่เข้าใครออกใคร

เมื่อรักแล้วจะทำอย่างไรหละ นั้นมันเรื่องของคนมีความรัก

แล้วคนไร้รักหละ ไม่รู้ว่าความรักมันเป็นเช่นใด

 :z2:   :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 40=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 20-09-2009 14:12:16
เต้อิจฉาหนุ่ยเข้าแล้ว

 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 40=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 21-09-2009 00:23:54
เต้แสดงออกมาหลายครั้งแล้ว
ธีร์ก็น่าจะรู้บ้างนะ
หรือมันมีอะไรซับซ้อนไปกว่านี้อีก

ขอบคุณมากนะคะ รอตอนต่อไปค่ะ
 :L2:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 40=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 21-09-2009 04:25:44
41 ปลายทาง

          วันรุ่งขึ้นเป็นเช้าวันเสาร์หลังจากที่ตื่นตอนเช้าและออกไปวิ่งออกกำลังกายแล้ว หนุ่ยกลับเข้ามาอาบน้ำแต่งเครื่องแบบนักศึกษาของมหาวิทยาลัย เตรียมตัวไปงานของเพื่อนรัก...วันสุดท้ายแล้วสินะที่ร่างกายที่เคยเป็นของป้อ...ร่างกายที่เคยเดินเหินไปไหนมาไหนได้ ร่างกายที่เคยพูดคุยหยอกล้อ...รูปกายที่หล่อเหลา...และบอบบางของ”ป้อ”จะดับสูญลง...บ่ายสามโมงวันนี้จะมีงานฌาปนกิจศพ”ป้อ”...วันที่ทุกคนจะร่วมส่ง”ป้อ”สู่สรวงสวรรค์
          เด็กหนุ่มออกมารับอ้นและแคนเพื่อไปด้วยกัน...เพื่อนๆทุกคนในห้องนัดกันแต่งชุดนักศึกษาอย่างเรียบร้อย...เพื่อเป็นเกียรติให้กับ”ป้อ”

“เณร...ฉันอะไรรึยัง...เอานมมั้ย” หนุ่ยถามทีมที่ตอนนี้บวชให้”ป้อ”ไม่เพียงแต่”ทีม”เท่านั้น”น่าน”เองก็บวชให้”ป้อ”ด้วยอีกคน พ่อแม่ของสองเณรก็มา...บอกว่าอยากเห็นลูกห่มผ้าเหลือง...แม้จะเป็นการบวชหน้าศพก็ตาม
“โกนหัวบวชเมื่อไหร่เนี่ย...” ปรีย์ถามเพื่อนเณรทั้งสอง
“เมื่อเช้านี้เอง...อาจารย์บวชให้...เผาเสร็จก็สึกแล้ว” เณรน่านพูดยิ้มๆ ใบหน้าใสๆไร้ผมไร้คิ้ว...น่านและทีมดูเปล่งปลั่ง...และแผ่รังสีออร่าอยู่ในผ้าเหลือง
“ดูดีจังเลยเณร...น่าจะบวชไปตลอดเลยนะ...” ปรีย์แซวเพื่อนสองคนที่ได้แต่นั่งอมยิ้ม...เป็นเณรทำอะไรมันไม่ได้...เดี๋ยวผิดศีล
“อืม...ดูดี...หัวก็สวย...เณรหัวสวยๆแบบนี้น่าจะบวชไปนานๆนะ...” อ้นเอาบ้าง...เณรก็ได้แต่นั่งอมยิ้ม...ไม่ว่าอะไร
“ถ้าเป็นปกติ...จะลุกไปเตะให้” เณรทีมพูดเบาๆกับเณรน่าน เพื่อนๆได้ยินต่างก็หัวเราะกันเสียงดัง...
“ไอ้อ้นไอ้ปรีย์โดนเตะแน่มึง” แคนพูด

          เจ้าหน้าที่จากทางวัดเริ่มเอาพวงหรีดและดอกไม้ตกแต่งโลงออกมาด้านนอก แล้วไปประดับที่เมรุเผาศพแล้ว เด็กๆใจแป้วมากขึ้น โลงศพสีขาวลวดลายเทพพนมของ”ป้อ”ตั้งตระหง่านกลางศาลา มีเพียงกระถางธูปและตะเกียงน้ำมันก๊าดเท่านั้นที่ตั้งอยู่...สักพักเจ้าหน้าที่เตรียมเข้าไปยกโลงศพของ”ป้อ”ออกมาเพื่อเอาไปวนรอบเมรุ ตอนนี้เองที่เด็กๆเริ่มน้ำตาซึมออกมา
“ป้อ...”ทีมครางออกมาเบาๆในลำคอ น้ำตาเริ่มคลอหน่วย เณรทั้งสองเดินเข้าไปที่ศาลา เพราะมีพระผู้ใหญ่เรียกไปจูงศพ เพื่อนๆร่ำไห้ออกมากันถ้วนหน้า วันนี้ทุกคนมากันครบทั้งห้องเลยทีเดียว ศพถูกวนรอบเมรุสามรอบแล้วก็เอาขึ้นไปตั้งไว้ที่เมรุ พิธีเริ่มต้นขึ้นแล้ว ด้วยการเชิญผู้มีเกียรติทั้งหลายขึ้นทอดผ้าบังสุกุล เช่นอาจารย์สมเกียรติ
          และแล้วก็ถึงเวลาสุดท้ายของ”ป้อ”เวลาที่ทุกคนไม่อยากให้มี นั่นคือการฌาปนกิจร่างของ”ป้อ”ให้มอดไหม้ลงไป...เพื่อส่งป้อขึ้นสู่สรวงสวรรค์
“........กรี๊ง.......”เสียงกริ่งดังยาวๆหนึ่งครั้งให้สัญญาณพิธีฌาปนกิจศพ...

          เด็กๆคอยจนแขกคนสุดท้ายขึ้นเมรุแล้วพวกเขาก็เดินตามขึ้นไป นำโดยหนุ่ย...แคน...อ้น...ปรีย์...เพื่อนสนิทมีอยู่เท่านี้...ส่วนเณรทั้งสองนั่งคอยอยู่ที่เก้าอี้ด้านหน้าเรียบร้อยแล้ว
“ป้อ...ฮือ...ฮือ...” ปรีย์ร้องไห้ออกมาทำเอาเพื่อนๆที่เดินเข้ามาวางดอกไม้จันทน์ พากันน้ำตาซึมไปหมด หนุ่ยเดินไปที่รูปป้อ...หนุ่ยเอามือลูบไล้ไปที่ใบหน้าในกระจก...แวบหนึ่งในใจ...หนุ่ยคิดถึงวันนั้น...วันที่เขาถือรูปถ่ายของปู่แล้วเดินลงจากเมรุ...วันนั้นเขาคิดกับธีร์แบบไหนเหรอ...โกรธ...แค้น...หรือเขาไม่รู้สึกตัวเอาเลยว่าเขารู้สึกแบบไหนกับธีร์กันแน่...
“ไปสู่สุขคตินะป้อ...” หนุ่ยยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตา
          เด็กๆไม่ยอมลงจากเมรุต่างออกันอยู่ตามราวบันไดเพื่ออยู่เป็นเพื่อน”ป้อ” เพื่อนของพวกเขา...รองหัวหน้าห้องของพวกเขา...”ป้อ”ตัวแทนของความรักที่บริสุทธิ์...”รักที่ไม่ครอบครอง”

          เมื่อเตาเผาปิดลงเด็กๆทยอยเดินลงจากศาลา พ่อกับแม่ตอนนี้อยู่ท่ามกลางญาติๆ แม่ร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด...พ่อกับแม่ไม่ได้ขึ้นไปเผา”ป้อ” เพราะความเชื่อที่ว่าพ่อแม่”ไม่เผาลูกตัวเอง”
          ควันสีดำค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีขาวมัวหม่น มันพวยพุ่งออกมาจากปลายปล่องเมรุ ร่างกายที่นอนนิ่งในซองเผาศพกลับกลายเป็นควัน ไม่มีใครบอกได้ ถ้าหากควันเหล่านี้...มันจะลอยไปยังแดนสรวง...ห้วงสัมปรายภพได้...ขอให้ดวงวิญญาณของ”ป้อ”จงไปสถิต ณ ที่แห่งนั้นด้วยเทอญ...แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ยัง”สถิต”อยู่ในใจทุกคนคือ...ความทรงจำ

“พวกเราต้องพาเณรไปสึกก่อนนะ...อย่าเพิ่งกลับ...” หนุ่ยสั่งเพื่อนที่สนิทๆกันให้ไปส่งทีมกับน่านที่กุฏิอาจารย์
“เดี๋ยวเราสึกก่อนนะ...เดี๋ยวเจอกัน” ทีมโอบไหล่ปรีย์เอาไว้แล้วดึงมากอดเหมือนกับจะบอกว่า”มึงโดนแน่ๆ”
“โอ้ว...อาตมาว่าจะกลับแล้ว...ไม่รอท่านสึกหรอก...” ปรีย์ล้อเลียนเณรด้วยการเรียกตัวเองว่า”อาตมา”
“.........” เณรทีมชี้หน้าปรีย์แล้วเอานิ้วไปทำท่าปาดคอ
“เณร...ไม่เล่นอย่างนี้สิ...ยังไม่ได้สึกเลยนะ” หนุ่ยปราม
“ปรีย์อีกคน...นรกจะกินกบาลนะมึง” หนุ่ยหันไปดุปรีย์
“ไปหาหลวงพ่อกันเถอะ...จะได้สึก” แคนเดินนำไปทางด้านหลังวัด
          เด็กๆเดินไปกุฏิอาจารย์เพื่อให้ท่านทำพิธีสึก...จะได้กลับบ้านกันซะที...พรุ่งนี้ต้องมาทำบุญอีกตอนเช้า ระหว่างที่เดินกันไปนั้น หมาวัด 4-5 ตัวเห่ากรรโชกและหอนรับกันเป็นทอดๆ ทำเอาเด็กหนุ่มทั้ง 4 รวมเณรด้วยอีก 2 พากันมองหน้าเลิกลั่กไปมา...
“อะไรวะ...หอนอยู่ได้...” ปรีย์พูดขึ้นมา
“อือนั่นน่ะสิ...” แคนที่เดินนำอยู่กลับเดินช้าลงและรวมกลุ่มกับเพื่อน
“กลัวบ้าอะไรวะ...” หนุ่ยเริ่มรำคาญเด็กกรุงเทพฯ เขานึกถึงตอนที่อยู่ระโนด...ต้องไปขอข้าวพระกินทุกเที่ยง...ต้องเดินผ่านป่าช้า ผ่านโกดังเก็บศพ เดินคนเดียวยังไม่เห็นกลัว...หรือว่ากลัวนะ...แต่ความหิวและสัญชาตญาณการเอาตัวรอดมันทำให้เขาต้องอดทนกับ”ความกลัว”
“เณรเดินนำสิ...” ปรีย์ดันหลังเณรน่าน
“อย่าดันสิปรีย์” น่านหันมาดุ
“เณรเป็นหัวหน้าห้องนะ...ต้องกล้าหาญสิ...” ปรีย์ยุกยิกๆอยู่ตรงกลางคนเดียว
“ปรีย์ถ้าไม่หยุดเดี๋ยวจะมัดไว้ที่ศาลานี่แหละ...” เณรทีมพูดออกมา ทันใดหมาก็หอนขึ้นมาอีก ลมกรรโชกเอาทั้งฝุ่นทั้งเศษใบไม้พัดปลิวว่อนไปหมด เศษประตูสังกะสีที่พิงอยู่ริมกำแพงล้มครืนลงมา”ปัง”เสียงดังๆทำเอาปรีย์ แคน อ้นวิ่งกระเจิงไปทางกุฏิอาจารย์โดยเร็ว เมฆฝนที่ไม่มีเค้ามาก่อนตั้งเค้าทะมึนเต็มท้องฟ้า เด็กๆรีบวิ่งขึ้นไปบนกุฏิ ฟ้าลั่นครั่นครืนกลบเสียงเด็กหนุ่มทั้งหกคน

          สักครู่ใหญ่ๆพิธีสึกก็เสร็จสิ้น ทีมและน่านก้มลงกราบอาจารย์และเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นกางเกงยีนส์ขาวและเสื้อยืดสีขาว ก่อนจะขอลากลับ เม็ดฝนเริ่มซัดสาดไปทั่ว เด็กๆวิ่งบ้างหลบบ้างไปตามชายคาศาลาสวดที่เรียงราย จนมาถึงรถ หนุ่ยกดรีโมทแล้วเปิดประตูกระโดดเข้ารถ อ้น แคนตามเข้ามาทางด้านเบาะหลัง น่านวิ่งหัวใสมานั่งด้านหน้าคู่กับหนุ่ย เด็กหนุ่มสตาร์ทเครื่อง “แชะ...”....”แชะ....”
“เฮ้ยทำไมไม่ติดวะ...” หนุ่ยใจเสียกลัวรถจะรวน...ซ่อมทีนึงหลายตังแน่ๆเลย
“เป็นไรวะหนุ่ย...” แคนถาม
“สตาร์ทไม่ติดน่ะสิ...” หนุ่ยก้มลงดู น้ำฝนหยดจากปลายเส้นผมเป็นหยดเล็กๆ
“อีกทีสิ” แคนพูด
“แชะ...”....”แชะ....”
“ไม่ติดว่ะ...” หนุ่ยเริ่มใจไม่ดี...ใจเขากลัวอย่างเดียวว่ารถจะพัง
“น่านว่า...เอ่อ...” น่านพูด
“อะไรน่าน...ว่าอะไร” อ้นถาม
“เรา...ไม่ได้บอกป้อเลยว่าจะกลับ” สิ้นเสียงน่านทุกคนในรถเงียบ...ฝนตกลงมาหนักขึ้นมากกว่าเดิม กระจกเริ่มเป็นฝ้าขาว...มองอะไรข้างนอกไม่เห็นแล้ว...เลยไม่รู้ว่ามีรถใครจอดอยู่แถวนั้นบ้าง

 น่านพนมมือแล้วหันไปทางเมรุก่อนจะพูดเบาๆ“ป้อ...พวกเรากลับก่อนนะ...แล้วพรุ่งนี้เช้าจะมาทำบุญให้นะป้อ...”
“ลองสิ...” แคนพูดเรียกสติหนุ่ยที่ทำหน้าแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“....แชะ...บรื้น...” เครื่องยนต์สตาร์ทติดอย่างง่ายดาย...หนุ่ยเหยียบคันเร่งเครื่องยนต์เดินเรียบเป็นปกติ...ไม่มีอาการที่แสดงว่าจะเสียหรือพังอะไรเหมือนเมื่อกี้นี้เลย
“ขอบคุณนะป้อ...ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกก่อน...” น่านพูดอีกครั้ง ทุกคนในรถเงียบกริบ ขนลุกเกรียว...หนุ่ยยกมือท่วมหัว...ก่อนจะเข้าเกียร์แล้วหมุนพวงมาลัยรถ...บีเอ็มดับบลิวคันหรูออกตัวช้าๆสู่ถนนใหญ่ ตามมาด้วยรถอีกคันของปรีย์ ...

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 41=
เริ่มหัวข้อโดย: viky_mama ที่ 21-09-2009 05:15:04
อ่านแล้วก็เศร้าจังเลยค่ะ สงสารป้อ สงสารพ่อแม่ป้อด้วย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 41=
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 21-09-2009 06:47:13
ป้อพ้นบ่วงกรรมไปแล้ว ที่เหลืออยู่ก็ดำรงชีวิตด้วยความไม่ประมาทละกันนะ


ตอนจบแอบมีหลอนอะ  o22
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 41=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 21-09-2009 07:11:00
แอบหลอนนิดๆอะ

555+
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 41=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 21-09-2009 10:56:34
ป้อห่วงเพื่อน........
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 41=
เริ่มหัวข้อโดย: ChiOln ที่ 21-09-2009 13:57:20
สงสารป้ออ่ะ
 :m15:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 41=
เริ่มหัวข้อโดย: WEERACHOT ที่ 21-09-2009 14:52:34
 :L2: ผ่านมาหลายตอน แล้วก็อ่านจนถึง....เหอ

หลายอย่างผ่านไป หลายอย่างเปลี่ยน และเวลาก็ยังคงเดินต่อไป....

เป็นกำลังให้เพื่อนๆทุกคน

ปล.เป็นกำลังให้คนแต่งและคนโพสครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 41=
เริ่มหัวข้อโดย: tutu ที่ 21-09-2009 17:45:35
น่าสงสารจัง!!~
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 41=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 21-09-2009 18:10:02
ป้อไปดีแล้ว
ที่เหลือก็ดำเนินชีวิตต่อไป

บวก 1 แต้ม ขอบคุณคนแต่งและคนโพสต์ค่ะ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 41=
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 21-09-2009 18:27:41
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 41=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 21-09-2009 19:28:22
คนเราก็มีแค่นี้แหละ  จะอะไรมากมาย

วันนี้มีอยู่พรุ่งนี้จะเป็นเช่นไรนั้นมันไม่แน่นอน

 :เฮ้อ:  แต่ก็เศร้าแสนเศร้าเลยนะครับ

เมื่อไรนะถึงจะมีความสุขกันบ้างหละ

 :z2:    :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 41=
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 21-09-2009 21:13:07
น่าเศร้ามากกกกคับยังไม่ทันได้เริ่มเรียนเลยก็ต้องมาด่วนจากไปซะแล้ว



ขอให้ไปสู่สุคติน่ะป้อ



ขนตั้งเลยอ่ะตอนที่ระสตาร์ทไม่ติดเนี่ยหยิวอ่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 41=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 22-09-2009 04:09:43
42 เคปทาวน์

          หลังจากงานศพของป้อผ่านไปไม่นาน น่านก็เดินทางไปเคปทาวน์ตามแผนที่วางไว้ โดยมีเพื่อนๆตามไปส่งที่สนามบินกันครบทุกคน หลังจากร่ำลากับเพื่อนแล้ว น่านเดินมาหาหนุ่ยที่ยืนอยู่เป็นคนสุดท้าย
“หนุ่ย...ขอบคุณมากๆสำหรับทุกสิ่งที่ผ่านมา...” น่านน้ำตาคลอ
“ไม่เป็นไรน่าน...เราเป็นเพื่อนกันนี่...” หนุ่ยกอดน่านเอาไว้แน่น
“กูกอดมึงมั่งสิไอ้น่าน” ปรีย์เดินเข้ามา น่านกอดตอบ
“น่านอย่าลืมพวกกูนะ...ออนเอ็มก็ทักทายกันบ้าง” แคนเดินเข้ามา เด็กๆกอดกันกลม น่านน้ำตาซึม สุดท้ายน่านเดินไปกอดกับพ่อ แม่ พี่ชาย น้องชายที่มาส่งด้วยน้ำตานองหน้า
“ติดต่อกลับมาบ้างนะลูก...” แม่ของน่านพูดพลางร้องไห้กอดลูกชายที่ร่างบอบบางนั้นไว้แน่น
“เดินทางถึงนู่นแล้วน่านจะโทรกลับมานะครับ...ไม่ต้องห่วงนะ...น่านอยู่ได้” น่านบอก แล้วเดินเข้าไปในที่สำหรับผู้โดยสาร เสียงประกาศเรียกของสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ดังขึ้นอีกครั้ง น่านจะต้องไปต่อเครื่องที่สนามบินชางฮี ประเทศสิงคโปร์ แล้วบินสู่เคปทาวน์ ที่นั่นวัชจะมารับ ชีวิตใหม่กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง...ชีวิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง รอยแผลรักที่เกิดในใจ...มันไม่ได้มลายหายไปกับร่างไร้วิญญาณของป้อหรอก....มันจะอยู่ในหัวใจน่านตลอดไป...น่านทำได้ดีที่สุดเท่านี้...น่านอยู่กับป้อเพราะต้องการจะเป็นกำลังใจให้ วัชเองก็เข้าใจ...วัชไม่ได้เร่งรัดให้น่านรีบมาหาเลย แต่กลับบอกให้น่านดูแลป้อไปเรื่อยๆ น่านก็รู้สึกดีที่ได้ดูแลป้อจนวาระสุดท้าย

          น่านนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ขณะที่ผู้โดยสารคนอื่นๆกำลังเข้านั่งประจำที่ อ้อมกอดของเด็กหนุ่มมีเสื้อไหมพรมสีกรมท่าที่น่านขอมาจากวิภาพร น่านเอาเสื้อของ”ป้อ”ขึ้นมาแนบอกอีกครั้งแล้วสูดเบาๆ กลิ่นกายที่ยังอบอวลอยู่ ทำให้น่านน้ำตาซึม
“ลาก่อนนะป้อ...ขอบคุณมากที่”รัก”น่าน...” น่านพูดคนเดียวเบาๆ เสียงเครื่องยนต์ครางกระหึ่ม ก่อนพุ่งทะยานไปบนรันเวย์ เครื่องบินลำยักษ์ลอยพ้นพื้น”แผ่นดินแม่”...มันพาน่านบินสู่ห้วงแห่งความรัก
............................................................


          ที่ร้านกาแฟวาวีริมแม่น้ำปิง...กลางเมืองเชียงใหม่ เต้นั่งเงียบๆคนเดียว ความเหงาอ้างว้างมันเกาะกินหัวใจของเขา เต้นึกถึงวันที่หนุ่ยเอากุญแจบ้านมาให้
“พี่เต้ครับ...พี่ธีร์ให้เอากุญแจมาให้พี่” หนุ่ยยกมือไหว้พลางส่งกุญแจพวงใหญ่ให้เต้
“ขอบใจมากนะ...เข้าบ้านก่อนมั้ย...ฝนตกใหญ่แล้วนะ” เต้บอกหนุ่ย
“ไม่ดีกว่าครับ...พรุ่งนี้มีงานทำบุญและเผาศพเพื่อนผมน่ะครับ” หนุ่ยบอก
“ขอบใจมากนะหนุ่ย...แล้วนี่ธีร์มันทำอะไรอยู่ล่ะ...ถึงให้หนุ่ยเอามาให้น่ะ...” เต้ถาม
“พี่ธีร์นอนแล้วครับ...เห็นบ่นว่าปวดหัว...” หนุ่ยพูดยิ้มๆ หน้าตาใสซื่อแววตาแห่งความจริงใจของหนุ่ยบอกอะไรได้ตรงไปตรงมาเสมอ เต้รับรู้ได้จากแววตานั้น
“อืม...ขับรถดีๆนะ...” เต้บอกแล้วปิดรั้วลง

          เต้ยกถ้วยกาแฟเย็นชืดนั้นขึ้นมาดื่มจนหมด ชายหนุ่มทอดสายตาออกไปยังสายน้ำกว้างใหญ่ เต้ยังสับสนกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนนี้ เขารักธีร์รึเปล่า...หรือแค่หวงกลัวธีร์ไปรักใคร...เขากับธีร์ไม่ได้เป็นอะไรกันซะหน่อย...แต่ทำไมถึงได้รู้สึกแบบนี้ เต้ก้มหน้า...เอากุญแจรถขีดโต๊ะเล่นไปเรื่อยๆ...คิดไปเรื่อยเปื่อยสมน้ำหน้าแล้วล่ะ...ที่ทำให้ธีร์โกรธ
          เต้ลาพักผ่อนประจำปี เขามาเที่ยวเชียงใหม่คนเดียว ไม่มีโปรแกรมอะไรมากมาย...ตื่นนอนตอนสายๆ...เดินเล่นห้าง...อ่านหนังสือ...กินกาแฟ...การพักผ่อนของเต้...เน้นอย่างเดียวคือไม่พกโทรศัพท์...ไม่ว่าจากใครทั้งสิ้น อยู่กับตัวเองให้มากที่สุด ทบทวนความคิดในห้วงเวลาที่ผ่านมา...สิ่งใดไม่ดี...เขาจะไม่ทำมันอีกแล้ว...ความต้องการของตัวเองอยู่ตรงไหน...มาพักผ่อนครั้งนี้...เต้รู้สึกได้ว่า...เขาหาเจอแล้ว
...............................................


          กำหนดการที่จะสอบปลายภาคของหนุ่ยออกมาแล้ว หนุ่ยยกเลิกการไปยุโรปแล้วแต่ขอไปเที่ยวออสเตรเลียแทนด้วยเหตุผลที่ว่า...ยุโรปดูวุ่นวายและค่าครองชีพแพงเกินไป...อยากจะไปขับรถเที่ยวที่ออสเตรเลียมากกว่า...เป้าหมายคือ”เมลเบิร์น”

“หรือไม่อยากให้แม่เสียเงินมาก...หือตาหนุ่ย” ภาณีดึงหนุ่ยเข้ามากอดแล้วหอมที่แก้ม...
“ครับ...เดี๋ยวจบตรีแล้ว...ผมจะไปต่อโทกฎหมายที่ฝรั่งเศส...คุณแม่ได้เสียเงินแน่ๆครับ” หนุ่ยยิ้มแล้วหอมแก้มภาณีคืน นางยิ้มดีใจในสิ่งที่นางให้ไป”ไม่สูญเปล่า” หนุ่ยเป็นเด็กดีและตั้งใจเรียน  “เกียรตินิยมอันดับหนึ่งคงไม่ไกลเกินลูกแม่จะเอื้อมถึงหรอกใช่มั้ย” ภาณีพูดแล้วยิ้มอย่างใจดี
“ผมสัญญาครับคุณแม่” หนุ่ยกอดภาณี
“โอ้โห...แม่ลูกคู่นี้รักกันจริงๆ...เอาใจอะไรคุณแม่อีกล่ะหนุ่ย” ธีร์เดินลงมา
“ไม่มีอะไรครับพี่ธีร์...แค่จะเอาเกียรตินิยมมาให้คุณแม่แค่นั้นเอง” หนุ่ยยิ้มแล้วเดินไปเอากาแฟมาจากป้าจิตก่อนส่งให้ธีร์
“วางแผนไว้รึยังว่าจะไปเมลเบิร์นสักกี่วันดี...” ธีร์ถาม
“สักครึ่งเดือนเป็นไงครับพี่...” หนุ่ยพูด
“โอ้ว...พี่โดนไล่ออกแน่ๆเลย...” ธีร์ส่ายหน้าแสดงอาการไม่แน่ใจ
“ห่วงงานก็ไม่ต้องไปหรอกพี่...ผมไปคนเดียวได้” หนุ่ยพูดเหมือนงอน
“นี่...เพลาๆเรื่องงานซะบ้าง...แม่เห็นแกทำงานซะจน...เกือบจะเป็นหุ่นยนต์อยู่แล้ว” ภาณีพูดกับลูกชาย
“จริงครับคุณแม่...พี่ธีร์นี่ไม่ให้เวลากับตัวเองเลย...พักผ่อนบ้างเถอะนะครับ” หนุ่ยเดินมากอดธีร์ไว้ในอ้อมแขนแข็งแรง ทำเอาธีร์เกือบสำลักกาแฟ
“อ่ะ...เดี๋ยวจะยื่นเรื่องลา...อย่าพาพี่ไปหลงที่เมลเบิร์นนะ” ธีร์พูดพลางยกกาแฟขึ้นซด
“ครับผม...ผมรักพี่ธีร์จังเลย” หนุ่ยกอดธีร์แน่นกว่าเดิม
“เบาๆหน่อย...เดี๋ยวกระดูกพี่เค้าหักพอดี” ภาณีปรามอาการดีใจของหนุ่ย
“หนุ่ยเตรียมเอกสารให้พร้อมแล้วกัน...จะใช้อะไรบ้างเดี๋ยวให้น้องที่บริษัทส่งลิสต์มาให้...” ธีร์กดโทรศัพท์สั่งงาน
“พี่ธีร์ลางานได้แน่ๆนะ...” หนุ่ยยิ้มอย่างดีใจ
“อืม...ได้สิ...” ธีร์รับปาก


          หลังจากสอบเสร็จหนุ่ยเริ่มเตรียมตัว เรื่องเอกสารที่จะไปทำหนังสือเดินทาง และเอกสารที่จะต้องขอวีซ่า เรื่องการจองที่พักและรถเช่านั้นเต้เป็นคนจัดการให้ทั้งหมด พักหลังเต้มุ่งทำแต่งานจนธีร์เริ่มกังวล
“เต้...ไม่พักผ่อนบ้างเหรอ” ธีร์ถามเต้ในบ่ายวันหนึ่ง
“ก็คิดอยู่นะ...แต่ตอนนี้ยังหรอกช่วงซัมเมอร์งานเยอะน่ะธีร์” เต้ยิ้มแย้ม
“อืม...จะพักเมื่อไหร่บอกนะ” ธีร์พูดแล้วโอบไหล่ญาติสนิท
“ทำไมธีร์จะพาไปรึไง...” เต้หยอดกลับ
“อยากไปไหนล่ะ...” ธีร์ถาม
“อยากไปเตะฝุ่นที่แคลิฟอร์เนีย” เต้บอก
“...โป๊ก...” มะเหงกเขกลงที่หัวเต้เสียงดัง
“อูยย...ธีร์...ชั้นเจ็บนะเว้ย...” เต้คลำหัวตัวเอง ผมเทรนด์เกาหลีดูยุ่งเหยิง
“ปากอย่างนี้...ต้องโดน...” ธีร์พูดแล้วเดินยิ้มออกไปนอกห้องทำงานของเต้

          เต้ไม่เคยพูดถึง”คนนั้น”มานานมากแล้ว เต้รู้ทุกอย่างที่เขาเคยเจอมา เรื่องที่เกิดที่แคลิฟอร์เนีย...เมื่อหลายปีก่อน...มันกลับมาทำให้เขารู้สึกว่าเป็นเรื่องไร้สาระเต็มที เพราะชีวิตทุกวันนี้ของธีร์มันมีความหวัง...มากพอที่จะลืมเรื่องราวแต่หนหลัง ธีร์เก็บเรื่องนั้นไว้ลึกสุดใจ
“ธีร์เรียนจบแล้วนะ...อยากกลับบ้านใจจะขาด...” ธีร์พูด เขานอนอยู่ในอ้อมกอดของ”ฝุ่น”
“ธีร์กลับไปก่อนนะ...ฝุ่นเรียนจบแล้วจะตามกลับไป...ไม่นานหรอก...” ฝุ่นดึงร่างของธีร์ขึ้นมากอด
“สัญญานะ...” ธีร์มองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น สองปีที่ผ่านมาฝุ่นไม่เคยโกหกเขาเลย ตั้งแต่เจอกันครั้งแรก ฝุ่นดูจริงจัง ทั้งเรื่องเรียน ทั้งเรื่องงาน แม้ว่าฐานะทางบ้านฝุ่นจะไม่ดีนัก แต่ความพยายามในการไขว่คว้าหาโอกาส... ทุกอย่างที่ได้เงิน...หรือหนทางก้าวหน้า...ฝุ่นมุ่งมั่น...และไม่เคยรีรอ ธีร์คิดจะฝากชีวิตไว้กับฝุ่น... คนนี้แหละที่ธีร์ตามหามาทั้งชีวิต ในคืนวันก่อนเดินทางกลับธีร์ร้องไห้จนน้ำตาแทบจะเป็นสายเลือด การใช้ชีวิตร่วมกันมาตลอดสองปี...ทั้งกิน ทั้งนอน ทั้งคู่แทบจะไม่เคยแยกจากกันเลย เหมือนเป็นเงาของกันและกัน
“ฝุ่น...เรียนให้จบแล้วรีบตามกลับมาเร็วๆนะครับ” ธีร์กอดฝุ่นแน่น น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง
“ธีร์...ฝุ่นสัญญานะ...ฝุ่นจะรีบเรียนให้จบ...”
“อยู่คนเดียวที่นี่...ฝุ่นอย่าเหลวไหลนะ” ธีร์กำชับ
“ตลอดเวลาที่ผ่านมาธีร์ก็เห็นไม่ใช่เหรอครับ...ว่าฝุ่นไม่เคยทำตัวเหลวไหล” ..... นั่นแหละ”สัญญาปากเปล่า”ที่ฝุ่นให้ไว้กับธีร์...

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 42=
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 22-09-2009 05:26:32
อยากให้ธีร์ลืมฝุ่นให้หมดหัวใจจริงๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 42=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 22-09-2009 12:50:13
เรื่องราวความหลังที่มันฝังอยู่ในใจนี้ มันยากที่จะลบเลือนได้

คนบางคนยังฝังใจอยู่เสมอ  แต่ทำไมบางคนถึงได้ลืมง่าย ๆนะ

ที่ลืมได้ก็ดีไป แต่คนที่ลืมไม่ได้นี้แหละน่าเห็นใจ

 :z2:    :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 42=
เริ่มหัวข้อโดย: WEERACHOT ที่ 22-09-2009 12:56:32
 :a5:ขอร้องอย่าจบเศร้า เพราะเศร้ามาเกือบทั้งเรื่องแล้วอ่ะ

เป็นกำลังใจให้คนดพสและคนเขียน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 42=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 22-09-2009 15:22:35
ธีร์จะต้องได้เจอกับฝุ่นภายในเวลาไม่นานนี้แน่ๆเลย
มันจะกลายเป็นรักกี่เส้ากันหละเนี่ย
 :L2: ขอบคุณมากนะคะ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 42=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 22-09-2009 16:04:57
ไม่รู้จะเม้นท์อะไรเต้นรอก็แล้วกันนะ  :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 42=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 23-09-2009 04:45:36
43 ของขวัญวันเกิด

“ส้มกลับมารึยัง...ไปซื้อของเป็นเพื่อนหน่อยได้มั้ย...” อ้นพูด
“ไม่ได้หรอกอ้น...ส้มไม่ว่างอ่ะ...ส้มยังกลับไม่ได้” ส้มปฏิเสธเพราะส้มไปต่างจังหวัดกับครอบครัว
“โห..แล้วกลับเมื่อไหร่เนี่ย...คิดถึงนะ” อ้นอ้อนตามสาย
“กลับวันอาทิตย์...”
“นี่วันศุกร์เองนี่...อีกตั้งหลายวัน” อ้นบ่นเบาๆ
“แล้วอ้นจะไปกับใครล่ะ...” ส้มยังห่วง
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวชวนไอ้แดนไป...” อ้นคิดถึงแดนเพื่อนที่มหาลัย แดนเพื่อนสนิทของอ้น ทั้งสองคนมักจะไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอๆ

“แดน...มึงไปซื้อเสื้อที่จตุจักรเป็นเพื่อนกูหน่อยสิ” อ้นชวนแดน
“หือ...อะไรของมึงวะ” เด็กหนุ่มพลิกตัวเป็นนอนคว่ำเผยให้เห็นต้นขาเนียนขาว แดนเอื้อมมือลงมาเกาก้น ผ้าห่มที่คลุมอยู่เลิกขึ้นไปสูงจนเห็นกางเกงในสีขาวตัวเล็ก เด็กหนุ่มติดการใส่กางเกงในตัวเดียวนอนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“กูจะชวนมึงไปซื้อเสื้อที่จตุจักรหน่อย...” อ้นพูดชวนเป็นครั้งที่สอง
“อือ...เมื่อไหร่” แดนยังงัวเงีย พูดไปหาวไปเห็นฟันขาวๆเรียงกันเป็นระเบียบ
“วันนี้แหละ...นี่มึงทำอะไรของมึงอยู่วะเนี่ย” อ้นเริ่มหงุดหงิดเพราะดูท่าทางจะพูดไม่รู้เรื่อง
“อือ...กูนอนอยู่...ขออีกสองสามชั่วโมงได้มั้ย...กูเพิ่งนอนเมื่อเช้านี้เอง”แดนหลับตาลงอีกครั้ง
“เออๆๆ...เดี๋ยวบ่ายๆกูไปหามึงที่ห้องแล้วกัน” อ้นบอกแล้วกดวางสาย
“ทำห่าอะไรวะ...เพิ่งจะนอน” อ้นบ่นเพื่อนสนิทเบาแล้วก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ


          บ่ายโมงอ้นแต่งตัวเรียบร้อยแล้วเดินออกมาขึ้นรถเมล์ที่หน้าปากซอย ไม่มีรถอยู่ที่บ้านเลย พี่สาวเอารถไปเที่ยวไหนก็ไม่รู้ พ่อแม่ก็ไม่อยู่บ้าน อ้นก้มหน้าก้มตาเดินจนถึงป้ายรถเมล์เขากระโดดขึ้นรถสายที่จะผ่านคอนโดของแดน อ้นคิดในใจ”เดี๋ยวเอารถแดนออกไปจตุจักรท่าจะดี”

“ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...” อ้นเคาะประตูห้องของแดนที่อพาร์ทเม้นต์แห่งหนึ่งใกล้ๆมหาลัย
“อ้อ...อ้นเองเหรอ...มาทำไมวะ” แดนเดินมาเปิดประตูให้เพื่อนในร่างที่เปลือยเปล่า มีเพียงกางเกงในสีขาวตัวเดียวที่ปกปิกส่วนสำคัญกลางแก่นกาย
“อ้าว...ไอ้แดนกูโทรมาหามึงเมื่อเช้านี้ทำลืม...” อ้นก้าวเข้าไปยืนอยู่ในห้องที่รกไปด้วยกองหนังสือและระเกะระกะไปด้วยสิ่งของจิปาถะ ห้องชายโสดก็อย่างนี้แหละ

          แดนล้มตัวลงนอนต่อ อ้นเดินเข้ามานั่งลงข้างๆเตียง เด็กหนุ่มหยิบรีโมทมากดเปิดโทรทัศน์แล้วสอดส่ายสายตากวาดไปทั่วห้อง ห้องชายโสดแม้จะรกรุงรังแต่ก็เย็นเฉียบด้วยเครื่องปรับอากาศ อ้นเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วหยิบน้ำออกมาเทใส่แก้วดื่ม กล่องใส่ถุงยางอนามัย 3-4 กล่องวางอยู่บนหลังตู้เย็น ราวกับมันเป็นยาสามัญประจำบ้านก็ไม่ปาน ถ้าเป็นที่บ้านเขาละก็ โดนด่าไปสามบ้านแปดบ้านแล้ว เด็กหนุ่มอิจฉาชีวิตของเพื่อนสนิทคนนี้จริงๆ
“มึงไปทำอะไรมาวะ...ถึงเพิ่งจะมานอน” อ้นถามพลางมองไปที่ร่างเกือบเปลือย ท่อนลำที่นอนสงบนิ่งในกางเกงในตัวจิ๋ว ขยับเล็กน้อย ดูเหมือนมันจะตื่นตัวขึ้นมา
“เฮ้ยไอ้แดน...ไปทำอะไรมาวะ...” อ้นหงุดหงิดอีกครั้ง
“ป่าว...ทำธุระนิดหน่อย” แดนปฏิเสธอีก แดนเอามือเอื้อมมากุมเป้ากางเกงไว้ มือใหญ่ๆของชายหนุ่มปิดมันไม่มิดทีเดียว ไรขนสีดำฟูหยิกหยอยลามออกมานอกขอบขากางเกงใน กล้ามหน้าท้องแกร่งเป็นลอนสวย จมูกโด่งขนตายาวงอน เปลือกตาที่ปิดสนิท ผิวหน้าใสๆเนียนเรียบ เมื่อคืนผมทรงเกาหลีอินเทรนด์สุดๆเทียบกับตอนนี้แล้วต่างกันลิบลับ ผมฟูๆชี้ไปทุกทิศทุกทาง ขายาวรับกับรูปร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มทำให้เป็นที่หมายปองของสาวๆในมหาลัยมากมาย แต่นอกจากสาวๆแล้วแดนยังได้รับความเอ็นดูจากนายทหารระดับเสธฯอีกคน เงินที่มีใช้ไม่ขาด รถที่มีให้ขับ ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ไม่ขาดตกบกพร่อง

“ไอ้แดน...ตื่นซะทีสิ” อ้นนอนลงข้างๆเพื่อน มือกดรีโมทเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ มืออีกข้างเอื้อมไปเขย่าตัวของแดนเบาๆ
“มึงนี่มัน...กวนอารมณ์กูจริงๆ” แดนส่ายหน้าหงุดหงิด เด็กหนุ่มลุกขึ้นมายืนแล้วดึงขอบกางเกงในลงจนมันหลุดลงมา แดนสะบัดมันลงตะกร้าไปก่อนเดินเข้าห้องน้ำในสภาพเปลือยเปล่า
          อ้นถอนหายใจแล้วกดรีโมทเล่นไปเรื่อยๆ เขาไม่ได้นึกเกรงใจเพื่อนเลยแม้แต่น้อย เพราะเรื่องอย่างนี้มันเกิดขึ้นบ่อยๆ ทั้งสองสนิทกันมากเกินกว่าคำว่าเกรงใจ อ้นเลิกชายเสื้อยืดขึ้นมาเผยให้เห็นหน้าท้องแกร่ง แม้มันไม่เป็นลอนชัดเจนเหมือนของแดน แต่ก็ไม่มีไขมัน ไรขนดำสนิทลามเลื้อยลงไปในขอบบ๊อกเซอร์ กางเกงยีนส์ขาเดฟสีเทาที่ใส่อยู่ เป้าเป็นกระเปาะตึง ขนาดที่ดูๆแล้วไม่น่าจะต่างกับของแดนมากนัก ยิ่งอยู่ในห้องนี้แล้วนอนบนเตียงนี้ด้วย มันทำให้เขามีอารมณ์ขึ้นมา ท่อนลำในกางเกงขยายตัวใหญ่ขึ้น เด็กหนุ่มคิดถึงคืนนั้น คืนที่เขาพาแฟนสาวที่เพิ่งคบกันได้ 3-4 เดือนมาที่ห้องนี้ แดนเจ้าของห้องไม่อยู่ แดนไปพัทยากับพี่เสธฯรูปหล่อ เด็กหนุ่มเลยถือโอกาสขอยืมห้องของเพื่อนฉลองวันเกิดของส้ม ร่างกายที่เปลือยเปล่าของทั้งคู่สอดประสาน ความบริสุทธิ์ของส้ม ที่เขาออดอ้อนขอจนได้มานั้นมันมีค่ามากมายในความรู้สึก เพราะมันทั้งเสียวซ่านและซาบซึ้ง...ทุกอิริยาบถในค่ำคืนนั้นมันทำให้เด็กหนุ่มลืมไม่ลงเลยทีเดียว แอลกอฮอล์ที่ทั้งสองดื่มกันมาจากร้านข้างนอก รถที่แดนให้เอาไว้ใช้เป็นพาหนะอันดีที่พาทั้งคู่มาพบกับสรวงสวรรค์

“เฮ้ย...ไอ้อ้นเป็นไรมึง...ไอ้สัดนี่เดี๋ยวที่นอนกูเลอะ” เสียงแดนร้องทักทำเอาอ้นสะดุ้ง มือข้างนึงเกาะกุมกระเปาะเป้ากางเกงอยู่ มืออีกข้างลูบอยู่ที่หน้าท้องขาวเนียน
“ไอ้เชี่ยแดน...ตกใจหมด” อ้นชักมือออกมาแล้วหยิบรีโมท
“ถ้าไม่ออกมาเห็นก่อนนี่มึงชักว่าวบนที่นอนกูแน่เลย...คราวนั้นก็มาทำเลอะไปทีนึงแล้วนะ” แดนแซวเพื่อนยิ้มๆ
“คราวนั้นน้ำมันออกเยอะเว้ย...” อ้นยิ้มแหยๆ เขาไม่อายเรื่องพวกนี้กับแดนเท่าไหร่ เพราะแดนก็ชอบมาเล่าให้ฟังเสมอๆ ถึงเรื่องที่เคยมีอะไรกับผู้หญิงหรือผู้ชายที่มันพามาเล่นสนุกด้วย แดนเดินไปหยิบแป้งหน้ากระจกมาเทลงฝ่ามือแล้วโป่ะไปที่พวงไข่ ก่อนจะหยิบกางเกงในสีขาวแบบบ๊อกเซอร์บรีพมาใส่ แดนเอาผ้าไปพาดที่ราวตากผ้าด้านนอกก่อนเดินตัวเปล่าเปลือยเข้ามา
“ร้อนฉิบหาย...กูขอเปลี่ยนที่ได้มั้ยไอ้อ้น จตุจักรมันร้อนตายเลย” แดนไม่ชอบที่ร้อนๆเลย ถ้าจะให้ไปเดินเขาอยากไปสยามมากกว่า
“จะไปไหนล่ะ”
“สยามดีกว่า”
“กูละเบื่อมึงจริงๆเลยไอ้เชี่ยแดน” อ้นส่ายหน้าไปมา แต่เขาก็เต็มใจเพราะไม่อยากขัดใจเพื่อน

          เด็กหนุ่มแต่งตัวรวดเร็วมากเพียงแค่ใส่เสื้อกางเกงก็เรียบร้อยพร้อมออกไปข้างนอกแล้ว บนรถเก๋งโตโยต้า วีออสสีขาวที่แต่งอย่างสวย รถคันนี้แหละที่พี่เสธฯเป็นผู้อุปการคุณให้ แดนพูดคุยถึงโปรแกรมในวันนั้นให้เพื่อสนิทฟัง
“ไอ้อ้น...วันนี้กูมีงานเบิร์ทเดย์ปาร์ตี้ตอนมืดๆนะ” แดนพูดออกมาแล้วกดคันเร่งเพื่อแซงรถคันหน้า
“เออๆๆ...เดี๋ยวกูกลับเองก็ได้...” อ้นชินซะแล้วกับธุระที่สม่ำเสมอของเพื่อนรัก
“ไม่ใช่...กูไม่ได้จะให้มึงกลับบ้าน...แต่กูจะชวนมึงไปด้วย” แดนยิ้ม
“วันเกิดใครวะ...” อ้นหันหน้ามามองหน้าหล่อๆของเพื่อน
“เจ้าของงานน่ะกูยังไม่รู้จักหรอก...เค้ารู้จักกับพี่เสธฯน่ะ...กูกลัวว่าจะไม่มีเพื่อนคุย...เลยจะชวนมึงไป...กลัวไปนั่งหาว...เดี๋ยวพี่เสธฯแม่งก็คุยแต่ธุรกิจ...เบื่อฉิบหาย” แดนบ่นออกมามากกว่าการที่จะบอกให้เพื่อนรู้รายละเอียดของเจ้าของงาน
“อ้าว...ไอ้เชี่ย...ไม่รู้จักแล้วเสือกชวนกูทำไมเนี่ย” อ้นถาม
“ไปเหอะน่า...ไปเป็นเพื่อนกูหน่อยนะ...นะ...นะ” แดนยิ้มออดอ้อนเพื่อน รอยยิ้มของมันบวกหน้าตาเจ้าชู้กรุ้มกริ่มนี่มีเสน่ห์ไม่น้อย ถ้าสาวๆได้เห็นหรือโดนอ้อนอย่างนี้มีหวังเสร็จมันทุกราย
“เออๆๆ...ว่าแต่ที่ไหนวะ”
“บ้านของพี่เค้านั่นแหละ...แถวๆไหนไม่รู้...เดี๋ยวพี่เสธฯจะโทรมาบอก...พี่เค้าเป็นเจ้าของบริษัททัวร์ว่ะ...ปะเหลาะไว้ก่อนเผื่อไปเที่ยวฟรี” แดนยิ้มอย่างมีเลศนัย

          หลังจากที่ซื้อเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็เดินเหล่สาวนิดหน่อยแล้ว สองหนุ่มก็ขับรถไปที่บ้านของเพื่อนพี่เสธฯตามที่พี่เสธฯโทรมาบอก เด็กหนุ่มไม่ได้ไปตัวเปล่า...แดนหนีบไวน์แดงไปหนึ่งขวดด้วย
“ไอ้บ้าเอ้ย...ขวดตั้งสามพัน...มึงบ้ารึเปล่าเนี่ย” อ้นบ่นงุบงิบ
“พี่เสธฯให้ซื้อติดมือไปให้พี่เค้า...นี่บัตรเสริม...มึงไม่ต้องห่วง” แดนชูบัตรเครดิตในมือให้ดู
“เรารีบไปเถอะ...เดี๋ยวจะดึกมาก...ผู้ใหญ่จะคอยมันไม่ดี...” นี่แหละข้อดีของแดน ไม่เคยทำให้ผู้อุปการคุณไม่พอใจ เขาตามใจพี่เสธฯเสมอไม่ว่าจะรุกหรือรับ

          แดนพาอ้นมาที่บ้านหลังหนึ่งแถวๆประชานุกูล ทั้งสองจอดรถที่ว่างๆข้างบ้านแล้วเดินลงไป บริเวณงานถูกจัดอย่างเรียบง่ายแต่ดูดี มีแขกไม่มากมายนักหรอก ดูแล้วมีแต่คนสนิททั้งนั้น เสียงเพลงจากกีต้าร์คลาสสิคดังคลอเบาๆ ดูดีไปทั้งงาน พี่เสธฯนั่งอยู่ที่เก้าอี้แบบสบายๆกับชายหนุ่มที่ดูดีคนหนึ่ง เด็กหนุ่มทั้งสองเดินเข้าไปหาเสธฯอิท...นายทหารและนักธุรกิจคนดัง
“สวัสดีครับพี่...ขอโทษที่มาช้า” แดนเอ่ยพร้องกับโอบมือไปกอดร่างท้วมๆแน่นไปด้วยมัดกล้ามของเสธฯอิท
“อ้าวมาแล้วเหรอ...น้องแดน...อ้าวแล้วนี่อ้นนี่นา...” พี่เสธฯมีจริตจะก้านขึ้นมาเล็กน้อยหันมามองหนุ่มหล่อที่ถือขวดไวน์เดินตามเพื่อนเข้ามา
“หวัดดีครับพี่เสธฯ” อ้นยกมือไหว้
“อ้าเด็กๆพี่ขอแนะนำให้รู้จักเพื่อนรุ่นน้องของพี่...เจ้าของวันเกิดวันนี้ ”พี่เต้” ” พี่เสธฯผายมือไปยังชายหนุ่มที่นั่งยิ้มไปกับท่าทีของเสธฯอิท ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะกรีดกรายได้ขนาดนี้
“หวัดดีครับพี่เต้...” เด็กหนุ่มทั้งสองยกมือไหว้พร้อมๆกัน
“สุขสันต์วันเกิดครับพี่เต้” อ้นพูดเบาๆด้วยความอาย เพราะสายตาของ”เต้”ที่มองมานั้นมันไม่ธรรมดาเอาซะเลย...เด็กหนุ่มรู้สึกเขินเอามากๆทีเดียว...

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 43=
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 23-09-2009 06:35:12
แล้วเต้ก็ได้ของขวัญเป็นสัตว์สองเท้า  :z1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 43=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 23-09-2009 07:17:57
โลกมันกลมจริงๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 43=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 23-09-2009 13:55:36
^
^
เห็นด้วยค่ะ โลกกลมจริงๆ
แบบนี้ธีร์ก็ทางโล่งไปอีกขั้นแล้วสิ
แต่อ้นนี่สิ ทางน้องส้มล่ะว่าไง
ขอบคุณมากนะคะ  :L2:
เดี๋ยวตามมาบวกให้อีกแต้มค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 43=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 23-09-2009 15:09:21
 :z2:    :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 43=
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 23-09-2009 15:41:33
อ่านทันแล้วคร้าบบบบบบบบบบ
เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สนุกครับ เนื้อหาหลากหลายดีคร้าบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 43=
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 23-09-2009 22:52:26
อิอิ เต้ท่าทางจะสมหวังสักทีเนอะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 43=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 24-09-2009 02:48:53
 :z2: :z2: :z2:
หาจุดร่วมของเรื่องไม่เจอเลยต้องรออ่านต่อไป
นิว(มองหาความแน่ใจ)

 :z13:
แล้วจะรออ่านน๊า +1 ให้เลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 43=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 24-09-2009 04:11:58
วันนี้ลงให้สองตอนนะคะ  เผื่อพรุ่งนี้ไปต่างจังหวัด
ขอบคุณค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 43=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 24-09-2009 04:23:32
44 ของขวัญวันเกิด(ต่อ)

          ค่ำคืนนั้นทั้งวิสกี้ เบียร์และไวน์อ้นลองจนครบ เด็กหนุ่มนั่งหน้าแดงกร่ำอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเพื่อนพี่เสธฯ เสียงเพลงอะคูสติคจากกีต้าร์โปร่งทำให้อ้นคิดถึงคืนนั้นที่เมืองกาญจน์ นักร้องเอกของแก๊งค์จากไปนานแล้ว ไอ้ทีมมือกีต้าร์ประจำวงโรงเรียนก็ไม่ได้เจออีกเลย เพื่อนรักทั้งหลายจะเป็นตายร้ายดียังไงไม่รู้ อ้นไม่ค่อยได้ติดต่อกับใครเพราะวันๆมีแต่”ส้ม”อยู่กับ”ส้ม”คนเดียว
“ฮัลโหล...ส้มเหรอ...อ้นเองนะ” อ้นเริ่มอ้อแอ้ไปตามสาย เขาคิดถึงส้มมากมาย...ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา...แค่ได้ยินเสียงก็ดีใจและสุขใจแล้ว แต่เสียงที่ตอบกลับมานี่สิทำเอาเด็กหนุ่มแทบหมดอารมณ์จะคุย
“อ้นเมาเหรอ...กินเหล้าอีกแล้วใช่มั้ย...ส้มบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าพ่อส้มไม่ชอบคนกินเหล้า” ส้มพูดมาเป็นชุด
“ส้ม...อ้นไม่ได้เมา...กินนิดเดียว...” อ้นบอก
“อ้นอยู่ไหนล่ะเนี่ย...” ส้มเริ่มตวาดแว้ดออกมา
“อยู่กับเอ่อ...เพื่อนน่ะ” อ้นไม่กล้าเอ่ยชื่อแดนออกมาเพราะว่า ส้มไม่ค่อยชอบแดนสักเท่าไหร่...
“ใคร...ไอ้แดนใช่มั้ย” ส้มโมโหเข้าไปอีกพอจับได้ว่าเป็นแดน
“ส้มฟังก่อนสิ...” อ้นอัดบุหรี่เข้าปอด
“ไม่ฟัง...ถ้าอ้นไม่กลับบ้านเดี๋ยวนี้...ส้มจะอาละวาดให้ดู...แดนก็แดนเถอะ...” ส้มเกรี้ยวกราด ผิดกับเมื่อก่อน ส้มไม่เคยเป็นแบบนี้ หรือไอ้แดนมันไปทำให้เพื่อนส้มช้ำใจนะ...ส้มถึงได้ไม่ชอบแดนเอาซะเลย
“ส้ม...มีเหตุผลหน่อยนะครับ...” อ้นเอาน้ำเย็นเข้าลูบแต่ไม่เป็นผล
“อีกชั่วโมงนึงส้มจะโทรไปที่บ้านอ้น...ถ้าอ้นยังไม่กลับละก็น่าดู” ส้มวางสายใส่ทำเอาอ้นหน้าชาเกือบหายเมาเป็นปลิดทิ้ง อ้นถอนหายใจก่อนจะเดินเข้ามานั่งที่เดิมของตัวเอง
          เด็กหนุ่มรู้สึกกระวนกระวายใจ อยากกลับก็กลับ อยากสนุกก็อยาก ตอนนี้ไอ้แดนเพื่อนของเขานั้นนั่งคลอเคลียพี่เสธฯไม่ห่างเลย ส่วนสายตาอีกคู่ที่จ้องมาที่เขานั้นทำเอาอ้นชักหวั่นใจ...อ้นลุกขึ้นเดินจุดบุหรี่แล้วออกมาสูบข้างรั้วบ้าน มุมมืดๆที่ไม่เป็นเป้าสายตาใคร แต่ไม่นานนักเจ้าของสายตาคู่นั้นก็เข้ามาหาพร้อมกับไวน์แดงในมือ พี่เต้นั่นเอง
“อ่ะ...สูบบุหรี่ด้วยเหรอเราน่ะ...” เต้ถามพลางยื่นแก้วไวน์ให้
“ขอบคุณครับพี่” อ้นรับแก้วเข้ามาถือไว้แล้วอัดบุหรี่เต็มปอดก่อนจะพ่นออกมา เด็กหนุ่มกระดกไวน์แดงแก้วนั้นจนหมด
“เดี๋ยวก็เมาแย่หรอกอ้น...มีอะไรรึเปล่าพี่เห็นท่าทางเราเครียดๆนะ...” เต้ยิ้มให้อย่างใจดี
“กลุ้มใจนิดหน่อยน่ะครับ” อ้นอัดบุหรี่เข้าไปอีก สมองเริ่มมึนและหมุนวน เต้พยักหน้าให้เด็กๆเอาไวน์มาเติมให้อ้นอีก
“เรื่องอะไรเหรอ...เล่าให้พี่ฟังบ้างก็ได้นะ” เต้พูดพลางส่งแก้วไวน์ให้อ้น เต้ถือขวดไวน์นั้นไว้ในมือเลย เผื่ออ้นจะเติมอีก
“เรื่องแฟนผมน่ะครับพี่...เค้าไม่ชอบให้ผมกินเหล้า” อ้นบ่นออกมา
“อ้าวแล้วเราจะกินทำไมล่ะ...”
“ก็ผมน่ะมันกินมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนะพี่...อยู่ๆพอคบกันจะมาห้าม...ผมว่ามันไม่ถูกหรอก...ห้ามนู่นนี่นั่นซะหมด...จนผมจะเป็นง่อยแล้วเนี่ย” อ้นพูดติดตลก เต้ก็เลยหัวเราะออกมาด้วย บรรยากาศพลอยดีขึ้นไม่เครียดเหมือนตอนแรก
“ผมคุ้นหน้าพี่นะ...เหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน” อ้นถามแล้วเพ่งพินิจดูใบหน้าขาวๆหวานๆของเต้
“ไม่หรอกมั้ง...หน้าตาพี่มันโหลจะตายไป...” เต้หัวเราะออกมาเมื่อเห็นสภาพการยืนแอ่นไปมาของเด็กหนุ่ม
“พี่เนี่ยนะหน้าโหล...หล่อขนาดนี้ผมว่าไปเป็นดาราสบายเลย” อ้นชมออกมาจากใจจริง
“ฮู้ว์...ไร้สาระน่า...อ้นเมาแล้วมั้งเห็นพี่หล่อเนี่ย” เต้ยิ้มหน้าแดงด้วยความเขิน...อยู่ๆก็มีหนุ่มๆมาชม
“จริงนะพี่...ผมไม่หลอกพี่หรอก...” อ้นเดินเซเข้ามาชนเต้จนเกือบล้มลงไป ดีที่เต้ยังมีหลักยึดไว้คือชิงช้าที่พิงอยู่
“ไหวมั้ยอ้น...ไปนอนก่อนมั้ย...”เต้ถามและพยายามประคองอ้นให้ยืนขึ้น
“ไหวพี่ผมไหว...” อ้นเซจนเต้ต้องประคองปีกแล้วพาเดินมานั่งที่เดิม ทั้งพี่เสธและแดนรวมทั้งเพื่อนคนอื่นๆต่างหัวเราะออกมา พี่เสธและแดนมองตาเต้ด้วยมีนัยสำคัญอะไรบางอย่าง
“พี่เต้พาเพื่อนผมไปทำอะไรมา...มันถึงเมาขนาดนี้เนี่ย”แดนถาม
“ป่าวนะแดนพี่แค่รินไวน์ให้ดื่มแค่นั้นเอง” เต้ยิ้ม           
“ฝากให้นอนที่นี่ด้วยคนแล้วกัน” พี่เสธอิทพูดแล้วยิ้มพราย

          คืนนั้นอ้นได้นอนที่บ้านเต้สมใจทุกคน แดนออกไปเที่ยวต่อกับพวกพี่ๆ แต่ว่าเต้นั้นขอตัวก่อนเพราะเค้ามีธุระต้องทำที่บ้านมากมาย...โดยเฉพาะของขวัญวันเกิดชิ้นใหญ่ที่ลอยมาถึงบ้าน เต้พาอ้นเข้ามาในห้องนอนบนชั้นสอง ห้องที่ไม่ว่าใครก็ไม่มีโอกาสได้เหยียบย่างเข้ามา เต้พาร่างที่อ่อนปวกเปียกนอนบนเตียงหนานุ่ม เต้เปิดแอร์จนเย็นฉ่ำ เด็กหนุ่มนอนหลับพริ้มอยู่บนเตียง เสื้อยืดเลิกขึ้นไปเผยให้เห็นหน้าท้องเนียนขาว แม้ซิคแพคจะไม่ชัดเจนนักแต่ก็ยังน่าดู อีกทั้งไรขนที่ลามลงไปในบ๊อกเซอร์ กางเกงทรงเดฟตัวเล็ก เป้าอูมเป็นกระเปาะบ่งบอกถึงขนาดที่มันไม่ธรรมดาของเด็กหนุ่ม เต้ขยับกระดุมกางเกงเตรียมจะปลดออก เด็กหนุ่มขยับตัวเล็กน้อย เต้เหงื่อซึมออกมาเล็กน้อยหัวใจเต้นโครมครามราวกับมันจะหลุดออกมานอกอก เต้ตื่นเต้นมากมาย ชายหนุ่มอายุได้เกือบสามสิบปีเข้านี่แล้ว แต่ยังไม่เคยสักครั้งที่จะทำอะไรที่เสี่ยงส้นตีนแบบนี้ “ถ้าอ้นไม่ชอบแล้วลุกขึ้นมาเตะเอา เต้จะทำยังไงดี...แต่นึกไปแล้วอ้นเมาขนาดนี้...จะรู้สึกตัวไหมหนอ...น่าจะให้กินเยอะๆจะได้เมาไม่รู้เรื่องไปเลย”ชายหนุ่มคิดในใจแล้วดำเนินการต่อ กระดุมถูกปลดออกทุกเม็ดแล้ว บ๊อกเซอร์บางๆเก็บเอาออวัยวะส่วนสำคัญแทบไม่หมด จากสายตาที่มองเห็น...มันกำลังตื่นตัว อ้นขยับตัวเป็นนอนตะแคง ทำให้เต้ขยับขอบกางเกงยีนส์แล้วรั้งลงมาได้ไม่ยาก เหมือนกับอ้นจะรู้เห็นเป็นใจให้ เต้อมยิ้ม....เมื่อกางเกงยีนส์ถูกรั้งลงมาถึงต้นขาขาวแข็งแกร่งไปด้วยกล้ามเนื้อ ขายาวๆได้สัดส่วนขยับไปมา เต้ไม่รอช้ารีบรูดกางเกงลงมาจนหลุดจากปลายเท้าทันที เหงื่อแตกพลั่กไปหมดทั้งๆที่แอร์เปิดจนเย็น
“ส้ม...ส้ม...ฮือ...”อ้นครางออกมาเบาๆ เด็กหนุ่มคงกำลังคิดถึงคนรักของเขาอยู่ เต้จับชายเสื้อเลิกขึ้นทางด้านบนแล้วเอาออกทางหัวได้ไม่ยากนัก

          ตอนนี้อ้นเหลือเพียงบ๊อกเซอร์ลายๆสีฟ้าตัวเดียวที่ปกปิดร่างกายอยู่ ตรงกึ่งกลางร่างกายมันขยับขยายออกมาขนาดที่ไม่ธรรมดาของมันเริ่มแสดงอาการอึดอัด จนแทบจะปริแล้ว เต้ขยับตัวขึ้นไปคุกเข่าลงข้างๆเด็กหนุ่ม เต้จับขอบกางเกงบ๊อกเซอร์แล้วรั้งลงมา เผยให้เห็นอวัยวะที่เป็นที่หมายปอง...นี่ล่ะหรือคือ...

“....อยากบอกรักเธอให้เธอได้รู้...อยากดูแลเธอ...” เสียงริงโทนโทรศัพท์ของเต้ดังขึ้นทำเอาชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัว กลัวว่าอ้นจะตื่น เต้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาชื่อของคนที่โทรเข้ามาปรากฏอยู่ทำให้ชายหนุ่มยิ้มออกมาทันที...เขาคอยคนๆนี้มานานแล้ว
“ว่าไงธีร์...” เต้กรอกเสียงลงไป
“สุขสันต์วันเกิดนะเต้...ขอให้เต้มีความสุขนะ...ดูแลสุขภาพด้วย...” ธีร์พูดออกมา เต้รู้สึกดี...ร้อยคำอวยพรจากคนอื่นๆไม่เท่าจากธีร์ เขาเหลือบตามองนาฬิกานี่มันเกือบตีสองแล้ว ธีร์เป็นคนแรกๆเสมอที่โทรมาอวยพรวันเกิดเขา ไม่ว่าจะดึกขนาดไหนธีร์ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย...เสมอต้นเสมอปลายตลอด...
“ขอบคุณมากๆนะธีร์...แล้วนี่ยังไม่นอนอีกเหรอ”
“อือ...ก็ตื่นขึ้นมาเบิร์ทเดย์ให้เต้นี่ละ...”
“ขอบคุณมากนะ...ธีร์ไปนอนเถอะ...”
“อือ...หวัดดีนะ...” ธีร์วางหูไป
         เต้หันกลับมาที่ร่างเปลือยที่นอนนิ่งอยู่ตรงหน้า ที่ว่าเปลือยเพราะว่าบ๊อกเซอร์ที่เมื่อกี้นี้เต้กำลังจะถอด...มันถูกถอดออกไปกองอยู่ที่พื้นห้องแล้ว...ใครล่ะจะถอดถ้าไม่ใช่...”อ้น”  ...
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้
เริ่มหัวข้อโดย: Cha Ris Ma ที่ 24-09-2009 04:28:52
 :-[ เต้นะเป็นไงนะ พึ่งผิดหวังจากธีร์ ได้หนุ่มหน้าใสมาด้ามใจซะแล้ววววว


อ้นเป็นใจซะด้วย ทั้งที่ยังละเมอ ส้ม ส้ม อยู่เลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 43=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 24-09-2009 04:54:43
45 สิ่งของรับขวัญ

          ยามเช้าอากาศสดใสแสงแดดส่องผ่านผ้าม่านเข้ามา เต้นอนซุกอยู่ใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ ข้างกายของชายหนุ่มมีร่างเปลือยของเด็กหนุ่มนอนหงายอยู่ ท่อนแขนแข็งแกร่งที่เต้หนุนนั้นขยับเล็กน้อย มันบ่งบอกว่าเจ้าของกำลังเมื่อยขบ อ้นค่อยๆลืมตาขึ้นมา ตรงหน้าเป็นภาพของชายหนุ่มรุ่นราวคราวพี่ อายุอานามที่ห่างกันเกือบสิบปีไม่ทำให้เด็กหนุ่มนึกรังเกียจแต่อย่างใด

“พี่เต้ครับ...อ้นปวดหัวจังเลยครับ...” อ้นส่งเสียงแหบแห้งออกมา
“แฮ้งค์เหรอครับ...เอาน้ำชาร้อนๆมั้ยครับ” เต้ถาม
“ก็ดีครับ...” อ้นบอกพลางหลับตานอนต่อ

          เต้รีบกระวีกระวาดลงจากเตียง เขาคว้าผ้าขนหนูมาพันกายแล้วเดินออกจากห้อง เต้เสียบปลั๊กกาต้มน้ำร้อนแล้วชงชาจีนร้อนๆให้อ้น

“อ่ะ...มาแล้วครับอ้น” ชายหนุ่มสะกิดเบาๆที่แก้มใสๆของเด็กหนุ่ม
“อืม...ขอบคุณครับพี่...” กลิ่นชาจีนหอมดอกมะลิทำให้อ้นรู้สึกดีขึ้น เขาค่อยๆจิบ
“เป็นไงดีมั้ย...” เต้ถาม
“โหพี่...ถามเหมือนเมื่อคืนเลย...” อ้นยิ้มกรุ้มกริ่ม เขาแซวเต้ถึงคำถามเมื่อคืนนี้...ตอนที่เขากำลัง...
“แล้วเป็นไงล่ะ...ดีมั้ย...” เต้ยิ้มยั่วเขาไปกอดอ้น รสสัมผัสจากเด็กหนุ่ม...รสสัมผัสจากผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าทำเอาอ้นรู้สึกได้ว่า ”ชาตินี้...ชีวิตนี้...เขาไม่ขออะไรอีกแล้ว...ขอแค่มีอ้นอยู่ใกล้ๆให้กอดให้รัดอยู่อย่างนี้ตลอดไป”
“ไม่บอกแล้ว...ผมอายนะพี่” อ้นยิ้มเขินๆ ผมยาวกระเซอะกระเซิง หน้าขาวใสแม้จะมีคราบน้ำลายที่มุมปากเล็กน้อยก็ไม่ได้ทำให้ความดูดี...และน่าหลงใหลลดลงไปเลย
“ก็อ้นเริ่มก่อนนะ...” เต้ยิ้มแล้วกอดอ้นแน่นขึ้นอีก
“เดี๋ยวอ้วกนะพี่...ยิ่งเมาๆอยู่” อ้นบอกพลางกระถดตัวหนี
“นอนก่อนก็ได้นะ...จะได้หายปวดหัว...อ้นจะกินอะไรเดี๋ยวพี่สั่งให้เค้าทำให้” เต้บริการเริ่มทำงานแล้วอีกครั้ง
“ยังหรอกครับ...ผมขอนอนก่อนนะ...” อ้นกอดเต้แล้วหลับตาพริ้ม ชายหนุ่มเอามือสางผมอ้นเบาๆ เสียงกรนเบาๆดังขึ้น เต้เหลือบมองไปที่โทรศัพท์ของอ้นที่ยังคงปิดสัญญาณอยู่ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง

          เต้กำลังเดินไปในสวนที่มีแต่มวลหมู่ดอกไม้ ทั้งสีสันและกลิ่นที่หอมรัญจวนทำให้ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะก้มลงดมดอม กลิ่นหอมและเกสรดอกไม้ติดปลายจมูกขึ้นมา เต้หลงวนเวียนอยู่ในนั้นนาน เขารู้สึกชอบที่นี่มากๆ สายตาพลันไปเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง แต่งตัวดี สะอาดสะอ้าน หน้าตาบ่งบอกว่าเป็นคนทะเล้นและขี้เล่น รอยยิ้มที่มุมปากทำเอาหัวใจชายหนุ่มแทบหยุดเต้น เด็กหนุ่มคนนั้นเดินเข้ามาหาเต้ ชายหนุ่มถอยหลังหนีไปเรื่อยๆ เขาไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องถอยหนี เด็กหนุ่มเดินตามเข้ามา ยิ่งใกล้ก็ยิ่งทำให้เต้วาบหวิวใจสั่นผิวขาวใสใบหน้านุ่มละมุน ไรหนวดบางๆขึ้นประปรายเหนือริมฝีปากแดงสด เด็กหนุ่มไม่พูดอะไรเลยสักคำ เขาเข้ามาคว้าข้อมือของเต้ไปแล้วจุมพิตเบาๆที่หลังมือ แค่นั้นชายหนุ่มก็ขนลุกซู่ไปถึงสันหลังแล้ว

“เป็นอะไรพี่” เสียงอ้นถาม...ทำเอาเต้สะดุ้งตื่น
“เอ่อ...เอ่อ...ปะ...เปล่า...พี่เปล่าเป็น” เต้ตะกุกตะกักออกมาราวกับโดนตำรวจสอบสวนหาความผิด
“แล้วทำไมต้องนอนยิ้มอย่างนั้นด้วย...” อ้นถามรุกเข้าไปอีก
“กำลังฝันเลย...” เต้ยิ้มกริ่ม เอามือเชยคางมนๆของเด็กหนุ่มขึ้นมา เขาพินิจพิจารณาใบหน้าที่อยู่ห่างไม่ถึงคืบนี้แล้วคิดถึงความฝันเมื่อครู่...”เหมือนเหลือเกิน”
“เหมือนอะไรครับ...” อ้นถาม
“เหมือนในฝัน...” เต้ยิ้ม พลางเอาหลังมือไล้ไปตามแผ่นอก เต้ลากมือผ่านหัวนมเม็ดเล็กสีชมพู
“อุ้ย...อย่าสิพี่...เดี๋ยวไฟลุกนะ...ขอเตือนไว้ก่อน” อ้นซบหน้าลงมากับซอกคอขาวผ่องของเต้ เด็กหนุ่มสูดกลิ่นน้ำหอมที่หลังใบหู
“อืม...หอมจังเลย...นี่ขนาดยังไม่อาบน้ำนะ...กลิ่นตัวยังหอมขนาดนี้เลย” อ้นเอ่ยปากชม ทำเอาเต้ยิ้มหน้าบาน
“ชอบกลิ่นนี้เหรอ...พี่ให้เอามั้ย...” เต้เสนอน้ำหอมที่อ้นชมว่าหอมให้
“ไม่หรอกครับ...พี่เอาไว้ฉีดให้ผมดมเถอะนะ...” อ้นกดจมูกลงไปที่หลังหูอีกครั้ง ทำเอาเต้ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว
“พี่มีสองขวด...ซื้อมาเผื่อไว้น่ะ...ถ้าอ้นชอบพี่ให้อ้นขวดนึง...” เต้คะยั้นคะยอ...แท้จริงแล้วเขามีเพียงขวดเดียว...แต่ด้วยความที่อยากจะ”ให้”จึงต้องโกหกอ้นไปอย่างนั้น
“จริงเหรอพี่...”อ้นทำหน้าดีใจ เขาไม่เคยใช้น้ำหอมมาก่อนเห็นแดนเคยใช้บ่อยๆและบ่อยครั้งที่เอาของมันมาฉีดเพื่อจะออกไปหลีหญิงหรือเที่ยวกลางคืนกัน
“ถ้าอ้นไม่รังเกียจนะเพราะมันเปิดใช้มาหน่อยนึงแล้ว” เต้พูดอย่างไม่แน่ใจว่าอ้นจะรับรึเปล่า
“ไม่หรอกครับ...พี่ให้ผม...ผมดีใจซะอีก” อ้นพูดแล้วยิ้มหวานให้เต้
“เดี๋ยวพี่ไปหยิบมาดูสิว่าเหลือแค่ไหน...” เต้เดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้งแล้วหยิบน้ำหอมขวดนั้นมาดู
“ว้า...เหลือครึ่งขวดเอง” เต้พูดพลางทำหน้าเสียดาย
“ไม่เอาละ..พี่ไม่ให้แล้ว...เดี๋ยวพี่ไปซื้อให้ใหม่ดีกว่า...” เต้ทำหน้าเสียดาย แต่ใจคิดไปถึงว่าอยากให้อ้นอยู่กับเขานานๆ เดี๋ยวจะต้องพาไปซื้อน้ำหอมและอย่างอื่นอีก...เต้อยากจะให้อ้นมีของพวกนี้ไว้จริงๆ

“หายปวดหัวรึยังล่ะ...พี่จะพาไปซื้อน้ำหอม...” เต้พูดพลางลุกขึ้นจากเตียงแต่ถูกมืออันแข็งแรงดึงไว้
“ยังไม่หายเลยครับพี่เต้...แล้วผมก็หิวด้วย...” อ้นกดจมูกลงไปที่ซอกคอชายหนุ่ม...ทำเอาเต้ครางออกมา
“หิวอะไรครับ...เดี๋ยวพี่ให้เค้าทำให้กิน...” เต้พาซื่อ...อ้นหิวอย่างนี้กินอะไรก็ไม่อิ่ม...นอกจาก...
“หิวพี่เต้นี่แหละครับ...” อ้นเริ่มวิธีกิน...วิธีที่ทำให้หายหิว...มันอิ่มเอมด้วยกันทั้งสองฝ่าย ตัณหาและความใคร่ถูกถ่ายทอดออกมาให้กันและกัน ไม่มีใครมีพื้นฐานของความรักมาก่อน ทั้งคู่เจอกันแค่ครึ่งคืนเท่านั้น และลงเอยกันแบบนี้ วังวนแห่งความลุ่มหลงพาทั้งสองดำดิ่งสู่ห้วงแห่งดำกฤษณา ห้วงอารมณ์ที่พลิกพลิ้วไปมาของทั้งสองสอดประสานกันอย่างลงตัว มันรัดรึง เจ็บแปลบและซ่านเสียวไปพร้อมๆกับความรุนแรงที่กระแทกกระทั้นเข้ามา ชายหนุ่มอย่างเต้ ยังไม่เคยพานพบประสบการณ์แบบนี้มาก่อน ทั้งร่างกายและหัวใจของเต้ จึงมอบกายถวายชีวิตให้อ้นไปทั้งหมด...ไม่มีเหลือ
......................

“อ้นดูแลหน้ายังไง...ทำไมมันถึงใสอย่างนี้เนี่ย” เต้จับหน้าเด็กหนุ่มพลิกไปมา ไม่ยี่หระต่อสายตาหลายคู่ที่มองมา ท่ามกลางเคาน์เตอร์เครื่องสำอาง กลางห้างหรูแห่งหนึ่ง
“ก็ไม่ได้ใช้อะไรนี่ครับ...แค่โฟมล้างหน้าธรรมดาที่โฆษณาในโทรทัศน์น่ะครับ” อ้นยิ้มเห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ
“พี่ว่าอ้นน่าจะใช้เจลล้างหน้ายี่ห้อนี้นะ” เต้เดินมาถึงเคาน์เตอร์เครื่องสำอางชื่อดังของฝรั่งเศส
“แพงตายเลยพี่...ผมไม่มีเงินหรอก...” อ้นส่ายหน้าแล้วทำท่าจะเดินออก
“มานี่ก่อน...ใช้อันนี้แหละพี่ว่าดี...เดี๋ยวพี่ซื้อให้” เต้พูดกับคนขายพร้อมกับหยิบมอยเจอร์เจลอีกขวดมาลองทาที่หลังมือของอ้น
“หอมมั้ย...ใช้แล้วดีนะ...บำรุงผิว” เต้พูดเอง เออเองหมด
“เอาทั้งสองอย่างนี้เลยครับ...” เต้บอก แล้วควักกระเป๋าเงินออกมา เต้หยิบบัตรเครดิตส่งให้พนักงานขาย
“พี่เต้ซื้อทำไมไม่รู้...ผมเกรงใจนะครับ...” อ้นเบียดไหล่กว้างเข้ากับด้านหลังของชายหนุ่ม
“เอาเถอะนะ...พี่อยากจะให้...อยากให้อ้นดูดี...” เต้บอก
“นี่ยังดูไม่ดีอีกเหรอพี่” อ้นยิ้มกรุ้มกริ่ม แววตาทะเล้นทำเอาเต้แทบกระอักความสุขออกมา
“ดูดีแล้ว...แต่ใช้ไปเถอะ...พี่อยากให้ใช้...หรืออ้นอยากได้อะไรก็บอกนะ...” เดี๋ยวพี่ซื้อให้


          เสียงโทรศัพท์ของเด็กหนุ่มดังขึ้นมา อ้นกดปุ่มรับสายก่อนจะส่งเสียงแสดงความดีใจ

”ส้ม...กลับมาแล้วเหรอ...”  


หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 45=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 24-09-2009 05:09:24
อืมมมมมมมม
เจอสองตอนนี้เข้าไป รู้สึกสงสารเต้มากกว่าอ้นอ้ะ
มันคือความหลง และความใคร่สินะ แล้วมันจะเปลี่ยนเป็นความรักได้มั้ย
ขอบคุณนะคะ มาลงสองตอนเลย
เดินทางปลอดภัยนะคะ
 :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 45=
เริ่มหัวข้อโดย: viky_mama ที่ 24-09-2009 05:16:03
ท่าทางเต้จะโดนเด็กหลอกแล้วนะเนี่ย ระวังหมดตัวนะเต้
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 45=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 24-09-2009 05:26:18
+1 ให้กับ 2 ตอนเลยอิๆ
อ่านจบแล้วแบบไม่ไหวแล้วอะไรจะขนาดนั้น เพียงแต่ตอนท้ายชื่อนี้ทำเอาวูบ "ส้ม"
นิว(มองมาความเป็นไปในเรื่องนี้)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 45=
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 24-09-2009 08:24:06
เฮ้อ... ดูๆแล้วต้องมีอะไรเกิดขึ้นซักอย่างละล่ะ


ปล. เกือบทันที่ gbs แล้วนะครับเนี่ย คุณองค์หญิงฯ  :-[
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 45=
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 24-09-2009 08:51:01
เสียงโทรศัพท์ของเด็กหนุ่มดังขึ้นมา อ้นกดปุ่มรับสายก่อนจะส่งเสียงแสดงความดีใจ

”ส้ม...กลับมาแล้วเหรอ...” 
ู^
^
^
นี่แหละคือความจริง ที่เต้จะตื่นจามความฝันขึ้นมาเจอ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 45=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 24-09-2009 10:39:04
ถ้าหนุ่ยรู้ จะเป็นยังไง :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 45=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 24-09-2009 15:54:10
 :เฮ้อ:  อ้นจะชอบแบบไหนกันแน่นะ

 :z2:    :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 45=
เริ่มหัวข้อโดย: yamanaiame ที่ 24-09-2009 16:51:23
มาคอยนะครัฟ ผมเด็กใหม่น๊า  แอบอ่านมานานแล้ว
พึ่งสมักนะ
โดโด้ครัฟ
เด็กประเทศ ลาว น๊า
ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตฟวด้วยนะคร๊ฟฟฟฟฟฟฟฟ    :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 45=
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 24-09-2009 18:24:46
เต้กลายเป็นเสี่ยเลี้ยงไปแล้ว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 45=
เริ่มหัวข้อโดย: Vesi ที่ 24-09-2009 18:44:38
เต้แปลงร่างเป็นมิสเปรูไปซะแล้ว  :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 45=
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 24-09-2009 23:55:41
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 45=
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 24-09-2009 23:59:57
เต้ได้ของขวัญชิ้นใหญ่เชียวอิอิ



จะสมใจกันรึป่าวเนี่ย




ง่าส้มกลับมาแล้วอ่ะ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 45=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 25-09-2009 01:32:33
หุ ๆ  ไม่ได้ไปละค่ะ 
โพสต่อดีก่า 
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 45=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 25-09-2009 01:47:37
เย้ๆๆๆๆ  :mc4:
ดีใจๆ
มารออ่านต่อค่ะ กำลังลุ้นเลย ว่าเต้กะอ้นจะเป็นไง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 45=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 25-09-2009 01:57:08
46 คนช้ำรัก

“ส้มกลับมาจากต่างจังหวัดเมื่อไหร่...” อ้นถามคนรักเสียงใส ลืมไปว่าเต้ยืนอยู่ข้างๆ
“เพิ่งมาถึงน่ะ...อ้นอยู่ที่ไหนเหรอ” เสียงส้มเจื้อยแจ้วลอดออกมา เต้เดินออกไปอีกทาง เขาไม่อยากฟังมันเป็นเสียงที่บาดหัวใจเหลือทน
“อ๋อ...อ้นอยู่กับ...เอ่อ...รุ่นพี่น่ะ” อ้นไม่ได้โกหกแต่อ้นพูดไม่หมด เขาไม่ต้องการให้ส้มรู้ความจริง ว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้น
“อือ...คิดว่าอยู่กับไอ้แดน...”  ส้มขึ้น”ไอ้”เสมอเวลาเรียกแดน บางครั้งมันทำให้ทำให้เด็กหนุ่มไม่ค่อยพอใจ เพราะถึงแม้ว่าเขาจะสนิทกับแดนแค่ไหน...อ้นจะเรียก”ไอ้”หรือ”ด่า”ก็เป็นแค่ปากพาไปเท่านั้น...ไม่ได้เรียกแบบ”จิกกัด”ขนาดนี้
“ส้ม...ทำไมต้องเรียกแดนว่าไอ้ด้วยนะ...” อ้นพูดออกมา สีหน้าเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับเมื่อครู่ เต้จับสีหน้าของอ้นได้
“ทำไมจะเรียกมันว่า”ไอ้”ไม่ได้...แล้วทำไมอ้นต้องออกรับแทนมันด้วย...” ส้มเกรียวกราดแบบไม่มีเหตุผลอีก
“ไม่ใช่ว่าออกรับแทนหรอก...แต่อ้นไม่อยากให้ส้มเรียกใครแบบนั้น...ไม่จำเป็นต้องเป็น”แดน”หรอก...กับเพื่อนอ้นคนอื่นก็เหมือนกัน...” อ้นพูดยาวเหยียด มันสร้างความหงุดหงิดให้ส้มอีกเป็นทวีคูณ
“เราไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน...ส้มกลับมากรุงเทพฯก็อยากจะเจออ้น...แต่ถ้าอ้นเห็นว่าไอ้แดนมันดีกว่าส้ม...อ้นก็ไปอยู่กับมันเถอะ...” บ่อยครั้งเรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องหยุมหยิมที่ไม่มีเหตุผลกลับกลายเป็นเรื่องที่ทำให้ทะเลาะกันบ่อยๆ...อ้นรู้สึกเอือมระอา...จนไม่อยากจะหาอะไรมาพูดให้ส้มรู้สึกดีขึ้นมาอีกแล้ว เด็กหนุ่มเองก็รู้สึกหงุดหงิดไปด้วย
“อ้นว่าเรื่องนี้เราเคยคุยกันแล้วนะส้ม...” อ้นใส่เชื้อไฟเข้าไปอีก
“ก็คุยแล้วสิ...กูถึงได้รู้ไงว่ามึงรักเพื่อนมึงมากกว่ารักกู...” อ้นนั่งลงกับเก้าอี้ใกล้บันไดเลื่อน ทุกอย่างอยู่ในสายตาของเต้ เขาอยากจะเข้าไปห้าม”ศึกรัก”ครั้งนี้เหลือเกิน แต่จะเอาอะไรไปห้ามล่ะ...แค่แฟนอ้นโทรมาหา เต้ก็รู้สึกใจหวิวสั่นขึ้นมา...เขาเป็นอะไรไปเนี่ย...นี่เขาเรียกว่า”ความรัก”...หรือ...”ความหลง” เต้ก้มหน้าหลบสายตาคนที่เดินผ่านไปมา อ้นกำลังออกอาการเกรียวกราดอย่างเห็นได้ชัด เด็กหนุ่มเสยผมที่ปรกลงมา มืออีกข้างถือโทรศัพท์เดินหมุนไปหมุนมาราวกับคนไม่มีสติ เสียงที่เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆทำให้มีคนหันมามอง

“โอเค...ถ้าไม่อยากจะคุยก็ไม่ต้องคุย...เราเลิกติดต่อกันสักพักก็ดี” อ้นหมดความอดทน กับคำพูดสุดท้ายที่ระบายออกมา เด็กหนุ่มทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้อีกครั้ง โทรศัพท์ที่วางลงข้างตัว เสียงดังของริงโทนและมันกำลังสั่น...งืด...งืด...งืด... ”เธอจะเป็นความทรงจำอยู่ภายในหัวใจ.......”หน้าจอแสดงชื่อ”ส้ม”ที่เป็นคนโทรเข้ามา
          อ้นกุมขมับทั้งสองข้าง ก้มหน้า น้ำตาไม่ไหลออกมาสักหยด มีเพียงแววตาเท่านั้นที่เศร้าหมอง และเหม่อลอย ผมยุ่งเหยิงเหมือนคนที่เพิ่งตื่นนอน ใบหน้าซีดเซียว อ้นมองหาเต้...
“อ้น...ไหวมั้ย...พี่ว่าเรากลับกันก่อนดีมั้ย” เต้ถามด้วยความไม่แน่ใจ...ตั้งนานมาแล้วที่ไม่เคยเห็นคนรักทะเลาะกัน...เต้หวนคิดย้อนกลับไปเมื่อหลายปีที่แล้ว...ธีร์ก็มีอาการแบบนี้...ตอนนั้นเขาดูแลธีร์ยังไงบ้าง...เต้จำไม่ได้เลย...แล้วนี่เขาจะต้องดูแล”คนช้ำรัก”อีกครั้งล่ะหรือ
“เดี๋ยวนะพี่เต้...ผมขออยู่คนเดียวสักพัก” อ้นบอกแล้วฝืนยิ้มให้เต้ มันแห้งแล้งเต็มที ไม่มีชีวิตชีวาเหมือนเมื่อคืนนี้เลย
“เดี๋ยวพี่ไปซื้อน้ำมาให้นะ” เต้บอกแล้วเดินไป เสียงริงโทนเรียกเข้ามาอีก แรงสั่นสะเทือนทำให้โทรศัพท์หล่นจากเก้าอี้ มันแตกกระจาย อ้นไม่ได้สนใจเครื่องโทรศัพท์ที่หล่นแตก เขาก้มลงไปหยิบแล้วถอดซิมออกมา ก่อนที่จะโยนโทรศัพท์ทิ้งลงถังขยะข้างๆเก้าอี้นั่นไป...โทรศัพท์เครื่องนี้”ส้ม”ซื้อให้เขาในวันเกิดปีที่ผ่านมา ใช้มาเกือบปีแล้ว...ตั้งแต่มีโทรศัพท์เครื่องนี้ ทั้งสองทะเลาะกันบ่อยมาก แทบจะวันเว้นวันเลยทีเดียว...ทิ้งไปซะจะได้ไม่เหลือเรื่องราวแต่หนหลังให้ได้ทะเลาะกันอีก

“อ้น..อ่ะน้ำ...” เต้ยื่นน้ำในขวดพลาสติกใสให้ตรงหน้า เด็กหนุ่มรับมาแล้วเปิดฝายกขึ้นดื่มทันทีโดยไม่ใช้หลอด บุคลิกแบบดิบๆเซอร์ๆ...ภาพเด็กหนุ่มผู้”ช้ำรัก”กำลังยกน้ำในขวดขึ้นดื่ม...ดูดีมากในสายตาของเต้...เต้ชอบผู้ชายในสไตล์แบบนี้เพราะ...ตรงไปตรงมาดี...ไม่มีเหลี่ยมคูให้วุ่นวายใจ
“อ้นจะกลับบ้านมั้ย...พี่จะไปส่ง” เต้ถามพลางนั่งลงข้างๆ
“ผมไม่อยากกลับ...” อ้นไม่อยากกลับไปเจอหน้าแฟนของพี่สาวเท่าไหร่...”มัน”จะมาที่บ้านทุกสุดสัปดาห์...ประจบสอพลอเป็นที่หนึ่ง...พี่สาวเขาหลงมันหัวปักหัวปำ...เขาเบื่อบ้าน...
“แล้วอ้นจะไปไหนล่ะ...” เต้ถามเพราะคาดเดาไม่ถูกจริงๆ ตอนนั้นที่ธีร์เป็นแบบนี้กับฝุ่น...ธีร์อยู่ที่คอนโดตรงพระราม 3 ไม่ได้...มัน”บาดหัวใจ” ธีร์พูดออกมาอย่างนั้น ธีร์เก็บตัวอยู่ที่บ้านเต้เป็นเดือน...นานกว่าจะยอมกลับไปอยู่ที่คอนโดที่ซื้อไว้คอย...ทุกวันนี้เต้ยังชอบแซวธีร์เสมอๆว่า”คอนโดคอยรัก”
“ไปไหนก็ได้...ไปให้ไกลๆเลยพี่” อ้นก้มหน้าซบลงกับฝ่ามือ...เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ไปต่างจังหวัดกันสัก 2-3 วันมั้ย...” เต้เสนอขึ้นมา เขานึกขึ้นมาได้ว่ามีรีสอร์ทที่เขาเคยพาลูกค้าไปทัวร์มา...ที่เมืองกาญจน์...มันน่าจะพา”คนช้ำรัก”ไปรักษาหัวใจ
“ไปสิพี่...” อ้นหันมามองหน้าเต้ เหมือนกับจะบอกว่าเขาไม่มีหนทางจะไปทางไหนอีกแล้ว “หัวใจที่ตีบตัน”พาลคิดอะไรไม่ออก
“เราไปกันเลย...” เต้ลุกขึ้นยืน
“เดี๋ยวซื้อเสื้อผ้าสัก 2-3 ชุดก็ไปได้แล้ว...” เต้เดินนำไปในห้างอีกครั้ง อ้นเดินตามอย่างคนไร้วิญญาณ
..............

          เย็นย่ำแล้วทั้งสองคนก้าวลงจากรถ อากาศบริสุทธิ์ของขุนเขาพัดมาปะทะใบหน้า อ้นสูดอากาศเข้าเต็มปอด ส่วนเต้เดินเข้าไปที่ส่วนต้อนรับด้านหน้า แม้จะมาถึงรีสอร์ทนี้จวนจะมืดแต่ด้วยความที่พาลูกค้ามาเป็นประจำและเป็นเจ้าของบริษัททัวร์ จึงได้รับการต้อนรับและได้บ้านพักที่สวยที่สุดในราคา(แพง)พิเศษ ทั้งสองหนุ่มเดินไปบ้านพัก ริมทางเดินมีธารน้ำตกไหลผ่าน เสียงน้ำซัดซ่าและหรีดหริ่งเรไรร้องระงมไปทั้งป่า พนักงานถือถุงเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวที่ซื้อมานำไปไว้ที่บ้านเรียบร้อยแล้ว อ้นเดินกอดเอวเต้มาจนถึงบ้านพักหลังน้อย สภาพภายนอกมีชุดเก้าอี้สำหรับนั่งเล่นและมีเปลไม้ไผ่สานแขวนอยู่

“น่าอยู่จังเลยพี่” อ้นมองไปรอบๆ ธรรมชาติสะอาดบริสุทธิ์ ขุนเขาเบื้องหลังดำทะมึน
“จะอยู่สักกี่วันดีล่ะ...” ลมจากชายป่าพัดมาเบาๆ ทำเอาเต้รู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมา
“จนกว่าจะสบายใจได้มั้ยพี่...” อ้นพูดพลางเข้ามากอดชายหนุ่มจากด้านหลัง อ้อมกอดที่อบอุ่นจากเด็กหนุ่มทำให้เต้รู้สึกดี
“ได้ครับ...อยากอยู่นานเท่าไหร่ก็ได้...สบายใจแล้วค่อยกลับ” เต้หันมาประจันหน้ากับอ้น
“ขอบคุณครับพี่...” อ้นหอมแก้มชายหนุ่มรุ่นพี่ฟอดใหญ่ทำเอาเต้ถึงกับหนาวสะท้านขึ้นมา...หัวใจมันวาบหวิวขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
“อืม...พี่เหนื่อยจังเลย...ยังไม่ได้อาบน้ำ...ตัวเหม็น” เต้บ่ายเบี่ยงออกจากการกอดรัดของเด็กหนุ่ม
“ไม่เห็นเหม็นเลยพี่...ผมชอบนะกลิ่นแบบนี้...ฟีโรโมนของพี่มันมันกระตุ้นผมจังเลย” อ้นกอดรัดและซอนไซร้ไปทั่วลำคอและใบหน้าของชายหนุ่ม เต้ถึงกับเซไปติดกับข้างฝา อ้นเอาแขนยันผนังไว้ทั้งสองข้างเพื่อกันไม่ให้เต้หลบไปไหนได้ ก่อนจะกดจมูกโด่งๆลงไปที่ซอกคอ
“อ้น...อายเค้าน่า...” เต้หลบหลีก
“อายใครล่ะพี่...ไม่เห็นมีใครเลย...” อ้นพูดเสียงสั่นๆข้างหู
“อายเจ้าป่าเจ้าเขา...” เต้พูดออกมาทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ได้เชื่อเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ แต่อ้นก็ยังไม่หยุด
“เข้าบ้านอาบน้ำก่อนเถอะนะ...” เต้หลบออกไปได้เพราะอ้นยกแขนออกข้างหนึ่งเพื่อเปิดทาง
“ผมอาบก่อนนะ...” อ้นพูดพลางถอดเสื้อ
“ไม่เอาพี่อาบก่อน...” เต้ไม่ยอม เร่งรีบถอดเสื้อผ้าออกจากร่าง
“ให้ผมอาบก่อนเถอะพี่...ผมอาบแป๊บเดียว...เดี๋ยวเราจะได้ไปทานข้าวกัน” อ้นถอดกางเกงออกจากขาสะบัดจนหลุด ร่างผอมๆที่แกร่งไปด้วยกล้ามเนื้อ แสงไฟในห้องสลัวๆทำให้เด็กหนุ่มดูน่าค้นหามากขึ้น
“พี่ก็อาบไม่นาน...” เต้พูดพลางเดินเข้าห้องน้ำ
“งั้นเราอาบพร้อมๆกันเลย...” อ้นเดินตาม หน้าอกและหน้าท้องแข็งแกร่งของอ้นกอดรัดทับทาบกับแผ่นหลังบางๆของเต้ สายน้ำอุ่นที่สาดลงมาเป็นฝอยทำให้อาการเหนื่อยและเมื่อยล้าหายเป็นปลิดทิ้ง แต่หลังจากผลัดกันถูสบู่ไปมา ไฟราคะได้ลุกโชนอีกครั้งกลางป่า...ยากที่สายน้ำตกที่รายล้อมบ้านน้อยหลังนั้นจะดับมันลงได้ ....

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 46=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 25-09-2009 02:11:07
คนช้ำรักคืออ้นหรือนี่
แต่แบบส้มก็ไ่ม่ไหว ขึ้นมึงขึ้นกูเลย เอาแต่ใจตัวเองมากเหมือนกันนะ
เต้กลายเป็นคนปลอบใจอีกแล้ว
แล้วความสัมพันธ์ตรงนี้มันจะพัฒนาและยั่งยืนมั้ย
น่าจะต้องถามอ้นมากกว่าเต้สินะ
บวกอีก 1 แต้มให้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 46=
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 25-09-2009 02:24:35
ถึงตรงนี้แล้ว อ้นน่าจะรับรู้ได้แล้วนะ ว่ารักที่แท้จริงเป็นยังไง และความรักที่แท้จริงนั้น มาจากใคร
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 46=
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 25-09-2009 09:05:47
ที่อ้นทำกะเต้อย่างนี้อ่ะ
เพราะรักหรือเหงาอ่ะ
สงสารเต้อ่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 46=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 25-09-2009 10:50:27
ส้ม...แม่งน่ากลัวว่ะ   :serius2:

ยุให้อ้นไปรักกับพี่เต้เลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 46=
เริ่มหัวข้อโดย: ChiOln ที่ 25-09-2009 11:58:58
อ้นต้องทำให้พี่เต้เสียใจแน่ ๆ เลย   :angry2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 46=
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 25-09-2009 14:59:25
เต้มีหน้าที่ปลอบใจให้กับคนช้ำรักหรือนี่



ทั้งธีร์แล้วก็อ้นหวังว่าคนนี้จะสมหวังได้รักกันน่ะ



หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 46=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 25-09-2009 17:18:34
อ้นเปลี่ยนไปเลยนะ

 :z2:   :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 46=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 25-09-2009 19:49:31
เมื่อไรจาถึงคิว

หนุ่ย+ธีร์อะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 46=
เริ่มหัวข้อโดย: WEERACHOT ที่ 25-09-2009 22:37:49
 :3123: เป็นรกำลังใจให้คนแต่ง กับคนเขียนครับ สู้ๆ

นิยามคำว่ารักแท้ของคนแต่งคืออะไรเหรอครับ? (ฝากถามหน่อย อิอิ)

อ้น+เต้ แค่เข้าใจกัน ยอมรับในสิ่งที่เป็น มนก็คงไม่พ้น....แน่ๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 46=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 26-09-2009 04:56:47
47 สวนบาหลี

          หนุ่ยกำลังง่วนอยู่กับการรื้อสวนบาหลีออกบางส่วน หนุ่ยตั้งใจที่จะทำน้ำตกใหม่ เขาอยากได้ที่มันเป็นน้ำตกจริงๆ ไม่ใช่ที่เป็นน้ำพุแบบนี้ กว่าจะรื้อเสร็จก็เกือบเที่ยง เด็กหนุ่มขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยแล้วเดินลงมาด้านล่าง

“หนุ่ยรื้อสวนออกทำไมล่ะ...” ธีร์เห็นกองวัสดุรกเรื้อไปหมดเลยถามขึ้น เขาสงสัยว่าหนุ่ยจะเล่นอะไรอีก
“ผมจะทำน้ำตกครับ..” หนุ่ยยิ้มแล้วเดินเข้ามานั่งข้างๆธีร์
“มองทำไม...” ธีร์หันมามองหน้าหนุ่ยที่จ้องเอาจ้องเอา จนเกือบจะสำลักกาแฟ
“พี่ธีร์...ไปซื้อหินกับต้นไม้เป็นเพื่อนหน่อยสิ” หนุ่ยอ้อน
“ที่ไหน...”
“ไม่รู้สิ...”
“อ้าว...จะทำแล้วยังไม่รู้ว่าจะไปซื้อของที่ไหน...พี่ว่าแถวๆทางไปองครักษ์น่าจะมี...แถวนั้นเป็นแหล่งขายเลยนะ...” ธีร์รอบรู้พอสมควร
“งั้นไปกันเลย...ผมก็รู้แล้วแต่อยากจะลองดูว่าพี่ธีร์จะรู้รึเปล่า” หนุ่ยอมยิ้ม
“เจ้าเล่ห์นักนะ” ธีร์จับหัวหนุ่ยโยกไปมา


          ไม่นานนักธีร์และหนุ่ยก็มาอยู่ที่ถนนสายรังสิต-องครักษ์ ทั้งสองดูต้นไม้และหินประดับเพื่อเอากลับไปสร้างน้ำตก ร้านนี้มีไม้ดอก ไม้ประดับนานาชนิดวางเรียงกันเต็มพื้นที่ ล้วนสวยงามและน่าซื้อทั้งนั้น ทั้งสองขนซื้อต้นไม้และหินประดับมากมาย

“พี่ธีร์ จะเอากลับยังไงล่ะ” หนุ่ยยืนเกาหัวไม่รู้จะจัดการยังไงกับต้นไม้หลากหลายที่วางเรียงตรงหน้า
“ก็ใส่รถไปสิ...ต้นไม้ก็ใส่ในรถส่วนหินให้เค้ายกใส่ท้ายรถไป...” ธีร์สั่ง รถเก๋งบีเอ็มดับบลิวของธีร์โหลดเตี้ยไปอย่างกะทันหัน
“พี่รถเราเหมือนสวนป่าไปแล้ว...รีบกลับเถอะ...” หนุ่ยเร่ง
“ไม่ต้องรีบ...ยังได้ไม่ครบไม่ใช่เหรอ...” ธีร์ถามหนุ่ยซึ่งจดรายการของที่ซื้อมาอยู่ยิกๆ
“ไม่ครบก็ต้องกลับแล้วพี่...ไม่มีที่จะวางของแล้ว” หนุ่ยโอดครวญ
“ไม่มีที่วางหนุ่ยก็ถือไปสิ” ธีร์เดินหยิบต้นไม้แปลกๆอีก 2-3 ต้น
“จริงๆหรือพี่...” หนุ่ยทำหน้าแบบรับไม่ไหวแล้ว
“จริงสิ...หนุ่ยถือเดี๋ยวพี่ขับเอง” ธีร์กระโดดขึ้นนั่งหลังพวงมาลัย

          หนุ่ยถือกระถางต้นไม้อีกสองต้นอีกสองต้นวางตรงที่วางเท้า รถทั้งคันเหมือนสวนป่าไม่มีผิด ธีร์ขับรถอย่างใจเย็นเหมือนจะแกล้งให้หนุ่ยเมื่อย ธีร์ขับมาจอดหน้าร้านขายรังนกกระจาบ...
“พี่ว่าสวยดี...น่าซื้อไปประดับสวนนะ” ธีร์กำลังจะลงจากรถ
“ไม่เอานะพี่...พี่รู้มั้ยว่ากว่านกมันจะสร้างรังพวกนี้เสร็จมันต้องบินไปคาบหญ้ามากี่เที่ยว...กว่าจะสานเป็นรังได้ขนาดนี้...น่าสงสารมันนะ...คนเรานี่ก็เหลือเกิน...เอาบ้านเค้ามาประดับสวน...ไม่เห็นใจเจ้าของบ้านบ้างเลย...” หนุ่ยพูดเรื่องจริงที่เขาเห็น เพราะรังนกเหล่านี้ถูกนำมาขายทั้งๆที่บางรังเพิ่งสร้างเสร็จ...หญ้าบางต้นยังเขียวอยู่เลย
“อ้าวเรอะ...พี่ไม่รู้น่ะ...พี่ขอโทษ” ธีร์มองรังนกกระจาบตาละห้อย
“...คิดง่ายๆนะพี่...แค่สมมุติว่าถ้าอยู่ๆ...พี่กลับมาบ้านแล้วบ้านพี่หายไปทั้งหลังล่ะ...พี่จะนอนที่ไหน...จะอยู่ยังไง...ลูกเมียหายไปหมด...คิดแล้วน่าเศร้านะ...คนเรานี่ใจร้ายชะมัดเลย...” หนุ่ยแสดงความเห็นใจต่อสัตว์โลกเสมือนหนึ่งเป็นเพื่อนกันมาก่อน
“จริงๆเนอะ...คนเรานี่ใจร้ายมาก...เอาบ้านเค้ามาประดับสวน...เพียงเพื่อให้มันสวยงามเท่านั้นเอง” ธีร์เห็นพ้อง พลางเข้าเกียร์เพื่อออกรถ
“ถ้าเราไม่ซื้อ...คนขายก็ไม่รู้จะเอาไปขายให้ใคร...คนพวกเนี้ยบาปหนา...ไม่ได้ลงทุนอะไรเลย...แค่ลุยน้ำลุยโคลนไปเอาบ้านเค้ามาขาย...ได้เงินมาก็ไม่เคยแบ่งให้คนสร้างบ้าง...อย่างนี้เรียกว่าชุบมือเปิบได้มั้ยพี่” หนุ่ยรำพึงรำพัน
..................

          หลังจากถึงบ้านแล้วพวกคนรับใช้ต่างกระวีกระวาดมาขนสวนป่าลงจากรถกันจ้าละหวั่น ต่างบ่นกันใหญ่ว่านั่งมากันได้ยังไง
“คุณๆนั่งกันมาได้ยังไง...ไม่กลัวงูกัดเอาเหรอคะ” ป้าจิตถามพลางหัวเราะพลาง
“ถ้ามีก็กัดคุณธีร์ของป้าจิตน่ะแหละ...ซื้อซะไม่มีที่จะนั่ง” หนุ่ยส่ายหน้า ส่วนธีร์นั้นนั่งหัวเราะแล้วยื่นน้ำหวานเย็นๆให้หนุ่ย
“เอ้าน้ำหวาน...จะได้หายอารมณ์เสียนะครับคุณหนู” ธีร์โอบไหล่หนุ่ยก่อนจะพากันไปนั่งที่ชิงช้าไม้
“ผมนะถือต้นไม้จนแขนล้าไปหมดแล้ว...พี่ธีร์แกล้งผมนี่...” หนุ่ยหันมาทำตาดุใส่ธีร์
“แค่แขนล้า...กลัวจะทำร้ายตัวเองไม่ไหวรึไง” ธีร์แหย่หนุ่ยเล่นด้วยคำพูดกำกวม แต่หนุ่ยก็รู้ทัน...หนุ่ยหัวไวจะตาย
“ทำไม่ไหวไม่เป็นไร...เดี๋ยวผมไปหาคนอื่นให้ทำให้ก็ได้...” หนุ่ยยิ้ม
“ใครหนอจะโชคร้าย...” ธีร์ไม่หยุด
“หรือพี่ธีร์จะเป็นคนโชคร้ายคนนั้น...หืม...” หนุ่ยเดินมาโอบกอดด้านหลังธีร์แล้วจิ้มเอวจั๊กกะจี้ให้ธีร์หัวเราะออกมา
“นี่แนะ...นี่แนะ....” หนุ่ยจิ้มเอวไม่หยุด
“อย่าหนุ่ย...อย่า...บอกว่าอย่า...พี่จั๊กกะจี้” ธีร์ดิ้นไปมาแล้ววิ่งหนี หนุ่ยวิ่งตาม ทั้งสองวิ่งไล่กันในบริเวณสวนที่ตอนนี้คนใช้ทั้งหลายหันมามองพี่น้องคู่นี้เล่นไล่จับกันอย่างสนุกสนาน บางคนเชียร์ธีร์ บางคนเชียร์หนุ่ย...จนกระทั่ง
“เพล้ง...” เสียงกระถางดินตกแตกเป็นเสี่ยงๆ  ธีร์ล้มลงไปเพราะวิ่งไปเตะเอากระถางต้นไม้ เนื้อที่นิ้วโป้งเปิดออกเลือดไหลออกมามากมายเต็มรองเท้าแตะไปหมด
“พี่ธีร์...เป็นอะไร...” หนุ่ยปราดเข้าถึงตัวก่อนคนอื่น ซึ่งได้แต่อึ้ง...และตกใจยืนมองอยู่
“เจ็บมั้ยพี่...เป็นอะไรมากรึเปล่าครับ...” หนุ่ยจับเท้าธีร์ขึ้นมาพลิกดู เลือดไหลออกมาเพราะโดนกระถางบาดเอาพอดี
“เลือดออก...เจ็บอ่ะหนุ่ย...” ธีร์ร้องออกมา
“นิดเดียวพี่เดี๋ยวผมทำแผลให้นะ...” หนุ่ยพาธีร์ที่เดินกะเผลกๆไปยังม้าหินใต้ต้นไม้ใหญ่ พลางร้องสั่งเด็กๆให้ไปเอากระเป๋าใส่เครื่องปฐมพยาบาลมาด่วนที่สุด
“นี่ค่ะ...อูยย...คุณธีร์เจ็บมั้ยคะ...” ป้าจิตร้องหลับตาปี๋เพราะตัวเองกลัวเลือด
“เจ็บมั้ยพี่...ทนนิดเดียวนะ...” หนุ่ยเปิดขวดน้ำเกลือสำหรับล้างแผลแล้วบีบขวดเทน้ำเกลือลงไปที่ปากแผล
“อูยยย...แสบ...” ธีร์ร้องออกมา หนุ่ยจัดการทำแผลอย่างชำนาญ
“ขอโทษนะพี่...ผมไม่น่าเล่นอะไรแบบนี้เลย...” หนุ่ยก้มหน้าสารภาพผิดหลังจากที่ทำแผลให้ธีร์เสร็จแล้ว
“ไม่เป็นไรมันเป็นอุบัติเหตุ...” หลังจากที่ธีร์พูดคำนี้จบลงทั้งสองต่างมองหน้ากัน เหมือนมีเส้นแห่งความคิดมันออกมาขวางกั้น...คำพูดที่”ย่า”เคยพูดกับหนุ่ยและธีร์ ในสถานการณ์เดียวกัน...แต่คนละเวลาเท่านั้นเอง

          ธีร์นั่งดูหนุ่ยกับป้าจิตและคนรับใช้ช่วยกันจัดเรียงต้นไม้ใหม่ ส่วนน้ำตกนั้นต้องคอยให้คนขับรถของคุณแม่มาช่วย เพราะต้องมีการโบกปูนและก่อหินขึ้นบนกำแพง...งานแบบนี้ต้องช่วยกันทำกับผู้ชาย ตอนแรกธีร์บอกว่าจะให้จ้างช่างมาทำโดยให้อินทีเรียออกแบบให้ แต่หนุ่ยเห็นว่ามันเปลืองเงินทองโดยใช่เหตุจึงไม่เห็นด้วย
“ลุงชด...พรุ่งนี้ว่างนะลุง...มาช่วยผมทำน้ำตกหน่อย...” หนุ่ยตะโกนเข้าไปในครัวขณะที่นายชดนั่งทานข้าวอยู่
“ครับคุณหนุ่ย...แต่ผมว่าคุณหนุ่ยไม่ต้องลงมือทำก็ได้เดี๋ยวผมตามหลานชายมาช่วย...คุณหนุ่ยจะเอายังไงค่อยๆบอกแล้วกัน...จะได้ไม่เหนื่อย” นายชดพูด
“ไม่เป็นไรครับ...ลุงชดตามหลานมาช่วยอีกแรงก็ดี...ช่วยกันหลายๆคนสนุกดี...เดี๋ยวผมจะชวนเพื่อนมาช่วยอีกสองสามคน” หนุ่ยบอก หนุ่ยไม่เคยถือตัวว่าเป็นเจ้านาย เขาคิดเสมอว่าเขามาจากไหน...ทุกๆคนมีสิทธิเท่าเทียมกันแตกต่างกันตรงหน้าที่รับผิดชอบเท่านั้น
...................

          หนุ่ยตื่นแต่เช้าออกไปวิ่งและกลับมาเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้นพร้อมจะลุยงานปูนเต็มตัว วันนี้กองเชียร์เพียบ ทั้งน้ำ ทั้งขนม ของว่างมากมาย ธีร์สั่งให้ป้าจิตทำก๋วยเตี๋ยวไก่น้ำใส โดยเอาหม้อก๋วยเตี๋ยวออกมาตั้งที่หน้าสวนบาหลีเลยทีเดียว

“โอ้โหป้าจิต...นี่กะจะไม่ให้ทำงานเลยนะเนี่ย” หนุ่ยอดไม่ได้ที่จะแซวป้าจิตที่กำลังก่อไฟเตาถ่านที่สนาม เด็กรับใช้ช่วยกันยกโต๊ะออกมาวางเครื่องปรุง
“กลิ่นหอมอย่างนี้ทำไปกินไป...มีหวังทำไม่เสร็จแน่” ลุงชดทำท่าสูดกลิ่นหอมของน้ำซุป
“เดี๋ยวไม่เสร็จคุณหนุ่ยก็ให้มาทำอีกแน่ๆ” ไอ้อ๊อดหลานชายตัวอ้วนพูดขึ้นบ้าง ทุกคนหัวเราะออกมาสนุกสนาน
“เร็วเถอะ...เดี๋ยวคุณธีร์ลงมาจากห้องโดนดุพอดี...” ป้าจิตเร่งเด็กรับใช้อีกสองคน
“ผมมีเพื่อนมาช่วยอีกสองคนนะป้า...ของกินพอมั้ย...” หนุ่ยเอ่ยปากถามเพราะเมื่อคืนเขาชวนทีมกับแคนมาช่วยทำสวน เด็กหนุ่มทั้งสามไม่เจอกันนานแล้ว จึงรับปากว่าจะมากัน
“เพื่อนคุณหนุ่ยมาแล้วมั้งคะ...” ป้าจิตชะเง้อไปทางปากประตูบ้าน
“เฮ้ย...ทีม...แคนทางนี้” หนุ่ยกวักมือเรียก เด็กหนุ่มไม่เจอกันนานแล้วจึงกอดกันกลมด้วยความดีใจ
“กูไม่กล้าเดินมาทางนี้...กูคิดว่าร้านขายก๋วยเตี๋ยว” ทีมพูดออกมาทำเอาป้าจิตค้อนควับ
“แหม...คุณทีม...ป้าทำอร่อยกว่าร้านอีกนะคะ...”
“ไอ้ทีม...ปากดีเดี๋ยวก็อดแดกหรอกมึง” แคนเขกหัวเพื่อนรัก
“ป้าจิตครับ...ขอเส้นเล็กน้ำชามนึงก่อนนะครับ...ผมหิวจังเลย...ข้าวเช้ายังไม่ได้กิน” ทีมเดินไปอ้อนป้าจิต

“เฮ้ย...มึงรู้ปะ...ไอ้อ้นมันเลิกกับน้องส้มแล้วนะเว้ย” แคนพูดออกมา หนุ่ยทำหน้าตกใจไม่น้อย
“จริงดิ...ใครบอกมึงวะ” หนุ่ยถาม
“ก็ส้มมันโทรมาร้องไห้กับกู...มันบอกว่าไอ้อ้นทิ้งมันไปอยู่กับผู้ชาย” หนุ่ยตาเหลือกตกใจเข้าไปอีก ไม่คิดว่าอ้นจะเตลิดไปไกลขนาดนั้น

“ใครวะ...”ทีมถาม

“เห็นส้มมันบอกว่าชื่อไอ้แดน” ทุกคนตาค้าง...อึ้ง...ทึ่ง...เสียวไปกับความเปลี่ยนแปลงของอ้น ...
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 47=
เริ่มหัวข้อโดย: Nichdia ที่ 26-09-2009 05:23:48
มาลงซะเกือบเช้าเลยคับ

แต่ก็ตามมาอ่าน อิอิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 47=
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 26-09-2009 08:29:41
อยากอ่านตอนพี่ธีร์กะหนุ่ยแบบหวานๆอ่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 47=
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 26-09-2009 08:36:44
ชอบหนุ่ยตอนหยอกธีร์แบบทะลึ่งเล็กๆอะ น่ารักดี


ปล.แดนงานเข้าซะงั้น
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 47=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 26-09-2009 14:41:18
เมื่อไหร่ นะ ที่ จะได้เห็นคู่ของ หนุ่ย กับ ธีร์

แดนโดนควันหลงแล้วงานนี้

 :z2:    :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 47=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 26-09-2009 15:26:25
ถ้ารู้ว่าผู้่ชายคนนั้นไม่ใช่แดน แต่เป็นเต้
จะอึ้ง ทึ่ง เสียว กันมากกว่านี้มั้ยอ้ะ
บวก 1 แต้มนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 47=
เริ่มหัวข้อโดย: kikipanda ที่ 26-09-2009 20:39:28
เริ่มไปกันใหญ่พี่เต้ กะน้องอ้น

จากความสัมพันธ์แบบ one night stand จะพัฒนากลายมาเป็นความรักได้หรือเปล่าน้า เอาใจช่วยผู้ช่วยพระเอกมือหนึ่งอย่างพี่เต้นะค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 47=
เริ่มหัวข้อโดย: wichit14 ที่ 28-09-2009 11:26:48
เย้.............กลับมาเหมือนเดิมแล้ว ดีใจจัง จะได้อ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 47=
เริ่มหัวข้อโดย: viky_mama ที่ 28-09-2009 18:31:48
อ้าวน้องส้มนี่มั่วอย่างแรง พี่เต้ค่ะ พี่เต้ 555+

เมื่อไหร่พี่ธีร์กับน้องหนุ่ยจะมีอะไรคืบหน้าเนี่ย เศร้า

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 47=
เริ่มหัวข้อโดย: wichit14 ที่ 29-09-2009 09:53:35
คิดเหมือนกับรีข้างบนเลย เมื่อไหร่ หนุ่ยจะชดเชยสิ่งที่ค้างคาในใจให้ธีร์สักที จะรอลุ้นน่ะครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 47=
เริ่มหัวข้อโดย: yamanaiame ที่ 29-09-2009 10:27:03
หวัดดีครับ  ตามมาอ่านแล้ว
ยังไงก็ทักทายกันบ้างนะครัฟ
ยังไง เด็กประเทศ ลาว คนนี้ก็จะคอยติดตามอ่านนะครัฟ
 ~~โดโด้~~
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 47=
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 29-09-2009 10:28:43
เข้ามารอน้องหนุ่ยกะพี่ธีร์อ่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 47=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 29-09-2009 20:40:20
รอน้องหนุ่ยนะจ๊ะ :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 47=
เริ่มหัวข้อโดย: CHOKUN ที่ 29-09-2009 20:47:07
อยากอ่านต่อแล้วอ่ะ :monkeysad: :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 47=
เริ่มหัวข้อโดย: wichit14 ที่ 30-09-2009 14:23:23
แวะมาดูเข้า เห็นยังเงียบอยู่ แล้วจะหมั่นเข้ามาดูบ่อย ๆ น่ะครับ...จะรอหนุ่ยกับธีร์
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 47=
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 30-09-2009 23:05:02
มารอเป็นกำลังใจให้ด้วยครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 47=
เริ่มหัวข้อโดย: Xfish ที่ 01-10-2009 14:21:22
เป็นกำลังใจให้นะครับ  รอติดตามผลงานอยู่คับผม :3123:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 47=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 01-10-2009 17:46:20
มารอพี่ธีร์กับหนุ่ยด้วยคนค่ะ
 :L2:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 47=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 02-10-2009 04:18:10
48 ข้าวมันไก่กับค้างคาวแม่ไก่

“ทีแรกกูก็ไม่อยากเชื่อหรอกว่าไอ้อ้นเนี่ยจะเป็นเกย์...” แคนพูดออกมาพลางส่ายหน้า
“...ชูว์...” หนุ่ยส่งสัญญาณให้แคนระวังคำพูด
“........” แคนทำท่าเหมือนกับนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรพูดออกไป อย่างน้อยทีมยังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ข้างๆไอ้อ๊อด
“แต่กูไม่เชื่อว่ะ...ไอ้อ้นน่ะนะ...กูว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก...” หนุ่ยวิเคราะห์
“มึงเจอมันมั่งมั้ย...” แคนถามหนุ่ย
“ไม่เจอเลย...หลายเดือนแล้วนะ” หนุ่ยไม่เจออ้นจริงๆ
“ก็แม่งขลุกอยู่กับน้องส้มตลอด...” ทีมพูดพลางเดินมาร่วมวงด้วย
“เฮ้อ...ตอนนี้มันเป็นไงมั่งวะ...ตอนน้องส้มโทรมาร้องไห้กับกู...กูโทรหามันมันก็ไม่เปิดเครื่องเลย...เมื่อเช้านี้ก็โทร...กูจะชวนมันมาด้วย...ติดต่อไม่ได้...สงสัยแม่งจะเลิกกันจริงๆซะแล้ว” แคนสรุป
“กูอยากรู้จริงๆว่าไอ้แดนนี่มันเป็นใคร...” หนุ่ยพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง เขาสงสัยว่าแดนมีอิทธิพลอะไรที่ทำให้อ้นต้องเลิกกับส้ม

          วันนั้นเด็กๆช่วยกันทำสวนสวยๆกับน้ำตกจนเสร็จ กลางวันก็รวมวงกันกินก๋วยเตี๋ยวไก่กัน ทั้งเจ้านายและลูกน้อง บรรยากาศชื่นมื่นและเป็นกันเองมากๆ แม้แต่ภาณีเองก็ลงมาร่วมวงด้วย ถ้าบ้านนี้ไม่มีหนุ่ยซักคน บรรยากาศอย่างนี้คงจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน หลังจากเสร็จงานแล้วป้าจิตเกณฑ์คนรับใช้ทั้งหมดช่วยกันเก็บข้าวของไปไว้ในครัวจนเรียบร้อย
“นี่จิต...พรุ่งนี้ฉันอนุญาตให้เปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวหน้าบ้านได้เลยนะ”ภาณีแซวป้าจิต
“อุ้ย...คุณภาณีคะ...แล้วใครจะคอยรับใช้คุณๆล่ะคะ...” ป้าจิตหัวเราะชอบใจ
“แหม...ก็อร่อยกว่าที่ร้านทำอีกนี่เนอะ...หรือว่าไงตาธีร์” ภาณีพยักเพยิดกับลูกชาย
“จริงๆครับคุณแม่” ธีร์สนับสนุนเพราะเขาเองทานไปสองชาม
“เอาไว้จิตทำให้ทานใหม่นะคะ...”


          เย็นนั้นเด็กหนุ่มทั้งสองคนยังไม่กลับกัน ยังคงนั่งคุยนอนคุยอยู่ในห้องของหนุ่ยจนเกือบมืดจึงได้ลงไปทานอาหารเย็นกัน ที่โต๊ะอาหารพร้อมหน้ากันทั้งภาณี ธีร์ หนุ่ย ทีม แคน เด็กๆทั้งสามคนทำให้โต๊ะอาหารครื้นเครงสนุกสนานมากๆโดยเฉพาะทีมกับแคนนี่คุยกันเข้าขามาก
“ไอ้แคน...ข้าวหมดหม้อเพราะมึงเลย” ทีมแซวเพื่อนที่ตอนนี้หนักเกือบร้อยกิโลเข้าไปแล้ว
“ป้าจิตหุงให้กูใหม่แล้ว...” แคนทำไม่สนใจ
“แคนกินเยอะๆเลยลูก...ไม่ต้องห่วง...ที่นี่มีให้กินเยอะแยะ...” ภาณีพูดพลางยิ้มเอ็นดูเด็กๆ
“ครับคุณแม่...อาหารที่นี่อร่อยทุกอย่างเลย...” แคนเอ่ยปากชมอย่างจริงใจ
“มันกินอะไรก็อร่อยทั้งนั้นแหละครับคุณแม่...ไม่งั้นคงไม่ตัวขนาดนี้หรอกครับ” ทีมกัดเพื่อนไม่เลิก
“เออนี่ตาธีร์...พักนี้เจ้าเต้มันหายไปไหนของมันนะ...แม่ไม่เห็นเต้มาที่นี่นานแล้วนะ” ภาณีตั้งข้อสังเกต
“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ...สองวันนี้มันหายไปเลย...ครั้งก่อนที่คุย...ผมโทรไปเบิร์ทเดย์มันมา...” ธีร์พึมพำออกมาเพราะเป็นที่ผิดสังเกต ปกติแล้วเต้จะโทรมาคุยกับเขาแทบทุกวัน
“โทรหาดูหน่อยก็ดีนะ...แม่ขอตัวก่อนละ...ละครจะมาแล้ว...เด็กๆนอนค้างกันที่นี่รึเปล่า...ให้จิตจัดที่นอนให้สิ...” ภาณีถามเหมือนรู้ใจ พวกเขาอยากอยู่ด้วยกัน คุยกัน เล่นกันเหมือนเก่าก่อน แม้ไม่ครบแก๊งแต่ก็ยังดี
“นอนครับ” ทีมเอ่ยปาก
“งั้นหนุ่ยไปบอกแม่จิตให้เตรียมที่นอนให้นะ...” ภาณีสั่ง
“ไม่เป็นไรครับแม่...ผมนอนรวมกันบนเตียงได้...” แคนเอ่ยปากออกมาแต่
“ไอ้อ้วน...ใครจะนอนรวมกับมึงได้...ตัวอย่างกับช้าง...” ทีมโวยวายทำเอาทุกคนหัวเราะออกมา


          คืนนี้ทั้งสามได้นอนเบียดกันอยู่บนเตียง แต่แทบจะไม่ได้นอนเลยเพราะเรื่องเก่าๆที่สรรหามาคุยกันนั้นทำเอาหลับไม่ลง เรื่องเพื่อน เรื่องครูอาจารย์ที่เฮี้ยบๆ เรื่องไปเที่ยวด้วยกันมา เรื่องราวสารพัด รวมทั้งเรื่องสุดท้ายคือ”เรื่องของป้อ”ซึ่งมันทำให้”ทีม”รู้สึกเศร้า ทุกคนเลยหยุดและนอนหลับจนเกือบตีสามของวันใหม่ รุ่งขึ้นเป็นวันทำงานเด็กๆไม่ได้ไปเรียนเพราะมหาวิทยาลัยยังไม่ได้เปิด ทั้งหมดจึงยังโอ้เอ้ไม่ไปไหนจนเย็นจึงได้แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน

“พี่ธีร์วันเสาร์นี้ผมชวนเพื่อนๆไปไหว้พระกันที่แปดริ้ว...พี่จะไปด้วยมั้ยครับ” หนุ่ยชวนธีร์ หลังจากเสร็จมื้อค่ำในเย็นวันนั้น
“ไปสิ...” ธีร์ตอบแบบไม่ต้องคิด
“มีแคน ทีมแล้วก็ปรีย์...” หนุ่ยสาธยาย
“รถเต็มแล้วสิ...” ธีร์พูด
“นั่งได้...ถ้าพี่ไปก็ห้าคน...สบายๆ” หนุ่ยพูด
“ไม่เบียดกันไปหน่อยเหรอ” ธีร์กลัวเด็กๆจะไม่สนุกมากกว่า
“ไปเถอะนะพี่...ผมอยากให้พี่ไปด้วยกัน...นะครับ” หนุ่ยอ้อน...และก็ได้ผล
“อืม...ไปก็ไป” ธีร์รับปาก
..................


          เสาร์นั้นทุกคนมาพร้อมกันที่บ้าน หนุ่ยขับโดยมีธีร์นั่งหน้าคู่กันไป ส่วนสามทโมนนั้นนั่งด้านหลัง เสียงเจื้อยแจ้วดังมาตลอด คลอเคล้ากับเสียงหอนตามเพลงที่เปิดจากวิทยุ ราวหนึ่งชั่วโมงทุกคนก็เดินทางมาถึงวัดโสธร หนุ่มๆทั้งห้าเข้าไปปิดทองไหว้พระเรียบร้อยแล้ว ทุกคนท้องร้องจ๊อกๆเพราะตั้งแต่เช้ายังไม่ได้ทานอะไรกันมาเลย
“กินอะไรกันดีหนุ่มๆ...” ธีร์เอ่ยปากถาม เขาเองก็หิวเหมือนกัน
“ข้าวมันไก่” ปรีย์โพล่งขึ้นมา ทำเอาทุกคนหันมามอง
“ไอ้บ้า...มาถึงที่นี่...จะมากินแค่ข้าวมันไก่เหรอวะ” ทีมหันมาด่าปรีย์
“ถ้ามึงร้องกินกุ้งแม่น้ำนะกูจะไม่ว่าเลย...” แคนขวางเต็มที่ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะอยากกินกุ้งแม่น้ำตัวโตๆมากกว่า
“เดี๋ยวพี่ธีร์กระเป๋าฉีก...กูรู้มาว่ามีข้าวมันไก่เจ้าอร่อยอยู่เจ้านึง...” ปรีย์พูดพลางทำหน้าหาพวกและประจบธีร์สุดฤทธิ์
“ไม่ต้องกลัวพี่กระเป๋าฉีกหรอก...จะกินอะไรก็ได้...” ธีร์พูดอย่างใจดีเสมอ...
“ข้าวมันไก่ก็ดีนะพี่...” หนุ่ยสนับสนุน
“พาไปเลย...เอาให้ถูกร้านนะ...” หนุ่ยจับมือธีร์แล้วพาเดินกลับไปที่จอดรถ สองหนุ่มจูงมือกันฝ่าผู้คนที่คลาคล่ำ สัมผัสจากอุ้งมือแกร่งและแข็งแรงนั้นทำให้ธีร์รู้สึกดีและอบอุ่นมาก รถเก๋งบีเอ็มดับลิวบ่ายหน้าออกจากที่จอดรถ
“ตรงเข้าตลาดเลยพี่...ร้านอยู่ข้างซ้ายมือ...นั่นไงป้ายร้าน” ปรีย์ชี้ไปที่ป้าย ”ร้านข้าวมันไก่เจ้าเก่า 36 ปี” หลังจากที่หนุ่ยขับเลยสถาบันราชภัฎและจวนผู้ว่ามาเล็กน้อย หนุ่ยขับรถมาจอดหน้าร้านตามคำบอกของปรีย์ ร้านเก่าๆตั้งอยู่ข้างถนนที่จะเข้าตลาด อาคารโบราณๆเก่าแก่ดูคลาสสิคแต่ทรุดโทรมมาก ทั้งหมดแทบไม่ได้สนใจดูสถาปัตยกรรม แต่มุ่งที่จะกินมากกว่า พวกเขาพกพาความหิวมาเต็มพิกัด ข้าวมันไก่หลายจานถูกสั่งเข้ามาไม่ขาดสาย ข้าวมันเนื้อนุ่มเนียนและไก่สับเนื้อแน่นๆ บวกกับบริการที่แสนเป็นกันเอง
“กูว่าร้านนี้เป็นกันเองดีว่ะ” แคนเอ่ยปากหลังจากที่กินไปสองจาน
“ยังไงวะเป็นกันเอง” ทีมถาม
“ก็ดูสิ...ไม่มาเสิร์ฟให้ต้องไปเอาเอง...น้ำดื่มมึงก็ต้องหาเอง...อย่างนี้แหละเรียกว่าเป็นกันเอง” แคนอธิบายแล้วก็หัวเราะออกมา
“ก็มึงดูเอาสิ...พี่เขาทำคนเดียว...แทบจะไม่ทันแล้ว...ก็ต้องช่วยตัวเอง...” หนุ่ยพูดออกมาบ้าง
“อือ...ทำขายกันแค่สองคน...พอลูกค้าเข้าร้านเยอะๆนี่หัวหมุนนะ...” ธีร์พูดออกมาพลางมองออกไปนอกร้านที่มีคนมาเข้าคิวสั่งใส่ห่อ
“พี่ธีร์ว่าเค้าเคยสับนิ้วตัวเองลงไปในข้าวมั้ย...”ปรีย์ปากหมาตามเคย
“มึงไปดูนิ้วพี่เค้าสิว่าครบรึเปล่า...ถ้านิ้วด้วนหมดแสดงว่ามึงอาจจะได้แดกนิ้วเค้าด้วย” ทีมพูดพลางยิ้มแล้วมองไปที่พี่อ้วนสุดที่ยืนสับไก่อยู่อย่างชำนาญ
“ข้าวมันนิ้ว...” ปรีย์พูดออกมาเบาๆ
“....โป๊ก...” ทีมเขกหัวปรีย์
“เจ็บนะ...กูโตแล้ว...จะมาเขกกันอย่างนี้บ่อยๆไม่ได้นะมึง...” ปรีย์คลำหัว

“พี่ธีร์ที่นี่มีอะไรน่าเที่ยวบ้าง” หนุ่ยถามธีร์หลังจากออกมาจาก”ร้านข้าวมันไก่”แล้ว
“ก็มีตลาดโบราณ...แล้วก็ค้างคาวแม่ไก่” ธีร์บอก ทำเอาหนุ่ยตาโตอยากไปขึ้นมาทันที
“ค้างคาวหรือแม่ไก่พี่” ปรีย์ถามกวนๆ
“ค้างคาวแม่ไก่...เป็นค้างคาวตัวใหญ่เท่าแม่ไก่...มันอยู่ที่บางคล้า” ธีร์บอก ทำให้เด็กหนุ่มทั้งหมดอยากไปดู
“ไปเราไปดูค้างคาวกัน...” หนุ่ยสรุปแล้วเลี้ยวซ้ายขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำบางปะกงเพื่อจะออกไปทางอำเภอบางคล้า

          ที่วัดโพธิ์ บางคล้ามีค้างคาวแม่ไกนับหมื่นๆตัวเกาะอยู่ที่ต้นไม้เต็มไปหมด ค้างคาวตัวใหญ่ๆมาเกาะอยู่ที่วัดนี้วัดเดียว นับเป็นสิ่งที่น่าแปลกเอามากๆ ต้นไม้ใหญ่ๆต้นอื่นที่อยู่นอกวัดมันไม่ไปเกาะ...เด็กหนุ่มชะโงกหัวออกไปดูค้างคาวนับพัน
“ไอ้ทีมกูเห็นกระจู๋มันด้วย...นั่นๆๆ” ปรีย์ชี้ไปที่ค้างคาวแล้วทำท่าทางตื่นเต้น
“ไหนๆ...เหมือนของไอ้แคนมั้ย...” หนุ่ยถามออกมาพลางชะโงกหน้าออกมาดูกระจู๋ค้างคาวกับเพื่อนๆ
“ตัวนั้นด้วย...โอ้โห...กระจู๋โคตรยาวเลย...มีไข่สองใบด้วย...มึงดูสิ...” ปรีย์ไล่ดูกระจู๋ค้างคาวอย่างเดียวแล้วตอนนี้
“กูว่าเหมือนของไอ้หนุ่ยว่ะ...ของไอ้หนุ่ยแม่งโคตรยาวเลย” แคนพูดแล้วก็หัวเราะออกมา
“ไอ้แคนนี่...เคยเห็นแล้วก็เงียบๆไว้สิ...” หนุ่ยพูดออกมาแล้วก็หน้าแดงด้วยความอาย
“ไอ้แคน...กูว่าของไอ้หนุ่ยไม่ยาวอย่างเดียวหรอก...กูว่ามันก็น่าจะใหญ่ด้วยนะ” ปรีย์แสดงความเห็นอีกคน แล้วทั้งหมดก็หัวเราะออกมา หนุ่ยหน้าแดงเข้าไปใหญ่...

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 47=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 02-10-2009 04:27:12
พี่ธีร์กับหนุ่ยมาแล้ว
การมาเที่ยวครั้งนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่เลย
รอตอนหน้าว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น หรือว่าจะมาเจอเต้กับอ้นแถวนี้หละเนี่ย

บวก 1 แต้มค่ะ ขอบคุณนะคะ
คนโพสต์หายไปหลายวัน สบายดีหรือเปล่าคะ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 47=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 02-10-2009 04:33:07
กลับมาแล้วค่ะ  อิอิ   ขอโทษที่หายไปนะคะ
ขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้เสมอมาค่ะ   :L2:

ใกล้แระ   ใกล้แระ    อิอิอิอิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 48=
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 02-10-2009 07:19:13
ธีร์ต้องได้ยินที่พวกหนุ่ยคุยกันแน่ๆอะ อยากรู้จังว่าธีร์จะทำหน้ายังไง แต่ที่แน่ๆต้องเก็บไปจิ้นแน่นอน


ปล.คุณองค์หญิงฯ กลับมาพร้อมๆกับการกลับมาของคุณต้นคุงเหมือนกันเลย ตอนที่คุณต้นคุงขอเวลาไปพักใจ ก็แอบใจหายเหมือนกัน
ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ทั้งคุณต้นคุงและคุณองค์หญิงฯนะครับ  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 48=
เริ่มหัวข้อโดย: ChiOln ที่ 02-10-2009 11:38:49
มาแล้ว ๆ
 :m20:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 48=
เริ่มหัวข้อโดย: wichit14 ที่ 02-10-2009 13:07:35
ต้องรอให้คุณธีร์ออกมายืนยัน ว่าทั้งยาวทั้งใหญ่ ถึงจะเชื่อ อิอิ ขอบคุณครับที่มาลงให้อ่าน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 48=
เริ่มหัวข้อโดย: Nichdia ที่ 02-10-2009 13:24:11
เย้ๆ ตอนใหม่มาแล้ว

มาพร้อมกับความใหญ่ยาว อิอิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 48=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 02-10-2009 13:25:16
หุหุหุ

จริงอะป่าว

แบบนี้ต้องพิสูจน์
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 48=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 02-10-2009 14:01:34
 :z1:    :z1: จะจริงหรือป่าวนะ

 :z2:    :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 48=
เริ่มหัวข้อโดย: MonkeYMauS ที่ 02-10-2009 17:32:46
เมื่อไหร่จะได้เห็นเสียที

รอนานแระ

หมายถึง

ไอนั่นน่ะ



หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 48=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 02-10-2009 22:57:02
 :m20:  หนุ่ยเขินแย่เลย

เล่นเอาของจริงมาเปิดเผย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 48=
เริ่มหัวข้อโดย: viky_mama ที่ 02-10-2009 23:00:19
อุ้ยวาจาน่าคิดลึก อย่าพูดแบบนี้ดิเดี๋ยวพี่ธีร์หัวใจวาย อิอิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 48=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 03-10-2009 04:14:07
เอ่อ... จะบอกว่าที่เพื่อน ๆ แซวหนุ่ยกันนั้น   ....  เป็นความจริงค่ะ  :z1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 48=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 03-10-2009 04:21:52
เอ่อ... จะบอกว่าที่เพื่อน ๆ แซวหนุ่ยกันนั้น   ....  เป็นความจริงค่ะ  :z1:

กำ อย่าหลอกกันนะตะเอง เค้าจริงจัง 555+  :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 48=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 03-10-2009 04:23:27
49 คิดไม่ถึง

          ธีร์โผล่เข้าไปในห้องทำงานของเต้ในเย็นวันหนึ่ง แต่ไม่พบเต้ที่โต๊ะทำงาน ธีร์เดินไปดูด้านนอกตรงระเบียงพบว่าเต้คุยโทรศัพท์อยู่ด้วยอาการพูดไปยิ้มไป เต้หันมาเห็นธีร์ที่ยืนมองอยู่
“เดี๋ยวนะอ้น...เดี๋ยวพี่โทรกลับ”
“คุยกับแฟนรึไงวะ...ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว” ธีร์อดแซวไม่ได้เมื่อเห็นรอยยิ้มผุดพรายบนใบหน้าญาติหนุ่ม
“ไอ้บ้า...” เต้ยิ้มเขิน
“ก็เห็นยิ้มหน้าบานขนาดนั้น...” ธีร์ไม่เลิกแซว เต้หน้าแดงแป๊ด
“มีธุระอะไร...เดินเข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียง...” เต้ถาม
“ทำไม...ต้องมีธุระด้วยเหรอถึงเข้ามาพบกรรมการผู้จัดการได้” ธีร์ยอกย้อน
“แกว่าธุระของแกมาก่อนดีกว่า...ชั้นไม่มีเวลามาเล่นลิ้นกับแกไอ้ธีร์” เต้รวบรัด...เสียเวลาคุยกับอ้นมากไปแล้ว ตอนนี้ทุกลมหายใจเป็นอ้นๆๆๆ...
“ชั้นจะเข้ามาคุยกับแกเรื่องที่ชั้นจะไม่อยู่หลายวัน...” ธีร์พูด
“อ๋อ...เรื่องที่แกกับหนุ่ยจะไปเมลเบิร์นน่ะเหรอ...” เต้รู้ทันแม้ธีร์ไม่พูดตรงๆ เอกสารต่างๆที่ให้เตรียมนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“อือ...ชั้นจะไปเสาร์นี้แล้วนะ...มีเอกสารอะไรที่ชั้นต้องเซ็นต์อนุมัติรึเปล่า...” ธีร์ถาม เขากลัวเรื่องงานจะสะดุด เพราะเขาต้องการพักผ่อนจริงๆและเที่ยวให้สนุกอย่างเดียว...ไม่อยากมากังวลเรื่องงาน
“เดี๋ยวต้องดูก่อนนะ...ถ้ามีอะไรที่แกต้องเซ็นต์...ชั้นจะเตรียมไว้ให้...วันศุกร์แกเข้ามาดูอีกทีนะ...” เต้บอกยิ้มๆ เสียงโทรศัพท์เรียกเข้ามา เต้กดรับสายทันที
“ว่าไงครับ...” เต้พูดไปยิ้มไป
“เดี๋ยวผมเข้าไปรับพี่เต้ที่บริษัทนะครับ...ตอนนี้ผมใกล้จะถึงแล้ว” เสียงอ้นสดใสมาตามสาย
“ครับได้ครับ...จะถึงประมาณกี่โมงครับ” เต้ถาม
“ก็อีกสักยี่สิบนาทีครับพี่...” อ้นตอบ
“ครับพี่รออยู่นะ...” เต้กดวางหู
“ใครวะ...” ธีร์ถาม
“เด็กรุ่นน้องน่ะ...” เต้ตอบเลี่ยงไปมา
“เออ...ชั้นไม่เห็นรถแกเลย...ไม่ได้เอามาเหรอ...ไปส่งมั้ย...ชั้นจะกลับพอดี” ธีร์หวังดี...แต่
“เอ่อ...เดี๋ยวน้องเค้าเอามาให้...พอดีเค้าเอาไปเข้าศูนย์ให้น่ะ...” เต้โกหก
“เหรอ...ถ้างั้นชั้นกลับก่อนนะ...” ธีร์เดินออกมาที่ลานจอดรถแต่พอดีพบกับรปภ.ที่มาเข้างานสาย ธีร์จึงตำหนิการเข้างานของรปภ.อยู่พักใหญ่ จึงได้ขับรถกำลังจะออกจากบริษัท ขณะเดียวกันอ้นก็ขับรถของเต้สวนเข้ามา ธีร์เห็นอ้นแต่อ้นมองไม่เห็นธีร์ ชายหนุ่มสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าเหตุใดอ้นจึงมารู้จักกับเต้ได้...ธีร์เก็บข้อสงสัยไว้ในใจ

          ที่ร้านอาหารริมแม่น้ำย่านถนนพระราม 3 สายลมจากแม่น้ำเจ้าพระยาพัดมาเบาๆ ทำให้ความร้อนคลายลงไปเยอะ...เต้หงุดหงิดจากรถที่ติดมากมาย เบียร์เย็นๆถูกวางตรงหน้า สองหนุ่มต่างวัยยกขึ้นจิบเล็กน้อย
“เหนื่อยมั้ยครับพี่...” อ้นถาม
“วันนี้พี่ไม่เหนื่อยหรอกครับ...แต่อาทิตย์หน้าสงสัยจะเหนื่อยแน่” เต้พูดพลางปลดกระดุมเม็ดบนของเสื้อเชิ้ตออก
“ทำไมล่ะครับ...” อ้นถามต่อ
“ก็อาทิตย์หน้าหุ้นส่วนอีกคนของพี่เค้าไม่อยู่...เค้าจะไปต่างประเทศครึ่งเดือน...พี่คนเดียว...หัวหมุนแน่ๆ” เต้ยิ้มสู้ แค่อ้นถามว่าเหนื่อยมั้ย...เต้ก็แทบจะหายเป็นปลิดทิ้งแล้ว
“ให้ผมช่วยพี่ได้นะครับ...ขับรถส่งของก็ยังได้...หรือส่งเอกสารก็ได้นะพี่” อ้นยิ้มแล้วยกเบียร์ขึ้นดื่มอีก
“ไม่ต้องหรอกครับ...ใครจะกล้าใช้ให้ว่าที่วิศวกรมาทำงานแบบนี้” เต้รู้สึกซาบซึ้งใจจริงๆที่เด็กหนุ่มมีน้ำใจ
“โห...พี่เต้ครับผมเพิ่งจะเรียนได้แค่ปีเดียวเองนะ” อ้นยิ้มเขินกับตำแหน่งว่าที่วิศวกร
“ถ้างั้นก็มารับมาส่งพี่ทุกวันได้มั้ยล่ะ...” เต้พูด
“รับส่งยังไงล่ะพี่...ผมไม่มีรถยนต์นะ...มีแต่มอไซค์พี่จะนั่งรึเปล่า” อ้นหัวเราะ
“ก็เอารถพี่ไปใช้สิ...เช้ามาส่งเย็นก็มารับพี่ไง” เต้เสนอให้เอารถไปใช้
“จะเอาไปใช้อะไรล่ะพี่...ผมปิดเทอมไม่ได้ไปไหนอยู่แล้ว...” อ้นพูดตามจริง เขาไม่อยากจะเอารถเต้ไปไหนมาไหน อย่างเรื่องวันนี้ที่ต้องเอาไปใช้เพราะว่าต้องไปธุระจริงๆ อีกอย่างมันก็ไกลมากด้วยนั่งรถเมล์ไปกลับก็มืดค่ำพอดี...อ้นเลยเอ่ยปากขอยืมรถของเต้...ซึ่งชายหนุ่มเต็มใจ
“อ้าวเหรอ...พี่ลืมไป”
“ถ้างั้นผมมานั่งเล่นที่ออฟฟิศพี่ได้มั้ยล่ะ...” อ้นขอร้อง
“ได้สิ...แต่นั่งเล่นอย่างเดียวนะ...ห้ามทำอย่างอื่น...” เต้ยิ้มมีเลศนัย
“ไม่หรอกครับ...ผมจะทำก็ทำคืนนี้แหละ...ไม่ต้องรออาทิตย์หน้าหรอก...” อ้นส่งสายตากรุ้มกริ่ม ทำเอาเต้อ่อนระทวยขึ้นมาทันที

          ค่ำคืนนั้นอ้นไม่ได้กลับบ้าน เขาไม่สนใจอยู่แล้วแค่โทรบอกแม่แค่นั้นพอ...ไม่มีคำถามอะไรตามมาให้วุ่นวายใจ...อ้นเป็นอย่างนี้บ่อยๆจนที่บ้านชินชาซะแล้ว แต่ในทางกลับกันที่บ้านของเต้นั้น การที่ลูกชายพาเด็กหนุ่มรุ่นน้องหลายๆปีมานอนด้วยที่บ้าน ทำให้พ่อแม่ของเต้ชักเป็นห่วงลูกชายเอามากๆ แต่พอตอนเช้าทั้งคู่ก็ออกไปทำงานด้วยกัน...เต้ไปทำงานส่วนอ้นกลับบ้าน พ่อแม่ของเต้จึงไม่มีโอกาสได้ไถ่ถามลูกชายคนเดียวว่า...เด็กหนุ่มคนนั้นเป็นใคร
..........................................................


“เออ...หนุ่ย...เพื่อนหนุ่ยที่ชื่ออ้นน่ะ...ตอนนี้ทำอะไรอยู่” ธีร์ถามหนุ่ยขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องวันนั้นขึ้นมาได้
“อ้นมันเรียนวิศวะอยู่น่ะพี่...ผมไม่เจออ้นนานแล้วนะ...โทรไปก็ติดต่อไม่ได้...คงเปลี่ยนเบอร์ใหม่” หนุ่ยก้มหน้าทานข้าวไปเรื่อยๆใจของเด็กหนุ่มยังกังวลเรื่องของ”น่าน”ที่โทรมาหาเขาเมื่อวาน
“เหรอ...” ธีร์ไม่พูดอะไรต่อ...เขาอยากถามเต้ด้วยตัวเองมากกว่า
“ทำไมล่ะพี่...พี่เจอมันเหรอ...” หนุ่ยรวบช้อนแล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม แสดงว่าอิ่มแล้ว
“เปล่าหรอก...” ธีร์ปฏิเสธ
“...........”
“หนุ่ยเก็บของไว้บ้างรึยัง...ดูอากาศที่นู่นรึเปล่าว่าเป็นยังไง...จะได้เตรียมเสื้อผ้าถูก” ธีร์สอนไปในตัวเพราะนี่เป็นการเดินทางต่างประเทศครั้งแรกของหนุ่ย
“เก็บไปบางส่วนแล้ว...”
“แล้วใบขับขี่สากลล่ะ...เรียบร้อยมั้ย”
“เรียบร้อยครับเจ้านาย...”
“เดี๋ยวเถอะ...” ธีร์ค้อนให้
“ช่วงที่เราไปตรงวันเกิดพี่ธีร์เลยนี่...” หนุ่ยทำหน้าตื่นเต้นเมื่อนึกถึงวันเกิดธีร์
“เออใช่...พี่ลืมไปเลย...” ธีร์ไม่ค่อยจะจำวันเกิดตัวเองเท่าไหร่ เพราะงานที่เยอะมากในแต่ละวันทำให้ไม่สนใจเรื่องพวกนี้
“จะไปฉลองกันสองคนที่นู่น...แล้วคนที่นี่ล่ะจ๊ะคุณชาย” เสียงภาณีขัดขึ้นมา
“โธ่คุณแม่ครับ...ผมไม่ลืมหรอกครับ...เดี๋ยววันศุกร์เย็นๆเราทานข้าวด้วยกันก่อนก็ได้ครับ...” ธีร์ยิ้มให้ภาณี ทุกๆปีที่เป็นวันเกิดของธีร์หรือของภาณี สองแม่ลูกต้องกินข้าวด้วยกันเสมอ...และมีของขวัญเล็กน้อยๆให้กันและกันทุกปี...แต่ปีนี้แม้จะฉลองไม่ตรงกับวันเกิด...นางก็เต็มใจและเข้าใจ...นางไม่ใช่คนเรื่องมากและเจ้ายศเจ้าอย่าง...ทุกสิ่งยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสม
“ที่เดิมดีมั้ยครับ...” ธีร์เสนอ
“เอางั้นก็ได้ลูก...ธีร์อย่าลืมบอกเต้ด้วยนะ...” ภาณีไม่เคยลืมเต้เลย...แม้ว่าตอนนี้จะห่างๆกันไป

          เย็นวันศุกร์หลังจากที่ธีร์ได้เข้ามาเซ็นต์เอกสารบางอย่างที่บริษัทแล้ว กำลังจะเตรียมตัวออกไปตามที่นัดกับภาณีไว้ หนุ่ยนั่งรออยู่ในรถเขาติดคุยโทรศัพท์กับ”น่าน”ไม่ยอมลงมาด้วย

“เอ่อ...ธีร์...เอ่อ...ชั้นขอชวนรุ่นน้องไปด้วยคนได้มั้ย...” เต้อึกอักอยู่สักพักกว่าจะพูดออกมาได้

“...อ้นเหรอ...” ธีร์ถามกลับ...ทำเอาเต้ตาค้าง...นึกไม่ถึงว่าธีร์จะรู้จัก ...

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 49=
เริ่มหัวข้อโดย: wichit14 ที่ 03-10-2009 09:51:59
โลกมันกลมจริง ๆ ลำพังธีร์รู้ยังพอทำใจได้ แต่ถ้าเต้รู้ว่าเป็นเพื่อนสนิทกับหนุ่ย จะทำหน้ายังงัยจ๊ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 49=
เริ่มหัวข้อโดย: Nichdia ที่ 03-10-2009 12:09:23
อ่า มาเจอกันหมดงี้จาเกิดไรขึ้นนี่
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 49=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 03-10-2009 12:27:55
ถ้าอ้นได้เจอกับหนุ่ยจะเป็นยังไงนะ

 :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 49=
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 03-10-2009 15:05:38
อะไรก็เกิดขึ้นได้ บนโลกกลมๆใบนี้ อิๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 49=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 03-10-2009 17:17:53
เมื่อหนุ่ยเจออ้น จะเป็นยังงัยต่อนะ

 :z2:   :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 49=
เริ่มหัวข้อโดย: 0nePiece ที่ 04-10-2009 00:37:54
แล้ว น่าน มีเรื่องอะไรกัน 
ค้าง อ่ะครับ :fire:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 49=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 04-10-2009 00:46:36
เอาหละสิงานนี้
เจอกันแน่ๆ ใครจะต้องตอบคำถามใครว่ายังไงบ้างก็คงจะได้รู้กัน
บวก 1 แต้ม รอตอนต่อไป ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 49=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 04-10-2009 04:01:20
50 ทัศนคติ

“แกรู้จักอ้นได้ยังไง” เต้ถามด้วยความพิศวงงงงวย
“ทำไมชั้นจะไม่รู้จัก...ก็ไอ้อ้นน่ะมันเป็นเพื่อนกับเจ้าหนุ่ย...” ธีร์เฉลยความจริงออกมา ทำเอาเต้ทรุดลงไปนั่งกับเก้าอี้
“เพื่อนกับหนุ่ยเหรอ...” เต้ครางออกมาตาลอย
“เออ...เป็นเพื่อนสนิทกันเลย...ตั้งแต่เรียนที่กรุงเทพคริสเตียนแล้ว” ธีร์พูดอกมา
“เหรอ...”
“ชั้นน่ะน่าจะถามแกด้วยซ้ำว่า...แกไปรู้จักอ้นมันได้ยังไง” ธีร์ย้อนเข้าให้ ทำเอาเต้หน้าซีดเผือด...เขาไม่อยากบอกธีร์เลยด้วยซ้ำถึงเรื่องในวงการเกย์ที่เต้เข้าไปพัวพันด้วย จนทำให้รู้จักกับอ้น
“เอ่อ...” เต้เงียบพูดไม่ออก
“ว่าไง...เล่าให้ชั้นฟังหน่อยสิ...” ธีร์เร่งด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เอ่อ...” เต้อึกอัก
“เต้...เราไม่เคยมีความลับต่อกันไม่ใช่เหรอ...ชั้นก็รู้นะว่าแกน่ะเป็นยังไง...ชั้นไม่ได้อยากจะรู้เรื่องส่วนตัวของแกหรอกนะ...แต่เรื่องพวกนี้น่ะ...เราควรจะบอกคนที่ไว้ใจได้สักคนนะ...”
“................”
“หรือว่าชั้นไม่ใช่คนที่แกไว้ใจอีกต่อไปแล้ว...” ธีร์พูดเบาด้วยความรู้สึกน้อยใจ
“...เอ่อ....ธีร์” เต้อึกอัก
“ไม่อยากจะบอกก็ไม่เป็นไร...แกจะพาอ้นไปด้วยก็ตามใจนะ...ชั้นจะสั่งให้เพิ่มโต๊ะ...เดี๋ยวเจอกัน...” ธีร์ทำท่าจะเดินออกจากห้องทำงานไป
“ธีร์เดี๋ยว...อย่าเพิ่งไป...ฟังชั้นก่อน” เสียงของเต้ทำให้ธีร์หยุดเดินแล้วหันกลับมา เรื่องราวทั้งหมดได้ออกมาจากปากของเต้ ทั้งเรื่องของอ้น เรื่องของแดนกับพี่เสธฯ เรื่องอ้นกับหนุ่ยที่จะต้องเจอกัน ทั้งสองคนจะรู้สึกอย่างไรถ้าได้เจอกัน
“เรื่องหนุ่ยน่ะแกอย่ากังวลไปเลย...ชั้นว่าหนุ่ยน่าจะเข้าใจอะไรได้ดี...ว่าแต่อ้นเถอะ...จะยอมรับตัวเองได้มั้ย...นั่นล่ะที่ชั้นเป็นห่วง” ธีร์อ่านขาด เขาเข้าใจหนุ่ยดีกว่าใครๆ
“เดี๋ยวเจอกัน...อ้นมันจะมารับแกใช่มั้ย...” ธีร์หันมาถามอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ แต่ธีร์เห็นแววตาของความไม่มั่นใจของเต้แล้ว...ธีร์รู้สึกสงสารและเห็นใจ...ชายหนุ่มจึงเดินกลับเข้ามาแล้วกอดเต้เอาไว้แน่น...
“อะไรที่เราทำแล้วมีความสุขก็ทำไปเถอะ...ชีวิตคนเรามันสั้นนัก...แกยังดีที่มาเจอคนที่ใช่...ถ้าอ้นมันเป็นคนที่แกค้นหามาทั้งชีวิต...แกต้องทำให้อ้นมันยอมรับให้ได้...ไม่ต้องกังวลอะไร...เดี๋ยวไปกินเหล้ากัน...ไปฉลองวันเกิดชั้น...”ธีร์พูดจบก็คลายกอดเต้ลง ธีร์มองเข้าไปในดวงตาอ่อนโยนของเต้แล้วยิ้มให้กำลังใจ...
“ขอบใจนะธีร์...เดี๋ยวเจอกัน...” เต้ก้มหน้าน้ำตาซึมด้วยความซาบซึ้งในมิตรภาพ...


          ภายในรถของธีร์ที่จอดรออยู่ หนุ่ยวางหูโทรศัพท์จาก”น่าน”ลงสักพักนึงแล้ว เด็กหนุ่มทอดสายตาเหม่อลอย...เขากำลังคิดเป็นห่วง”น่าน”กับ”วัช” ที่กำลังต่อสู้กับชีวิตโดยลำพัง ถึงแม้ว่าแม่ของวัชจะพยายามให้ความช่วยเหลือกับทั้งสองคน แต่ด้วยความที่เป็นคนหยิ่งยโสของวัช...เขาไม่รอรับการช่วยเหลือใดๆจากแม่ของเขาเลย...ฉะนั้นทุกปัญหาที่เจอจึงมีเพียงสองคนเท่านั้นที่ต้องเผชิญร่วมกัน เงินทองไม่ค่อยพอใช้และการกินการอยู่ที่แสนลำบาก “น่าน”แค่โทรมาระบายให้ฟังเท่านั้น...“เราต่างให้กำลังใจกันและกัน...” น่านพูดออกมาอย่างนี้ทำให้หนุ่ยเบาใจขึ้นมาก...อย่างน้อยทั้งสองยังรักกันอยู่

“ไปกันเลยนะพี่...” หนุ่ยออกรถ

“อืม...ไปเถอะ...เดี๋ยวเต้ตามไปเอง...” ธีร์ขยับกระดุมเสื้อแล้วปลดเนคไทออกจากคอ มันเบาและโล่ง ธีร์สูดลมหายใจเข้าปอด ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศในรถและเพลงเบาๆที่เปิดอยู่ทำให้ผ่อนคลายลงได้มาก...ธีร์ควรจะต้องเกริ่นเรื่องบางเรื่องให้หนุ่ยรับรู้ก่อน...

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 50=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 04-10-2009 04:05:05
ธีร์เข้าใจหนุ่ย มองหนุ่ยออก
เืรื่องวัช น่าน ป้อ หนุ่ยก็ยังยอมรับได้
แต่อ้นสิ จะยอมรับตัวเองกับเพื่อนได้หรือเปล่า
ที่สำคัญ ในความคิดของเต้ อ้นคือคนที่ใช่ แล้วในความคิดของอ้นล่ะ เต้คืออะไร
อยากอ่านตอนต่อไปมากเลยจริงๆ
ขอบคุณมากๆนะคะ  :L2:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 50=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 04-10-2009 04:25:47
...............

ที่ ภัตตาคารหรูภายในโรงแรมระดับห้าดาว ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บรรยากาศยามค่ำคืนเย็นสบาย แสงสว่างจากโคมไฟริมระเบียงทำให้ความรู้สึกของทั้งคู่ผ่อนคลายลงไปมาก หลังจากที่หนุ่ยรับรู้เรื่องราวบางอย่างจากธีร์และเขาก็เตรียมที่จะรับสิ่ง ที่จะเกิดขึ้นในเวลาไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ แรกทีเดียวหลังจากที่ธีร์เล่าเรื่องของอ้นจบลง หนุ่ยดูเครียดขึ้นมาทันที ในใจหนุ่ยนั้นคิดว่าเพื่อนเขาเป็นคนดี อ้นเป็นคนที่น่าคบแม้จะมีโลกส่วนตัวบางอย่างที่เพื่อนมักเข้าไม่ถึง แต่สิ่งหนึ่งที่หนุ่ยมองเพื่อนคนนี้คือความจริงใจและการพูดจาตรงไปตรงมา เหมือนบุคลิกที่เซอร์ๆ และแม้จะดูเหมือนขวางโลกในบางครั้ง แต่นั่นมันคือมุมมองของเพื่อนที่มีต่อเพื่อนเท่านั้น ส่วนเรื่องมุมมองของความรักและรสนิยมทางเพศนั้นหนุ่ยไม่สามารถที่จะหยั่งรู้ ได้  สิ่งที่หนุ่ยคิดอยู่คือจะอย่างไรก็ตามอ้นก็คือ เพื่อนเขาคนหนึ่ง เพื่อนสนิทที่รักกันมากแม้จะห่างกันไปนาน แต่เพื่อนก็ยังคงเป็นเพื่อน...ไม่ว่าอ้นจะเป็นอย่างไรหนุ่ย”รับได้”...ยิ่งถ้าเป็นคนพิเศษของพี่เต้ด้วยแล้ว...หนุ่ยออกจะดีใจด้วยซ้ำ...ดีใจแทนพี่เต้

“เป็นไงหนุ่ย...คิดอะไรเหรอ...” ธีร์มองมาที่เด็กหนุ่มเมื่อเห็นหนุ่ยมองเหม่อ...ไม่สั่งอาหารสักที
“อ้อ...เปล่าครับพี่...ผมคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปหน่อย” หนุ่ยไม่พูดตรงๆ แต่ธีร์ก็จับความรู้สึกนั้นได้

“เรื่องอ้นกับเต้เหรอ...” ธีร์ดักคอ
“ครับพี่” หนุ่ยยอมรับแล้วเงยหน้ามองธีร์ พลางพับเมนูเก็บ
“ผมว่าผมควรจะดีใจนะ...ที่อ้นได้มาเจอกับพี่เต้...และพี่เต้ได้มาเจอกับอ้น” หนุ่ยพูดออกมา
“...............” ธีร์ยิ้ม
“เพราะพี่เต้ก็เหมือนพี่ชายผมคนนึง...อีกทั้งอ้นก็เป็นคนดี...เป็นคนจริงใจและน่าคบมากๆคนหนึ่ง” หนุ่ยพูดออกมา ใบหน้าเจือด้วยรอยยิ้ม
“.............” ธีร์ยังคงยิ้ม เขาอ่านหนุ่ยขาดตั้งแต่แรกแล้ว เด็กหนุ่มมีวิธีคิดที่แสดงถึงความเป็นคนที่มีทัศนคติที่ดีเสมอมา ธีร์ย้อนคิดไปถึงเรื่องเก่าๆตั้งแต่วันที่พ่อของหนุ่ยเสียชีวิตจากสึนามิ ปู่ของหนุ่ยถูกรถชนตาย ย่าเสียจากโรคประจำตัวรุมเร้า อกหักรักขมจากแต้ว ทั้งหมดทั้งสิ้นนั้นถ้าเป็นเขา เขาไม่รู้ว่าจะผ่านเหตุการณ์แบบนั้นมาได้อย่างไร แต่หนุ่ยสามารถผ่านมันมาได้และยืนอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างสง่าผ่าเผย...ความคิดในทางบวกของหนุ่ยที่ทำให้ผ่านเรื่องร้ายๆมาได้...แค่เปลี่ยนความคิด ...ชีวิตก็เปลี่ยน...คำๆนี้ยังใช้ได้ดี

“พี่ดีใจที่หนุ่ยคิดได้แบบนี้...ไม่โกรธไม่เกลียดเพื่อน...” ธีร์พูดออกมาใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“โกรธไม่ได้หรอกครับ....ก็อ้นมันเป็นเพื่อนผมนี่ครับ” หนุ่ยพูดจบพอดีกับที่ภาณีเดินเข้ามา
“แหม...พี่น้องคู่นี้คุยอะไรกันถูกคอเชียว” นางพูดอย่างที่เห็น
“ไม่มีอะไรครับแม่...ก็แค่เรื่องของพี่เต้กับอ้น” หนุ่ยพูดกับภาณีทันที ทำเอาธีร์หันมามองหน้าแม่ตัวเอง
“อ้นนี่ใครเหรอ...”
“เพื่อนผมเองครับ...จะมากับพี่เต้...” หนุ่ยประกาศออกไปเลย แต่สิ่งนั้นไม่ได้ทำให้ภาณีแปลกใจ นางเห็นเต้มาตั้งแต่เด็กๆและรู้ดีว่าเต้เป็นยังไง...
“เพื่อนเราน่ะ...นิสัยดีมั้ยหึ...ตาหนุ่ย”ภาณีทันเหตุการณ์เสมอ...การพูดออกมาแบบนี้แสดงว่านางเองก็รับรู้ถึงเรื่องแบบนี้เหมือนกับเป็นเรื่องปกติ
“นิสัยดีครับ...”หนุ่ยพูดยิ้มๆ
“อืม...ถ้านิสัยดีแม่ก็เบาใจ...ดีนะที่บอกกันก่อนอ้นเค้าจะได้ไม่เคอะเขิน...”  ภาณีอ่านใจคนเก่ง นางรู้ว่าถ้าต้องมานั่งซักถามกันบนโต๊ะคงจะทำให้ทุกคนอึดอัดหาวเรอขึ้นมาได้ โดยเฉพาะเจ้าตัวทั้งสองคน...ทั้งเต้และอ้น
“...........” ธีร์นั่งยิ้ม นึกชื่นชมหนุ่ยในใจว่าเด็กคนนี้ช่างรู้กาลเทศะ ช่างรู้จังหวะเวลา รู้จักการควบคุมอารมณ์เป็นเยี่ยม...ยิ่งคิดธีร์ก็ยิ่ง”ปลื้ม”

“ยิ้มอะไรพี่...” หนุ่ยหันมาถามเมื่อเห็นธีร์มองหน้าเขาแล้วยิ้ม
“เปล่า...แค่รู้สึกว่าน้องของพี่คนนี้...เก่งจริงๆ...” ธีร์สรุปออกมาได้แค่นั้นว่า”เก่ง”แต่มีอีกมากมายนักที่ธีร์รู้สึก
“แกเพิ่งรู้เหรอ...หึ...ตาธีร์...ว่าน้องแกเก่ง” ภาณีพูดชมอีกทำเอาหนุ่ยยิ้มแก้มปริ
“รู้มานานแล้วครับ...แต่วันนี้รู้สึกว่าหนุ่ยโตขึ้น...ความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่เกินตัว...” ธีร์เอ่ยชมน้องชายอย่างจริงใจ
“พี่ก็พูดเกินไป...ผมไม่ได้เก่งกาจอะไรเลย...” หนุ่ยเขินหน้าแดง
“เอ้าสั่งอะไรให้แม่ทานหน่อยลูก...หิวแล้วนะ...เอ...เจ้าเต้ทำไมยังไม่มาอีกนะ” ภาณีชะเง้อมองหา
“คุณแม่ทานอะไรดีล่ะครับ...” ธีร์ถาม
“เอาของโปรดคุณแม่ไงครับ...” หนุ่ยเปิดเมนูอีกครั้ง
“เอาปลาสำลีนะครับคุณแม่...หรือปลาเก๋าดี...” เมนูที่หนุ่ยสั่งให้ภาณีนั้นไม่พ้นปลา ”เพราะดีต่อสุขภาพ” หนุ่ยว่าอย่างนั้น อีกอย่างธีร์ก็เป็นคนที่ชอบทานปลามากๆ โดยเฉพาะท่อนหาง...เป็นส่วนที่ธีร์ชอบที่สุด อาหารถูกสั่งมามากมายเผื่อคนที่ยังไม่มาด้วย แล้วในที่สุดคนที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง

“สวัสดีครับคุณป้า...” เสียงเต้ทักทายภาณี ภาณีลุกขึ้นแล้วกอดรับหลานชาย เต้หอมแก้มภาณีสองข้างทำให้บรรยากาศดูเป็นกันเองมากขึ้น
“อ้น...นี่คุณป้าพี่...” เด็กหนุ่มยกมือกระพุ่มไหว้นอบน้อมแล้วกล่าวว่า”สวัสดีครับ” อ้นจำภาณีได้ดีแม้ว่าไม่ได้ไปคลุกคลีที่บ้านหนุ่ยมานานแต่เขาก็จำได้เสมอ...มันทำให้อ้นนิ่งไปสักพักนึง

“ไงตาอ้น...โตเป็นหนุ่มแล้วนะ...”  ภาณีทักทายเหมือนลูกเหมือนหลาน มันทำให้อ้นใจชื้น สมองของอ้นที่ยังประมวลผลได้เร็วกำลังคิดต่อไปว่า...”แล้วคนที่นั่งหันหลังให้ตรงหน้านี้ล่ะ...จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก....” อ้นตัวชาวาบไปถึงสันหลัง  ...

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 50=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 04-10-2009 04:28:28
ขอโทษค่ะ  ลากมาไม่หมด  แหะ ๆ   :sad4:
ยังเป็นตอนที่ 50 อยู่นะคะ   ขอบคุณค่ะ   
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 50=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 04-10-2009 04:35:50
อ่านแล้วแอบติดใจ ติดอยู่ในใจว่าว่ามัน คืออะไร
มันบอกไม่ถูกแต่แอบ สัมผัสได้ว่ามัน แปลก แล้วจะรอดูว่ามันใช่อย่างที่คิดไหมของลองเดากับตัวเองไปก่อน อิๆ ขอบคุณที่มาลงให้อ่านทุกวันน๊า +1 ให้เลยกับความสม่ำเสมอ
นิว(หลงรักความเที่ยงตรง)
ปล. อ่านจบแล้วความคิดก็ยังคงเหมือนเดิมขอบคุณที่แวะมาบอกกล่าวให้ทราบว่าลากมาขาด
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 50=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 04-10-2009 04:38:57
ขอโทษค่ะ  ลากมาไม่หมด  แหะ ๆ   :sad4:
ยังเป็นตอนที่ 50 อยู่นะคะ   ขอบคุณค่ะ   
^
^
ฮ่าๆๆๆ ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมากค่ะที่มาแปะเพิ่ม
ดีใจที่ตอนนี้ยาว ได้อ่านต่ออีกหน่อยนึง ลุ้นไปอีก
หนุ่ยเป็นคนที่ดีจริงๆ ธีร์ไม่ปลื้มก็ไม่รู้จะว่ายังไง ทั้งหล่อทั้งดีสินะ
ทีนี้ก็ลุ้นว่าอ้นจะเป็นไงบ้าง แต่ทุกคนรับได้ขนาดนี้ เหลือแต่เจ้าตัวเท่านั้นหละ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 50=
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 04-10-2009 06:56:39
ช่วงนี้เหมือนเป็นการเริ่มต้นของ คู่พี่-น้อง กับคู่เพื่อนพี่-เพื่อนน้อง สินะ

หวังว่าน่านกับวัชจะช่วยกันฟันฝ่าอุปสรรคไปด้วยกันให้ได้นะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 50=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 04-10-2009 07:41:28
รอคู่

หนุ่ยกะธีย์อยู่นะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 50=
เริ่มหัวข้อโดย: foxkykung ที่ 04-10-2009 08:49:58
ลุ้นจนตัวเกร็งเลย อิอิ ขอบคุณนะครับ ที่แวะมาแปะต่อ

มาให้กำลังใจครับ ลุ้น ๆ  o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 50=
เริ่มหัวข้อโดย: paulla ที่ 04-10-2009 09:34:13
ลุ้น ๆ :m29: :m29:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 50=
เริ่มหัวข้อโดย: wichit14 ที่ 04-10-2009 10:57:37
น่าจะแถมตอนที่ 51 ด้วยเลย อิอิอิ สนุกมาก
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 50=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 04-10-2009 17:31:24
 :serius2:  อยากอ่านต่อครับ  ค้างนิดนึงอะ

มาต่อเร็ว ๆ นะครับ 

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 50=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 05-10-2009 04:13:34
51 คอนโดฯคอยรัก

“พี่ธีร์...หนุ่ย...” อ้นครางเบาๆออกมา เขาสับสนงุนงง...คิดย้อนไปถึงเต้ด้วยว่าเป็นอะไรกับครอบครัวของเพื่อนสนิทเขา แต่อ้นไม่มีเวลาที่จะคิดได้นานขนาดนั้นเพราะหนุ่ยฉวยจังหวะนั้นทำให้ความประดักประเดิดของอ้นหมดไป
“ไงไอ้อ้น...หายไปเลยนะมึง...”  หนุ่ยลุกขึ้นมากอดคอเพื่อนรักเอาไว้แล้วพากันเปลี่ยนที่นั่งมานั่งด้วยกันในฝั่งตรงข้าม อ้นหยิบเอาแก้วไวน์ติดมือมาด้วย ที่ต้องเปลี่ยนที่นั่งเพราะจะทำให้เพื่อนรู้สึกไม่เคอะเขินและเป็นกันเองเร็วขึ้น
“เอ่อ..กูเอ่อ...” อ้นอึกอัก
“ไม่ต้องรีบเล่าก็ได้...คืนนี้ยังอีกยาว...มีเรื่องจะคุยเยอะแยะเลย...เอาไวน์หน่อยนะ” หนุ่ยจับให้เพื่อนนั่งลงแล้วเด็กหนุ่มก็นั่งลงข้างๆ พลางเรียกบริกรให้รินไวน์มาให้อ้น
“เอ้าจะกินอะไรสั่งเลย...” หนุ่ยรับเมนูมาจากบริกรอีกครั้ง
“..........” อ้นยังเงียบ เขาเปิดเมนูไปพลาง
“สั่งเลย...พี่ธีร์เลี้ยง...” หนุ่ยคะยั้นคะยอ...
“แม่สั่งไปแล้ว 4-5 อย่างนะดูอย่าให้ซ้ำกัน...เต้จะทานอะไรสั่งเลยลูก...” ภาณี ยิ้มใจดี บรรยากาศก็เป็นใจด้วยสายลมที่พัดมาแผ่วๆ อาหารบางส่วนถูกนำมาวางบนโต๊ะแล้ว เสียงไวโอลินจากนักไวโอลินที่เล่นไปตามโต๊ะ...จนมาถึงโต๊ะของธีร์
“ผมขอเพลงโปรดของเจ้าภาพหน่อยนะครับ...” หนุ่ยขอเพลง Beautiful Blue Danube...ธีร์นั่งยิ้มแก้มปริ ใบหน้าขาวๆหล่อๆแดงซ่านด้วยฤทธิ์ไวน์
“หนุ่ยนี่ร้ายจริงๆ...รู้ได้ยังไงว่าพี่ธีร์ชอบเพลงนี้” เต้พูดไปยิ้มไปอย่างคนมีความสุข
“รู้สิครับพี่เต้...ก็ผมเป็นน้องพี่ธีร์นี่ครับ...” หนุ่ยพูดออกมาทำให้ทุกคนหัวเราะอย่างมีความสุข ทุกคนนั่งเงียบๆฟังเพลงที่นักดนตรีบรรเลงจนจบ หนุ่ยควักแบงก์ห้าร้อยทิปให้กับนักดนตรี...

“นี่ฉันกับอ้นมีของขวัญเล็กๆน้อยๆมาให้แกด้วยนะ...” เต้พูดแล้วบอกให้อ้นหยิบเอากล่องของขวัญออกมาจากกระเป๋าเป้ข้างตัว
“แกะเลยพี่ธีร์...” หนุ่ยเชียร์
“แกะเลยสิครับพี่...” อ้นช่วยเชียร์อีกแรง...

          ธีร์แกะห่อของขวัญอย่างเบามือ มันเป็นผ้าพันคอสำหรับผู้ชาย สีดำสวยและดูดีมาก ธีร์ยิ้มออกมาเมื่อเห็น ชายหนุ่มหันไปหาเต้
“ขอบคุณมากนะเต้...อ้น...มันสวยมาก...” ธีร์ยิ้มอย่างพอใจ
“แฮบปี้เบิร์ทเดย์ครับพี่ธีร์” อ้นยกแก้วไวน์ขึ้นชนกับธีร์ รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าทุกคน
“เอาไปใช้ที่เมลเบิร์นด้วยนะ...” เต้พูด
“แน่นอน...” ธีร์ยิ้ม
“เที่ยวเผื่อด้วยนะพี่...” อ้นพูดบ้าง

“อีกสักพักแม่ต้องขอตัวกลับก่อนนะตาธีร์...คืนนี้อย่าดื่มกันมากนักล่ะ...พรุ่งนี้เดินทางไม่ใช่หรือ” ภาณีพูด
“อ้าวทำไมกลับเร็วนักล่ะครับคุณแม่...” หนุ่ยถาม
“อ้อ...พรุ่งนี้แม่มีงานแต่เช้ามืดน่ะลูก....เดี๋ยวตื่นไม่ไหว...คนแก่ก็อย่างเนี้ย...ต้องปล่อยให้หนุ่มๆสนุกกันไป” ภาณีบอก
“คุณแม่ไม่แก่สักหน่อย...” หนุ่ยหันมาอ้อนแม่ได้อีก
“ปีนี้ตาธีร์อายุเท่าไหร่แล้ว...แม่ไม่แก่ได้ยังไง”
“คุณแม่ก็...ผมอายุไม่เท่าไหร่เองนะ...” ธีร์ทำหน้างอน...แต่ก็ดูน่ารักดี
“แค่ 30 เองครับ...” หนุ่ยเติมให้แล้วทุกคนก็หัวเราะออกมาพร้อมๆกัน
“เดี๋ยวเหอะหนุ่ย...” ธีร์ยิ้มดีใจมากกว่าจะโกรธได้ลงคอ

          สักพักใหญ่ๆภาณีก็ขอตัวกลับจึงเหลือแต่หนุ่มๆสี่คนที่ยังคนนั่งคุยต่อ ไวน์ขวดที่สองถูกเปิดตามมา รสชาติอาหารและกลิ่นรสของไวน์ชั้นดี ประกอบกับบรรยากาศที่อบอวลด้วยมิตรภาพ ทำให้ไม่เหลือความเก้อเขินใดๆ ทั้งหมดยอมรับได้ถึงความเป็นไปของความสัมพันธ์...แบบนี้ อ้นไม่เครียดและไม่มีสายตากังวลเหมือนตอนแรกแล้ว เพื่อนรักทั้งสองได้คุยกันถึงเรื่องทั่วๆไป เรื่องเพื่อนๆ เรื่องเทคโนโลยีต่างๆ ทำให้ความสนิทสนมกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว

“ไปต่อไหนกันดี...” ธีร์ชวนหลังจากที่ไวน์ขวดที่สองหมดลง
“ไปไหนก็ได้พี่...ผมไปได้หมด” อ้นออกอาการกรึ่มๆ หน้าขาวๆแดงซ่าน
“อยากนั่งฟังเพลงเบาๆ” เต้เอ่ยปากเพราะเขาเองไม่ชอบที่ๆมันอึกทึกครึกโครมเท่าไหร่นัก

          รถทั้งสองคันขับตามกันไป ร้านที่ธีร์กับเต้ไปประจำ ส่วนอีกสองหนุ่มนั้นยังไม่เคยไปมาก่อน ระหว่างทางบนรถของเต้ อ้นนั่งทำหน้าที่อยู่หลังพวงมาลัย

“อ้น...เป็นยังไงบ้าง” เต้เอื้อมมือไปกุมมืออ้นที่จับอยู่บนกระปุกเกียร์ อ้นขยับมือเล็กน้อยแล้วหงายมือขึ้น สองมือประสานกัน อบอุ่นยิ่งนัก เสียงเพลงเบาๆจากเครื่องเสียงในรถทำให้บรรยากาศซาบซึ้งและกินใจ เต้มองเข้าไปในสายตาของอ้น เด็กหนุ่มสบตาแล้วรู้สึกอาย...
“อะไร...เป็นยังไง...” อ้นถามกลับ
“ก็อ้นน่ะรู้สึกยังไงบ้าง...พี่กลัวอ้นจะอาย...” เต้พูดออกมาแล้วก็หน้าแดงซะเอง
“ไม่หรอกครับ...จะอายไปทำไม...มันไม่ได้เสียหายตรงไหนนี่ครับ” อ้นยิ้มแล้วจับมือเต้ขึ้นมาจูบเบาๆ ก่อนจะเอามาแนบที่แก้มใสๆอุ่นๆ
“...พี่รักอ้นนะครับ...” เต้เอานิ้วมือจับเส้นผมที่หล่นมาปรกหน้าเด็กหนุ่มออก แล้วขยับเข้าไปหอมแก้มเด็กหนุ่ม อ้นอายจนหน้าแดงเรื่อ แสงไฟที่สาดเข้ามาในรถได้เพียงเล็กน้อยทำให้คนข้างนอกมองเข้ามาไม่เห็น
“ไม่อายคนเหรอพี่” อ้นถามแล้วหันมายิ้มให้เต้
“หึ...ไม่อาย...” เต้มีอาการตึงๆเล็กน้อยทำให้กล้ากว่าปกติ
“หน้าไม่อาย...หอมแก้มเค้า...” อ้นเอื้อมมือมาคว้าใบหน้าของเต้แล้วโน้มเข้ามาหา อ้นกดปากบางๆกับปากของเต้แล้วควานลิ้นเข้าไปในโพรงปากของชายหนุ่ม
“อืม...อ้นครับ...อย่าครับ...” เต้หลบหน้าลงต่ำ ทำให้ปากที่ดูดกันแน่นอยู่หลุดออกจากกัน
“ไหนเมื่อกี้บอกไม่อายไงล่ะพี่” อ้นเอาคืนบ้าง
“โห...เอาคืนพี่เหรอ...” เต้เอื้อมมือลงไปบีบเบาๆที่เป้ากางเกงของเด็กหนุ่ม
“อย่า...เดี๋ยวจุก...” อ้นขยับตัวหนี
“อย่าหนีสิ...แน่จริงอย่าหนี...” เต้พูดพลางบีบแน่นขึ้น สองหนุ่มต่างวัยเล่นหยอกล้อต่อกระซิกกันในรถจนรถที่จอดติดอยู่กระเพื่อมไปมา คืนนี้แม้รถจะติดอย่างวินาศสันตะโรแต่สองหนุ่มไม่อินังขังขอบกับสถานการณ์นั้นเลย...ยิ่งติดยิ่งดี เขาจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น

          คืนนั้นทั้งสี่คนฉลองวันเกิดของธีร์จนดึกดื่น เกือบตีสองแล้วถึงได้แยกย้ายกันกลับ เต้พาอ้นกลับไปนอนที่บ้าน ส่วนหนุ่ยกับธีร์นั้นได้ไปขับรถกันออกไป โดยที่ธีร์เป็นคนขับ เพราะดูแล้วหนุ่ยเมามากกว่า รถเก๋งบีเอ็มดับบลิวคันหรูขับออกมาจากร้านอย่างช้าๆ แล้วมาจอดลงที่คอนโดของธีร์แถวๆพระราม 3 ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ธีร์พาคนอื่นเข้ามานอนที่นี่ “คอนโดคอยรัก”แห่งนี้ ธีร์ซื้อไว้เพื่อจะคอย”ฝุ่น”คนรักที่เคยสัญญากันเอาไว้เมื่อตอนไปเรียนที่อเมริกา ว่าจะกลับมาอยู่ด้วยกันแต่จนแล้วจนรอด...”ฝุ่น”ก็ไม่ตามกลับมา

          ที่ลานจอดรถของคอนโดหรูตอนตีสองกว่าๆ เสียงเครื่องยนต์ที่ดับสนิททำให้บรรยากาศโดยรอบนั้นเงียบสงบ ลมจากแม่น้ำพัดแผ่วๆมา แสงไฟสนามจากแนวรั้วริมตลิ่งทำให้มองเห็นความเป็นระเบียบของสวนสวย รปภ.เดินตรวจตราไปมาอยู่รอบๆและสังเกตมองรถของธีร์ที่เข้ามาจอด คงแปลกใจที่ครั้งนี้ธีร์พาเด็กหนุ่มแปลกหน้าเข้ามาด้วย

“หนุ่ย...ไหวมั้ยครับ...” ธีร์เข้าไปพยุงร่างใหญ่ที่นอนอยู่เบาะหน้า แต่ตัวหนุ่ยใหญ่และหนักกว่าธีร์มาก ชายหนุ่มจึงพาลงจากรถไม่ไหว ได้แต่ปลุกเบาๆด้วยการเขย่าตัวไปมา สักพักหนุ่ยลืมตาขึ้นมา
“พี่ธีร์ครับ...ที่ไหน...” หนุ่ยอ้อแอ้ ธีร์ไม่เคยเห็นเด็กหนุ่มเมามาก่อน
“คอนโดพี่เองครับ...” ธีร์บอกที่ข้างหูระหว่างที่เอื้อมมือเข้าไปดึงเอวเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้นมาจากเบาะ

“อ้าว...ไม่กลับบ้านเหรอครับ...” หนุ่ยถามแล้วทำหน้าแปลกใจ

“พี่มีอะไรจะให้หนุ่ยน่ะครับ...” ธีร์พูดพลางพยุงหนุ่ยให้ลุกขึ้นยืน

“ให้อะไรพี่...ที่พี่ให้ผม...ผมก็ไม่รู้จะตอบแทนพี่ด้วยอะไรแล้ว...”หนุ่ยเซเล็กน้อย ธีร์เกือบล้มตามไปด้วย .....

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 51=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 05-10-2009 04:15:26
แหะ ๆ  พยายามจะแปะเพลงแต่ไม่สำเร็จค่ะ   ขอโทษค่ะ

/วิ่งออกไปจากกระทู้อย่างรวดเร็ว   :o12:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 51=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 05-10-2009 07:01:18
ธีย์จาให้ไรอะ

ลุ้นๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 51=
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 05-10-2009 08:03:23
รอตอนนี้มานานแสนนาน  :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 51=
เริ่มหัวข้อโดย: wichit14 ที่ 05-10-2009 11:39:21
นึกไปตอนก่อนโน้น ที่หนุ่ยเคยพูดเล่นว่า อยากได้คอนโดของพี่ธีร์ อย่าให้เป็นดังที่คิดน่ะ ว่าพี่ธีร์จะยกคอนโดให้ โอ้แม่เจ้า..ไม่จริงใช่ไหม.. อิอิ สนุกมากครับ จะรออ่านตอนต่อไป ขอบคุณมากครับ ที่นำนิยายดี ๆ มาให้อ่าน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 51=
เริ่มหัวข้อโดย: WEERACHOT ที่ 05-10-2009 11:40:13
 o13 เป็นกำลังใจห้คนโพสคนแต่ง...


เขินอ่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 51=
เริ่มหัวข้อโดย: yamanaiame ที่ 05-10-2009 12:53:00
มารออ่านต่อนะคร๊าฟ
 :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2: :bye2:

โดโด้ ครัฟ
LAO FANCLUB
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 51=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 05-10-2009 14:37:18
อยากรู้ว่าธีร์จะให้อะไรหนุ่ย

มาเร็วๆนะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 51=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 05-10-2009 14:54:29
มารอลุ้นของที่พีธีร์จะให้หนุ่ย

 :z2:   :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 51=
เริ่มหัวข้อโดย: Papoonn ที่ 05-10-2009 17:35:54
เต้  &   อ้น  ทำไรกัน     !
รถติดน่ะนั้น   ฮ่า ๆ

ธีร์ยอมกลับมาคอนโดคอยรักแล้วหรอ  ?
ไม่คอยฝุ่นแล้วใช่ไหม     ฮ่า ๆ
เจอหนุ่ยแล้วล่ะสิ   

รีบ ๆ มาอัพเน้อ 
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 51=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 05-10-2009 21:01:50
ธีร์จะมีอะไรให้หนุ่ยกันเอ่ย
แล้วหนุ่ยเมาขนาดนี้ จะรู้เรื่องมั้ยล่ะ
เต้กับอ้น ตกลงปลงใจกันแน่นอนแล้วใช่มิ
รอตอนต่อนะคะ
บวก 1 แต้ม ขอบคุณมากค่ะ

ปล องค์หญิงฯจะลงเพลงอะไร pm มาก็ได้นะคะ เดี๋ยวจัดให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 51=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 06-10-2009 04:41:59
ขอบคุณคุณน้ำตาลค่ะ  แต่ไม่เป็นไรแระ  มันจะไม่เข้ากับตอนต่อไปอย่างแรง   อิอิ
ขอบคุณทุกกำลังใจค่ะ    :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 51=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 06-10-2009 04:43:47
ทำยังไงถึงจะบวกได้อะคะ   สงสัยมานาน  อยากแจกให้ผู้อ่านทุก ๆ คนเลย    :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 51=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 06-10-2009 04:50:16
^
^
เรื่องเพลง ถ้างงๆ จะลงเพลงต่อไป ก็ถามได้นะคะ

ส่วนเรื่องบวก จะแจกได้ต้องมีรีพลายครบ 250 ก่อนจ้่า
ปุ่มกดบวกถึงจะแสดงนะจ๊ะ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 51=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 06-10-2009 05:08:29
52 แสงจันทร์

          ทั้งสองพี่น้องประคองกันแล้วเดินเซไปเซมาจนถึงลิฟต์ ธีร์กดขึ้นไปที่ชั้นเก้า เมื่อมาหยุดยืนที่หน้าห้อง 913 แล้ว ธีร์ควานหากุญแจในเป้ที่สะพายอยู่ ชายหนุ่มไขกุญแจเข้าห้องแล้วเปิดไฟ แสงไฟจากเพดานสว่างขึ้น ธีร์หรี่ไฟให้สลัวลงเมื่อเห็นหนุ่ยหยีตา มันเลยทำให้บรรยากาศโดยรอบเป็นใจเข้าไปอีก ธีร์เดินไปเปิดประตูกระจกแล้วเดินออกไปริมระเบียงที่มีอาณาเขตกว้างขวางกว่า ห้องพักธรรมดาๆ เขาชอบที่จะมานั่งจิบไวน์แล้วชมแสงจันทร์ในยามที่เหงาและคิดถึงคน”คนนั้น”

“เอาน้ำชาร้อนๆสักถ้วยมั้ยครับ...” ธีร์ถามเมื่อเห็นหนุ่ยเดินตามออกมา
“ขอไวน์สักแก้วได้มั้ยพี่...” หนุ่ยทำสายตาออดอ้อน
“จะดื่มอีกเหรอ...” ธีร์ถามเมื่อเห็นว่าหนุ่ยยังมีอาการเมาอยู่
“นะครับ...ขออีกแก้วนึงนะ...” หนุ่ยอ้อนธีร์อีกครั้งด้วยการเดินเข้ามากอดเอวของชายหนุ่มเอาไว้ หนุ่ยดึงเอวบางๆของธีร์เบาๆ ธีร์ก็แทบจะปลิวเข้ามาประชิดติดตัว หน้าขาสัมผัสกับเบาๆมีเพียงผืนผ้าเท่านั้นที่กั้นอยู่ ธีร์เบี่ยงตัวออกมาก่อนที่อะไรจะเกินเลย
“อ่ะ...เดี๋ยวพี่ไปเอาให้...คอยแป๊บนึงนะ...” ธีร์เดินไปเปิดตู้เย็น ไวน์ขวดเก่าที่กินค้างไว้ไม่มีเหลือแล้ว ธีร์ตัดสินใจเปิดไวน์ขวดใหม่ที่ได้มาหลายปีแล้ว ใจก็เสียดายอยู่เหมือนกัน เขาอยากจะเปิดในวันที่”พิเศษ”จริงๆ แต่วันนี้ก็เป็น”วันพิเศษ”นี่นา ธีร์รินไวน์ใส่แก้วสองใบแล้วเอาออกไปให้เด็กหนุ่มที่ยืนหันหลังเหม่อมองออกไปข้างนอก สายลมพัดมาทำให้ธีร์ขนลุกซู่ กลางดึกมันหนาวขนาดนี้เลยเหรอ แสงจันทร์ยามค่ำคืนส่องสว่างไปทั่วคุ้งแม่น้ำที่คดเคี้ยวข้างหน้า

“นี่ครับน้อง” ธีร์ยืนแก้วไวน์ให้หนุ่ย แต่หนุ่ยรับแล้วเอาไปวางไว้ไม่สนใจ เด็กหนุ่มล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบกล่องกำมะหยี่สีเขียวเข้มขึ้นมาถือไว้ในมือ
“ผมมีอะไรจะให้พี่ด้วยนะครับ...” หนุ่ยเปิดกล่องกำมะหยี่นั้นออก ธีร์มองเห็นแหวนวงหนึ่งอยู่ในนั้น แหวนทองคำขาว เกลี้ยงๆ ไม่มีลวดลายใดๆ
“เอามือมาสิครับพี่..ดูสิว่าใส่ได้มั้ย” หนุ่ยจับมือธีร์ขึ้นมาแล้วบรรจงสวมแหวนนั้นเข้าไปที่นิ้วนาง
“จะหมั้นพี่หรือไงครับ...” ธีร์พูดเบาด้วยความเขิน หน้าบางใสของชายหนุ่มแดงซ่าน...ธีร์ไม่เคยถูกสวมแหวนมาก่อน...ชายหนุ่มไม่นิยมเครื่องประดับใดๆ
“พอดีเลยครับ...ผมไม่ได้หมั้นพี่หรอก...ผมเห็นว่ามันสวยดี...น่าจะเหมาะกับพี่ธีร์ผมเลยซื้อมาให้” หนุ่ยพูดจบแล้วมองเข้าไปในดวงตา สองสายตาสบกันเนิ่นนาน ไม่มีคำพูดใดๆออกมาจากปาก ลมพัดหวีดหวิวเข้ามาธีร์หนาวจนขนลุกซู่

“ขอบคุณพี่ธีร์มากๆนะครับ...ขอบคุณในทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่มีให้ผม...ชาตินี้ ทั้งชาติผมไม่รู้จะตอบแทนความรักและหวังดีที่พี่มีให้ผมได้ยังไง...แค่แหวนวงเดียวที่ผมให้พี่...มันมีค่าน้อยมากๆ...ไม่เท่ากระผีกหนึ่งที่พี่มีให้ผมเลยครับ...” หนุ่ยดึงธีร์เข้ามากอด ความอบอุ่น รสสัมผัสแห่งการกอดที่มันห่างหายมานานนั้นทำให้ธีร์รู้สึกตื้นตันจนพูดไม่ ออก ชายหนุ่มสะอื้นไห้ออกมา น้ำตาแห่งความเต็มตื้น น้ำตาแห่งความสุขมันไหลมาท่วมท้น

          เวลาผ่านไปเนิ่นนานแค่ไหนไม่รู้ สองหนุ่มต่างวัยยืนกอดกันนิ่งอยู่ที่ริมระเบียง แสงจันทร์สาดส่องมาที่ใบหน้าคมเข้มของหนุ่ย สันจมูกที่โด่งและคม แววตาที่อ่อนโยนนั้นมองออกไปยังแม่น้ำสีดำสนิทเบื้องหน้า ลมที่พัดแรงมองเห็นผิวน้ำเป็นลอนคลื่นสะท้อนแสงจันทร์อยู่ระยิบระยับ ราวเกล็ดเพชรที่ถูกโปรยไว้ ธีร์ตัวสั่นเล็กน้อยจากลมที่พัดแรงขึ้นเรื่อยๆ

“หนาวเหรอครับพี่...” หนุ่ยถามธีร์เบาๆใกล้ใบหู
“.............” ไม่มีเสียงตอบจากธีร์
“พี่ธีร์...เป็นอะไรรึเปล่าครับ...” หนุ่ยคลายกอดจากชายหนุ่ม แล้วก้มลงมองใบหน้าขาวๆหล่อๆนั้นเต็มสองตา
“...............” ธีร์น้ำตาไหลออกมาอาบสองแก้ม ก่อนที่จะหลุดคำๆนี้ออกมา ธีร์มีความรู้สึกแบบนี้มานานแล้ว...นานมาก...นานจนชายหนุ่มแทบจะทนไม่ไหว ถ้าไม่พูดออกมาในวันนี้...ธีร์จะต้องรู้สึกแย่แน่ๆ...อีกอย่าง...โอกาสและ เวลาที่พอเหมาะพอดีอย่างวันนี้...อาจจะไม่มีอีกเลยก็ได้.....ดังนั้น”ธีร์”จึงรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี”ในหัวใจ”เปล่งเสียงนั้นออกมาด้วยความยาก...ยากที่สุดในชีวิต...


“...หนุ่ย...พี่รักหนุ่ย...” ธีร์พูดพร้อมกับสบตาหนุ่ย ก่อนที่ชายหนุ่มจะสะอื้นจนตัวโยน เขารู้สึกโล่งอก...อาการที่หนักอก...ความอึดอัดที่ถูกเก็บไว้ ความอัดอั้นตันใจที่มีมานานแสนนาน...ได้ปลดปล่อยออกไปแล้ว ไม่ว่าผลของมันจะออกมาอย่างไร...ธีร์ยอมรับมันได้

“พี่ธีร์ครับ...ผมก็รักพี่นะครับ...” หนุ่ยพูดจบแล้วก็ยิ้ม ยิ้มที่มันออกมาจากหัวใจ แม้จะมีฤทธิ์ของอัลกอฮอล์อยู่ก็ตาม แต่มันไม่ได้มีผลกับความรู้สึกที่เขามีต่อพี่ชายคนนี้ได้เลย

          ธีร์ประคองใบหน้าคมสันนั้นไว้ในอุ้งมือเย็นๆ แล้วเลื่อนเข้ามา ธีร์ประกบปากพร้อมกับสอดลิ้นเข้าไปควานหาความหวานหอมในโพรงปากอ่อนนุ่มของเด็กหนุ่ม ความอ่อนเชิงในเรื่องของการจูบทำให้หนุ่ยสะท้านเยือกไปกับรสจูบอันร้อนเร่าของธีร์ เขาไม่เคยผ่านเรื่องอย่างนี้มาก่อน ตอนนี้หนุ่ยตัวสั่นขึ้นมาราวกับถูกเจ้าเข้า เด็กหนุ่มขนลุกซู่มันวาบหวิวไปทั่วสรรพางค์กาย

“หนุ่ย...พี่ขอบคุณนะครับ...พี่รักหนุ่ยนะ” ธีร์กดขยี้ริมฝีปากแดงๆนั้นเข้ากับริมฝีปากของเด็กหนุ่มอีกครั้ง
“อือ...พี่ครับ...ผมรักพี่ครับ...” คำรักถูกพูดผ่านลมหายใจอุ่นซ่านนั้น...ครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งสองยืนมอบความรักให้แก่กันและกันท่ามกลางแสงจันทร์ในคืนนั้น “จูบเย้ยจันทร์”หนุ่ยกระซิบที่ซอกหูของธีร์ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ

“พี่หนาวจัง...เข้าไปข้างในห้องเถอะ...” ธีร์ดึงมือหนุ่ยแล้วพากันเข้าไปด้านใน
“เดี๋ยวครับ...” หนุ่ยปล่อยมือจากธีร์แล้วเอื้อมมือไปหยิบแก้วไวน์มาทั้งสองแก้ว
“ผมยังไม่ได้แฮบปี้เบิร์ธเดย์ให้พี่เลยนะ” หนุ่ยยกแก้วขึ้นชนกับธีร์
“ขอบคุณมากครับ... ”ธีร์ยิ้ม...ความสุขหลั่งล้น มันเอิบอาบซ่าบซ่านไปทั่วร่างกาย...นี่หรือ”รัก”ที่ห่างหายไปนาน...เขาโหยหามันมานานแล้ว...แล้วคืนนี้เขาก็สมหวัง...กับการรอคอย

          ผ้าม่านที่เปิดกว้างทำให้แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาลูบไล้ร่างกายแกร่งของหนุ่ย เสื้อผ้าอาภรณ์ที่เด็กหนุ่มใส่ถูกธีร์ถอดออก เผยให้เห็นกล้ามท้องและท่อนขาที่แกร่งสวยงาม ธีร์ก็ไม่ต่างกันร่างเปลือยขาวโพลน อ้อนแอ้นและบอบบางๆถูกอาบไล้ด้วยแสงจันทร์ ทั้งสองประกบปากจูบกันอย่างเร่าร้อนอีกครั้ง ความหวานของเหล้าองุ่นในปาก...ต่างถูกลิ้นร้อนร้ายที่ทั้งสอง...สอดกระหวัด เข้ามาดูดกลืนเอาไปจนหมดสิ้น ไฟรักที่เกิดขึ้นคุโชนจนไม่อาจหยุดยั้งลงได้ ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของท่อนรักแห่งเด็กหนุ่มถูกครอบลงด้วยกลีบปากที่นุ่มนวล เสียงครางกระเส่าบ่งบอกถึงความสุขเสียวในรสสัมผัสที่เด็กหนุ่มอย่างหนุ่ยไม่เคยพานพบมาก่อน  เอวคอดและก้นกอยที่กลมแน่นด้วยมัด กล้ามของเด็กหนุ่ม แอ่นกระตุกเข้ากระแทกกระทั้นกลีบปากแดงเรื่อของชายหนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่า จวบจนเกือบสุดทางแห่งความสุข เด็กหนุ่มนอนหงายลงกับที่นอนหนานุ่ม ชูช่ออวดแก่นกาย มันไม่ผิดกับที่เพื่อนๆพูดกันวันนั้นเลย หนทางแห่งกามาและความอึดอัดคับแน่นแห่งสรวงสวรรค์ที่ธีร์บรรจงมอบให้...มัน ท่วมท้นล้นสุข ทั้งรุนแรง ทั้งซ่านเสียว แต่บางคราวก็นุ่มนวลและอบอวลด้วยความรักเฉกเช่นแสงจันทราที่อาบไล้ร่าง เปลือยทั้งสอง เด็กหนุ่มสลับร่างลงมาควบคุมเกมแห่งรักที่ช่วยกันสร้างขึ้น ท่อนขาที่ขาวสล้างของชายหนุ่ม...มันชี้ชันขึ้นทำให้คู่รักได้ดำเนินรัก ได้อย่างสะดวกขึ้น   ครั้งแรกของเด็กหนุ่มไม่ติดขัด ไม่รวบรัดจนเร็วเกินงาม แต่เด็กหนุ่มมีจังหวะรักที่พรักพร้อม ราวกับว่าได้ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ดีจนทำให้ธีร์ซึ่งห่างเหินมานานถึงกับชิงไปสวรรค์ก่อนเวลาอันควร กาลเวลาผ่านพ้นไปแสงแห่งนวลจันทร์ที่เข้มขึ้นเรื่อยๆ สายลมแห่งความสุขพัดมารุนแรงเป็นทบทวี สุดท้ายของหนทางแห่งกามารมณ์ เด็กหนุ่มกระตุกเอวลงถี่ยิบก่อนที่...ธาราสวรรค์จะระเบิดออกมา มันท่วมท้นล้นสุข พละกำลังแห่งธารรักอันมหาศาลของเด็กหนุ่มถูกเติมเต็มให้กับซอกหลืบแห่งหัวใจชายหนุ่ม...เพื่อชดเชยให้กับความแล้งรัก ให้กับความเหงาและโหยหา หรือราวกับว่าจากนี้ต่อไป...หนุ่ยเป็นผู้เข้ามาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปในชีวิตของธีร์...พระเจ้าเท่านั้นที่จะบอกได้ว่า...ชีวิตที่สมบูรณ์และเพียบ พร้อมกำลังจะเริ่มต้นหรือจบลง  ...



หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 51=
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 06-10-2009 05:09:06
 :z3: :z3: :z3:
ลุ้นมากมาย พี่ธีร์จะให้อะไรหนุ่ยน๊า แต่ว่า เต้ กับ อ้น นี่ไปไกลละ 555+
แล้วจะรออ่านต่อนะคุณเจ้าหญิงขยันลงมาก +1 จัดไปเลยวันนี้อารมณ์ดี
นิว(มีความสุข)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 51=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 06-10-2009 05:22:46
^
^
 :z13: ที่รักยังไม่นอนเหมือนกันเหรอจ๊ะ

ในที่สุด สองใจสองกายก็รวมเป็นหนึ่งเดียว
พี่ธีร์กับหนุ่ยใจตรงกัน เข้าใจกัน เป็นของขวัญวันเกิดของธีร์ที่ดีที่สุดสินะ
แต่ว่ามันจะมีอะไรติดขัดหรือไม่ คนแต่งทิ้งท้ายไว้น่าหวั่นใจมาก
>> พระเจ้าเท่านั้นที่จะบอกได้ว่า...ชีวิตที่สมบูรณ์และเพียบพร้อมกำลังจะเริ่มต้นหรือจบลง
โอววว ไม่นะ เพิ่งเริ่มต้นก็จะจบลงแล้วหรือ
ไปตปท.ครั้งนี้ น่าจะเป็นการฮันนิมูนที่แสนหวานสิ หรือว่าฝุ่นจะกลับมา
ขอบคุณมากนะคะ เพิ่งบวกแ้ต้มไป ยังบวกเพิ่มไม่ได้จ้า  :L2:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 52=
เริ่มหัวข้อโดย: viky_mama ที่ 06-10-2009 06:00:26
กรี๊ด เริ่ด นี่แหละฉากที่รอคอย บรรยายภาษาออกมาได้สวยมากค่ะ

อิ่มอกอิ่มใจ ปลาบปลื้มอย่างบอกไม่ถูก
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 52=
เริ่มหัวข้อโดย: ChiOln ที่ 06-10-2009 10:02:30
อ้ากกกก  :haun4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 52=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 06-10-2009 10:55:51
โชกเลือด

ขอกรุ๊บโอด่วน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 52=
เริ่มหัวข้อโดย: paulla ที่ 06-10-2009 12:48:24
ในที่สุด ... ในที่สุด ก้อ NC อิอิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 52=
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 06-10-2009 13:06:14
อ่านตอนนี้แล้วอิ่มสุขจริงๆครับ nc แบบอบอุ่น ไม่หื่นกระหาย  :z1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 52=
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 06-10-2009 13:12:04
+เป็นกำลังใจให้ครับ+
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 52=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 06-10-2009 14:17:40
เขียนฉากNC ระหว่างพี่ธีร์กับหนุ่ยได้น่ารักมากๆ

พี่น้องท้องชนกันไปแล้ว  :haun4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 52=
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 06-10-2009 17:09:47
และแล้วก็ตกเป็นของกันและกัน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 52=
เริ่มหัวข้อโดย: «ƤȑǃǹĉΞḠ○ḺҒ™» ที่ 06-10-2009 22:10:27
เรื่องนี้ สุดยอด เลยยยยยยย       



ขอ NC หื่นๆ อีกกก    :laugh:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 52=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 07-10-2009 04:56:12
สุดท้ายก้อลงเอยกันสักที





 :z2:    :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 52=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 08-10-2009 00:58:47
 :z2:   :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 52=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 08-10-2009 04:22:55
53 ไวน์ขาวของหนุ่ย

          ธีร์กับหนุ่ยนั่งคู่กันบนที่นั่งรอยัล ซิลค์ คลาส ของเครื่อง Boing  777-200 ER  Flight TG981 ของสายการบินแห่งชาติ กำลังวิ่งช้าเข้าสู่รันเวย์ เสียงเครื่องยนต์ครางกระหึ่ม แล้วค่อยๆเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ ก่อนทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ายามราตรี หนุ่ยรู้สึกวูบขึ้นๆลงๆที่ช่วงท้องราวกับจะหล่นจากที่สูง เครื่องบินร่อนไปทางซ้ายทีขวาทีทำให้มองเห็นพื้นแผ่นดินและผืนน้ำ เครื่องบินทะยานไปข้างหน้าทิ้งกรุงเทพมหานครยามราตรีไว้เบื้องหลัง หนุ่ยมองออกไปนอกหน้าต่าง มันช่างสวยงามจริงๆ เมฆหมอกบางเบากับสายลมที่สงบนิ่งถูกเครื่องบินขนาดยักษ์บินฝ่าเข้าไป ความกดอากาศทำให้หูของเด็กหนุ่มอื้ออย่างมาก เสียงวิ้งๆๆในช่องหูบ่งบอกว่าความสูงที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หนุ่ยกลัวว่ามันจะทำให้หูแตกได้

“เป็นยังไง...ปวดหูเหรอหนุ่ย” ธีร์สะกิดถาม เมื่อเห็นสีหน้าของหนุ่ย
“ครับ...” หนุ่ยยอมรับ พลางทำท่ากลืนน้ำลาย เขากลืนน้ำลายหมดไปหลายอึกแล้ว...จนรู้สึกว่าปากแห้งไปหมด
“เคลียร์หูสิหนุ่ย...” ธีร์บอกวิธีที่กำลังทำและเคยทำประจำ มันช่วยได้มากยามที่ปวดแก้วหูอย่างนี้
“ทำไงอ่ะพี่” หนุ่ยฉงน
“บีบจมูกให้แน่นแล้วหายใจออก...พยายามให้ลมมันออกมาทางหู” ธีร์บอกแล้วก้มหน้าลงแล้วทำให้ดู ชั่วเวลาไม่นานธีร์กลับมานั่งยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เอ้า...เอาเลย” หนุ่ยทำตามอย่างว่าง่าย สักพักเดียว...อาการเหล่านั้นก็หายเป็นปลิดทิ้ง
“หายจริงๆด้วย...พี่ธีร์ครับทำบ่อยๆมันไม่เป็นอันตรายต่อหูเหรอพี่...” หนุ่ยช่างถาม
“ไม่รู้เหมือนกันนะ...แต่ที่ทำก็เฉพาะตอนที่นั่งเครื่องเท่านั้นนะ...ไม่ได้ทำบ่อยๆ...ไม่น่าจะเป็นอะไรมั้ง” ธีร์พูด
“สวยจังเลยนะพี่” หนุ่ยชี้ชวนมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง
“อืม...” ธีร์ยิ้มพอใจ

          สักพักระดับการบินเริ่มคงที่ พนักงานลุกเดินไปมาเพื่อให้บริการ หนุ่ยเลิกสนใจบรรยากาศภายนอกแล้วหันมาหาหน้าจอข้างหน้า หนุ่ยกดหาช่องสัญญาณเปลี่ยนช่องรับภาพไปเรื่อยๆ มีปุ่มสำหรับเปลี่ยนโหมดเล่นเกมส์

“ไม่ง่วงเหรอครับ” ธีร์ขยับมือมาจับมือหนุ่ยไว้
“ง่วงเหมือนกันแหละพี่...แต่เดี๋ยวค่อยนอน...พี่ธีร์ง่วงก็นอนไปก่อนเถอะ...” หนุ่ยสนใจหน้าจอ
“อืม...หิวมั้ย...” ธีร์ถามอีกครั้ง
“ไม่ครับ...พี่ล่ะหิวรึเปล่า” หนุ่ยถามกลับ
“อืม...ไม่ครับพี่จะนอนละ...” ธีร์ยิ้มแล้วปิดเปลือกตาลง

          เกือบเที่ยงการเดินทางอันยาวไกลที่สุดในชีวิตของหนุ่ยสิ้นสุดลง ทั้งสองผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองมาถึงด้านนอก ธีร์เข้าไปติดต่อกับบริษัทรถเช่าที่คอนแทคไว้แล้ว สักพักเดียวทั้งสองได้รถยนต์ออกมาขับเพื่อตระเวนหาที่พักที่ติดต่อจองไว้ แล้วเช่นกัน เข้าถึงที่พักเรียบร้อยทั้งสองรู้สึกพอใจมากกับสภาพของที่พัก เพราะเป็นมอเตอร์อินธรรมดาๆ ราคาไม่แพง ที่อยากจะพักแบบนี้เป็นเพราะว่าหนุ่ยต้องการความประหยัด สะดวกสบายกับการจอดรถและอีกอย่างมอเตอร์อินส่วนมากมักจะอยู่นอกเมือง การเดินทางออกไปเที่ยวก็สะดวกมากกว่า ไม่ต้องฝ่าการจราจรในเมืองลดขั้นตอนยุ่งยากในการเดินทางได้เยอะ

“พี่ธีร์ผมอาบก่อนนะ...” หนุ่ยบอกธีร์
“เอาสิ...พี่จะนอนต่อ...” ธีร์ล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มหนา
“พี่ธีร์...ทำไมไม่รื้อของออกมาล่ะ...เมื่อคืนก็นอนทั้งคืนนะ” หนุ่ยเข้ามากอดรัดและปลุกธีร์ด้วยการเขย่าตัว
“อือ...” ธีร์ตาปิดสนิท ร้องอือออ
“เร็วสิ...ผมหิวแล้วนะ...อาบน้ำแล้วจะได้ไปหาอะไรกินก่อน” หนุ่ยจับใบหน้าหล่อๆขาวๆนั้นไว้แล้วพลิกกลับไปกลับมา
“....................”
“ไม่ตื่นใช่มั้ย...” หนุ่ยจับแขนสองข้างของธีร์ขึงไว้แล้วกดจมูกลงซุกไซร้ที่ซอกคอ ทำเอาชายหนุ่มครางออกมา
“เดี๋ยวเป็นเรื่อง...หนุ่ยอย่า...แกล้ง...พี่” ธีร์ร้องโวยวายแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำ หนุ่ยวิ่งตามเข้าไปด้วย

          กลกามแห่งกามารมณ์ได้ผุดพรายไปตามวิถีของมัน คู่รักใหม่ที่เหมือนกับมาฮันนีมูน ได้ลงหลักปักฐานการครองเรือนที่ดินแดนแห่งนี้เป็นครั้งแรกและแน่นอนว่าครั้ง ต่อๆไป...คงไม่ยากที่จะเกิดขึ้น

          ก่อนออกจากที่พักเพื่อไปหาอะไรทาน หนุ่ยเอาแผนที่และคู่มือนักท่องเที่ยวออกมาดูอย่างละเอียดแล้วเริ่มวางแผน ว่าจะไปไหนวันไหน และที่ไหนบ้างที่มีร้านอาหาร

“พี่ว่าเราออกไปหาอะไรกินก่อนเถอะแล้วแวะซื้อของเข้ามาทานในมื้อเย็น...หิวแล้ว ...เรื่องวางแผนเที่ยวคืนนี้เราค่อยมาดูรายละเอียดอีกครั้งก็ได้” ธีร์บอกเมื่อเห็นว่าถ้าจะมานั่งวางแผนก่อน...คงจะอดกินกันพอดี
“เราไม่ต้องรีบร้อนหรอกเพราะว่ายังมีเวลาอีกหลายวัน...” ธีร์พูดอีกครั้ง
“หาอะไรกินดี...เอาง่ายๆนะพี่” หนุ่ยหันมาบอกธีร์ซึ่งกำลังถอยรถออกจากที่จอด
“ครับคุณหนู...” ธีร์ยิ้มร่าเริง
“ไม่หนูแล้วนะ...ไม่เชื่อดูสิ...” หนุ่ยจับเป้ากางเกงที่ขึ้นเป็นลำตุง
“ทะลึ่ง...เด็กบ้าอะไรไม่รู้...ทั้งใหญ่ทั้งยาว” ธีร์หัวเราะ
“ทั้งขาวทั้งสวย” หนุ่ยต่อให้จนจบด้วยความคะนองปาก
“เจ็บจะแย่...” ธีร์พูดพลางทำเป็นเบือนหน้าหนี
“อ้าว...เห็นพี่ร้องแบบนั้นผมก็คิดว่ามีความสุข” หนุ่ยก็ร่าเริงไม่แพ้กัน
“เด็กบ้านี่...” ธีร์ยิ้มเขิน หน้าแดงแป๊ด
“เดี๋ยวซื้อไวน์เข้ามากินสักขวดนะพี่...” หนุ่ยบอก
“ได้ครับ...ไวน์ที่นี่รสชาติดีและไม่แพงด้วยนะ” ธีร์บอก
“มันมีไร่ไวน์ที่เค้าเปิดให้เข้าไปชิมไวน์ด้วยนะ...ผมดูในหนังสือนำเที่ยว” หนุ่ยอ่านมาแล้วคร่าวๆ
“อยากไป...อยากไป...” ธีร์ร้องเหมือนเด็ก
“ผมมีไวน์ขาว...อยู่ขวดนึง...พี่ยังไม่ได้ลองชิมเลยนะ...” หนุ่ยพูดแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ไวน์ขาว...อะไร...” ธีร์งง
“เห็นพี่เลียแต่ขวดอย่างเดียว...ยังไม่ได้กินน้ำไวน์เลยนี่” หนุ่ยคลำเป้ากางเกง...เด็กหนุ่มเริ่มทะลึ่งขึ้นเรื่อยๆทำเอาธีร์วาบหวิวใจไปหมด เขาอยากชิมไวน์ที่ว่าขึ้นมาติดหมัด
“เดี๋ยวโดนแน่...” ธีร์เลี้ยวเข้าสู่ร้านอาหาร
............


          หลังอาหารมื้อนั้นสองหนุ่มได้ไปเดินซื้ออาหารและเครื่องดื่มสำหรับมื้อต่อๆไปที่ ซุปเปอร์มาเก็ตใกล้ๆที่พักมาเก็บเอาไว้ คืนนั้นในห้องพักหนุ่ยเอาแผนที่และข้อมูลการเดินทางออกมาดูอีกครั้งและช่วยกันวางแผนการเที่ยว ตกลงกันว่าจะเข้าไปเที่ยวในเมืองก่อน

“พี่ธีร์ผมว่าเราเข้าไปเที่ยวสวนสาธารณะกลางเมืองก่อนดีมั้ย...อยากไปโบทานิคการ์เด้นน่ะครับ” หนุ่ยบอก
“ถ้างั้นไปฟิซท์รอยส์การ์เด้นด้วยเลยนะ...แถวนี้ก็จะมีวิคทอเรียน อาร์ต เซนเตอร์...” ธีร์ชี้ๆๆรูปในหนังสือนำเที่ยวให้หนุ่ยดู
“ตกลงว่าเป็นซิตี้ทัวร์เลยนะ...” หนุ่ยว่า

          ค่ำคืนนั้นทั้งสองทานสลัดผักเล็กน้อยแล้วก็เข้านอน เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนให้เต็มที่ วันนั้นก่อนจะนอนธีร์ได้ชิมรสชาติไวน์ขาว...ของเด็กหนุ่ม...มันหวาน มัน หอมหวน...และเต็มปากเต็มคำ

“รสชาติเป็นยังไงพี่...อร่อยมั้ย” หนุ่ยก้มลงมาถาม
“เด็กบ้า...เยอะแยะมากมาย...” ธีร์ทำหน้าผะอืดผะอม
“อะไรเยอะแยะ...” หนุ่ยดึงธีร์ขึ้นมากอดเอาไว้ในอ้อมอกอันอบอุ่น

“ก็ไอ้ไวน์ขาวของหนุ่ยนั่นแหละ...ทำเอาพี่เกือบสำลักแน่ะ”  ธีร์ยิ้มให้แล้วจุมพิตเบาๆที่ริมฝีปากของเด็กหนุ่ม  ....

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 53=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 08-10-2009 04:25:45
ขอโทษค่ะ เมื่อวานเปิดหน้าเวบไม่ขึ้นเลย   กะจะสูบเลือดผู้อ่านสองวันติดซะหน่อย  อิอิ 
ขอบคุณค่ะ   :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 53=
เริ่มหัวข้อโดย: viky_mama ที่ 08-10-2009 04:38:44
อิอิ กินไวน์ขาว เมามายไปตามๆ กัน สุราเมระยะนะค้าาาา
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 53=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 08-10-2009 04:39:05
หนุ่ยชักจะเอาใหญ่แล้ว
ตอนนี้ต่อปากต่อคำแบบพี่ธีร์สู้ไม่ได้เลยนะนั่น
แบบนี้น่าจะเรียกว่ามาฮันนีมูนกันเลยนิ
ตอนต่อไปจะยังคงหวานชื่นอยู่หรือเปล่านะ
บวก 1 แต้มนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 53=
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 08-10-2009 04:53:03
หนุ่ยทะลึ่งได้น่ารักดีจัง  :haun4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 53=
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 08-10-2009 06:54:42
 :z1: :z1:น้องหนุ่ยนี่เห็นหงิมๆอย่างนี้
แต่หื่นทะลึ่งไม่ใช่เล่นๆเหมือนกัน
สงสัยงานนี้พี่ธีร์ต้องเจ็บตัวทุกวันแน่ๆเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 53=
เริ่มหัวข้อโดย: ChiOln ที่ 08-10-2009 09:49:38
 :m25:

หนุ่ยทะลึ่ง คิคิ อ้ากกก น่ารักจริงคู่นี้
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 53=
เริ่มหัวข้อโดย: kikipanda ที่ 08-10-2009 10:37:05
น้องหนุ่ยทะลึ่งงงงงงงงงงง  :-[

โอยยยมันติดตา เห็นขวดไวน์ขาวทีไรก็นึกถึง...ไวน์ขาวของน้องหนุ่ยทุกที  :z1:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 53=
เริ่มหัวข้อโดย: wichit14 ที่ 08-10-2009 10:43:45
เกิดมายังไม่เคยชิมไวน์ขาว จากขวดนี้สักทีเหมือนกัน ท่านผู้รู้ทั้งหลายรสชาติเป็นงัยเหรอ มันจะหวาน ๆ คาว ๆ ไหม
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 53=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 08-10-2009 10:57:59
 :m25:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 53=
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 08-10-2009 11:46:11
สุขสม ชู้ชื่นกันสุดๆ พี่น้องคู่นี้
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 53=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 08-10-2009 15:57:46
ช่วงนี้ หนุ่ย จะ :z1:   :haun4:  ม กเลย

ทำ :oo1: กับพี่ธีร์ บ่อยจังนะ

 :z2:   :z2:   :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 53=
เริ่มหัวข้อโดย: Xfish ที่ 08-10-2009 18:19:09
นิยายเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  ไก่วัด มักไม่รอดจากปากสมภาร หรอก ฮ่าๆๆๆๆๆ :mc4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 53=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 09-10-2009 03:10:14
54 Queen Victoria Market

          ยามเช้าอากาศสดใส แสงแดดสาดส่องไปทั่วบริเวณสวนสวยโดยรอบที่พัก เด็กหนุ่มบิดขี้เกียจอยู่บนเตียงหนานุ่ม ภายใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ที่ตอนนี้ไร้คนข้างกาย หนุ่ยคลำไปข้างๆตัวไม่พบแม้ร่องรอยของธีร์ หนุ่ยลืมตาขึ้นมาสู้แสงของวันใหม่ เด็กหนุ่มขยี้ตาแล้วมองออกไปที่สวนดอกไม้ ชายหนุ่มยืนกอดอกอยู่บนระเบียงมองออกไปข้างนอก หนุ่ยคว้าเสื้อไหมพรมมาสวม แล้วค่อยๆย่องออกไปที่ระเบียง

“ยืนคิดถึงใครอยู่ครับพี่” หนุ่ยกอดเอวของธีร์ไว้แล้วซุกคางลงที่ต้นคอขาวเนียนนั้น
“ตื่นแล้วเหรอ...” ธีร์หันหน้ามามองเล็กน้อย
“ตื่นแล้วครับ...ตื่นนานแล้ว...ดูสิ” หนุ่ยบดเบียดหน้าขาเข้ากับร่องก้นของธีร์ ผ้าฝ้ายบางๆของบ๊อกเซอร์ที่สวมอยู่ไม่อาจกั้นความแข็งชันไว้ได้ มันร้อนและอุ่น...แต่ทว่าแข็งแรง
“อืม...หนุ่ยนี่...ทะลึ่งจริงๆ” ธีร์หันมาตีเบาๆที่ไหล่กว้างของเด็กหนุ่ม
“อ้าวก็มันตื่นแล้วจริงๆนี่ครับ...” หนุ่ยบดเบียดบั้นเอวเข้าไปอีกครั้ง
“นี่แนะ...” ธีร์เอื้อมมือมาคว้าท่อนอุ่นๆนั้นไว้บีบ...มันโชนเขม็งขึ้นมาอีก ดื้อจริงๆ
“โอ๊ยย...พี่ธีร์...เจ็บนะ...” หนุ่ยร้องโอดโอย...ไอร้อนๆกรุ่นออกมาจากปาก
“หนาวจัง...พี่ไม่หนาวเหรอครับ” หนุ่ยถามธีร์พลางกอดธีร์แน่นเข้าไปอีก
“หนาวดี...พี่ชอบ...บ้านเราไม่หนาวอย่างนี้...” ธีร์ชอบอากาศหนาวๆ...แล้วยิ่งจะชอบเข้าไปอีกเมื่อมีคนรักกอดอยู่แบบนี้
“ผมไม่ค่อยชอบอากาศหนาวๆเลย...มันเหงา...” หนุ่ยหลับตาลงแต่คางยังคงเกยไหล่ชายหนุ่มเอาไว้
“เป็นเด็กเป็นเล็ก...ไม่เห็นจะต้องเหงาเลย...” ธีร์เอ่ยเบาๆโดยไม่ได้หันมามองหน้า
“เหงา สิพี่...พี่รู้มั้ยว่าตอนนั้น...ตอนที่ผมไม่เหลือใครน่ะ...ผมนั่งรถไฟมา กรุงเทพฯ...อากาศตอนกลางคืนมันเย็น...เงียบ...มันเหงาจนจับใจเลยนะ...” หนุ่ยพูดเบาๆออกมาทำให่ธีร์ต้องหันกลับมาเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่ม หนุ่ยยืนหลับตา หางตาปริ่มไปด้วยหยาดน้ำใสๆ
“หนุ่ย...ต่อจากนี้ไป...หนุ่ยจะไม่เหงาอีกต่อไปแล้วนะ...หนุ่ยมีพี่...หนุ่ยมีคุณแม่...แล้วก็มีเพื่อนๆ...อย่าร้องไห้สิครับ...” หนุ่ยน้ำตาไหลรินออกมา...
“อย่าร้องไห้ครับ...คนดีของพี่” ธีร์กอดเด็กหนุ่มเอาไว้ เอามือลูบเส้นผมเบาๆ
“.............” ทั้งสองยืนกอดกันริมระเบียงสักพัก ธีร์ยังแปลกใจอยู่มากๆว่าทำไมเด็กหนุ่มถึงได้เปลี่ยนโหมดกะทันหันแบบนี้ ทั้งที่ก่อนหน้ายังทะเล้นอยู่เลย หนุ่ยคงคิดถึงอะไรบางอย่าง

“หนุ่ยคิดถึงปู่กับย่าเหรอ...” ธีร์เดาบางสิ่งบางอย่างจากจิตใจของเด็กหนุ่ม
“ครับ...”
“...ถ้ากลับเมืองไทยพี่จะพากลับไประโนดอีกครั้ง...ปีนึงแล้วสินะที่ไม่ได้ไป...” ธีร์ย้อนคิดไปถึงวันนั้นที่พาหนุ่ยกลับบ้าน
“ครับ...ถ้าพี่ไม่ว่างก็ไม่เป็นไร...” หนุ่ยกอดธีร์แนบแน่นอีกครั้ง เด็กหนุ่มสองบุคลิกที่บางครั้งดูอ่อนไหวและเหงาเศร้า บางครั้งก็ร่าเริงสดใสช่างคิดช่างเจรจา บทจะเปลี่ยนอารมณ์ก็เปลี่ยนซะง่ายดายราวกับกดปุ่มเปลี่ยนคลื่นรับสัญญาณ
“ว่างสิครับ...ถ้าเวลาน้อยๆเราก็นั่งเครื่องไปสัก 2-3 วันค่อยกลับก็ได้” ธีร์จับมือหนุ่ยมากุมเอาไว้
“ไปเหอะ...เข้าห้องก่อน...เดี๋ยวค่อยออกไปทานอาหารเช้าที่ห้องอาหาร”

          หลังอาหารเช้าแล้วทั้งสองก็ขับรถเข้าเมืองเพื่อตะลอนเที่ยวในเมืองให้ทั่วๆ วันนี้จึงเป็นวันสบายๆไม่ต้องเดินทางไกล ที่โบทานิคการ์เด้นท์ สองหนุ่มเดินจับมือกัน ไม่อายสายตาใครเพราะที่นี่ไม่มีใครรู้จักและผู้ชายกับผู้ชายเดินจับมือกัน ไม่ใช่เรื่องแปลก หนุ่ยกับธีร์รู้สึกอิสระมากๆกับเรื่องการแสดงออก ที่นี่เมลเบิร์น

“สวยจังเลยพี่...” หนุ่ยเดินเข้าไปใกล้ดงดอกไม้ที่ไม่รู้ว่าชื่ออะไร มันเป็นสีม่วงอมน้ำเงิน ผลิดอกบานสะพรั่งไปทั่วเนิน
“ดอกอะไรน่ะ...” ธีร์ไม่รู้เหมือนกัน
“พี่ธีร์ถ่ายรูปกันเถอะ...” หนุ่ยดึงมือธีร์เข้ามายืนเคียงกันแล้วยืดแขนจนสุดเตรียมยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมา
“เราจะมีรูปคู่กันซักกี่รูปเนี่ย...” ธีร์บ่นเบาๆ เมื่อเวลาถ่ายคู่กันจะดูลำบากมาก รูปที่ออกมาอาจจะดูไม่สวยเพราะจะได้บางมุมเท่านั้น
“ไม่เป็นไรนี่...เก็บไว้ในความทรงจำเท่านั้นก็พอ” หนุ่ยบอก แค่นี้เขาก็พอใจแล้ว

          อากาศเย็นสบาย ไม่หนาวเกินไป แสงแดดส่องลงมากระทบกับมวลดอกไม้ ทำให้ดูสวยและสดใส สองคนเดินจูงมือกันและชี้ชวนให้ดูโน่น ดูนี่ เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วไม่ขาดปากของหนุ่ยทำให้โลกนี้ดูสดใสไปอีก

“พี่ธีร์...คืนนี้ผมว่าเราไปฟิลิป ไอส์แลนด์กันดีมั้ย”
“พาเหรดนกเพนกวินเหรอ...” ธีร์ถาม
“ครับพี่” หนุ่ยตอบ

          หลังเที่ยงหนุ่ยกับธีร์เดินซื้อดูชีวิตความเป็นอยู่ของคนออสซี่ในตลาดควีนส์มาร์เก็ต ย่านใจกลางเมือง ที่นี่มีดนตรีวนิพกอยู่คณะหนึ่ง เปิดการแสดงอยู่ในบริเวณตลาด นักดนตรีประมาณ 10 คนเล่นดนตรีและร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน ผู้คนเหล่านี้เป็นคนเผ่าพื้นเมืองและคนผิวขาวผสมผเสกันไป หนุ่ยยืนมองดูอยู่ด้วยความสนใจ

“เพราะดีนะพี่...” หนุ่ยขยับแข้งขาและปรบมือไปตามจังหวะดนตรี
“เพราะดีก็เต้นตามเลยหนุ่ย...” ธีร์เชียร์ แล้วก็ปรบมือตามอย่างสนุกสนาน ความสนุกสนานที่ทั้งสองหนุ่มแสดงออกมานั้นทำให้นักดนตรีที่ร้องนำเพลงนั้นอยู่เดินออกมาจูงมือเด็กหนุ่มจากระโนดเข้าไปร่วมวงเต้นรำกัน ผู้คนที่มายืนฟังโดยรอบต่างก็ปรบมือและเต้นโยกย้ายส่ายสะโพกไปตามจังหวะ ดนตรีที่คล้ายๆเร้กเก้ก็ไม่เชิง เพราะมีกลิ่นอายของดนตรีพื้นเมืองผสมอยู่ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ฟังแล้วสนุก ไพเราะแบบแปลกๆ หนุ่ยเข้าไปหมุนตัวแล้วเต้นไปตามจังหวะเพลงอย่างน่ารักและเป็นกันเอง ทำให้ธีร์ที่เพิ่งเคยเห็นเด็กหนุ่มเต้น...อดชื่นชมกับลีลาของหนุ่ยไม่ได้

“มาเร็วพี่ธีร์มาเต้นกัน” หนุ่ยกวักมือเรียกธีร์
“พี่ธีร์...”หนุ่ยเรียกอย่างเดียวธีร์ไม่ยอมเข้ามา จนนักร้องคนเดิมเห็นว่าธีร์ไม่เข้ามาแน่ๆแล้วเลยเดินเข้ามาดึงมือธีร์ ให้เข้าไปร่วมวงไพบูลย์ด้วย

          ทั้งสองหนุ่มเต้นกันจนจบเพลง เรียกเสียงปรบมือเกรียวกราวจากผู้ที่อยู่รอบข้าง หนุ่ยกับธีร์ค้อมหัวให้คนโดยรอบ หลังจากนั้นสมาชิกของวงคนหนึ่งก็เดินถือ ซีดีเพื่อนำออกมาขาย ให้คนที่อยู่รอบๆโดยขายในราคาที่ไม่แพงมาก คิดเป็นเงินไทยประมาณ 800 บาท เป็นอัลบั้มชุดใหม่ล่าสุดของเขา ก่อนหน้ามีอีก 2-3 อัลบั้ม ที่ออกมาก่อน หนุ่ยซื้อซีดีมาชุดนึง แล้วเดินจากมา

“พี่ธีร์ดูร้านขายหมูสิพี่” หนุ่ยชี้ให้ดูความแปลกหูแปลกตาที่ต่างจากตลาดในเมืองไทย
“อือ...ดูสะอาดสะอ้านดีนะ...” ธีร์ชมออกมาเพราะเขียงหมูที่นี่เป็นตู้กระจก หมูชำแหละวางเรียงราย ในตู้ใสสะอาด คนขายใส่เสื้อผ้ารัดกุม มีหมวกคลุมผม ถัดมาเป็นบริเวณที่ขายอาหารทะเล ทั้งลอบสเตอร์ ทั้งปลา ปลาหมึก ล้วนดูดีและมีอนามัย บริเวณพื้นทางเดินแห้ง ไม่เฉอะแฉะแบบบ้านเราเลย

“พวกนักการเมืองที่บอกว่ามาดูงานต่างประเทศ...ไม่รู้ว่าเคยมาดูตลาดที่นี่รึเปล่าเนอะพี่” หนุ่ยพูด
“นั่นสิ...พี่ว่าอาจจะมาไม่ถึงหรอก...คงจะไปอยู่แถวคราวน์พลาซ่าแน่ๆ...” ธีร์พูดแล้วทั้งสองก็พากันหัวเราะขบขันในความงี่เง่าและโง่งมโข่งของนักการเมืองของประเทศสารขันธ์
“มาดูงานรึว่ามาเล่นการพนันก็ไม่รู้...” หนุ่ยพูดออกมา
“พี่ธีร์...ไปดูผลไม้กัน...” หนุ่ยจับมือดึงแขนธีร์แล้วออกมาด้านนอก เป็นบริเวณที่ขายผลไม้
“พี่องุ่นน่ากินจังเลย...” หนุ่ยบอกพลางก้มลงดู
“พี่อยากกินกีวี...ถูกมากเลยหนุ่ย...” ธีร์หยิบถุงแล้วขอเลือกซื้อกีวีทันที
“ผมเอาองุ่นนะพี่” หนุ่ยร้องบอกแล้วเลือกองุ่นสีเขียวไร้เมล็ดพวงโตๆแถมราคาถูกจนเหลือเชื่อ
“น่าซื้อไปฝากเต้จังเลย...เต้ชอบกินองุ่น” ธีร์คิดถึงญาติสนิทขึ้นมา...ไม่รู้ป่านนี้เต้กับอ้นเป็นยังไงบ้าง ...

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 54=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 09-10-2009 03:53:47
ตอนนี้หวานดีจังเลย
อยู่ที่โน่นก็เปิดเผยกันได้เต็มที่
พอกลับไปแล้วจะเป็นยังไงหนอ
เริ่มตั้งแต่คุณแม่ภาณีเลย จะว่ายังไงบ้าง
ขอบคุณนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 54=
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 09-10-2009 04:46:57
ตอนนี้อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่นดีจังเลยครับ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 54=
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 09-10-2009 09:41:43
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 54=
เริ่มหัวข้อโดย: paulla ที่ 09-10-2009 10:22:31
ขอให้มีความสุขแบบนี้ นาน ๆ นะคับ รู้สึกเหมือนกับว่า จะมีอะไรเกิดขึ้นก้อไม่รู้ดิ... :bye2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 54=
เริ่มหัวข้อโดย: ChiOln ที่ 09-10-2009 13:14:58
น่ารักอ่ะ มีความสุขจริง ๆ  :3123:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 54=
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 09-10-2009 13:18:40
น่ารักดีอ่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 54=
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 09-10-2009 13:25:54
ตื่นแต่เช้าเลย อิอิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้
เริ่มหัวข้อโดย: Cha Ris Ma ที่ 09-10-2009 13:41:46
ไม่ได้เข้ามาดูแปบเดียว หนุ่ยกับพี่ธีร์ล้ำหน้าไปแยะเลยยยย  :haun4:

หนุ่ย หื่นได้อีก :impress2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 54=
เริ่มหัวข้อโดย: Nichdia ที่ 09-10-2009 16:34:05
ป่านนี้เต้คง

อิอิ

.... กับอ้นอยู่แน่เลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 54=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 09-10-2009 18:16:21
หวานกันมากมาย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 54=
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 09-10-2009 18:21:35
ตอนนี้หวานได้ใจจังเนอะ

ขอบคุณที่นำมาเรื่องดีๆมาโพสต์ให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 54=
เริ่มหัวข้อโดย: kuraki ที่ 09-10-2009 22:19:13
ได้หวานกันแค่ที่ออสแน่ๆเลย พอกลับไปไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

รวมทั้งคนชื่อฝุ่นจะกลับมาสร้างความร้าวฉานมั้ยนะ

 :sad4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 54=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 10-10-2009 02:57:02
ตอนนี้หวานได้ใจจังเลยนครับ


 

:z2:     :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 54=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 10-10-2009 04:05:46
55 Phillip Island

          ยามค่ำที่ยังไม่ยอมมืดสักที แสงแดดยังไม่หมดไปจากเวิ้งฟ้า ตอนนี้ก็เกือบจะทุ่มนึงเข้าไปแล้ว ธีร์กับหนุ่ยซื้อบัตรผ่านเข้าไปดูขบวนพาเหรดของนกเพนกวิน ที่จะเดินขึ้นจากทะเลที่นี่ ทุกวัน อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ ก่อนจะลงไปที่ชายหาดเป็นอาคารแสดงความรู้เกี่ยวกับนกเพนกวินและร้านขายของที่ระลึก ซึ่งมีคณะของเด็กนักเรียนญี่ปุ่นตัวเล็กๆ มารอชมปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นทุกวันที่นี่ สองหนุ่มยังไม่ได้ดูของที่ระลึกอะไรแต่มุ่งหน้าลงไปจับจองที่นั่งบนอัฒจรรย์ เพราะนักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ ทั้งคนจีน ทั้งเด็กนักเรียน

“หนุ่ยเร็วๆ...นั่งข้างหน้านี่เร็ว” ธีร์เร่ง
“พี่ธีร์...มันจะมาตอนไหนเนี่ย...”
“ไม่รู้สิ...แต่พี่ว่าใกล้แล้วละ...หนุ่ยอย่าถ่ายรูปนะ...เห็นป้ายห้ามรึเปล่า” ธีร์บอกหนุ่ยเพราะเกรงว่าหนุ่ยจะไม่รู้
“รู้แล้วพี่...”

          สองหนุ่มนั่งคอยกันสักพักใหญ่ๆ ดวงตะวันสีแดงกลมโตหลุบหายไปในม่านเมฆที่ขอบฟ้าแล้ว ความเย็นคืบคลานเข้ามา สายฝนปรอยลงมาเล็กน้อยคล้ายน้ำมนต์ที่พรมพร่างลงมา

“ฝนตกได้อีก...” หนุ่ยบ่นพลางรูดซิบแล้วคลี่เอาฮู้ดจากปกเสื้อกันหนาวขึ้นมาสวมหัว
“ดีจัง...มีเสื้อกันฝนด้วย...” ธีร์หันมาอิจฉาเล็กน้อย
“ผมบอกพี่แล้ว...ว่าให้เอาติดมือมาด้วย...ไม่เชื่อผม” หนุ่ยพูดพลางโอบเอวแล้วดึงชายหนุ่มมากอดเอาไว้
“ก็พี่ชอบหนาวๆนี่...” ธีร์พูดพลางกอดอกกระชับเอาสเวตเตอร์ไหมพรมแขนยาวเข้ามาแนบตัว แล้วกระชับเอาผ้าพันคอที่เต้ให้ในวันฉลองวันเกิดมาพันรอบคอให้แน่นขึ้น เพื่อให้คลายจากความหนาวเหน็บ

“อ่ะ...ใส่ถุงมือก่อน” หนุ่ยล้วงเอาถุงมือขนแกะสีน้ำตาลส่งให้ธีร์
“พร้อมเพรียงทุกอย่างเลยน้องพี่...” ธีร์พูดยิ้มๆ
“ผมเตรียมพร้อมทุกอย่างแหละ...เควายก็มีนะ...” หนุ่ยกอดเอวธีร์กระชับเข้ามาอีก
“เด็กบ้ากาม...” ธีร์ทุบไหล่หนุ่ยดังบึ้ก
“ก็กลัวบางคนจะเจ็บน่ะสิ” หนุ่ยเอานิ้วมาเล่นจมูกโด่งๆของธีร์
“ขอบคุณนะหนุ่ย...” ธีร์อิงแอบใบหน้าขาวและแดงระเรื่อลงมาซบกับไหล่หนาและกว้างของเด็กหนุ่ม
“ขอบคุณเรื่องอะไรครับพี่...” หนุ่ยผินใบหน้าคมๆและกดจมูกโด่งๆลงบนเส้นผมอ่อนนุ่มของธีร์
“ก็ทุกๆเรื่องนั่นแหละ...”
“คิดว่าเรื่องเควาย...พี่ไม่ต้องของคุณหรอกครับ...ที่ผมทำทุกอย่างก็เพราะรักพี่นะครับ” หนุ่ยหยอดคำหวานอีกครั้ง
“พี่ก็รักหนุ่ยนะครับ...” ชายหนุ่มทอดสายตาออกไปไกลแสนไกลในทะเลที่ดำมืด เขาไม่เคยนึกเบื่อที่จะบอก”รัก”กับคนรักเลย   

          สักพักมีเสียงฮือฮาจากนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มองเห็นนกเพนกวิน 2-3 ตัว ว่ายน้ำฝ่าคลื่นเล็กๆขึ้นมาที่หาดทราย นกนางนวลบินลงไปใกล้ๆแล้วก็จิกตีนกเพนกวิน จนต้องทำให้มันวิ่งหนี บางขึ้นฝั่ง บ้างกลับลงทะเลไปอีกครั้ง แล้วหาโอกาสที่จะว่ายน้ำขึ้นมาใหม่

“พี่ดูสิ...ทำไมมันต้องโดนนกนางนวลจิกด้วยอ่ะ” หนุ่ยโวยวายเบาๆ เพราะห้ามคนที่มารอชมใช้เสียงอึกทึก ยกเว้นนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ฟังประกาศไม่รู้เรื่องและอ่านประกาศไม่ออกอีก...
“นู่นอีกพี่...” หนุ่ยสะกิดบอกธีร์เบาแล้วชี้ให้ดูนกเพนกวินอีก 4-5 ตัวที่ทยอยขึ้นฝั่ง แล้วก็เหมือนเดิมที่หมู่นกนางนวลเข้าไปรุมจิกตีมัน
“นู่นแน่ะ...” ธีร์ บอกให้หนุ่ยดูด้านซ้ายมืออีกครั้ง มีนกทยอยขึ้นจากทะเลอีกหลายตัว นกเพนกวินตัวเล็กๆพวกนี้เป็นพันธุ์อะไรไม่รู้ เพราะไม่ได้ไปดูส่วนที่แสดงความรู้ก่อนเข้ามาชม
“หนาวเหรอครับ...” ธีร์ตัวสั่นเล็กน้อย ตอนนี้ฝนหยุดตกแล้ว แต่อากาศเย็นขึ้นเรื่อยๆทำให้ธีร์เริ่มสั่นเทาด้วยความหนาวเหน็บ
“เอาเสื้อผมไปใส่ดีกว่า” หนุ่ยปลดซิบที่คอและถอดเสื้อกันหนาวตัวหนาออกมาให้ธีร์ใส่ ส่วนตัวเขาเองนั้นเหลือเสื้อไหมพรมอีกตัวกับเสื้อยืดข้างในสองตัวเท่านั้น สักพักเดียวเมื่อธีร์เห็นว่านกไม่ได้เพิ่มมาอีกจึงชวนหนุ่ยออกมาจากตรงนั้น เส้นทางเดินขึ้นจากอัฒจรรย์ที่นั่งดูนั้น เป็นสะพานไม้คดเคี้ยวไปมาตามโตรกผา ลมเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ บางช่วงของสะพานมีคนจับกลุ่มเล็กๆเพื่อดูนกกลุ่มแรกๆที่เดินขึ้นมาถึงรัง มันต้วมเตี้ยมราวกับจะให้คนดูได้ยลโฉมดาราคนสำคัญ ซึ่งก็จริงๆนั่นแหละเพนกวินที่ทุกคนมาดู ทนเหน็บหนาว ทนตากฝน เพื่อจะได้มาเห็นมันด้วยตา

“....?????????!!!....” เสียงของนักท่องเที่ยวชาวจีนหรือไต้หวันไม่ทราบได้ ตะโกนส่งเสียงดังลั่นและชี้ชวนให้เพื่อนร่วมทริบดูนกเพนกวินตัวน้อยเดินอยู่ ด้านล่างของสะพานไม้ จนทุกคนหันหน้าไปมองเธอแทนการมองนกเพนกวินนั่นแหละ เธอจึงรู้สึกตัวและเดินจูงมือเพื่อนเธอจากไป แต่อีกไม่นานนักก็ไปบ๊งเบ๊งกับเพื่อนในกลุ่มอีกสองสามคน จนเด็กผู้หญิงชาวญี่ปุ่นส่งสัญญาณ “....ชู่ว์.....” เธอจึงหยุดส่งเสียงอีกครั้ง หนุ่ยมองอาซิ้มชาวจีนแล้วก็ยิ้มที่มุมปาก

“พี่ธีร์...หายหนาวรึยังคับ...” หนุ่ยถามเมื่อทั้งคู่เดินเข้ามาภายในร้านขายของที่ระลึก
“ค่อยยังชั่วแล้ว...” ธีร์ขยับถอดเสื้อกันหนาวตัวใหญ่
“มาผมช่วย...” หนุ่ยเดินเข้าไปข้างหลังแล้วจับไหล่ของเสื้อกันหนาวแล้วถอดออก
“ขอบคุณครับ...” ธีร์หันมายิ้มให้ รอยยิ้มที่มีความสุข...มันเปี่ยมด้วยความรักที่ล้นออกมานอกหัวใจ

          สองหนุ่มเดินดูข้าวของเมดอินไชน่าที่เป็นของที่ระลึก มันน่าซื้อไปซะหมด และหนุ่ยก็ได้แมกเนต...ที่สำหรับติดตู้เย็นไปฝากเพื่อนประมาณ 4-5 อัน เขาตั้งใจจะเอาไปให้แคน ปรีย์และทีม ส่วนของอ้นนั้นหนุ่ยยังนึกไม่ออกเลยว่าจะเอาอะไรไปให้

“ซื้อตั้งแต่วันแรกเลยนะ....เดี๋ยวขนไม่ไหวหรอก...” ธีร์เริ่มปรามเพราะว่ามันจะเป็นปัญหาในตอนที่จะเก็บของย้ายโรงแรม
“ชิ้นเล็กๆไม่เป็นไรหรอกมั้งพี่ธีร์...” หนุ่ยคิดเช่นนั้น
“หนุ่ยจดไว้ด้วยนะซื้ออะไรไปเท่าไหร่...หรือถ้าขี้เกียจจดก็เก็บใบเสร็จไว้ด้วย” ธีร์หันมาแนะนำ

“”””””””””””””””””””””””””””””

          20.00 น. ณ กรุงเทพมหานคร...ที่บ้านของเต้...อ้นนอนกลิ้งอยู่บนเตียงในห้องนอนส่วนตัว เสียงจากโทรทัศน์ดังราวกับอยู่ในโรงหนัง...เด็กหนุ่มนอนดูดีวีดีเรื่องโปรดอยู่

“...รู้ว่าเสี่ยง แต่คงต้องขอลอง รู้ว่า...” เสียงโทรศัพท์ดังเข้ามา ทำให้เด็กหนุ่มต้องเอื้อมมือคว้าเอามาดู...เขาสงสัยว่าใครโทรมาเอาป่านนี้...เบอร์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“อ้นเหรอ...นี่ส้มนะ” เสียงที่คุ้นเคยนั่นเอง มันห่างหายไปนาน...แต่ก็ยังทำให้เด็กหนุ่มคิดถึงได้อย่างประหลาด
“อ้าว...ส้มเหรอ...มีอะไร...” อ้นถามกลับไปเบาๆเพราะว่าตอนนี้เต้กำลังอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ ชายหนุ่มเพิ่งกลับมาจากทำงาน
“ทำไมล่ะ...ไม่มีอะไรแล้วโทรหาไม่ได้รึไง...” ส้มตัดพ้อ
“ได้สิ...มีอะไรรึเปล่า” อ้น ถาม...เขาลืมไปสนิทใจเลยว่าวันนี้วันอะไร...อ้นไม่ได้เจอกับส้มมานานเกือบ สองเดือน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ส้มโทรมาหา...หลังจากที่เชื่อแล้วว่า”อ้น”ใจ แข็งจริงๆ...อ้นไม่เคยโทรหาส้มอีกเลยนับแต่วันที่ทะเลาะกันวันนั้น อีกอย่างอ้นรู้สึกว่าความรักของเขากับเต้กำลังไปด้วยกันได้ดี...เด็กหนุ่ม สะดวกสบายหลายอย่าง อยากจะไปไหนก็ได้ไป...อยากจะกินอะไรก็ได้กิน อีกทั้งโทรศัพท์เครื่องใหม่แบบที่นิยมกันมากๆ อ้นก็มีพร้อมโปรโมชั่นที่โทรไม่อั้น...เพราะค่าโทรศัพท์อ้นก็ไม่ต้องจ่าย ...เรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ครีมบำรุงผิว น้ำหอมและอีกสารพัดที่”เต้”หา มาประเคนให้...เพียงแค่หยุดดูของเหล่านั้น...ในห้าง...เวลาที่เดินเล่นกัน ...สักวันสองวันของเหล่านั้นก็ตามมาเซอร์ไพร้ส์เขาถึงซอกขาเลยทีเดียว...และ ก็แน่นอน...สิ่งที่ต้องตอบแทนให้กับเต้คือ...ความกระหายในรักที่ไม่มีสิ้น สุด...ทั้งสองสุดเหวี่ยงกันทุกครั้ง...แล้วเรื่องอะไรที่จะต้องโทรหาส้ม...

“วันนี้วันเกิดส้มนะ...อ้นลืมแล้วเหรอ” เด็กหนุ่มนึกขึ้นมาได้ แต่ใบหน้าอ้นก็ซีดจนถอดสีเข้าไปอีก เมื่ออีกประโยคหนึ่งตามมา...
“อ้นมาหาส้มหน่อยได้มั้ย...นะอ้นนะ...ส้มคิดถึงอ้น...” เสียงส้มที่เว้าวอนอ้อนมาตามสาย...ครั้งแล้วครั้งเล่า...ทำให้เด็กหนุ่มไม่อาจจะปฏิเสธได้อีกต่อไป
“ที่ไหนล่ะส้ม...เดี๋ยวอ้นจะไป...” อ้นตอบตกลงกับคนรักเก่า...ใจเขาคิดแค่ว่าจะไปเคลียร์ให้รู้แล้วรู้รอดไป...ความสัมพันธ์มันจะสิ้นสุดลงไปในวันนี้ แน่นอนนั่นคือสิ่งที่อ้นได้แต่คิด...เพราะเรื่องจริงแล้วความวุ่นวายจากเรื่องของคืนนี้มันจะตามมาหลอกหลอนเด็กหนุ่มไปจนตลอดชีวิตเลยทีเดียว...

“เรื่องอะไรจะต้อง”ทน”กับอารมณ์ที่ขึ้นๆลงๆของส้มอีก...” เด็กหนุ่มคิดในใจแล้วก้าวลงจากเตียงด้วยสภาพที่มีเพียงบ๊อกเซอร์ตัวเดียวปิดบังเรือนกาย เขาคว้ากางเกงยีนส์ขึ้นมาใส่ก่อนจะหยิบเสื้อยืดตัวใหม่ที่เพิ่งซื้อมาวันนี้ มาสวมลงไป...อ้นกดสเปรย์น้ำหอมลงบนตัว...หยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาคลี่ดูแบงก์พันในกระเป๋าที่มีอยู่สองใบและกุญแจรถที่วางอยู่


“อ้นจะไปไหนครับ...” เสียงดังมาจากหน้าห้องน้ำ...ทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้ง...กุญแจรถหล่นจากมือ..

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 55=
เริ่มหัวข้อโดย: Cha Ris Ma ที่ 10-10-2009 04:16:43
 :z13: องค์หญิง มาอัฟดึกๆ

สองคู่ชู่ชื่น

เห็นแววปัญหามารางๆและ

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 55=
เริ่มหัวข้อโดย: viky_mama ที่ 10-10-2009 05:32:28
แววงานเข้าเริ่มมาแต่ลิบๆ เลยล่ะอ้น
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 55=
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 10-10-2009 08:11:57
สงสัยงานจะเข้าน้องอ้นซะแร้ว 

น้องหนุ่ย+พี่ธีร์หวานกันจังเล้ย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 55=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 10-10-2009 12:22:09
จะเกิดอะไรขึ้นนะ

 :z2:    :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 55=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 10-10-2009 13:41:36
รอรอรอรอรอรอ :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 55=
เริ่มหัวข้อโดย: ChiOln ที่ 10-10-2009 14:32:19
อีกคู่น่ารัก

แต่อีกคู่

อ้นอย่าทำให้พี่เต้เสียใจน่า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 55=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 10-10-2009 15:01:33
อย่ามีปัญหาเลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 55=
เริ่มหัวข้อโดย: kuraki ที่ 10-10-2009 15:15:42
ไม่น้า สงสารเต้  :sad4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 55=
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 10-10-2009 18:06:39
คงไม่มีปัญหาอะไรกันหรอกมั๊ง T^T~
ก็อ้นบอกว่าจะไปเคลียร์ให้จบๆนี่ 
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 55=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 10-10-2009 19:36:13
คู่หนุ่ยกับธีร์ตอนนี้คงยังไม่มีอะไร
แต่คู่อ้นกับเต้นี่สิ อ้นจะไปเคลียร์แบบนี้ จะบอกเต้มั้ย รอลุ้น
ถ้าไม่บอกแล้วเกิดอะไรขึ้นจะยุ่งไปกว่าเก่ามั้ยเนี่ย ท่าทางยายส้มจะเปลี่ยนใจแล้วมั้ง
อ้นไม่ง้อ ง้อเองก็ได้
บวก 1 แต้ม ขอบคุณนะคะ รอลุ้นค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 55=
เริ่มหัวข้อโดย: yamanaiame ที่ 10-10-2009 20:36:11
มารอนะครัฟ 
เปงกำลังใจให้
 
โดโด้นะครัฟ
เด็กประเทศ ลาว
 :bye2: :bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 55=
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 10-10-2009 20:40:00
เพิ่งจะได้เจอกับคำว่าความสุข ก็มีปัญหาเข้ามาจนได้สินะ อ้นเอ้ยยย



ปล.เกือบทันที่ gbs แล้ววววว อิอิๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 55=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 11-10-2009 03:27:36
หุ ๆ  เต่าน้อยค่อย ๆ เดิน  ในที่สุดก็เกือบทันกระต่ายแล้วววว

คุณโดโด้สวัสดีค่ะ  ประเทศลาวเราเคยไปอยู่ 3-4 ครั้ง  พ่อมีเพื่อนอยู่ที่เวียงจันทน์ค่ะ  ภาษาลาวเราอ่านออกเขียนได้ด้วยนะ  อิอิ  (แต่พูดไม่ได้  ฟังก็ไม่ค่อยออก T T)

ขอบคุณทุก ๆ กำลังใจนะคะ  ขอบคุณมากค่ะ   :L2:
ใกล้จะสิ้นเดือนแล้วสินะ ...
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 55=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 11-10-2009 03:38:01
56 ความรับผิดชอบกับคืนวันเกิด

          เต้นอนจมอยู่กับที่นอน เสียงบอกลาท่านผู้ชมของกิตติ สิงหาปัดจากข่าว 3 มิติ ที่ดังมาจากโทรทัศน์ ไม่ได้มีความน่าสนใจอันใดเลย น้ำตาที่มีมันไหลออกมาไม่ขาดสาย มันร้าวรานและเจ็บปวด ชายหนุ่มรู้ดีว่าถ้าไม่อนุญาตให้อ้นออกไป ยังไงอ้นก็ต้องหาทางออกไปอยู่ดี “ก็ให้เขาไปเองนี่...จะร้องไห้คร่ำครวญอยู่ทำไม”เต้คิดพลางเอามือกุมขมับ เขาปวดหัวจี๊ดขึ้นมาเหมือนเป็นไมเกรน...เต้กำลังนึกย้อนกลับไปถึงคำพูดของอ้นเมื่อหัวค่ำ

“พี่เต้ครับ....ผมขออกไปข้างนอกแป๊บนึงได้มั้ยครับ...” อ้นพูดพลางก้มลงเก็บกุญแจรถขึ้นมาถือไว้
“ไปทำไมเหรออ้น...นี่มันก็มืดแล้วนะ...” เต้ขมวดคิ้ว...ถ้าเข้าบ้านแล้วอ้นแทบจะไม่เคยออกไปไหนข้างนอกมาก่อน...ถ้าไปเขาต้องไปด้วยเสมอ
“เอ่อ...เอ่อ...วันเกิดเพื่อนน่ะครับ...” อ้นอึกอักจนผิดสังเกต ปกติถ้าเป็นวันเกิดเพื่อน อ้นต้องบอกล่วงหน้าและไม่เคยจะเอารถไปเองเลย...เขาเกรงใจเต้เสมอๆ...เต้ไปส่งแล้วอ้นจะกลับแท็กซี่ทุกครั้ง
“วันเกิดใครเหรอครับ” เต้เช็ดเนื้อเช็ดตัว ใจก็สั่นหวิวๆกลัวว่าจะเป็นวันเกิดคนๆนั้น

“วันเกิดส้มครับพี่เต้”สิ้นเสียงอ้น...เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางหัวใจ คิดไว้แล้วไม่มีผิด

“.............”เงียบ...ไม่มีเสียงอะไรหลุดออกมาจากปากเต้ ชายหนุ่มเปิดประตูตู้เสื้อผ้าแล้วหาเสื้อยืดออกมาใส่

“นะพี่นะ...ผมไปแป๊บเดียวเอง...ไม่นานหรอกครับ...เที่ยงคืนกลับ” อ้นเข้ามากอดเต้จากด้านหลัง ชายหนุ่มกล้ำกลืนฝืนความรู้สึกแต่ก็ได้แต่พยักหน้าออกไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีกเลย
“ขอบคุณครับพี่...ผมสัญญาว่าเที่ยงคืนผมจะกลับมา...พี่เต้พักผ่อนเถอะ...ไม่ต้องกังวลใจ” อ้นหอมที่ซอกคอขาวผ่องของเต้แล้วผละจากไป ปล่อยให้ชายหนุ่มยืนแขนตกลงข้างตัว เต้ใส่เสื้อผ้าแล้วเดินเท้าลอยไปที่เตียงก่อนล้มลงนอนนิ่งๆ...เขาถอนหายใจ ออกมาเฮือกใหญ่

          ที่ร้านเหล้าแห่งหนึ่งย่านมหาวิทยาลัยที่ส้มเรียนอยู่ สองหนุ่มสาวนั่งคุยกันอยู่ท่ามกลางความมืดสลัวของบรรยากาศแบบเป็นกันเอง ...แต่เนื้อหาที่คุยนั้น...มันขัดกับบรรยากาศสิ้นดี...

“เฮ้อ....” อ้นถอนหายใจออกมา...มันอึดอัดเอามากๆ เขาไม่ค่อยจะเผชิญกับเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน จากทีแรกที่หวังว่าจะเป็นปาร์ตี้เล็กๆที่มีแค่ไม่กี่คน ตามที่ส้มบอก แต่กลับกลายเป็นว่ามีเขาและส้มอยู่กันแค่เพียงสองคนเท่านั้น

“อ้น...ส้มมีอะไรจะบอก...” ส้มพูดเสียงแผ่วเบา
“อะไรเหรอ...ให้อ้นพูดก่อนได้มั้ย...เดี๋ยวอ้นต้องรีบกลับแล้ว” อ้นเร่งเพราะนี่มันเกือบจะเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว...มาตั้งนานส้มมัวแต่ค่อนขอดเขา และพูดเรื่องอะไรที่เขาไม่เห็นจะเกี่ยวด้วยสักนิด...ตอนนี้เขากลัวการผิดสัญญากับเต้เป็นที่สุด...เขาแคร์เต้เอามากๆ
“ทำไม...คัมรี่ที่ขับมามันจะกลายเป็นฟักทองหรือไง...” ส้มยังคงประชดและค่อนขอดเหมือนเดิม ตั้งแต่เห็นอ้นขับรถเก๋งคันใหญ่ มีมือถือเครื่องใหม่ล่าสุด แต่งตัวดีและกลิ่นน้ำหอมที่ไม่คุ้นเคย ก็ทำให้เขาอึดอัดกับคำกระแนะกระแหนได้ไม่สิ้นสุด
“เอ้ามีอะไรก็ว่ามา...” อ้นชักหงุดหงิดมากขึ้นแต่สาวเจ้าก็ยังเล่นสงครามประสาทได้อีก...อย่างกับว่าเป็นลูกสาวจอร์จ ดับเบิลยู บุช ผู้กระหายสงครามก็ไม่ปาน
“ของขวัญวันเกิดล่ะ...ลืมละสิ...ส้มคิดแล้ว...เรามันอดีตนี่...ไหนจะสู้เพื่อนรักได้” ส้มยังคงเข้าใจว่าเขามีอะไรกับแดนอยู่อีก...
“อ่ะ...ถ้าจะส้มจะแดกดันอยู่แบบนี้...อ้นจะกลับละนะ...” อ้นทำท่าหยิบโทรศัพท์กับกุญแจรถเตรียมจะลุก
“เดี๋ยวสิอ้น...ส้มพูดเล่นแค่นี้...ทำเป็นหงุดหงิด...ส้มคิดถึงอ้นนะ...คิดถึงใจแทบ ขาดเลยรู้มั้ย...อ้นไม่ใช่ผู้หญิงอ้นไม่รู้หรอก...ว่าการถูกทอดทิ้งน่ะมัน ทรมานแค่ไหน...” ส้มก้มหน้าพยายามบีบน้ำตาออกมา
“ส้ม...อ้นทิ้งส้มตอนไหน...มีแต่ส้มนั่นแหละใช่มั้ยที่บอกว่าให้เราแยกกันอยู่สักพักนึง...หรือว่าที่พูดมาวันนั้นส้มจำไม่ได้...” อ้นพูดเสียงเรียบๆแต่คงเอาไว้ด้วยแววตาที่บ่งบอกว่าเริ่มไม่ชอบคนที่พูดไม่อยู่กับร่องกับรอยแบบนี้
“อ้นน่ะเฮงซวยที่สุด...ทิ้งเค้าแล้วมีหน้ามาโยนความผิดให้เค้าอีก...ฮือ...ฮือ...ฮือ...” ส้มร้องไห้ออกมาเสียงดัง...ทำเอาคนที่นั่งโต๊ะข้างๆหันมามอง
“หยุดเดี๋ยวนี้นะส้ม...เสียงดังอายเค้ามั้ย...” อ้นจับข้อมือเด็กสาวไว้แน่น
“ไม่หยุด...”  ส้มร้องไห้ต่อ...ไม่สนใจคนมอง
“ถ้าไม่หยุดก็อยู่คนเดียวไปเถอะ...แต่ถ้าจะคุยกับอ้นก็ไปคุยในรถก็แล้วกัน...” อ้นพูดจบก็คว้ากุญแจรถกับโทรศัพท์แล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์พลางควักแบ้งค์พันวางไว้แล้วเดินไปที่รถด้วยอารมณ์โมโห

“ไอ้เหี้ยอ้น...ไอ้ผัวกะเทย...แม่ง” เสียงกรีดร้องของส้มทำเอาคนหันมามองกันใหญ่ เพราะนึกไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนนี้จะเป็นอย่างที่ส้มด่าว่า
“คุณคะเงินทอนค่ะ...” เสียงเด็กเสิร์ฟพินอบพิเทาสุดๆ พลางถือถาดสแตนเลสใส่เงินทอนมาส่งให้ส้ม
“ไม่เอา...เอาไปให้ไอ้ผัวกะเทยนู่นไป๊...” เด็กสาวตวาดแว้ดทำเอาเด็กเสิร์ฟลนลานออกไปที่รถเก๋งคันหรูที่จอดคอยอยู่ที่ลานจอดหน้าร้าน เด็กเดินไปถึงรถ อ้นรับเอาเงินทอนคืนไป...และทิปให้ร้อยบาท...เด็กจึงยกมือไหว้แล้วเดินกลับ เข้าร้าน สวนกับส้มที่กำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกมา

          ส้มเปิดประตูเข้าไปนั่ง อ้นจึงออกรถทันทีเขารับส้มออกมาจากบ้านเพื่อออกมาคุยกัน ฉะนั้นยังไงก็ตามแต่ เขาต้องขับรถกลับไปส่ง ความเงียบของเครื่องยนต์และไม่มีเสียงเพลงใดๆออกมาจากลำโพง ทำให้ส้มเป็นฝ่ายอึดอัด...อ้นคิดว่าเขาเป็นฝ่ายคุมเกมแล้ว

“มีอะไรก็ว่ามา...” อ้นถาม
“กูท้อง...” สิ้นเสียงของส้ม อ้นตัวชาวาบจากเส้นผมยันปลายเล็บเลยทีเดียว
“หา...ว่าอะไรนะ...” อ้นถามย้ำ
“กู-บอก-มึง-ว่า-กู-ท้อง...” ส้มพูดช้าๆชัดๆอีกครั้ง อ้นจอดรถเข้าข้างทางทันที
“ท้องกับใคร...” เป็นคำถามที่ไม่น่าถาม แล้วก็เป็นคำถามที่นำมาซึ่งการเจ็บตัวเพราะ
“...พลั่ก...” หมัดตรงของส้ม ทิ่มเข้าที่หัวตาด้านซ้ายของเด็กหนุ่มทันที อ้นเอามือกุมเบ้าตาแล้วนั่งนิ่งไม่ตอบโต้ เขาไม่ใช่คนประเภทที่จะทำร้ายผู้หญิงได้ลงคอ
“ไอ้สัตว์อ้น...กูโดนมึงเอาอยู่คนเดียว...กูจะไปท้องกับใคร...พูดหมาๆแบบนี้กูจะบอกพ่อกูให้เอาปืนมายิงหัวมึงซะ...” ส้มร้องด่าออกมาทำเอาอ้นหน้าซีด เกมที่เขาคิดว่าเริ่มเป็นคนคุมอยู่เมื่อครู่นี้ พริบตาเดียวถูกเปลี่ยนมือโดยฉับพลัน
“อ้นขอโทษนะส้ม...อ้นขอโทษ...อ้นปากไวไปหน่อย...” อ้นเอื้อมมือมาจับมือส้มไว้ เขาเห็นใจอดีตคนรักขึ้นมาทันที ส้มต้องเจ็บปวดและทรมาน เพราะเขาเองที่เป็นต้นเหตุ

“อ้นจะรับผิดชอบเองนะส้ม...อ้นจะรับผิดเอง”อ้นก้มหน้ารับผิด อนาคตที่วาดหวังไว้ร่วมกับเต้เป็นอันพังครืนลง หลากหลายคำสัญญาที่เขาเคยให้ไว้กับเต้...อ้นจะทำได้ยังไง...
“มึงจะทำยังไง...ไอ้สัตว์อ้น...มึงจะให้กูอุ้มท้องมันไปเรียนรึไง..หา...มึงบอกมาสิ...” ส้มหันมาตวาดอ้นด้วยท่าทางของผู้ที่อยากจะระบายความอึดอัดทั้งมวล
“ส้มตรวจแล้วเหรอ...ว่าท้องแน่ๆ...” อ้นถาม
“ตรวจแล้วสิ...น้ำเงี่ยนมึงนะไอ้อ้น...ไม่ใช่เยี่ยว...ที่ใครโดนแล้วถึงไม่ท้อง ...กูไม่ใช่พวกกะเทยนี่...ที่โดนเอาแล้วไม่ท้อง...ไอ้พวกวิปริต...อัปรีย์จริงๆเลย...” ส้มด่าออกมาเป็นชุด อ้นได้แต่ก้มหน้ารับเอาคำด่านั้นไว้ในใจ...
“แล้วจะทำยังไง...ต่อไป...” อ้นถามเสียงเครียด เขาคิดหาทางออกให้กับส้มและกับตัวเองไม่ได้เลย มันมืดมนหนทางไปหมด คิดถึงเพื่อนๆขึ้นมา ถ้าไอ้หนุ่ยอยู่มันน่าจะทำให้เราหายกังวลไปได้
“เอามันออกสิ...กูยังอยากจะมีอนาคตนะโว้ย...ให้กูอุ้มท้องไปเรียนกูไม่เอาด้วยนะ...” ตอนนี้ส้มพูดไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปคำก็มึงสองคำก็กู
“เอาเด็กออกน่ะเหรอ...”  อ้นอุทานออกมา ตลอดชีวิตที่โตเป็นผู้เป็นคนขึ้นมา เขาไม่เคยนึกคิดมาก่อนเลยว่าจะต้องมาพัวพันกับเรื่องแบบนี้ มันเป็นเรื่องที่ชั่วช้าสามานย์มากในความรู้สึก...เขาทำไม่ได้ .......

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 56=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 11-10-2009 03:54:52
 :เฮ้อ:
อ้นก็เป็นคนดีนะ ยังไงก็ตัดสินใจรับผิดชอบ
แต่ส้มสินะ สถานภาพทางสังคมทำให้ไม่กล้าอุ้มท้องต่อไป
เต้จะต้องยื่นมือเข้ามาช่วยด้วยหรือเปล่าเนี่ย
ถ้าเกิดส้มยืนยันทำแท้งจริง แล้วอ้นยังจะกลับไปใช้ชีวิตกับเต้อีกมั้ย
ตอนนี้เครียดจริงๆนะ หนุ่ยกลับมาให้เพื่อนปรึกษาเร็วเข้า
ขอบคุณมากนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 56=
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 11-10-2009 05:24:30
เฮ้อ... วิบากกรรม สินะอ้น

ยอมรับอ้นจริงๆ เป็นลูกผู้ชายมากๆ กล้าทำกล้ารับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 56=
เริ่มหัวข้อโดย: ChiOln ที่ 11-10-2009 12:28:07
แง่ม ๆ ๆไม่ดีเลยอ่ะ  :m31:

นิสัยเสียมากกกก
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 56=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 11-10-2009 13:56:45
จะทำอย่างนั้นจริงๆ หรอ


มันบาปนะ ทำคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่


อ้นจะทำอย่างรัยกันแน่


 :z2:     :z2:
[/b]
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 56=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 11-10-2009 20:46:47
สงสารอ้นจัง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 56=
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 11-10-2009 21:10:21
อีกไม่กี่ตอน ก็จะจบแล้วนะครับเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 56=
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 11-10-2009 21:23:44
อย่างส้มเนี่ยเหรอ จะมีอ้นคนเดียว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 56=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 11-10-2009 21:32:59
แผนยัยส้มแหงๆๆ :beat:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 56=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 12-10-2009 04:25:47
57 ฉลองวันเกิดในไร่องุ่น

          แสงสว่างที่ส่องทะลุผ้าม่านสีขาวเข้ามา ปลุกให้หนุ่ยตื่นจากการหลับใหล...สมองเริ่มทำงานแล้ว...สิ่งแรกที่นึกขึ้น ได้คือ...วันนี้วันเกิดพี่ธีร์

“สุขสันต์วันเกิดครับพี่” หนุ่ยกระซิบที่ข้างหูแล้วหอมแก้มคนรักฟอดใหญ่
“อืม...ขอบคุณครับ...” เสียงแหบเครือของธีร์ตอบกลับมา รอยยิ้มที่ผุดพรายบนใบหน้าหล่อขาวของชายหนุ่ม ดูมีเสน่ห์แม้ยามที่ตายังหลับอยู่
“เราจะฉลองอะไรกันดี...” หนุ่ยพูดกระซิบที่ข้างหูพลางไล้ฝ่ามือแกร่งไปตามหน้าท้องขาวเนียนของคนรักรุ่นพี่
“ไปเที่ยวไร่องุ่น ชิมไวน์แล้วก็ทานอาหารกลางวันไปด้วยพร้อมๆกันดีมั้ย...”  ธีร์นึกถึงไร่องุ่นสวยๆแถวรอบเมือง ที่นั่นเป็นสถานที่ปลูกองุ่นและเป็นที่ผลิตไวน์รสดีมากมายให้เลือกชิมแล้ว ยังมีอาหารกลางวันบริการด้วย
“ไปสิพี่...ผมอยากเห็นเหมือนกันว่าเค้าผลิตไวน์และปลูกองุ่นกันยังไง” หนุ่ยพูดออกมา ฝ่ามือสะดุดเข้ากับแก่นกายของชายหนุ่มที่กึ่งกลางลำตัว...มันกำลังโชนเขม็งแทบระเบิดออกมาเลยทีเดียว
“ผมหาของขวัญเล็กๆน้อยๆให้พี่ก่อนดีกว่า”  หนุ่ยพูดจบทำเอาธีร์งง...หนุ่ยเปิดผ้าห่มผืนใหญ่แล้วมุดลงไปสัมผัสกับแก่นกายด้วย ริมฝีปากอ่อนนุ่ม...ครั้งแรกที่หนุ่ยกล้าทำอะไรให้ธีร์แบบนี้
“หนุ่ย...ทำอะไรครับ...อ้า...ซี๊ดดด...”  ธีร์ขนลุกซู่ เขารู้สึกซาบซึ้งเอามากๆกับการแสดงออกของเด็กหนุ่ม...ที่ทำให้เขาแบบวันนี้
“ผมจะทำให้พี่มีความสุขไงครับ...”  หนุ่ยดำเนินรักต่อไปด้วยความนุ่มนวล เขาส่งธีร์ขึ้นสวรรค์ด้วยเวลาไม่นาน

“พี่ธีร์...สุขสันต์วันเกิดครับ...ขอให้พี่มีความสุขนะครับ...” หนุ่ยนอนทาบทับร่างกายขาวผ่องของธีร์
“ปากเลอะเลยหนุ่ย...” ธีร์เอานิ้วมือปาดคราบน้ำรักที่เลอะมุมปากของเด็กหนุ่มออก
“ไม่เอาพี่...ผมจะกินให้หมดเลย...” หนุ่ยเอานิ้วของธีร์ที่เลอะคราบนั้นใส่ปากแล้วดูดจนเกลี้ยง...
“หนุ่ย...พี่รักหนุ่ยนะครับ...ชาตินี้...ชีวิตนี้พี่ไม่ขออะไรอีกแล้ว...” ธีร์จูบแผ่วเบาที่หน้าผากของเด็กหนุ่ม
“ผมก็รักพี่ธีร์ครับ” หนุ่ยซบลงที่หน้าอก
“พี่ถึงสวรรค์คนเดียว...แล้วหนุ่ยล่ะครับ...มาพี่ทำให้”
...........................

          เพียงหนึ่งชั่วโมงธีร์ขับรถมุ่งหน้าไปทางตะวันออกสู่ราย่าวัลเล่ย์ แหล่งปลูกองุ่นและผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียง ไวน์ที่ผลิตจากที่นี่จัดเป็นไวน์ที่มีคุณภาพชั้นเลิศของประเทศออสเตรเลีย ก่อนที่จะเข้าไปยังไร่องุ่น ธีร์ชวนหนุ่ยไปนั่งรถไฟจักรไอน้ำ ที่ยังอนุรักษ์ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้นั่งชมรอบๆอุทยาน เมื่อซื้อตั๋วเรียบร้อยขบวนรถจักรได้เคลื่อนตัวออกสองหนุ่มนั่งห้อยขาออกนอก ตัวรถเพื่อชมสภาพธรรมชาติของป่าเฟิร์นที่ครึ้มเขียวและสวยงาม

“อากาศไม่ค่อยหนาวนะวันนี้...” หนุ่ยชวนคุย
“อืม...กำลังดี...”
“พี่ธีร์ดูสิ...เสื้อมีแต่เขม่าควัน...” หนุ่ยก้มลงดูเสื้อของตัวเอง ขณะที่กำลังจะปัดออกนั้น
“อย่าหนุ่ย...เดี๋ยวเลอะไปใหญ่...ถึงปลายทางสถานีแล้วค่อยถอดออกสะบัด...” ธีร์บอก
“ของพี่ด้วย...” หนุ่ยบอก สองคนเลยหัวเราะกันร่วนเมื่อใบหน้าขาวๆของธีร์ก็มีเม็ดเขม่าดำๆติดอยู่
...........

“สนุกดีนะ...” หนุ่ยพูดออกมา เมื่อถึงสถานีปลายทางที่รถจอดอยู่นั้นทั้งสองได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกโดยให้ นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นถ่ายให้
“หล่อดีนะ...” ธีร์เอ่ยชมนักท่องเที่ยวหนุ่มชาวญี่ปุ่นที่ถ่ายรูปให้
“หล่อน้อยกว่าผมละ...” หนุ่ย พูดพลางถอดเสื้อยืดออก เผยให้เห็นกล้ามแกร่งที่หน้าท้องเป็นลอนชัดเจน ทรงผมที่กระเซิงนั้นก็มีเขม่าเล็กน้อย ธีร์ปัดที่เส้นผมให้เบาๆ
“หนุ่ยใส่เสื้อเร็วๆ...โชว์หุ่นอยู่นั่นละ” ธีร์รีบบอกให้หนุ่ยใส่เสื้อเพราะสาวๆชาวญี่ปุ่นมองกันใหญ่
“หวงรึไงพี่...” หนุ่ยยิ้มอ้อน แล้วดึงมือธีร์เข้ามากอดเอาไว้
“บ้าหนุ่ยนี่...” ธีร์เขินหน้าแดง สาวๆญี่ปุ่นกลุ่มนั้นซุบซิบกันแล้วยิ้มกันใหญ่
“หนุ่ยนี่เห็นมะ...อายคนอื่นเขา...” ธีร์หน้าแดงอยู่เพราะหนุ่ยยังไม่ยอมปล่อยจากการกอดรัด
“อ่ะปล่อยก็ได้...” ก่อนจะปล่อยให้ธีร์เป็นอิสระ...หนุ่ยขโมยหอมแก้มธีร์อีกครั้งทำเอาชายหนุ่มหน้าแดงเข้าไปอีก เพราะมีฝรั่งแก่ๆคู่นึงเดินมาเห็นเข้า ทั้งคู่ยิ้มให้ความรักที่ได้เห็น

          เกือบเที่ยงทั้งสองเดินทางเข้าไปยังไร่องุ่นแห่งหนึ่งที่มีอาคารที่ดัดแปลงจากโรงนาให้เป็นร้านอาหารและสถานที่ขายไวน์ มีการขายคูปองให้ผู้ที่เข้ามาชิมไวน์สามารถชิมได้เจ็ดอย่าง ทั้งสองเข้าไปชิมไวน์ตามที่มีคนแนะนำและเชียร์ หลังจากชิมจนหนุ่ยหน้าแดงซ่าน ธีร์ตกลงใจซื้อไวน์ติดมือไปด้วยหนึ่งขวด

“เอาไปฉลองกันคืนนี้...” หนุ่ยบอก...
“เอาไปฝากเต้...” ธีร์ไม่ยอม
“ผมจะกินคืนนี้อ่ะ...พี่ธีร์...นะ...นะ...” หนุ่ยกระเซ้า
“อ่ะ...ไวน์ที่จะฝากเต้เดี๋ยวซื้อที่ไร่อื่นก็ได้...” ธีร์ยอม

          ทั้งสองเข้าไร่นู้นออกไร่นี้ ชิมได้ไม่ครบตามที่กำหนดเพราะกลัวเมาซะก่อน จนมาถึงไร่สุดท้ายทั้งสองได้ทานอาหารเที่ยงกัน โดยเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ มีสเต๊กเป็นเมนคอร์ส มีเนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อไก่ และเนื้อปลาให้เลือก หนุ่ยเลือกเอาเนื้อวัว ส่วนธีร์รับเป็นเนื้อปลา ไร่องุ่นทอดยาวเหยียดไปตามไหล่เขาที่เป็นเนินสูงต่ำสลับกันไป อากาศที่เย็นสบายและบริสุทธิ์ ทำให้อาหารมื้อนี้เป็นอาหารรสเลิศที่วิเศษที่สุด

“อร่อยมั้ยครับ” ธีร์ถาม
“อร่อยสิพี่...ได้นั่งกินไวน์รสดีๆกับสเต๊กเนื้อนุ่ม หอม อร่อย...กับคนที่เรารัก...สุขไหนจะมาเทียบได้...” หนุ่ยตาเยิ้มหวานด้วยฤทธิ์ไวน์
“ปากหวานนักนะ...เดี๋ยวคืนนี้จะขึ้นให้หมดฤทธิ์เลย...คอยดู...” ธีร์ยิ้มยั่ว...ทำเอาหนุ่ยตื่นตัวขึ้นมาทันทีเมื่อเจอรอยยิ้มแบบนี้
“อย่าร้องเจ็บก็แล้วกัน...จะหาว่าไม่เตือน” หนุ่ยยกแก้วไวน์ขึ้นมาชน ทั้งสองคุยกันถึงเรื่องต่างๆทั่วๆไปแล้ววางแผนถึงการเดินทางต่อ เพราะนอนอยู่ที่เดียวไม่ได้ต้องล่องไปเรื่อยๆ

“พรุ่งนี้เราต้องย้ายที่พักแล้ว เราจะลงไปทางใต้...ไปจีลอง วานัมบูลแล้วก็เข้าบาราลัทก็นอนเมืองละคืนนะ...” หนุ่ยบอก
“ก็ต้องไปเส้นเกรทโอเชี่ยนโรดส์ด้วยน่ะสิ...” ธีร์บอก
“ใช่...ผมอยากไปจังเลย...เป็นถนนสายที่สวยที่สุดสายหนึ่งของโลกเลยนะ” หนุ่ยบอก

“”””””””””””””””””””””””””””””

          ที่กรุงเทพฯหน้าบ้านของส้มย่านดอนเมือง เด็กหนุ่มขับรถยนต์คันหรูเทียบหน้าประตูบ้าน ประตูเข้าบ้านติดชื่อและยศของเจ้าของบ้าน มันเพิ่มความยำเกรงให้กับผู้ที่ผ่านไปมาได้พอสมควร

“ส้ม...ไม่ต้องกังวลนะ...อ้นจะรับผิดชอบทุกอย่าง...อย่าเอาเด็กออกเลยนะ...อ้นสัญญา” ส้มไม่ตอบอะไร ส้มฟังคำมั่นสัญญาจากปากอ้นมาตลอดทาง ส้มรู้ว่าอ้นเป็นคนที่รักษาสัญญา เพราะตลอดเวลาที่คบกันมาอ้นไม่เคยผิดคำพูดแม้สักครั้งเดียว บางครั้งเธอก็เคยคิดว่า”เธอเองต่างหากที่ทำให้อ้นเบื่อหน่าย”...แต่ความรู้สึกอันนี้มันเป็นสิ่งที่ส้มไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่...ส้มมองและคิดแต่ตัวเองเท่านั้น
“แล้วจะมาหาส้มอีกเมื่อไหร่...เร็วๆนะ...” ส้มเร่งรัดอีกครั้ง ทำเอาเด็กหนุ่มถึงกับกุมขมับเมื่อถอยรถออกมา

          ตอนนี้สิ่งที่อ้นต้องทำก่อนคือต้องกลับบ้านพี่เต้...ให้ทันเที่ยงคืน...อ้นเหลือบมองไปที่นาฬิกาในรถ...”เที่ยงคืนครึ่ง” อ้นเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วทันที

“พี่เต้ครับ..” อ้นเรียกเต้พร้อมกับเคาะประตูเบาๆ เขาเกรงใจพ่อกับแม่ของเต้จังเลย
“กลับมาแล้วเหรอ...”น้ำเสียงของเต้เรียบและนิ่ง ไม่แสดงอาการเกรี้ยวกราดอย่างที่ควรจะเป็น เขาจะยอมรับทุกอย่างที่พี่เต้ดุหรือด่า...แต่นี่พี่เต้กลับเงียบได้อย่างน่า ประหลาด...มันทำให้เด็กหนุ่มเครียดหนักเข้าไปอีก
“กลับมาแล้วครับ...ไม่ทันเที่ยงคืนน่ะครับพี่...ผมไปส่งส้มที่บ้านมา...ขอโทษพี่ด้วยนะครับ” อ้นเดินเข้าไปแล้วล้มตัวลงบนเตียง เขาเอื้อมมือไปกอดเอวชายหนุ่มไว้แล้วซบหน้าลงกับต้นขาขาวเนียน เต้กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง มือก็กดรีโมทเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ ไม่ได้สนใจสิ่งที่อ้นพูด
“ไม่เป็นไร...นอนเถอะอ้น...พรุ่งนี้ต้องไปมหาลัยไม่ใช่เหรอ...” เต้กล่าวในที่สุด
“ครับพี่...ผมอาบน้ำก่อนนะ...” เด็กหนุ่มถอดเสื้อออกแล้วลุกขึ้นถอดกางเกงยีนส์ออกจากตัว ร่างกายผอมเกร็งนั้นเหลือเพียงบ๊อกเซอร์ตัวเดียว อ้นเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

          ชายหนุ่มนอนเหม่อลอยน้ำตารื้นออกมาอีกครั้ง ใจกระหวัดคิดไปได้เรื่อยเปื่อย “ถ้าอ้นจะกลับไปอยู่กับส้มอีก...เขาจะอยู่ได้อย่างไร...แต่ก็นะ...ผู้ชายย่อมคู่ กับผู้หญิงเท่านั้น...อย่างเขาเหรอ...เป็นอะไรล่ะ...ผู้หญิงก็ไม่ใช่...น่า อายนักที่มาหลงรักเด็กหนุ่ม...ถ้าโดนอ้นทิ้ง...ใครรู้ก็ต้องหัวเราะเยาะเอา แน่ๆ” เต้น้ำตาไหลออกมา แล้วสะอื้นจนตัวโยน เขาต้องรีบร้องไห้เพราะเดี๋ยวอ้นออกมาจะเห็นน้ำตา

“พี่เต้...” เสียงเรียกเบาๆ...ของอ้นทำให้เต้ลืมตาขึ้นมา
“หืม...” เต้รับคำ
“พรุ่งนี้พี่เต้ไปไหนรึเปล่าครับ...ผมขอยืมรถหน่อยได้มั้ยครับ” อ้นพูดแบบไม่มั่นใจนัก
“เปล่านี่...แต่อ้นต้องมารับพี่ที่ออฟฟิศนะ...แล้วก็อย่าช้าล่ะ...พี่อยากพักผ่อน ไม่อยากกลับดึกมากเดี๋ยวรถติด...บ่ายสี่โมงมารับพี่ก็แล้วกัน” เต้พูด
“ครับ...สี่โมงเย็นผมจะมารับพี่” อ้นรับปาก
“พี่นอนเถอะครับ...อย่ากังวลใจเลย...ผมรักพี่เต้นะครับ...” อ้นฝังจมูกลงตรงซอกคอชายหนุ่มแล้วกอดเอาไว้ในอ้อมกอดอันอบอุ่น คืนนั้นจากเรื่องราวตอนค่ำที่ผ่านมา มันทำให้อ้นยากที่ข่มตาหลับลงได้...เด็กหนุ่มนอนถอนหายใจตลอดคืน...มาหลับเอาตอนเกือบจะเช้า...

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 57=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 12-10-2009 05:13:30
คู่แรกก็หวานเข้าไป หวานจนน้ำตาลเรียกพี่
ส่วนคู่หลังก็หวานอมขมกลืนแล้ว
อ้นยังบอกให้เต้อย่ากังวลใจอีกหรือ
ช้า เร็วเรื่องมันก็ต้องเผยออกมาก จะทำยังไงต่อไปเท่านั้น ลุ้นเหมือนกันนะเนี่ย สงสารเต้
บวก 1 แต้มนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 57=
เริ่มหัวข้อโดย: viky_mama ที่ 12-10-2009 05:19:13
รู้สึกถึงความแตกต่างของสองคู่อย่างชัดเจนมากๆ เลยนะเนี่ย คู่แรกนี่หว้านหวาน คู่สองนี่ระทมมาก

สงสารอ้น เครียดแทน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 57=
เริ่มหัวข้อโดย: schoolofpink ที่ 12-10-2009 08:12:35
 o13

ขอบคุณมากนะคะที่ขยันมาอัพทุกวันเลย
ตามอ่านทุกวันเลยค่ะ ^^

คู่หนุ่ยกับพี่ธีร์หวานมากๆ แต่จะมีพายุเข้ามาซัดสาดเหมือนคู่เต้รึเปล่าน้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 57=
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 12-10-2009 10:09:49
ตอนนี้อ่านแล้วเห็นความแตกต่างกันเหลือเกิน คู่หนึ่งก็สุขกันสุดๆ แต่อีกคู่กำลังจะทุกข์เหลือคณา
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 57=
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 12-10-2009 10:54:21
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 57=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 12-10-2009 11:01:12
สงสารเต้อะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 57=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 12-10-2009 14:54:55
 :เฮ้อ:   สงสารเต้จังเลย



อ้นจะทำอย่างรัยกันแน่นะ




 :z2:     :z2:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 57=
เริ่มหัวข้อโดย: Cha Ris Ma ที่ 12-10-2009 16:02:31
 :angry2:นายอ้นทำงี้ได้งายยยยยย

 :o12:เห็นใจเต้มาก ทั้งรัก ทั้งหลง ทุ่มสุดตัว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 57=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 13-10-2009 04:27:30
58 เพื่อนตาย

          อ้นกดโทรศัพท์ไปหาเพื่อนที่เขาห่างไป...อ้นไม่เคยเจอเพื่อนรักกลุ่มนี้มานานแล้ว ยามนี้มันเดือดเนื้อร้อนใจเอามากๆ...สิ่งแรกที่คิดถึงก่อนคือเพื่อน ...เพื่อนที่เขาไว้ใจที่สุด

“ไอ้แคน...กูเองนะ...” อ้นส่งเสียงไปตามสาย
“ไงไอ้อ้น...เป็นไงบ้างวะมึง...หายไปเลยกูคิดว่ามึงตายไปแล้ว...” แคนแกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าอ้นหายไปไหน จริงๆแล้วหนุ่ยโทรมาเล่าให้ฟังเรื่องที่เจอกับอ้น ก่อนที่หนุ่ยจะเดินทางไปเมลเบิร์น
 “โธ่...ไอ้เหี้ย...คำแรกก็แช่งกูเลยนะ...” อ้นด่ากลับไปแล้วหัวเราะออกมา
“มีอะไรให้กูรับใช้วะ...ถึงได้โทรมาหากูเนี่ย....” แคนถามพลางหันไปพยักเพยิดกับ”ทีม”ที่นั่งกินข้าวอยู่ด้วยกัน
“กูไม่กล้าใช้อะไรมึงหรอก...แค่กูมีเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อย...อยากคุยกับมึง” อ้นพูดออกมา
“มึงอยู่ที่ไหนล่ะ...มาหากูที่มหาลัยสิ” แคนบอก
“แล้วไอ้ทีมล่ะ...อยู่กับมึงรึเปล่า” อ้นถาม
“นั่งหัวแดงอยู่นี่...จะคุยกับมันมั้ย...”
“ไม่ละเดี๋ยวกูรีบไปหามึงเลยดีกว่า” อ้นวางหูแล้วหันไปหาแดนที่นั่งกินข้าวอยู่
“ไอ้แดน...เช็คชื่อให้กูด้วยนะ...บ่ายกูโดด” อ้นบอกแล้วคว้าเอาเป้สะพายหลังแล้วออกจากตรงนั้นไป
“เออ...” แดนรับคำ

          ไม่ถึงชั่วโมงเด็กหนุ่มก็มานั่งเอ๋ออยู่ที่ใต้ถุนตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์ ภายในมหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งเพื่อคอยเพื่อน

“ไงไอ้อ้น...หายหัวไปเลยนะมึง...” เสียงทีมทักทายมาข้างหลัง
“ไอ้ทีม...ไอ้แคนล่ะ” อ้นถาม
“เดี๋ยวมา...” ทีมพูดพลางรวบผมที่เกือบยาวแล้วเอายางรัดไว้
“ผมยาวหล่อเลยมึง...สบายดีมั้ยวะ...” อ้นถามพลางหยิบสมุดจดโน้ตดนตรีมาเปิดดู
“เรียนยากมั้ยวะ...ไอ้ดนตรีคลาสสิคพวกเนี้ย”
“ไม่ยากหรอก...นี่ดีที่กูลงซัมเมอร์นะไม่งั้นมึงไม่เจอกูหรอก...” ทีมพูด
“ทำไม...มึงจะเข้าบ้าน AF หรือไงวะ...หล่อๆอย่างมึงเนี่ย...ถ้าได้เข้าไปนะชนะแน่ๆ” อ้นแหย่
“เปล่า...กูจะไปเรียนดนตรีเพิ่มเติมที่ปราก” ทีมพูดยิ้มๆ
“โอ้โห...ไฮโซฉิบเป๋งเลย...” อ้นอดอิจฉาเพื่อนไม่ได้ เขาเองเป็นคนเดียวที่บ้านมีฐานะระดับกลางๆที่สุด           
“แต่ขอทุนไม่ได้...”
“ไม่เป็นไรหรอก...เอาใหม่ปีหน้า” อ้นให้กำลังใจกับเพื่อน
“อ้าว...ไอ้แคน...เป็นไงมึง...อ้วนเป็นควายเลย” อ้นทักทันทีที่แคนเดินมาถึง
“มีอะไรจะคุยกับกูว่ามาเลย...” แคนไม่ให้เสียเวลา เพราะต้องรีบไปเรียนต่ออีก
“เอ่อ...คือ...” อ้นอึกอักแล้วมองซ้ายมองขวา
“ทำไม...หรือมึงไปทำใครท้องมา...” แคนพูดออกมาทำเอาอ้นเกือบหงายท้องตกเก้าอี้
“มึงรู้ได้ไง...” อ้นถามเบาๆ
“เปล่า...เดาเอา...จริงอ่ะ...ส้มท้องเหรอ...” แคนถาม
“อืม...ส้มท้อง...กูไม่รู้จะทำยังไงว่ะ......................................................” แล้วเรื่องราวทั้งหมดก็ออกจากปากของอ้น เด็กหนุ่มทั้งสามนั่งมองหน้ากันนิ่ง...เงียบ...

“เอาไงดีวะไอ้ทีม...” แคนเอ่ยปากออกมาหลังจากที่ฟังเรื่องของอ้นจบลง
“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ..” ทีมพูดออกมาเสียงอ่อย พลางดึงยางรัดผมออกแล้วสะบัดหัวไล่อาการมึนงง
“ไอ้หนุ่ยก็ยังไม่กลับ...เฮ้อ...” อ้นพูดออกมา

          ด้วยทางเดินของชีวิตที่ไม่เคยเฉียดเข้าใกล้เรื่องแบบนี้มาก่อน อีกทั้งมุมมองในชีวิตที่สวยงาม เด็กหนุ่มทั้งสามก็ยังมืดมน... ไม่รู้จะหันไปทางไหนดี...

“ไอ้ปรีย์...มันอยู่ไหนวะ...” แคนนึกถึงเพื่อนอีกคนขึ้นมาได้
“โทรหามันดิ...” ทีมพูด แคนกดโทรศัพท์โทรหาปรีย์ แล้วทั้งสามคนก็ทิ้งเรื่องเรียนเอาไว้ก่อน

          เด็กหนุ่มทั้งสามออกจากมหาลัยแล้วรีบบึ่งรถไปหาเพื่อนอีกคน ที่พึ่งพาทางความคิดแม้จะแหกคอกไปบ้างบางเรื่อง แต่ปรีย์ก็เป็นคนที่มักมีทางออกให้เพื่อนๆยามคับขันเสมอ

“รถใครวะอ้น...สวยว่ะ...” ทีมทักเมื่อเข้าไปนั่งที่เบาะหลัง
“เดี๋ยวนี้ขับคัมรี่ไฮบริด...เลยนะมึง...ของเมียใหม่เหรอ...” แคนถาม คำพูดแทงใจดำ
“ปากเหี้ยนะมึงเนี่ย...” อ้นหันมาด่าเพื่อนรักที่นั่งข้างๆ
“รถใครก็ช่างเถอะ...เดี๋ยวกูพร้อมกูจะเล่าให้มึงฟังเอง...” อ้นตัดบทก่อนที่พวกมันจะเดาสุ่มไปเรื่อยๆ

          ทั้งสามเดินทางมาถึงมหาลัยของปรีย์ รถคันหรูเทียบฟุตบาทหน้ามหาวิทยาลัยแล้วรับปรีย์ออกจากตรงนั้น เด็กหนุ่มพากันไปนั่งอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใกล้ที่ทำงานของเต้...อ้นเผื่อเวลาเดินทางไว้ก่อน...เขาไม่อยากให้เต้ลำบากใจไปมากกว่านี้ หลังจากที่ปรีย์ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วก็นั่งวิเคราะห์อยู่สักพักก่อนจะเอ่ยออกมาว่า

“ว่าแต่ว่า...ทำไมส้มมันถึงบอกเลิกกับมึง...ทั้งๆที่มันก็รักมึงจะตายไป..ส้มมันท้องจริงรึเปล่าวะ....แล้วอีกอย่างมึงพามันไปตรวจท้องแล้วรึยัง...สุดท้ายที่กูสงสัยคือมึงมีอะไรกับมันครั้งหลังสุดเมื่อไหร่...” ปรีย์ถามมาเป็นชุดทำเอาทุกคนอ้าปากค้าง
“ไอ้ปรีย์มึงเป็นตำรวจเหรอวะ....เอาทีละคำถาม...” ทีมพูดแล้วยิ้ม เรื่องพวกนี้เขาไม่ได้ข้อมูลจากอ้นเลย มัวแต่ตกใจจนลืมถาม...อ้นก็คงเป็นแบบนั้น
“มันบอกว่ามันท้อง...เท่านั้นเองว่ะ...กูไม่ได้พามันไปตรวจ...” อ้นสารภาพ
“มึงพามันไปตรวจเลยนะ...ถ้าท้องค่อยมาว่ากันใหม่” ปรีย์พูด
“แล้วถ้ามันท้องล่ะ...ไอ้ปรีย์...” แคนถามเผื่อ
“ครั้งสุดท้ายที่มึงเอากัน...เมื่อไหร่วะ...” ปรีย์ถาม
“ต้นเดือน...” อ้นเสียงอ่อย...ครั้งสุดท้ายที่บ้านของอ้น...ก่อนที่สัปดาห์ต่อมาจะเกิดเรื่องทะเลาะกันและมาเจอกับเต้
“กูบอก มึงเลยนะ...ไอ้อ้น...ถ้าส้มมันท้อง...มึงมีทางเลือกอยู่ไม่กี่ทาง...หนึ่ง ...หนี...สอง...รับผิดชอบทั้งหมดแล้วสร้างครอบครัวใหม่...สาม...เอาเด็กออก ซะ...” ปรีย์สรุป
“กูไม่หนี...” อ้นเป็นลูกผู้ชายเสมอ เพื่อนๆเดาถูก นั่นไม่ใช่ทางที่อ้นเลือกเดิน
“งั้นมึงต้องรับผิดชอบ...ทั้งหมด...บอกพ่อแม่มึง...บอกพ่อแม่ส้ม...อีกทั้งเรื่องเรียนของมึง...และโดยเฉพาะของส้ม...ใครแม่งจะอุ้มท้องไปเรียนได้...ต้องดรอปไว้ก่อน...คลอดแล้วค่อยมาเรียนใหม่” ปรีย์ว่าเป็นฉากๆ...อ้นหน้าซีดขึ้นเรื่อยๆ เด็กหนุ่มเอามือกุมขมับแล้วถอนหายใจหนักหน่วง นี่ยังไม่รวมเรื่องที่ต้องบอก”เต้”อีก...

“ถ้าส้มมันไม่ยอมเอาเด็กไว้ล่ะวะ...” อ้นไม่แน่ใจเพราะส้มเป็นคนพูดเองว่าจะเอาเด็กออก...
“มึงต้องคุยกับมันให้รู้เรื่อง...ต้องยอมรับผิดชอบร่วมกัน...ส้มน่ะมันจะหนักหน่อยเพราะเรื่องเรียนต้องดรอปไว้ก่อน...” ปรีย์ชี้แจงถึงวิธีแก้ปัญหา
“แล้วเรื่องเอาเด็กออกน่ะ...บาปหนักนะมึง...เด็กมันไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย...ที่สำคัญมึงน่ะเป็นพ่อมัน...จะฆ่าลูกตัวเองได้ลงคอเหรอ” ปรีย์ปากหมาพูดซะเห็นภาพ
“ถ้าเอาเด็กออกนะ...สิ่งเหล่านี้จะติดตัวมึงไปจนวันตายเลย...” ปรีย์พูดออกมาอีกประโยค ทำเอาอ้นเครียดหนักเข้าไปอีก
“เหี้ย...เครียดโว้ย...สัตว์เอ๊ย...” อ้นโมโหตัวเอง...แล้วก็เลยเอากำปั้นทุบกะโหลกตัวเอง...
“เฮ้ย... อ้นอย่า...จะทำเหี้ยอะไร...ค่อยๆคิดสิ...ทำร้ายตัวเองจะได้อะไรขึ้นมา...กูอยู่ข้างๆมึงเนี่ย...กูไม่ทิ้งมึงหรอก...อย่าทำแบบนี้อีกนะ...” ทีมเข้าไปกอดรัดแล้วก็จับหมัดของอ้นเอาไว้ อ้นน้ำตาไหลซึม แขนตกลงข้างลำตัวเหมือนคนหมดเรี่ยวหมดแรงมันรู้สึกรันทดท้อไปหมด...อีกใจก็คิดถึงแต่”เต้”...อ้นสงสารเต้...ถ้าเขารับผิดชอบเรื่องทั้งหมดแล้วต้องทิ้ง”เต้”แล้ว”เต้”จะอยู่ยังไง
“ไอ้ทีมมึงปล่อยมัน...ให้มันต่อยตัวเองไปนั่นแหละ...สัตว์ทีตอนเอากันละไม่คิด ...เอากันมันอย่างเดียว...ทีอย่างเนี่ยจะมาโอดครวญ...ให้แม่งต่อยตัวเองให้ตายไปเลย...”ปรีย์ด่าออกมาเป็นชุด ทำให้อ้นหยุดอาการแบบนี้ลงได้

“พรุ่งนี้มึงพามันไปตรวจท้องเลยนะ...ดูให้แน่ว่ามันท้องรึเปล่า...” ปรีย์พูดออกมาอีก
“เฮ้อ...ถ้ามันแค่แกล้งหลอกมึงก็ดีน่ะสิ...” แคนเปรยออกมา เหมือนกับจะปลอบใจเพื่อนให้พอมีความหวัง
“ถ้าท้องก็เตรียมไปสู่ขอได้เลย...” ปรีย์พูดเสียดแทงหัวใจอ้นอีกคำรบ...แต่สิ่งที่ปรีย์พูดนั่นมันเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น...ทุกสิ่งอย่างที่ปรีย์มองและพูดออกมา...แม้จะโหดร้ายทารุณกับคนที่ได้ฟัง...แต่ต้องยอมรับอย่างนึงว่า...ความจริงย่อมหนีความจริงไม่พ้น...

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 58=
เริ่มหัวข้อโดย: gboy ที่ 13-10-2009 05:30:03
เรื่องนี้แต่งดีมากๆ

แอบเศร้าอีกต่างหาก


 :sad4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 58=
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 13-10-2009 05:30:54
สงสารเต้จังเลย

ส่วนอ้นมีเพื่อนที่ดีมากๆเลย ไม่ทิ้งกันแม้ยามมีเรื่องทุกข์ใจ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 58=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 13-10-2009 05:46:21
ใช่แล้ว ยังไงก็หนีความจริงไม่พ้น
สงสารแต่เต้แล้วตอนนี้
บวก 1 แต้มนะคะ รอลุ้นต่อ ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 58=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 13-10-2009 11:00:04
ปรีย์เจ๋งจริงๆ o13

อ้นได้เพื่อนดีมากๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 58=
เริ่มหัวข้อโดย: YO DEA ที่ 13-10-2009 14:27:52
 :เฮ้อ:หนักใจแทน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 58=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 13-10-2009 15:53:05
แล้วจะเป็นอย่างไรนะ




 :z2:    :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 58=
เริ่มหัวข้อโดย: hene2526 ที่ 13-10-2009 16:33:06
หนักใจแทนเต้จังเลย...แต่ทำไงได้หล่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 58=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 13-10-2009 17:35:40
lสงสารแทนเต้

หนักใจแทนอ้น
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 58=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 14-10-2009 04:04:24
59 ใจสารภาพ

“ญาติคุณพันทิวาค่ะ”  เสียงเจ้าหน้าที่ห้องตรวจเรียก ทำเอาอ้นสะดุ้งจากการเหม่อลอย
“ครับ...”  อ้นเดินเข้าไปที่หน้าเคาน์เตอร์ ขณะที่ส้มออกไปคอยอยู่ที่รถแล้ว
“นี่เป็นผลการตรวจปัสสาวะค่ะ...”
“ครับ...” อ้นแกะซองออกมาดูผล หน้าซีดเผือดเมื่อการแสดงผลของการตรวจครรภ์ออกมาว่า “ท้อง”
“ผมจะพบหมอได้มั้ยครับ...” อ้นถามเจ้าหน้าที่คนเดิม
“ได้ค่ะ..สักครู่นะคะ...”

          คุณหมอแจ้งผลการตรวจครรภ์ของส้มให้อ้นรับทราบอีกครั้ง โดยบอกว่าตอนนี้ส้มท้องได้ประมาณ 2 เดือนแล้ว สุขภาพโดยทั่วไปแข็งแรงทั้งสุขภาพครรภ์และสุขภาพของคนเป็นแม่ “หมอยินดีด้วยนะครับ” เสียงของหมอเจื้อยแจ้ว “ยินดีอะไรล่ะ...กูทุกข์ใจจะตายอยู่แล้ว...” อ้นคิดในใจว่าหมอดูละครมากเกินไปรึเปล่า...เด็กวัยรุ่นอย่างเขาเนี่ยนะ...ต้องมารับผิดชอบกับชีวิตน้อยๆที่กำลังจะเกิด...เฮ้อออ....ยิ่งคิดยิ่งเครียด

“หมอบอกว่าส้มท้องจริงๆ” อ้นเสียงเศร้าสลด
“ก็บอกแล้ว...ยังไม่เชื่อ...ทำไมกลัวส้มจะไปเอากับคนอื่นแล้วมาโมเมให้อ้นเป็นพ่อมันรึไง” ส้มคิดไปไกล อ้นไม่เคยคิดประเด็นนี้เลย...
“เปล่า...อย่าคิดมากสิ...ที่พามาก็อยากจะรู้ว่าต้องดูแลกันยังไงเท่านั้นเอง...” อ้นพูดเสียงเครือๆ เขาแปลกใจในมุมมองที่กร้านโลกของส้ม
“แล้วจะเอายังไง...ส้มไม่อยากจะเอาไว้หรอกนะ” ส้มพูดหน้าตาเฉย...
“อ้นไม่อยากจะให้ส้มทำอย่างนั้นเลย” อ้นพูดพลางนึกถึงคำแนะนำของเจ้าหน้าที่หน้าห้องตรวจ เรื่อง”สถานที่ที่คุณก็รู้ว่าคืออะไร”ตามเบอร์โทรศัพท์ที่ได้มา...มันยังอุ่นอยู่ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ต
“อ้นจะคุยกับพ่อแม่ก่อน...” อ้นพูดไปอย่างนั้นแหละ...แต่ใจน่ะอยากคุยกับเพื่อนๆอีกครั้ง
“เดี๋ยวอ้นไปส่งที่บ้านก่อนนะ...มีอะไรคืบหน้าจะโทรมาหา” อ้นบอกก่อนที่จะออกรถเพื่อไปส่งส้มที่บ้าน


          เด็กหนุ่มขับรถคันหรูไปที่มหาวิทยาลัยเพื่อรับทีมกับแคน โดยได้นัดกับปรีย์ไว้ที่สยาม เด็กหนุ่มทั้งสามนั่งกันมาเงียบๆในรถบรรยากาศชวนหดหู่...

“จะเอายังไงต่อไปดีวะ...” แคนถามเพื่อน
“ไม่รู้สิ...”  อ้นเหม่อลอย มองไปข้างหน้า เด็กตัวเล็กๆเดินขายพวงมาลัยอยู่ข้างถนน อ้นทอดสายตามองตาไป...    “เด็กที่เกิดมา...จะเป็นยังไงบ้างหนอ...จะมีอะไรมารองรับอนาคตของเด็กน้อยที่กำลังจะเกิดมา...หรือถ้ามันแย่เอามากๆลูกเขาจะต้องมาขายพวงมาลัยอย่างนี้รึเปล่า”  อ้นถอนหายใจอย่างหนัก สายตาเหม่อลอยไปเรื่อยๆจนรถคันหลังบีบแตรไล่....
“ปี๊น...ปี๊น....” อ้นสะดุ้ง
“ไอ้อ้น...เป็นอะไรวะ....” ทีมเรียกอ้นเพื่อดึงสติสัมปชัญญะของเพื่อนกลับมา
“เอ่อ...ปะ...เปล่า...เปล่า...” อ้นกดคันเร่งเคลื่อนรถผ่านสี่แยกไฟแดงก่อนที่จะเลี้ยวซ้ายเข้าสยาม
“ไงไอ้ปรีย์...” แคนทักเพื่อนที่นั่งคอยอยู่ที่ร้านอาหาร
“เอาผลมาดูสิ...” ปรีย์ถาม...อ้นส่งกระดาษใบนั้นให้ปรีย์ดู

“อยู่ที่มึงแล้วล่ะ...ว่าจะตัดสินใจยังไง” ปรีย์พูดพลางมองหน้าเพื่อน
“..........” เกิดสุญญากาศอยู่สักพัก...ก่อนที่อ้นจะเปิดปากพูดบางสิ่งออกมา

“กูจะรับผิดชอบทั้งหมด...กูจะคุยกับพ่อแม่ก่อน...แล้วจะไปคุยกับส้ม” อ้นพูดแล้วออกอาการเหม่อลอย
“ดี...มีอะไรก็โทรคุยกัน...พวกกูเป็นกำลังใจให้นะ...มึงอย่าท้อแท้ซะก่อนนะ...” ปรีย์จับมืออ้นแน่น สัมผัสที่ลึกซึ้งถ่ายทอดสู่กันและกัน...แม้ไม่มีคำพูดใดๆออกมาจากปากแต่มัน ก็เปี่ยมล้นด้วยมิตรภาพ...และความเข้าใจ

“ถ้าโลกนี้ไม่มี”เพื่อน”อ้น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า...เรื่องราวที่ทุกข์ใจแสนสาหัสมันจะผ่อนคลายลงได้ อย่างไร...ลำพังเขาเองไม่สามารถที่จะตั้งสติได้ทันแน่ๆ...ถ้าไม่มีเพื่อนๆ คอยพยุง...ไม่ให้ล้ม”

          หลังจากแยกย้ายกับเพื่อนแล้ว อ้นขับรถกลับไปรับเต้ที่ทำงาน เขาเครียดเอามากๆ...เครียดเรื่องที่ส้มท้อง...เรื่องที่เขาตัดสินใจเอาเด็กไว้...เรื่องที่จะต้องกลับไปดูแลส้มและลูก...และที่หนักใจมากที่สุดสำหรับเด็กหนุ่มวัยไม่ถึงยี่สิบอย่างอ้น...เขาจะแยกทางกับเต้ได้อย่างไร...อ้นเคยถามตัวเองมาตลอดตั้งแต่คบกับเต้ว่า “เขารักเต้รึ เปล่า...หรือว่าเขาติดหรู...ติดสบาย...เขามีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย...มีรถเก๋งแพงๆขับ มีโทรศัพท์ใช้ มีเสื้อผ้าสวยๆและดูดี...ถ้าวันนึงต้องขาดสิ่งเหล่านั้นไป...อ้นจะอยู่ได้ มั้ย...แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ...อ้นจะบอกกับเต้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยังไง” อ้นเลี้ยวรถเข้าไปจอดหน้าบริษัท ก่อนจะเดินลงจากรถแล้วก้าวเข้าห้องกรรมการผู้จัดการไปโดยไม่เคาะประตู

“มาแล้วหรือครับอ้น...วันนี้ไปไหนมาบ้าง” เต้ยิ้มและทักทายเมื่อเห็นเด็กหนุ่มเดินเข้ามา
“ไปมหาลัยมาครับแล้วก็ไปนั่งคุยกับเพื่อน...” อ้นไม่เฉไฉ เด็กหนุ่มพูดความจริงเสมอ
“เหรอ...ได้อะไรมาบ้างหล่ะ...” เต้ถามยิ้มๆ
“เปล่าหรอกครับพี่...แค่ไปนั่งกินข้าวกันมา...” อ้นตอบพลางนั่งลงข้างๆชายหนุ่ม อ้นโอบแขนกอดเอาไว้ สัมผัสอันอบอุ่นที่เด็กหนุ่มมอบให้นั้นมันทำให้เต้มีความสุขจริงๆ เต้นั่งทำงาน...คุยกับลูกค้าทั้งวันมันก็เหนื่อยแสนสาหัส...แค่เด็กหนุ่มอิงแอบและเคียงข้าง...เท่านี้ก็ทำให้เต้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งแล้ว

“เหนื่อยมั้ยครับพี่...”  อ้นกระซิบถามข้างหู เต้ขนลุก...มันวาบหวิวอย่างประหลาด จมูกโด่งๆของอ้นสัมผัสกับใบหูของเขาอย่างจงใจ
“เหนื่อยครับ...แต่แค่อ้นถามพี่ก็หายเหนื่อยแล้ว...” เต้ยิ้ม
“เอาน้ำส้มสักแก้วมั้ยครับ...” อ้นใจหายวาบเมื่อเอ่ยถึง“ส้ม” เขาน่าจะเลี่ยงไปใช้คำว่า“น้ำผลไม้”แทน
“ก็ดีครับ...” เต้บอกพลางจับมือแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มเอาไว้
“เดี๋ยวผมไปเอามาให้นะครับ” อ้นลุกจากที่วางแขนแล้วเดินไปเปิดตู้เย็นด้านนอก ก่อนจะเทน้ำองุ่นมาให้ชายหนุ่ม
“นี่ครับพี่...” อ้นยื่นน้ำผลไม้ให้ตรงหน้า

“พี่เต้ครับ...ผมมีเรื่องจะปรึกษาพี่หน่อยน่ะครับ...” อ้นเริ่มเกริ่นนำออกมา
“อะไรครับอ้น...ไปคุยกันที่บ้านดีมั้ย...พี่เสร็จงานแล้ว...กลับไปคุยกันที่บ้านเถอะนะ...” เต้หันไปคว้าเป้มาใส่โน๊ตบุ๊ค
“ก็ได้ครับพี่...” อ้นเดินนำออกมาจากห้องทำงานอย่างว่าง่าย

          บนถนนที่การจราจรติดขัด มันอึดอัดและเนิ่นนานสำหรับความรู้สึกของเด็กหนุ่ม “เมื่อไหร่จะถึงบ้านซักทีนะ”อ้นคิดในใจเหม่อลอยจนเต้ผิดสังเกต

“เป็นอะไรรึเปล่าอ้น...” เต้วางมือลงบนมือเด็กหนุ่ม
“ปะ...เปล่าครับ...” อ้นตอบตะกุกตะกัก
“หาอะไรทานก่อนดีมั้ยครับ...” เต้หิวมาก ตั้งแต่ตอนสายๆเต้ยังไม่มีเวลาทานอะไรเลย
“หิวเหรอครับพี่...ไปสิครับ...พี่จะทานอะไรครับ” อ้นออกจากโลกของความฟุ้งซ่านหันมาดูแลคนที่อยู่ข้างกาย
“ไปอินเลิฟก็แล้วกัน” อ้นเลี้ยวขวาตรงทางแยกข้างหน้าทันที

          สองหนุ่มนั่งทานอาหารกันที่ร้านอินเลิฟริมแม่น้ำเจ้าพระยา บรรยากาศเงียบๆแสงสว่างอ่อนละมุนละไมจากแสงจันทร์วันคืนเดือนเพ็ญ และบทเพลงอันไพเราะจากโฟล์คซองขับกล่อม

“พี่เต้ผมขอเบียร์นะครับ...” ปกติอ้นไม่เคยขอแบบนี้
“จะดื่มเบียร์เหรอครับ...” เต้ถามเพราะไม่แน่ใจก่อนจะกวักมือเรียกพนักงาน

          คืนนั้นกว่าจะออกจากร้านได้ก็ดึกเอาการเพราะอ้นเริ่มจะลื่นไหลไปกับรสชาติและดีกรีที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เต้เองก็มีความสุขมากๆ สองหนุ่มเกือบเมาแต่ก็พากันกลับมาบ้านได้อย่างปลอดภัย...“ไม่เมาไม่กลับ”ตามโครงการของ“สสส.”(ส่งเสริมสุขภาพผู้ดื่มสุรา...อิอิ)

“พี่เต้ครับ...” อ้นกอดร่างบางนั้นไว้ในอ้อมแขนแข็งแรง
“ครับอ้น...” เต้กอดและหอมแก้มเด็กหนุ่ม พลางเอามือจับเส้นผมที่ปรกหน้าผากใสๆ...
“พี่รักอ้นนะครับ” เต้บรรจงจูบปากบางสวยของอ้นไว้ กลิ่นรสของเบียร์ยังกรุ่นอยู่ เรียวลิ้นกระหวัดรัดเกี่ยวกันไว้ ความหอมหวานของริมฝีปากของเด็กหนุ่มทำเอาร่างบางๆของเต้สั่นสะท้าน เสื้อผ้าอาภรณ์ถูกถอดและเหวี่ยงไปทุกทิศทุกทาง สองร่างขาวเปลือยกอดก่ายกันบนเตียง แสงไฟบนเพดานขับผิวของทั้งสองให้ขาวโพลน ผมกระเซิงไม่เป็นทรงของอ้นแม้จะดูรุ่มร่ามแต่ก็เซ็กซี่ยามไร้ซึ่งสิ่งใดๆปกปิดเรือนกาย แก่นกายขนาดยาวแต่ไม่เกินกว่าที่ริมฝีปากของชายหนุ่มจะรับไหว บั้นเอวของเด็กหนุ่มกระทั้นเยือกขึ้นลงตามจังหวะของเสียงสวรรค์...อ้า ...อ้น...

“ขอบคุณครับพี่เต้” อ้นพูดพลางซบลงหอบกับซอกแขนของชายหนุ่ม
“ดีมั้ยครับอ้น...พี่รักอ้นที่สุดเลย...ชีวิตนี้พี่คงขาดอ้นไม่ได้แน่...” เต้พร่ำพรรณนาถึงความรู้สึกประดามี
“ผมก็รักพี่...” อ้นพูด...ใจจริงแล้วเขาเองไม่อยากจะฟังสิ่งที่เต้พูดสักเท่าไหร่ เพราะยิ่งฟังมันก็ยิ่งเจ็บ...เจ็บที่จะต้องสารภาพอะไรบางอย่าง

“พี่เต้ครับ...ผมมีเรื่องจะปรึกษา...” อ้นพูดประโยคนี้อีกครั้ง

“อืม...เรื่องอะไรครับ...” เต้จับหน้าของอ้นมาใกล้ๆ

“พี่เต้...ผม-ทำ-ส้ม-ท้อง”  อ้นพูดช้าๆชัดๆ มันทำเอาชายหนุ่มถึงกับอ้าปากค้าง....

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 14-10-2009 04:53:16
ตกลงอ้นรักเต้หรือเปล่า
แล้วส้มล่ะ อ้นเลือกลูกแล้วรักส้มมั้ย
ดูจากกิริยาวาจาของส้มแล้ว ชักไม่มั่นใจว่าเธอจะคบอ้นคนเดียว
สงสารเต้จริงๆ
ขอบคุณมากนะคะๆ รอลุ้นต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59=
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 14-10-2009 05:46:04
สงสารเต้อะ คงช็อคมากๆเลย

อ้นเอง ก็คงไม่อยากทำบาปด้วยแหละ เลยอยากเก็บลูกไว้
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59=
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 14-10-2009 10:35:29
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก~~~

เรื่องนี้จะทำให้คุณยิ้มทั้งน้ำตา   มีความสุขได้ไม่เกิน 3 ตอน คนแต่งก็ใจร้ายเอาความเครียดกับความเศร้ามาเยือน

ฮืออออออออออออออออออออออออออออออออออออ :sad11:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59=
เริ่มหัวข้อโดย: mango ที่ 14-10-2009 12:49:25
Thank you,
waiting for next chapter.
pleaseeeeeee :call:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59=
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 14-10-2009 13:23:18
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก
เริ่มเข้าสู่โหมดเคลียด
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 14-10-2009 14:31:02
จะมีเรื่องดี ดี สำหรับ อ้น และ เต้ หรือเปล่านะ




ดูแล้วช่วงนี้ออกจะเครียดกันมากเลน




 :z2:     :z2:   :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59=
เริ่มหัวข้อโดย: viky_mama ที่ 14-10-2009 17:30:08
ยิ่งอ่านก็ยิ่งชอบอ้นนะ ลูกผู้ชายตัวจริงมากๆ กล้าทำกล้ารับ

สู้ๆ นะทั้งสองคน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 15-10-2009 05:07:35
59.1 คำขอโทษ

“จริงเหรออ้น” เต้ถามซ้ำ...ไม่ใช่ไม่เชื่อที่อ้นพูด แต่ปากมันพาไป...มันพูดไปตามสัญชาตญาณ ใจสั่นหวิว...น้ำตาร่วงหล่นออกมาทางหางตา
“พี่เต้...ผมขอโทษ...ผมขอโทษ...พี่เต้...ผมผิดไปแล้ว...”  อ้นกอดร่างบางนั้นไว้แน่นแล้วพร่ำพรรณนาคำขอโทษออกมา...
“อ้น...ทำไม...ทำไมถึงท้อง...อ้น...ทำไมมันถึงต้องเป็นแบบนี้...ฮือ...ฮือ...”  เต้ร้องไห้แล้วซบหน้าลงกับแผงอกเปล่าเปลือยของเด็กหนุ่ม
“ผมไม่รู้...ผมไม่รู้ครับพี่...”  อ้นร้องไห้กอดเต้เอาไว้แน่น
“เค้าท้องกี่เดือนแล้ว...หา...อ้น...บอกพี่ซิ...”  เต้ถามพลางร้องไห้พลาง มันเจ็บปวดรวดร้าว มันระบมไปหมดทั้งหัวใจ
“สองเดือนแล้วครับ...”  อ้นตอบแล้วหลบสายตาของเต้ที่จ้องเขม็งมา
“เอาเด็กออกได้มั้ย...” เต้ถาม...แต่ใจก็คิดอยู่ว่า...อ้นคงจะไม่ต้องการแบบนั้น...
“ผม...ผม...เอ่อ...” อ้นอึกอัก
“จะต้องใช้เงินเท่าไหร่...อ้นบอกพี่...ใช้เงินกี่หมื่น...พี่จ่ายให้...” เต้ละล่ำละลัก พยายามจะหาทางออกให้กับแฟนหนุ่ม อ้นเอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าสบสายตาด้วยเลย
“ผมไม่กล้าให้เค้าเอาเด็กออก...ผมกลัว...” อ้นบอกความจริงในใจ ทำเอาเต้ร้องไห้โฮออกมาอีกรอบ...เพราะถ้าอ้นจะเอาเด็กออก...เขากับเด็กหนุ่มก็จะได้อยู่ด้วยกัน สร้างฝันร่วมกันได้ดังเดิม แต่ถ้าอ้นไม่ยอมเอาเด็กออกแล้ว...ทุกสิ่งทุกอย่างที่ร่วมคิด...ร่วมฝัน ...ต้องพังทลายลงในพริบตา...
“หมายความว่า...อ้นจะ...” เต้พูดได้แค่นั้น
“ครับพี่...ผมจะรับผิดชอบทั้งหมด...” อ้นพูดหนักแน่น...อ้นยืนยันคำเดิมแม้จนวินาทีนี้...วินาทีที่จะทำให้หัวใจของเต้...แหลกสลายลงตรงหน้า
“พี่เต้ครับ...ผมรักพี่นะครับ...แต่ผมคงจะร่วมฝัน...ร่วมสุขกับพี่ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว...ผมเสียใจ...เสียใจมาก...ที่ทำให้พี่เสียใจ” อ้นจับมือเต้ไว้แน่น
“พี่เข้าใจนะอ้น...ฮือ...ฮือ...ฮือ” เต้ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง อ้นดึงชายหนุ่มเข้ามากอดไว้แน่น สัมผัสรักครั้งสุดท้ายจากอ้อมกอดของคนรักนี่...ไม่รู้ว่ามันทรมานหรือมีความสุขกันแน่...นาทีนั้น...อ้นและเต้ไม่รู้เลย

................................................

          อ้น กลับมาถึงบ้านในวันรุ่งขึ้น เด็กหนุ่มนอนซึมอยู่ในห้องนอนทั้งวัน...ข้าวปลาไม่ได้กิน...จนเย็นย่ำ...พ่อแม่ถึงได้กลับมา พ่อและแม่ของอ้นเป็นข้าราชการครู ฐานะปานกลางและไม่ได้ร่ำรวยอะไร...อ้นเดินหมดเรี่ยวแรงลงมาหาพ่อแม่ข้างล่าง ...ทาวน์เฮาส์สามชั้นที่ยังผ่อนธนาคารอยู่คือที่ซุกหัวนอนของครอบครัว...อ้นรู้สึกไม่อบอุ่นเท่าไหร่นัก...แม้เขาจะเรียนพอใช้ได้แต่ก็ยังไม่เก่งเหมือนกับพี่สาว...หลายครั้งที่ถูกเปรียบเปรย...และกระทบกระเทียบ...เด็กหนุ่มเบื่อที่จะคิด...คิดไปก็ไม่มีประโยชน์...เลิกคิดแล้วออกเที่ยวเตร่กับเพื่อน ที่มหาวิทยาลัยดีกว่า...แต่วันนี้อ้นกำลังเดินคอตกลงมาข้างล่าง...มันเหมือนกับผู้ต้องหาที่กำลังจะถูกศาลสูงพิพากษา...ความผิดอาญาร้ายแรง...

..................................................

“...เพี้ยะ...” เสียงฝ่ามืออันแข็งแกร่งกระทบหน้าใสๆบางๆของเด็กหนุ่ม มันเรียกเลือดสดๆให้ไหลออกมาทางมุมปากทันที
“คุณ...หยุดนะ...”  เสียงแม่ห้าม...แต่ไม่เป็นผล...ความเจ็บและชามันกำลังทำให้ปากหนัก...ใบหน้าก้มลง ต่ำ...น้อมรับ...ทุกสิ่งที่กระทำ...น้ำตาของลูกผู้ชายไหลออกมาเต็มสองแก้ม ...มือบางๆของแม่เชยคางขึ้น...สิ่งแรกที่อ้นมองเห็นคือ...หยาดน้ำตาของแม่ ...หยาดน้ำตาแห่งความรักและอาทร...
“เป็นไงบ้างลูก...เจ็บมั้ย...” แม่ถามพลางดึงเอาอ้นเข้ามากอดไว้...เสียงหัวใจของแม่ดังตึกตัก...ราวกับเสียงปี่กลองที่โหมประโคมตี...
“ไม่ครับแม่...มันน้อยไปด้วยซ้ำ...” อ้นเสียงเครือ...รสเค็มปร่าของเลือดที่มันไหลลงคอกลิ่นคาวติดจมูก...ริมฝีปากด้านในแตกปริ...อ้นเอาลิ้นดุนๆ...เลือดยิ่งออกมาอีก...
“อ้น...พ่อโมโหน่ะลูก...พ่อโมโหมาก...ลูกอย่าโกรธพ่อนะ...” แม่ออกรับแทนพ่ออีกแล้ว...ตั้งแต่จำความได้...อ้นไม่เคยเห็นพ่อจะต้องรับผิดเลยสักครั้ง
“ครับ...อ้นไม่โกรธ...อ้นผิดเองครับแม่..อ้นผิดเอง...อ้นขอโทษ” อ้นกัดริมฝีปากตัวเองแน่น...ความคับอกคับใจต่อพ่อ...ยังมีอยู่อย่างเสมอต้นเสมอปลาย...

“แม่...ไอ้อ้นมันไปทำอะไร...มันไปทำใครท้อง...” เสียงแว้ดๆของพี่สาวมาก่อนตัว
“แกน่ะเงียบๆเถอะ...” แม่สวนกลับ
“ดูสิ...มันไปทำระยำขนาดนี้แล้วแม่ก็ยังไปให้ท้ายมันอีก...บ้านช่องไม่เคยอยู่ ...หนูทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาด...แทนที่จะช่วยกันดูแลบ้านบ้างไม่มีละ ...เอาแต่ตะลอนๆไปทั่ว...นี่เมียมันท้องอีก...จะเอาปัญญาที่ไหนมาเลี้ยงลูก...” พี่สาวที่คลานตามกันมายังไม่เข้าข้าง...ไม่ถามสักคำ...เอาแต่บ่นด่าและพล่ามไปเรื่อย...
“..............” อ้นเงยหน้าส่งสายตาแข็งกร้าว...มองไปที่พี่สาวที่กำลังกดรีโมทเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ไปเรื่อยๆ...แต่ปากไม่หยุดพูด
“แม่ครับ...ช่วยอ้นด้วย...” อ้นกอดแม่แล้วร้องไห้ หัวใจที่แข็งแกร่งดั่งหินผาในวันนั้น...แต่ในอ้อมกอดของแม่...มันอ่อนไหว ..สะท้านเยือก...มันเหน็บหนาวราวกับอยู่บนก้อนน้ำแข็งเลยทีเดียว
“อ้นจะเอายังไงลูก...” แม่ถามถึงทางออก...มีแม่คนเดียวที่เชื่อว่าอ้นเป็นคนที่รับผิดชอบ และสิ่งที่แม่คิดไว้ก็ไม่ผิด
“ผมจะเอาเด็กไว้ครับ...แต่ส้มจะเอาเด็กออก...อย่าให้ส้มเอาออกนะแม่” อ้นร้องไห้...ตอนนี้เด็กหนุ่มไม่เหลือใครอีกแล้วที่จะเป็นที่พึ่งได้...นอกจาก“แม่”คนเดียวเท่านั้น
“อ้นคุยกับส้มรึยังล่ะลูก...” แม่พูดพลางลูกหัวลูกชายด้วยความรักและเห็นใจ
“คุยแล้ว...แต่ส้มไม่ยอม...” อ้นพูดเบาๆเหมือนจะรู้ชะตากรรมของลูก...ในท้องส้ม
“..............” เสียงแม่ถอนหายใจ...
“ถ้าส้มไม่ยอม...อ้นจะทำยังไงล่ะลูก...” แม่ถามทำเอาอ้นน้ำตาไหลออกมาอีก
“ไม่รู้เหมือนกันครับแม่...” เสียงแผ่วๆ...ราวกับคนที่หมดความหวัง
“กินข้าวกินปลาก่อนเถอะลูก....แม่ซื้อไข่พะโล้มาให้อ้นด้วยนะลูก...กินอะไรบ้างรึยังลูก...ไหนดูซิ” แม่ลุกขึ้นยืนพลางดึงเอาร่างเด็กหนุ่มขึ้นมา ร่างกายที่ผ่ายผอมซีดเซียว แววตาที่หมดอาลัยตายอยาก
“ไปกินข้าวกันดีกว่าลูก...เดี๋ยวเราค่อยๆคิดค่อยๆอ่าน” แม่เดินโอบเอวลูกชายเข้าไปในครัว สองคนแม่ลูกช่วยกันแกะกับข้าวถุงใส่ชาม
“พ่อล่ะครับ...” อ้นถาม
“เดี๋ยวแม่ขึ้นไปเรียก” แม่เดินขึ้นไปสักพักแล้วกลับลงมา

“เรากินกันก่อนเถอะลูก...พ่อเค้ายังไม่กิน...” อ้นกับแม่ลงนั่งกินข้าวอย่างฝืดคอเต็มทน
................................................

          เด็กหนุ่มยืนอยู่กลางแดดจ้าหน้าบ้านของส้ม อ้นกดกริ่งเรียกสักพักส้มจึงออกมาเปิดประตู แต่ก็ไม่ให้อ้นเดินเข้าไปในบ้าน

“มาทำไม...” ส้มหงุดหงิดอีกแล้ว
“ส้ม...อ้นอยากจะให้ส้มเอาเด็กไว้...” อ้นเสียงอ่อย...มันแผ่วเบาราวกับอยู่ไกลแสนไกล
“อ้นจะเอาอะไรมาเลี้ยงมัน...อย่าบอกนะว่าจะขี่มอไซค์รับจ้าง...” ส้มแหวขึ้นมาอีก
“เอ่อ...คือ...อ้นจะหางานพิเศษทำ...” อ้นคิดไว้หลายอย่าง...เมื่อคืนนี้นอนคิดทั้งคืน...จะหาเงินยังไงดีเขาอาจจะรับ สอนพิเศษคณิตศาสตร์หรือฟิสิกส์ที่เขาถนัด เดือนๆก็น่าจะได้หลายเงินอยู่
“เป็นเด็กเสิร์ฟ...หรือจะเป็นผัวกะเทย...” ส้มตอกกลับอย่างดูถูก
“ส้ม...มันบาปกรรมนะ...” อ้นพยายามชี้ให้เห็นถึงบาปบุญคุณโทษเผื่อเป็นอีกทางที่ทำให้ส้มสำนึกได้
“อนาคตของส้ม...ไม่ได้อยู่แค่นี้นะ...ถ้าพ่อแม่รู้จะทำยังไง...อ้นจะโดนยิงกบาลรึ เปล่า...ส้มยังไม่รู้เลย...ไม่รู้ละ...ส้มจะไปเอาเด็กออก...” ส้มพูดเหมือนตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
“ส้ม...อย่าเลยนะ...อ้นขอร้องละ...” อ้นน้ำตาไหลอาบแก้ม
“อย่ามาห้ามเลย...พรุ่งนี้อ้นมารับด้วยแล้วกัน...ส้มจะให้แก้วมันไปด้วย...มันรู้ที่” ส้มพูดก่อนจะปิดประตูเหล็กใส่หน้า อ้นคอตก...ทรุดลงนั่งกับพื้นปูนที่ร้อนแล้ง...กระไอแดดสะท้อนเข้าใบหน้า ...หมวกแก๊ปที่สวมอยู่ไม่ได้กันอะไรได้เท่าไหร่เลย...ความร้อนของแดดยังคง แผดเผาร่างผอมและล้าอ่อนแรงนั้น เด็กหนุ่มหมดแรงเดินจึงเข้าไปนั่งในร้านขายน้ำใกล้ป้ายรถเมล์

“ปรีย์มึงอยู่ไหนวะ...มารับกูหน่อยสิ” อ้นส่งเสียงแผ่วๆไปตามสาย ปรีย์รับปากแล้วว่าจะรีบมารับ

          ราวๆ ครึ่งชั่วโมงปรีย์ก็ขับรถมารับ เด็กหนุ่มออกไปจากตรงนั้น ขึ้นรถได้อ้นก็ปล่อยโฮ...ออกมาอย่างไม่อายใครเลย...ที่นี่มีเพื่อนคอยปลอบใจ ...อีกครั้งที่ปรีย์ต้องทำหน้าที่

“ร้องไปเลย...ร้องมันออกมาให้หมด...ระบายมันออกมาเพื่อน” ปรีย์ลูบหลังลูบไหล่เพื่อนรักด้วยความรักและห่วงใย

“อยากไปไหนรึเปล่า” ปรีย์ถาม
“ไม่รู้สิ...กูไม่รู้...จะไปไหนก็ไปเถอะ” อ้นพูดพลางหันหน้าออกด้านข้าง เหม่อมองสรรพสิ่งที่แล่นผ่านไป ดวงตาเด็กหนุ่มแดงช้ำ น้ำตาเริ่มไหลออกมาเป็นทาง ปรีย์พาอ้นขับรถไปหาเพื่อนอีกสองคนคือแคนกับทีม ทั้งสามหนุ่มช่วยกันคุยเพื่อปลอบใจเพื่อนรักของเขา จนกระทั่งตอนเย็นอ้นจึงให้ปรีย์ขับรถไปส่งที่บ้านเต้...ความห่วงหาและความรักที่ก่อเกิดขึ้นในใจทำให้อ้นอดคิดถึงเต้ไม่ได้...

“ปี๊ด...ปี๊ด...ปี๊ด...ปี๊ด...” เสียงสัญญาณที่ไม่มีคนรับสายทำเอาอ้นเริ่มกังวลเล็กน้อย
“เป็นไรวะมึง...ดูกังวลใจยังไงไม่รู้” ปรีย์ถาม
“เอ่อ...เอ่อ...” อ้นไม่รู้จะบอกเพื่อนยังไงถึงความกังวลใจที่เกิดขึ้น
“มึงบอกกูมาเถอะ...มึงมีใครใหม่แล้วหรือไง...แล้วทำไมต้องปิดพวกกูด้วย” แคนถาม
“เจ้าของคัมรี่ที่มึงขับมาน่ะเหรอ” ทีมยิงคำถามเข้าแสกหน้าอ้นอย่างจัง
“เอ่อ...กูโทรหาพี่เค้าไม่ติดว่ะ” อ้นอ้ำอึ้งตอบไม่ตรงคำถาม
“กูเห็นแล้วว่ามึงโทรไม่ติด...กูเลยถามมึงว่า“ใคร”ที่มึงโทรหา”  ปรีย์ชี้แจงและขยายความให้ชัดเจน

“พี่เค้าชื่อ“เต้”...กูกับพี่เค้ารักกัน”  อ้นตอบอย่างเลี่ยงไม่ได้

“ชื่อเต้ก็ผู้ชายน่ะสิ...”  ทีมถาม

“ไอ้อ้น...มึงเป็นเกย์”   ปรีย์อุทานออกมาอย่างไม่เชื่อหู...

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.1=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 15-10-2009 05:15:19
ครอบครัวอ้นก็ไม่ได้อบอุ่นเอาเสียเลย
ยังดีที่แม่ยังเข้าใจ
ตอนนี้อ้นก็ห่วงสองทาง เรื่องส้มจะเอาลูกออก
แล้วยังจะห่วงเต้อีก เกิดอะไรขึ้นหละเนี่ย
บวก 1 แต้มนะคะ ขอบคุณมากค่ะ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.1=
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 15-10-2009 05:49:32
หนักใจแทนอ้นจริงๆครับ อ่านแล้วบางทีทำให้รู้สึกไปเองอะว่า "เป็นคนดีนี่มันเหนื่อยเนาะ"
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.1=
เริ่มหัวข้อโดย: viky_mama ที่ 15-10-2009 06:07:16
เฮ้อเศร้า หวังว่าเพื่อนๆ คงไม่รังเกียจอ้นเพราะเป็นเกย์อีกหรอกนะ แล้วทำไมเต้ไม่รับโทรศัพท์ละ เครียดๆๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.1=
เริ่มหัวข้อโดย: mango ที่ 15-10-2009 06:24:31
worry, worry   :monkeysad:

Thank you, please continue soon na ka.  :L1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.1=
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 15-10-2009 11:01:23
 :sad4: โอ๊ยย~~~~ เครียดดดด.....  ลงตับ

เฮ้อออ............ 

 :L2: รีบมาต่อเร็วๆนะคะ 
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.1=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 15-10-2009 14:38:17
น่าเป็นห่วงจริงๆเลย

เครียดแทนอ้น
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.1=
เริ่มหัวข้อโดย: kikipanda ที่ 15-10-2009 15:24:39
อ๊ากกกกก อ่านถึงตอนนี้แล้วอึดอัด ขับข้องมากกกกก

เรื่องอ้น-เต้-ส้ม มันไปทางไหนเนียะ :serius2:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.1=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 15-10-2009 16:40:46
จะเป็นกำลังใจให้อ้นนะ








 :z2:     :z2:     :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.1=
เริ่มหัวข้อโดย: 0nePiece ที่ 15-10-2009 22:23:31
 :monkeysad:สงสารเต้

รักอ้น

แต่....
 

เกลียดส้ม   :a5:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.1=
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 15-10-2009 22:35:29
 :เฮ้อ:ปวดกะบาลแทนอ้นจัง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.1=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 16-10-2009 06:06:55
59.2 รอยยิ้ม

          ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ชายหนุ่มสองคนเข็นรถเข็นสัมภาระผ่านออกมาทางช่องทางของผู้โดยสารที่เดินทางมาจากเมลเบิร์น ธีร์มองหาลุงชดที่มารับแล้วเดินเข้าไปหาทันทีที่พบ สองหนุ่มเดินทางกลับมาบ้านที่เพลินจิต หลังจากที่เข้าห้องใครห้องมันและจัดการกับสัมภาระทั้งหมดแล้ว หนุ่ยเดินเข้าไปหาธีร์ในห้อง

“เหนื่อยมั้ยครับพี่” หนุ่ยกอดเอวแล้วนอนซบกับหน้าท้องเนียนขาว
“ง่วงจังเลย...”  ธีร์บ่นเบาๆแล้วหลับตาลง หนุ่ยนอนหนุนหน้าท้องอยู่อย่างนั้นจนหลับไปด้วยกัน แสงแดดยามบ่ายที่ส่องเข้ามาแยงตาทำให้หนุ่ยลืมตาขึ้นมาสู้แสงจ้า แอร์เย็นเฉียบทำเอาหนาวจนขนลุก หนุ่ยดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างบอบบางเอาไว้แล้วขยับให้หัวของธีร์หนุนแขนแกร่งของเขา

“หนุ่ย....ตื่นแล้วเหรอ...”  ธีร์ครางเบาๆ ตาปรือ
“แสงแดดมันเข้าตาครับ...พี่ธีร์หิวรึยัง”  หนุ่ยถามพลางกดจมูกลงที่แก้มใสๆของคนรัก
“อืม...หิวเหมือนกัน...อยากกินแกงส้มจังเลย...” ธีร์พูดขณะที่ตายังหลับ
“ใจเดียวกันเลย...อยากกินกับเนื้อเค็ม” หนุ่ยพูดพลางขยับตัวจะลุกออกจากเตียงแต่ธีร์คว้าเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยวก็ได้...นอนก่อนเถอะ....” ธีร์รั้งเอวเด็กหนุ่มไว้
“งั้นผมโทรไปบอกป้าจิตแล้วกัน” หนุ่ยเลือกที่จะไม่ขัดใจคนรัก หนุ่ยกดโทรศัพท์บอกกับป้าจิต
“ดีครับ...” ธีร์กอดเด็กหนุ่มไว้ในอ้อมแขน
“พี่ธีร์ไปทำงานเมื่อไหร่ครับ...”
“มะรืนนี้...” ธีร์ยิ้มสวย แสงสว่างนวลจากผ้าม่านขับผิวให้ขาวขึ้น
“หนุ่ย พี่มีอะไรจะให้...” ธีร์ลุกลงจากเตียงออกไปหยิบซองสีน้ำตาลมาจากตู้เอกสารข้างโต๊ะเขียนหนังสือ
“อะไรน่ะพี่...” หนุ่ยลุกขึ้นมานั่งมองด้วยความสนใจ ธีร์มีอะไรมาเซอร์ไพรส์เขาอีก
“ก็ที่หนุ่ยเคยขอพี่ไว้ไงครับ...” ธีร์เดินลงมานั่งข้างๆแล้วหยิบเอกสารออกมาจากซอง มันเป็นหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ในคอนโดที่ถนนพระราม 3
“พี่โอนสิทธิ์ให้หนุ่ยแล้วนะ...ต่อไปนี้คอนโดนี้เป็นของหนุ่ยแล้ว”ธีร์ยิ้มอย่างใจดี
“พี่ธีร์...ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้ครับ...ผมแค่พูดเล่นๆ” หนุ่ยตกใจกับสิ่งที่ธีร์ทำให้
“ไม่ได้หรอกหนุ่ย...พี่อยากให้หนุ่ยนะ...อยากให้คนที่พี่“รัก”...หนุ่ยจะไปอยู่ที่คอนโดหรือหนุ่ยจะอยู่ที่นี่ต่อไปก็ได้”  ธีร์พูดแล้วยิ้มกว้าง เขาภูมิใจในสิ่งที่ได้ตัดสินใจมอบอะไรบางอย่างที่มันมีความหมายกับชีวิตให้กับคนที่รักที่สุด ณ เวลานี้
“พี่ธีร์...ขอบคุณครับ...พี่ดีกับผมเหลือเกิน...” หนุ่ยกระพุ่มมือไหว้ขอบคุณแล้วกราบลงที่อก ธีร์กอดรับแทนการรับไหว้
“พี่ดีใจที่ได้ให้อะไรกับหนุ่ย...คอนโดฯนี้มันมีความหมายกับพี่มากจริงๆ...แต่ที่พี่ให้หนุ่ยเพราะหนุ่ยเป็นคนที่มีความหมายกับพี่...เป็นคนที่พี่รัก ...เพราะฉะนั้นไม่มากไปเลยที่พี่จะให้อะไรเล็กน้อยกับคนที่พี่รัก”  ธีร์พูดแล้วน้ำตาไหลปริ่มออกมาทางหางตา มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความเสียใจแต่มันเป็นน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มใจมากกว่า

“ผมรักพี่...” หนุ่ยไม่รู้จะพูดอะไรมากไปกว่านี้เพราะเขาตื้นตันมากเกินกว่าจะเอ่ยอะไรออกมาได้
“พี่ก็รักหนุ่ยนะ...” ธีร์กอดเด็กหนุ่มไว้แน่น

          เช้าวันรุ่งขึ้นหนุ่ยกดโทรศัพท์ไปหาแคนและได้รับรู้ถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในขณะที่เขาไม่อยู่ หนุ่ยเงียบไปเมื่อแคนเล่ามาถึงเรื่องที่ส้มตั้งท้อง

“แล้วอ้นมันจะเอายังไงวะ” หนุ่ยพูดออกมา
“มันน่ะจะเอาเด็กไว้...แต่ส้มไม่ยอม...จะเอาออกให้ได้...” แคนถอนหายใจหนักหน่วง
“แล้วตอนนี้ส้มเอาเด็กออกไปแล้วใช่มั้ย...” หนุ่ยถามออกมา
“อืม...ส้มแม่งไม่ยอม...บังคับให้ไอ้อ้นพาไปเอาออก...แม่งใจร้ายฉิบหาย...” แคนสบถออกมาด้วยความไม่พอใจ
“ส้มมันคงอยากจะมีอนาคตน่ะ...มึงอย่าไปว่ามันเลย...กูว่าคนเราทุกคนย่อมมีเหตุผลของตัวเอง...ส้มมันเป็นผู้หญิงที่อยู่ในโอวาทของพ่อมันมาตลอด...มึงคิดดูสิ ...ถ้าพ่อมันรู้เรื่องขึ้นมา...ไม่ใช่แค่ส้มหรอกนะที่จะเดือดร้อน...กูว่าไอ้อ้นมันอาจจะไม่มีแผ่นดินจะอยู่ด้วยซ้ำไป...” หนุ่ยมองโลกอย่างเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์
“อืม... คิดอย่างนั้นมันก็ถูก...สงสารแต่ไอ้อ้น...นี่กูไม่รู้เหมือนกันว่ามันหายไปไหน...มันเงียบไปตั้งแต่เมื่อวานซืน...วันที่มันพาส้มไปเอาเด็กออกนั่นแหละ...” แคนเห็นผิดสังเกตที่เพื่อนเงียบไป
“โทรไปหามันบ้างรึเปล่า” หนุ่ยพูดออกมาด้วยความเป็นห่วง
“เปล่า...” แคนพูดเบาๆ
“อ้าว... เวรกรรม...มึงนะมึง...ไม่ดูเพื่อนเลย...เดี๋ยวกูไปรับ...แล้วเราไปหาไอ้อ้นที่บ้านมันกัน...กูซื้อของมาฝากพวกมึงด้วย...คอยเดี๋ยวนะกูจะไปรับ...” หนุ่ยกำลังจะวางหูแต่ได้ยินเสียงแว่วๆมาจากแคนอีกจึงกลับมาพูดใหม่
“อะไรวะ...” หนุ่ยถาม
“มึงรู้รึเปล่าว่าไอ้อ้นมันเป็นเกย์...” แคนพูดเบาๆยังกับจะมีคนมาได้ยินเข้า
“กูรู้แล้ว...” หนุ่ยพูดออกมาก่อนที่จะวางหูไป ทำเอาแคนอ้าปากค้างและเพิ่มความสงสัยอีกว่า...“หนุ่ยรู้ได้ยังไง”

          บีเอ็มดับเบิ้ลยูคันหรูขับออกมาจากบ้านของทีม เด็กหนุ่มสามคนนั่งกันมาในรถ ทั้งหมดมุ่งหน้าไปหาอ้นเพื่อนรัก ด้วยจุดประสงค์เดียวกันคือ... “เยี่ยมเยียนและให้กำลังใจ” สักพักเดียวเด็กหนุ่มทั้งสามคนก็ลงมายืนบิดขี้เกียจหน้าบ้านของอ้น ทีมเดินเข้าไปกดกริ่งที่หน้าบ้าน สักพักแม่ของอ้นก็เดินออกมา หลังจากทักทายกันแล้ว เด็กหนุ่มก็ถามถึงเพื่อนของเขา แต่คำตอบที่ได้รับกลับทำให้ทุกคนคลางแคลงใจเข้าไปใหญ่

“แล้วอ้นไม่ได้บอกแม่เหรอครับ...ว่ามันไปไหน” หนุ่ยถาม
“ไม่ได้บอกหรอกลูก...ปกติอ้นก็ไม่ได้กลับบ้านอยู่บ่อยๆ...” แม่พูดพลางก้มหน้าหลบตาเด็กๆ
“แม่ครับ...บอกหน่อยเถอะครับ...พวกเราเป็นห่วงอ้นจริงๆนะครับ” หนุ่ยอ้อนวอน เพราะรู้สึกว่าแม่มีอะไรที่ยังบอกเขาไม่หมด “ไอ้อ้นอาจจะสั่งไม่ให้บอกใครก็ได้”หนุ่ยคิดในใจ
“แม่ก็ไม่รู้จริงๆ...ถ้าหนูๆรู้โทรมาบอกแม่หน่อยนะลูก” แม่เนียนไปตามบทบาทที่อ้นสั่งไว้
“เอ่อ...ถ้าผมรู้ผมจะโทรมาบอกนะครับ...” แคนพูด
“ถ้าอย่างนั้นผมลาไปก่อนนะครับ...ถ้ามีอะไรผมจะโทรหา...หรือถ้าอ้นกลับมาแล้วแม่โทรหาผมหน่อยนะครับ...ผมจะได้ไม่ต้องห่วงมัน...” หนุ่ยจดเบอร์โทรศัพท์ใส่บัตรทางด่วนแล้วยื่นให้แม่...ก่อนจะยกมือไหว้แล้วพากันเดินออกมาขึ้นรถ

“ไอ้หนุ่ย...ทำไมมันง่ายอย่างนั้นวะ...กูว่ามึงน่าจะเซ้าซี้สักหน่อย...เดี๋ยวแม่ก็บอก” แคนพูดอย่างอารมณ์เสย
“แม่เค้าอาจจะยังไม่อยากจะพูดอะไรตอนนี้ก็ได้มั้ง” ทีมเอ่ยขึ้นมาบ้าง
“เชื่อกูสิ...เดี๋ยวแม่เค้าต้องโทรหากู” หนุ่ยมั่นใจอย่างนั้น แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะวันรุ่งขึ้นแม่ของอ้นก็โทรเข้ามาที่มือถือของหนุ่ย

“ครับแม่...อ้นกลับมาแล้วเหรอครับ...” หนุ่ยส่งเสียงใสๆไปตามสายบ่งบอกว่าดีใจที่จะได้รับข่าวบางอย่างจากเพื่อน
“หนุ่ย...แม่ต้องขอโทษที่วันนั้นแม่ไม่ได้บอกลูก...อ้นสั่งไว้น่ะลูก...” แม่พูดออกมาอย่างที่หนุ่ยคิดเอาไว้ไม่มีผิด
“มีอะไรครับ...ทำไมต้องเป็นความลับด้วยครับ...” หนุ่ยถาม
“อ้นสั่งไว้น่ะลูก...ว่าให้แม่บอกหนุ่ยคนเดียว...แล้วย้ำว่าไม่ให้หนุ่ยบอกเพื่อนๆ” แม่พูดชัดถ้อยชัดคำ
“ครับ...แล้วตอนนี้อ้นอยู่ที่ไหนครับ...” หนุ่ยอยากรู้เหลือเกิน...
“อ้นบวชอยู่ที่หนองคายน่ะลูก...” แม่พูดออกมา
“เหรอครับ...วัดอะไรครับแม่...” หนุ่ยซักถามรายละเอียดของวัดมาจากแม่ก่อนจะยกหูหาธีร์...

“พี่ธีร์ครับ...พี่ธีร์ไปหนองคายกับผมได้มั้ยครับ...” หนุ่มชวนธีร์ไปเป็นเพื่อน
“ไปทำไม...”  ธีร์กำลังงุนงงและจับต้นชนปลายไม่ถูก...เขาเองเพิ่งจะวางหูจากเต้...เต้อาการหนักพอสมควร ธีร์กำลังแต่งตัวเพื่อจะไปหาเต้...ยามเดือดร้อนต้องรีบไปให้กำลังใจ...
“ไปหาอ้นครับ...” หนุ่ยตอบ
“นี่พี่กำลังจะไปหาเต้...เพื่อนเราสร้างเรื่องไว้...พี่เต้จะแย่อยู่แล้วเนี่ย” ธีร์หงุดหงิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น...เขาห่วงเต้มากกว่าอะไรทั้งหมด
“เดี๋ยวผมไปรับนะพี่...จะถึงบ้านแล้ว” หนุ่ยวางสายแล้วเลี้ยวเข้าซอย

          ที่บ้านเต้...หนุ่ยกับธีร์เดินขึ้นไปบนห้องนอนของเต้...ธีร์เดินเข้าไปเห็นเต้ ...ที่ตอนนี้ตาบวมแดงช้ำอย่างหนัก...ธีร์รู้สึกไม่ดีเอามากๆ

“เต้...เป็นยังไงบ้าง...”  ธีร์เดินเข้าไปกอดเต้เอาไว้แน่น...เต้กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงโดยมีธีร์ยืน อยู่ข้างๆ เต้กอดธีร์เอาไว้แน่น...แล้วร้องไห้ออกมาอย่างหนัก...
“ธีร์...ช่วยด้วย...ช่วยด้วย...ไม่ไหวแล้ว...เต้ไม่ไหวแล้ว...อ้นจะไปอยู่กับคนนั้น...เต้ไม่ไหวแล้ว...ฮือ...ฮือ...ฮือ”  เต้ระเบิดเสียงร้องไห้ออกมาอย่างมากมาย...ราวกับเขื่อนที่ไม่สามารถกั้นน้ำตาไว้ได้อีกแล้ว ตัวเต้สั่นระริกไปหมด หน้าซีดเผือดผมเผ้ายุ่งเหยิงราวกับซากอะไรสักอย่าง...หนุ่ยเห็นแล้วก็นึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก
“เต้ทำใจดีๆเอาไว้นะ...ธีร์มีอะไรจะบอก...ข่าวดีด้วยนะ...”  หนุ่ยอ้าปากค้างเพราะไม่นึกว่าธีร์จะบอกเรื่องนี้กับเต้...อ้นไม่ได้สั่งแม่เอาไว้ แต่ธีร์ก็มองหน้าแล้วพยักหน้าให้ หนุ่ยเข้าใจอะไรได้ไม่ยากนัก จึงเปิดปากเล่าเรื่องน่ายินดีให้เต้ฟังจนหมด...
...................................................

          รถเก๋งคัมรี่ไฮบริดสีขาวปลอดพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างสง่างามราวกับจะให้ทันใจ ผู้โดยสารที่ร้อนรุ่มดั่งไฟเผา เต้นั่งอมยิ้มอยู่เบาะหน้าข้างคนขับ สายตามองไปข้างหน้าราวกับว่าจังหวัดหนองคายอยู่ใกล้ๆแค่อยุธยา

“เร็วๆหน่อยก็ดีนะหนุ่ย...”  เต้หันไปหาเด็กหนุ่มที่กุมพวงมาลัยอยู่ เต้กับหนุ่ยเดินทางมาเพียงลำพังสองคน เขาเข้าไปเก็บข้าวของที่จำเป็นแล้วกลับมารับเต้ที่บ้านก่อนจะออกเดินทางมาตั้งแต่เช้ามืด
“เหยียบจนเกือบมิดแล้วนะพี่...อย่าใจร้อนสิครับ...พระไม่หนีไปไหนหรอก...” เต้กับหนุ่ยกำลังไปตามหาพระอ้น...ที่หนีมาบวชเพื่อไถ่บาป...บาปที่ตัวเองร่วมก่อเอาไว้
“อือ...พี่ขอโทษนะ...พี่ใจร้อนไปหน่อย...” เต้ก้มหน้าลง เสียงเพลงจากเครื่องเล่นเพลงในรถดังกังวาน เพลงรักที่หวานและไพเราะจับใจ เต้เหม่อมองออกไปข้างทาง ต้นไม้ต้นไร่และทิวเขาเลื่อนผ่านไปรวดเร็วราวกับวันเวลา สรรพสิ่งที่หมุนเปลี่ยนกันไป บ้างรู้สึกว่าเร็ว บ้างรู้สึกว่าช้า เพราะเราเอาตัวเองเป็นที่ตั้งรึเปล่า...อยากให้เร็ว...อยากให้จบกลับนิ่งและ เนิ่นนาน บางครั้งอยากให้อยู่นานๆกลับกลายเป็นว่าเวลาก็ผ่านไปรวดเร็วราวจรวด

          เด็กหนุ่มวาดพวงมาลัยรถเข้าจอดที่ใต้ร่มไม่ใหญ่ภายในวัดใกล้ศาลาปฏิบัติธรรม ขณะนั้นมีพระหนุ่มรูปหนึ่งกำลังกวาดใบไม้อยู่ใต้ต้นคูณที่ตอนนี้ไร้พวงดอกสีเหลืองสดใส

“พี่เต้...นั่นใช่อ้นมั้ยพี่...” หนุ่ยชี้ชวนให้เต้ดูวัตรปฏิบัติของพระรูปนั้น ใบหน้าหล่อขาวและอิ่มเอิบ ร่างผอมสูงโปร่งตัดกับสบงสีกลัก
“ใช่...ใช่พระอ้นจริงๆด้วย...หนุ่ย...เข้าไปหากันเถอะ...”  เต้เก็บอาการดีใจไว้แทบไม่อยู่ ชายหนุ่มแทบจะวิ่งเข้าไปหาเลยทีเดียวถ้าไม่มีเสียงห้ามจากเด็กหนุ่ม
“พี่เต้...สำรวมหน่อยสิ...” หนุ่ยพูดเสียงเรียบๆ

“...ครับๆ...”  เต้รับคำก่อนที่จะค่อยๆเดินเข้าไปหา พระหนุ่มเงยหน้าจากสมาธิที่ยึดมั่นถือมั่นอยู่ ในขณะที่กวาดลานวัด ดวงจิตที่ใสสะอาดกำลังกำหนดสมาธิ กำหนดลมหายใจเข้าและออก

“พี่เต้...หนุ่ย...”  พระอ้นอุทานออกมาเบาๆ ก่อนจะสบตากับโยมผู้มาเยือนด้วยความตกใจเล็กน้อย...แต่ก็กลับมาควบคุมอารมณ์ได้เป็นปกติ...ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นตรงหน้า พระค่อยๆวางไม้กวาดทางมะพร้าวไว้ใต้ต้นไม้แล้วเดินนำออกไปจากตรงนั้นโดยไม่พูดไม่จาอะไร พระอ้นเดินนำเต้และหนุ่ยมาถึงกุฏิเล็กๆที่มีเพียงหลังคามุงสังกะสี กุฏิที่อยู่ใต้หมู่ต้นไม้น้อยใหญ่ที่ร่มรื่น อากาศเย็นสบาย หน้ากุฏิมีเพียงเสื่อกกผืนเล็กๆปูอยู่ บริเวณโดยรอบสะอาด ไม่มีแม้สุนัขหรือแมวมานอนให้รกหูรกตา กลิ่นดอกไม้ป่าหอมอ่อนๆโชยมาตามลม แม้จะเป็นเวลากลางวันแต่บริเวณที่เป็นที่พักสงฆ์ไม่ได้ร้อนแล้งอย่างถนนหนทางข้างนอกเลยสักนิด  มันเย็นชื่นใจด้วยร่มไม้ใบบัง หรือว่ามันเย็นโดยเงื้อมเงาแห่งร่มกาสาวพัสตร์ สองผู้มาเยือนนั่งลงบนเสื่อกกผืนเล็กนั้นอย่างเงียบเชียบ หนุ่ยอดทึ่งในวัตรปฏิบัติของเพื่อนรักไม่ได้ เขาหันไปมองเต้ซึ่งตอนนี้กำลังก้มหน้าเอามือปาดน้ำตา...หนุ่ยทายใจเต้ไม่ถูกว่ามันเป็นน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มยินดีหรือน้ำตาแห่งความดีใจที่ได้พบกัน

“ออกมาจากกรุงเทพฯตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ...” เสียงนิ่งและเย็นเยียบเอ่ยทักทายก่อนที่พระจะหันมาเผชิญหน้า
“เอ่อ...ออกมาเมื่อเช้ามืดครับ...” หนุ่ยตอบพระด้วยความประหม่าในท่าทาง...จะวางตัวกับพระเพื่อนยังไง...ในเมื่อตั้งแต่โตมายังไม่เคยเจอพระที่ดูสงบและเย็นนิ่งขนาดนี้
“เหนื่อยหน่อยนะ...พระมาอยู่ตั้งไกล...อุตส่าห์มาหาก็ขอบใจมากนะ...” พระพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“พระ...ทำไมพระไม่โทรหาบ้างเลย...พระรู้มั้ย...” เต้เริ่มพรรณนาออกมาแต่หนุ่ยกลับสะกิดก่อนที่จะกลายเป็นคำตัดพ้อ...ซึ่งหนุ่ยเองมองว่ามันไม่ควร
“เอ่อ...พี่ขอโทษ...เอ่อ...ผมขอโทษครับ...” เต้ตะกุกตะกัก...ไม่รู้จะแทนตัวว่ายังไง
“ไม่เป็นไรหรอกโยม...อาตมาไม่ถือ...อาตมาต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้ส่งข่าวอะไรให้...ทั้งๆที่รู้ว่าโยมห่วงแสนห่วง...” พระพูดออกมาแล้วก้มหน้าสลดลง
“พระ...พระอย่าขอโทษเลย...ผมเองก็สบายใจแล้วที่เจอกับพระในวันนี้...ผมหายห่วงเมื่อเห็นพระมีความสุขและสงบ” เต้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความรัก...ความห่วงใย
“เอ้ากินน้ำกินท่าซะก่อนสิ...นอนสักงีบนึงมั้ยล่ะ...” พระยื่นน้ำเปล่าให้หนุ่ยหนึ่งขวดพร้อมกับส่งแก้วน้ำให้
“ผมนอนสักงีบนึงได้มั้ยครับ...” หนุ่ยถามแต่ล้มตัวลงนอนขดบนเสื่อ ปล่อยใจให้หลุดลอยออกจากร่างเข้าสู่ภาวะพักผ่อนอย่างแท้จริง หนุ่ยไม่รับรู้ใดๆปล่อยให้พระได้สนทนากับเต้ไปเรื่อยๆ...หนุ่ยปล่อยให้ทุกสิ่งมันหมุนไปตามกรรม...ตามแต่ประสงค์ที่พระต้องการ


“หนุ่ยตื่นเถอะ...เรากลับกันเถอะเย็นแล้ว...” เต้ปลุกให้หนุ่ยตื่นจากหลับใหล สองหนุ่มกราบลาพระแล้วมุ่งหน้าเข้าเมืองเพื่อพักผ่อนที่โรงแรม ก่อนที่จะย้อนกลับมาใหม่ในเช้าวันรุ่งขึ้นและลากลับไปอีกครั้งในบ่ายวันเดียวกัน ตลอดเวลาที่เดินทางกลับ เต้นั่งอมยิ้มตลอดทาง แม้ไม่ได้ขับแต่เต้ก็ไม่หลับไม่นอน...ได้แต่นั่งยิ้มคนเดียว

“เฮ้ย...พี่เต้เป็นอะไร...ยิ้มอยู่ได้” หนุ่ยเรียกเสียงดังทำเอาเต้สะดุ้งเฮือก...
“เปล่า...พี่คิดถึงคำที่พระพูดเมื่อเช้า...” เต้พูดไปยิ้มไป
“อะไร...พระพูดอะไร...”
“พระบอกว่าขอบวชอีกสักพักนึง...ให้ใจสงบแล้วจะสึก...อยากบวชให้ลูก...” เต้พูดแล้วก็ยิ้มให้หนุ่ย
“แล้วเรื่องเรียนล่ะ...” หนุ่ยถาม
“ต้องดรอบไว้ก่อน...ปีหน้าค่อยไปเรียนต่อ...” เต้พูดแล้วก็ยิ้มอย่างมีความสุข

“พี่บอกพระว่าพี่จะรอ...”เต้พูด

“อ้าว...พูดอย่างนี้จะไปเร่งให้พระรีบสึกรึเปล่า” หนุ่ยหยอกเล่น
“จริงรึเปล่า...บาปรึเปล่าอ่ะหนุ่ย...” เต้มีสีหน้าตกใจ
“บาปสิพี่...แต่ถ้าพี่ไม่พูดนะ...พระอาจจะบวชไปอีกหลายสิบปีก็ได้...” หนุ่ยพูดแล้วก็หัวเราะ

“ขอบคุณมากนะหนุ่ย...ถ้าธีร์กับหนุ่ยไม่กลับมาช่วย...พี่คงแย่แน่ๆเลย...” เต้พูดออกมาแล้วยิ้มให้
“ไม่เป็นไรครับ...ผมเต็มใจแล้วอีกอย่างนึงที่ผมกับพี่ธีร์ต้องช่วยก็เพราะว่าเราเป็นพี่น้องกันนะครับ” หนุ่ยยิ้มตอบ
............................

“เหนื่อยมั้ยครับหนุ่ย...” ธีร์กอดรัดกับเด็กหนุ่มหลังจากที่เกมส์รักเพิ่งจบลงไป...หนุ่ยนอนหงายและหอบ หายใจแรง...กล้ามท้องกระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะ...ประสานกับการหายใจที่หนักหน่วง เด็กหนุ่มเหนื่อยมากมายราวกับวิ่งรอบหมู่บ้านสักสองรอบก็ไม่ปาน
“เหนื่อยครับ...พี่ล่ะ...เจ็บมั้ย...” หนุ่ยกอดตอบและถามพร้อมกับทำหน้ากวนๆ...มันทำเอาธีร์เกือบละลายไปตรงนั้นให้ได้ นับวันเขายิ่งหลงไหลเด็กหนุ่มขี้เล่นคนนี้มากขึ้นทุกทีทุกที...

          ตอนนี้หนุ่ยกับธีร์ย้ายมาอยู่ที่คอนโดฯแล้ว ทั้งสองคนมีความสุขกันมากกว่ามาก ทุกเย็นทั้งสองจะลงมาออกกำลังกายกันที่ฟิตเนสข้างล่าง บางทีก็ว่ายน้ำ บางวันก็ออกไปซื้อของที่ห้างใกล้ๆหรือเสาร์อาทิตย์ก็พากันไปหาคุณแม่ที่บ้านที่เพลินจิต ไปทำอาหารกินกันหรือไม่ก็ไปไหว้พระกัน ชีวิตที่วนเวียนกันอยู่แค่เราสอง...ธีร์และหนุ่ยมีความสุขมาก...บางครั้งที่หยุดหลายๆวันก็พากันเดินทางไปหาพระอ้นที่หนองคาย...ทั้งหนุ่ย ธีร์และเต้...

“โยม...พระจะสึกเดือนหน้าแล้วนะ...” พระอ้นแจ้งข่าวที่ทำให้เต้ยิ้มหน้าบาน...เต้ดีใจมาก...ไม่ใช่ว่าดีใจที่พรากพระออกมาจากร่มกาสาวพัสตร์ได้หรอก...แต่ดีใจที่ความฝัน...ที่เคยมีร่วมกัน...จะได้มีคนมาร่วมสานร่วมก่อกันใหม่...ตอนนี้งานที่บริษัทก็เจริญเติบโตมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งผลกำไรที่แบ่งปันกันสองหุ้นก็มากมายกว่าเงินเดือนจากงานประจำ ทำให้ธีร์ตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาช่วยเต้ทำงานที่นี่เต็มตัว...หนุ่ยยังคงเสมอต้นเสมอปลายไม่เปลี่ยนแปลง...เรียนเสร็จก็กลับคอนโดฯ...บางทีต้องออกไปรับธีร์กลางดึกเพราะธีร์ต้องเลี้ยงลูกค้า...บางครั้งต้องเดินทางไปต่างประเทศกับธีร์  ..... ก่อนที่อ้นจะสึกสองวัน เต้เดินเข้ามาหาธีร์ที่ห้องทำงาน

“ธีร์...เดือนหน้าฉันฝากบริษัทหน่อยนะ...ฉันจะไปยุโรปสักสองอาทิตย์” เต้พูดหน้าตายิ้มแย้ม
“จริงอ่ะ...พระตอบตกลงแล้วเหรอ...” ธีร์ถามกลับ...
“ไม่รู้ละ...ฉันบอกแกไว้ก่อน...” เต้พูดเขินๆแล้วเดินออกไป
“อิจฉาเว้ย...”  ธีร์ตะโกนออกมาด้วยรอยยิ้ม...เขาดีใจแทนเต้จริงๆ...
“จริงสิ...ถ้าเต้กลับมาจากยุโรปเขาต้องพาหนุ่ยกลับไประโนดอีกครั้ง...หนุ่ยพูดอยู่นานแล้วว่าอยากไปไหว้ปู่กับย่า”

“”””””””””””””””””

“หนุ่ย...เดี๋ยวเดือนหน้าเราว่างๆ...เรากลับไประโนดกันดีมั้ย...”  ธีร์กอดเด็กหนุ่มจากด้านหลัง ขณะที่ทั้งสองยืนชมพระจันทร์ที่สาดแสงส่องลงมา
“พี่จะว่างเหรอครับ...เดือนหน้าพี่เต้จะไปยุโรปนี่ครับ...”  หนุ่ยหันหนากลับมา
“ก็คอยให้เต้กลับมาก่อนก็ได้นี่...”  ธีร์พูด ชายหนุ่มวางแก้วไวน์ลงที่โต๊ะแล้วเอื้อมมือมาโอบรอบเอวเด็กหนุ่มไว้
“ถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะครับ...ผมไม่อยากให้พี่เหนื่อย...”  หนุ่ยกอดตอบ แสงจันทร์ขาวนวลสว่างตาขับใบหน้าของธีร์ให้ขาวผ่องดูเป็นนวลใย หนุ่ยกดจมูกลงบนพวงแก้มแดงเรื่อนั้นอย่างแผ่วเบา
“ไม่หรอกครับ...ถ้าหนุ่ยอยากไป...พี่จะพาไป...”  ธีร์พูด
“ผมนั่งเครื่องไปคนเดียวก็ได้นะพี่...สักสองสามวันก็กลับ...”  หนุ่ยพูดออกมา เขารู้สึกไม่อยากให้ธีร์กลับไประโนดอีกเลย...ไม่รู้เป็นอะไร...
“ไม่เป็นไร...หนุ่ยอยู่ที่ไหน...พี่ก็อยากตามไปอยู่ใกล้นะครับ...”  ธีร์ยิ้มให้กับหนุ่ยอย่างมีความสุข   ...

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.2=
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 16-10-2009 06:41:34
ทางสว่างแห่งรักของเต้กับอ้นเิริ่มเปิดออกแล้วสินะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.2=
เริ่มหัวข้อโดย: mango ที่ 16-10-2009 09:29:49
Thank you, thank you,
หนุ่ย and ธีร์ will go to ระโนด,
what will happent next  :confuse:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.2=
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 16-10-2009 10:39:56
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
อย่าบอกนะ!!!!!
ว่ามันจะมีปัญหาอีกอ่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.2=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 16-10-2009 10:49:07
ปัญหาเริ่มคลี่คลาย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.2=
เริ่มหัวข้อโดย: kikipanda ที่ 16-10-2009 13:11:39
เฮ้อโล่งอกเรื่อง(พระ)อ้น-เต้ที่(ท่าทาง)จะดำเนินไปได้ด้วยดี  :mc4:

แต่กลับมาติดใจประโยคสุดท้ายของหนุ่ย "ไม่อยากให้พี่ธีร์ ไประโนด" ทำไมอ่ะค่ะ จะเกิดอะไรขึ้นอีกเนียะ~~~ :serius2:(เป็นอิโมที่ใช้บ่อยมากเวลาเม้นท์เรื่องนี้)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.2=
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 16-10-2009 13:21:35
ทำไมหนุ่ยไม่อยากให้พี่ธีร์ไประโนด.....

กลัว......
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.2=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 16-10-2009 17:07:55
ทำไมตอนนี้เหมือนจะบอกให้เห็นลางร้ายของธีร์ยังไงไม่รู้
แต่ร้ายก็ดีได้ในที่สุดหลายครั้งแล้วนี่นา ทั้งเรื่องน่านกับวัช เรื่องอ้นกับเต้
ยังไงก็ไม่อยากให้อะไรที่ไม่พึงปรารถนาต้องเกิด เพราะทุกอย่างดูจะเข้าที่หมดแล้วนี่นา
บวก 1 แต้มค่ะ ลุ้นจริงๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.2=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 16-10-2009 18:15:29
เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อนะ







จะรอคอยตอนต่อไปครับ






 :z2:    :z2:    :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.2=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 17-10-2009 03:47:07
59.3 งานแต่งงาน

          ภาณีนั่งคุยกับป้าจิตในห้องรับแขกที่บ้านเพลินจิต เสียงหัวเราะร่วนแสดงถึงความรู้สึกสุขใจมากกว่า ทั้งนายทั้งบ่าวยิ้มหน้าบานราวกับว่าชาตินี้เพิ่งจะรู้จักคำว่าความสุข

“เออ นี่แนะแม่จิต...ฉันว่าปลายเดือนนี้เราไปเที่ยวเชียงใหม่กันดีมั้ย...ไปกันให้หมดบ้านนี่แหละ...พวกเราไม่เคยไปไหนด้วยกันมานานแล้วนี่” ภาณีเอ่ยขึ้นมา ความใจดีและมีเมตตาอารีย์ของภาณีทำให้คนในบ้านที่ได้สัมผัส จะรู้สึกรักและเทิดทูนเจ้านายคนนี้เสมอ
“แล้วใครจะเฝ้าบ้านล่ะคะคุณ”ป้าจิตเอ่ยขึ้นมา
“ก็จ้างรปภ.มาเฝ้าก็สิ้นเรื่อง...เดี๋ยวดูวันเวลาที่สะดวกอีกที...จิตหารถตู้สักคันนะจะได้นั่งให้สบายๆ...ฉันน่ะไม่ไหวหรอกจะนั่งเครื่องไปคอยที่นู่นแล้วกัน” ภาณีพูด
“อุ้ย...จะดีเหรอคะ...รถก็มีให้ตาชดมันขับไปก็ได้นี่คะ...” ป้าจิตจะช่วยเซฟ
“ไม่ต้องหรอก...ชดน่ะมันขับรถซะจนเบื่อแล้ว...ให้มันนั่งสบายๆหน่อยเถอะ” ภาณีคิดเผื่อคนอื่นๆเสมอ
“แล้วคุณธีร์กับคุณหนุ่ยล่ะคะ...” ป้าจิตถาม
“ต้องแล้วแต่เขาล่ะ...เดี๋ยวนี้ย้ายไปอยู่คอนโดฯกัน...ท่าจะมีความสุขน่าดู...” ภาณีพูดแล้วยิ้มให้กับตัวเอง
“เอ่อ...คุณคะ...ทำไมคุณทั้งสองถึงไปอยู่ที่คอนโดฯล่ะคะ...” จิตถาม
“แหม...จิตก็แค่นี้ดูไม่ออกรึไง...ว่าตาธีร์กับตาหนุ่ยน่ะ...” พูดไม่จบภาณีก็หัวเราะออกมา
“เหรอคะ...น่ารักกันดีจังเลย...จิตดีใจไปด้วยนะคะ...” จิตหัวเราะตาม ทั้งสองหัวเราะกันสนุกสนาน ภาณีไม่เคยรู้สึกสุขใจอย่างนี้มาก่อน

........................................................

“โอ๊ย...เมื่อยจังเลย...” หนุ่ยกระโดดลงมาจากรถตู้...ขณะจอดพักรถที่ปั้มน้ำมันแถวๆจังหวัดกำแพงเพชร
“เมื่อยเหรอหนุ่ย...มานวดให้...” ธีร์เดินมาข้างหลังแล้วบีบนวดบริเวณเอวของหนุ่ย ทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งแล้วบิดตัวหนี
“อย่าพี่...จั๊กกะจี้...” หนุ่ยหัวเราะออกมา คนในบ้านที่ตามออกมาจากรถพากันหัวเราะกันใหญ่ ดีใจและสุขใจในบรรยากาศที่ได้เห็นเจ้านายทั้งสองคนมีความสุข
“หิวกันรึยังครับ...” ธีร์ถามสมาชิก
“ก็นิดหน่อยค่ะ...” ป้าจิตบอก
“เดี๋ยวแวะทานข้าวกันดีกว่าแล้วเดินทางต่อ ป่านนี้คุณแม่ถึงเชียงใหม่นานแล้วล่ะ...” ธีร์พูดแล้วเดินเข้าห้องน้ำตามหนุ่ยไป

“กาแฟมั้ยครับหนุ่ย...” ธีร์เดินเข้ามายืนข้างๆก่อนจะปลดซิปออก
“ดีครับ...” หนุ่ยตอบแล้วขยับขอบกางเกงลงเล็กน้อยก่อนปล่อยสายน้ำอุ่นๆลงโถไป
“ไหนดูสิ...ใหญ่แค่ไหน” หนุ่ยชะโงกหน้าข้ามมาดู“ของ”ธีร์ที่ยืนติดกัน
“ไอ้เด็กบ้านี่...มาแอบดูเค้า...”  ธีร์ดุเอา...แต่ไม่ทำให้หนุ่ยสลดหรือหยุดการชะโงกดู ธีร์อายจนหน้าแดง แดดยามเที่ยงส่องผ่านเข้ามาทำให้เห็นท่อนรักของแฟนหนุ่มรุ่นพี่ชัดเจนขึ้น ...มันขาวใสอมชมพู...เด็กหนุ่มนึกอยากขึ้นมาติดหมัด
“สวยจังเลย...” หนุ่ยเหลือบตาลงต่ำแล้วอมยิ้ม
“อะไรสวย...เด็กบ้านี่...” ธีร์ดุเบาๆด้วยความเขินอาย
“ก็ของพี่น่ะสิ...สวยจัง...เดี๋ยวถึงเชียงใหม่ขอสักทีก่อนนะพี่...” หนุ่ยพูดแล้วยิ้มกวนๆตามแบบฉบับ
“ไม่ให้...แล้วของหนุ่ยล่ะ...อย่าเอาเปรียบเค้าสิ...”  ธีร์ไม่ต้องชะโงกข้ามมาดูเลย...เด็กหนุ่มถอยออกมาจากโถฉี่นิดเดียวธีร์ก็เห็น ท่อนลำขนาดยาวใหญ่ที่เหยียดตรง...วันนี้มันดูสวยกว่าทุกครั้ง...
“ทะลึ่ง...เด็กบ้า...” ธีร์ซัดเพี้ยะเข้าที่ต้นแขนของหนุ่ยก่อนจะเก็บของตัวเองแล้วเดินไปล้างมือ
“กินกาแฟกันเถอะ...” หนุ่ยเดินตามมา....เด็กหนุ่มเอื้อมแขนมากอดคอธีร์แล้วพากันเดินเข้าร้านกาแฟที่อยู่ใกล้ๆ
.............................

          เช็คอินเข้าโรงแรมเรียบร้อยแล้วทั้งสองหนุ่มอยู่ในชุดวันเกิด...ต่างก็ผลัดกันอาบน้ำและสระผมให้แก่กัน ธีร์นั่งลงที่ขอบอ่างส่วนหนุ่ยยืนสระผมให้กับคนรัก

“ไม่ต้องหลับตาเลย...ผมไม่ทำแชมพูเข้าตาหรอก...ลืมตาสิพี่” หนุ่ยแกล้งยื่นสัดส่วนของความเป็นชายไปตรงหน้าธีร์แล้วแกล้งบอกให้ชายหนุ่มลืมตา...
“โอว...หนุ่ยอ่ะ...ทำไมชอบแกล้งนะ...” ธีร์โวยออกมาเมื่อลืมตามาเห็นท่อนเนื้อที่เยิ้มยิ้มอยู่ตรงหน้า
“ถ้าไม่ชอบก็กินมันเลยสิพี่...นะนะ” หนุ่ยขยับเอวเข้าไปใกล้ๆอีก
“หนุ่ย...นิสัยไม่ดี...สระเบาๆหน่อยดิ...” ธีร์บอกให้เด็กหนุ่มสระผมให้เบามือลง แต่ขณะเดียวกันนั้นปากบางสวยของธีร์ก็ครอบลงตรงท่อนเนื้อนั้นอย่างแผ่วเบา
“อ้า...ผมเสียว....พี่ธีร์ครับ...” หนุ่ยขยับมือขยุ้มหัวธีร์ไปมาเบาๆพลางกระดกเอวเนิบนาบ แล้วเพลงสักขีแม่ปิงก็ล่องลอยตามสายลม...ทำเอาหนุ่มๆทั้งสองที่มีหัวใจรักต่อกัน...ถ่ายทอดบทเพลงรักที่แว่วมาให้กันและกันแนบแน่นและเนิ่นนาน...

          ในมื้อเย็นที่ร้านอาหารหรูเชิงดอยสุเทพ บรรยากาศยามค่ำ...ด้านล่าง...คือเมืองเชียงใหม่ความสว่างไสวระยิบระยับของแสงไฟทำให้ดูสวยงามราวกับภาพสวรรค์ ลมเย็นพัดลงมาจากยอดเขาสูงทำเอาธีร์ขนลุกไปทั้งตัว

“หนาวเหรอพี่...เดี๋ยวผมไปเอาเสื้อแขนยาวที่รถมาให้ดีกว่านะ...” หนุ่ยดูแลธีร์อย่างดีอยู่เสมอๆ
“พี่ไปด้วย...” ธีร์อยากอยู่ใกล้ๆกับหนุ่ยแทบจะทุกวินาทีเลยก็ว่าได้
“ไม่เป็นไรครับ...ผมไปแป๊บเดียวเอง...พี่ธีร์คุยกับคุณแม่เถอะ” หนุ่ยบอก แต่ภาณีก็รู้ใจเหลือเกิน
“ธีร์เดินไปเป็นเพื่อนน้องสิลูก...แม่คุยกับจิตได้” ภาณียิ้มให้ธีร์
“ครับ...เดี๋ยวมานะครับคุณแม่” ธีร์พูดเบาๆแล้วลุกออกมากับหนุ่ยก่อนที่จะเดินตรงไปที่รถตู้ที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถ...หนุ่ยเดินไปหยิบเสื้อแขนยาวมาใส่ให้กับธีร์แล้วทั้งสองก็เดินคุยกันไปเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่ที่น้ำตกที่ไหลลงมาเสียงดังกลบความเงียบของราวป่าเสียสิ้น

“ดีมั้ยครับพี่” หนุ่ยถามพลางจับมือคนรักเอาไว้แน่น
“ยังไม่หายหนาวเลย” ธีร์บอกตามจริง
“งั้นผมกอดให้...จะได้อุ่นๆ...” เด็กหนุ่มกอดเอวเอาไว้ ใบหน้าหล่อคมเข้มของหนุ่ยเกือบแนบชิดหน้าหล่อใสของธีร์...
“ดีขึ้นมั้ยครับพี่...” หนุ่ยเกาะกุมเอวบางๆไว้แน่น ร่างกายแกร่งและสูงโปร่งของเด็กหนุ่มชิดใกล้ขนาดนี้ทำให้ธีร์รู้สึกอบอุ่นทั้งกายและใจ...
“หนุ่ย...พี่รักหนุ่ยนะครับ...” ธีร์หันมาพูดเบาๆกับหนุ่ย ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนจะเป็นไข้...ปากร้อนตาร้อนไปหมด  สงสัยนั่งรถมาทั้งวัน ใจจริงก็ไม่อยากจะนั่งรถตู้มาหรอก...แต่หนุ่ยกลัวว่าคนในบ้านจะไม่มีเพื่อนนั่งมาเพราะถ้าเขานั่งเครื่องมากับหนุ่ยแล้วเหลือคนในบ้านอีกสี่คนเท่านั้นที่ต้องนั่งรถตู้มา...สงสัยงานนี้ขากลับต้องหาเครื่องบินกลับแน่ๆเลย...

“ผมก็รักพี่นะ...” หนุ่ยตอบกลับแล้วมองไปที่น้ำตก
“พี่ธีร์ครับ...ผมอยากจะบอกกับพี่ว่า...ชีวิตผม...ผมขอฝากเอาไว้กับพี่นะครับ” หนุ่ยกอดกระชับเอวเข้ามามากขึ้น เขาไม่กล้าทำอะไรมากไปกว่านี้ เท่านี้ก็ตกเป็นเป้าสายตาอยู่แล้ว
“หือ...ได้สิครับ...แต่พี่ก็ขอฝากชีวิตพี่ไว้ให้หนุ่ยดูแลด้วยนะ...” ธีร์พูดเบาๆก่อนจะอิงศีรษะมาแนบกับไหล่กว้างของเด็กหนุ่ม โมงยามนี้...ชีวิตมันมีความสุขเหลือเกิน...ธีร์ไม่เคยอบอุ่นใจเท่านี้มาก่อน

“พี่ธีร์...ทำไมตัวอุ่นๆล่ะ...” หนุ่ยจับไหล่ของธีร์แล้วหันมาดูตาที่แดงเรื่อๆของคนรัก ปากแดงจัดของธีร์ทำให้บอกได้เลยว่าชายหนุ่มกำลังมีไข้
“ผมว่าเรากลับกันก่อนดีมั้ยพี่...ดูท่าทางพี่จะไม่สบายนะเนี่ย...” หนุ่ยถาม
“ไม่เป็นไรหรอก...เดี๋ยวคุณแม่ไม่มีเพื่อนคุย...เรากลับไปที่โต๊ะก่อนดีกว่า” ธีร์เดินนำกลับเข้าร้าน
“ไหวนะพี่...” หนุ่ยเดินตามมาประคองเอวอย่างรวดเร็ว

          กลางดึกคืนนั้นที่โรงแรม ระหว่างที่สองหนุ่มหลับใหลอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน หนุ่ยรู้สึกว่าตัวของธีร์ร้อนขึ้นเรื่อยๆ...หลังจากที่ฤทธิ์ยาที่ทานเข้าไปตอนดึกหมดไปแล้ว

“พี่ธีร์ไหวมั้ยครับ...ตัวพี่ร้อนจี๋เลยนะ...” หนุ่ยเปิดไฟที่หัวเตียงแล้วเอาหลังมืออังกับหน้าผากของคนรัก
“...เดี๋ยวผมเช็ดตัวให้”  เด็กหนุ่มกระวีกระวาดลงจากเตียงในชุดนุ่งลมห่มฟ้า หนุ่ยเข้าไปในห้องน้ำแล้วจัดการเอาผ้าขนหนูผืนเล็กมาชุบน้ำเย็น ผ้าชุบน้ำหมาดๆลูบไล้ไปทั่วตัวของธีร์ ชายหนุ่มตัวสั่นเล็กน้อย ริมฝีปากสั่นเล็กน้อยหนุ่ยได้ยินเสียงฟันกระทบกันกึกกัก

“หนาวเหรอครับ...เดี๋ยวไข้ลดแล้วนะ...เช็ดตัวแล้วเดี๋ยวทานยาอีกหน่อยนะครับ” หนุ่ยพูดเบาๆข้างหู ธีร์รับรู้ด้วยการพยักหน้าเล็กน้อย เปลือกตาที่ฝืนลืมขึ้นมา เขามองเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่มที่แสดงความเป็นห่วงเป็นใย...

“พี่ไม่เป็นไร...” ธีร์พยายามพูดแต่เสียงที่สั่นเครือมันปฏิเสธไม่ได้ถึงอาการป่วยไข้ที่เข้ามารุมเร้า
“ไม่เป็นไรอะไรล่ะครับ...ตัวร้อนขนาดนี้...” เด็กหนุ่มลูบผ้าเย็นๆไปทั่วหน้าท้องขาวเนียนนั้นอย่างเบามือ ซอกรักแร้ ซอกขาทั้งสองข้าง ตลอดจนปลีน่องและเรียวขาที่ขาวเนียน...ไม่มีส่วนไหนในร่างกายที่หนุ่ยไม่ได้สัมผัสผ่าน...ทุกอณูในร่างนี้...เขารู้สึกได้ว่า...เขาเป็นเจ้าของ...เขาต้องดูแลร่างบอบบางและหัวใจอันเปี่ยมไปด้วยความรักที่มีให้กับเขา...นั้นไปตราบจนวันตาย....

“ค่อยยังชั่วขึ้นมั้ยครับ” หนุ่ยถามพลางจับร่างบางนั้นไว้ในอ้อมแขนแข็งแกร่งแล้วพยุงให้ลุกขึ้นมานั่ง
“ทานยาสักหน่อยนะครับ...” หนุ่ยหันไปหยิบเอายาลดไข้มาส่งเข้าปากธีร์สองเม็ดแล้วเอาแก้วน้ำจ่อเข้าที่ปากบางแดงนั้น ธีร์กลืนยาพร้อมกับน้ำก่อนที่จะลงไปนอนเหมือนเดิม หนุ่ยจัดการเก็บแก้วน้ำแล้วลงนอนกอดยอดรัก...ยอดดวงใจเอาไว้ในอ้อมกอดอีกครั้ง...แม้ร่างของเด็กหนุ่มจะเปลือยเปล่า...แต่ก็ยังอุ่นร้อนพอที่จะทำให้ธีร์รู้สึกได้ถึงความอบอุ่น...ไข้ในใจไม่มี...ไข้ในกายคงจะลดลงในเร็ววัน ...ด้วยความรัก ความห่วงหาอาทร...สิ่งเหล่านี้เพียงพอที่จะทำให้อาการป่วยของธีร์หายไปโดยเร็ว

          เช้าที่สดใสของเชียงใหม่เหมือนอาการไข้ของธีณ์ที่หายเป็นปลิดทิ้ง...ด้วยการดูแลอย่างดีของเด็กหนุ่ม ไข้ที่สูงเมื่อคืนหายไปแล้ว ธีร์กลับมาสดใสดังเดิม ทั้งสองเดินลงมาที่ห้องอาหารกลางสวนสวยของโรงแรมที่พัก ธีร์นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารกับน้ำชาอุ่นๆหนึ่งถ้วย

“พี่นั่งคอยแป๊บนะ...เดี๋ยวผมไปตักข้าวต้มมาให้” หนุ่ยจับบ่าธีร์กดลง...หนุ่ยบังคับให้ธีร์นั่งลงตรงข้ามกับภาณี
“อืม...พี่ไปตักเองก็ได้ครับ...ไม่ต้องหรอก...” ธีร์ยิ้มแห้งๆแต่แววตานั้นสดใสเหมือนเดิม
“ไม่เป็นไรครับพี่...เดี๋ยวผมตักให้...พี่นั่งเถอะ” หนุ่ยเดินออกไปที่ซุ้มอาหารด้านข้าง

“เป็นไงบ้างล่ะ...พยาบาลประจำตัวดูแลลูกดีมั้ย” ภาณีถามแล้วยิ้มอย่างใจดี
“โธ่...คุณแม่ก็...”  ธีร์ยิ้มหน้าแดงด้วยความเขิน เป็นครั้งแรกที่ภาณีแซวและพูดเหมือนกับจะยอมรับการที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน ...และดูแลกัน...นางเองก็รู้สึกโล่งใจที่ลูกชายมีคนดูแล...เห็นจากยามที่เจ็บไข้ได้ป่วยนี่เอง
“แม่พูดตามตรงนะ...แม่เห็นแบบนี้แม่ก็หมดห่วง...แกสองคนดูแลกันและกันให้ดีๆนะ...จากนี้ไปแม่จะได้นอนตายตาหลับ...” ภาณีพูดแล้วน้ำตารื้นปริ่มขอบตา ธีร์เอื้อมมือไปกุมมือภาณีไว้แล้วยิ้มให้กับภาณี
“ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี...ผม...เอ่อ...ผมอยากขอบคุณคุณแม่นะครับที่เข้าใจผมและ ...เอ่อ...หนุ่ย...ถ้าไม่ใช่คุณแม่...ผมคงอึดอัด...คุณแม่คือพระผู้ประเสริฐที่สุดสำหรับผม...ผมรักแม่นะครับ...” ธีร์น้ำตาไหลอาบหน้า ภาณีเอามือมาลูบหัวลูกชายของนางอย่างแผ่วเบา สัมผัสที่อ่อนโยนเปรียบประดุจพระหัตถ์ของพระเจ้าที่ประทานความรักและเมตตามา ให้ไม่มีสิ้นสุด...“พระเจ้าของลูก...คือ...แม่”

“.............................” หนุ่ยนั่งลงข้างๆธีร์อย่างแผ่วเบาและเงียบที่สุด
“หนุ่ย...มานั่งใกล้ๆแม่หน่อยสิ....” ภาณีเรียกเด้กหนุ่มให้เข้ามาใกล้ๆ
“แม่ขออะไรอย่างได้มั้ยลูก...” ภาณีพูดเบาๆแต่น้ำเสียงยังคงกังวานใส
“ค...ครับคุณแม่” หนุ่ยติดอ่างในบัดดล

“หนุ่ย... ต่อไปนี้แม่ขอให้หนุ่ยกับธีร์ดูแลกันและกัน...อย่าได้คิดนอกใจกันเป็นอันขาด ...หนักนิดเบาหน่อยอภัยให้กัน...ดูแลยามเจ็บป่วยทุกข์ใจ...แม่เองก็แก่แล้ว ....ลำพังจะอยู่ดูความรักของเราทั้งสองได้อีกไม่นานแล้ว...ขอให้รักกันตลอดไปนะลูก...” ภาณีพูดจบก็ปล่อยให้น้ำตาไหลซึมออกมา ธีร์กับหนุ่ยยกมือพนมไหว้น้อมรับเอาพรอันประเสริฐมาใส่หัวไว้ แน่นอนเขาทั้งสองจะรักกัน...ชาตินี้จะไม่มีอะไรมาพรากคนทั้งสองให้จากกันได้ นอกจาก.....“ความตาย”...เท่านั้น

“ผมสัญญาครับคุณแม่...” หนุ่ยรับคำอย่างมั่นเหมาะ...เด็กหนุ่มมองเข้าไปในแววตาของคนรักที่เงยหน้าขึ้นมาสบตา
“ผมก็เหมือนกันครับ...ผมสัญญาครับคุณแม่” ธีร์ขยับหมุนแหวนทองคำขาวที่สวมอยู่ที่นิ้วนางข้างซ้ายไปมาราวกับจะให้คำมั่นสัญญากับเจ้าของแหวนด้วยเหมือนกัน
“ดีแล้ว...ทานข้าวกันเถอะ...เดี๋ยววันนี้ทัวร์ไหว้พระกันดีมั้ย...ให้เป็นสิริมงคลกันสักหน่อย...” ภาณียิ้มแย้มแจ่มใสพลางพยักเพยิดไปทางด้านข้างให้กับโต๊ะอาหารของสามชิกในบ้านที่ตอนนี้ยิ้มกันแก้มปริ...
“ดูๆไปเหมือนงานแต่งงานเลยนะเนี่ย” ภาณีแซวออกมาเสียงดัง ทำเอาทั้งสองคนยิ้มหน้าแดงด้วยความเขินอาย

...............................................

          ธีร์หัวหมุนอยู่ในออฟฟิศคนเดียว เขาเหลือบดูนาฬิกาที่ผนังห้องมันบอกเวลาสามทุ่มเข้าไปแล้ว หนุ่ยยังไม่มารับสักที...แต่ถึงมารับเขาก็ยังกลับไม่ได้...เดือนหน้ามีกรุ๊ปทัวร์ของข้าราชการกระทรวงใหญ่กระทรวงหนึ่งจะพาผู้บริหารไปถลุงงบประมาณ ...เอ้ย...ไปดูงานกันที่อเมริกา...แต่ขอเน้นที่ลาสเวกัสเป็นพิเศษ...ธีร์ถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อคิดถึงงบประมาณที่ต้องใช้ไปกับงานนี้..ภาษีของประชาชนทั้งนั้น

“....ตู๊ด....ตู๊ด....ตู๊ด....” เสียงโทรศัพท์สำนักงานดังขึ้น...ธีร์กดรับโอนสายเข้ามาที่โต๊ะทำงาน...
“ฮัลโหล...ขอสายคุณธีร์ครับ...” เสียงที่คุ้นเคยทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งวาบ...

“ฝุ่น” ธีร์เรียกชื่อนั้นออกมาเบาๆ
“ใช่ครับฝุ่นเอง...ฝุ่นกลับมาหลายวันแล้วนะ...คิดถึงธีร์มากๆเลยครับ...”เสียงฝุ่นเจื้อยแจ้ว

“แล้วฝุ่นไปได้เบอร์สำนักงานธีร์มาจากไหน” ธีร์พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาพยายามข่มอารมณ์ให้ไม่ฟุ้งซ่านไปกว่านี้ ความรักที่เคยมี...ความรักที่เคยเกาะกุมหัวใจ...บัดนี้มันไม่มีเหลืออีกแล้ว ...เยื่อใยมันหมดไปนานแล้ว
“ฝุ่นได้มาจากไอ้เชน...” ฝุ่นพูดด้วยน้ำเสียงภูมิใจในความสามารถในการตามหาเบอร์ของธีร์

“...............”  ธีร์เงียบ เขากำลังคิดอยู่ว่า“เชน”คือใคร

“ไอ้เชนมันเป็นเพื่อนกับหุ้นส่วนของธีร์ไงครับ...เชนเป็นเพื่อนกับคุณเต้น่ะ...”  ฝุ่นไขข้อข้องใจ

“เหรอ...แล้วที่โทรมามีอะไรรึเปล่า”ธีร์พูดด้วยความรู้สึกเฉยเมยเป็นอย่างมาก
“ไม่มีอะไรครับ...แค่คิดถึง...ฝุ่นอยากชวนธีร์ไปทานข้าวกัน...พอจะมีเวลาว่างบ้างมั้ยครับ...” ฝุ่นพูดไปเรื่อยแต่ตอนนั้นหูของธีร์ไม่ได้ฟัง สายตามัวแต่จับจ้องถึงร่างสูงแกร่งที่กำลังเดินเข้าออฟฟิศมา “หนุ่ย”

“ขอโทษนะฝุ่น...ธีร์ไม่ว่างเลย...งานยุ่งมาก....แล้วธีร์อยากจะบอกฝุ่นนะว่า ธีร์ไม่มีเวลาให้ฝุ่นอีกแล้ว...การรอคอยของธีร์มันสิ้นสุดไปนานแล้ว...ถ้าเป็นไปได้และหาว่าธีร์เสียมารยาทนะ...ต่อแต่นี้ฝุ่นไม่ต้องโทรมาหาธีร์อีก ...เรื่องของเรามันจบไปนานแล้ว...” ธีร์วางหูแล้วเงยหน้าขึ้นมองร่างของเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า หนุ่ยยิ้มให้กับธีร์อย่างคนรักที่เข้าใจคนรัก...

“ขอบคุณครับพี่...ขอบคุณที่พี่ทำทุกอย่างเพื่อรักของเรา...” หนุ่ยเดินเข้ามากอดธีร์ ร่างสูงแกร่งในชุดนักศึกษาโอบกอดร่างบอบบางนั้นไว้แน่น

“พี่รักหนุ่ยนะ...” ธีร์น้ำตาซึม

“เรากลับบ้านกันเถอะ...”  หนุ่ยพูดเบาๆ  .....


หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.3=
เริ่มหัวข้อโดย: kuraki ที่ 17-10-2009 04:08:52
พี่ธีร์เด็ดขาดมาก  o13

คุณแม่ก็สุดยอด หวังว่าคงจะไม่มีอะไรเศร้าๆแล้วนะคะ ทั้งคู่เต้ อ้น และธีร์ หนุ่ย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.3=
เริ่มหัวข้อโดย: viky_mama ที่ 17-10-2009 04:14:17
ดีใจจังเลยค่ะ รู้สึกเหมือนเรื่องร้ายๆ จะผ่านพ้นไปหมดแล้ว ทั้งเรื่องเต้กับอ้น แถมแม่ของธีร์ก็ไฟเขียวอีก

ขออย่าให้มีเรื่องเครียดๆ อีกเลยนะ เป็นกำลังใจให้คนแต่งค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.3=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 17-10-2009 04:18:19
ตอนหน้าก็จบแล้วล่ะค่ะ  รอลุ้นกันอีก 1 วันนะคะ 

 :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.3=
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 17-10-2009 07:42:51
ธีย์เยี่ยมมาก

กรี๊ด

จาจบแล้วหลอ

รอจ้า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.3=
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 17-10-2009 09:22:19
อ่านตลอดแต่ไม่ค่อยได้รี จะจบแล้วเหรอค่ะ เสียดายจังเลย
ขอให้สมหวังนะคะ เปิดฉากมาตอนแรกเศร้าแต่ขอให้จบแบบรักกันๆแล้วกัน

ขอบคุณในความขยันของคนโพสคนเขียนค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.3=
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 17-10-2009 12:10:47
รู้สึกดี ที่ธีร์มั่นคงในรักที่มีต่อหนุ่ย ไม่หวั่นไหวไปกับอดีตอย่างฝุ่นอะ


อ่านที่ gbs จบแล้วเหมือนกันครับ อยากให้มีภาคพิเศษจังเลยอะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.3=
เริ่มหัวข้อโดย: gboy ที่ 17-10-2009 16:31:59
 :serius2:
จะจบและ
 :เฮ้อ:
จบเศร้าแหง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.3=
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 17-10-2009 16:49:16
จะจบแบบไหนนะ





 :กอด1:   :กอด1:






 :z2:     :z2:    :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.3=
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 17-10-2009 17:02:32
 :sad4: จาจบแล้วหรอค่ะ แง๊~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~!!!!~


มีความสุขแบบนี้ หวังว่าคนแต่งจะไม่ใจร้ายกับพี่ธีร์นะคะ    :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.3=
เริ่มหัวข้อโดย: paulla ที่ 17-10-2009 17:24:48
แสดงว่าใกล้จบแล้วอ่ะจิ o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.3=
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 18-10-2009 03:18:35
ธีร์กับหนุ่ยต่างฝากชีวิตไว้ให้ซึ่งกันและกันดูแล
ยามป่วยไข้ก็ดูแลเอาใจใส่กัน
คุณแม่ภาณีก็เข้าใจ ยอมรับ
มีมือที่อยากมาแทรกความสัมพันธ์ธีร์ก็ตัดไปอย่างฉับพลัน
แต่ทำไมมันแปลกๆยังไงไม่รู้ อีกตอนจบจริงๆหรือคะ
บวก 1 แต้มค่ะ รอตอนสุดท้าย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 59.3=
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 18-10-2009 04:33:52
60 รักสุดท้ายของธีร์

          เต้กับอ้นเดินทางกลับมาจากยุโรปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมายในออฟฟิศ ระบบการทำงานที่เน้นเชิงรุกมากกว่าเดิม ระเบียบปฏิบัติที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ประชุมกันบ่อยขึ้น พนักงานมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการทำงานและเสนอแนะกับผู้บริหารทั้งสองได้โดยตรง ทำให้ทุกคนในบริษัททำงานอย่างทุ่มเทและมีความสุข

“เต้...ฉันจะไประโนดสัก 3-4 วันนะ...ฝากงานด้วยนะ...” ธีร์เดินเข้ามาหาเต้ในห้อง
“ไปเมื่อไหร่ล่ะ...” เต้ถาม
“วันพฤหัส...จะกลับวันอาทิตย์นะ...” ธีร์พูดพลางนั่งลงตรงหน้าเต้...สีหน้าของธีร์หมองคล้ำเอามากๆอย่างที่เต้ไม่เคยเห็นมาก่อน
“ทำไมหน้าตาแกดูไม่ค่อยสบายเลยวะ...ห่วงอะไรรึเปล่า...” เต้ถาม
“เปล่านี่...ก็ไม่มีอะไร...ห่วงอะไรเหรอ...ก็ห่วงนะ...ห่วงแต่หนุ่ยที่ยังเรียนไม่จบ...อนาคตของหนุ่ย...อะไรเรื่อยเปื่อยว่ะ...” ธีร์พูดแล้วยิ้มอย่างแห้งแล้ง เขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เพราะมาคิดๆดูแล้วหนุ่ยน่ะอีกปีกว่าๆถึงจะเรียนจบ จบแล้วหนุ่ยเคยบอกกับคุณแม่ไว้ว่าจะเรียนต่อโททางกฎหมายที่ฝรั่งเศสอีก ...ถึงตอนนั้นก็คงต้องห่างๆกันไป...กลัวใจเด็กหนุ่มก็กลัว แต่เรื่องต่างๆเหล่านั้นยังมาไม่ถึง เรื่องเงินทองที่จะส่งเสียให้เรียนคงไม่ใช่ปัญหาแต่ธีร์ก็ยังเก็บมากังวลได้อีก...
“ฉันว่าหนุ่ยมันก็เป็นเด็กดีนะ...เรื่องที่แกกังวลมันอาจจะเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง...สรุปว่าแกห่วงมันแค่นั้นเอง...เชื่อฉันสิ...หนุ่ยมันเอาตัวรอดได้น่า ...อย่าห่วงไปเลย” เต้เดินเข้ามาจับมือเรียวสวยของธีร์แล้วกุมเอาไว้

“เย็นนี้เราไปหาอะไรทานกันดีมั้ย...หาร้านที่บรรยากาศดีๆไปกัน 4 คนนี่แหละ...” เต้เอ่ยปากชวน
“ไปสิ...แกโทรบอกอ้นแล้วกันนะ...ฉันจะบอกหนุ่ยเอง...” ธีร์พูดแล้วลุกจากเก้าอี้
“เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง...ขอบคุณที่ช่วยดูแลออฟฟิศให้ระหว่างที่ฉันไม่อยู่...ฉันไปได้ไวน์มาจากฝรั่งเศสขวดนึง...รสชาติน่าจะดี...อ้นบอกว่าให้เอามาดื่มกับแก ...ฉันน่ะหิ้วข้ามมาหลายประเทศเลยนะ...” เต้ยิ้มอย่างดีใจ
“เรื่องงานน่ะแกไม่ต้องขอบใจอะไรหรอก...บริษัทนี่มันก็ของฉันครึ่งนึงอยู่แล้ว...ไม่ว่าเราจะขาดใครไปสักคน...ธุรกิจก็ต้องดำเนินต่อไป...” ธีร์หันมาพูดก่อนออกไปจากห้อง ทิ้งให้เต้ยืนอึ้งกับคำพูดบางคำที่ธีร์ทิ้งท้าย...เต้ถอนหายใจแล้วนั่งทำงานต่อ
........................

          เย็นนั้นที่ร้านอาหารสวยๆบรรยากาศสบายๆ อากาศดีๆสายลมเย็นที่พัดมาทำให้ทุกคนรู้สึกมีความสุข เสียงพูดหยอกล้อกันดังอึงอล บรรยากาศของความรักและความผูกพันที่มีให้แก่กันและกันทำเอาทุกคนแทบสำลักความสุข ไวน์จากฝรั่งเศสขวดเดียวไม่พอกับความต้องการซะแล้ว ต้องเพิ่มเป็นสองและสาม กว่าจะแยกย้ายกลับก็ดึกดื่นพอสมควร

“ไปก่อนนะเต้...” ธีร์โอบเอวของเต้มากอดเอาไว้
“พรุ่งนี้เจอกัน...” เต้กอดตอบ แต่ธีร์กอดแน่นขึ้นเรื่อยๆและร้องไห้ออกมา
“ฮือ...เต้...ฉันรักแกนะ...ฉันรักแก...” ธีร์คร่ำครวญออกมาอย่างไม่มีสาเหตุ ทำเอาเต้อดที่จะใจหายไม่ได้
“เป็นอะไรธีร์...ร้องไห้ทำไม...ฉันก็รักแก...ชีวิตฉันคงไม่มีวันนี้ถ้าไม่มีแกนะ...แกจำไว้...ฉันก็รักแก...” เต้ร้องไห้ไปด้วย ทั้งสองกอดกันร้องไห้อยู่ที่ลานจอดรถของร้านอาหาร หนุ่ยกับอ้นยืนอยู่เคียงข้างคนรักของตนไม่ห่าง

“พี่ครับ...กลับเถอะครับ...” หนุ่ยพยายามดึงแขนธีร์ให้ออกมาจากอ้อมกอดของเต้
“ไปก่อนนะเต้...”  ธีร์กลับมาอยู่ในอ้อมกอดของหนุ่ยอีกครั้ง เขารู้สึกใจหวิวๆเหมือนอะไรมันขาดหายไปสักอย่าง แต่แรงจากการโอบเอวและพากันเดินกลับไปที่รถมีมากกว่า ธีร์แทบจะปลิวตามหนุ่ยไปเลยทีเดียว

“เป็นไงครับ...ไหวมั้ย...”  หนุ่ยถามพลางพาธีร์ลงจากรถหลังจากที่ดับเครื่องแล้ว
“ไหวครับ...”  ธีร์เดินอ้อมไปหาเด็กหนุ่มที่กำลังเก็บของที่ท้ายรถ

          สองหนุ่มยืนกอดรัดกันอยู่ที่ริมระเบียง สายลมเย็นพัดมาทำเอาธีร์ขนลุกเกรียว หนุ่ยกอดรัดคนรักแน่นเข้าไปอีก หนุ่ยกดจมูกลงที่ซอกคอขาวผ่องของธีร์ จมูกโด่งแหลมของเขากวาดหอมไปทั่วทุกอณูทุกรูขุมขน หนุ่ยไล่ดะมาจนถึงติ่งหูเล็กๆ แล้วเม้มมันไว้ด้วยริมฝีปาก ธีร์หันกลับมาเผชิญหน้า ปากเรียวบางถูกเด็กหนุ่มประกบทันที

“อืม...เข้าไปข้างในดีมั้ยครับ” ธีร์ครางออกมา
“ไม่เอา...ขอตรงนี้ไม่ได้เหรอครับ...บรรยากาศดีออก” เด็กหนุ่มทอดสายตาออกไปข้างนอก โค้งแม่น้ำมีเรือเดินสมุทรแล่นอยู่ช้าๆ
“อืม...หนาวนะ...” ธีร์บ่นออกมาเบาๆแต่มือก็ควานลงในที่บ๊อกเซอร์สีขาวสะอาดที่หนุ่ยใส่อยู่ ความโชนเขม็งที่มันพร้อมมานานแล้ว มันผงกหัวยิ้มรับกับริมฝีปากบางๆอย่างเชื้อเชิญ ธีร์ย่อตัวลงไปกลีบปากรูดท่อนรักเข้าออกทันที เด็กหนุ่มกระทั้นบั้นเอวไหวยะเยือก ความอ่อนนุ่มของโพรงปากที่เชี่ยวชาญทำเอาเด็กหนุ่มถึงกับครางออกมา สายลมและแสงดาวที่เวิ้งฟ้า ระเบียงรักแห่งนั้นดารดาษด้วยแสงดาว มันส่องสกาวเต็มฟากฟ้าระยิบระยับงามจับตาเหลือเกิน ธีร์เกาะขอบรอบราวระเบียงเพื่อยึดร่างบางๆของตัวเองไว้ แรงกระแทกกระทั้นไหวเยือกอยู่ด้านหลัง มือไม้ที่ป่ายเปะปะไปทั่วมันแสดงถึงความสุขเสียว เรี่ยวแรงและพลังรักของเด็กหนุ่มโหมใส่ไม่ยั้ง ทั้งดุดัน ทั้งนุ่มนวลและเนิบนาบในบางครา ต่างสอดรับประสานรักกันอย่างลงตัว จวบจนดวงดาวที่สถิตอยู่ฟากฟ้าอันไกลโพ้น...ดวงดาวที่ทนแรงดึงดูดแห่งรักไม่ไหว...มันร่วงหล่นจากฟากฟ้า...สู่ห้วงภพอันสุดแสนไกล แรงรักกระทั้นสุดท้ายส่งให้คู่รักถึงสวรรค์พร้อมๆกัน เสียงของความรักครวญครางยาวๆ เสียงหอบเหนื่อยราวกับวิ่งฝ่าห่าฝนดาวตก...มันหลั่งไหลเจิ่งนองเต็มคูหาถ้ำสวรรค์...สองร่างกอดรัดกระหวัดเกี่ยวกันตรงริมระเบียงรักแห่งนั้นเนิ่น...และ...นาน...

“หนุ่ยครับ...เป็นไงมั่ง...” ธีร์หันมากอดรัดร่างเปลือยของเด็กหนุ่มไว้ในอ้อมแขน
“มันส์มากครับ...” เด็กหนุ่มยิ้มยั่ว...ร่างกายเปลือยเปล่าเสียดสีสัมผัสกัน หน้าขากวัดแกว่งไปตามแรงกอดรัด
“บ้า...เด็กบ้า”  ธีร์จับและกำท่อนลำที่บัดนี้ห้อยหัวตกลงมาเล็กน้อย แต่ความโชนของมันยังมีอยู่
“โอย...อย่าบีบสิ...” หนุ่ยร้องออกมาแล้วต่างหัวเราะให้กันและกัน
“อาบน้ำกันเถอะ...” ธีร์เชื้อเชิญ
“ดีครับ..เผื่อจะได้อีกสักรอบ” หนุ่ยเดินตามเข้าไปข้างในห้อง เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปบีบก้นเนียนขาวเบาๆ รอยสักรูปไม้กางเขนที่เหนือบั้นเอวด้านหลังทำให้เด็กหนุ่มเกิดอาการ....

“สวยจังเลยครับที่รักของผม” หนุ่ยกระซิบข้างหู ก่อนที่สายน้ำอุ่นจะรินรดลงทั่วร่างเปลือยแกร่งของเด็กหนุ่ม
“อะไรสวย...” ธีร์ยิ้มยั่วก่อนจะส่งเรียวลิ้นอันร้อนร้ายเข้าสู่โพรงปากหอมหวานของเด็กหนุ่ม
“นี่น่ะสิ...” หนุ่ยเอื้อมมือโอบเอวของธีร์แล้วลูบไล้ที่รอยสักตรงบั้นเอวของคนรัก
“พี่รู้มั้ย...ผมเห็นรอยสักนี้ทีไร...แบบว่า...เงี่ยนได้ทุกที” หนุ่ยกอดรัดร่างบอบบางนั้นไว้แนบแน่น สายน้ำที่สาดเป็นฝอยไม่ได้ทำให้ความรุ่มร้อนในอารมณ์ดับลงไปได้เลย แต่สายน้ำที่ไหลเย็นกลับกลายเป็นน้ำมันที่สาดเข้ากองไฟแห่งรัก...ให้มันลุกโชนไม่สิ้นสุด...มันทำให้เพลิงรักดำเนินไปเรื่อยตราบจน...ท่อธารแห่งความรัก ...ได้พ่นสายธารแห่งรักออกมานั่นแหละ...มันถึงทำให้ไฟราคะ...ดับลง...แต่แค่ชั่วคราวเท่านั้น...อีกไม่นานเพลิงรักที่โหมกระหน่ำและหอมหวาน...ก็จะกลับมา อีกครั้ง...และอีกครั้ง


          แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาตามร่องของผ้าม่านที่ปิดไม่สนิท ธีร์ค่อยๆลืมตามองนาฬิกาซึ่งบัดนี้แสดงเวลาเก้าโมงครึ่งเข้าไปแล้ว ธีร์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์เต้แล้วบอกลา...“ไม่ทำงานอีกสักวันเถอะ...เดี๋ยวบ่ายๆจะไปหาแม่รู้สึกคิดถึงแม่จังเลย” ธีร์คิดในใจ

“หนุ่ยครับ...หิวมั้ย” ธีร์ถามเด็กหนุ่มที่เปลือยกายอยู่ข้างๆ สันจมูกโด่งๆคลอเคลียอยู่ที่แก้มใสของธีร์
“ยังครับ...หิวอย่างอื่นอ่ะคับ...” หนุ่ยไล้มือไปตามเรือนกายขาวเนียนใต้ผ้าห่ม ท่อนลำขาวใสสีชมพูใต้ผ้าห่มตื่นตัวทันที เด็กหนุ่มมุดลงไปชื่นชมกับมัน...“อ้า...หนุ่ยครับ...” ธีร์ครางออกมาเมื่อเรียวลิ้นและกลีบปากของเด็กหนุ่มฉกพลิ้วออกมา...หนุ่ยเก่งกาจและเจนจัดมากขึ้น น้ำอดน้ำทนที่เป็นเลิศ บางทีมันทำให้ธีร์ถั่งท้นออกมาได้ถึงสองครั้ง สองครา และครั้งนี้ก็เช่นกัน...

“เมื่อคืนก็สองทีติดๆ...เช้านี้ก็อีก...ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนครับ...หืม...” ธีร์กอดก่ายอยู่บนร่างแกร่งของเด็กหนุ่มที่นอนหอบหายใจแรงอยู่
“แรงแห่งรักสิครับพี่” หนุ่ยซุกจมูกไปที่ซอกคอของธีร์อีกครั้ง ขนที่แขนลุกเกรียวมันทำเอาธีร์ครางอู้วว์เลยทีเดียว
“ปากหวานเหลือเกินนะ...เด็กบ้าอะไรไม่รู้...ยาวใหญ่ซะจนพี่ระบมไปหมดแล้ว” ธีร์ยิ้มยั่วฉอเลาะ
“ถ้าอีกสักทีเนี่ย...พี่จะไหวเหรอครับ...” หนุ่ยตะโบมมือแกร่งไปที่ก้นขาวเนียน
“หนุ่ยนั่นแหละจะไหวรึเปล่า...” ธีร์ก้มลงไปที่ยอดอกของเด็กหนุ่มก่อนจะฉกปลายลิ้นออกมา
“อูยย...พี่ธีร์อย่าเริ่มสิครับ...พี่จะบ่นทีหลังไม่ได้นะ...” เด็กหนุ่มเอามือของธีร์ให้จับไปที่ท่อนลำที่มันเริ่มแข็งแรงขึ้นมาอีกครั้ง...
“โอยย...ตายแน่เลย...มันโมโหแล้วนะหนุ่ย...” ธีร์โหย่งตัวขึ้นแล้วประกบปากเรียวบางสวยลงไปที่แก่นกายกำยำที่มันรอคอยอยู่ สักพักเด็กหนุ่มก็ต้องร้องทุรนทุรายด้วยความสุข...ธีร์จัดการขี่ควบม้าพยศ ...ม้าเทศพันธุ์ดีที่ขี่ได้ดี...ทั้งนุ่มนวลและกระแทกกระทั้นในที...จวบจนม้าพยศสิ้นเรี่ยวแรง...สงบปากสงบคำเมื่ออุทกธารธาราขาวขุ่นข้นระเบิดออกมา ...เสียงเหนื่อยหอบของม้าเทศและจ๊อกกี้หนุ่ม...สอดประสานกันเป็นท่วงทำนองแห่งรัก...


          ธีร์และหนุ่ยลงมาที่ลานจอดรถปรากฏว่ารถบีเอ็มดับบลิวของธีร์สตาร์ทไม่ติด สองคนช่วยกันคิดอยู่นานว่าจะหาทางออกยังไง ธีร์ให้หนุ่ยโทรเรียกศูนย์บริการมารับรถไปซ่อมแล้วนั่งแท็กซี่ไปที่บ้านเพลินจิตในตอนบ่ายแก่ๆ ตอนเย็นนั้นศูนย์บริการโทรมาบอกว่ารถยังไม่เสร็จต้องใช้เวลาอีก 2-3 วัน

“พรุ่งนี้ต้องเดินทางแล้วจะทำไงดีล่ะพี่” หนุ่ยกังวลใจ
“เอารถเต้ไปก็ได้...” ธีร์กดโทรศัพท์หาเต้ทันที

“ไม่มีปัญหา...เดี๋ยวฉันเอารถป๊ามาใช้ก่อนได้...แกเอาไปใช้เถอะ...เดี๋ยวให้อ้นเอาไปให้นะ...” เต้ตอบรับอย่างง่ายดาย หลังจากหมดธุระแล้วธีร์หันมาเจอป้าจิตที่เดินเข้ามาหา

“คุณภาณีสั่งมาว่าเดี๋ยวจะรีบกลับ....แล้วให้มาถามว่าคุณๆจะทานอะไรกันดีคะ” ป้าจิตถามเพื่อเตรียมทำของโปรดให้คุณๆทั้งสอง

          ค่ำคืนนั้นเจ้านายทั้งสามคนรวมทั้งคนรับใช้ต่างมารวมกันหมดบ้าน ไม่ได้มีคำสั่งให้มารวมกันหรอก แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไรที่ทำให้คนในบ้านมารวมตัวกันครบขนาดนี้ อาจจะเป็นเพราะเสียงหัวเราะที่อวลไปด้วยความสุขก็ได้ คืนนั้นธีร์กับหนุ่ยนั่งคุยเล่นกับภาณีจนดึกดื่นแล้วกลับไปที่คอนโดฯตอนเกือบเที่ยงคืน..
.........................


          เช้าวันเดินทางทั้งสองแต่งตัวกันสบายๆ ไม่รีบร้อน โตโยต้าคัมรี่ไฮบริดสีขาวปลอดพุ่งทะยานไปบนถนนด้วยความเร็วพอสมควร หนุ่ยนอนหลับอยู่ข้างๆ ธีร์เหลือบไปมองที่เด็กหนุ่ม ดวงตาที่หลับพริ้ม จมูกโด่งเป็นสันใบหน้าคมคาย ร่างกายที่แข็งแกร่ง ทำเอาธีร์คิดถึงบทอัศจรรย์เมื่อคืนของเด็กหนุ่มที่กระแทกกระทั้นจนทำเอาธีร์สำลักความสุขไป 2 ครั้ง

“หลับสบายเลยนะ...” ธีร์เอื้อมมือไปลูบไล้เส้นผมของเด็กหนุ่มเบาๆ เสียงกรนเบาๆแผ่วออกมา ธีร์ละสายตาจากเด็กหนุ่มที่มีรูปร่างงดงามข้างๆแล้วมองไปข้างหน้า พลางกดคันเร่งส่งให้รถยนต์คันหรูของเต้พุ่งไปให้ถึงปลายทางเร็วขึ้น



“หนุ่ย...ถึงสุราษฎร์แล้ว...มาเปลี่ยนกันขับหน่อยเถอะ...พี่เหนื่อยแล้ว” ธีร์ลดคันเร่งแล้วเลี้ยวเข้าปั้มน้ำมันข้างทาง พักรถได้สักครึ่งชั่วโมงก็ออกเดินทางต่อ

“พี่ธีร์หลับให้สบายเลยนะครับ...ผมจะขับเอง...” หนุ่ยถอยรถออกมา ความรู้สึกที่ไม่ค่อยมั่นใจในการขับรถแล่นปราดเข้ามาทันที...“ทำไมรู้สึกแบบนี้นะ...” เด็กหนุ่มขับรถมานานแต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ความรู้สึกแบบนี้เข้ามาเกาะกุมหัวใจ เส้นทางที่ใช้ผ่านจากสราษฏร์เข้าสู่นครศรีธรรมราช ต่อด้วยเส้นทางที่จะลงไปสงขลาสายเลียบทะเล เส้นนี้ไม่ต้องอ้อมไปสงขลาแต่สามารถวิ่งตรงเข้าสู่ระโนดได้เลย ผ่านหัวไทรเล็กน้อยหนุ่ยแวะเข้าปั้มน้ำมันเพื่อเข้าห้องน้ำ

“พี่ธีร์...ผมเข้าห้องน้ำแป๊บนะพี่...” หนุ่ยเปิดประตูออกไป
“อืม...” ธีร์นอนหลับตาพริ้มด้วยความง่วงงุน สักพักหนุ่ยก็กลับขึ้นมาที่รถเตรียมรัดเข็มขัดนิรภัยแล้วเดินทางต่อ
“พี่ไม่เข้าห้องน้ำเหรอครับ...” หนุ่ยถามพลางเอื้อมมือไปลูบใบหน้าคนรัก ด้วยความอาลัยอาวรณ์...

“...ผมมาระโนดครั้งนี้แล้ว...ไม่รู้อีกเมื่อไหร่จะได้กลับมาอีก” หนุ่ยพูดออกมาทำเอาชายหนุ่มลืมตาขึ้นมามองหน้าหล่อๆของเด็กหนุ่ม
“ทำไมล่ะ...” ธีร์ถามด้วยความสงสัย
“ก็ปีหน้าเรียนหนัก...ฝึกงานด้วย...เรียนจบก็ทำงาน” หนุ่ยวางอนาคตเป็นฉากๆ
“อ้าวแล้วเรื่องที่จะไปเรียนโทต่อที่ฝรั่งเศสล่ะ” ธีร์ทวงถามเรื่องเรียนต่อ
“ก็อยากทำงานสักพักแล้วค่อยไปเรียนต่อก็ได้...ผมว่าควรมีประสบการณ์อย่างน้อยสัก 2-3 ปี” หนุ่ยพูด
“ดีแล้ว...พี่อยากเห็นหนุ่ยมีอนาคตที่ดี...มีอนาคตที่สดใส...อะไรที่พี่ให้ได้ ...พี่จะให้หนุ่ยทุกอย่าง...เรื่องจะเรียนต่อหนุ่ยไม่ต้องห่วงนะ...พี่ให้เต็มที่...ขออย่างเดียวขอให้หนุ่ยตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงานและ...เอ่อ...มั่นคงในความรักที่เรามีให้กัน....” ธีร์พูดแล้วยิ้มให้เด็กหนุ่มอย่างมีความสุข เรื่องราวหนักอกที่มันรู้สึก...ก็แค่นี้แหละ...ที่อยากจะบอก ธีร์ไม่รู้จะพูดอะไรที่มันซีเรียสได้มากกว่านี้อีกแล้วเพราะทุกสิ่งที่บอกหนุ่ยไปทำให้ธีร์ใจชื้นขึ้น...สบายใจขึ้นที่ได้บอกความคาดหวังและความต้องการจากส่วนลึกของจิตใจ
.........


“ถึงระโนดแล้วพี่...” หนุ่ยพูดออกมาเบาๆก่อนจะเร่งความเร็วขึ้นไปอีก บรรยากาศภายนอกรถมืดมิด ฝนตกลงมาค่อนข้างหนัก ทัศนวิสัยยังพอมองเห็นได้ รถมอเตอร์ไซค์ข้างทางไม่มีเลย มีแต่รถยนต์ที่วิ่งสวนทางมา

               เกือบจะถึงทางเข้าบ้านแล้ว อีกไม่กี่สิบเมตร ข้างทางมืดมิดไปหมด มองไม่เห็นเส้นขอบถนนหรือแม้กระทั่งเส้นแบ่งเลนกึ่งกลางถนน เพราะฝนที่ลงเม็ดหนาขึ้น หนุ่ยเปิดไฟเลี้ยวเมื่อจำได้ว่าถึงปากทางเข้าบ้านของเขาแล้ว...ตรงนี้แหละที่ปู่ของเขาจากไป...หนุ่ยมีความคิดแบบนี้แวบเข้าสมองมาอีกครั้ง...แต่ก็สลัดออกไปอย่างรวดเร็ว เขารักธีร์มากเกินกว่าที่จะกลับไปคิดเรื่องนั้น...หนุ่ยหักพวงมาลัยเลี้ยวซ้าย...มองไม่เห็นมัจจุราชที่วิ่งสวนมา...โคมไฟหน้ารถที่บอดสนิททั้งสองข้างของรถหกล้อคันเก่าแก่รุ่นสงคราม มันพุ่งทะยานเข้ามาหาอย่างเร็วและรุนแรง

“.....เอี๊ยดดดดด.....โครม.....”  สติสัมปชัญญะดับวูบลง

...................................................

.

.

.

.

.

.

..........................................................

          เสียงเพลงมโนราห์แว่วมากระทบโสตประสาท อีกเดี๋ยวก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงพระสวดภาษาบาลี...ความมืดมิดและเหน็บหนาว อ้างว้าง...มันอยู่รายรอบตัว...ไม่มีความรู้สึกรับรู้ใดๆ รู้เพียงแต่ร่างกายที่ขยับเขยือนไม่ได้...บางทีมันรู้สึกหนัก...มันกดทับ ...อีกเดี๋ยวก็อ้างว้างและเหน็บหนาวไปพร้อมๆกัน ทุกสิ่งที่ล้วนแต่วนเวียนเข้ามาให้รับรู้...แต่ที่ชัดเจนที่สุดในสิ่งที่รู้ได้คือความเงียบ...มืดมิด...วังเวงและสับสน...

..........................................
.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

............................................................

“พี่ธีร์...พี่ธีร์...จะไปไหน...พี่ธีร์...ผมอยู่นี่...พี่ธีร์...ปู่ครับ...ปู่...อย่าเอาพี่ธีร์ไป....”  เสียงคร่ำครวญร้องร่ำไห้ดังก้องอยู่ในความมืดและวังเวง...เสียงนั้นแผ่วลง...แผ่ว ลง...แผ่วลง...หนุ่ยเรียกจนไม่มีเสียง...ร้องจนเสียงแหบพร่า...ในเงามืดนั้น เด็กหนุ่มเห็นเพียงเงารางๆของธีร์ที่กำลังเดินตามปู่ของเขาไป...ธีร์น้ำตาไหล...อาบแก้ม...และที่เขาเห็นครั้งสุดท้ายก่อนทุกสิ่งจะลับตาไป...ธีร์หันมายิ้มให้กับเขา...มันเป็นรอยยิ้มที่หนุ่ยจะไม่มีวันลืมได้เลยตลอดชีวิต

-จบ-

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 18-10-2009 04:41:54
เข้าทำนองเริ่มตรงไหน จบตรงนั้นเลยอะ  :monkeysad:


แต่ขอสารภาพตามตรงนะครับ ว่ารับตอนจบแบบนี้ไม่ได้เลยจริงๆอะ สงสารทั้งหนุ่ยและธีร์เลย อยากให้มีตอนพิเศษ แบบว่าด้วยเรื่องเหนือธรรมชาติอะไรซักอย่าง ทำให้ธีร์ไม่ตาย แล้วครองรักกับหนุ่ยอย่างมีความสุขต่อไปอะครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 18-10-2009 04:47:40
.......
...
..
.
จบแล้วค่ะ  สำหรับระโนดเรื่องนี้
ตอนอ่านต้นฉบับก็ร้องไห้  ตอนอ่านที่ต้นคุงแปะก็ร้องไห้  ตอนแปะเองก็ร้องไห้อีก
คงไม่อาจเปลี่ยนแปลงตอนจบได้  เพราะถึงจะใช้ชื่อว่าเป็นนิยาย  แต่ต้นคุงเขียนมาจากเรื่องจริงค่ะ
ขออนุญาตไว้อาลัยให้กับพี่ธีร์ ... ณ ที่นี้ อีกครั้ง

.
.
.

ขอบคุณต้นคุง สำหรับเรื่่องเล่ามีชีวิตเรื่องนี้
ขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนที่คอยติดตาม  ที่อยู่้เป็นเพื่อน  เป็นแรงใจให้กันจนถึงทุกวันนี้นะคะ
ขอบคุณมากค่ะ 
:L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 18-10-2009 05:12:16
 :monkeysad:
เศร้าอย่างแรง สงสารพี่ธีร์เหลือเกิน และสงสารหนุ่ย กับคนที่ยังอยู่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
ยิ่งบอกว่าคุณต้นคุงแต่งมาจากเรื่องจริง ยิ่งรู้สึกถึงความโหดร้ายของโชคชะตา
แบบนี้ทำไมปู่ไม่เอาไปทั้งคู่เลยนะ หนุ่ยยังอยู่ รับความรู้สึกผิด และโหยหาไปเต็มๆ

ถึงแม้จะเป็นเรื่องจริง ก็ไม่อยากให้พลิกผัน หักมุมแบบนี้เลย
คิดเหมือนกันคุณ patz ค่ะ
ไม่มีตอนพิเศษสำหรับความเป็นนิยายที่อยู่ในกำมือของคนแต่งบ้างหรือคะ

ขอบคุณคุณต้นคุง และองค์หญิงฯ มากค่ะ

ปล บรรยายภาษาสวยหลายตอนเลยค่ะ ใช้ภาษาน่าอ่านมากๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: hene2526 ที่ 18-10-2009 10:33:28
ชีวิตไม่ต่างจากละครเลยจริงๆ...บางที่ชีวิตไปคล้ายละคร บางตอนละครก็คล้ายชีวิตจริง

ขอให้พี่ธีมีความสุข ณ ภพที่อยู่ครับ

ขอให้หนุ่ยดูแลตัวเองและครอบครัวที่ธีฝากไว้ดีๆครับ

ขอบคุณปู่ที่ยอมให้หนุ่ยได้อยู่ดูแลภาณีแทนธี

ขอบคุณ ต้นคุง คนต้นเริ่อง

ขอบคุณ องหญิง คนเสนอเริ่อง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: Chatcha ที่ 18-10-2009 10:35:22
เสียน้ำตาอีกแล้ว

เศร้ามากมาย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 18-10-2009 10:45:48
อึ้ง......บอกไม่ถูกเลย

ชีวิตก็ต้องเป็นไปตามกรรม..... :sad11:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: Cha Ris Ma ที่ 18-10-2009 11:21:13
ขอให้รักของทั้งสองคงอยู่ตลอดไป :n1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: •ผั๑`|nกุ้va’ด• ที่ 18-10-2009 11:45:00
แง๊~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~!!!! :o12:



รักแรกของหนุ่ย กับ รักสุดท้ายของธีร์


 :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: wichit14 ที่ 18-10-2009 13:02:46
ก็ชื่อนิยาย ระโนด มันก็คงเกิดและจบที่นั่น จะพยายามทำใจให้ได้ครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 18-10-2009 13:30:25
อ้ากกกกกกกกกกกกเศร้าชีวิตจริงมันรันทดเยี่ยงนี้



ขอบคุณมากกกกกกกกกคับจะติดตามผลงานต่อไปค้าบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: DEMON3132 ที่ 18-10-2009 14:15:26
เปิดเรื่องมาก็เศร้าด้วยความตายความพลัดพราก ตอนจบยิ่งเศร้าหนักเข้าไปอีก
จบด้วยความตายและความพลัดพรากเช่นเดียวกัน จะมีอะไรเศร้าไปกว่านี้ไหมเนี่ย
 :sad4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: WEERACHOT ที่ 18-10-2009 15:07:58
ขอให้คุณธีร์....เกิดมาคู่กับหนุ่ยอีกครั้ง และความรักที่ทั้งสองมีให้กันยาวนานกว่านี้

เรื่องนี้ผมอ่านโดยไม่คิดว่าเศร้า และถึงจะเศร้าผมก็ขอบคุณมากๆครับ

ขอบคุณต้นคุง ขอบคุณองค์หญิงฯ

ความเป็นจริงหลายคนบอกว่า ชีวติเกย์มันต้องจบด้วยอย่างนี้

คนหนึ่งตาย คนหนึ่งอยู่ มันไม่สมหวัง และมันก็ตอกย้ำเรื่อยๆว่า เกย์คือความรักที่มีแต่ทุกข์

ผมว่าถึงจะเป้นคู่ชายหยิง ก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องราวที่เศร้าแบบนี้

คนหนึ่งตายคนหนึ่งอยู่ เกิดกับทุกคู่ ชีวิตเรามันเดินไปในทางของมัน

พรุ่งนี้เราใต้ อีกคนเกิด อีกคนสมหวัง

มันคละเคล้ากันไป คู่ไหนที่รักกันยืนยาว ก็ขอให้รักกันมากๆ

รักษาเวลาให้ดี.......


ขอบคุณเรื่องนี้ ที่ทำให้เข้าใจชีวิต และใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาณ


เหอ.....



เรื่องนี้ทำให้ผมรักแฟน เอาใจใส่ดูแลแฟนมากขึ้นน่ะครับ


ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 18-10-2009 15:25:26
เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ชอบมากๆๆๆ
 :เฮ้อ:แต่ทำไมถึงได้จบเศร้าจัง :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: Vesi ที่ 18-10-2009 15:48:47
แอบไปอ่านในอีกเว็บนึงเล่นเอาช็อกกับตอนจบเอาเรื่องเลยล่ะ
เหมือนคนเราพอใกล้จะถึงจุดจบของชีวิตมันจะมีเซนส์อะไรบางอย่างเลยเนอะ
พูดอะไรเป็นลางๆ แปลกๆ ทำอะไรที่ปกติไม่เคยทำ
เคยมีประสบการณ์กับคนใกล้ตัวด้วยอ่ะ คล้ายๆแบบนี้แหละ
อ่านละเศร้าจับจิต ความสุขกำลังเบ่งบานแท้ๆ
แต่ก็นะมีรักย่อมมีทุกข์ มีพบย่อมมีพราก เป็นสัจจะธรรมของชีวิต
เข้าทำนองว่า เริ่มต้นตรงไหนก็จบลงตรงนั้นเลยแฮะ
กลับคืนสู่ความว่างเปล่าจริงๆ

ปล. ขอให้คุณธีร์ไปสู่สุขคตินะครับ ชาติหน้าฉันใดขอให้ได้เกิดมาคู่กับหนุ่ยอีก
//ยืนไว้อาลัย ๑ นาที
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: mango ที่ 18-10-2009 18:19:54
Thank you :m15:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: tutu ที่ 18-10-2009 18:34:19
 :monkeysad: :monkeysad:

เศร้า..ทำไมเป็นแบบนี้...
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: 0nePiece ที่ 18-10-2009 19:44:50
 :a5:เศร้าัจังเลย ทำไมโชคชะตาถึงเล่นตลกอย่างนี้นะ
 :call: คนที่จากไปก็ขอให้จากไปอย่างสงบ
 o22 o22 ส่วนคนที่ยังอยู่ คงเจ็บปวดอย่างสาหัส
ดูแลรักษาตัวเองและจิตใจ ให้เข็มแข็ง นะครับ
ปล.ต้นคุงเป็นคนระโนดเหรอครับ เราเองก็เป็นคนระโนดเหมือนกัน
ขอบคุรนะครับ สำหรับเรื่องที่ใด้นำมาให้อ่านกัน
 :pig4: :L1: :3123: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: N19T ที่ 18-10-2009 20:29:59
ตามอ่านเรื่องนี้มาตลอด แต่ยังไม่เคยได้ post อะไรเลย
วันนี้อ่านมาถึงตอนจบ รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยกับบทสรุปสุดท้ายแบบนี้
แต่มันก็เป็นภาพสะท้อนเหมือนกันนะว่า ใครทำอะไรไว้ ยังไงก็ต้องชดใช้ ขึ้นอยู่กับว่าจะเร็วหรือช้าเท่านั้นเอง
แต่อย่างน้อย สำหรับธีร์ มันก็คงเป็นความสุขที่ในช่วงเวลาหนึ่งได้ใช้ร่วมกับหนุ่ยคนที่เค้ารัก

ขอบคุณผู้เขียนที่นำเรื่องนี้มาให้ได้อ่านนะค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 18-10-2009 20:33:31
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวความรักดีๆค่ะ แต่เศร้าจัง :impress3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: ronger ที่ 18-10-2009 21:35:52
 :o12: จบได้เศร้าจิ๊ดดด  :sad4:
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆนะจ้ะ  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: viky_mama ที่ 18-10-2009 21:38:01
ไม่นะ ทำไมมันเศร้าแบบนี้ กระทันหันมากๆ ทำใจไม่ได้จริงๆ ค่ะ  :sad4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: Nichdia ที่ 19-10-2009 00:05:11
แง จบเศร้าอ่า

ความตาย ไม่มีใครบอกล่วงหน้า

น่ากลัวจิงๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: vongola ที่ 19-10-2009 00:07:11
จบได้เศร้ามากๆๆเลยอะครับ

รู้สึกเหมือนมันจะเร็วจนน่าตกใจ

เจอกันที่ตรงนั้น

จากกันก็ที่ตรงนั้น

ขอบคุณนะคับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 19-10-2009 00:21:18
จบได้เศร้ามาก  ๆ  เลยครับ




แต่ก้อขอ   :pig4:    :pig4:  ทีนำเรื่องดี ดี มาให้อ่านนะครับ





ถ้ามีเรื่องใหม่มาให้อ่านอีกนะครับ






 :z2:    :z2:    :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: องค์หญิงกำชัย ที่ 20-10-2009 12:40:46
สวัสดีครับเพื่อนๆทุกคน

    ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่มีให้ผมและองค์หญิงมาตลอด
ขอบคุณในทุกคอมเม้นต์...และข้อเสนอแนะ...แม้จะไม่ได้
เข้ามาคุยด้วยบ่อยๆ...แต่ผมก็ยังติดตามอ่านความเห็นจาก
เพื่อนๆเสมอๆ...และอีกอย่างองค์หญิงก็ได้ทำหน้าที่ตรงนี้ได้
อย่างไม่มีข้อบกพร่อง...ผมดีใจและปลื้มใจที่ทุกคนหลงไหล
ไปกับนิยายที่ผมเขียน...
    อย่างที่องค์หญิงบอกกับเพื่อนๆไปแล้ว ว่านิยายเรื่องนี้ผม
เขียนมาจากเรื่องจริง...เรื่องจริงที่เกิดกับคนใกล้ชิดของผมเอง
มีการตัดแต่ง...และต่อเติมเพื่ออรรถรสในการอ่าน...ให้มันเป็น
นิยายมากขึ้น ผลงานในเรื่องใหม่ของผมกำลังเขียนอยู่...แต่อยู่
ที่องค์หญิงจะเอามาลงให้เพื่อนๆได้อ่านรึเปล่า...ต้องถามองค์หญิงเอง
นะครับ...จะบอกว่าเรื่องใหม่นั้น...เขียนมาจากเรื่องจริงเหมือนกัน
มาจากเรื่องที่ผมได้คุยกับแฟนคลับคนนึงของผม...มันน่าสนใจ
และผมก็ขออนุญาตน้องเค้าเอามาเขียนเป็นนิยาย...แต่เวลาที่ลงอาจ
จะไม่ต่อเนื่องเหมือนเก่านะครับ เพราะเวลาไม่ค่อยมี...ผมมีโครงการ
ที่จะเขียนเรื่อง...ส่งประกวด...ถ้าอยากอ่าน...แจ้งไปที่องค์หญิงได้นะครับ
ด้วยใจจริง
ต้นคุง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: gboy ที่ 20-10-2009 14:19:02
 o13
ขอบคุณครับต้นคุง

เรื่องนี้ให้ข้อคิดดีมากเลยครับ

จะติดตามผลงานนะครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: kikipanda ที่ 20-10-2009 16:02:40
ชอบมาก แต่ก็เศร้ามากค่ะ เมื่ออ่านตอนจบ

ถึงจะเศร้าอย่างไร ก็หวังให้น้องหนุ่ย(ทั้งในเรื่อง และตัวจริง) ผ่านพ้นช่วงเวลาร้ายๆ ไปได้ด้วยดีนะค่ะ  :กอด1:

วกมาที่คุณต้นคุง และคุณเจ้าหญิงฯ ขอบคุณมากนะค่ะ สำหรับเรื่องดีๆ ที่ให้ข้อคิด และอรรถรสทางภาษาเต็มเปี่ยม จะรออ่านผลงานต่อไปนะค่ะ  :bye2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 20-10-2009 23:55:27
รู้สึกดีใจ ที่ได้รับรู้ความเคลื่อนไหวของคุณต้นคุงบ้าง

ขอบคุณต้นคุงและคุณองค์หญิงฯมากๆครับ


ฝาก +1 ไปให้คุณต้นคุงผ่านคุณองค์หญิงครับผม  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 21-10-2009 01:10:13
ขอบคุณองค์หญิงฯ สำหรับข่าวคราวจากคุณต้นคุงนะคะ
รอผลงานต่อๆไป จะเศร้าอีกมั้ยเนี่ย
และเป็นกำลังใจสำหรับงานที่จะส่งเข้าประกวดด้วยค่ะ  :L2:



หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 21-10-2009 09:54:38
จะรออ่านผลงานของต้นคุงจ๊ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: bbboy ที่ 02-12-2009 22:29:17
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: rellachulla ที่ 05-12-2009 05:28:42
มาลงชื่อว่าอ่านจบแล้ว

สนุกมากค่ะ

ใช้เวลา 1 คืน

อารมณ์หลากหลาย ตอนจบเรียกน้ำตาได้อีกเหอะ

เศร้า :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: LittleFoetus ที่ 07-12-2009 18:33:23
อ่านทีเดียวรวด  เรื่องนี้ให้อารมณ์ที่หลากหลายมาก
อ่านเเล้วอินจิงๆ  ไม่รู้ซินะ อ่านเเร้วเเบบว่าเห็นภาพตาเนื้ม เหมือนเราเป็นผู้ที่เฝ้ามองชีวิตของเค้า
การบรรยายเนื้อเรื่องสมจริงมาก  ปลื้มสุดๆ 

เป็นกำลังใจให้คนเเต่งนะ  ที่ทำให้ได้เห็นความรักที่สวยงาม  ถึงเเม้จะเศร้าตอนจบก็ตามที
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 09-12-2009 08:54:53
ขอบคุณต้นคุงครับสำหรับเรื่องดีๆ คุณแต่งเรื่องได้ชวนติดตาม แม้ตอนจบจะเศร้าก็ตาม เป็นกำลังใจให้แต่งเรื่องดีๆมาให้พวกเราอ่านอีกครับ
ขอบคุณอีกครั้ง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: MIkz_hotaru ที่ 18-12-2009 04:57:58
ประทับใจเรื่องนี้สุดๆ
ลาก่อนพี่ธีร์ ขอให้พี่หลับให้สบาย
ขอบคุณครั้งหนึ่งเคยผูกพัน และร่วมทางกัน "จนสุดหนทาง"  :o12:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: ธรรพ์ ที่ 05-04-2010 23:55:36
ขอไว้อาลัย กับพี่ธีร์ ด้วยนะครับ หนุ่ยขอให้เข้มแข็ง นะครับ

ตกใจกับตอนจบของเรื่องนี้เหมือนกัน แต่พอคุณองค์หญิงบอกว่า เป็นเรื่องที่เขียนมาจากเรื่องจริง ก้ได้แต่ทำใจครับ

ขอบคุณคุณต้นคุงที่เขียนเรื่องให้อ่านกัน เนื้อเรื่องสนุกมาก ผมชอบ (เพราะผมก็เป็นคนใต้ อิอิ)เนื้อเรื่องที่ไม่เหมือนใครเลย ผมคงจะจำเรื่องนี้ได้ไปอีกนานเลยครับ ขอบคุณคุณองค์หญิงที่นำเอาเรื่องดีๆมาให้อ่านด้วยนะครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: korakit1573 ที่ 06-04-2010 13:57:33
 :sad4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] ระโนด <by ต้นคุง> =ตอนที่ 60= อวสาน...รักสุดท้ายของธีร์
เริ่มหัวข้อโดย: sa-ma-cha-ya ที่ 17-06-2010 00:22:11
ขอบคุณมากนะครับ  :pig4:
เศร้าเนอะ :monkeysad:
แต่ก็รู้สึกว่าเป็นรักที่งดงาม o22
ขอให้คนแต่ง และเพื่อน ๆ ในเล้าทุกคน มีความสุข  มีสุขภาพแข็งแรงนะครับ :bye2:
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 28-03-2011 14:17:14
อึ้งมากก ตะหงิดตั้งแต่ตอนที่ธีร์พูดกับเต้แล้วอะ
ไหนจะกอดกันร้องไห้อีก
อย่างที่โบราณเขาบอก คนจะตายจะมีสัญญาณบอก

เฮ้ออออออออ T___________T
ไม่น่าจบอย่างนี้เลยย
โอยย ปวดใจ

ขอให้ธีร์เกิดมาคู่กับหนุ่ยทุกภพทุกชาติ
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: eyerabbit ที่ 29-03-2011 00:35:12
อ้าวกำลังหวานๆ ไม่คิดว่าจะจบแบบนี้

แต่ก็ยังดีที่ยังพอมีคำใบ้ให้ทำใจก่อนเนิ่นๆ
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: ♥Täsinä→l3€LL♥ ที่ 30-03-2011 11:24:28
เศร้า  
:sad11:
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: nco1236 ที่ 17-05-2011 00:17:20
 :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: babyfaibossy ที่ 18-05-2011 13:45:52
ขอลืมตอนจบแล้วกัีน

 :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: nco1236 ที่ 18-05-2011 17:43:11
อ่านแล้วน้ำตาเล็ดเลย
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 21-05-2011 18:03:09
จบแบบหักมุมเลยอ่ะ แงๆ  ฮืออออออ  เศร้าอ่า :m15:
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: l2ockyou_l3ody! ที่ 21-05-2011 20:02:30
แหม. เรื่องนี้มันวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ บ้าน ข่อยจริง ๆ 555
ข่อยอยู่ตะกั่วป่า น๊า ><
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: casper75 ที่ 22-05-2011 15:29:33
คุณปู่ใจร้ายจัง ฮือๆ
สงสารธีร์กับหนุ่ยมากเลยอ่ะ

ขอบคุณ คนแต่งและคนโพสมากนะค่ะ ที่เอาเรื่องสนุกๆมาให้อ่านกัน
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: little_nok ที่ 31-07-2011 23:47:37
มันเป็นนิยาย
แต่ก็ไม่อยากให้จบแบบโศกนาฎกรรมเช่นนี้
มันเศร้าเกินไป
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: THELOOM ที่ 02-08-2011 20:49:33
ชอบเรื่องนี้มากจะมีสักกี่คนที่เจอคนที่รักเราและทำทุกอย่างเพื่อเราขนาดนี้ ซึ้งเกินบรรยาย ขอบคุณจริงๆครับที่นำเรื่องดีๆมาให้อ่าน :pig4:

ปล.อ่านตอนที่60ได้สักพักก็ไม่อยากอ่านต่อแล้วเพราะรู้สึกว่าเหมือนจะมีใครเป็นอะไรสักอย่าง แต่ก็อ่านต่อ แล้วเป็นไงละร้องไห้อีกนะสิ


ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยล๊าาา

:z3: :m15:
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: yotsaput ที่ 04-08-2011 15:42:07
จบแบบน้ำตาแตก แต่สนุกมากคับเรื่องนี้ มีหลากหลายอารมณ์
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: 20227ple ที่ 28-08-2011 22:35:49
เศร้าเกินไป
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: Still_14OC ที่ 30-08-2011 01:38:29
ถึงตอนจบจะเจ็บ แต่ ก็สมบูรณ์นะ อย่างน้อยก็ตายรักกันจนถึงวินาทีสุดท้ายก็อยู่ด้วยกัน
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: gumrai3 ที่ 12-09-2011 22:45:40
เศร้ามากๆ เศร้าสุดๆไม่ไหวเเล้วร้องไห้เต็มที่ก๊อกเเตกเลย
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: nam11734 ที่ 13-09-2011 23:22:40
 :sad4:เศร้าได้อีก
ไม่ชอบตอนจบแบบนี้เลย
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 14-09-2011 17:28:07
ฮือๆ  ความตายเบาเหมือนปุยนุ่น หนักเหมือนขุนเขา เคยมีคนที่ตายไปแล้วมาเข้าฝันให้เราเห็นวินาทีสุดท้ายของชีวิตตอนที่รถกำลังจะชนประสานงาด้วย บางคนอาจคิดว่ากินมากนอนมากรึเปล่า แต่เราว่ามันเป็นเรื่องจริง และยังคงจำความรู็สึกนั้นได้จนทุกวันนี้
เพราะงั้นจงทำวันนี้ให้ดีที่สุด อย่าอายที่จะบอกรักใครและให้ใครรัก
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: theerawatc ที่ 27-10-2011 02:30:32
ใจร้ายมาก / ไม่สงสารคนอ่านเลย
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: boworange ที่ 27-10-2011 12:27:36
 :sad4: เศร้าจนบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้  :sad4:
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: TeuyHom ที่ 28-10-2011 02:48:24
ไม่อยากให้จบแบบนี้เลยอ่ะ

ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: AB^Ton^ ที่ 14-11-2012 19:30:25
อ่านเรื่องนี้แล้วเศร้าจิต เห้อออ โว๊ยยย แง แง จบ ^.^
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: lovely1714 ที่ 15-11-2012 23:08:34
หักมุม
เศร้า
ไม่ชอบตอนจบ
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: Thep503 ที่ 22-11-2012 22:51:17
อ่านตอนรองสุดท้ายจบ พอจะรู้แล้วว่าตอนจบจะเป็นไง ไม่กล้าอ่าน ปิดคอมเลยอ่ะ ขอเวลาทำใจสัก 2-3ชม. ค่อยมาเปิดอ่านเมื่อกี่ เศร้าจัง  แต่อย่างไรก็ ดีใจครับที่ได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ ขอบคุณมากครับ
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: Loste ที่ 24-11-2012 10:55:01
 :o12: :o12: :o12: :o12:


ทำไมธีร์ต้่องตายด้วย ทำไมไม่รักกันไปตลอด แล้วอย่างนี้หนุ่ยจะอยู่อย่างไง
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: pipoo ที่ 16-01-2014 11:42:52
สงสารธีร์จัง คะ หื้ออออออ   :hao5:
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: GMT101 ที่ 24-06-2017 18:30:39
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: GRID ที่ 20-08-2017 16:28:53
กลับมาอ่านอีกครั้งเพราะคิดถึง
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: Timber ที่ 20-11-2017 12:40:44
 :L2:
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 27-05-2021 12:00:25
 :o12:
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: Vergintomza ที่ 10-06-2021 19:35:26
ไม่ไหว น้ำตาไหลพราก
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 25-03-2024 19:58:58
ดีแทค ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 803บ./90วัน กด *104*591*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,284บ./180วัน กด *104*592*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) 1,926บ./365วัน กด *104*593*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,069บ./90วัน กด *104*594*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 1,498บ./180วัน กด *104*595*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 2,675บ./365วัน กด *104*596*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *104*388*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *104*389*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,711บ./90วัน กด *104*598*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 2,139บ./180วัน กด *104*578*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 3,745บ./365วัน กด *104*579*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *104*398*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 1,188บ./30วัน กด *104*597*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 139บ./7วัน กด *104*77*8488034#
เน็ตดีแทค 1 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 535บ./30วัน กด *104*97*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 246บ./7วัน กด *104*78*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 696บ./30วัน กด *104*98*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 375บ./7วัน กด *104*79*8488034#
เน็ตดีแทค 8 Mbps(เม็ก) 95บ./8วัน กด *104*897*8488034#
เน็ตดีแทค 8 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 42บ./1วัน กด *104*68*8488034#
เน็ตดีแทค 10 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*798*8488034#
เน็ตดีแทค 2 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 380บ./30วัน กด *104*237*8488034#
เน็ตดีแทค 4 Mbps(เม็ก) +โทรดีแทค 470บ./30วัน กด *104*236*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 193บ./7วัน กด *104*841*8488034#
เน็ตดีแทค 12 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *104*842*8488034#
ยกเลิกเน็ต  กด  *103*0# โทรออก
ดีแทค  เช็คเน็ต คงเหลือ กด *101*1# โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง กด *102# โทรออก
ยกเลิก SMS กินเงิน กด *137 โทรออก
เช็คเงิน คงเหลือ กด *101# โทรออก 
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ กด 1678 โทรออก
เน็ตไม่อั้น ไม่ลดสปีด  โปรรวม
สมัครง่ายๆ กดตามได้เลยค่ะ
#โปรเน็ตสุดฮิต  DTAC
โปรที่คุ้มที่สุดของการใช้เน็ต
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด #โปรเน็ตดีแทค #เน็ตดีแทคเติมเงิน #โปรดีแทครายสัปดาห์ #โปรดีแทครายวัน #โปรแทครายเดือน #โปรเน็ตDTAC #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน #DTAC #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #โปรเสริมDTAC #โปรเสริมดีแทค
https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368 (https://www.facebook.com/media/set/?vanity=sarawutcomputer&set=a.1735376596730368)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I (https://www.youtube.com/watch?v=U8gZx3BTz_I)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=xgJOI7_4_vg (https://www.youtube.com/watch?v=xgJOI7_4_vg)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว  dtac  ดีแทค ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg (https://www.facebook.com/share/p/sTA3Vv6dxR4GnW6x/?mibextid=qi2Omg)


ดีแทค ระบบเติมเงิน Dtac เน็ตไม่อั้น เร็ว 12 Mbps เม็ก หมดเขต 30 เมษายน 2567
https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc (https://www.youtube.com/watch?v=-u5Ua409XKc)


ดีแทค ระบบเติมเงิน เน็ตไม่อั้น เร็ว 30 Mbps(เม็ก) นาน 30 วัน ราคา 350 บาท แถมโทรฟรีทุกค่าย
https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA (https://www.youtube.com/watch?v=9ATbQS3gVwA)
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 26-03-2024 20:59:43
aIS ระบบเติมเงิน โปรเน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว (ราคารวมภาษี 7% แล้ว)
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 27บ./1วัน กด *777*7021*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 30บ./1วัน กด *777*7023*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 38บ./2วัน กด *777*7380*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 59บ./3วัน กด *777*7096*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 129บ./7วัน กด *777*7098*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 139บ./7วัน กด *777*7220*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 375บ./30วัน กด *777*7153*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 800บ./90วัน กด *777*7379*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 1,200บ./180วัน กด *777*7328*117010#
เน็ต aIS 1 Mbps(เม็ก) 1,800บ./365วัน กด *777*7329*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 30บ./1วัน กด *777*7381*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 32บ./1วัน กด *777*7084*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 130บ./7วัน กด *777*7629*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 161บ./7วัน กด *777*7382*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก) 482บ./30วัน กด *777*7383*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 380บ./30วัน กด *777*7631*117010#
เน็ต aIS 2 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย15นาที 155บ./7วัน กด *777*7630*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 35บ./1วัน กด *777*620*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 38บ./1วัน กด *777*7627*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทรทุกค่าย10นาที 58บ./2วัน กด *777*7628*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 45บ./1วัน กด *777*7151*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 246บ./7วัน กด *777*7221*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก)+โทร aIS 470บ./30วัน กด *777*7632*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 59บ./2วัน กด *777*7384*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 236บ./7วัน กด *777*7154*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 696บ./30วัน กด *777*7159*117010#
เน็ต aIS 4 Mbps(เม็ก) 1,285บ./90วัน กด *777*7398*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 49บ./1วัน กด *777*7209*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 81บ./2วัน กด *777*7385*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 289บ./7วัน กด *777*7210*117010#
เน็ต aIS 6 Mbps(เม็ก) 910บ./30วัน กด *777*7211*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 59บ./1วัน กด *777*7386*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 102บ./2วัน กด *777*7387*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 354บ./7วัน กด *777*7388*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 1,177บ./30วัน กด *777*7389*117010#
เน็ต aIS 10 Mbps(เม็ก) 1,925บ./90วัน กด *777*7399*117010#
21 บาท 1 วัน  โทรฟรี  ทุกเครือข่าย  ช่วงเวลา 05.00 - 17.00 น.  โทรครั้งละไม่เกิน 30 นาที  กด  *777*231*117010#
22 บาท 100 นาที  โทรฟรี  ทุกเครือข่าย  ได้  100 นาที  อายุ  1  วัน  กด  *777*246*117010#
aIS  สมัคร  โทรไป  จีน,  ฮ่องกง,  มาเลเซีย,  สิงคโปร์,  เกาหลีใต้,  อินเดีย
*777*3801*117010#
ราคา  99  บาท  โทรได้  60  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  1.54  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  ลาว,  กัมพูชา,  เมียนมาร์,  เวียดนาม 
*777*3802*117010#
ราคา  119  บาท  โทรได้  40  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  2.78  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  สหรัฐอเมริกา,  แคนนาดา 
*777*3803*117010#
ราคา  129  บาท  โทรได้  60  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  2.01  บาท
aIS  สมัคร  โทรไป  เยอรมนี,  สหราชอาณาจักร,  ญี่ปุ่น,  ฝรั่งเศส
*777*3804*117010#
ราคา  159  บาท  โทรได้  40  นาที
เฉลี่ยนาทีละ  3.71  บาท
เวลาโทร  กด
003  รหัสประเทศ  รหัสเมือง  เบอร์ปลายทาง
เช็คเน็ต aIS คงเหลือ  กด  *121*32#  โทรออก
เช็คเบอร์ตัวเอง aIS กด  *545#  โทรออก
ยกเลิกข้อความ SMS กินเงิน  กด  *137  โทรออก
ติดต่อ คอลเซ็นเตอร์ aIS กด  1175  โทรออก
#โปรเสริมเน็ตวันนี้ #โปรเน็ตสุดฮิต #เน็ตไม่อั้นไม่ลดสปีด  #โปรเสริมเน็ต #สมัครเน็ต #โปรเน็ตดีดี #เน็ตไม่จำกัด #เน็ตไม่ลดสปีด #โปรเน็ตไม่อั้นรายวัน #โปรเน็ตไม่อั้นรายสัปดาห์ #โปรเน็ตไม่อั้นรายเดือน
https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3 (https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3)



เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=HMk_TW7icaw (https://www.youtube.com/watch?v=HMk_TW7icaw)


เน็ต เปิดเบอร์ใหม่ ย้ายค่าย เบอร์เก่า AIS ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU (https://www.youtube.com/watch?v=9tfjDajR-yU)


เน็ตไม่อั้น ไม่ลดความเร็ว AIS เอไอเอส ระบบเติมเงิน มีนาคม 2567
https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3 (https://web.facebook.com/media/set/?set=a.1735334963401198&type=3)
หัวข้อ: Re: ระโนด <by ต้นคุง>
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 27-03-2024 14:24:53
 :seng2ped: