ผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
คำเตือน อ่านๆไป(ตอนหลังๆ)ระวังจะตกหลุมรักเรือชานะคะ (บทน้อยแต่ก็นะ
)
ตอนที่ 10
ปารมีไม่ชอบใจเลยสักนิดเมื่อสังเกตเห็นว่าภาคนิพนธ์ดูเหมือนจะเกรงใจคนในบ้านอยู่ตลอดเวลา ก็รู้หรอกว่าการสร้างความคุ้นเคยมันไม่ได้ง่ายและรวดเร็วได้อย่างใจ แต่ภาคนิพนธ์ก็ทำตัวเหมือนกันตัวเองไว้ ไม่ก้าวเข้ามาและไม่ปล่อยให้ใครก้าวเข้าไปหา ซึ่งหากยังคงเป็นอยู่อย่างนี้มันจะไม่มีทางเกิดความคุ้นเคยกันได้เลย และที่น่าหนักใจที่สุดก็คือ คนที่ภาคนิพนธ์ดูจะเกรงและตีตัวออกห่างที่สุดคือปาฏิหาริย์ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักกัน ปารมีเห็นแล้วกลุ้มใจจนต้องเอาไปปรึกษากับวสุธา และคุณพ่อของบ้านก็บอกเพียงแค่ว่ามันเป็นเรื่องของคนสองคน ถึงแม้เราจะเป็นพ่อเป็นแม่ก็ไม่ควรเข้าไปก้าวก่าย แต่ปารมีคิดว่าบางครั้งคนสองคนที่อยู่ในปัญหาก็มองปัญหาเหล่านั้นไม่ชัดและไม่สามารถที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหาได้มีแต่จะทำให้ปัญหามันยิ่งผูกปมใหญ่ขึ้น
บางครั้งก็จำเป็นต้องมีบุคคลที่สาม สี่ ห้า เพื่อช่วยในการแก้ปัญหาเหล่านั้น
พอบอกไปแบบนี้วสุธาก็บอกว่าหากปาฏิหาริย์เอ่ยปากขอเราถึงจะยื่นมือเข้าไป แต่ปารมีคิดว่ามันคงไม่ทันการณ์หากต้องรอจนถึงวันนั้น
บรรยากาศระหว่างภาคนิพนธ์กับปาฏิหาริย์ว่ามันอึมครึมขนาดเด็กชายตัวน้อยอย่างน้องเอิร์ธยังมองออก ปารมีเคยได้ยินน้องเอิร์ธถามปาฏิหาริย์ว่าทะเลาะกับอาภาคหรือ
มันดูหนักหนาขนาดนี้แล้วจะไม่ให้ปารมีต้องยื่นมือเข้าไปได้ยังไง
....................................
ภาคนิพนธ์นั่งเหม่ออยู่ข้างสระน้ำ ตอนนี้ เวลานี้คนบ้านนี้ไปทำงานกันหมด ไม่มีใครอยู่สักคน ภาคนิพนธ์ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ทั้งๆที่ทุกคนทำงานแต่เขากลับเป็นคนเดียวที่ไม่ต้องทำ
“คุณภาคค่ะอาหารเที่ยงพร้อมแล้วนะคะ”
แม่บ้านเดินมาบอกภาคนิพนธ์เลยพยักหน้าให้แล้วเดินตามแม่บ้านไปกินข้าว ภาคนิพนธ์กินข้าวช้าๆ เขาบอกตัวเองว่าคงทนสถานการณ์ตอนนี้ไปได้ไม่มากกว่านี้อีกแล้ว
ภาคนิพนธ์รู้เรื่องเกี่ยวกับคนในบ้านคร่าวๆเพราะชวนแม่บ้านคุย
ในบ้านจอมไตรนี้แต่ล่ะคนมีงานในส่วนของตัวเองด้วยการสานต่อและขยายงานจากของเดิม
มีแต่ปารมีกับจิตรินที่เป็นส่วนลงทุนใหม่ รวมไปถึงคนรักของปฐวีที่ถือว่าทำงานอิสระแม้จะต้องไปช่วยปฐวีบ้างเป็นครั้งคราวแต่ก็ไม่บ่อยนัก
ภาคนิพนธ์ไม่ได้อยากเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจการของครอบครัวจอมไตร แล้วก็ไม่ได้อยากลงทุนทำอะไรใหม่ แน่นอนว่าสาขาที่ตัวเขาเรียนมาย่อมไม่สามารถจะทำงานอิสระอะไรได้
แต่เขาก็ไม่อยากอยู่เฉยๆ
ถ้าจะให้นับว่าการที่เขาตกลงยอมมาเป็นคนรักชั่วคราวของปาฏิหาริย์คืองาน แต่มันก็เป็นงานที่ว่างเกินไป
สักวันคงว่างจนเฉาตาย แม้ปาฏิหาริย์จะบอกให้เขาไปเยี่ยมแม่ ไม่อยู่เป็นเพื่อนแม่ แต่มันยิ่งทำให้เขาดูไร้แก่นสารไม่ใช่หรือ
แล้วเมื่อวันไหนที่ช่วงเวลานี้สิ้นสุดลง
หากเขากลายเป็นคนเอื่อยเฉื่อยไปเสียแล้ว
เขาจะรับความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นได้อย่างไร
...............................
“ผมจะทำงาน”
สามวันมานี้ ปาฏิหาริย์แทบต้องกุมขมับ เจ้าตัวไม่เคยเจอส่วนดื้อดึงของภาคนิพนธ์มาก่อน ตอนที่อยู่ด้วยกันก่อนหน้านี้ ภาคนิพนธ์ว่าง่ายเหลือเกิน หากปาฏิหาริย์เอ่ยปากยืนยันเป็นครั้งที่สองแล้วล่ะก็ไม่มีเสียล่ะที่ร่างบางจะกล้าขัด แต่ครั้งนี้ ทั้งๆที่ทัดทานจนเหนื่อย ภาคนิพนธ์ก็ยังไม่ยอม ยืนกรานที่จะไปทำงานให้ได้
“ทำตัวว่างง่ายๆแล้วอยู่แต่บ้านไม่ได้หรือไงกันนะ”
ปาฏิหาริย์มองอาการเม้มปากจ้องหน้าตนของอีกฝ่ายอย่างเหนื่อยหน่ายใจ
“ผมเรียนจบมา ไม่ได้จะมานั่งอยู่เฉยๆหรอกนะคุณ”
“แต่ฉันชอบให้นายอยู่เฉยๆมากกว่า”
“ความรู้ผมมันจะได้ละลายหายไปกับสายลมน่ะสิ ผมอุตส่าห์ตั้งใจเรียนมา จะไม่ให้ผมได้ใช้ความรู้หน่อยหรือไง”
ดื้อ ... ปาฏิหาริย์คิดในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป เพราะที่ภาคนิพนธ์พูดมาก็จริง หากเป็นเขา เรียนมาขนาดนี้แต่ต้องมานั่งๆนอนๆอยู่เฉยๆ ปาฏิหาริย์ก็ไม่คิดว่าตนเองจะยอม ... แต่ปาฏิหาริย์ก็อยากให้อีกฝ่ายอยู่แต่ที่บ้านจริงๆ
“เฮ้อ...งั้นก็ได้...”
พอปาฏิหาริย์ตอบตกลง รอยยิ้มดีใจเหมือนเด็กๆก็แสดงขึ้นมาบนใบหน้าอีกฝ่ายทันที พอเห็นรอยยิ้มแบบนั้นแล้ว ปาฏิหาริย์ค่อยรู้สึกว่าคุ้มแล้วที่ยอมลงให้ภาคนิพนธ์ในครั้งนี้
.........................
งานที่ปาฏิหาริย์ให้ภาคนิพนธ์ไปทำมันไม่ได้ตรงกับสายที่เจ้าตัวเรียนมาเลยสักนิด ทั้งๆที่จบวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมมา แต่กลับต้องมาเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของปาฏิหาริย์ ทำงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารเกือบทั้งสิ้น แต่ถึงอยากจะบ่น ปาฏิหาริย์ก็ดักทางไว้เรียบร้อยแล้วว่า
“อยากจะทำงานนี้ หรือนั่งอยู่เฉยๆกับบ้านล่ะ”
แค่นั้น ภาคนิพนธ์ก็เก็บปากเก็บคำ คิดแค่ว่าทำงานนี้ไปอีกสักไม่กี่เดือนก็คงไม่เป็นไร อย่างน้อยๆ เขาก็ได้เห็นปาฏิหาริย์ในสายตาเกือบตลอดเวลา ถือว่าใช้ช่วงเวลาที่จะได้อยู่กับอีกฝ่ายให้คุ้มค่าแล้วกัน
“อันนี้กับอันนี้เอาไปให้ที่ฝ่ายบัญชีทีนะ”
ปาฏิหาริย์ชี้ไปที่แฟ้มงานที่ตนเองเซ็นชื่อแล้ว
ที่จริงถึงแม้ภาคนิพนธ์จะไม่เคยเรียนมา แต่เพราะต้องช่วยงานจิปาถะของมหาวิทยาลัยตามหน้าที่ของเด็กทุนจึงทำให้เรียนรู้เรื่องการทำเอกสารต่างๆได้อย่างรวดเร็ว
ถึงไม่ได้เอ่ยปากชม แต่คนอื่นๆก็รู้ว่าภาคนิพนธ์ทำงานใช้ได้ แม้จะดูเป็นเด็กเส้นแต่ก็ไม่มีใครนึกว่าอะไร เพราะจะเส้นใหญ่แค่ไหนหรือปาฏิหาริย์อยากเก็บไว้กับตัวเองยังไง หากทำงานไม่ได้เรื่องแล้ว คงไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งได้เกินสองวัน
“ผมเอาเอกสารมาส่งครับ”
เอ่ยกับคนที่นั่งตรงโต๊ะแรกของแผนกบัญชี แต่พออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามองตามเสียง ภาคนิพนธ์ก็เบิ่งตาขึ้นกว้างอย่างตกใจ
“ภาค”
อีกฝ่ายเรียกชื่อภาคนิพนธ์ด้วยความยินดี เรือชารีบลุกขึ้นจากโต๊ะมาสำรวจร่างกายเพื่อนด้วยความเป็นห่วง ก็หลังจากที่ออกจากห้องเรือชาไป เรือชาก็ไม่สามารถติดต่ออีกฝ่ายได้อีกเลย ติดต่อไปที่โรงพยาบาลที่แม่ภาคนิพนธ์รักษาอยู่ก็ได้รับแจ้งว่าย้ายออกไปเสียแล้ว แถมโรงพยาบาลเก่ายังไม่สามารถให้ข้อมูลที่ใหม่ได้อีก
“นายมาทำอะไรที่นี่”
ภาคนิพนธ์ถามด้วยความแปลกใจ เรือชายิ้มให้เพื่อนอย่างขำๆ
“ก็มาทำงานน่ะสิ”
ถามได้ อันหลังนี่พูดแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ คนโดนหัวเราะพยักหน้ากลายๆ เขารู้แค่ว่าเรือชาเป็นนักตรวจสอบบัญชี แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำงานตรวจสอบบัญชีให้กับจอมไตรด้วย
“ฉันไม่เห็นรู้ว่านายทำงานที่นี่ด้วย”
“อืม นิดหน่อย ดูเหมือนคนเก่าที่ออกไปจะทำระบบรวนไปเยอะ ฉันเลยมาช่วยๆรุ่นพี่น่ะ”
พูดพลางชี้ไปทางด้านในที่ซึ่งมีหญิงสาวอีกคนนั่งอยู่ เจ้าหล่อนกำลังหน้าดำคร่ำเครียดอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์
“เดี๋ยวเย็นนี้ไปกินข้าวด้วยกันนะ”
เรือชาเอ่ยชวน และภาคนิพนธ์ก็ไม่ได้คิดจะปฏิเสธ เพราะตัวเองก็คิดถึงเพื่อนไม่ต่างกัน
“อืม เอาสิ”
ยิ้มให้เพื่อนแล้วเดินกลับไปยังห้องทำงานของตัวเอง
.....................
“ไปกับใคร”
ปาฏิหาริย์เอ่ยถามเป็นคำแรกทั้งๆที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นจากแฟ้มเอกสาร เมื่อภาคนิพนธ์บอกว่าเย็นนี้จะไปกินข้าวกับเพื่อน
“ไปกับเรือชาครับ”
“คนที่เคยไปอยู่ด้วยหรือ”
“ครับ”
ทั้งที่ภาคนิพนธ์ตั้งใจจะบอกแค่ให้อีกฝ่ายรับรู้ ซึ่งมันไม่ใช่การขออนุญาต แต่ไม่รู้ทำถึงอยากได้คำตอบกลับเป็นเชิงอนุญาตจากปาฏิหาริย์อย่างไม่มีเหตุผล
ปาฏิหาริย์นิ่งอยู่อย่างนั้น ในหัวเขากำลังประมวณความคิด พูดตรงๆว่าเขาไม่อยากให้ภาคนิพนธ์ไป แต่เขาจะเอาอะไรไปห้ามล่ะ คิดอยู่ในใจแล้วก็หงุดหงิดตัวเองที่ถ้าเป็นเรื่องของภาคนิพนธ์ในตอนนี้แล้วปาฏิหาริย์รู้สึกราวกับมีอะไรหนักๆมาถ่วงขาเขาไว้ตลอดเวลา
“คุณ...”
เสียงเรียกเบาๆนั้นทำให้ปาฏิหาริย์หยุดความคิดต่างๆของตัวเองแล้วพยักหน้าให้
“ไปเถอะ ถ้าจะให้ไปรับก็โทรมาแล้วกัน”
ภาคนิพนธ์ขยับปากจะเอ่ยค้าน แต่ก็โดนโบกมือไล่ให้ไปทำงานจึงต้องถอนหายใจออกมาเบาๆแทน ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะและเริ่มลงมือทำงานอีกครั้ง
ทุกอย่างทุกปฏิกิริยาของภาคนิพนธ์อยู่ในสายตาของคนตัวสูงที่นั่งก้มหน้าทำท่าเหมือนทำงานแต่ที่จริงลอบสังเกตอาการของอีกฝ่ายอยู่ต่างหาก
พอเห็นท่าทางเหนื่อยอกเหนื่อยใจของภาคนิพนธ์ที่แสดงออกมาความหงุดหงิดก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ปาฏิหาริย์กดปากกาลงเซ็นชื่อแรงๆ ปิดแฟ้มลงแรงๆ แล้วก็เลื่อนเก้าอี้เพื่อลุกขึ้นจากที่นั่งแรงๆ
“เอ่อ”
คนที่สะดุ้งทุกครั้งที่อีกฝ่ายทำเสียงดังเงยหน้าขึ้น ตั้งใจจะถามเมื่อเห็นว่าร่างสูงนั้นกำลังเก็บเอกสารบางอย่างลงกระเป๋าแล้วเดินผ่านหน้าโต๊ะตัวเองไป
“ฉันจะไปข้างนอก เจอกันที่บ้านเลยแล้วกัน”
พูดจบก็เปิดประตูออกไป ยังดีที่เป็นระบบปิดอัตโนมัติ ไม่อย่างนั้นเสียงปิดประตูคงดังสนั่นหวั่นไหวให้ใครต่อใครด้านนอกได้แปลกใจเป็นแน่
ภาคนิพนธ์มองอาการเหล่านั้นแล้วก็เอนตัวพิงเก้าอี้ตัวเองอย่างอ่อนแรง
ถ้าจะมาทำท่าทางแบบนี้ใส่ ทำไมปาฏิหาริย์ไม่พูดออกมาตรงๆเลยล่ะว่าไม่ให้ไป คิดแล้วก็นึกถึงเมื่อก่อน ตอนที่ยังอยู่ด้วยกันที่คอนโดภาคนิพนธ์เคยบอกปาฏิหาริย์ว่าอยากไปพบเรือชา แต่อีกฝ่ายก็ห้ามไม่ไห้ไป ปาฏิหาริย์แสดงถึงความเอาแต่ใจชัดเจนเสียจนภาคนิพนธ์ตอนนั้นทั้งนึกขำและก็โมโหที่ปาฏิหาริย์เผด็จการซะเหลือเกิน สุดท้ายก็จำต้องยอมไม่ไปหาเพื่อน แต่ตอนนี้ทั้งๆที่ทำหน้าตาแบบนั้น แต่กลับยอมให้ไป
“ไม่เข้าใจเลย”
รำพึงกับตัวเอง ด้วยไม่เคยจะตามปาฏิหาริย์ทันสักที
................................
ปาฏิหาริย์โทรนัดคู่ควงคนหนึ่งออกมาเพื่อหวังว่าจะสามารถแก้อารมณ์หงุดหงิดของตัวเองไปได้ แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว ....
“คุณปาฏิหาริย์ค่ะ กุ๊กกิ๊กอยากได้ตัวนี้จังเลยค่ะ”
ร่างสูงถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความเบื่อหน่ายสุดขีด เสียงออดอ้อนกับการเกาะแขนออเซาะไม่ได้ทำให้ปาฏิหาริย์รู้สึกพึงใจสาวเจ้าเลยสักนิด แล้วก็ให้นึกไปถึงใครคนหนึ่งที่ปาฏิหาริย์เคยพามาซื้อของด้วยกัน ทั้งๆที่เขาพาร่างเล็กๆนั้นเข้าออกร้านโน้นร้านนี้อย่างสนุกสนาน แต่ของที่ได้มากลับน้อยจนไม่น่าเชื่อเมื่อเทียบกับการเข้าไปไม่กี่ร้านของหญิงสาวคนนี้ เสียงที่ปาฏิหาริย์ได้ยินคือเสียงประท้วงไม่ซื้อเพราะข้าวของมันราคาแพงเกินไป ไม่ใช่เสียงหวานๆขอให้ซื้อของให้อย่างผู้หญิงตรงหน้านี่
“บ้าจริง!”
ด่าตัวเองเบาๆเมื่อตนเองเอาคนสองคนมาเปรียบเทียบกัน
ปาฏิหาริย์พยักหน้าเป็นเชิงตกลงว่าจะซื้อเสื้อที่อยู่ในมือของหญิงสาวให้ตามคำขอ แล้วเบนสายตาไปด้านนอกด้วยความเซ็ง กำลังหาเหตุผลจะขอตัวกลับก่อนอยู่ก็ให้พอดีไปสบเข้ากับดวงตากลมแสนคุ้นเข้า
อีกฝ่ายดูเหมือนจะมองเข้ามาอยู่นานแล้ว เมื่อเขาหันไปมองจึงสะดุ้งเล็กน้อยเหมือนเพิ่งรู้สึกตัวก่อนจะรีบจ้ำเท้าเดินจากไป มองจนลับสายตาแล้วจึงหันกลับมาเมื่อถูกเรียกโดยพนักงานขาย
“อะไรจะพอดีปานนี้”
พูดให้ตัวเองได้ยินคนเดียวพลางส่งเครดิตการ์ดให้พนักงาน
............................
ภาคนิพนธ์จ้ำเท้าเดินออกมาให้ไกล ในหัวตื้อไปหมด เขามองเข้าไปในร้านนั้นด้วยความไม่ตั้งใจ แค่เพียงเป็นการมองไปเรื่อยๆระหว่างทางเดินกลับมาจากห้องน้ำ แต่สายตากลับไปสะดุดเข้ากับร่างสูงใหญ่ที่ภาคนิพนธ์จำได้ดี ข้างกายชายหนุ่มมีหญิงสาวหน้าตาสะสวยเกาะแขนและยิ้มหวานให้อย่างสนิทสนม มันดูเหมาะกันอย่างเหลือเชื่อ เหมาะกันจนภาคนิพนธ์เกลียดตัวเองขึ้นมาที่เกิดมาเป็นผู้ชายที่ไม่มีอะไรคู่ควรแบบนี้ เกลียดตัวเองที่อิจฉาขึ้นมาเมื่อมองเห็นภาพเหล่านั้น
เพราะแบบนี้ใช่ไหมปาฏิหาริย์ถึงได้ไม่เหมือนเดิม เหมือนตอนที่ยังอยู่ที่คอนโดด้วยกัน เพราะมีตัวจริงอยู่แล้วและไม่มีความจำเป็นต้องทำเป็นรักภาคนิพนธ์อีก ... ที่กลับมาเหมือนจะคบกันมันก็แค่ข้อตกลง เหมือนเป็นธุรกิจอย่างหนึ่งเท่านั้น
มันก็แหงอยู่แล้ว ไม่ว่าถามใครก็คงตอบได้โดยไม่ต้องคิด
แล้วทำไมภาคนิพนธ์ถึงคิดอะไรโง่ๆหลงตัวเองอยู่เรื่อยว่าคงมีความสำคัญกับอีกฝ่ายอยู่บ้าง
ภาคนิพนธ์กัดริมฝีปากตัวเอง ด่าตัวเองว่าโง่ๆๆให้คำๆนี้มันซึมเข้าสู่สมอง ...
................
มีต่อข้างล่างนะคะ