กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: 1 2 3 4 5 [6] 7 8 9 10
51
ตาแห้ง ถือเป็น ปัจจัยเสี่ยง ที่ส่งเสริมให้เกิด ต้อเนื้อ ได้ง่ายขึ้น เพราะเมื่อดวงตาขาดน้ำตามาหล่อเลี้ยงอย่างเพียงพอ พื้นผิวตาจะเกิดการอักเสบและระคายเคืองอย่างต่อเนื่อง ความไม่สมบูรณ์ของชั้นน้ำตาทำให้ดวงตาอ่อนแอต่อปัจจัยภายนอก เช่น ลมและแสงแดด ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เยื่อบุตาเสื่อมสภาพและเกิดการงอกของต้อเนื้อในที่สุด

ตาแห้ง (Dry Eye Syndrome) คือภาวะที่ปริมาณหรือคุณภาพของน้ำตาที่หล่อเลี้ยงดวงตามีไม่เพียงพอ ทำให้ผิวดวงตาขาดความชุ่มชื้นและเกิดการอักเสบ
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของตาแห้ง
การจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน: เมื่อคุณจ้องคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ จะ กะพริบตาน้อยลง (จากปกติ 20-22 ครั้ง/นาที เหลือเพียง 8-10 ครั้ง/นาที) ทำให้น้ำตาระเหยเร็ว
สิ่งแวดล้อม: ลมแรง ฝุ่นควัน มลภาวะ และความแห้งจากเครื่องปรับอากาศ
อายุที่มากขึ้น: โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน การผลิตน้ำตาจะลดลง
การใช้ยาบางชนิด: เช่น ยาแก้แพ้ หรือยาต้านซึมเศร้า



ต้อเนื้อ (Pterygium) คือเนื้อเยื่อที่งอกมาจากเยื่อบุตาขาว และลุกลามเข้าไปในบริเวณกระจกตา (ตาดำ) โดยมักมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมสีแดงอมชมพู หากปล่อยทิ้งไว้ ต้อเนื้อจะขยายใหญ่ขึ้นจนอาจบดบังการมองเห็นได้
สาเหตุหลักของต้อเนื้อ
สาเหตุที่ชัดเจนที่สุดของต้อเนื้อคือ การระคายเคืองเรื้อรังที่เยื่อบุตาขาว โดยมีปัจจัยกระตุ้นหลักคือ:
รังสีอัลตราไวโอเลต (UV): การสัมผัสแสงแดดโดยตรงและสะสมเป็นเวลานานโดยไม่มีการป้องกัน
ลม ฝุ่น และควัน: การทำงานหรือทำกิจกรรมกลางแจ้งที่ต้องเผชิญกับสิ่งระคายเคืองเหล่านี้
ภาวะตาแห้งเรื้อรัง: เมื่อตาขาดความชุ่มชื้น เยื่อบุตาจะถูกกระตุ้นและอักเสบง่ายขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การหนาตัวของเนื้อเยื่อจนกลายเป็นต้อเนื้อได้


วิธีป้องกันและชะลอการลุกลาม
การป้องกันที่ดีที่สุดคือการลดพฤติกรรมเสี่ยงและดูแลดวงตาให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ
สวมแว่นกันแดด (UV Protection) เสมอ: นี่คือการป้องกัน ต้อเนื้อ ที่ดีที่สุด โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่กลางแจ้ง เพื่อลดการสัมผัสรังสี UV โดยตรง
ใช้น้ำตาเทียมเป็นประจำ: หากมีอาการ ตาแห้ง ควรใช้น้ำตาเทียมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการระคายเคือง และชะลอการลุกลามของต้อเนื้อ
พักสายตาและเพิ่มการกะพริบตา: ใช้กฎ 20-20-20 (พักสายตาทุก 20 นาที มองไกล 20 ฟุต นาน 20 วินาที) เมื่อต้องจ้องจอเป็นเวลานาน
หลีกเลี่ยงสิ่งระคายเคือง: ใส่แว่นป้องกันตาเมื่อต้องเผชิญกับฝุ่น ควัน หรือลมแรง
ข้อควรจำ: ต้อเนื้อ ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาหยอดตา การใช้ยาทำได้เพียงลดอาการอักเสบเท่านั้น หากต้อเนื้อลุกลามเข้าตาดำจนส่งผลต่อการมองเห็น จักษุแพทย์จะแนะนำให้ทำการ ผ่าตัดลอกต้อเนื้อ ออก
หากมีอาการระคายเคืองตาเรื้อรัง หรือสังเกตเห็นเนื้อเยื่อสีชมพูยื่นเข้าไปในตาดำ ควรรีบไปพบจักษุแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม ก่อนที่ต้อเนื้อจะลุกลามจนส่งผลกระทบต่อสายตาอย่างถาวร

52
เรื่องนี้ิ มี ebook  ด้วย
54
Boy's love story / Re: ทีเซอร์ ๒๓. Binary Eclipse ทวิคราส (๑๐) 5-10-2568
« กระทู้ล่าสุด โดย KADUMPA เมื่อ 05-10-2025 16:25:01  »

ข้าวตังกำลังร้องไห้ออกมาอย่างหนัก ไม่ถึงกับฟูมฟาย แต่ก็อยู่ในลักษณะอาการของคนที่เพิ่งถูกทำร้ายจิตใจมาอย่างแสนสาหัส โดยที่สภาพเสื้อผ้านั้น มีรอยขาดและหลุดลุ่ยออกจากตัว มือซ้ายของข้าวตังพยายามดึงเอาชายกระโปรงสั้นที่ตัวเองใส่อยู่นั้น ดึงมันลงไปด้านล่างอยู่ซ้ำ ๆ อย่างนั้น เพื่อหวังใจว่า มันจะลงไปคลุมปกปิดรอยช้ำที่ต้นขาได้อย่างที่หวัง ส่วนมือข้างขวา ก็ยกขึ้นมาปิดปากของตัวเองเอาไว้ เพื่อกันเสียงร้องไห้นั้น หักห้ามไม่ให้เล็ดลอดออกมาให้บรรดาผู้ใหญ่ที่นั่งกันอยู่ตรงนั้นได้ยิน



“ป้าต้องขอโทษจริง ๆ ข้าวตัง ลูก หนู” แม่ของคู่กรณีที่ตัวเองและสามีนั่งขนาบข้างลูกชายของตัวเองเอาไว้ พูดขึ้น และนั่นดูจะยิ่งทำให้ข้าวตังนั้นดูจะสะอึกสะอื้น ร้องไห้อย่างน่าเวทนามากขึ้น “แม่” ลูกชายที่เป็นคู่กรณี พยายามเรียกแม่ของตัวเอง แต่ก็ได้ยินเสียงปรามให้เงียบลง โดยที่ผู้เป็นพ่อนั้น มีสีหน้าที่เคร่งเครียด และดูจะไม่สบอารมณ์อย่างแรง กับการที่ต้องมาทนนั่งตากหน้า ทนกับสายตาของพ่อข้าวตัง ที่มองมาด้วยสายตารังเกียจอย่างที่สุด

 

“คุณพ่อน้องข้าวตัง ต้องการให้ทางคุณแม่ของนิวรับผิดชอบอะไรบ้างคะ” ถึงจะดูว่าที่พูดออกมา จะฝืนความรู้สึกชัดเจน แต่ก็ต้องพูดออกมาในที่สุด ในฐานะที่ตอนนี้ฝั่งตัวเองกำลังตกเป็นเบี้ยล่าง เสียเปรียบแบบแก้ตัวไปทางไหน ก็ฟังไม่ขึ้นเลย พ่อของข้าวตังเองนั้น สีหน้าก็บอกบุญไม่รับ แบบที่ตัวเองไม่ต้องการให้เกิดเรื่องแบบนี้ไม่พอ แต่ต้องมานั่งอยู่กับลูกชายของตัวเอง ในสภาพแบบนี้อีก



“คือจะบอกว่ายังไง จะบอกว่าลูกของคุณแม่ บังคับให้ลูกชายของผม แต่งตัวแบบนี้เนี่ยนะ” การที่ได้เห็นข้าวตังในชุดเสื้อแขนตุ๊กตาของผู้หญิง แถมยังนุ่งกระโปรงสั้น ที่ดูไปไม่ต่างจากบรรดาผู้หญิงกลางคืน ที่ยืนหารายได้อยู่ตามเสาไฟฟ้าริมถนนมืด ๆ ตามข้างทางสวนสาธารณะ ที่ดูแล้วไม่ต้องสงสัยเลย ว่าทำอาชีพอะไรหาเลี้ยงตัว ที่พ่อของข้าวตังนั้น รู้สึกจี๊ดขึ้นมาในหัวใจอย่างสลัดไม่หลุด

 

“คือผม” นิวนั้นอึกอัก จะตอบก็ไม่ตอบ จะปฏิเสธก็ไม่ทำ “บอกเขาไป ตอบไปเลย ว่าแกบังคับให้ลูกเขาทำอะไรลงไปบ้าง” พ่อของนิว พูดออกมาด้วยความรู้สึกทั้งเป็นเดือดเป็นแค้น และทั้งเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น “ข้าวตัง แล้วแกยอมใส่ชุดนี้เข้าไปได้ยังไง” พ่อหันมาทางข้าวตัง ที่ร้องไห้เสียงเบาลง แต่ก็ยังคงสะอึกสะอื้นอยู่ ถามขึ้นเสียงดัง ด้วยความหงุดหงิดที่เห็นข้าวตังใส่ชุดบ้า ๆ นั่นอยู่



“ข้าวตังไม่ได้อยากใส่ แต่เขาบังคับ” ข้าวตังพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “แล้วทำไมแกไม่สู้ ไม่ปฏิเสธเขาไป นี่แกเล่นใส่เองซะทั้งหมด ถูกมั้ย” พ่อของข้าวตังถามย้ำคำถามนี้ ที่ตั้งแต่รู้เรื่องนี้ ก็ถามไปแล้วเป็นคำถามแรก ว่าทำไมลูกชายของตัวเอง ถึงไม่สู้ให้ถึงที่สุด เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ โดยที่ต้องให้พ่อและแม่ต้องมานั่งอับอายกันอบู่แบบนี้



“พ่อจะให้ข้าวตังทำยังไง ในเมื่อข้าวตังเป็นเพศทางเลือก” พ่อของข้าวตังขบกรามจนแน่น ที่ได้ยินลูกชายของตัวเองพูดจาอะไรแบบนั้นออกมา “แกเป็นเด็กผู้ชายเหมือน ๆ กับเขา” พ่อของข้าวตังแก้คำพูดของลูกชาย “ไม่ใช่พ่อ ไม่ใช่เลย” ข้าวตังพูดด้วยน้ำตา “ข้าวตังเป็นเพศที่แตกต่าง ไม่ใช่ผู้หญิงและไม่ใช่ผู้ชาย แต่พ่อจะบอกว่ามันเป็นความผิดของข้าวตัง เพราะข้าวตังไม่สู้อย่างนั้นหรือ” ข้าวตังแสดงสีหน้าแบบผิดหวังอย่างหนักออกมา

 

“ข้าวตังไม่ใช่ไม่สู้ แต่ข้าวตังสู้ไม่ได้ สู้แรงผู้ชายแท้ ๆ เขาไม่ไหว พ่อเองก็ถือว่าตัวเอง เป็นชายแท้ใช่มั้ย ภูมิใจกับมันมากนักใช่มั้ย แต่ทำไม เมื่อชายแท้อย่างนิว มาทำอะไรเลว ๆ แบบนี้กับข้าวตัง พ่อกลับมองไม่เห็นว่ามันคือความชั่ว ความระยำตำบอนของชายแท้ ทำไมมันถึงกลายเป็นว่า คนที่ถูกกระทำแบบข้าวตัง คือคนที่ผิดแบบนั้นล่ะ สู้คนที่มารังแกไม่ได้ คนทำดันไม่ผิด คนถูกรังแกต้องทนกับคำสาปแช่งอย่างนั้นหรือพ่อ” บรรดาผู้ใหญ่ที่ได้ฟังข้าวตังพูด พากันนั่งเงียบ



“พ่อโทษข้าวตัง นี่พ่อกำลังสนับสนุนการกระทำสารเลวของชายแท้ที่พ่อรวมอยู่ในนั้น ถูกมั้ย” ข้าวตังพรั่งพรูคำพูดออกมา “แล้วพ่อรู้มั้ย ว่านิวทำอะไรกับข้าวตังบ้าง นอกจากจะบังคับให้ข้าวตังใส่ชุดเมดอะไรบ้า ๆ นี่” พ่อของข้าวตังรู้ได้ในทันทีว่า สิ่งที่กำลังจะได้ยินจากปากของลูกชายต่อจากนี้ จะเป็นทั้งสิ่งที่ตัวเองไม่อยากฟัง แต่ในความเป็นจริงนั้น ผู้เป็นพ่อก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธได้



“พ่อเห็นรอยช้ำที่ขาของข้าวตังมั้ย นี่แหละ ที่ชายแท้พวกของพ่อมันทำร้ายข้าวตัง เพราะว่าข้าวตังไม่ยอมให้มันทำเรื่องเหี้ย ๆ ข้าวตังขอร้องมัน ว่าอย่าทำอะไรที่มันเกินไปกว่านี้ อย่าทำอะไรที่มันเหยียดหยามความเป็นคน มองคนให้เป็นคน ทรีตกันให้เสมอภาค แต่พ่อ รอยช้ำพวกนี้ นิวใช้เท้ากระทืบข้าวตัง” แม่ของนิวนั้นกะพริบตาถี่ ๆ ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ข้าวตังกำลังเล่าให้ทุกคนได้ฟัง



“ข้าวตังยอมแก้ผ้าต่อหน้านิว ล่อนจ้อน ตามที่นิวออกคำสั่ง เพื่อใส่ชุดที่พ่อบอกว่ามันทุเรศนี้ แต่พอใส่ชุดนี้ให้นิวสมใจแล้ว เขาก็ยังไม่พอ ชายแท้แบบเดียวกับพ่อ และพ่อของนิวเอง” ผู้เป็นพ่อของนิวที่ถูกพาดพิงไปถึงเอง ก็ทำหน้าปูเลี่ยนๆ เพราะกำลังรู้สึกว่า ไม่ใช่แค่ลูกชายของตัวเองอย่างนิวที่กำลังโดนปอกเปลือก แต่เป็นคนที่ตราตัวเองเอาไว้ ว่าเป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิง ชอบเพศตรงข้ามทั้งสามคนที่อยู่รวมกันตรงนั้น ที่กำลังถูกชี้หน้าด่า



“เขายังไปต่อ เขายังทำอีก คนที่บอกว่าเป็นชายแท้ หยิบกล้องมือถือขึ้นมาถ่ายข้าวตัง ตอนให้ข้าวตังนั่งคุกเข่าลง แล้วเขาก็งัดเอาไอ้นั่นของเขาที่แข็งตัวรออยู่ในกางเกงอยู่แล้ว เอาออกมายัดใส่ปากของข้าวตัง แล้วบังคับให้ข้าวตังดูดอมมันให้กับเขา” ได้ยินแบบนั้น นิวเองทำท่าฮึดฮัด พยายามจะพูดในส่วนของตัวเอง แต่แม่ของนิวก็หันไปทำตาเขียวใส่ลูกชาย จนนิวทำได้แค่เงียบเสียงลง



“แต่ข้าวตังที่เป็นเพศทางเลือก ที่ทุกคนตรงนี้ และอีกเป็นล้าน ๆ คนในโลก คงจะคิดว่า พอไอ้จ้อนมาจอปากให้ดูดเลียแล้ว ไม่มีทางที่คนอย่างข้าวตัง พวกผิดเพศที่เขาเรียกกันอย่างข้าวตัง ต้องไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน แต่ข้าวตังมีรอยช้ำพวกนี้เป็นหลักฐาน ว่าข้าวตังปฏิเสธ เพราะนิวกระทืบข้าวตังอย่างไม่ปรานี พ่อเปิดคลิปดูความชั่วช้านั้นในมือถือของนิวได้ ถ้าเขายังไม่ลบไปเสียก่อน” นิวมองไปที่ข้าวตัง สายตาที่ใช้มองคือแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน และนึกไม่ถึงว่า ทุกอย่างมันจะออกมาเป็นแบบนี้



“ชายแท้ ก็ดูไม่ใช่ชายแท้สักเท่าไหร่ ที่บังคับแถมสุดท้ายก็เอนจอย ที่ปากก็เรียกอีตุ๊ดดูดุ้นให้กู อีกะเทยอมให้ลึกจนสุดคอ พ่อว่า แบบนี้แล้ว คนที่ผิดที่ยังต้องถูกชี้หน้าด่าว่า แรด ร่าน ยังคงเป็นข้าวตังอยู่มั้ย ที่ทั้งเจ็บทั้งอาย ทั้งถูกกระทำย่ำยีแบบนี้ ถ้าพ่อยังไม่เชื่อ ตอนที่นิวถึงจุดสุดยอด น่าจะอยู่ในคลิปต่อจากนั้น ที่เขาสั่งให้ข้าวตังเอาหน้าเข้าไปรอง อ้าปากให้กว้าง ๆ เพื่อให้ทันตอนนิวเขาหลั่งน้ำอสุจิ เขาทำตั้งแต่ต้นจนเสร็จ พ่อลองฟังเสียงครางกระสันอยากของนิวดู ว่าเหมือนกับชายแท้คนอื่น ๆ ทำ ตอนกำลังรู้สึกสุขสม สบายตัวเช่นกันมั้ย” แม่ของนิวถึงกับต้องหลับตา เบือนหน้าไปอีกทาง จากสิ่งที่ข้าวตังเล่าออกมา

 

“ข้าวตัง มึงนี่มันเหี้ยจริง ๆ นะ กูน่าจะรู้มาก่อน” นิวทนไม่ได้อีกต่อไป ด่าข้าวตังออกมาแบบทะลุกลางปล้อง จากความรู้สึกอับอายทั้งหมดที่มี “อายุเท่านี้ ยังสันดานระยำ ทำกับคนอื่นได้ขนาดนี้ โตไปมากกว่านี้ จินตนาการไม่ถูกเลย ว่าความสารเลวจะเพิ่มดีกรี อัพเลเวลไปได้สูงขนาดไหน ภัยสังคมมันยังน้อยไป เราขอให้เธอติดคุกยาว ๆ เพื่อชดใช้กรรม เผื่อจะมีพี่ ๆ ใจดีหลังลูกกรงนั้น ช่วยสร้างความยุติธรรม ช่วยให้ความเป็นธรรมกับเราบ้าง” นิวหน้าเสีย เมื่อตอนนี้ ทั้งพ่อและแม่ของตัวเอง ไม่มีท่าทีว่าจะเชื่อในคำพูดของเขาเลยสักนิด

 

“นิวไม่ได้เป็นเกย์นะแม่ นิวไม่ได้ชอบกะเทย ต้องเชื่อนิวนะพ่อ” นิวพูดอ้อนวอนพ่อและแม่ของตัวเองด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “แกจะแก้ตัวจริง ๆ ใช่มั้ย กับคลิปนี้” พ่อของนิว เจอคลิปแบบที่ข้าวตังบอกเอาไว้จริง ๆ และเมื่อเปิดคลิปนั้นขึ้นมา ต่อหน้าทุกคนตรงนั้น เสียงร้องครวญครางของนิว ที่กำลังจะถึงจุดไคลแม็กซ์ ที่มือข้างหนึ่งของนิวถือกล้องถ่าย ส่วนอีกมือหนึ่งบีบปากของข้าวตังเอาไว้ ก่อนจะเห็นน้ำสีขาวขุ่นข้นพุ่งออกมาเป็นสาย เลอะเปรอะเปื้อนใบทั่วใบหน้าของข้างตัง ที่กำลังส่ายหน้าหลบ ร้องอ้อนวอนขอให้นิวหยุด อากัปกิริยาของข้าวตังนั้นคือ ไม่ได้มีความยินดีอย่างที่นิวบอกกับพ่อและแม่ของตัวเองก่อนหน้านี้เลย ว่าตัวของนิวเองนั้น ถูกข้าวตังจัดฉาก



“แม่ขอทำขวัญข้าวตังนะลูก ด้วยเงินจำนวนหนึ่งแสนบาท” แม่ของนิวเสนอจำนวนเงินนั้นออกไป “ลูกของผมอาจจะโดนข่มขืนได้เลยนะ” พ่อของข้าวตังเอง ก็ต้องยอมกับหลักฐานที่บ่งชี้จากคลิปพวกนี้ว่า มีเฉพาะนิวเท่านั้นที่ดูจะชื่นชอบและพอใจอยู่เพียงคนเดียว ส่วนข้าวตังนั้นต่างหาก ที่โดนดูถูกความเป็นมนุษย์อย่างถึงที่สุด “ห้าแสน แลกกับนิวจะไม่ต้องติดคุกติดตะราง หรือถูกส่งไปอยู่สถานพินิจ เพราะอีกเทอมเดียวเท่านั้น ก็จะจบมอปลายแล้วด้วย” พ่อกับแม่ของนิวรีบตอบรับข้อเสนอนั้นของพ่อข้าวตังทันที ไม่มีรีรอ ไม่มีต่อรองอะไรอีกให้มากความ

 

ข้าวตังเปิดประตูรถลงมา ทันทีที่พ่อดับเครื่องยนต์ โดยไม่พูดกับผู้เป็นพ่อสักคำ โดยที่ในมือถือถุงกระดาษสีน้ำตาลเข้ม ที่ได้รับมาจากแม่ของนิว ที่รีบดั้นด้นไปที่สาขาธนาคารในห้างสองสามแห่ง เพื่อให้ทันก่อนที่ห้างจะปิด แล้วเอาเงินสดจำนวนที่ตกลงกัน เอามา ให้กับข้าวตัง โดยสัญญาว่า เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกแน่นอน และขอให้ข้าวตังยอมเลิกแล้วต่อกันไป พ่อเดินตามข้าวตังเข้ามาในบ้าน อะไรบางอย่างบอกว่า ข้าวตังนั้นไม่ได้พูดทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้



“ถ้าแกรักศักดิ์ศรีความเป็นเพศที่สามของแกมากนัก ทำไมแกยอมรับเงินมาง่าย ๆ ทำไมไม่เอาเรื่องจนถึงที่สุด” พ่อถามตอนที่ข้าวตังกำลังจะเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน “พ่อเป็นคนบอกกับพวกนั้นเอง ว่าเงินเพียงแค่นี้ก็พอ” ข้าวตังหยุดเดินที่กลางบันได ก่อนจะหันมามองหน้าพ่อของตัวเอง “ห้าแสนบาท พ่อบอกกับพวกเขา ว่าข้าวตัง ที่เป็นลูกของพ่อ มีค่าเท่านี้ เรื่องนี้ที่เกิดขึ้น มูลค่าของคนเป็นลูกสำหรับพ่อ มันมีเพียงเท่านี้” พ่อมองหน้าข้าวตังที่พูดโดยไม่แสดงสีหน้าออกมา



“คงต้องถึงคราวที่ข้าวตังโดนข่มขืนก่อน สงสัยคงต้องเป็นแบบนั้นมั้ง คุณค่าของข้าวตัง คงจะไม่ถูกพ่อด่วนสรุปราคา ว่ามันถูกได้ถึงขนาดนี้ แต่ก็นะ ข้าวตังเป็นคนถูกกระทำ เป็นคนถูกทำร้าย เงินจำนวนนี้ข้าวตังเก็บเอาไว้เองแล้วกัน เผื่อวันหนึ่งพ่อเข้าข้างลูกของคนอื่นอีก ข้าวตังจะได้มีทุน ออกไปดูแลตัวเองได้” พ่อทำได้แค่เพียงมองดูข้าวตัง เดินโยกหัวไปมา ดูอารมณ์ดี เดินเปิดประตูเข้าไปในห้องนอน



ปอนด์เดินเข้าไปยืนประกบอยู่ที่ด้านหลังของข้าวตัง จนส่วนที่แข็งแกร่งกระตุกตัวด้วยอารมณ์ทางเพศ ดันหลังของข้าวตังเป็นจังหวะ ก่อนที่ข้าวตังจะก้มลงมองแขนทั้งสองข้างของปอนด์ ที่โอบรอบเอวของข้าวตัง มือทั้งสองมาประสานที่อยู่ใต้สะดือของข้าวตัง ปอนด์พึมพำที่ข้างหูของข้าวตังว่า เขากำลังมีอารมณ์อยากมากแค่ไหน และต้องการจะทำอะไรกับข้าวตังบ้าง ด้วยคำหยาบโลน ที่มันกระตุ้นแรงกำหนัดให้พลุ่งพล่าน



“ก่อนลงไปหาเจอหมอที่ข้างล่าง ปอนด์เสร็จไปแล้วรอบหนึ่งไม่ใช่หรือไง” ข้าวตังที่ทำท่าเอียงอาย เขินไปกับร่างเปลือยเปล่าของปอนด์ ที่พอข้าวตังหันมาเผชิญหน้ากับปอนด์ แก่นกายแกร่งของปอนด์นั้น ก็ชี้ชูชันให้เห็น “อยู่กับข้าวตัง ปอนด์สามารถเสร็จกับข้างตังได้หลายรอบ ไหนจะในปากข้างตัง ไหนจะบนตัวข้าวตัง และไหนจะ” ปอนด์ลากนิ้วที่ชุ่มน้ำลาย ล้วงลงไปใต้กางเกงของข้าวตัง ก่อนจะไปหยุดแตะความชื้นเปียกปลายนิ้ว ที่ปากทางร่องหลืบด้านหลังของข้าวตัง



“ในนี้ ปอนด์ปล่อยใน ได้สบาย ๆ” ข้าวตังต้องหลับตา สะดุ้งตัวขึ้นเล็กน้อย เมื่อแรงกดจากปลายนิ้วของปอนด์นั้น ทำให้ส่วนปลายของนิ้วปอนด์ ผลุบเลยลึกเข้าไปในช่องทาง “เจ็บ” ข้าวตังที่ยังหลับตาอยู่ พูดบอกกับปอนด์ออกไปเบา ๆ “ปอนด์มีวิธีที่ทำให้ข้าวตังไม่เจ็บ” พูดจบ ปอนด์ก็อุ้มข้าวตังมาวางแหมะลงบนโต๊ะ ก่อนจะถอดกางเกงของข้าวตังออกมาพร้อมกับกางเกงชั้นใน


 
ปอนด์ยกขาทั้งสองข้างของข้างตังขึ้น ก่อนจะจัดแจง ดันตัวข้าวตังให้เอนไปด้านหลัง ให้ข้าวตังเท้าแขนทั้งสองข้างไปด้านหลัง ส่งผลทำให้ขาทั้งสองของข้าวตังชันขึ้นเป็นรูปตัวเอ็ม เผยร่องหลืบช่องทางสีชมพูนั้น เด้งเด่นขึ้นมาในทันที ข้าวตังมองดูปอนด์ที่สบตาล็อกกับข้าวตัง ในขณะที่ปอนด์นั้น ย่อตัวลงไปให้ใบหน้าพอดีกับช่องทางความสุขนั้นของข้าวตัง ความชื้นแฉะและเปียกชุ่มไปด้วยน้ำลายจากปลายลิ้นของปอนด์ ตวัดลากผ่านไปมา ก่อนจะดุนดันเข้าออก จนข้าวตังทำได้แค่บิดตัวไปมาและร้องครวญคราง

****************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

ก้อนหินก้อนนั้น - โรส ศิรินทิพย์ หาญประดิษฐ์

https://www.youtube.com/watch?v=Lttip5f8R1Q



เคยมีใครสักคนได้บอกฉันมา

There’s someone, they told me this

ว่าเวลาใครมาทำกับเราให้เจ็บช้ำใจ

That when I was hurt and they damaged me

ลองไปเก็บก้อนหินขึ้นมาสักอัน

Try pick up a stone in my hand

ถือมันอยู่อย่างนั้นและบีบมันไว้

Hold it and then I squeeze it



บีบให้แรงจนสุดแรง ให้มือทั้งมือมันเริ่มสั่น

Try to crush that stone as hard as I can until that hand’s shaking

ใครคนนั้นยิ้มให้ฉัน ถามว่าเจ็บมือใช่ไหม

That person smiled at me and asked whether my hard is in pain now



ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ ได้เท่ากับเธอทำตัวของเธอเอง

Nothing can really hurt you as bad as you do it to yourself

ให้เธอคิดเอาเอง ว่าชีวิตของเธอเป็นของใคร

Now you need to think that this life of yours belonging to whom

ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอ ถ้าเธอไม่รับมันมาใส่ใจ

Nothing can really harm you if you don’t take it all in your heart

ถูกเขาทำร้าย เพราะใจเธอแบกรับมันเอง

You’re feeling attacked because you yourself let it come through



ใครมาทำกับเธอให้เจ็บหัวใจ

Anyone that comes and causes pains to your hart

ก็แค่ให้ก้อนหินก้อนนั้นให้เธอรับมา

Just receive that rock and put it in your hand

เพียงเธอจับมันโยนให้ไกลสายตา

All you need to do is to throw it away far out of sight

หรือเธอปรารถนาจะเก็บมันไว้

Or you wish you keep it here with you
 

หากยิ่งยอมยิ่งแบกไป หัวใจของเธอก็ต้องสั่น

If you allow yourself to carry it on, your heart is now will tremble

หากยังทำตัวแบบนั้น ถามว่าปวดใจใช่ไหม

If you still behave it that way, now you feel all that pain in your heart, don’t you?


ถูกเขาทำร้าย เพราะใจเธอแบกรับไว้เอง

You feel you are hurt, that’s because you let them do that to you
55
Boy's love story / Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 26 : The Devil Wears Cartier
« กระทู้ล่าสุด โดย Milky_Milky_Way เมื่อ 05-10-2025 10:26:09  »
ตอนที่ 26 : The Devil Wears Cartier (Part 2/2)

ความรู้สึกมันมากเกินกว่าที่จะรับไหว จากที่เคยคิดว่าไม่มีใครที่จะแทรกกลางความสัมพันธ์ระหว่างผมกับจีได้แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับพังทลาย ราวกับปราสาทที่ถูกก่อสร้างบนพื้นทราย ทำให้ไม่แข็งแรงพอจะต้านแรงของพายุใหญ่ ... สิ่งที่เคยเชื่อมั่นมาตลอดชีวิต วันนี้เหมือนมันไม่มีอยู่จริง ... ผมหลบหน้าและมันนำมาซึ่งความห่างเหิน

“มึงไหวแน่นะ” คำถามของไอซ์ทำให้อาร์มและโจเลิกสนใจ smartphone ในมือแล้วเปลี่ยนมาสนใจผมแทน ไม่ใช้แค่ผมคงเดียวที่งง เพื่อนคนอื่นๆ ก็งงเป็นไก่ตาแตกเมื่ออยู่ๆ จีก็เปิดตัวแฟนสาว

“ไหวดิ แค่นี้เอง”

“มึงไม่ได้เจอมันมานานแค่ไหนแล้ว”

“2 -3 เดือนแล้วมั้ง” ความห่างเหินของเรายังทำลายสถิติใหม่ไปเรื่อยๆ ผมรู้ว่าตัวเองพูดประโยคนี้บ่อยแล้ว ‘แต่เราไม่เคยห่างกันขนาดนี้มาก่อน’ ห่างในที่นี้คือไม่เจอหน้า ไม่โทรหา ไม่ DM คุยกัน ห่างกันทั้งร่างกายและจิตใจ มันเริ่มมาจากผมเทนัดดูหนังของเรา แบบที่เรียกได้ว่ามาบอกเอาหน้างานโดยให้เหตุผลกับจีแค่ว่าไม่อยากดูแล้ว เรานัดกันมานานมากว่าจะดูหนังภาคต่อเรื่องนี้ด้วยกัน ตั้งแต่ก่อนที่จีจะเปิดตัวเธอคนนั้น ผมรู้ว่าไม่ควรยกเลิกนัดในตอนที่อีกคนซื้อตั๋ว และรออยู่หน้าโรงหนังแล้ว แต่ผมผิดอะไรในเมื่ออีกฝ่ายก็ให้ผมรอเก้อเหมือนกัน

“ถ้าไม่ไหว มึงจะกลับก็ได้นะ”

“กูไม่กลับ มันจะซักเท่าไหร่กัน กูก็อยากจะเจอตัวจริงซักที” ผมพูดอย่างท้าทาย ผมไม่คิดจะหลบหน้าเธอคนนั้น ... คนอย่างมิลค์ ติฒสิงห์ไม่จำเป็นต้องหลบหน้าใครทั้งนั้น

“นี่คือสาเหตที่มึงประโคมแต่งตัวมาวันนี้ใช่ไหม ...” ไอซ์พูดพลางใช้สายตาสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้า

“... ถามจริงๆ ที่แต่งมาวันนี้เนี่ยกี่ล้านวะ ...” ผมแต่งตัวเพราะได้ยินมาว่าแฟนของจีเธอแต่ง brand name ทั้งตัว

“... กูถามจริง นี่มึงกำลังสู้กับเฟิร์ส หรือมึงกำลังสู้กับความรู้สึกของตัวเองกันแน่วะ?”

“ไม่ใช้เรื่องของมึง” ผมตอบอย่างกระฟัดกระเฟียดเพราะคำพูดของไอซ์ไม่ต่างอะไรจากการเอาเหล็กร้อนๆ มาขยี้ลงบนแผลสด

“เก่งให้ได้ตลอดนะไอ้มิลค์” ไอซ์พูดออกไปด้วยความหมั่นไส้ เขาไม่เข้าใจเพื่อนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเลยซักนิด มันไม่เคยเป็นแบบนี้ ไม่เคยอวด ไม่เคยเปรียบเทียบตัวเองกับใคร ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องมาแข่งอะไรไร้สาระแบบนั้น คงเพราะความโกรธและความเสียใจที่ทำให้เจ้าตัวลืมไปมั้งว่าตัวเองคือมิลค์ ติฒสิงห์ แค่นี้ก็แพงจนไม่มีแก้วแหวนเงินทองที่ไหนจะเทียบเท่า

เป็นเหมือนที่คิดแฟนใหม่จีใส่ brand name มาตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่แน่นอนว่าสามัญชนคนธรรมดาอย่างเธอหรือจะสู้เจ้าชายบนหอคอยงาช้างแบบมิลค์ ติฒสิงห์ได้ แม้จะยิ้มหวานให้แต่ไอซ์กับสังเกตได้ว่าเธอแอบมองไอ้มิลค์ตั้งแต่หัวจรดเท้าเพราะกระเป๋า Chanel ที่เธอถือและร้องเท้า Dior ที่เธอใส่นั้นเทียบไม่ได้เลยกับ Rolex Daytona Rose Gold บนข้อมือซ้าย และ Cartier Juste Un Clou with pave diamonds ครบ set แหวนกำไลบนข้อมือขวาของมิลค์ เรียกได้ว่าทั้งตัวไอ้มิลค์ถอยรถ BMW ได้สบายๆ

ยกแรกไอ้มิลค์ชนะขาด ... แต่เกมนี้ไม่ได้ตัดสินกันด้วยใครแต่งตัวแพงกว่ากัน เพราะทันทีที่เธอเดินควงแขนแฟนหนุ่ม aura ที่เคยเปล่งประกายจากตัวมิลค์ก็ดูจะหม่นลงไปไม่น้อย ... มิลค์อาจจะแพงกว่า แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าเธอคือแฟนของจี ดูจากสีหน้าของมิลค์ คิดว่าตอนนี้เจ้าตัวคงเข้าใจความจริงข้อนี้ไม่มากก็น้อย

“มิลค์ เราขอถ่ายรูปคู่กับมิลค์ได้ไหม มิลค์หล่อกว่าในรูปเยอะมากๆ นี่เพื่อนๆ เราตื่นเต้นมากเลยนะที่รู้ว่าจีเป็นเพื่อนสนิทของมิลค์” เป็นปกติของทุกคนที่อยากจะสร้างความสนิทสนมกับเพื่อนของแฟนโดยเฉพาะเพื่อนสนิท ส่วนตัวแล้วไอซ์รู้สึกว่าเฟิร์สทำได้ดี เธอน่ารักและยิ้มแย้มให้กับทุกคน ที่จริงเธอทยอยขอถ่ายรูปคู่กับคนอื่นๆ ครบแล้วเหลือแต่ไอ้มิลค์ ... ถูกของเธอ มิลค์เป็นคนดัง ในยุคที่ทุกคนกำลังให้ความสำคัญกับการ up status ของตัวเอง การลงรูปคู่กับคนดังอย่างมิลค์ย่อมเรียกความฮือฮาได้มหาศาล

ตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ยุคของ Social media แสงไฟก็เหมือนจะตกไปที่มิลค์ ติฒสิงห์พอสมควร ทุกคนอยากรู้จักทายาทเพียงคนเดียวของ The Nemean Group ผู้ที่ใครๆ ก็มองว่าเพียบพร้อมไปหมดทุกอย่าง ทั้งรูปร่างหน้าตา ฐานะ และการศึกษา ทำให้บ่อยครั้งที่รูปของมิลค์ถูกนำมาโพสต์ลงตามเพจ cute boy เพื่อเพิ่มยอด engagement

“เราขอโทษนะเฟิร์สแต่เราไม่ชอบถ่ายรูป” มิลค์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพ พร้อมกับรอยยิ้ม ... ไอซ์ได้ยินเสียงเศษใบหน้าของเธอแตกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี ในขณะที่แฟนของเธอทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ กับสถานการณ์ตอนนี้

“แรงไปไหมมึง” ไอซ์กระซิบเมื่อมิลค์ผละกลับมาเดินอยู่ข้างๆ กัน

“ก็กูไม่ชอบถ่ายรูป” คำตอบของมิลค์ทำให้ไอซ์หัวเราะในลำคอ ... เอากับมันซิ ทั้งน้ำเสียง สีหน้า ท่าทาง มองจากดาวอังคารก็รู้เลยว่าตอแหล

“ตอแหล” สงสัยว่าไอซ์จะคิดดังไปหน่อย

“พี่มิลค์ๆ ...” เสียงใสๆ ดังขึ้นพร้อมกับกลุ่มเด็กวัยรุ่นชายหญิง 3 คนวิ่งมาทางพวกเรา

“... พวกหนูเป็นรุ่นน้องพี่ เรียนอยู่ปี 1 เพื่อนหนูคนนี้แอบปลื้มพี่มากกกกกกกก มันไม่กล้าขอพี่ถ่ายรูปคู่ พวกหนูเลยจะมาถ่ายเป็นเพื่อนมัน ...” ปลายนิ้วของเธอชี้ไปยังเด็กผู้ชายตัวสูงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ห่างออกไป แน่นอนว่าต้องเป็นผู้ชาย ไอ้มิลค์มีแรงดึงดูดกับเพศเดียวกันเสมอ

“... นะคะพี่ ถ่ายรูปกับพวกหนูหน่อยนะคะๆๆๆ” บรรยากาศ dead air เกิดขึ้นหลังจากคำถามของน้อง เพราะทุกคนต่างพร้อมใจกันกลั้นลมหายใจเพื่อรอฟังคำตอบ

“ได้เลยครับ” แล้วไอ้มิลค์ก็เลือกที่จะเปิด war ด้วยการต้องรับพร้อมรอยยิ้ม

“ไอ้ปอนด์มาเร็ว พี่มิลค์ตกลงแล้ว” น้องผู้หญิงที่ดูจะเป็นหัวโจกของกลุ่มตะโกนเรียกเพื่อนของเธอ ก่อนที่เธอจะไปลากเพื่อนเข้ามาร่วมวงถ่ายรูป

แม้จะพยายามเก็บอาการแต่ไอซ์ก็สังเกตได้ว่าเฟิร์สแสยะยิ้ม เมื่อคนที่เพิ่งปฏิเสธการถ่ายรูปคู่กับเธอ ยิ้มแย้มถ่ายรูปกับรุ่นน้องและแสดงความเป็นกันเองถึงขนาดโอบไหล่รุ่นน้องคนนั้นจนน้องเขินตัวแข็งทื่อ

พวกเราย้ายมายังร้านอาหารที่เฟิร์สเป็นคนแนะนำ แม้ว่าเพื่อนคนอื่นๆ พยายามจะจับให้คู่อรินั่งห่างกันแต่ด้วยจังหวะที่ไม่พอดีเลยทำให้มิลค์นั่งประจัญหน้ากับเฟิร์สโดยมีจีนั่งอยู่ด้านซ้ายของเธอ ไอ้มิลค์ยังคงเล่นสงครามประสาทโดยเปิดดูเมนูประมาณ 3 รอบ และจบด้วยการไม่สั่งอาหารอะไรเลยซักอย่าง ตอนนี้คนที่น่าสงสารที่สุดคงหนีไม่พ้นจี เพราะคนหนึ่งก็เพื่อนสนิท อีกคนหนึ่งก็แฟน

ไม่นานอาหารก็เริ่มทยอยมาเสิร์ฟ

“มิลค์ กินอันนี้ ร้านนี้เขาทำอร่อยมากเลยนะ” ต้องยอมใจเฟิร์สที่แม้จะถูกไอ้มิลค์เปิด war มาตั้งแต่เย็นแต่เธอก็ยังทำใจดีสู้เสือด้วยการใช้ตะเกียบหยิบเอาตับทอดกระเทียบชิ้นโตไปวางไว้บนจานของมิลค์ ... ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดพลาดมหันต์ จริงอยู่ว่ามิลค์เป็นคนไม่เลือกกิน อาหารข้างทางมันก็กินได้ ส้มตำมันก็ใช้มือเปล่าๆ จกได้ แต่ในโลกใบนี้มีอาหารเพียงอย่างเดียวที่เจ้าตัวเกียจเข้าใส้ ... และนั้นก็คือ ... ตับ

“อืมมมมม” มันออกอาการทันทีที่ตับชิ้นนั้นถูกวางไว้บนจานตรง เจ้าตัวเอามือปิดจมูกพร้อมกับเขยิบเก้าอี้หนี มันเกียจตับ เกียจถึงขนาดที่แม้แต่กลิ่นก็ยังดมไม่ได้

“เฮ้ย!!!!! ...” ทุกอยากเกิดขึ้นเร็วมาก ถึงขนาดที่เพื่อนคนอื่นๆ ยังไม่ทันได้ออกปากห้าม

จีคือคนที่ไวที่สุด มันรีบยกจานตรงหน้าไอ้มิลค์ออก สีหน้าของมันคือตกใจมาก ซึ่งก็สมควรเพราะหากได้กลิ่นเข้าไปจังๆ ถึงขึ้นทำให้ไอ้มิลค์อ้วกแตกได้

“... มิลค์ไม่กินตับ …” จีหันไปพูดกับแฟนตัวเองเสียงเข้ม

“... ไหวไหมมิลค์” ก่อนจะหันมาพูดกับมิลค์เสียงอ่อน

“ไหวๆ ไม่เป็นไร ขอโทษ กูขอตัวไปเข้าห้องน้ำ” พอพูดจบแล้วมันก็ลุกพรวดพลาดออกไป

งานเข้าไอ้จีชนิดที่เรียกได้ว่ามโหฬาร เพราะแฟนที่นั่งอยู่ข้างๆ ดูจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟที่ถูกดุด้วยน้ำเสียงเข้มๆ แล้วไหนจะเพื่อนสนิทที่ลุกออกไปด้วยสีหน้านิ่งๆ ถ้าเป็นปกติไอ้จีต้องรีบกวีกวาดตามไปง้อไอ้มิลค์ แต่ตอนนี้คนมีชนักติดหลังจะทำอะไรได้นอกจากนั่งอยู่กับที่ ง้อแฟนตัวเอง

ไอ้มิลค์หายไปประมาณ 20 นาที คาดว่าน่าจะออกไป clear จมูกตัวเองให้โล่งรวมถึงสงบสติอารมณ์ มันเดินกลับเข้ามาในจังหวะที่จีกำลังใช้ตะเกียบป้อนอาหารให้แฟนสาว นั้นยิ่งทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารแย่ไปกว่าเดิม ไอ้มิลค์ที่นิ่งอยู่แล้วตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับภูเขาน้ำแข็งที่แพร่ไอเย็นไปทั่ว แต่ดูท่าว่าเฟิร์สจะเลิกให้ความสนใจกับเพื่อนสนิทของแฟนไปแล้ว เพราะหลังจากขอโทษมิลค์แบบพอเป็นมารยาทเจ้าตัวก็สร้างโลกส่วนตัวกับแฟนหนุ่มโดยไม่สนใจไอ้มิลค์อีกเลย

นิ้วมือเรียวสวยกำเข้าหากันแน่น ภาพตรงหน้ามันทำให้ผมอยากจะกรีดร้องออกมา ความใกล้ชิด รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ ยิ่งเห็น ยิ่งได้ยิน ผมยิ่งอยากเอาตัวเองออกไปจากสถานการณ์ตรงนี้ เมื่อไหร่จะกินอิ่ม เมื่อไหร่จะแยกย้าย ผมรู้สึกเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้อยากทำให้บรรยากาศมันแย่แต่พอเห็นเขา 2 คนเดินคู่กันมันก็เหมือนมีพายุเพลิงโหมกระหน่ำอยู่ข้างใน ความโกรธ ความผิดหวัง ความอิจฉา กำลังกัดกินผมจากภายใน ... ทุกอย่างที่เธอได้ เมื่อก่อนมันเคยเป็นของผม ... แทบจะกลั่นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหวอีกแล้ว

“ไอ้มิลค์ ไปเป็นเพื่อนกูสูบบุหรี่หน่อย” แต่ก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมาก ไอซ์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ฉุดผมให้ลุกออกจากโต๊ะ ผมพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นตามแรงดึงของมัน

ผมเดินตามหลังมันออกจากร้านอาหาร เดินตามมันมาเรื่อยๆ แบบคนไร้สติ รู้ตัวอีกทีก็ยืนอยู่หน้าตึกสูงในสยามสแควร์

“กลับบ้านไหม ...” ไอซ์ถาม

“... สีหน้ามึงดูไม่ได้เลยวะ”

“วันนี้กูทำตัวแย่มากเลยใช่ไหม”

“ก็เหี้ยพอตัว กูไม่เคยคิดว่าบทจะร้ายมึงจะร้ายได้สุดขนาดนี้ ...” ผมพยักหน้ารับผิด กระพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่หยดน้ำตาที่กำลังก่อตัว

“... แต่กูสะใจนะ ให้ไอ้จีมันโดนซะบ้าง 555” แม้จะอยู่ในโหมดเศร้าแต่ผมก็อดขำกับมุกตลกของไอซ์ไม่ได้

“รอยยิ้มนั้น เสียงหัวเราะนั้น เมื่อก่อนมันเป็นของกู กูไม่อยากแบ่งให้ใคร ...”

“... ทำไมวะไอซ์ กูทำอะไรผิด ทำไมทุกอย่างถึงเป็นแบบนี้” จากที่แค่น้ำตารื้อๆ พอได้ระบายความในใจ หยดน้ำตาก็ไหลออกจากดวงตาคู่สวย เรากำลังจะคบกันไม่ใช้เหรอ ผมไม่เข้าใจว่าตัวเองทำผิดพลาดตรงไหน

“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน คนที่จะตอบมึงได้คือไอ้จี มึงกล้าถามมันไหม...” ผมสายหัวพลางยกหลังมือขึ้นมาเช็ดน้ำตา

“... อย่าร้อง กูไม่ใช้ไอ้จี เลยมีปัญญาปลอบมึงได้แค่นี้ ...” มันไม่ได้กอดผมเหมือนที่จีทำ ไอซ์แค่เขยิบเข้ามาใกล้แล้วลูบหลังเป็นการปลอบโยน

“... มึงรู้ใช่ไหวว่าหลังจากนี้ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มันไม่ใช้จีของมึงคนเดียวอีกแล้ว มึงต้องเข้มแข็ง และยืนอยู่ให้ได้ด้วยตัวของมึงเอง” เพราะไอซ์รู้ว่าที่ผ่านมาผมพึ่งพาจีมากแค่ไหน สำหรับผมแล้วจีเป็นมากกว่าเพื่อนสนิทหรือคนที่ผมรัก เขาเป็นเหมือนอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตผม และหลังจากนี้ผมจะต้องอยู่ให้ได้โดยปราศจากครึ่งชีวิตนั้น



...



“ที่จริงพวกเรานัดเจอกันแบบนี้ก็ง่ายดีนะ” โจพูดขึ้นในขณะที่พวกเรากำลังช่วยกันเก็บจานอาหาร

“ก็ดีนะ จะได้เจอกันบ่อยๆ” อาร์มสมทบ

“เอาดิ คิดถึงพวกมึง นัดทุกสัปดาห์เลยก็ได้นะ” ผมในฐานะเจ้าของบ้านตอบรับ เมื่อเย็นอยู่ๆ ไอซ์ก็จัดแจงนัดทุกคนมากินข้าวที่ห้องของผม ผมเลยโทรบอกพี่แอนให้ช่วยเตรียมอาหารให้แล้วให้คนมาส่งที่ห้อง ผมก็ชอบไอเดียนี้เหมือนกัน คืนวันเสาร์แบบนี้อยู่กันได้ยาวๆ โดยยังมีพรุ่งนี้ให้ได้พักผ่อนอีก 1 วัน

“พี่แอนยังทำอาหารอร่อยเหมือนเดิม ... ซักวันกูจะซื้อตัวพี่แอนไปจากมึง 555” อาร์มพูดพลางลูบหน้าท้องไปมา วันนี้มีกระดูกหมูอ่อนต้มกระหล่ำปลีของโปรดมัน อาร์มเลยเจริญอาหารเป็นพิเศษ

“อย่าเลว พี่แอนไม่ไปอยู่กับมึงหรอก พี่แอนรักกู”

“ขี้หวงวะ”

“แล้วนี่ไอ้จีไปไหน” ไอ้โจถาม

“ไม่รู้มัน ชวนแล้วมันบอกไม่ว่าง” ไอซ์ตอบ

“จะว่าไปตั้งแต่วันนั้น มันก็ไม่พาเฟิร์สมากินข้าวกับพวกเราอีกเลยเนอะ” โจพูดขึ้น

“ใครจะกล้า ดูเพื่อนมึงวันนั้นซะก่อน กูคิดว่าจะลุกขึ้นมาหยุมหัวกันกลางร้านอาหาร” แม้จะพยายามทำตัวนิ่งๆ แต่ก็ไม่วายโดนไอ้ไอซ์จิกกัด

“เออกูผิด พอใจพวกมึงยัง” ผมกระแทกเสียงใส่ไอซ์

“พูดแค่นี้ทำมาเป็นน้อยใจ ... แล้วมึงเป็นไงบ้าง ตอนนี้เรียนปีไหนแล้วนะ”

“จะจบปี 4 แล้ว ยังเหลืออีก 2 ปี”

“ดีแล้วมึง อย่าเพิ่งรีบจบออกมาทำงานเลย กูนี่ยังอยากย้อนเวลากลับไปเรียนต่อ”

“พวกมึงมีแผนจะเรียนต่อหรือเปล่า” ผมถาม

“ทำงานซักพักหนึ่งก่อนแล้วค่อยหาทางเรียนต่อ” ไอซ์ตอบ ในขณะที่คนอื่นก็ตอบในทำนองเดียวกัน

“พวกมึงว่าไอ้จีกับเฟิร์สจะไปกันรอดหรือเปล่าวะ” อยู่ๆ ไอ้อาร์มก็เปลี่ยนเรื่อง

“อารมณ์ไหนของมึง” ไอซ์ถาม

“เออ ไหนๆ ก็ไหนๆ แหละ อยู่กันแค่พวกเรา 4 คน กูพูดเลยละกัน ...”

“... มันมาปรึกษา คือทะเลาะกันบ่อย ทะเลาะกันทุกเรื่อง”

“ทำไมวะ”

“เข้ากันไม่ได้มั้ง คือคนละ life style เลย ล่าสุดสัปดาห์ก่อนก็โทรมานอยด์ๆ ว่าทะเลาะกันอีกแล้ว”

“ก็อย่างว่าแหละ ใครจะไปรู้ใจไอ้จีได้เท่าไอ้มิลค์ 555” คำแซวของไอ้โจทำเอาพวกเราหัวเราะลั่น

“ไอ้เลว ไม่ต้องเอากูเข้าไปเกี่ยวเลย จะรักจะเลิกกันก็ไม่ใช้เรื่องของกู”

“แหมๆ ทำเป็นไม่รู้ ไม่สนใจ แต่พอได้ยินชื่อไอ้จีนี่หูตั้งเลยนะ ...”

“... มึงได้เจอกับมันบ้างไหม”

“อ้าว!!! ทำไมอยู่ๆ มาสัมภาษณ์กูซะงั้น” ผมถาม

“อยากเสือก ตอบมาเร็วๆ”

“อย่าว่าแต่เจอเลย แค่คุยกันยังน้อย” ช่วงหลังมานี้เราไม่ค่อยได้คุยกัน จำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่คุยกันคือเมื่อไหร่

นับจากวันนั้นรายละเอียดในความสัมพันธ์ของเราก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป สมัยก่อนเวลาผมขับรถไปส่ง ไม่เกิน 20 นาทีให้หลัง จีจะโทรกลับมาเช็คเสมอว่าผมกลับถึงบ้านแล้วหรือยัง แต่ตอนนี้ต่อให้รอนานเท่าไหร่เขาก็ไม่โทรมาถาม เวลากินข้าวด้วยกันจีมักจะตักโน่นตักนี่ใส่จานให้ผมเสมอ เขารู้เสมอว่าผมชอบหรือไม่ชอบกินอะไรแต่ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว วันเกิดของทุกปี จีจะเป็นคนแรกที่โทรมาอวยพร แต่ปีที่ผ่านมาแม้แต่ข้อความผมก็ไม่ได้รับ ... ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้ว และผมรับรู้มันในทุกวินาที

“อืม กูเข้าใจ มันต้องใช้เวลา”

“มิลค์ ... มันพูดกับกูเรื่องมึงด้วยนะ”

“ฮะ?”

“มันก็แคร์ความรู้สึกมึง กูเข้าใจว่ามึงรู้สึกยังไง แต่สุดท้ายแล้วพวกเราก็เพื่อนกัน อย่าให้ใครมาทำลายความผูกพันธ์ที่มีให้กันนะเว้ย”



คำพูดของอาร์มทำให้ผมย้อนคิดถึงเรื่องในอดีต ผมยืนมองข้อความในโทรศัพท์มือถือยุค 2G ที่ตัวเองเคยใช้ สายตากำลังไล่อ่านข้อความที่อีกฝ่ายส่งมาให้เมื่อ 4 ปีก่อน ... I will keep our friendship before everything, nothing will ever make us apart and I will always stay by your side until the end of time

“Hi” อยู่ๆ หัวใจก็เต้นแรงทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย

“ไม่มีอะไร โทรมาเฉยๆ ... มึงเป็นยังไงบ้าง”

“กูโอเคดี แล้วมึงละเป็นยังไงบ้าง” เราไม่ได้แทนตัวเองด้วยชื่อเล่นของกันและกันอีกแล้ว สรรพนามที่ใช้ถูกเปลี่ยนกลับมาเป็น กู-มึง เหมือนเดิม

“ก็ดี เรื่อยๆ” ใครจะเชื่อว่านี่คือบทสนทนาของคน 2 คนที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก ฟังแล้วให้ความรู้สึกห่างเหินเหลือเกิน ถึงตอนนี้ผมจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเมื่อก่อนเราคุยอะไรกันได้เป็นชั่วโมงๆ

“มึงตัดสินใจได้ยังว่าจะเรียนต่ออะไร” ใจชื่นขึ้นมาหน่อยเมื่อคนปลายสายคุยเรื่องที่เราเคยช่วยกันวางแผน

“แต่ยังไม่ได้ตัดสิน ยังมีเวลา”

“จริงด้วย มึงยังมีเวลาอีกตั้ง 2 ปี”

“ทำไมเงียบจัง นี่มึงอยู่ไหน”

...

...

...

“อยู่ต่างจังหวัด ...”

“... กับเฟิร์ส ... Don't ask...”

“... the answer won't make you feel any better ...” ผมมองเงาสะท้อนของตัวเองจากกระจกหน้าต่างบานใหญ่ในห้องนั่งเล่น นี่ผมกำลังร้องไห้อยู่เหรอ ความคิดกำลังเตลิดไปไกล แค่จินตาการภาพคน 2 คนผมก็ปวดร้าวไปทั้งหัวใจ ... It hurts. It feels like my heart is being torn apart

“... กูกลับไปแล้วเราไปกินข้าวดูหนังกันไหม ช่วงนี้ไม่ได้ไปไหนมาไหนกับมึงเลย ...”

“... Milk, will you wait for me?”

“I will” … always



...



ผมกำลังยืนอยู่หน้ากระจกเงา เหตุการณ์เดิมๆ เกิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากเลือกอยู่นานสองนานในที่สุดผมก็ได้ชุดที่จะใส่ไปกินข้าวกับจีเย็นนี้ ยอมรับว่าตื่นเต้นเพราะเป็นเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่เราจะได้เจอกัน

... ‘G (^.^) v’

“ถึงแล้วเหรอ”

“มิลค์ ...”

“... วันนี้กูขอเลื่อนได้ไหม พอดีต้องไปทำธุระกับเฟิร์ส”

“อืม … ได้ซิ” ไม่ได้!!! มึงนัดกูก่อนแล้วจะเทกันง่ายๆ แบบนี้ได้ยังไง

“ขอโทษนะ เดียวกูกลับมาครั้งหน้าแล้วนัดมึงใหม่”

“อืม” เย็นนี้เป็นเย็นวันสุดท้ายก่อนที่จีจะไป off shore วันพรุ่งนี้

ผมทิ้งตัวลงนอนหงายอยู่บนเตียงทันทีที่วางสาย ไม่สนใจแล้วว่าเสื้อจะยับ เพราะวันนี้ก็คงไม่ได้ออกไปไหนอยู่ดี

... ‘G (^.^) v’

“อืม” หลังจากนั้นประมาณชั่วโมงจีก็โทรกลับมา

“กูไปได้แล้วนะ แต่เป็นช่วงค่ำได้ไหม” รู้สึกเหมือนหมาที่รอเจ้าของเพราะพอได้ยินว่านัดของเราไม่ล่ม ผมก็ผลุดลุกขึ้นมาจากโซฟา

“ได้ซิ” ผมตอบอย่างกระตือรือร้น

“งั้นเดียวเจอกัน”



ผ่านไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมง

... ‘G (^.^) v’

“มิลค์ กูขอโทษไม่ได้แล้วจริงๆ วะ”



... ‘G (^.^) v’

“มึงๆ ได้ เจอกันเวลาเดิมนะ”



... ‘G (^.^) v’

“มิลค์ ขอโทษๆ จริงๆ cancel ไปก่อนนะ กลัวว่าจะไม่ทัน ไม่อยากให้มึงรอนาน”



... ‘G (^.^) v’

“มิลค์ครั้งสุดท้ายแล้ว เดียวสองทุ่มครึ่ง กูไปรับ”

“จี พอแล้ว กูไม่ไปแล้ว ครั้งหน้ามึงไปเคลียร์กับแฟนมึงให้เรียบร้อยแล้วค่อยมานัดกู” ผมพูดเสียงเข้ม ยอมรับเลยว่าตอนนี้กำลังอารมณ์เสีย คนปลายสายทำให้ผมว้าวุ่นมาตั้งแต่บ่าย เปลี่ยนชุดแล้วก็เปลี่ยนกลับไปกลับมาหลายรอบ ... กูไม่ใช่ตัวสำรองในชีวิตของมึงนะจี

“แต่กูอยากเจอมึง”

“ดึกขนาดนั้นไม่ไหวหรอก พรุ่งนี้มึงต้องตื่นแต่เช้า ส่วนกูก็ต้องไปคณะตั้งแต่เช้าเหมือนกัน” ตื่นเช้าเป็นแค่ข้ออ้าง ไม่ใช้ว่าผมไม่อยากเจอ แต่ด้วยอารมณ์ของเราตอนนี้ การเจอกันอาจทำให้อะไรๆ มันแย่ไปกว่าเดิม ผมไม่ใช้แค่โกรธ แต่มันทั้งเสียใจและน้อยใจ ผมนัดจีก่อน ส่วนอีกคนก็งอแงจนทุกอย่างวุ่นวายไปหมด แล้วเพื่อนสนิทของผมก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามอารมณ์ของเธอ ... เห็นผมเป็นตัวอะไร


----------

ไอซ์ : "You know damn well that things are going to change, and he's no longer your guiding star. It's time to shine on your own"

#The Devil Wears Cartier
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
56
Boy's love story / Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 26 : The Devil Wears Cartier
« กระทู้ล่าสุด โดย Milky_Milky_Way เมื่อ 05-10-2025 10:22:01  »
ตอนที่ 26 : The Devil Wears Cartier (Part 1/2)

“แกเคยคิดบ้างไหมว่าเวลามันก็เดินเร็วเหมือนกันนะ” แก้วพูดขึ้นในขณะที่เรา 2 คนกำลังเดินเล่นฆ่าเวลาในสยาม

“อะไรของแก”

“ก็คิดดูดิ เผลอแป๊บเดียวอีกไม่กี่เดือนก็จบปี 4 แล้ว แป๊บๆ ก็ผ่านมาเกินครึ่งทางแล้ว”

“อืม ก็จริง” ผมคิดตามที่แก้วพูด พวกเราเดินมาเกินครึ่งทางแล้วจริงๆ อีกไม่กี่เดือนพวกเราจะเป็นรองพี่ใหญ่ของคณะแล้ว

“แกคิดออกหรือยังว่าจะเรียนต่ออะไร” เพื่อนทุกคนในกลุ่มรู้ว่าผมอยากเรียนต่อ

“เราว่าเราอยากเรียนเกี่ยวกับฮอร์โมน”

“ฮอร์โมนเนี่ยนะ ไม่เห็นจะเท่ห์” ผมขมวดคิ้วและบ่นในใจว่าแล้วใครเขาเลือกเรียนต่อเพราะความเท่ห์กัน

“แล้วเป็นหมออะไรถึงจะเท่ห์”

“หมอศัลย์ไง ไม่ก็หมอ neuro”

“ไม่เอาวะไม่ชอบผ่าตัด neuro ก็ยากเกิน”

“ทำไมแกถึงชอบฮอร์โมนวะ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย”

“มีดิ สนุกจะตาย”

“สนุกตรงไหน มีแต่เรื่องยากๆ”

“นั้นแหละที่สนุก ถ้าเข้าใจเรื่องนี้ก็ต่อยอดไปได้อีกไกล ...”

“... อีกอยากตอนขึ้นฝึกงาน เราชอบบรรยากาศที่หน่วย พี่หมอนิสัยดี ตลก ไม่กินหัว อาจารย์ก็สอนสนุก เรียนไปหัวเราะไป”

“ก็จริง ถ้าเทียบกับแผนกอื่น เราก็ชอบแผนกนี้ที่สุด อาจารย์สอนอย่างกับจะไปเปิดตลกคาเฟ่ ...” แก้วพยักหน้าเห็นด้วยกับผม อาจารย์และ staff มีส่วนมากจริงๆ กับความชอบในตัววิชาของนิสิต

ปี 4 เทอม 2 เป็นปีที่นิสิตจะได้เรียนกับอาจารย์ครบทุกภาควิชา เท่าที่เรียนมาตอนนี้ผมชอบวิชาที่เกี่ยวกับฮอร์โมนมากที่สุด ตอนนี้ปัญหาเดียวคือผมยังไม่เจออาจารย์ที่รู้สึกว่า click กันจนจะขอเป็น advisor ได้

“... มิลค์” อยู่ๆ แก้วที่พูดคุยยิ้มแย้มกับผมมาตลอดทางก็หยุดเดินซะดื้อๆ สีหน้าของมันเปลี่ยนไปจากเดิมจนผมต้องมองตามสายตาคู่นั้น

“จี” เสียงเรียกชื่อคนคุ้นเคยหลุดลอดออกมาอย่างแผ่วเบา เหมือนโลกทั้งใบหยุดนิ่งอยู่กับที่ ... จีนั่งอยู่ในร้านอาหาร โต๊ะริมกระจกบานใหญ่ทำให้ผมเห็นเพื่อนสนิทกับใครอีกคนชัดเต็ม 2 ตา เธอผิวขาว ไว้ผมยาว มองจากด้านข้างแล้วเห็นสันจมูกยกขึ้นชัดเจน ... ในจังหวะที่ผมตั้งสติได้ แล้วกำลังจะเบี่ยงตัวหลบ เจ้าตัวก็หันมาพอดี ... เรา 2 คนสบตากัน ดวงตาชั้นเดียวคู่นั้นเบิกกว้าง ก่อนที่จีจะลุกออกจากร้านอาหารมาด้วยท่าทีร้อนรน

“เรากลับคณะก่อนนะ” แก้วที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ขอปลีกตัวออกไปเพื่อให้ผมกับจีได้คุยกัน

“มิลค์ ...”

“... มิลค์ฟังจีก่อน มันไม่ใช้แบบนั้น มันไม่ใช้แบบที่มิลค์คิด” ผมที่กำลังสมองเบลอ กว่าจะรู้ตัวจีก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า สีหน้าของเจ้าตัวดูไม่ดีเอามากๆ ท่าทางลนลานแบบนี้ สถานการณ์แบบนี้ ความรู้สึกแบบนี้ ยิ่งกระตุ้นให้กลไกการป้องกันตัวเองของผมทำงานโดยอัตโนมัติ

“กูยังไม่ได้คิดอะไรเลย” ผมพยายามตั้งสติ ทำตัวเองให้นิ่งที่สุดในสถานการณ์ตรงหน้า พยายามสุดความสามารถที่จะกลั้นน้ำตา ไม่ได้สนใจว่าน้ำเสียงที่พูดออกไปจะแย่แค่ไหน ขอแค่อย่าร้องไห้ออกมาตอนนี้ก็พอ

“มิลค์ ไม่เอาดิ ไหนว่าเราจะเลิกพูดกูมึงไง”

“กูกลับไปเรียนก่อนนะ” เป็นข้ออ้างที่ตลกมากแต่ผมก็คิดออกแค่นี้จริงๆ

“เดียวจีเดินไปส่ง ... รอตรงนี้แป๊บนึง” พูดจบเจ้าตัวก็เดินจ้ำกลับไปที่ร้าน



คิดเหรอว่าผมจะรออยู่ตรงนั้น รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ตัวเองทิ้งตัวลงบนเตียงของโรงแรมย่านราชประสงค์ ผมไม่ได้กลับคอนโด เพราะรู้ว่าจีต้องไปดักรอที่ห้อง ไม่กลับบ้านเพราะเป็นสถานที่ถัดไปที่จีจะไป หากรู้ว่าผมไม่ได้อยู่ที่คอนโด ผมมาตัวเปล่าๆ ไม่ได้เตรียมของอะไรมาเลยซักอย่าง ออกจากสยามก็ขับตรงมาที่นี้

... ‘G (^.^) v’

Smartphone ในกระเป๋ากางเกงสั่นไม่หยุด พอเจ้าตัวรู้ว่าผมไม่ได้อยู่รอ จีก็กระหน่ำโทรมาไม่ยั้ง ไหนจะ inbox ข้อความใน FB ที่เจ้าตัว DM มาทั้งขอโทษและอ้อนวอนให้ผมรับสาย ผมนอนนิ่งๆ อยู่บนเตียงที่นุ่มสบายราวกับนอนอยู่บนปุยเมฆ และปล่อยให้โทรศัพท์มือถือสั่นจนหยุดไปอีกครั้ง

‘G (^.^) v’ 16 missed call



... ‘Kaew’

‘Kaew’ 1 missed call

‘Kaew’

แกหายไปไหน รับโทรศัพท์ฉัน ฉันสาบาญว่าไอ้จีไม่ได้อยู่กับฉัน



... ‘Kaew’

“อืม”

“แกอยู่ไหน…”

“… มิลค์ ฉันถามว่าแกอยู่ไหน ...” แก้วถามผมเสียงเข้ม

“... ไม่บอกก็ได้ แต่อย่างน้อยบอกฉันหน่อยว่าแกปลอดภัย”

“เราโอเค แค่อยากอยู่เงียบๆ คนเดียว”

“ไอ้จีประสาทแดกไปแล้ว มันหาแกไม่เจอ ...”

“... รับสายมันหน่อย น้ำเสียงมันดูร้อนรนมาก...”

“... ฉันไม่รู้ว่าแกกับมันทะเลาะอะไรกัน แต่มันบอกว่ามันจะไป off shore พรุ่งนี้แล้ว ... มิลค์ ถ้าไม่คุยกันวันนี้ แกต้องรอไปอีก 3 สัปดาห์เลยนะ ... ฉันแล้วแต่แกเลย แค่ทำในสิ่งที่ตัวเองจะไม่เสียใจภายหลัง”



... ‘G (^.^) v’

“อืม” สุดท้ายผมก็ยอมรับสาย

“มิลค์ มิคล์อยู่ไหน จีรอมิลค์อยู่ที่ห้อง เย็นนี้กินข้าวเย็นด้วยกันนะ”

“ไม่ต้องรอ กูไม่กลับห้อง”

“มิลค์อยู่บ้านเหรอ จีไปหามิลค์ที่บ้านนะ”

“ไม่ได้อยู่”

“Milk, please, where are you? We really need to talk.”

“G”

“ครับ, dear”

“I am not ready. Let talk when you get back home.” พอพูดจบประโยค น้ำตาก็ไหลรินลงมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว วินาทีนั้นผมถึงเพิ่งรู้สึกตัว... นี่เป็นครั้งแรกที่ผมร้องไห้เพราะจี

มันเจ็บ เจ็บแบบที่ไม่รู้จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ยังไง แน่นอนว่าผมอยากจะใช้เวลาวันสุดท้ายกับจีแต่ที่ไม่ได้เอ่ยปากขอเพราะอยากให้เจ้าตัวใช้เวลากับที่บ้านบ้าง จีมานอนค้างกับผมตั้งแต่กลับ จนเราเพิ่งแยกกันเมื่อ 2 วันก่อน

โกรธตัวเองเพราะที่ผ่านมาผมอยู่ข้างๆ จีมาตลอดแต่กลับไม่เคยรับรู้เลยว่ามีใครอีกคนกำลังแทรกกลางระหว่างเรา สับสนเพราะไม่เข้าใจว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านคืออะไร ที่ชอบเข้ามากอด เข้ามาคลอเคลีย ที่บอกให้ผมรอ คืออะไร ทุกอย่างมันหมายความว่าอะไร ผมคิดว่าเราใจตรงกัน คิดว่าเราใกล้จะขยับสถานะจากเพื่อนสนิทเป็นคนรัก หรือจะเป็นผมที่คิดไปเองฝ่ายเดียว มีความรู้สึกหลายหลายมากมายเกิดขึ้นเกินกว่าจะข่มตาหลับได้ หยดน้ำตาไหลออกจากดวงตาคู่สวยตลอดทั้งคืน ผมเคยรู้สึกว่าท้องฟ้ายามค่ำคืนมักจะประดับประดาด้วยแสงดาวระยิบระยับแต่ทำไมคืนนี้ไม่ว่าจะมองเท่าไหร่ผมก็ไม่เห็นความสวยงามที่คุ้นตานั้นอีกแล้ว



Key card ถูกวางแนบลงบนบานประตู หัวใจของผมเต้นเร็วจนสั่นระรัวในขณะที่ผลักปานประตูให้เปิดออก ขาทั้ง 2 ข้างเดินเข้ามาในห้องที่คุ้นเคย ... ภายในห้องปิดไฟมืด มีเพียงแสงสว่างรำไรที่ส่องผ่านผ้าม่านเข้ามาเท่านั้น ทุกอย่างเงียบสนิท ... นี่ผมกำลังคาดหวังอะไร หวังว่าพอเปิดประตูเข้ามาแล้วจะเจอจียืนรออยู่หน้าประตูงั้นเหรอ สิ่งเดียวที่บ่งบอกว่าเมื่อคืนเจ้าตัวนอนค้างที่นี้ คือคราบน้ำที่ยังเปียกอยู่ให้ห้องอาบน้ำ ... ผมกลับมาที่คอนโดในช่วงเช้าของอีกวันเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวไปเรียน ... จีไปแล้ว และผมต้องอยู่ตัวคนเดียวไปอีก 3 สัปดาห์

เป็น 3 สัปดาห์ที่ยาวนานและทรมานที่สุดในชีวิต แต่ละวันผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนอนแค่หายใจให้ทั่วท้องยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เข็มของนาฬิกาบนผนังยังคงเดินไปข้างหน้าตามจังหวะเดิม แม้ว่าผมจะภาวนาขอให้มันเร็วกว่านี้อีกซักหน่อย ... หน้าจอ smart phone ในมือเปิดค้างอยู่ที่ inbox ของ FB นิ้วโป้ง slide หน้าจอขึ้นไปบนสุดเพื่อไล่ดูข้อความเก่าๆ ที่เราส่งหากัน และเผลอยิ้มออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวจนกระทั้งถึงข้อความที่จีส่งมาล่าสุดในวันที่เราทะเลาะกัน ... ห้องที่อยู่คนเดียวมาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้มันกว้างและเงียบเหงาเกินไปเมื่อไม่มีจีนั่งอยู่ข้างๆ



เป็นมื้ออาหารที่อึมครึมระหว่างเรา เรียกได้ว่าเป็นมื้อที่อึดอัดที่สุดตั้งแต่รู้จักกันมา ถึงวันนี้ผมเพิ่งนึกได้ว่าเราไม่เคยทะเลาะกัน ไม่เคยโกรธกัน ไม่เคยมีบรรยากาศแบบนี้เกิดขึ้นระหว่างเรา ... น่าอึดอัดชะมัด ... เราต่างสั่งอาหารของตัวเอง ไม่มีแม้แต่กับข้าวจานกลางที่เรามักจะสั่งมากินด้วยกัน ผักในจากของคนตรงหน้ายังนอนนิ่งอยู่ที่เดิมเช่นเดียวกับกับข้าวในจานของผม ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีเสียงหัวเราะ มีแต่ความเงียบและบรรยากาศแปลกๆ ที่ไม่คุ้นชิน เหมือนว่าต่างคนต่างมีเรื่องอะไรในใจแต่ไม่มีใครเป็นฝ่ายเริ่มพูดมันออกมา ระยะเวลา 3 สัปดาห์มากพอให้ผมได้คิดทบทวนไตรตรอง ผมพร้อมที่จะฟังคนตรงหน้าอธิบาย และถ้ามันสมเหตสมผล ผมก็พร้อมจะมองข้ามทุกอย่าง ... โลกใบนี้มันเหงาเกินไปเมื่อไม่มีจีอยู่ข้างๆ

ผมนั่งอยู่ข้างหลังพวงมาลัย สายตากำลังจับจ้องไปยังไฟสีแดงที่กำลังนับถอยหลัง เสียงเพลงช่วยทำให้บรรยากาศในรถไม่อึดอัดมากกว่าที่เป็นอยู่ จนกระทั้งจบมื้ออาหารก็ยังไม่มีใครพูดความในใจออกมา

“มิลค์ ...”

“... กูว่ากูรู้สึกดีกับเขา กูจะลองคบกับเขาดู” น้ำเสียงแผ่วเบาและราบเรียบของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ดังขึ้นในขณะที่ไฟจราจรสีแดงกำลังนับถอยหลัง

5, 4, 3, 2, 1

ทุกอย่างจบลงก่อนที่จะได้เริ่มต้นด้วยซ้ำ กับความรู้สึกมากมายที่ให้ใครอีกคน ถึงวันนี้ผมยังไม่เคยได้บอกรักจีเลยซักครั้ง วันนี้เรื่องราวมากมายระหว่างเราไม่มีความหมายอีกแล้ว ... ผมรับรู้ได้ว่าช่วงเวลาของความสุขจบลงแล้ว ไม่มีแล้วความรู้สึกที่สัมผัสได้ด้วยใจ ไม่มีอีกแล้วเสียงหัวเราะและรอยยิ้มที่มีให้กัน ... ทุกอย่างกำลังจะจืดจางและมลายหายไป ... ราวกับความฝัน
57
Boy's love story / Re: SHORT: Venom & Feathers นาโครคินทระ - กาศยป (๓) 4/10/2568
« กระทู้ล่าสุด โดย KADUMPA เมื่อ 04-10-2025 15:50:00  »



“เอวองค์จงเจ้าช่างอรชร” เมื่อได้โอกาสที่โภคินได้อยู่กับทิชชากรเพียงลำพัง เมื่อเขาเห็นอีกฝ่าย ส่งพระนางแม่เดินเข้าไปในอุโบสถใหญ่ ก็ตรงรี่เข้ามาเกี้ยวพาราสีความงามที่ได้เห็นในทันที “หมู่ภมรควรรู้ไซร้หยุดไป่ถวิลหา” คำตอบจากทิชชากร ทำเอาโภคินนั้นต้องยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพราะเกิดอาการถูกใจ รวมทั้งอารมณ์พอใจในอีกฝ่ายอยู่ครามครัน ด้วยว่าทิชชากรนั้น ที่เบือนหน้าหนีไปอีกทาง แต่ก็ค่อย ๆ หันกลับมา แล้วได้สบตากับโภคิน ที่มองอีกฝ่ายอย่างไม่วางตาอยู่ก่อนแล้ว



“เจ้างามดั่งนรอีกพละเช่นไวนเตยะ ปีกระหงขนดั่งทอง กึกก้องเวหาเพลากวัดไกว” คงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ว่า ทำไมโภคินถึงได้รู้สึกว่า ตัวเองนั้นไม่สามารถละสายตาจากทิชชากรได้เลย ด้วยใบหน้าที่งดงามได้ทางพระแม่นางมา ซึ่งด้วยว่าเป็นนร หรือคือมนุษย์นั้น แต่อีกครึ่งหนึ่งกับความเป็นเผ่าพันธุ์แห่งกาศยปพญาครุฑ ที่ขนปีกนั้นดูนุ่มดุจแพรไหม แตกต่างจากพี่น้องครุฑอื่น ๆ ที่โภคินเคยเจอมา แต่ถึงจะดูประหนึ่งเป็นมนุษย์เดินบนพื้นโลก แต่โภคินก็รับรู้ได้ว่า อีกฝ่ายนั้นถือว่าอยู่กันคนละฝั่ง



“เจ้าช่างสรรหาคำว่าจำนรรจา โบราณมานาคินทร์มิยินยล” ทิชชากรเองก็แปลกใจตัวเองอยู่เช่นกัน ว่าแทนที่ตัวเองจะบอกปัดโภคินไป แต่ตัวเองกลับเอ่ยปากพูดต่อล้อต่อเถียง พูดกลับไปให้อีกฝั่งฟังไม่หยุดหย่อน เพราะถึงแม้ว่าทั้งเหล่านาคราชและทั้งเหล่าสิตามัน จะยอมสร้างบุญ ณ สถานที่แห่งเดียวกัน แต่ก็ใช่ว่าจะญาติดีกันจนสามารถพูดคุยกันดั่งเผ่าพันธุ์อื่น ๆ เป็น ต่างฝ่ายต่างทำพิธีเสร็จ ก็ต่างแยกย้ายกันกลับเมืองของตน



“อาจจะเพราะบุญพาวาสนานำ ผิจะดำเนินตามไม่สร่างซา” โภคินถือโอกาสขยับเดินเข้าใกล้กับทิชชากร ที่อีกฝ่ายหันไปมองที่พระอุโบสถ ก็เห็นพระนางแม่กำลังเดินออกมาด้านนอก “ข้าจักต้องพาพระแม่กลับถิ่นเรือน” ทิชชากรขยับตัว เพื่อจะเดินอ้อมโภคินไป “ขอเพียงเจ้าดวงเดือนเตือนใจว่าใครรอ” สายตาของโภคินเว้าวอนให้ทิชชากรนั้นรู้สึกได้ในทันที ว่าการพบกันครั้งนี้ มันไม่ใช่แค่การมาพบกันเพื่อจาก ก่อนที่โภคินจะมองเห็นทิชชากรโอบร่างของพระนางแม่ที่เป็นมนุษย์ แล้วพาบินขึ้นหายไปในท้องฟ้า ทิชชากรเองนั้น ก็ลอบมองลงมาที่ริมน้ำนั้น โภคินที่อยู่ในร่างนร หรือร่างมนุษย์ค่อย ๆ กลายกลับไปสู่พญานาคที่ดุน่าเกรงขาม ก่อนจะพาตัวเองกลับลงไปที่เมืองบาดาล



ทิชชากรพาพระนางแม่กลับขึ้นมาที่เคหาของเหล่าพญาครุฑ แต่อดไม่ได้ที่จะหวนคำนึงถึงแต่พญานาคที่สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้อย่างแนบเนียน อีกทั้งยังสามารถทำให้ใจของทิชชากรนั้นหวั่นไหว สายตาของโภคินที่ดูประหนึ่งจะจัดแจงหาพื้นที่ในหัวใจของทิชชากร จับจองมันได้อย่างแยบยล ทิชชากรก้มลงมองของที่อยู่ในมือ เกล็ดพญานาคที่ได้รับมาจากโภคิน ทำให้ทิชชากรต้องมองลงไปที่ด้านล่างนั่น เพราะรู้ว่าเจ้าของนั้น อยู่ที่นั่น


 
พระนางแม่เฝ้ามองไปที่ทิชชากร ที่ตั้งแต่กลับมาจากลงไปทำบุญในครั้งนี้ ก็เห็นลูกของพระนางไปยืนอยู่ที่ประตูทางลงไปที่ด้านล่างนั่น ก็ใช่ว่าคนเป็นแม่จะไม่สังเกตเห็นความเปลี่ยนไปแปลกไปของลูกของตน ด้วยว่าเลี้ยงดูมาแต่อ้อนแต่ออก และรู้ดีว่า ทิชชากรนั้นรู้สึกว่าตัวเองแตกต่างจากบรรดาพี่น้องเผ่าพันธุ์เดียวกันอย่างไร แต่นี่ มันทำให้พระนางกลัวเข้าไปจับจิตจับใจ ถึงเหตุการณ์ในภายภาคหน้า ว่าอะไรกันที่จะเกิดขึ้น



โภคินเอง ตั้งแต่กลับมาถึงที่เมืองบาดาล ก็เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แลดูจะอารมณ์ดี แม้ว่าความเป็นนาโครคินทระ จะมีแต่เสียงร่ำลือถึงความโหดร้าย ที่เคยไม่ละเว้นให้ใครเลยก็ตาม แต่โภคินกลับยอมรับกับตัวเองว่า บัดนี้ ได้ถูกครึ่งนรครึ่งกาศยป ที่มีใบหน้างดงามยิ่งกว่านางอัปสรชั้นฟ้าใด ๆ รวมกัน อีกทั้งกิริยาไม่ยอมใคร ที่แฝงเอาไว้ด้วยความเขินเก้อ ที่ถูกโภคินพูดเกี้ยว นั้นได้ขโมยเอาหัวใจที่ไม่เคยแม้แต่จะประสงค์หรือต้องตาผู้ใด ให้มาเคียงคู่มาก่อน ต้องยอมพลีความคิดถึง มองไปที่เมืองด้านบนฟากฟ้านั่น เพราะรู้ว่า เจ้าของขนสีทองนุ่มสวยที่ถืออยู่ในมือนี้ เจ้าอยู่ที่ตรงนั้น สิ่งที่คิดวนอยู่ในใจ คือการได้พบกันอีกในเร็ววัน

 

“พ่อ เจ้าน้ำตาลมันเห่าอะไรเสียงดังมากเลย” แม่เอ่ยปากถามผู้เป็นสามี “มันเห่าอยู่นานมากแล้วด้วยสิ” ถามเกี่ยวกับสุนัขที่เลี้ยงเอาไว้ ที่ได้ยินเสียงมันเห่าแบบไม่มีพัก ซึ่งปกติแล้ว เจ้าน้ำตาลนั้น เป็นเรื่องธรรมดาของมันที่เวลาเห็นกระรอกวิ่งในสนามหญ้า มันก็จะเห่าแล้ววิ่งไล่ จนกระรอกนั้นวิ่งหนีขึ้นต้นมะม่วงไป หรือนกที่ลงมาหาหนอนหาแมลงกินในสนามหญ้า ที่พอนกพวกนั้นบินหนีไป เจ้าน้ำตาลก็จะหยุดเงียบเสียงเห่าไปเอง



“นั่นสิแม่ นี่ตอนแรกพ่อก็นึกว่ามันเห่าไล่กระรอกหรือนกเหมือนปกติ” พ่อเองก็เริ่มสงสัยแล้วเหมือนกันว่า เจ้าน้ำตาลมันเห็นอะไรในสนามหญ้ากันแน่ “แล้วนี่วาตะไปไหน พ่อเห็นมั้ย” แม่ถามขึ้น เมื่อมองหาลูกชายคนเดียวของพวกเขา “เมื่อกี้พ่อยังเห็นนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงโซฟานั่นอยู่เลย” ทั้งสองคนพ่อและแม่ ที่หันไปทำอะไรง่วน ๆ กันอยู่ พอหันกลับมามองหาอีกที วาตะก็ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว

 

“วาตะ อยู่ไหนลูก วาตะ อยู่หน้าบ้านมั้ยลูก เจ้าน้ำตาลมันเห่าอะไร” แม่ร้องถามวาตะออกไป แต่ไม่ได้ยินเสียงตอบของลูกชายเหมือนกับทุกครั้ง แม่มองหน้ากับพ่อ ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปมองที่ประตูบ้าน โดยมีพ่อเดินตามไปด้วยติด ๆ เสียงของเจ้าน้ำตาลยังเห่าขรมไม่ยอมหยุด ราวกับว่า มันได้พบเจอสิ่งอะไรที่มันไม่เคยเห็นมาก่อน แถมเสียงเห่าของมัน ยังกระโชกผิดวิสัยของมันไปเสียอีก

 

“ว้าย” เสียงของแม่หวีดร้องออกมาจนสุดเสียง “วาตะ อย่าขยับตัวนะลูก อย่าเพิ่ง ว้าย พ่อ ช่วยลูกเราด้วย” ทันทีที่แม่มองเห็นว่า เกิดอะไรขึ้นที่สนามหญ้าหน้าบ้าน กับสิ่งที่เจ้าน้ำตาลในตอนนี้ ขนที่คอยาวไปทั้งหลังอานของมันตั้งชัน เห่าใส่เสียงดังลั่นกว่าเดิม “วาตะ อย่าเพิ่งทำอะไรนะ” เสียงพ่อร้องบอกลูกชาย ที่ตอนนี้นั้น วาตะได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ น้ำตาคลอเบ้าอย่างเต็มไปด้วยความกลัวสุดขีด



ภาพตรงหน้านั้น วาตะยืนอยู่ที่กลางสนามหญ้า โดยที่ไม่กล้าขยับเขยื้อนตัวไปไหน เพราะมองเลยไปที่แนวรั้วบ้าน ที่ห่างออกไปไม่ถึงเมตร ตรงนั้นคืองูจงอางตัวใหญ่ ที่ถือว่าเป็นราชาแห่งงูทั้งปวง สีดำมะเมื่อม ต้องกับแสงแดดที่ส่องลงมากระทบ ดูน่ากลัวและน่าเกรงขามยิ่งนัก ความยาวนั้นมันช่างน่าตกใจเป็นอย่างมาก เดาจากสายตาไม่น่าจะต่ำกว่าห้าเมตร กำลังชูคอแผ่แผงคออย่างประกาศศักดา ยิ่งเจ้าน้ำตาลมันเห่าเสียงดังลั่น วิ่งไปมาซ้ายขวาอยู่แบบนั้นด้วยแล้ว


 
“น้ำตาลมานี่” พ่อเรียกสุนัขที่เลี้ยงไว้ให้เข้ามาหา เจ้าน้ำตาลทำหูลู่วิ่งมาตามเสียงเรียก “แม่ เอาเจ้าน้ำตาลเข้าไปไว้ในบ้านก่อน” พ่อรีบบอกกับแม่ ที่ตอนนี้รวบตัวเจ้าน้ำตาลให้เข้าไปอยู่ด้านใน ก่อนที่แม่จะออกมาที่ด้านนอกบ้านอีกครั้ง โดยรีบปิดประตู ไม่ให้เจ้าน้ำตาลมันวิ่งกลับมาได้ โดยที่ทุกการกระทำ ทุกการขยับตัวตรงหน้านั้น งูจงอางตัวใหญ่ ส่ายหัวมองตามการเคลื่อนไหวนั้นโดยตลอด



“ถ้าลูกทำได้ วาตะ” พ่อบอกกับลูกชาย ก่อนได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของแม่ดังขึ้น “ค่อย ๆ ก้าวเท้า เดินถอยออกมาทีละก้าว” เสียงพ่อบอกวาตะ ส่วนแม่ก็รับโทรศัพท์ ที่ปลายสายพูดอะไรมาบางอย่าง ที่ทำให้แม่ถึงกับหน้าถอดสี “พ่อ” แม่เรียกผู้เป็นสามี ก่อนจะได้ยินสิ่งที่แม่พูดบอกออกมา “หลวงพ่อท่านมรณภาพแล้ว” ทั้งสามคนที่อยู่ตรงนั้น ต่างตกใจกับเรื่องที่ได้รับรู้มา ด้วยที่ว่า ตอนเช้าของวันนี้ ทั้งสามคนเพิ่งไปถวายอาหารเช้าพระที่วัด เนื่องในวันเกิดครบรอบอายุสิบหกปีของวาตะ และยังพบกับหลวงพ่ออยู่เลย

 

“วาตะ ลูกได้ทาสีผึ้งของหลวงพ่อมั้ยลูก” แม่ถามลูกชายด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ วาตะส่ายหน้าแทนคำตอบ ก่อนที่น้ำตาใส ๆ จะไหลล้นขอบตาลงมา มันเป็นวันแรกกับหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา ที่วาตะลืมทำในสิ่งที่ทำมาตลอด โดยเฉพาะเมื่อช่วงเวลาเข้าพรรษามาถึง พ่อกับแม่มองหน้ากันอย่างพรั่นพรึง เมื่อต่างคิดว่า เวลาที่หลวงพ่อเคยบอกนั้น มันได้มาถึง เมื่อการกระทำใด ๆ ก็แล้วแต่ ไม่สามารถเหนี่ยวรั้งบุพกรรม กรรมที่เคยได้กระทำเอาไว้แต่ชาติปางก่อนได้



ทันทีที่วาตะก้าวถอยหลัง งูจงอางตัวใหญ่นั้น ก็หันมาทางวาตะในทันที วาตะได้แต่หยุดยืนนิ่ง สูดลมหายใจเข้าแล้วกลั้นเอาไว้ เพราะการขยับตัวของงูจงอาง ที่เหมือนกำลังจะเปลี่ยนทิศทาง ในตอนนี้ไม่มองไปที่พ่อและแม่อีกแล้ว แต่หันมาทางวาตะโดยตรง แล้วทั้งพ่อและแม่ต้องใจเต้นแรงด้วยความระทึก เมื่องูจงอางตัวใหญ่ตัวนั้นกำลังเลื้อยเข้ามาหาวาตะ ที่ตอนนี้หลับตาปี๋ด้วยความกลัว และคิดในใจว่า สิ่งร้าย ๆ กำลังจะเกิดกับตัวเอง ในวันเกิดปีนี้



“พ่อ” เสียงแม่เรียก เมื่อทั้งสองคนมองเห็นงูจงอางตัวใหญ่ตัวนั้น พอเลื้อยมาถึงตรงที่วาตะยืนอยู่ ก่อนจะเห็นงูจงอางนั้น ดันตัวเองให้ตั้งตรงขึ้น ก่อนจะเลื้อยขึ้นรัดไปจนถึงข้อมือซ้ายของวาตะ ความเย็นวาบแล่นเข้าไปถึงกลางหัวใจของวาตะ ที่ไม่กล้าแม้แต่จะมองไปที่ข้อมือซ้ายของตัวเอง พ่อและแม่ของวาตะทั้งตกตะลึง ทั้งกลัวอย่างสั่นสะท้านไปทั้งร่าง เมื่อเห็นจงอางตัวใหญ่สีดำมะเมื่อมทำแบบนั้นกับลูกชายของพวกเขา


 
งูจงอางหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น จนวาตะรู้สึกเหมือนกับว่า ราชาแห่งงูรัดข้อมือของเขา ไม่ใช่ด้วยท่าทางข่มขู่ หรือคิดจะทำร้ายแต่อย่างใด แต่ถึงกระนั้น วาตะก็ยังรับรู้ถึงชีพจรของตัวเองที่เต้นตุบ ๆ ไปตามจังหวะการปั๊มของหัวใจ ที่ดูราวกับว่าพญาจงอางเอง ก็รับรู้ถึงความรู้สึกและอาการของวาตะด้วยเช่นกัน เพราะหลังจากนั้น จงอางตัวใหญ่สีผิวดำมะเมื่อม หนังเย็นเฉียบ ก็ค่อย ๆ คลายกล้ามเนื้อที่รัดข้อมือของวาตะลง ก่อนจะค่อย ๆ ลดตัวลงมาชูคอตั้งตรง โดยส่วนบนบริเวณแม่เบี้ย ที่มีลายบั้งคล้ายก้างปลาสีขาว ถูกดันแตะเบา ๆ ไว้ที่ปลายนิ้วที่มือข้างซ้ายของวาตะเท่านั้น



เด็กน้อยวัยห้าขวบ สุดท้ายแล้วก็ยอมขึ้นรถไปแต่โดยดี ยอมนั่งรถไปกับพ่อและแม่ เพื่อเดินทางไปที่โรงพยาบาล เพราะทั้งพ่อและแม่ของเด็กน้อย ไม่รู้แล้วว่า จะทำอย่างไรต่อไปดี เมื่อทั้งสองคนต่างก็จนปัญญา ไม่สามารถจะจัดการกับอาการของลูกชายได้ เมื่อเคนทร์ไม่ยอมฟังหรือทำตามคำสั่งใด ๆ ไม่ว่าพ่อและแม่จะบอก จะอ้อนวอน หรือขู่ไปต่าง ๆ นานา แต่ก็ไม่เป็นผลแต่อย่างใด


 
แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจอย่างที่สุด คือพ่อและแม่ของเคนทร์ ที่รู้สึกว่า ตลอดเวลาเท่าที่เห็น เคนทร์ดูเป็นเด็กดุดัน ท่าทางน่าเกรงขาม แววตาที่กร้าวอยู่ในที ทั้ง ๆ ที่อายุเพิ่งจะเพียงเท่านี้ ไม่ว่าจะลูกพี่ลูกน้องที่อายุเท่า ๆ กัน หรือแม้แต่ญาติที่โตกว่า ต่างก็รู้สึกถึงความน่ากลัวออกมาจากเคนทร์ ซึ่งมันก็แปลกที่ผู้ใหญ่มากกว่า จะมากลัวอะไรกับเด็กตัวเท่านี้ และยิ่งไปกว่านั้น เคนทร์ที่เกิดวันออกพรรษาในปีเกิดนั้น กลับมาดูอ่อนโยน เมื่อได้มาเจอกับเด็กแรกเกิด แก้มยุ้ย คนนี้ ที่เกิดในวันเข้าพรรษาพอดี


 
“อย่าพาน้องไป” พ่อกับแม่ของเคนทร์คว้าแขนของเด็กน้อยเอาไว้ไม่ทัน เมื่อเคนทร์ที่เดินตามครอบครัวนั้น ที่กำลังจะพาลูกชายที่เพิ่งคลอดของพวกเขากลับบ้าน โดยที่เด็กชายวัยห้าขวบ ราวกับไม่ได้ยินเสียงห้ามของพ่อและแม่ของตัวเองเลย เคนทร์วิ่งตามรถยนต์คันนั้นที่แล่นจากไป “อย่าพาน้องไป กลับมา พาน้องกลับมาเดี๋ยวนี้” เคนทร์ออกคำสั่งราวกับตัวเองเป็นผู้ใหญ่ และฟังดูมีอำนาจจนเกินตัวเลยวัยไปเยอะ แววตาแข็งกร้าว น้ำเสียงฟังดูมีอำนาจ แม้ขอบตาทั้งสองจะดูเหมือนมีน้ำตามาเอ่อคลออยู่ แต่ก็ไม่ยอมร้องไห้ออกมา



“พ่อปู่ครับ มาดูอะไรนี่หน่อยครับ ไอ้เคนทร์มัน” ลูกศิษย์ของพ่อปู่วิ่งกระหืดกระหอบมาหาพ่อปู่ที่บนเรือน ก่อนจะยกมือไหว้ แล้วก็ชี้มือชี้ไม้ไปที่ด้านล่างเรือนไทยยกใต้ถุนสูง ที่เลยออกไป จะเป็นม้านั่งที่อยู่ริมสระน้ำใหญ่ ที่มีต้นไม้ยืนต้นสูง ปลูกครึ้มเรียงไปตามริมน้ำ พ่อปู่เดินไปที่ชานบ้าน มองไปเห็นเคนทร์ในวัยยี่สิบเอ็ดปี กำลังนั่งวาดรูปอยู่ที่ม้านั่งริมสระน้ำใหญ่ ใต้ต้นไม้รกครึ้มนั้น



เคนทร์เอง เมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกมองมาจากสายตาของคนหลายคน ก็เงยหน้าขึ้น ก่อนจะมองเห็นพ่อปู่และลูกศิษย์ของพ่อปู่สองสามคน กำลังเดินตรงเข้ามาหาเขา แต่เคนทร์เองก็ต้องมองตามสายตาของพ่อปู่ โดยที่เขาเงยหน้าขึ้นไปบนต้นไม้ ที่ตอนนี้ สิ่งที่น่าตกใจสะพรึงกลัวก็คือ มีบรรดางูน้อยใหญ่ พันตัวกันอยู่บนกิ่งไม้บนต้นไม้เหล้านั้น เป็นจำนวนมาก แต่เคนทร์เองไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านอะไรทั้งสิ้น พ่อปู่นั้น มองไปที่กระดาษที่อุรเคนทร์ถืออยู่ในมือ มันเป็นภาพวาดของชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่มีงูจงอางตัวใหญ่ กำลังยกตัวขึ้นจากพื้นดิน แล้วส่วนหัวแม่เบี้ยนั้น พันอยู่ที่รอบข้อมือซ้าย

*******************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

ฉันจะอยู่กับเธอ - นิโคล เทริโอ

https://www.youtube.com/watch?v=94FT44bD8a4


เธอก็คงจะรู้ดี

You’ve gotta know it well

ว่าชีวิตของฉัน

That this life of mine

ฉันยอมทุ่มเทเพื่อใคร

Whom I’ll be putting myself through for


ยอมให้เธอหมดหัวใจ

Yielding, is only you I am

และจะไม่มีทาง

And that I will never

ให้ใครมากมายอย่างนี้

Do that for anyone that much


ฉันไม่ท้อไม่หวั่น

I am standing tall and strong

แค่ขอให้รู้เธออยู่

Only knowing you’re here with me

ฉันก็พร้อมจะสู้กับทุกทุกอย่าง

I am ready to face anything coming my way

 
ทางจะไกลเท่าไหร่

A long journey lies ahead of us

กับเธอจะไม่ยอมห่าง

With you, I’ll never leave your side

แค่เพียงขอให้เธอ

All I’m asking of you is

สัญญาจะอยู่กับฉัน

The promise you give to be with me


อย่าปล่อยมือฉันได้ไหม

Please, don’t you let go of my hand

ไม่ว่าอะไรก็ตาม

No matter what happens

เจ็บปวดชอกช้ำแค่ไหน

Sufferings and all pains are caused

จับมือฉันไว้ตลอดเวลา

Holding my hand the entire time


อย่าปล่อยมือฉันได้ไหม

Never let my hand go

ถึงฉันจะมีน้ำตา

Though tears are running down my face

ก็จะขอยืนยัน

I am here to insist

ว่าฉันจะอยู่กับเธอ

That I will always be with you

 
นาน อีกนานสักเท่าไหร่

Long, and it can take very long from here

จะไม่ขอมีใคร

I’ll never want anyone else

เข้ามาอยู่แทนที่เธอ

To replace you that lives in my heart


ฉันจะอยู่ข้างข้างเธอ

I’ll be the one right by your side

และจะรักเธอมีแต่เธอ

I’ll love you, and that’s just you

คนเดียวเท่านั้น

The only one I have feelings for


ก็จะขอยืนยัน

I can assure you this

ว่าฉันจะอยู่กับเธอ

That I’ll be with you forever
58
Boy's love story / Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 26
« กระทู้ล่าสุด โดย Milky_Milky_Way เมื่อ 03-10-2025 22:21:12  »
Teaser ตอนที่ 26

“แกเคยคิดบ้างไหมว่าเวลามันก็เดินเร็วเหมือนกันนะ” แก้วพูดขึ้นในขณะที่เรา 2 คนกำลังเดินเล่นฆ่าเวลาในสยาม

“อะไรของแก”

“ก็คิดดูดิ เผลอแป๊บเดียวอีกไม่กี่เดือนก็จบปี 4 แล้ว แป๊บๆ ก็ผ่านมาเกินครึ่งทางแล้ว”

“อืม ก็จริง” ผมคิดตามที่แก้วพูด เดินมาเกินครึ่งทางแล้วจริงๆ อีกไม่กี่เดือนพวกเราจะเป็นรองพี่ใหญ่ของคณะแล้ว

“แกคิดออกหรือยังว่าจะเรียนต่ออะไร” เพื่อนทุกคนในกลุ่มรู้ว่าผมอยากเรียนต่อ

“เราว่าเราอยากเรียนเกี่ยวกับฮอร์โมน”

“ฮอร์โมนเนี่ยนะ ไม่เห็นจะเท่ห์” ผมคิดอยู่มนใจว่าแล้วใครเขาเลือกเรียนต่อเพราะความเท่ห์กัน

“แล้วเป็นหมออะไรถึงจะเท่ห์”

“หมอศัลย์ไง ไม่ก็หมอ neuro”

“ไม่เอาวะไม่ชอบศัลย์ neuro ก็ยากเกิน”


----------

มิลค์ : เจอกันวันอาทิตย์นะครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคืออยากเป็นหมอฮอร์โมน

#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
60
clothing store ช่วงปลายปี 2025 เตรียมตัวเปลี่ยนผ่านสู่ปี 2026 เป็นช่วงเวลาแห่งความสนุกสนานและสไตล์ที่กล้าแสดงออก แฟชั่นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ความเรียบง่ายอีกต่อไป แต่เป็นการผสมผสานระหว่างความหรูหราที่สวมใส่สบาย ลายพิมพ์ที่โดดเด่น และสีสันที่อบอุ่น เทรนด์เหล่านี้สะท้อนถึงความต้องการที่จะสนุกกับการแต่งตัว และสร้างลุคที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

1. ลวดลายจัดจ้าน: Animal Print และ Polka Dot กลับมาทวงบัลลังก์
ลวดลายคือสิ่งที่สร้างความโดดเด่นในซีซั่นนี้ โดยเฉพาะสองลายคลาสสิกที่กลับมาแบบเต็มตัว Animal Print (ลายพิมพ์สัตว์): ลายเสือดาว (Leopard Print) และลายม้าลาย (Zebra Print) ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เครื่องประดับอีกต่อไป แต่จะปรากฏบนเสื้อผ้าหลัก เช่น โค้ท, กางเกง, หรือกระโปรง การใส่ลายพิมพ์สัตว์แบบเต็มตัวจะให้ลุคที่ดูมั่นใจและร้อนแรง แต่หากยังไม่กล้า อาจเริ่มต้นจากกระเป๋าหรือรองเท้าก่อน

Polka Dot Revival (ลายจุด) ลายจุดกลับมาในรูปแบบที่สดใสและน่ารัก โดยเฉพาะลายจุดแบบใหญ่ ๆ (Oversized) หรือสีสันที่ไม่คาดคิด เป็นการเพิ่มความสนุกและเติมเต็มความขี้เล่นให้กับลุคที่เรียบง่าย shopping



2. สีสันแห่งความอบอุ่น: Brown (สีน้ำตาล) คือ The New Neutral
หากปีที่แล้วเป็นสีดำหรือสีขาว ปีนี้คือสีน้ำตาลที่กำลังมาแรงที่สุด สีน้ำตาล (Brown) ในเฉดต่างๆ ตั้งแต่สีมอคค่ามูส (Mocha Mousse) ไปจนถึงสีน้ำตาลเข้มช็อกโกแลต ถือเป็นสีกลาง (Neutral) ที่ให้ความรู้สึก มินิมอล, เรียบหรู, และเหนือกาลเวลา (Timeless)
ลุค Old Money: การแต่งกายด้วยโทนสีน้ำตาลทั้งชุด (Tone-on-Tone) หรือการจับคู่กับสีเบจและสีครีม จะช่วยเสริมให้ลุคของคุณดูแพงและสง่างามแบบ Quiet Luxury
การจับคู่สี: ลองจับคู่สีน้ำตาลกับ สีฟ้าอ่อน (Clearwater) หรือ สีเหลืองอ่อน (Butter Yellow) เพื่อสร้างความคอนทราสต์ที่ดูละมุนและมีสไตล์

3. เนื้อผ้าและสไตล์ที่เน้นความนุ่มนวลและเท็กซ์เจอร์
เทรนด์นี้เน้นที่ความรู้สึกสบายเมื่อสวมใส่ และการเพิ่มมิติให้กับชุดด้วยเนื้อผ้าที่น่าสนใจ
Faux Fur (ขนเฟอร์เทียม): ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เสื้อโค้ทอีกแล้ว แต่จะเห็นในรูปแบบของ ผ้าพันคอ (Stoles), กระเป๋าถือ หรือแม้กระทั่งเสื้อตัวสั้น (Bra Tops) เป็นการเพิ่มความหรูหราและผิวสัมผัสที่ดูอบอุ่น
Suede (ผ้าหนังกลับ): ผ้าหนังกลับกลับมาเป็นพระเอก โดยเฉพาะในกลุ่ม แจ็กเก็ตสั้น หรือกระโปรงทรงดินสอ ให้ลุคแบบโบฮีเมียนที่ดูผ่อนคลายแต่ยังคงความประณีต

4. ชิ้นส่วนเด่นที่ต้องมี: กระโปรงทรงดินสอ และกางเกงหลวม
รูปทรงของเสื้อผ้าในครึ่งปีหลังเน้นที่ความสบายแต่ยังคงความเนี้ยบ
The Pencil Skirt (กระโปรงทรงดินสอ): กระโปรงทรงสอบยาวกลับมาฮิตอีกครั้ง ให้ลุคที่ดู สุภาพและเป็นผู้หญิง (Ladylike) สามารถใส่ทำงานหรือใส่ไปงานสำคัญได้
Loose Trousers/Denim (กางเกงและยีนส์ทรงหลวม): กางเกงขากว้างหรือยีนส์ทรงหลวมยังคงครองใจผู้คน เพราะให้ความสบายในการเคลื่อนไหว การจับคู่กางเกงทรงหลวมกับเสื้อตัวสั้นหรือเสื้อยืดเรียบๆ จะช่วยให้ได้ลุคที่สมดุลและทันสมัย

การผสมผสานระหว่าง ความโดดเด่นของลวดลาย และ ความหรูหราที่เรียบง่ายของโทนสีน้ำตาล หากต้องการอัปเดตตู้เสื้อผ้าให้เริ่มต้นจากการลงทุนในเสื้อผ้าโทนสีน้ำตาลคุณภาพดี และเพิ่มความสนุกด้วยเครื่องประดับลายพิมพ์สัตว์หรือลายจุด เพียงเท่านี้ก็พร้อมเฉิดฉายตามเทรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นได้อย่างมั่นใจแล้ว

หน้า: 1 2 3 4 5 [6] 7 8 9 10
สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด