ตอนที่ 30 : Mentor (Part2/2)“มิลค์!!! …”
“ … มิลค์!!! …”
“ … มิลค์!!! …”
“… มิลค์!!!”
“ครับ!!!” ผมหลุดออกมาจากพวัง พอหันกลับไปตามเสียงเรียกถึงได้เห็นว่าพี่เจย์ยืนอยู่ไกลออกไปด้วยสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีด
“เดินกลับมาหาพี่ ...” พี่เจย์ยื่นมือออกมาตรงหน้า ผมไม่เข้าใจว่าพี่เจย์ต้องการจะสื่ออะไร แต่พอเริ่มก้าวเดินผมถึงเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองยืนอยู่กลางลำธารหลังบ้านในระดับที่น้ำลึกถึงช่วงเอว ความเย็นของน้ำในลำธารทำให้ผมสติแตก ผมยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเพราะจำได้ว่าเมื่อนาทีก่อนยังนั่งฟังเพลงดูวิวอยู่ริมลำธารอยู่เลย
“... มิลค์!!! มองมาที่พี่ เดินตรงมาหาพี่” ผมพยายามเพ่งสมาธิกับเสียงเรียกของพี่เจย์ 2 เท้าย่ำผ่านกรวดหินบนพื้นลำธารอย่างทุลักทุเล พอคว้ามือผมได้ พี่เจย์ก็ดึงสุดแรงเพื่อพาผมกลับขึ้นมาบนตลิ่ง แขนทั้ง 2 ข้างรั้งตัวผมไว้แล้วพาออกห่างลำธารให้ไกลที่สุด
“พี่ ผมขอโทษ” พี่เจย์เดินกลับมาพร้อมกับถ้วยชา พอฝ่ามือสัมผัสกับความอุ่นของถ้วยเซรามิค สิ่งแรกที่ผมคิดออกคือคำขอโทษ
“คิดอะไรอยู่ พี่ตกใจแทบแย่ พอเดินออกมาแล้วเจอน้องยืนอยู่กลางลำธาร” น้ำเสียงสุขุมนุ่มลึกของพี่เจย์ช่วยให้ผมไม่สติแตกไปมากกว่านี้
“ผมไม่ได้คิดอะไรเลย”
“แน่ใจนะว่าไม่ได้คิดจะทำอะไรบ้าๆ” พี่เจย์ทำสีหน้าชั่งใจกับคำตอบของผม
“แน่ใจครับ ผมนั่งฟังเพลงอยู่ในสวน ...” สวนหลังบ้าน host สวยมาก มีทั้งต้นไม้ใหญ่และพุ่มไม้เล็กๆ อากาศกำลังเย็นสบาย ลำธารสีฟ้าใส ใบไม้พลิ้วไหวไปตามสายลมพัดเอื่อยๆ ... แล้วเพลงๆ หนึ่งก็ดังขึ้น
“... ผมขอโทษครับ” ความเศร้ากำลังเอ่อล้น ผมรวบรวมสติครั้งสุดท้าย สูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอดแล้วกลืนทุกอารมณ์อ่อนไหวกลับลงไป
เพลงที่ติดอยู่ในจิตใต้สำนึกของผม บทเพลงที่ดังคลอในจังหวะที่ผมสารภาพความจริงกับจี แล้วหลังจากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย
“ถ้าอยากจะร้อง ร้องได้นะครับ พี่เข้าใจ” ฝ่ามือของคนอายุมากกว่าวางลงบนศีรษะก่อนจะลูปไปมาเป็นเชิงปลอบโยน
“ไม่เป็นไรครับ ผมไหว” พี่เจย์ก้มหน้าลงสบตากับลูกศิษย์ ดวงตาที่เคยสดใสเป็นประกายราวกับดวงดาวระยิบระยับบัดนี้เหลือเพียงความว่างเปล่า ยิ้มที่ไม่ได้มาจากหัวใจต่อให้พยายามปั้นแต่งแค่ไหนก็ดูฝืดธรรมชาติอยู่ดี
ผมรู้สึกโกรธตัวเองที่อ่อนแอมากขนาดนี้ ผมหวังไว้สุดหัวใจว่า trip นี้จะช่วย heal ความอ่อนล้าในใจของผมได้บ้าง แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าระยะทางไม่ได้ช่วยให้ความเจ็บปวดน้อยลงเลย
“ผมขอโทษ”
“อกหักมาเหรอ”
“ครับ” มาถึงขนาดนี้แล้วต่อให้ปฏิเสธก็คงไม่มีประโยชน์อะไร
“พี่นึกอยู่แล้วเชียว”
“เหรอครับ”
“พี่ก็สงสัยว่าทำไมอยู่ๆ ถึงอยากจะมาหา ที่อ้างว่าจะมาคุยเรื่องเรียนต่อ พี่ไม่ซื้อนะครับ ใครจะทำแบบนั้น เรื่องแค่นี้เอง inbox มาคุยก็ได้ไหม ... ช่วงนี้เครียดเหรอ”
“เครียดครับ ก่อนหน้านี้ผมนอนไม่ค่อยหลับ มาหลับเอาดีๆ ช่วงที่มาเที่ยว น่าจะเพราะเหนื่อย”
“พี่ก็ว่าอยู่ว่าทำไมเจอกันครั้งนี้น้องไม่ shine ออกมาเหมือนเดิม”
“เหรอครับ”
“ครับ...” พี่เจย์มองหน้าผมแล้วอมยิ้ม
“... แต่ขนาดไม่ shine ก็ยังมีคนมาจีบไม่ใช้เหรอ” พูดจบพี่เจย์ก็ยื่น smart phone ของตัวเองมาให้ผม
หน้าจอเปิดค้างไว้ที่ application Facebook ของผมพอเลื่อนลงมาถึงได้เห็นว่าโพสต์ล่าสุดที่ปรากฏขึ้นบน feed คือโพสต์ที่ผมถูก tag โดยเพื่อนฝรั่งตาสีฟ้า มันเป็นรูปที่ผมถูกถ่ายจากด้านหลังโดยมี back ground เป็นริมถนนกลางเมืองที่มีกลิ่นอายของความเป็นประเทศอังกฤษเต็มเปี่ยม พร้อม caption ‘Such a beautiful boy’ ผ่านมาประมาณ 2 ชั่วโมง คนกดไลค์เป็นร้อย ทุกคนมากันครบโดยมิได้นัดหมายไม่ว่าจะเป็น แก้ว ต่อ ต้น ไอซ์ อาร์ม โจ หรือแม้แต่คนที่ยืนทำหน้าหมั่นใส้ผมเต็มแก่อยู่ตรงหน้า ผมยิ้มแห้งๆ ให้พี่เจย์ก่อนจะส่งมือถือคืน พอหยิบมือถือตัวเองขึ้นมาก็พบว่ามีการแจ้งเตือน DM จากเพื่อน
Kaew ;
ไหนเล่ามา
ฉันไปแอบส่อง profile เขามาแล้ว
หล่อ หล่อมาก หล่อวัวตายหล่อควายล้ม
Ice ;
อีแรด
บอกให้ไปพักผ่อน ไม่ใช้ให้ไปอ่อยผู้ชาย
“ไม่ได้มีอะไรครับ แค่กินกาแฟแล้วก็แยกย้าย”
“พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อย ...” ปากบอกว่าไม่ได้ว่าแต่สายตาพี่นี้โคตรจะล้อเลียนผมเลย
“... จริงๆ แล้วพี่ไม่ควรจะพูดแบบนี้นะ เดียวจะหาว่าเป็นครูแล้วแนะนำเรื่องไม่เหมาะสมให้กับลูกศิษย์ ...”
“... แต่ในฐานะที่เคยผ่านเรื่องแบบนี้มาก่อน ...”
“... ผู้ชายนะ มีมากมายราวผักปลา จะหายไปจากชีวิตเราซักคน เดียวก็หาคนใหม่มาแทนได้” ผมมองพี่เจย์ตาปลิบๆ short feel เวอร์เพราะจากสีหน้า สายตา น้ำเสียง ท่าทาง ชัดเจนเลยว่าพี่เจย์เป็นเหมือนผม
“ผมรักเขา ทั้งรักทั้งผูกพัน เขาเป็นเหมือนอีกครึ่งหนึ่งของผม”
“โถ้ววววว เด็กน้อย ... พี่เข้าใจว่าอารมณ์รักใคร่ของวัยรุ่นมันรุนแรง แต่ถ้าพี่พูดแล้วอย่าโกรธนะ ...” ผมพยักหน้า
“... พี่ก็เคยรู้สึก เรื่องครึ่งหนึ่งของชีวิตอะไรเนี่ย แต่พอเราโตขึ้น ผ่านอะไรมาเยอะขึ้น ประสบการณ์จะสอนเราครับว่ามันไม่มีเรื่องแบบนั้นบนโลกใบนี้หรอกครับ...”
“... ยิ่งโตก็ยิ่งต้องอยู่คนเดียว เพื่อนฝูงที่เคยล้อมหน้าล้อมหลังต่างแยกย้ายกันไปมีชีวิตเป็นของตัวเอง คำสัญญาในวัยเยาว์จะค่อยๆ เลือนลางไปตามกาลเวลา ท้ายที่สุดก็มีแค่เราที่ต้องอยู่กับตัวเอง ...” ผมเห็นด้วยกับสิ่งที่พี่เจย์พูด เมื่อก่อนผมกับพวกเพื่อนๆ เจอกันแทบทุกวันแต่ตอนนี้เดือนสองเดือนจะได้เจอกันซักครั้ง ส่วนเรื่องของคำสัญญา ผมเข้าใจว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
“... วันหนึ่งน้องจะต้องโชคดีได้ลงเอยกับคนที่รักและเหมาะสม ... รักและเหมาะสม ... เพราะคำเดียวๆ ไม่มากพอจะทำให้ความสัมพันธ์นั้นยืนยาว ...”
“... วันนี้เรารักเขาแต่เขาไม่รักเรา ไม่ผิดที่จะรอและก็ไม่ผิดที่จะก้าวต่อไปเช่นกัน จริงๆ แล้วพี่ไม่เชื่อเรื่องพรหมลิขิตแต่ชีวิตเราก็แปลก บางคนถ้าคู่กันแล้วต่อให้ต้องแยกจากกันกี่ครั้ง สุดท้ายโลกก็จะเหวี่ยงเราให้กลับมาคู่กันอยู่ดี ...” นัยน์ตาของผมเป็นประกายเมื่อคิดว่ายังมีโอกาสที่เราจะกลับมาใกล้กันอีกครั้ง ถ้าไม่ใช้เพราะประโยคถัดไปของพี่เจย์
“... แต่นั้นก็เป็นเรื่องของอนาคตที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ... My boy, past is a memory, future is unknow but today is a gift ...”
"... and remember, time change, people change but it does not mean that the love once share was not real. It simply means that when people grow, they grow apart"
พี่เจย์ไม่ได้ถามอะไรมากเรื่องที่ผมอกหักและเราก็ไม่พูดถึงเหตุการณ์วันนั้นอีกเลย วันถัดๆ ไปพี่เจย์พาผมไปเที่ยว Oxford และ Cambridge แล้วใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดในวันสุดท้ายของ trip ด้วยการตะลอนพาผม shopping จนกระเป๋าแหก จากที่คิดว่าจะไม่ซื้อแต่มาถึงที่แล้วจะไม่มีอะไรติดไม้ติดมือกลับไปคงไม่ได้ มื้อเย็นพี่เจย์อาสาเลี้ยงส่งผม พรุ่งนี้ผมออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืด
“พี่เจย์ ผมตกลงเรียนต่อกับพี่นะครับ” ผมพูดขึ้นมาในขณะที่เราเดินอยู่ริมถนน พี่เจย์บอกว่าคืนสุดท้ายต้องเดินเล่นเก็บบรรยากาศ สิ่งที่ผมชอบที่สุดเวลามาเที่ยวเมืองหนาวคือการเดินเล่นในเมืองแล้วปล่อยให้อากาศเย็นๆ พัดเข้าหน้า
“นึกว่าจะไม่พูดซะแล้ว” พี่เจย์อมยิ้ม
“พูดซิครับ Trip นี้ผมมาเพื่อคุยกับพี่เรื่องเรียนต่อเลยนะ” ผมยิ้มด้วยสีหน้าทะเล้นๆ
“ฮึๆ พี่เชื่อครับ...”
“... เหลืออีกไม่เท่าไหร่ก็จะจบปี 6 แล้วนิเนอะ”
“ใช่ครับ” กลับไปผมเหลือลงคลินิกอีก station สุดท้าย นำเสนอ final project ก็ถือว่าเป็นอันจบปีการศึกษาสุดท้ายอย่างเป็นทางการ จากนั้นก็บายศรี บายเนียร์ และ trip รุ่น
“บายเนียร์ปีนี้ theme อะไรครับ”
“theme เทพนิยายครับ”
“คิดไว้ยังว่าจะแต่งอะไร”
“ยังเลยครับ”
“เจ้าชายซิ มันต้องเหมาะกับมิลค์มากๆ”
“เอาแบบนั้นเลยเหรอครับ” พี่เจย์แค่ตอบรับในลำคอ
เราเดินเก็บบรรยากาศกันต่อ พี่เจย์เล่าให้ผมฟังว่าในบรรดาเมืองดังๆ ของยุโรปพี่เจย์ชอบที่นี่มากที่สุด เป็นเมืองที่สวย มีเรื่องราว และมีเสน่ห์เป็นของตัวเอง
“ช่วงที่มิลค์เรียนต่อมันจะต้องเป็น 2 ปีที่สนุกมากๆ”
“ผมก็คิดแบบนั้นครับ 555”
“มิลค์ เคยเข้าร้านประเภทนั้นไหม” ผมมองตามนิ้วชี้ของพี่เจย์ข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งของถนน ป้ายไปกระพริบสีขาวชมพูทำเอาผมพูดไม่ออก ... ‘Adult shop’
“ไม่เคยครับ”
“ไม่น่าเชื่อ ... อยากลองเข้าไหม ไหนๆ ก็ผ่านแล้ว”
“ลองก็ได้ครับ” ก่อนหน้านี้เคยเดินผ่านร้านแบบนี้แต่ไม่กล้าเข้า วันนี้มีคนมาด้วยเลยรู้สึกกล้าขึ้นมา อย่างน้อยจะได้แชร์ความอายกันไปคนละครึ่ง
“ดูทำหน้าเข้า เหมือนร้านขายของทั่วไปนั้นแหละ ไม่งั้นจะตั้งอยู่ริมถนนอย่างนี้ได้ไง” เออใช่ ที่พี่เจย์พูดก็ถูก
เสียงกระดิ่งประตูหน้าร้านดังขึ้นเมื่อพี่เจย์ผลักประตูเข้าไป พนักงานที่เคาว์เตอร์ด้านหน้าค้อมหัวเป็นเชิงว่ายินดีต้อนรับแล้วหันกลับไปสนใจงานของตัวเองต่อ ด้านในให้ความรู้สึกเหมือนร้านเช่าวีดีโอสมัยก่อน กล่องใส่ CD วางเรียงอยู่บนชั้น บนกำแพงมี poster วาบหวิวแปะอยู่ ตัวอย่างหนังที่ฉายในหน้าจอทีวีทำให้ผมรู้สึกหน้าร้อนฉ่าจนต้องหลุบสายตาลงต่ำ
“เขาแยกเป็น zone นะครับ มีชั้นบนอีก ...”
“... แยกกันเดินเนอะ ถ้าพี่อยู่ด้วยน้องคงอึดอัด ...”
“... ถ้าอยากจะซื้อๆ ได้นะครับ ไม่ต้องเกรงใจพี่ สัญญาว่าจะไม่แซว แต่บอกก่อนว่าของพวกนี้ที่เมืองไทยผิดกฎหมายนะ ถ้าจะหิ้วกลับ ต้องรับผิดชอบตัวเองนะครับ”
“ครับ”
แล้วพี่เจย์ก็เดินหายไปอีกทาง ผมกวาดตามองเร็วๆ พบว่าชั้นนี้ไม่ใช้รสนิยมของผมเลยเดินขึ้นไปชั้นบน ชั้น 2 เป็นอย่างที่คิด ชาย-ชายอยู่ด้านหน้า ถัดไปเป็นหญิง-หญิง และด้านในสุดคือ erotic ผมกวาดตามดูหน้าปก CD ที่ตรงกับรสนิยมของตัวเอง แม้จะทำให้รู้สึกวูปวาบใจเต้นแรงแต่ผมไม่คิดจะซื้อ ของแบบนี้มีให้ดูใน internet เยอะแยะ
ผมเดินขึ้นไปยังชั้นที่ 3 และพบว่าเป็นชั้นที่เปิดโลกของผมพอสมควร ... sex toy หน้าตาแปลกๆ จำนวนมหาศาลตั้งโชว์อยู่ทุกซอกทุกมุม ผมกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ บางอย่างหน้าตาแปลกประหลาดจนผมไม่รู้ว่าเอาไปใช้ทำอะไร
“Would you need some help?” เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น พอหันไปผมก็รู้สึกกลัวขึ้นมานิดๆ เขาแต่งตัวพังค์ๆ หน่อย เจาะคิ้ว เจาะปาก มีรอยสักสีดำที่แขนทั้ง 2 ข้าง พอเห็นป้ายชื่อถึงได้รู้ว่าคือพนักงาน
“No, no. Thank you but no” เพราะตกใจผสมกับความอายเลยทำให้ผมพูดติดๆ ขัดๆ
“Don’ t be shine. If you want, I can give you some tricks …”
“… Using these things carelessly can hurt you” น้ำเสียง สีหน้า คำพูดที่เขาเลือกใช้ทำให้ผมรู้สึกไม่อึดอัด
“I’ ve never use these things”
“It's all about the size. Not too big, not too small. A bigger one just won't do …”
“… I think this one won’ t hurt and remember you always need a lubricant”
“Thank you” ผมหลุบสายตาลงต่ำเมื่อรับของสิ่งนั้นมาถือในมือ
“Do you want anything else?”
“I don’ t know. Any suggestions?”
“Actually not. Let’ s use the one you get first. If you like it, you can buy it online. Not everyone will like it, but don’ t worry, we have a Q&A chat box if you have any questions” ผมพยักหน้ารับเป็นอันว่าตกลงตามนั้น ... ประสบการณ์การซื้อ sex toy ชิ้นแรกในชีวิตไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด
ผมเปิดประตูร้านออกมาก็เจบพี่เจย์อยู่ด้านนอก แม้จะเห็นว่าผมมีถุงสีดำในมือแต่พี่เจย์ก็ไม่แม้แต่จะพยายามมอง พี่เจย์บอกว่าจะพาผมไปกินไอกรีมชื่อดังที่ต้องเดินไปอีกประมาณ 10 นาที ผมตอบตกลงและปิดท้าย trip ด้วยไอกรีมรส rum resin 2 ลูกโตๆ
'ไม่เคยหันมองดูตัว มัวเสียดายวันเวลา ฝันว่าอาจจะคืนมาเหมือนเคย
เพิ่งจะรู้ว่ารักแท้ มันไม่ไกลไม่ห่างเลย แค่เพียงกลับมาสนใจตัวเอง
ครึ่งหนึ่งของชีวิต ที่เราทำหายไป ต่อให้นอนเสียดายไปจนตาย มันก็เท่านั้น
เหลืออีกครึ่งชีวิต ที่มันยังต้องการ ความรักตัวเองกลับมา ชีวิตมันมีคุณค่ากว่านี้'
ครึ่งหนึ่งของชีวิต, เสาวลักษณ์ ลีละบุตร, 2005
----------
#Caramel macchiato #Apart #Mentor
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน