กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: 1 [2] 3 4 5 6 ... 10
11
Boy's love story / Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 30 : Mentor
« กระทู้ล่าสุด โดย Milky_Milky_Way เมื่อ 03-11-2025 22:49:27  »
เจ้าหมายักษ์เห่าเสียงดังทันทีที่แขกไม่คุ้นหน้าเดินเข้ามาในบ้าน แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าหมาสีทองก็ยังคงนิสัยตามสายพันธุ์คือเป็นมิตรกับทุกคนในโลก มันเดินกระดิกหางเข้ามาหา ใบหน้ายิ้มแย้มราวกับเป็นหมาที่มีความสุขมากที่สุดในโลก ใช้เวลาไม่นานเรา 2 คนก็สนิทสนมกันราวกับรู้จักกันมาตั้งแต่เกิด


----------


#หมายักษ์ #เดินเล่น #Mentor
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
12
นิยายที่โพสจนจบแล้ว / Re: man and child ซีรี่ส์*Love Just Ain't Enough(แนวM-Preg) END
« กระทู้ล่าสุด โดย nunda เมื่อ 03-11-2025 20:59:21  »
ขอบคุณค่ะ ^^
13
ทิศทางใหม่ของวงการ clothes: เมื่อความสบายมาพร้อมกับความหรูหราแบบมีโครงสร้าง
ปี 2026 กำลังจะนำเสนอวิวัฒนาการครั้งใหญ่ของ แฟชั่นเสื้อผ้าล่าสุด ที่ผสมผสานแนวคิดที่ตรงกันข้ามอย่างลงตัว นั่นคือ "ความสบายแบบคล่องตัว" และ "ความหรูหราที่มีรายละเอียด" หากคุณเป็นสายแฟชั่นที่ต้องการอัปเดตตู้เสื้อผ้า หรือกำลังมองหาแรงบันดาลใจในการแต่งตัว

นี่คือ 5 เทรนด์สำคัญที่คุณไม่ควรพลาด
1. สีสันแห่งอนาคต:Transformative Teal และ Earth Tone ที่อบอุ่น
แฟชั่นเสื้อผ้าล่าสุด ในปี 2026 ถูกขับเคลื่อนด้วยสองโทนสีหลักที่แตกต่างแต่ลงตัว:
Transformative Teal (ฟ้าอมเขียว): สีแห่งปีที่คาดการณ์โดยผู้เชี่ยวชาญ เป็นสีน้ำเงินปนเขียวน้ำทะเลที่ให้ความรู้สึกของอนาคตและการรีเซ็ตใหม่ เหมาะสำหรับเสื้อผ้าชิ้นหลักที่ต้องการความโดดเด่น เช่น เดรส หรือชุดสูท
Reddish Browns และ Earthy Elegance: โทนสีน้ำตาลแดง และสีเอิร์ธโทนที่เน้นความอบอุ่นสไตล์ Minimal และ Quiet Luxury สีเหล่านี้สร้างความรู้สึกหรูหราแบบมีชั้นเชิง เหมาะกับการลงทุนในเสื้อผ้าที่สวมใส่ได้นาน



2. ซิลูเอตที่เน้นความไหลลื่น (Flowing & Wrap Silhouettes)
Slip Dress: ชุดกระโปรงสลิปเดรสที่ทำจากผ้าซาตินหรือผ้าไหม ยังคงเป็นไอเท็มที่สะท้อนความเรียบง่ายแต่หรูหรา ที่สามารถใส่ได้ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน
Wrap Silhouette: การออกแบบเสื้อผ้าที่เน้นการพันหรือห่อหุ้มรอบตัว จะช่วยสร้างมิติและทำให้รูปร่างดูเพรียวบาง โดยเฉพาะในชุดเดรสหรือกระโปรงที่มีรอยผ่าเล็กน้อย

3. Preppy Style แนวขบถ (The New Preppy)
สไตล์ Preppy หรือ Ivy League ที่เคยดูเนี้ยบ และเป็นทางการถูกนำมาตีความใหม่ให้มีความผ่อนคลายและขบถมากขึ้น แฟชั่นเสื้อผ้าล่าสุด ในลุคนี้เน้นความสบายเป็นหลัก:
เสื้อโปโล/เบลเซอร์โอเวอร์ไซส์: เสื้อโปโลทรงหลวม และเบลเซอร์ที่มีขนาดใหญ่กว่าตัว (Oversized) จะถูกนำมาจับคู่กับกางเกงแสลคทรงตรงหรือทรงหลวม
Cardigan as a Statement: เสื้อคาร์ดิแกนจะไม่ใช่แค่เสื้อคลุม แต่จะถูกสไตลิ่งให้เป็นชิ้นหลักที่มีดีไซน์น่าสนใจ หรือมีการเล่นกับวัสดุและลายถักที่โดดเด่น

4. ลายทางกลับมาทวงบัลลังก์ (Return of the Stripes)
ลายทาง (Stripes) เป็นลายพิมพ์คลาสสิกที่กลับมาอีกครั้งในฤดูกาลนี้ แต่ไม่ใช่ในรูปแบบเดิมๆ ดีไซเนอร์นำเสนอclothing store แฟชั่นเสื้อผ้าล่าสุด ด้วยลายทางที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์:
การเล่นทิศทาง: ผสมผสานลายทางแนวตั้งและแนวนอนเข้าด้วยกันในชุดเดียว
การผสมสีที่จัดจ้าน: แมตช์ลายทางสีสดใสแบบไม่เกรงใจใคร เพื่อสร้างลุคที่ดูขบถแต่มีพลัง

5. Maximalism ที่ผ่านการไตร่ตรอง (Considered Maximalism)
ลืมสไตล์ Quiet Luxury ไปชั่วคราว เพราะความอลังการกำลังกลับมา แต่มาในรูปแบบที่มีความหมายและผ่านการคิดอย่างละเอียด ไม่ใช่ความฟุ่มเฟือยที่ไร้ทิศทาง
ดีเทลประณีต: แฟชั่นเสื้อผ้าล่าสุด จะเน้นที่งานปัก ลูกไม้ซีทรู หรือระบายฟูฟ่อง ที่มาพร้อมกับโครงสร้างเสื้อผ้าที่มีความซับซ้อน หรือเสื้อที่มีการตัดเย็บแบบ Tailoring ที่เนี้ยบคม
การผสมผสานวัสดุ: การใช้ผ้าที่มีความแตกต่างกันสูงในลุคเดียว เพื่อสร้างความน่าสนใจและมิติที่ซับซ้อน

15
Boy's love story / Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 30 : Mentor
« กระทู้ล่าสุด โดย Milky_Milky_Way เมื่อ 02-11-2025 12:33:07  »
ตอนที่ 30 : Mentor (Part2/2)


“มิลค์!!! …”

“ … มิลค์!!! …”

“ … มิลค์!!! …”

“… มิลค์!!!”

“ครับ!!!” ผมหลุดออกมาจากพวัง พอหันกลับไปตามเสียงเรียกถึงได้เห็นว่าพี่เจย์ยืนอยู่ไกลออกไปด้วยสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีด

“เดินกลับมาหาพี่ ...” พี่เจย์ยื่นมือออกมาตรงหน้า ผมไม่เข้าใจว่าพี่เจย์ต้องการจะสื่ออะไร แต่พอเริ่มก้าวเดินผมถึงเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองยืนอยู่กลางลำธารหลังบ้านในระดับที่น้ำลึกถึงช่วงเอว ความเย็นของน้ำในลำธารทำให้ผมสติแตก ผมยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเพราะจำได้ว่าเมื่อนาทีก่อนยังนั่งฟังเพลงดูวิวอยู่ริมลำธารอยู่เลย

“... มิลค์!!! มองมาที่พี่ เดินตรงมาหาพี่” ผมพยายามเพ่งสมาธิกับเสียงเรียกของพี่เจย์ 2 เท้าย่ำผ่านกรวดหินบนพื้นลำธารอย่างทุลักทุเล พอคว้ามือผมได้ พี่เจย์ก็ดึงสุดแรงเพื่อพาผมกลับขึ้นมาบนตลิ่ง แขนทั้ง 2 ข้างรั้งตัวผมไว้แล้วพาออกห่างลำธารให้ไกลที่สุด



“พี่ ผมขอโทษ” พี่เจย์เดินกลับมาพร้อมกับถ้วยชา พอฝ่ามือสัมผัสกับความอุ่นของถ้วยเซรามิค สิ่งแรกที่ผมคิดออกคือคำขอโทษ

“คิดอะไรอยู่ พี่ตกใจแทบแย่ พอเดินออกมาแล้วเจอน้องยืนอยู่กลางลำธาร” น้ำเสียงสุขุมนุ่มลึกของพี่เจย์ช่วยให้ผมไม่สติแตกไปมากกว่านี้

“ผมไม่ได้คิดอะไรเลย”

“แน่ใจนะว่าไม่ได้คิดจะทำอะไรบ้าๆ” พี่เจย์ทำสีหน้าชั่งใจกับคำตอบของผม

“แน่ใจครับ ผมนั่งฟังเพลงอยู่ในสวน ...” สวนหลังบ้าน host สวยมาก มีทั้งต้นไม้ใหญ่และพุ่มไม้เล็กๆ อากาศกำลังเย็นสบาย ลำธารสีฟ้าใส ใบไม้พลิ้วไหวไปตามสายลมพัดเอื่อยๆ ... แล้วเพลงๆ หนึ่งก็ดังขึ้น

“... ผมขอโทษครับ” ความเศร้ากำลังเอ่อล้น ผมรวบรวมสติครั้งสุดท้าย สูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอดแล้วกลืนทุกอารมณ์อ่อนไหวกลับลงไป

เพลงที่ติดอยู่ในจิตใต้สำนึกของผม บทเพลงที่ดังคลอในจังหวะที่ผมสารภาพความจริงกับจี แล้วหลังจากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย

“ถ้าอยากจะร้อง ร้องได้นะครับ พี่เข้าใจ” ฝ่ามือของคนอายุมากกว่าวางลงบนศีรษะก่อนจะลูปไปมาเป็นเชิงปลอบโยน

“ไม่เป็นไรครับ ผมไหว” พี่เจย์ก้มหน้าลงสบตากับลูกศิษย์ ดวงตาที่เคยสดใสเป็นประกายราวกับดวงดาวระยิบระยับบัดนี้เหลือเพียงความว่างเปล่า ยิ้มที่ไม่ได้มาจากหัวใจต่อให้พยายามปั้นแต่งแค่ไหนก็ดูฝืดธรรมชาติอยู่ดี

ผมรู้สึกโกรธตัวเองที่อ่อนแอมากขนาดนี้ ผมหวังไว้สุดหัวใจว่า trip นี้จะช่วย heal ความอ่อนล้าในใจของผมได้บ้าง แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าระยะทางไม่ได้ช่วยให้ความเจ็บปวดน้อยลงเลย

“ผมขอโทษ”

“อกหักมาเหรอ”

“ครับ” มาถึงขนาดนี้แล้วต่อให้ปฏิเสธก็คงไม่มีประโยชน์อะไร

“พี่นึกอยู่แล้วเชียว”

“เหรอครับ”

“พี่ก็สงสัยว่าทำไมอยู่ๆ ถึงอยากจะมาหา ที่อ้างว่าจะมาคุยเรื่องเรียนต่อ พี่ไม่ซื้อนะครับ ใครจะทำแบบนั้น เรื่องแค่นี้เอง inbox มาคุยก็ได้ไหม ... ช่วงนี้เครียดเหรอ”

“เครียดครับ ก่อนหน้านี้ผมนอนไม่ค่อยหลับ มาหลับเอาดีๆ ช่วงที่มาเที่ยว น่าจะเพราะเหนื่อย”

“พี่ก็ว่าอยู่ว่าทำไมเจอกันครั้งนี้น้องไม่ shine ออกมาเหมือนเดิม”

“เหรอครับ”

“ครับ...” พี่เจย์มองหน้าผมแล้วอมยิ้ม

“... แต่ขนาดไม่ shine ก็ยังมีคนมาจีบไม่ใช้เหรอ” พูดจบพี่เจย์ก็ยื่น smart phone ของตัวเองมาให้ผม

หน้าจอเปิดค้างไว้ที่ application Facebook ของผมพอเลื่อนลงมาถึงได้เห็นว่าโพสต์ล่าสุดที่ปรากฏขึ้นบน feed คือโพสต์ที่ผมถูก tag โดยเพื่อนฝรั่งตาสีฟ้า มันเป็นรูปที่ผมถูกถ่ายจากด้านหลังโดยมี back ground เป็นริมถนนกลางเมืองที่มีกลิ่นอายของความเป็นประเทศอังกฤษเต็มเปี่ยม พร้อม caption ‘Such a beautiful boy’ ผ่านมาประมาณ 2 ชั่วโมง คนกดไลค์เป็นร้อย ทุกคนมากันครบโดยมิได้นัดหมายไม่ว่าจะเป็น แก้ว ต่อ ต้น ไอซ์ อาร์ม โจ หรือแม้แต่คนที่ยืนทำหน้าหมั่นใส้ผมเต็มแก่อยู่ตรงหน้า ผมยิ้มแห้งๆ ให้พี่เจย์ก่อนจะส่งมือถือคืน พอหยิบมือถือตัวเองขึ้นมาก็พบว่ามีการแจ้งเตือน DM จากเพื่อน

Kaew ;

ไหนเล่ามา

ฉันไปแอบส่อง profile เขามาแล้ว

หล่อ หล่อมาก หล่อวัวตายหล่อควายล้ม



Ice ;

อีแรด

บอกให้ไปพักผ่อน ไม่ใช้ให้ไปอ่อยผู้ชาย



“ไม่ได้มีอะไรครับ แค่กินกาแฟแล้วก็แยกย้าย”

“พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อย ...” ปากบอกว่าไม่ได้ว่าแต่สายตาพี่นี้โคตรจะล้อเลียนผมเลย

“... จริงๆ แล้วพี่ไม่ควรจะพูดแบบนี้นะ เดียวจะหาว่าเป็นครูแล้วแนะนำเรื่องไม่เหมาะสมให้กับลูกศิษย์ ...”

“... แต่ในฐานะที่เคยผ่านเรื่องแบบนี้มาก่อน ...”

“... ผู้ชายนะ มีมากมายราวผักปลา จะหายไปจากชีวิตเราซักคน เดียวก็หาคนใหม่มาแทนได้” ผมมองพี่เจย์ตาปลิบๆ short feel เวอร์เพราะจากสีหน้า สายตา น้ำเสียง ท่าทาง ชัดเจนเลยว่าพี่เจย์เป็นเหมือนผม

“ผมรักเขา ทั้งรักทั้งผูกพัน เขาเป็นเหมือนอีกครึ่งหนึ่งของผม”

“โถ้ววววว เด็กน้อย ... พี่เข้าใจว่าอารมณ์รักใคร่ของวัยรุ่นมันรุนแรง แต่ถ้าพี่พูดแล้วอย่าโกรธนะ ...” ผมพยักหน้า

“... พี่ก็เคยรู้สึก เรื่องครึ่งหนึ่งของชีวิตอะไรเนี่ย แต่พอเราโตขึ้น ผ่านอะไรมาเยอะขึ้น ประสบการณ์จะสอนเราครับว่ามันไม่มีเรื่องแบบนั้นบนโลกใบนี้หรอกครับ...”

“... ยิ่งโตก็ยิ่งต้องอยู่คนเดียว เพื่อนฝูงที่เคยล้อมหน้าล้อมหลังต่างแยกย้ายกันไปมีชีวิตเป็นของตัวเอง คำสัญญาในวัยเยาว์จะค่อยๆ เลือนลางไปตามกาลเวลา ท้ายที่สุดก็มีแค่เราที่ต้องอยู่กับตัวเอง ...” ผมเห็นด้วยกับสิ่งที่พี่เจย์พูด เมื่อก่อนผมกับพวกเพื่อนๆ เจอกันแทบทุกวันแต่ตอนนี้เดือนสองเดือนจะได้เจอกันซักครั้ง ส่วนเรื่องของคำสัญญา ผมเข้าใจว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปตามกาลเวลา

“... วันหนึ่งน้องจะต้องโชคดีได้ลงเอยกับคนที่รักและเหมาะสม ... รักและเหมาะสม ... เพราะคำเดียวๆ ไม่มากพอจะทำให้ความสัมพันธ์นั้นยืนยาว ...”

“... วันนี้เรารักเขาแต่เขาไม่รักเรา ไม่ผิดที่จะรอและก็ไม่ผิดที่จะก้าวต่อไปเช่นกัน จริงๆ แล้วพี่ไม่เชื่อเรื่องพรหมลิขิตแต่ชีวิตเราก็แปลก บางคนถ้าคู่กันแล้วต่อให้ต้องแยกจากกันกี่ครั้ง สุดท้ายโลกก็จะเหวี่ยงเราให้กลับมาคู่กันอยู่ดี ...” นัยน์ตาของผมเป็นประกายเมื่อคิดว่ายังมีโอกาสที่เราจะกลับมาใกล้กันอีกครั้ง ถ้าไม่ใช้เพราะประโยคถัดไปของพี่เจย์

“... แต่นั้นก็เป็นเรื่องของอนาคตที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ... My boy, past is a memory, future is unknow but today is a gift ...”

"... and remember, time change, people change but it does not mean that the love once share was not real. It simply means that when people grow, they grow apart"



พี่เจย์ไม่ได้ถามอะไรมากเรื่องที่ผมอกหักและเราก็ไม่พูดถึงเหตุการณ์วันนั้นอีกเลย วันถัดๆ ไปพี่เจย์พาผมไปเที่ยว Oxford และ Cambridge แล้วใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดในวันสุดท้ายของ trip ด้วยการตะลอนพาผม shopping จนกระเป๋าแหก จากที่คิดว่าจะไม่ซื้อแต่มาถึงที่แล้วจะไม่มีอะไรติดไม้ติดมือกลับไปคงไม่ได้ มื้อเย็นพี่เจย์อาสาเลี้ยงส่งผม พรุ่งนี้ผมออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืด

“พี่เจย์ ผมตกลงเรียนต่อกับพี่นะครับ” ผมพูดขึ้นมาในขณะที่เราเดินอยู่ริมถนน พี่เจย์บอกว่าคืนสุดท้ายต้องเดินเล่นเก็บบรรยากาศ สิ่งที่ผมชอบที่สุดเวลามาเที่ยวเมืองหนาวคือการเดินเล่นในเมืองแล้วปล่อยให้อากาศเย็นๆ พัดเข้าหน้า

“นึกว่าจะไม่พูดซะแล้ว” พี่เจย์อมยิ้ม

“พูดซิครับ Trip นี้ผมมาเพื่อคุยกับพี่เรื่องเรียนต่อเลยนะ” ผมยิ้มด้วยสีหน้าทะเล้นๆ

“ฮึๆ พี่เชื่อครับ...”

“... เหลืออีกไม่เท่าไหร่ก็จะจบปี 6 แล้วนิเนอะ”

“ใช่ครับ” กลับไปผมเหลือลงคลินิกอีก station สุดท้าย นำเสนอ final project ก็ถือว่าเป็นอันจบปีการศึกษาสุดท้ายอย่างเป็นทางการ จากนั้นก็บายศรี บายเนียร์ และ trip รุ่น

“บายเนียร์ปีนี้ theme อะไรครับ”

“theme เทพนิยายครับ”

“คิดไว้ยังว่าจะแต่งอะไร”

“ยังเลยครับ”

“เจ้าชายซิ มันต้องเหมาะกับมิลค์มากๆ”

“เอาแบบนั้นเลยเหรอครับ” พี่เจย์แค่ตอบรับในลำคอ

เราเดินเก็บบรรยากาศกันต่อ พี่เจย์เล่าให้ผมฟังว่าในบรรดาเมืองดังๆ ของยุโรปพี่เจย์ชอบที่นี่มากที่สุด เป็นเมืองที่สวย มีเรื่องราว และมีเสน่ห์เป็นของตัวเอง

“ช่วงที่มิลค์เรียนต่อมันจะต้องเป็น 2 ปีที่สนุกมากๆ”

“ผมก็คิดแบบนั้นครับ 555”

“มิลค์ เคยเข้าร้านประเภทนั้นไหม” ผมมองตามนิ้วชี้ของพี่เจย์ข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งของถนน ป้ายไปกระพริบสีขาวชมพูทำเอาผมพูดไม่ออก ... ‘Adult shop’

“ไม่เคยครับ”

“ไม่น่าเชื่อ ... อยากลองเข้าไหม ไหนๆ ก็ผ่านแล้ว”

“ลองก็ได้ครับ” ก่อนหน้านี้เคยเดินผ่านร้านแบบนี้แต่ไม่กล้าเข้า วันนี้มีคนมาด้วยเลยรู้สึกกล้าขึ้นมา อย่างน้อยจะได้แชร์ความอายกันไปคนละครึ่ง

“ดูทำหน้าเข้า เหมือนร้านขายของทั่วไปนั้นแหละ ไม่งั้นจะตั้งอยู่ริมถนนอย่างนี้ได้ไง” เออใช่ ที่พี่เจย์พูดก็ถูก

เสียงกระดิ่งประตูหน้าร้านดังขึ้นเมื่อพี่เจย์ผลักประตูเข้าไป พนักงานที่เคาว์เตอร์ด้านหน้าค้อมหัวเป็นเชิงว่ายินดีต้อนรับแล้วหันกลับไปสนใจงานของตัวเองต่อ ด้านในให้ความรู้สึกเหมือนร้านเช่าวีดีโอสมัยก่อน กล่องใส่ CD วางเรียงอยู่บนชั้น บนกำแพงมี poster วาบหวิวแปะอยู่ ตัวอย่างหนังที่ฉายในหน้าจอทีวีทำให้ผมรู้สึกหน้าร้อนฉ่าจนต้องหลุบสายตาลงต่ำ

“เขาแยกเป็น zone นะครับ มีชั้นบนอีก ...”

“... แยกกันเดินเนอะ ถ้าพี่อยู่ด้วยน้องคงอึดอัด ...”

“... ถ้าอยากจะซื้อๆ ได้นะครับ ไม่ต้องเกรงใจพี่ สัญญาว่าจะไม่แซว แต่บอกก่อนว่าของพวกนี้ที่เมืองไทยผิดกฎหมายนะ ถ้าจะหิ้วกลับ ต้องรับผิดชอบตัวเองนะครับ”

“ครับ”

แล้วพี่เจย์ก็เดินหายไปอีกทาง ผมกวาดตามองเร็วๆ พบว่าชั้นนี้ไม่ใช้รสนิยมของผมเลยเดินขึ้นไปชั้นบน ชั้น 2 เป็นอย่างที่คิด ชาย-ชายอยู่ด้านหน้า ถัดไปเป็นหญิง-หญิง และด้านในสุดคือ erotic ผมกวาดตามดูหน้าปก CD ที่ตรงกับรสนิยมของตัวเอง แม้จะทำให้รู้สึกวูปวาบใจเต้นแรงแต่ผมไม่คิดจะซื้อ ของแบบนี้มีให้ดูใน internet เยอะแยะ

ผมเดินขึ้นไปยังชั้นที่ 3 และพบว่าเป็นชั้นที่เปิดโลกของผมพอสมควร ... sex toy หน้าตาแปลกๆ จำนวนมหาศาลตั้งโชว์อยู่ทุกซอกทุกมุม ผมกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ บางอย่างหน้าตาแปลกประหลาดจนผมไม่รู้ว่าเอาไปใช้ทำอะไร

“Would you need some help?” เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น พอหันไปผมก็รู้สึกกลัวขึ้นมานิดๆ เขาแต่งตัวพังค์ๆ หน่อย เจาะคิ้ว เจาะปาก มีรอยสักสีดำที่แขนทั้ง 2 ข้าง พอเห็นป้ายชื่อถึงได้รู้ว่าคือพนักงาน

“No, no. Thank you but no” เพราะตกใจผสมกับความอายเลยทำให้ผมพูดติดๆ ขัดๆ

“Don’ t be shine. If you want, I can give you some tricks …”

“… Using these things carelessly can hurt you” น้ำเสียง สีหน้า คำพูดที่เขาเลือกใช้ทำให้ผมรู้สึกไม่อึดอัด

“I’ ve never use these things”

“It's all about the size. Not too big, not too small. A bigger one just won't do …”

“… I think this one won’ t hurt and remember you always need a lubricant”

“Thank you” ผมหลุบสายตาลงต่ำเมื่อรับของสิ่งนั้นมาถือในมือ

“Do you want anything else?”

“I don’ t know. Any suggestions?”

“Actually not. Let’ s use the one you get first. If you like it, you can buy it online. Not everyone will like it, but don’ t worry, we have a Q&A chat box if you have any questions” ผมพยักหน้ารับเป็นอันว่าตกลงตามนั้น ... ประสบการณ์การซื้อ sex toy ชิ้นแรกในชีวิตไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด

ผมเปิดประตูร้านออกมาก็เจบพี่เจย์อยู่ด้านนอก แม้จะเห็นว่าผมมีถุงสีดำในมือแต่พี่เจย์ก็ไม่แม้แต่จะพยายามมอง พี่เจย์บอกว่าจะพาผมไปกินไอกรีมชื่อดังที่ต้องเดินไปอีกประมาณ 10 นาที ผมตอบตกลงและปิดท้าย trip ด้วยไอกรีมรส rum resin 2 ลูกโตๆ



'ไม่เคยหันมองดูตัว มัวเสียดายวันเวลา ฝันว่าอาจจะคืนมาเหมือนเคย

เพิ่งจะรู้ว่ารักแท้ มันไม่ไกลไม่ห่างเลย แค่เพียงกลับมาสนใจตัวเอง

ครึ่งหนึ่งของชีวิต ที่เราทำหายไป ต่อให้นอนเสียดายไปจนตาย มันก็เท่านั้น

เหลืออีกครึ่งชีวิต ที่มันยังต้องการ ความรักตัวเองกลับมา ชีวิตมันมีคุณค่ากว่านี้'


ครึ่งหนึ่งของชีวิต, เสาวลักษณ์ ลีละบุตร, 2005


----------


#Caramel macchiato #Apart #Mentor
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

16
Boy's love story / Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 30 : Mentor
« กระทู้ล่าสุด โดย Milky_Milky_Way เมื่อ 02-11-2025 12:31:34  »
ตอนที่ 30 : Mentor (Part 1/2)


ปากบอกไม่อยากห่างแต่เอาเข้าจริงผมกลับทำใจไม่ได้ หลังจากวันนั้นผมก็หลบหน้าจีมาตลอด แม้ว่าบางครั้งษาจะไม่ได้มาด้วยแต่ผมก็ยังไม่พร้อมจะมองหน้าจี ไอซ์หอบเสื้อผ้ามานอนกับผม 10 กว่าวันจนผมเป็นฝ่ายออกปากเองว่าสามารถอยู่คนเดียวได้แล้ว แม้มันเป็นห่วงแต่ก็ยอมรับในเหตุผลที่ว่าสุดท้ายผมก็ต้องอยู่ให้ได้ด้วยตัวคนเดียว

2 มือลากการเป๋าเดินทางใบใหญ่ รอบข้างมีแต่ช่วงต่างชาติหัวสีทองเดินกันขวักไขว แม้จะอยู่ในสนามบินแต่อุณภูมิที่ต่ำกว่าสิบกว่าองศาทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเตรียมเสื้อกันหนาวมาไม่มากพอ หัวใจเต้นตึกๆ ตื่นเต้นเพราะไม่ได้เจอหน้าพี่เจย์มานานกว่า 4 เดือน พี่เจย์ชวนผมตั้งแต่กลางเทอมที่แล้ว ทีแรกผมไม่ได้คิดว่าจะมา แต่เพราะความเศร้าสุดท้ายผมเลยเลือกใช้ช่วง self-study 2 สัปดาห์ หนีมาให้ไกลสุดขอบโลก

“พี่เจย์สวัสดีครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้อนาคต advisor ปริญญาโท

“หวัดดีครับมิลค์ พี่ช่วยถือ ...” พี่เจย์คว้าเอากระเป๋าเดินทางใบเล็กไปถือ

“... เราเรียก taxi ไปดีกว่า ที่จริงมันมี tube วิ่งไปถึงนะ แต่พี่ว่าของเยอะ taxi สะดวกกว่า”

“ได้เลยครับ” ผมยิ้มแล้วลากกระเป๋าเดินตามหลังพี่เจย์

“มิลค์ไม่ลืมเอาของมาให้ host ใช่ไหมครับ” พี่เจย์ถามขึ้นเมื่อเรา 2 คนนั่งอยู่ในรถ

“ไม่ลืมครับ”

“ดีมาก ... อย่าลืมนะ ถ้าเขาถามให้บอกเขาว่าเป็นญาติพี่” พี่เจย์พูดพร้อมกับขยิบตาข้างขวา สิ่งหนึ่งที่ผมชื่นชอบในตัวพี่เจย์คือภาษากายของพี่เขา สีหน้า ท่าทาง สายตา ที่ช่วยเพิ่มอรรถรสให้กับบทสนทนาอีกเท่าตัว

ครอบครัวที่พี่เจย์มาพักอาศัยอยู่ด้วยเป็น host ของพี่เขาตั้งแต่สมัยเรียนต่อ สามีภรรยาคู่นี้เอ็นดูพี่เจย์มาตั้งแต่เด็ก แม้เรียบจบแล้วแต่เวลาพี่เจย์มาทำงานวิจัยหรือมาเที่ยวเขาก็ยินดีต้อนรับเสมอโดยที่ไม่เคยคิดค่าที่พักเลยซักครั้ง

“ไม่ลืมแน่นอนครับ แต่มันจะดีใช่ไหมครับ”

“ดีซิ ถ้าเขาไม่รู้อะนะว่าแท้จริงแล้วญาติพี่เป็นลูกชายมหาเศรษฐีแสนล้าน 555 ...” เจอมุกนี้เข้าไปผมก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

“... ไม่ต้องคิดมากครับ เดียวเราเป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าวเย็นครอบครัวเขาเป็นการตอบแทน ...”

“... แล้วเวลาเขามาเที่ยวเมืองไทย พี่ก็คอย take care เขาตลอด”

“งั้นถ้าครั้งหน้าเขามาเที่ยงเมืองไทย พี่บอกมิลค์นะครับ มิลค์จะได้มาช่วย take care”

“ยินดีครับ”

บ้านที่ผมจะใช้ชีวิตอยู่ในอีก 10 วันข้างหน้าเป็นบ้าน 3 ชั้นย่านชานเมือง ตัวบ้านมีขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก มีสวนหลังบ้านที่ติดกับแม่น้ำสายเล็กๆ ครอบครัวของ host มีสมาชิก 6 คน สามี ภรรยา ลูกชาย 2 คน ลูกสาว 1 คน และสุนัขพันธ์ golden retriever ตัวใหญ่อีก 1 ตัว เจ้าหมายักษ์เห่าเสียงดังทันทีที่แขกไม่คุ้นหน้าเดินเข้ามาในบ้าน แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าหมาสีทองก็ยังคงนิสัยตามสายพันธุ์คือเป็นมิตรกับทุกคนในโลก มันเดินกระดิกหางเข้ามาหา ใบหน้ายิ้มแย้มราวกับเป็นหมาที่มีความสุขมากที่สุดในโลก ใช้เวลาไม่นานเรา 2 คนก็สนิทสนมกันราวกับรู้จักกันมาตั้งแต่เกิด

พี่เจย์ช่วยผมยกกระเป๋าขึ้นมาเก็บบนชั้น 3 ที่กึ่งๆ จะเป็นชั้นใต้หลังตา ผมประหลาดใจเล็กน้อยเพราะเพิ่งคิดได้ว่าพี่เจย์ต้องแชร์ห้องนอนขนาดเล็กห้องนี้ร่วมกับผมไปอีกหลายวัน

“พี่เจย์ ผมลืมคิดไปเลยเรื่องห้องนอน ถ้าพี่ไม่สะดวกผมไปนอนที่โรงแรมได้นะครับ” ผมถาม ตอนนี้เริ่มรู้สึกเกรงใจพี่เจย์สุดๆ

“ไม่เป็นไรครับ พี่ไม่ได้คิดมาก สบายๆ ...” พี่เจย์อธิบายเพิ่มเมื่อเห็นว่าผมยังคงมีสีหน้าไม่สบายใจ

“...พี่รู้ว่าระดับน้องมิลค์ ซื้อทั้งโรงแรมก็ไหว แต่ไหนจะต้องพาน้องเที่ยว ไหนจะต้องคุยกับเรื่องเรียนต่อ ไหนจะเรื่องความปลอดภัยของน้อง นอนนี่แหละครับพี่จะได้สบายใจ” พี่เจย์ตอบผมด้านน้ำเสียงนุ่มๆ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

“ขอบคุณครับ”

Host ชอบของขวัญที่ผมซื้อมามาก มันเป็นชุดรองแก้วทำจากอะคริลิคฝังวัสดุที่ให้กลิ่นอายของความเป็นไทยไว้ชัดเจน หลังจากเอาของขวัญไปให้และแนะนำตัวกับทุกคนในบ้านว่าเป็นญาติของพี่เจย์ พี่เขาก็พาผมออกเที่ยวทันที

“เดียววันนี้พี่พาไปดู sight seen ในเมืองนะ”

“ครับพี่”

“แล้วนี่วันถัดๆ ไปจะไปเที่ยวไหนบ้าง ดูมาหรือยัง”

“อ่า!!! ยังเลยครับ” ผมตอบ ยกมือขึ้นเกาหัวแก้เขิน ให้ความรู้สึกเหมือนโดน advisor ตามงาน

“อะไรกัน จะมาเที่ยวทั้งทีไม่ทำการบ้านเลย ...” เพราะก่อนหน้านี้คิดอยู่อย่างเดียวคือแค่อยากหนีไปที่ไหนก็ได้ให้ไกลที่สุด พอได้วันเดินทางก็ใจจดใจจ่อกับการนับถอยหลัง ไม่ได้สนใจเลยว่าระหว่างมาที่นี้จะไปเที่ยวไหนบ้าง

“... ที่ห้องมีหนังสือเที่ยว กลับไปแล้วพี่จะหยิบให้”

“ขอบคุณครับ” ผมยิ้ม

“พี่ว่างพาเที่ยวแค่วันนี้กับพรุ่งนี้ แล้วจะว่างอีกทีก็คือช่วงก่อนมิลค์กลับเลย ระหว่างนั้นเที่ยวเองคนเดียวได้ไหม”

“ได้ครับ”

“ดีมาก trick คือช่วง rush hour คนจะเยอะและราคา tube จะแพง ถ้าไม่รีบ ออกจากบ้านซัก 9 โมงก็ได้ ส่วนกลางคืนต้องขึ้น tube เที่ยวสุดท้ายคือตอนเที่ยงคืนนะครับ ถ้าหลังจากนั้นต้องกลับ taxi แล้วนะ ...”

“... ถ้าเป็นไปได้ พี่ไม่อยากให้กลับเกิน 4 ทุ่มนะครับ มันอันตราย ... คือมิลค์ยังเป็นนิสิต ป.ตรีอยู่ ถ้าเกิดอะไรขึ้นที่นี้ พี่จะซวยไปด้วย สัญญากับพี่นะครับว่าจะระวังตัว”

“สัญญาครับ”

“น้องมิลค์ทำอาหารเป็นไหมครับ”

“ไม่เป็นเลยครับ 555”

“ว๊า!!! คิดว่าจะได้ลองชิมอาหารฝีมือน้องมิลค์”

“ผมว่าซื่อกินพี่น่าจะปลอดภัยกว่านะครับ 555”

พี่เจย์พาผมขึ้นสถานีรถไฟใจกลางเมืองเราเริ่มต้นกันที่สถานที่ท่องเที่ยวยอดยนิยมอย่าง Buckingham palace แม้จะทำได้แค่มองจากด้านนอกแต่ก็สัมผัสได้ถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานของสถานที่แห่งนี้ แล้วเราก็ไปเดิน Hype park ต่อด้วยหอนาฬิกา Big Ben, London eye และเดินเล่นริมแม่น้ำ Thames แน่นอนว่าพอได้ผมสัมผัสบรรยากาศของชาว Great Britain ผมก็สลัดทุกเรื่องราวในหัวแล้ว enjoy กับการเดินกินลมชมวิวและถ่ายรูปเล่นสุดๆ จากนั้นพี่เจย์ก็พาผมไปย่านขายของมือสอง

“เคยซื้อของมือ 2 ไหม” พี่เจย์ถาม

“ไม่เคยเลยครับ” ผมส่ายหัวปฏิเสธ

“งั้นลองเดินเล่นดูก่อนก็ได้ครับ ชอบก็ซื้อ ไม่ชอบก็ถือว่ามาเดินเล่นเก็บบรรยากาศ” หลังจากนั้นผมกับพี่เจย์ก็แยกกันเดิน

ร้านมีขนาดไม่ใหญ่มากแต่ก็ยัดสิ่งของไว้มากมายจนทางเดินเหลือนิดเดียว ไฟบนเพดานไม่ได้สว่างมากนักประกอบกันชั้นวางของที่สูงจนเกือบจะถึงเพดานเลยทำให้บรรยากาศในร้านจะอึมครึมหน่อย ส่วนตัวแล้วผมไม่ได้รังเกียจของมือสอง ออกจะกลัวซะมากกว่าเพราะได้ยินเรื่องเล่าชวนขนหัวลุกเกี่ยวกับเจ้าของเดิมของๆ เหล่านี้มาตั้งแต่เด็ก

เดินดูไปซักพักผมก็เริ่มเห็นของ brand name ยี่ห้อคุ้นตา จนกระทั้งเดินมาถึงโซนรองเท้า ผมก็สะดุดตากับรองเท้าหนังสำหรับใส่เที่ยว ลองไปลองมาสุดท้ายผมก็ได้รองเท้าเพิ่มอีก 2 คู่ พี่เจย์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่ทำให้ผมเสียเงินได้สำเร็จ พี่เจย์บอกว่าตัวเองไม่ถือเรื่องการใช้ของมือสอง เพราะบางอย่างมือหนึ่งราคาแพงมากจนทำใจซื้อไม่ได้ อย่างรองเท้าคู่ที่ผมซื้อมา มือหนึ่งราคาหลักหมื่น แต่ตอนนี้ราคาขายเหลือไม่กี่พัน

มื้อเย็นพี่เจย์พาผมมากินร้านเป็ดย่าง Four season ในตำนาน หนังกรอบ หอมเครื่องเทศ อร่อยจนผมอยากจะห่อกลับไปกินต่ออีกซักเดือน และเพราะเป็นคืนวันเสาร์ Bar ในละแวะนั้นเลยคึกคักเต็มไปด้วยผู้คน

“ปกติน้องมิลค์ดื่มไหมครับ”

“ก็มีบ้างครับ”

“อยากแวะซักหน่อยไหมครับ”

“555 ไม่ดีกว่าครับ ผมเหมือนจะ jet lack ด้วย ดื่มแล้วเดียวจะยิ่งแย่”

“งั้นไว้วันหลังเนอะ”

“ครับ”

“แต่ต้องดื่มกับพี่ซักรอบก่อนกลับนะ”

“ได้เลยครับพี่”

เรากลับถึงบ้านประมาณ 3 ทุ่มนิดๆ กว่าผมจะ unpack ของ อาบน้ำพร้อมนอนตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว

“มิลค์นอนก่อนได้เลยนะครับ” ในห้องเปิดไฟสลัว พี่เจย์เสียสละนอนด้านในชิดกำแพง เจ้าตัวกำลังสนใจกับแผ่นกระดาษปึกบางๆ ในมือ

“พี่เจย์อ่านอะไรเหรือครับ”

“Journal ครับ”

“พี่ขยันมาก!!!” ไม่อยากจะเชื่อว่าบนโลกใบนี้มีคนอ่านงานวิจัยก่อนนอน

“น้องอย่าเข้าใจพี่ผิดครับ พี่อ่านเพราะจะได้ง่วงเร็วๆ ครับ 555”

“โห้พี่!!!”



เพราะมาเที่ยวเลยทำให้ผมคิดถึงเรื่องจีน้อยลงแต่ถึงอย่างนั้นเวลาเผลอผมก็มักจะวนกลับไปคิดเรื่องเดิมๆ เช้านี้รู้สึกตื่นขึ้นมาแล้วไม่สดชื่นเท่าไหร่เพราะเมื่อคืนผมฝันถึงจี ฝันถึง summer trip ที่ Canada วันนี้เลยตัดสินใจนั่ง tube เข้าเมืองเพราะคิดว่าการเดินเล่นดูโน่นดูนี้จะช่วยทำให้สมองโล่งขึ้น

ผมเดินอยู่ริมถนน ในมือถือถุง shopping 2 ใบ หูข้างหนึ่งใส่ head phone เพื่อฟังเพลง ตั้งใจว่าจะกลับไปนั่งเล่นในสวนหลังบ้าน อยู่มาหลายวันไม่เคยไปเดินเล่นในสวนหลังบ้านเลยเพราะเกรงใจเจ้าของบ้าน วันนี้ครอบครัว host ไปธุระ พี่เจย์บอกว่ากว่าพวกเขาจะกลับก็น่าจะช่วงหัวค่ำเลยคิดว่าน่าจะเป็นจังหวะที่ดี

“Look out!!!” เสียงตะโกนดังลั่น พร้อมกับแขนของใครซักคนที่ยื่นมากั้นด้านหน้า 2 ขาของผมหยุดชะงักอยู่กับที่ และทันใดนั้นมอเตอร์ไซคันใหญ่ก็วิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ดวงตาของผมเบิกกว้างเพราะเพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองเกือบถูกมอเตอร์ไซชน

“Thank you. Thank you so much” ผมค้อมศีรษะลงต่ำโดยอันโนมัติ ถ้าไม่ได้เขาห้ามไว้ ตอนนี้ผมคงได้ลงไปนอนกองอยู่บนพื้น

“What wrong with you? …” ใบหน้าคมเข้มอย่างคนยุโรปนิ่งค้าง ในจังหวะเดียวกับที่ผมเงยหน้าขึ้นมา ... หล่อ หล่อมากกกกกกกกกจนต้องร้องขอชีวิต หล่อตามแบบฉบับของคนยุโรปที่คนไทยชอบ ตาสีฟ้า ผมสีบลอนด์ เขาตัวสูงมาก พอยืนเทียบกันแล้วหัวของผมอยู่ประมาณหัวไหล่ของเขาเท่านั้น

“... Are you alright?” สีหน้าดุดูผ่อนคลายลง น้ำเสียงที่ติดจะอารมณ์เสียงเมื่อครู่ก็อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

“Yes, I am ok. Thank you so much” ผมส่งยิ้ม และค้อมหัวเป็นเชิงขอบคุณอีกครั้ง

“Wait!!! …” เดินไปได้ไม่เท่าไหร่ 2 เท้าของผมก็หยุดชะงัก หันกลับมาอีกทีฝรั่งผมบลอนด์ก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า

“... There's an awesome café nearby. I think you'd really like it. Want to go?” ผมตกใจเล็กน้อยเพราะเป็นการถูกจีบแบบตรงๆ ครั้งแรกในชีวิต

...

... ในสมองกำลังคิดวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ตรงหน้า

...

“It's totally fine if you've got plans”

“Yes, I would love to go” แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ผมตัดสินใจทำอะไรบ้าๆ เพียงต้องการประชดใครอีกคนที่อยู่ห่างไปอีกซีกโลกหนึ่งและไม่ได้รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้เลยด้วยซ้ำ

“I’ m Christ and you are?”

“You can call me Milk”



“A caramel macchiato is the perfect drink. But iced? It's a bit chilly out there, isn't it?” แก้วกาแฟถูกวางลงตรงหน้า ฝรั่งคงไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไปคนไทยถึงชอบดื่มกาแฟเย็นๆ

“I've always preferred iced coffee, even in the winter.” ผมมองแก้ว Americano ร้อนที่วางอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วผมยิ้ม

“Where do you come from?”

“Thailand”

“Arrrrrrr … Now I know. I have a few Thai friends … you guy is very nice …”

“ … let me guess. You are a tourist. Are you?”

“Yes ... and you?” คนตรงหน้าอมยิ้มก่อนที่จะยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบ

“A master degree student”

“Good for you … I am a student too. A veterinary science”

“Really? I am not expecting that, but it really suits you. You must be very brilliant”

“Not at all. How about you”

“Statistic”

“Hahaha, I am surprised. I once took a statistics class and got a C”

“But I am pretty sure that you will get a A with me ...” ผมอมยิ้มและยกกาแฟตรงหน้าขึ้นมาจิบแก้เขิน ทำตัวไม่ค่อยจะถูกเวลาถูกฝรั่งตาสีฟ้าจ้องมองทุกอิริยาบถ

“... May I ask, how old are you”

“I am 25” ผมรู้ว่าทำไมเขาถึงถาม ฝรั่งมักจะเดาอายุของคนเอเชียไม่ค่อยออกเพราะถ้าอายุเท่ากันพวกเราจะหน้าเด็กว่ามาก และปัญหาจะเกิดขึ้นทันทีถ้าผมยังอายุไม่ถึง 20 ปี

“Oh god!!!, I think you are younger. I am 24 …” อย่าว่าแต่คนตรงหน้าเลยที่ตกใจ ผมก็ตกใจเหมือนกันเพราะคิดว่าเขาอายุมากกว่า ไม่อยากจะพูดให้เสียใจแต่ทีแรกผมคิดว่าคริสอายุยี่สิบปลายๆ หรืออาจจะสามสิบต้น

“… you make me loss of my confidence hahaha”

เราพูดคุยสัพเพเหระตั้งแต่เรื่องเรียน ดินฟ้าอากาศ วัฒนธรรม สถานที่ท่องเที่ยวรู้ตัวอีกทีกาแฟก็เหลืออยู่ก้นแก้ว

“Would you like to go to my place? …” ผมอมยิ้มเพราะคิดไว้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายต้องเอ่ยปากชวน ก็เขาถามอายุของผมไปแล้วนิ

ผมรู้ว่าคำถามนี้มีอะไรซ้อนอยู่ และรู้ว่าถ้าไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเป็นที่กรุงเทพผมคงตอบรับคำเชิญ แต่ที่นี้ไม่ใช้สถานที่ที่ผมคุ้นชิน ไม่ใช้บ้านที่ผมรู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน ผมไม่รู้เลยว่าภายใต้ใบหน้าหล่อเหลานั้นมีอะไรซ้อนอยู่ ... แล้วคำขอของพี่เจย์ดังขึ้นมาในห้วงของความคิด ‘สัญญากับพี่นะครับว่าจะระวังตัว’

“…I promise that it will be fun”

“I know it must be a wonderful evening, …”

“… but I cannot.”

“Why not?”

“I promise my brother that I will behave …”

“... No matter how many times I do this, I'm still empty...” อยู่ๆ ผมก็คิดย้อนกลับไปวันที่ตัดสินใจมีอะไรเกินเลยกันบอน ใช่ มันสนุกและตื่นเต้น แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ผมก็ยิ่งรู้ ... sex ไม่ได้ช่วยเติมเต็มช่องว่างในใจเลยแม้แต่น้อย ... หนีมาไกลขนาดนี้แต่แค่โดนสะกิดนิดเดียว คลื่นอารมณ์ก็ทะลักออกมาไม่หยุด

“... I’ m sorry. I should not say that … I think I must go” กว่าจะรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปก็เผลดดราม่าใส่ฝรั่งผมสีบลอนด์ไปยกใหญ่

“Let me walk you to the tube … Can't have you getting run over by a rogue taxi”

“hahaha” ผมยิ้มแห้ง ตลกนักนะไอ้ฝรั้งตาสีฟ้า

ระหว่างทางเราไม่ได้พูดอะไรกันมากนัก จากร้านกาแฟเดินไปถึง 10 นาทีก็ถึงสถานีรถไฟ

“This is it ...” คริสพูดเมื่อเรา 2 คนยืนอยู่หน้าทางบันได

“... Can I have your Facebook account?”

“It's the least I can do for that man who save my life” ผมรับ smartphone ของคริสมากดหาชื่อ account FB ของตัวเอง แล้วกดตอบรับเมื่อ smartphone ของผมแจ้งเตือนว่ามี friend request

“So, good luck and I hope to see you again”

“Me too. Thank you so much for the coffee, and again, for saving my life. I'm truly grateful”
17
Boy's love story / Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 30
« กระทู้ล่าสุด โดย Milky_Milky_Way เมื่อ 01-11-2025 19:40:36  »
Teaser ตอนที่ 30

ปากบอกไม่อยากห่างแต่เอาเข้าจริงผมกลับทำใจไม่ได้ หลังจากวันนั้นผมก็หลบหน้าจีมาตลอด แม้ว่าบางครั้งษาจะไม่ได้มาด้วยแต่ผมก็ยังไม่พร้อมจะมองหน้าจี ไอซ์หอบเสื้อผ้ามานอนกับผม 10 กว่าวันจนผมเป็นฝ่ายออกปากเองว่าสามารถอยู่คนเดียวได้แล้ว แม้มันเป็นห่วงแต่ก็ยอมรับในเหตุผลที่ว่าสุดท้ายผมก็ต้องอยู่ให้ได้ด้วยตัวคนเดียว

2 มือลากการเป๋าเดินทางใบใหญ่ รอบข้างมีแต่ช่วงต่างชาติหัวสีทองเดินกันขวักไขว แม้จะอยู่ในสนามบินแต่อุณภูมิที่ต่ำกว่าสิบกว่าองศาทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเตรียมเสื้อกันหนาวมาไม่มากพอ หัวใจเต้นตึกๆ ตื่นเต้นเพราะไม่ได้เจอหน้าพี่เจย์มานานกว่า 4 เดือน พี่เจย์ชวนผมตั้งแต่กลางเทอมที่แล้ว ทีแรกผมไม่ได้คิดว่าจะมา แต่เพราะความเศร้าสุดท้ายผมเลยเลือกใช้ช่วง self-study 2 สัปดาห์ หนีมาให้ไกลสุดขอบโลก

“พี่เจย์สวัสดีครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้อนาคต advisor ปริญญาโท

“หวัดดีครับมิลค์ พี่ช่วยถือ ...” พี่เจย์คว้าเอากระเป๋าเดินทางใบเล็กไปถือ

“... เราเรียก taxi ไปดีกว่า ที่จริงมันมี tube วิ่งไปถึงนะ แต่พี่ว่าของเยอะ taxi สะดวกกว่า”

“ได้เลยครับ” ผมยิ้มแล้วลากกระเป๋าเดินตามหลังพี่เจย์

“มิลค์ไม่ลืมเอาของมาให้ host ใช่ไหมครับ” พี่เจย์ถามขึ้นเมื่อเรา 2 คนนั่งอยู่ในรถ

“ไม่ลืมครับ”

“ดีมาก ... อย่าลืมนะ ถ้าเขาถามให้บอกเขาว่าเป็นญาติพี่” พี่เจย์พูดพร้อมกับขยิบตาข้างขวา สิ่งหนึ่งที่ผมชื่นชอบในตัวพี่เจย์คือภาษากายของพี่เขา สีหน้า ท่าทาง สายตา ที่ช่วยเพิ่มอรรถรสให้กับบทสนทนาอีกเท่าตัว

ครอบครัวที่พี่เจย์มาพักอาศัยอยู่ด้วยเป็น host ของพี่เขาตั้งแต่สมัยเรียนต่อ สามีภรรยาคู่นี้เอ็นดูพี่เจย์มาตั้งแต่เด็ก แม้เรียบจบแล้วแต่เวลาพี่เจย์มาทำงานวิจัยหรือมาเที่ยวเขาก็ยินดีต้อนรับเสมอโดยที่ไม่เคยคิดค่าที่พักเลยซักครั้ง

“ไม่ลืมแน่นอนครับ แต่มันจะดีใช่ไหมครับ”

“ดีซิ ถ้าเขาไม่รู้อะนะว่าแท้จริงแล้วญาติพี่เป็นลูกชายมหาเศรษฐีแสนล้าน 555 ...” เจอมุกนี้เข้าไปผมก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา


----------


มิลค์ : เจอกันวันพรุ่งนี้ครับ ... จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือหนีมาพักใจ
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
18
คุณกำลังมองหาที่รับซื้อซากรถที่ไม่ได้ใช้งานอยู่หรือเปล่า หลายคนมีรถที่จอดทิ้งไว้นานจนเป็นสนิม หรือรถที่ซ่อมแซมแล้วไม่คุ้มค่า แทนที่จะปล่อยให้เสียพื้นที่และเสื่อมสภาพต่อไป ทำไมไม่เปลี่ยนมันให้เป็นเงินสดในมือล่ะ

เราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการรับซื้อรถเก่าทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์นั่ง รถกระบะ หรือรถบรรทุก เรารับซื้อครบทุกยี่ห้อและทุกรุ่น ไม่ว่ารถของคุณจะอยู่ในสภาพไหนก็ตาม สามารถติดต่อเราได้ทันที



ทำไมต้องเลือกบริการของเรา

การรับซื้อรถกับเรามีข้อดีมากมาย เราให้ราคาที่เป็นธรรมและสูงกว่าที่อื่น เพราะเรามีประสบการณ์ในการประเมินมูลค่าที่แท้จริงของรถแต่ละคัน ไม่ว่าจะเป็นรถที่ยังใช้งานได้ รถมือสองสภาพดี หรือแม้แต่รถที่ชำรุดมาก เราก็ให้ราคาที่คุ้มค่า

ทีมงานของเรามีความเชี่ยวชาญในการประเมินรถทุกสภาพ ตั้งแต่รถที่ยังวิ่งได้ไปจนถึงรถที่จอดทิ้งไว้หลายปี เราเข้าใจดีว่ารถแต่ละคันมีคุณค่าที่แตกต่างกัน และเราพร้อมจ่ายเงินสดในราคาที่เหมาะสม ไม่มีการหักลดราคาตามใจชอบ กระบวนการทำงานของเราโปร่งใสและรวดเร็ว เมื่อตกลงราคากันแล้วจ่ายเงินทันที



บริการครบวงจร สะดวกทุกขั้นตอน

เราให้บริการรับซื้อถึงที่ทั่วทุกพื้นที่ คุณไม่ต้องเสียเวลาขับรถมาหาเรา แค่แจ้งสถานที่ เราจะนำทีมงานไปประเมินและรับซื้อถึงที่ทันทีหากราคาตกลงกัน นอกจากนี้เรายังจัดการเอกสารและการโอนกรรมสิทธิ์ให้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย คุณไม่ต้องกังวลเรื่องเอกสารยุ่งยาก

สำหรับรถที่เสียหนักหรือไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ เรามีรถลากพร้อมบริการ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม คุณแค่โทรหาเรา เราจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ตั้งแต่การยกรถขึ้นรถลาก การขนย้าย ไปจนถึงเอกสารต่างๆ



ช่องทางการติดต่อ

การติดต่อกับเราง่ายมาก เพื่อให้การประเมินราคาเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ คุณสามารถส่งรูปถ่ายรถมาที่ไลน์ของเราได้เลย ไอดีไลน์ 0882387362 ทีมงานจะประเมินเบื้องต้นและแจ้งราคาให้ทราบ หากราคาตกลงกัน เราจะนัดหมายไปดูของจริงและจ่ายเงินสดทันที

หรือหากต้องการปรึกษาเพิ่มเติม สามารถโทรติดต่อได้ที่หมายเลข 0882387362 หรือ 0920926612 ทีมงานพร้อมให้คำแนะนำและตอบทุกคำถาม เราเปิดให้บริการทุกวัน พร้อมรับซื้อรถของคุณในราคาที่เป็นธรรม

ไม่ว่ารถของคุณจะจอดทิ้งไว้นานแค่ไหน หรือสภาพจะแย่ขนาดไหน เรายินดีรับซื้อ แล้วเปลี่ยนรถเก่าของคุณให้กลายเป็นเงินสดได้ทันที ติดต่อเราวันนี้เพื่อรับราคาที่ดีที่สุด

เพื่อให้การตีราคาเป็นไปอย่างรวดเร็ว รบกวนส่งรูปถ่ายมาได้ที่ ID Line: 0882387362
เบอร์โทรติดต่อ : 0882387362,0920926612
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.kittisak.net/wp
19
พูดคุยทั่วไป / ย้อนรอยประวัติศาสตร์ อ่างล้างหน้า
« กระทู้ล่าสุด โดย airrii เมื่อ 31-10-2025 19:02:20  »
อ่างล้างหน้า (Wash Basin) เป็นสุขภัณฑ์สำคัญที่เราใช้ในกิจวัตรประจำวัน แต่คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่าสิ่งอำนวยความสะดวกนี้เริ่มมีขึ้นเมื่อไหร่ และปัจจุบันมีกี่ประเภทให้เลือกใช้ มาเจาะลึกเรื่องราวของอ่างล้างหน้า ตั้งแต่จุดกำเนิดจนถึงดีไซน์ที่หลากหลายในปัจจุบัน

อ่างล้างหน้า เริ่มมาเมื่อไหร่
ยุคโบราณ-ยุคกลาง: ผู้คนจะใช้ภาชนะขนาดใหญ่และตื้นที่เรียกว่า "เบซิน" (Basin) ซึ่งมักทำจากโลหะ (เช่น ทองเหลือง) หรือเซรามิก โดยวางบนขาตั้งหรือโต๊ะสำหรับล้างมือและหน้า จากนั้นจึงเทน้ำทิ้ง

ยุคจีนโบราณ: มีการใช้ "เผินเจี้ย" (盆架) หรือขาตั้งอ่างล้างหน้าแบบไม้ (มักมี 3-6 ขา) ที่สามารถพับเก็บได้ สำหรับวางอ่างใส่น้ำล้างหน้าในห้องนอน

ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม (ศตวรรษที่ 19): การประดิษฐ์และพัฒนาระบบประปา (Water Supply) ทำให้เกิดการรวมภาชนะรูปทรงคล้ายอ่างเข้ากับระบบระบายน้ำโดยตรงบนเคาน์เตอร์ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของ "อ่างล้างหน้า" แบบติดตั้งถาวรที่เราใช้ในห้องน้ำสมัยใหม่

การพัฒนาของวัสดุ (เช่น เซรามิก) และการติดตั้งเข้ากับผนังหรือ เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าทำให้สุขภัณฑ์นี้กลายเป็นมาตรฐานในห้องน้ำที่เน้นสุขอนามัย



อ่างล้างหน้ามีกี่ประเภท
1. อ่างล้างหน้าแบบติดตั้งบน/ใน เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า
กลุ่มนี้เป็นที่นิยมอย่างมาก เนื่องจากมีพื้นที่สำหรับวางของใช้ส่วนตัว และช่วยอำพรางท่อได้:

อ่างแบบตั้งบนเคาน์เตอร์ (Vessel Basin): อ่างจะวางโชว์รูปทรงทั้งใบอยู่บนเคาน์เตอร์ เหมาะกับห้องน้ำสไตล์โมเดิร์นหรือเน้นดีไซน์

อ่างแบบฝังบนเคาน์เตอร์ (Drop-in Basin): ขอบอ่างจะวางทับอยู่บนเคาน์เตอร์ ลดการกระเด็นของน้ำได้ดี

อ่างแบบฝังใต้เคาน์เตอร์ (Under-mount Basin): ตัวอ่างติดตั้งจากใต้เคาน์เตอร์ ทำให้มองเห็นวัสดุของท็อปเคาน์เตอร์ทั้งหมด เน้นความเรียบหรูและทำความสะอาดง่าย

2. อ่างล้างหน้าแบบแขวน ผนังและมีขาตั้ง
รูปแบบที่เน้นการประหยัดพื้นที่และติดตั้งง่าย เหมาะกับห้องน้ำขนาดเล็กหรือพื้นที่จำกัด:

อ่างล้างหน้าแบบแขวนผนัง (Wall-hung Basin): ยึดติดกับผนังโดยตรง ไม่มีขาตั้งหรือเคาน์เตอร์ด้านล่าง ทำให้พื้นห้องน้ำดูโล่งและกว้างขึ้น เหมาะสำหรับห้องน้ำที่มีพื้นที่จำกัด

อ่างล้างหน้าพร้อมขาตั้ง: มีทั้งแบบขาตั้งเต็มและขาตั้งครึ่ง (Pedestal Basin) ตัวขาตั้งช่วยซ่อนท่อน้ำทิ้ง ทำให้ห้องน้ำดูเรียบร้อยและยังช่วยรองรับน้ำหนักของอ่างได้ด้วย

การเลือก อ่างล้างหน้า ที่เหมาะสม จะช่วยเปลี่ยนห้องน้ำธรรมดาให้กลายเป็นพื้นที่ใช้งานที่สวยงามและสะดวกสบายได้อย่างลงตัว

20
Boy's love story / Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 29 : คืนไร้ดาว
« กระทู้ล่าสุด โดย Milky_Milky_Way เมื่อ 31-10-2025 13:50:17  »
#สุขสันต์วันปล่อยผีนะครับ

#Holloween 2025
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
หน้า: 1 [2] 3 4 5 6 ... 10
สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด