「 xiv」
Soulmate
(N.) a person ideally suited to another as a close friend or romantic partner.
ผมไม่ชอบกลิ่นของโรงพยาบาล และไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษนอกจากไม่ชอบ และสิ่งหนึ่งรองลงมาจากกลิ่นของมัน ก็คงเป็นเสียงของพยาบาลอย่างซีลีน ทันทีที่เธอเปิดประตูห้องเข้ามา ผมก็รีบนอนตะแคงข้างใส่เธอทันที
“ดอกไม้ดอกที่พันของวันนี้ค่ะ” ซีลีนมีดวงตาโปน ๆ กับผมสีดำที่มัดไว้ด้านหลัง ริมฝีปากพร่ำบ่นเรื่องดอกไม้ที่คนทั้งหลายเอามาเยี่ยมผม และนั่นไม่ใช่ความผิดของผมสักหน่อยที่จะเกิดมาเป็นที่รักของคนทั้งเมือง
หลังจากวันนั้นพ่อบอกว่าให้ทุกคนเข้าใจว่าผมเกิดประสบอุบัติเหตุจนต้องเข้าโรงพยาบาล และไม่มีข่าวเกี่ยวกับการถูกล่วงละเมิดและยาเสพติด พ่อโกรธแทบคลั่งตอนที่รู้ว่าโอลิเวอร์จงใจใช้จิ้งเกอร์จิ้งเกอร์กับผม ผมได้แต่ภาวนาให้เขาจัดการกับอีกฝ่ายอย่างออมมือที่สุด แม้ผมจะอยากฉีกเขาเป็นชิ้น ๆ ก็ตามที
“คุณต้องไม่เชื่อแน่ว่าดอกไม้พวกนี้มันแทบจะทับฉันตายได้เลยค่ะ มันเยอะมาก”
“งั้นเธอก็เอาไปจัดการสิ เอาไปทำอะไรก็ได้ ฉันยกให้” ผมบอกแบบนั้น และเธอก็ไม่วายจะกระแนะกระแหนผม “คุณน่าจะคิดถึงน้ำใจคนที่เข้าเอามาให้คุณบ้างก็ได้ค่ะ” ซีลีเดินเข้ามาเอาเครื่องวัดความดันสอดเข้าข้อพับของผม เธอยืนทำหน้าน่ารำคาญในระหว่างที่เครื่องเริ่มทำงาน
“ขอบคุณที่เธอย้ำกับฉันนะ อย่างงั้นเธอช่วยเอามันออกไปพร้อมเธอเลยละกัน ฉันชักไม่แน่ใจว่าเหม็นอะไรกันแน่ระหว่างเธอกับดอกกุหลาบ”
“เอาเถอะค่ะ ฉันจะจัดการกับพวกดอกไม้นี่แล้วกัน”
ดอกกุหลาบสีขาวเหล่านั้นถูกส่งมาเพื่อให้กำลังใจผม ตั้งแต่วันเกิดเรื่องผมยังไม่เจอหน้าบรูคเลย พ่อบ้านหยางไม่ได้บอกอะไรกับมารีน่า แม้ว่าเธอจะพยายามถามเกี่ยวกับเรื่องของบรูคก็ตาม
"ความดันปกติ อีกไม่กี่วันคุณคงได้กลับบ้านแล้ว และกองดอกไม้พวกนั้นคงไม่รบกวนคนอื่น”
หลังจากที่เธอดูแลความเรียบร้อยของผมแล้ว เธอก็เก็อช่อกุหลาบงี่เง่านั่นออกไปด้วย ผมรู้ว่าความจริงเธอคงจะเก็บเอาไว้ขายให้คนที่มาเขียนกำลังใจส่งให้ผมด้านล่าง
ก๊อก ๆ
“ถ้าเธอยังไม่เลิกเปิดเข้าเปิดออกฉันจะสั่งย้ายเธอไปที่ชั้นล่าง...” ผมหันไปบอกเสียงหงุดหงิดเพราะคิดว่าซีลีนยังก่อกวนไม่เลิกแต่ทว่าคนที่ปรากฏตัวขึ้นก็คือ...บรูค
“บรูค!! พระเจ้านายจริง ๆ ด้วย!”
ผมดันตัวขึ้นจากเตียง “นายไม่มาเยี่ยมฉันเลย หายไปไหนมา”
“ผมมีธุระนิดหน่อยครับ แล้วคุณล่ะเป็นไงบ้างครับ อาการดีขึ้นบ้างมั้ย” บรูคยิ้มและวางดอกทิวลิปสองดอกลงบนหัวเตียง ผมคว่ำปากลงพร้อมทั้งชูสายน้ำเกลือขึ้นให้เขาดู “มันก็ไม่แย่เท่าไหร่ พ่อบอกพรุ่งนี้ก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”
“นั่นก็ดีแล้วแหละ...”
“จริงสิ...ว่าแต่นายล่ะเป็นอะไรมั้ย ได้ยินมาว่าพ่อเรียกนายเข้าพบ เขาไม่ได้ว่าอะไรนายหรอกใช่มั้ย?” ผมถามแต่อีกฝ่ายกลับไม่ดีท่าทีที่ดีขึ้น ผมคิดว่าเขาคงจะโดนพ่อตำหนิไม่น้อย
“คุณอย่าใส่ใจเลย ผมว่าตอนนี้คุณควรจะพักผ่อนนะ”
“พ่อฉันคงไม่ได้ไล่นายออกหรอกใช่มั้ย?” ผมถามขึ้นด้วยความเป็นกังวล ก่อนจะยื่นมือไปแตะมืออีกฝ่าย แต่สิ่งที่ได้กลับมายิ่งทำให้ผมหน้าชา
บรูคขยับตัวหลบสัมผัสของผม เขาพยายามบังคับให้ตัวเองมีสีหน้าที่ดีขึ้นแต่มันยากเมื่อต้องทำต่อหน้าผม...
“ยังหรอกครับ ที่แน่ ๆ คือยังไม่ใช่ตอนนี้”
“หมายความว่าไง?”
“ก็หมายความว่า ผมยังอยู่รับใช้คุณได้ต่อไปไงล่ะ” แม้ว่าบรูคจะตอบด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ แต่นั่นมันไม่ได้มาจากความเต็มใจ “อย่าห่วงเลย คนแบบผมคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้ และที่ดีที่สุดคือผมได้รับโอกาสอีกครั้ง”
“ฉันล่ะเจ็บใจชะมัด ที่มันเป็นแบบนี้ก็เพราะหมอนั่นคนเดียว”
ผมทุบมือลงที่หน้าตัก “นายไม่ต้องห่วงนะ ฉันได้ยินมาว่าหมอนั่นโดนไล่ออกจากโรงเรียน ป่านนี้คงจะบินไปจากเมืองนี้เพื่อหลีกหนีความอับอายพวกนั้นแล้ว ไอ้ชั่วนั่นสมควรโดน!!”
“คุณไม่รู้จริง ๆ เหรอว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้เพราะใคร...”
“มันก็เป็นเพราะไอ้สวะนั่นอยู่แล้วที่บังคับให้ฉันใช้ยาเสพติดพวกนั้น เขาล่อลวงฉัน และถ้านายไม่เข้าไปช่วยเชื่อสิว่าฉันถงถูกมัน...โธ่เอ๊ย พูดแล้วขยะแขยงชะมัด”
“คุณคิดว่าทั้งหมดนี่มันเป็นเพราะโอลิเวอร์จริง ๆ น่ะเหรอครับ” บรูคเอ่ยถาม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความผิดหวัง ราวกับว่าสิ่งที่ได้ยินทำให้เขาเกิดคำถามนั้น “คุณคิดว่าเขาสมควรได้รับความผิดนั้นเพียงคนเดียวเหรอครับ?”
“นายพูดอะไรของนาย...”
ผมไม่เข้าใจเลยว่าเขาต้องการอะไร เห็นอยู่ชัด ๆ ว่ามันคือความผิดของโอลิเวอร์ แต่บรูคยังพยายามจะทำให้ผมผิดให้ได้!
“คุณเรียกใครว่าไอ้สวะอย่างหยาบคายแบบนั้นได้โดยไม่รู้สึกอะไรเลยงั้นสินะ ไม่น่าเชื่อจริง ๆ”
“ก็พวกนั้นสมควรโดน! ”
“เหลือเชื่อเลยบารอน” ถอนหายใจใส่แบบนั้นหมายความว่าไง...ผมไม่ชอบใจที่ได้เห็นบรูคตอกกลับผมแบบนั้น เขาควรจะเข้าข้างผม ไม่ใช่มาห้ามไม่ให้ผมพูดหยาบคาย บ้าสิ้นดี!
“นี่นายเป็นอะไรกันแน่ นายโกรธฉันเพราะเรื่องที่ฉันเรียกคนพวกนั้นว่าไอ้สวะงั้นเหรอ” ผมฉุดรั้งข้อมือของเขาไว้ เขาตวัดตากลับมาทางผมแต่ก็ไม่ได้ทำร้ายกันถึงขัดสะบัดมือแบบที่ผมกลัว ถ้าทำแบบนั้นผมรับไม่ได้แน่ ๆ “เปล่าหรอกครับ คนอย่างผมจะไปกล้าโกรธคุณหนูอย่างคุณได้ยังไง”
“เลิกพูดจาประชดกันสักที นายก็รู้ว่าฉันไม่ชอบที่นายทำแบบนี้”
“ผมว่า...เราอย่าพึ่งคุยกับผมตอนนี้เลย ผมไม่อยากจะรู้สึกแย่กับคุณไปมากกว่านี้”
น้ำเสียงเย็นชาที่เหมือนกับน้ำเย็นสาดเข้าหน้า เหลือเชื่อเลยว่าบรูคจะกล้าพูดคำนี้กับผม เขากล้าดียังไงมาบอกกับผมว่าตัวเองกำลังรู้สึกแย่
“รู้สึกแย่อย่างงั้นเหรอ นายคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงได้พูดคำนั้นกับฉัน รู้ไว้เลยนะว่าคนที่ผิดก็คือโอลิเวอร์คนทุเรศนั่น และไม่ว่าใครจะพูดยังไงก็ตาม ฉันยืนยันว่าเขาสมควรโดน...เขาบังคับให้ฉันเสพยา!”
“คนอย่างคุณน่ะเหรอจะมีใครไปบังคับได้ คุณไม่ใช่คนที่ยอมให้ใครบังคับ อย่าพูดเหมือนตัวเองเป็นเหยื่อหน่อยเลย” เขาแทรกขึ้นและยิ้มสมเพชใส่ตัวเอง หรือบางทีนั่นคงเป็นรอยยิ้มที่ผมควรได้รับ “ผมเตือนคุณแล้วว่าคุณไม่ควรไปที่นั่น แต่คุณไม่เคยฟังผม คุณเชื่อฟังแค่ความต้องการของตัวเองเท่านั้น และผมนึกไม่ออกเลยว่าใครจะกล้าบังคับคนอย่างคุณได้คุณหนู”
“บรูค...”
“คุณไม่มีสิทธิ์จะโทษโอลิเวอร์ทั้งหมด นั่นเพราะคุณเองก็มีส่วนผิดในเรื่องนี้เหมือนกัน”
“นายหยุดพูดสักที!!”
“คุณคิดว่าเขาจะให้เกียรติคุณ แต่ผมบอกให้รู้ไว้เลยนะว่าตราบใดที่เขายังนอกใจแฟนที่คบหาและเอาเรื่องของอีกฝ่ายมาบอกกับคุณ เขาไม่มีทางให้เกียรติใครได้ทั้งสิ้น...” บรูคกำลังโกรธ ผมเห็นน้ำเสียงของเขาเข้มขึ้น และมันกำลังไล่ระดับขึ้นตามอารมณ์ของเขา
“คนอย่างโอลิเวอร์ไม่มีวันมองคุณเป็นอะไรนอกจากของสะสมหายากที่อยากได้ใจแทบขาด แต่ไม่มีใครอยากจะครอบครองด้วยรัก!”
“นายอย่าหยาบคายกับฉันแบบนี้นะบรูค!!!”
พวกเราในเวลานี้กำลังลงแข่งทำร้ายกันและกันด้วยคำพูดและมีรางวัลเป็นความเสียใจจากอีกฝ่าย “คุณอาจจะไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องพวกนี้ เพราะพ่อของคุณเขาจะจัดการให้ทุกอย่างให้”
ผมอยากจะตอบโต้เรื่องนี้ แต่เพราะมันคือความจริงและน่าจะมันเป็นเรื่องเดียวที่ทำให้ผมเสียใจ...
“พ่อแม่ของคุณพยายามทำทุกอย่างเพื่อปิดข่าวพวกนี้ ในขณะที่พวกเขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อปกป้องคุณ ส่วนคุณก็ทุกอย่างเพื่อตัวเอง”
“ฉันไปที่นั่นเพื่อหาความจริง ฉันต้องการแก้ไขเรื่องพวกนี้”
“แล้วคุณได้คำตอบหรือยังล่ะ...คุณแก้ไขอะไรได้บ้างล่ะบารอน?” บรูคลุกขึ้นยืนและเรากำลังโต้เถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย “คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าใครบ้างจะต้องเดือดร้อนเพราะความอวดเก่งและดื้อรั้นของคุณ”
“นาย...”
“คุณเชื่อมั่นแค่ตัวเอง คิดว่าสิ่งที่คุณทำมันถูกต้องแล้ว คุณไม่เคยเห็นหัวใคร นั่นแหละนิสัยคุณและเชื่อมั้ยว่าผมเบื่อเหลือเกินที่จะต้องอดทนกับเด็กไม่รู้จักโตแบบคุณ”
เรื่องนั้นผมไม่เคยนึกถึงมาก่อนจนกระทั่งบรูคพูด ซึ่งบางทีในความที่ผมไม่ยอมรับอะไรเลย มันอาจมีความจริงซ่อนอยู่
“สิ่งที่คุณทำ รู้มั้ยว่าใครต้องรับผิดชอบบ้าง พ่อบ้านหยางต้องถูกตัดโบนัสประจำปีทั้งที่เขาควรจะได้เงินนั้นไปมอบให้ลูกชายของเขาที่กำลังเข้าพักรักษาตัวเปลี่ยนหัวใจอยู่ที่โรงพยาบาล”
ผมทำร้ายพวกเขาแบบนั้นเลยเหรอ
“มารีน่าต้องถูกลงโทษโดยการอดขึ้นเงินเดือนตลอดสองปี เพราะเธอไม่สามารถดูแลคุณได้ ทั้งที่เธออยากจะเอาเงินไปเปิดร้านเสริมสวยให้กับพี่สาวแค่ไหนสุดท้ายเธอก็ทำไม่ได้” สิ่งที่ผมได้ยินทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก... ดูเหมือนว่าทุกคำของบรูคกลืนกินผม
“คุณอาจจะไม่เข้าใจว่ามันสำคัญกับพวกเรายังไงบ้าง แต่ผมมีครอบครัวที่ต้องเลี้ยง คุณอาจมองว่าเงินไม่เท่าไหร่จะไปคิดอะไรมาก แต่มันมีค่ากับคนอย่างพวกเรา...”
“บรูค...”
“คุณจะเข้าใจการสูญเสียได้ยังไงในเมื่อชีวิตคุณไม่เคยสัมผัสถึงมันเลย คุณเป็นแค่คนเห็นแก่ตัวที่คิดว่าทุกคนซื้อได้ด้วยเงิน คุณไม่มีวันเข้าใจคนที่ขาดโอกาส อดยาก หรือผิดหวัง เพราะคุณมีทุกอย่างไงล่ะบารอน...”
มันอาจจะเป็นจริงอย่างที่เขาพูด เพราะผมไม่เคยรู้ถึงความลำบากของใคร ผมมองเห็นแค่เพียงตัวเองเท่านั้น และดูเหมือนผมกำลังได้บทเรียนหนึ่งในชีวิต...
“คุณไม่เคยต้องแก้ปัญหาอะไรด้วยตัวเอง เพราะพ่อของคุณจะคอยตามล้างตามเช็ดเรื่องวุ่นวายพวกนี้ เมื่อไรก็ตามคุณทำผิดพลาด แค่ตื่นมามันจะเป็นเหมือนฝันและทุกอย่างก็จะกลายเป็นแค่ข่าวลือที่ไม่มีจริงบนโลกใบนี้”
ถึงแม้ว่าผมจะรู้สึกผิดกับสิ่งที่เขาพูด แต่มันกลับพูดอะไรไม่ออก...
“นายเองก็คิดแบบคนพวกนั้นเหรอ...นายตัดสินฉันแบบคนพวกนั้นด้วยงั้นสิ!”
“ใช่...เพราะคุณเป็นแบบนั้นจริง ๆ คุณไม่แตกต่างจากแม็กทีสเลยบารอน และผมว่าคุณเลวร้ายมากกว่าเขาด้วยซ้ำ”
ผมพยายามยื้ออีกฝ่ายไว้แต่เขายกมือขึ้นห้ามทำลายความตั้งใจของผมได้ทันที แต่ถูกอีกฝ่ายปฏิเสธด้วยถ้อยคำไม่พอ ท่าทางและแววตานั่นอีกด้วย
“รู้มั้ยว่าผมมองเห็นอะไรในเวลานี้ ผมได้มองเห็นสิ่งที่เป็นคุณอย่างแท้จริง คุณเก่งเรื่องที่จะโยนความผิดให้คนอื่น และผมเชื่อด้วยแม้กระทั่งตอนนี้คุณก็ยังโทษผมด้วยเหมือนกัน”
“นายฟังฉันพูดบ้างสิ ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น” เขาไม่ฟังผมและเหมือนคำพูดของผมเป็นเพียงคำโกหกสำหรับเขาเท่านั้น
“ผมไม่อยากฟังคำแก้ตัวของคุณ เพราะสำหรับผม มันเป็นแค่เรื่องที่ต้องยอมรับให้ได้เท่านั้นเอง”
สิ่งเดียวที่ทิ้งไว้คือสีหน้าผิดหวังอย่างที่สุดของบรูค ปาร์คเกอร์ และนั่นทำไมผมสัมผัสความเจ็บปวดที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ภาพที่เขาเดินจากห้องพักของผมออกไปมันเหมือนกับโลกทั้งใบหยุดหมุน
ผมนึกไม่ออกเลยว่าระหว่างที่บรูคเดินหันหลังให้กับผมกับคำแก้ตัวของผม...อันไหนมันแย่มากกว่ากัน
...
ผมใช้เวลาว่างในวันอาทิตย์อยู่ห้างสรรพสินค้าหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลมาได้สองวัน และตอนนี้กำลังนั่งรอฮาร์เปอร์ลองชุดนั้นชุดนี้ที่เจ้าของแบรนด์นัดเข้ามาเสื้อคอลเลคชั่นใหม่ที่พึ่งมาจากรันเวย์แฟชั่นเดินแบบเมื่ออาทิตย์ก่อน
ตั้งแต่ผมออกจากโรงพยาบาล บรูคก็หายไปโดยไม่ได้บอกอะไรผม และพ่อบ้านหยางเท่านั้นที่รู้ว่าเขาขอลากลับบ้านเพราะมีเรื่องด่วน ผมกดโทรหาเขาหลายสายแต่เขาไม่รับ บรูค ปาร์คเกอร์ชักจะกล้าดีเกินไปแล้ว เขาเป็นใครทำไมกล้าไม่รับสายผม
“ชุดนี้ไม่โอเคเลย ฉันว่าตัวเองดูซีดมากเวลาสวมชุดสีแดง”
“...”
ผมนั่งกดโทรศัพท์พิมพ์ข้อความหาลูน่าที่ตอนนี่กำลังปาร์ตี้งานวันเกิดของเพื่อนเธออยู่ที่ลอนดอน เธอส่งข่าวมาบอกว่าพ่อของเธอ เลียม แก๊บบี้ แฮริงค์จะกลับมาที่โอเวิลซิตี้บ่ายวันนี้ ผมมีธุระจะต้องเข้าไปพบอาเลียม เพราะเขาน่าจะเป็นคนเดียวที่รู้ที่อยู่บรูค
“นี่บารอน นายว่าฉันดูอ้วนไปมั้ยสำหรับชุดนี้”
ม่านกั้นของชุดลองเสื้อถูกเปิดออกโดยฮาร์เปอร์ ผมยาวสีบรอนด์ของเธอถูกปล่อยลงกลางหลัง เธอสวยสมส่วนกับชุดเสื้อผ้าทุกชิ้น ผมนั่งไขว่ห้างอยู่ที่โซฟากำมะหยี่ภายในห้องชุดสำหรับรองเสื้อผ้า ผมสวมเสื้อกุชชี่สีแดงทรงฮาวายไม่ติดกระดุมบนและสวมกางเกงเข้ารูปหนังสือดำขลับ
“เลิกสนใจโทรศัพท์แล้วหันมามองดูฉันทีได้มั้ย”
“ฉันมองอยู่...”
“แต่ตานายเอาแต่มองจอโทรศัพท์มาหลายชั่วโมงแล้ว ฉันยืนอยู่นี่นะ..”
“เขายังไม่ติดต่อมาเลย...”
“ใคร? อาของเธอเหรอ”
“เปล่าหรอก...ไม่ใช่เขา...” ผมรีบตอบและก้มหน้าลงเล็กน้อย เลี่ยงที่จะสบตากับฮาร์เปอร์ “ฉันว่าชุดนี้ก็สวยนะ เธอเข้ากับสีแดง” ผิวสีงาช้างสว่างโดดเด่นผ่านชุดเดรสกระโปรงผ้าชีฟองสีแดงสดทำให้ฮาร์เปอร์สวยราวกับหลุดออกมาจากแม็กกาซีน
“ฉันก็ว่างั้นแหละ...ฉันผอมลงด้วยนะ สะโพกไม่พอดีกับชุดเลย”
“ไม่ยักรู้นะเนี่ย...แต่นั่นก็ไม่ได้เลวร้ายนะ”
“สาบานว่านายดูไม่ออก” ฮาร์เปอร์เลิกคิ้วและชื่นชมตัวเองผ่านกระจก แววตาเปล่งประกายของเธอทำให้ผมจำต้องเอ่ยถาม “นายว่าเขาจะชมฉันมั้ย ถ้าฉันใส่ชุดนี้ไปเดตกับเขา”
“แน่ใจเหรอว่าจะตกลงปลงใจกับผู้ชายแบบ...บ๊อบ และอีกอย่าง เขาคือคนที่มีพันธะอยู่นะ”
“นี่บารอน เดอเรอกูว แคปรินคอร์น ฉันขอบอกให้รู้นะว่าเขากำลังจะหย่าและอีกอย่างเขาจริงใจกับฉันมาก”
ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ คงเพราะว่ามันพูดไม่ออก เมื่อเธอยืนยันในตัวของอาจารย์วิชาชีวะที่พึ่งย้ายมาใหม่คนนั้น มันก็คงช่วยไม่ได้
“เธอเชื่อเหรอว่าเขาจะยอมหย่ากับภรรยาที่เขาคุกเข่าขอเธอแต่งงานมาจริงใจกับคุณหนูบ้านรวยอายุสิบเจ็ด”
“ไม่เอาน่า...ฉันไม่ได้ขอความเห็นนายสักหน่อย เราต่างรู้ว่านายมีความคิดที่ยุ่งยากเกินไป”
“ฟังดูเหมือนเธอกำลังว่าฉันอยู่เลย”
“ก็...ไม่เชิง” ผมกลอกตากับคำพูดของฮาร์เปอร์ เธอไม่ได้สนใจอะไรไปมากกว่าชุด ผมตรงสลวยที่สุขภาพดีกับหุ่นทรงนาฬิกาทรายแบบเด็กอายุสิบเจ็ด
“คงงั้นแหละมั้ง เห็นกันชัด ๆ ว่าฉันคงไม่ช่ำชองเรื่องการนอนกับผู้ชายอายุเยอะแบบเธอ”
“อะไรนะ?”
“ก็จริงมั้ยล่ะ...” ผมปาโทรศัพท์ไปด้านข้างและถอนหายใจออกมายาว ๆ อันที่จริงผมเป็นห่วงเพื่อนสนิทมากกว่า แต่น่าเสียดายที่เธอไม่รู้สึกถึงมัน
เธอพุ่งเข้าหาผู้ชายที่อายุมากกว่าสิบห้าปีคนนั้นแบบไม่ลังเล และมันยากที่จะดึงเธอไว้!
“นายโกรธฉันเหรอ?”
“เธอคิดว่าฉันจะต้องรู้สึกยังไง เพื่อนสนิทของฉันนอนกับผู้ชายที่เป็นอาจารย์ในโรงเรียน แถมเขายังมีพันธะที่ยังไม่หย่าขาด อายุห่างจากเราเกือบสิบห้าปี คิดว่าฉันจะต้องรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้” ผมหันไปถามเธออีกครั้ง แววตาของเธอดูน่าเวทนาแต่ผมไม่ใจอ่อน
บางทีฮาร์เปอร์กลับเป็นฝ่ายที่แยกแยะระหว่างรักกับเซ็กซ์ไม่ออก
“ฉันชอบเขาบารอน เหมือนกับที่นายชอบบรูคไง”
“บ้าหรือไง!! เธอต้องเสียสติไปแล้วแน่ ๆ ที่พูดแบบนั้น” ผมแกล้งหัวเราะกลบเกลื่อนและยกมือขึ้นปิดปากตัวเองก่อนจะหันหน้าหนีไปทางอื่น
“นายชอบเขา รู้มั้ยว่าท่าทางแปลก ๆ ของนายน่ะมันมาจากการที่เขาหายตัวไป”
“เฮ้อ...ยอมรับก็ได้” ผมว่าและทิ้งตัวลงอย่างเหนื่อยล้า "เขาไม่เคยเย็นชากับฉันแบบนี้ เขากล้าดียังไงมาทำให้ฉันนอนไม่หลับ พระเจ้า...ฉันอยากจะบ้าตาย"
“ที่นายมีอาการกระวนกระวายแบบนี้มันแสดงออกชัดเจนมาก ๆเลยว่านายกำลังชอบเขา”
“อย่างงั้นเหรอ?”
“ใช่...ฉันเคยเป็น ฉันรู้ว่ามันรับมือได้ยากแต่ถ้านายลองนึกดี ๆ มันอาจจะทำให้นายหาทางออกได้” ฮาร์เปอร์ว่าแล้วเดินมายืนตรงหน้าผม ผมไม่ได้พูดอะไรอีกหลังจากนั้น
"ฉันแค่ไม่สบายใจที่เขาหายไป ไม่ชอบที่เขาเงียบไม่ติดต่อกลับมาแบบนี้”
"เขาไม่โทรกลับมาบ้างเหรอ พอเห็น Miss call นายน่ะ”
“ไม่เลย เขาจะโกรธอะไรฉันนักหนานะ ทำตัวเป็นเด็กไปได้”
“บางทีสำหรับบางคนเรื่องพวกนี้มันก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขาน่ะนะ”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ เขางี่เง่าไปเอง” ผมกัดริมฝีปากล่างคล้ายกำลังควบคุมอารมณ์เปราะบางจากภายใน ตั้งแต่วันนั้นบรูคก็มึนตึงกับผม และผมสาบานว่ามันเป็นความอึดอัดแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต
เธอเดินมาหยุดตรงหน้าผมก่อนจะเอามือเท้าสะเอวและหมุนตัวไปมา “ชุดนี้เป็นไง ใช้ได้ใช่มั้ย?” ผมพยักหน้ายิ้มกับชุดที่เพื่อนสนิท ก่อนจะพูดต่อ “เขาจงใจหลบหน้าฉัน ตั้งแต่วันที่ฉันเกิดเรื่องเขาไม่คุยกับฉันเลย”
“ฉันว่าบรูคคงอึดอัด หรือไม่ก็คงเสียใจกับสิ่งที่นายทำมาก ๆ ขอบอกเลยว่าถ้าเขาไม่แคร์มากแบบนั้น เขาคงไม่เสียความรู้สึกแบบนี้" ฮาร์เปอร์ยิ้มล้อผมก่อนจะทำท่าเหมือนสาวผู้รอบรู้ พูดด้วยน้ำเสียงฉะฉานจนผมต้องตั้งใจฟัง "ถ้านายไม่มีผลต่อเขา เขาคงไม่หลบหน้านายแบบนี้หรอก นายมีผลต่อความรู้สึกของบรูคนะ รู้ไว้ด้วย"
ผมอย่างงั้นเหรอ...
"ฉันว่าเขาแค่ต้องการเงินเท่านั้นแหละ เขาบอกว่าฉันทำให้เขาเดือดร้อนเรื่องนี้”
“นายไม่รู้เลยเหรอว่าที่เขาพูดแบบนั้น เพราะกำลังประชดเพื่อต้องการให้นายแสดงความเสียใจต่อเขาบ้าง และนายควรจะไปง้อเขาหน่อยนะ...” เธอหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะกลับเข้าไปในห้องโรงชุด ปิดม่านกั้นและเลือกเสื้อผ้าตัวต่อไป
“คนอย่างฉันเนี่ยนะง้อเขา ฉันไม่อยากทำแบบนั้นนี่!!”
ผมโกหก และเชื่อเถอะว่าแม้แต่เด็กสามขวบยังรู้เลย
“ถ้าอย่างงั้นนายก็อย่ามานั่งคอตกแบบนี้สิ นายจะสนใจทำไม เขาก็แค่คนขับรถใช่มั้ยล่ะ”
เมื่อได้ยินฮาร์เปอร์พูดแนนั้น ผมก็ห่อไหล่ลงอย่างสิ้นหวัง รู้สึกเกลียดที่ตัวเองทำแบบนั้นลงไป ผมอยากจะบอกกับบรูคว่าผมไม่ได้ตั้งใจ แต่คนอย่างผมไม่สามารถทำแบบนั้นได้แน่ ๆ “ฉันไม่น่าเผลอใจไปกับเขาเลย ไม่น่าไปทำแบบนั้น ไม่อย่างงั้นฉันคงไม่รู้สึกจะเป็นบ้าตายเพราะเขา”
ฮาร์เปอร์รูดม่านออกและเดินมาหาผม เธอบิดซ้ายหมุนขวาเพื่อให้ผมช่วยดูว่าชุดนี้เข้ากับเธอหรือเปล่า เธอมักมีรสนิยมในการแต่งตัวที่ดี และเชื่อเถอะว่าแค่ใส่ชุดราคาไม่กี่เหรียญก็สามารถทำให้เพื่อนของผมดูโดดเด่นได้ไม่ยาก
“อย่าไปคิดแบบนั้นสิ บรูคก็ไม่ได้เลวร้าย จะถลำลึกกับเขาก็ไม่แปลกหรอก”
“เธอไปหัดพูดจาโรแมนติกตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“แล้วมันจริงอย่างที่ฉันพูดหรือเปล่าล่ะ” ฮาร์เปอร์รวบผมสีบลอนด์ธรรมชาติของเธอขึ้นเป็นหางม้า ดวงตาสีฟ้าสดใสของเธอคล้ายกับตุ๊กตาบาร์บี้ ผมนึกเสียดายที่เธอดันชอบผู้ชายอายุมากคนนั้นที่ไม่มีอะไรดีเลยนอกจากวิชาการในหัวกับดวงตาสีอัลมอนต์!
“เธอพูดเหมือนกับว่าฉันดูออกง่ายมากกว่ากำลังคลั่งบรูคแบบสุด ๆ”
“นายเอาแต่บ่นเรื่องเขาไม่หยุด พนันได้ว่านายจะต้องคลั่งไคล้เขามาก ไม่อย่างนั้นนายคงไม่นั่งกัดปากคิดมากเรื่องที่เขาไม่คุยด้วยหรอก” เราสองคนเดินออกจากร้าน ในมือของฮาร์เปอร์หิ้วถุงสีขาวออกมาด้วย ผมกับเธอเลือกที่จะไปดูรองเท้าที่ร้านหนึ่งหลังจากที่ได้การ์ดเชิญให้เข้าไปดูคอลเลคชั่นใหม่ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ
“การชอบบรูคทำให้ฉันดูเหมือนคนเสียสติหรือเปล่า?"
“ไม่เลยสักนิด นายดูน่ารักขึ้นเยอะนะรู้มั้ย แค่ต้องเปิดใจให้กว้างเท่านั้นเอง” รอยยิ้มของเพื่อนสนิททำให้ผมรู้สึกโล่งใจอย่างแปลกประหลาด “ถ้าให้แนะนำฉันว่านายก็แค่หาแผนเจ๋ง ๆ ไปง้อเขา เชื่อสิใครที่ไหนก็ต้องอยากให้อภัยราชินีผู้น่ารักแบบนายแน่ ๆ”
“ฉันยอมทำอะไรเพื่อใครขนาดนั้นได้จริงเหดรอ...” ผมพึมพำกับตัวเองอีกด้วยความรู้สึกหนักอกหนักใจ “ถ้าเขาเป็นใครสักคนที่ไม่ได้ต่ำต้อยแบบนี้ บางทีฉันอาจจะยอมรับมันง่ายขึ้นก็ได้”
ผมไม่ใช่คนโง่เขลาและไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร เพียงแต่กับบรูค ปาร์คเกอร์ มันกลายเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าครั้งไหน เพราะฐานะทางบ้านของเขาเท่านั้นที่ผมรู้สึกว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้นได้
“โฉมงามยังตกหลุมรักอสูรเลย และบางทีคนเราไม่มีคำว่าสเปคหรอก เพราะถ้านายชอบใครสักคนจริง ๆ สิ่งเหล่านั้นไม่เคยอยู่ในการตัดสินใจของเรา ไม่ว่าเขาจะเป็นแบบที่เราคิดไว้หรือไม่ก็ตาม” ฮาร์เปอร์หันมาขยิบตาให้และทิ้งท้ายประโยคชวนคิดเหล่านั้น
ผมนั่งตึกตรอกกับสิ่งที่ฮาร์เปอร์พูด และในความเงียบระหว่างที่รอให้เธอชื่นชมรองเท้าคู่สวยอยู่หน้ากระจอก ผมก็เริ่มวางความรู้สึกหลายอย่างตัวเองลงจากนั้นก็ลองนึกถึงแค่บรูค ปาร์คเกอร์ในแบบผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้น
ผมยิ้มกับตัวเองก่อนจะยัดโทรศัพท์เก็บใส่กระเป๋าแล้วขยับแว่นชาแนลเก้ามุกขึ้นทัดอยู่บนศีรษะ “นี่ฮาร์เปอร์ หลังจากที่เราไปดื่มชากันเสร็จ ฉันคงจะต้องขอตัวไปทำอะไรที่สำคัญกับชีวิตหน่อยนะ”
- - - - - - -
NEXT