- หลงกาว(น์) ll Love Addict -
หลงที่ 1 : เจ้าของห้อง 1217
“ ห้อง 1216 ครับ”
“ สักครู่นะคะ”
นิติบุคคลสาวประจำคอนโดทำหน้าเหนียมอายเมื่อสบตากับผมตรงๆ เจ้าหล่อนแอบหน้าแดงก่อนจะหันกลับไปค้นหาคีย์การ์ดและกุญแจห้องสำรองให้ ผมรอสักพักเธอก็ยื่นของดังกล่าวมาให้ก่อนจะชวนคุย
“ ห้องอยู่ชั้น 12 ออกจากลิฟต์อยู่ทางซ้ายมือนะคะ”
“ ครับ”
ผมพยักหน้ารับ
“ ไปถูกนะคะ”
หล่อนถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ผมพยักหน้ารับก่อนยิ้มให้อีกฝ่ายหลังจากนั้นก็เดินแบกเป้มาตามทางเดิน พร้อมกับสำรวจของที่ได้รับเมื่อกี้ในซองชาวซึ่งปิดทับไว้อย่างดี ตาก็คอยมองไปรอบๆคอนโดแห่งนี้ที่บรรยากาศโดยรอบตกแต่งอย่างสวยงามดูเข้ากันอย่างลงระหว่างความสวยงามและความทันสมัยสมเป็นคอนโดในแหล่งยอดนิยมเพราะอยู่ใกล้บีทีเอสและสถานศึกษา
“ หืม”
ผมทำหน้ามึนงงเมื่อล้วงเข้าไปในซองดันเจอคีย์การ์ดและกุญแจห้องห้องอื่นที่ไม่ใช่ห้องที่ตัวเองระบุไว้ 1217 เลขที่ระบุอยู่หน้าซองซ้ำยังเป็นเลขเดียวกับของในซองอีก
...หรือว่าผมจะจำเลขห้องของตัวเองผิด...
เอะ แต่ตอนซื้อก็จำได้ว่าอยู่ว่าน่าจะเป็น 1216 แต่ก็นั่นล่ะเพราะมันความทรงจำเกือบสองปีกว่าแล้วใครจะไปจำได้ยิ่งผมไม่เคยเข้ามาอยู่อาศัยเลยนับตั้งแต่ซื้อคอนโดทิ้งไว้
...หรือว่านิติบุคคลสาวหยิบกุญแจให้เขาผิด แต่มันก็ไม่น่าพลาดเมื่อมีการตรวจสอบบัตรประชาชนทั้งยังข้อมูลส่วนตัวต่างๆยังระบุอย่างชัดเจน ไม่งั้นนิติบุคคลสาวคนนั้นคงจะทักท้วงอะไรเขาบ้าง สงสัยว่าวันนี้เขาคงจะมึนเบลอจริงๆ จะไม่ให้เบลอยังไงไหวเมื่อพอลงเครื่องที่สนามบินเสร็จก็จับแท็กซี่มาส่งที่คอนโดนี้เลย
จริงๆแล้วผมมีบ้านพักแถวชานเมืองซึ่งเป็นของครอบครัวแต่เนื่องจากที่นั้นไม่มีใครอยู่เป็นเวลานานเพราะทุกคนในครอบครัวใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศกันหมด บ้านหลังนั้นจึงคล้ายกับถูกปิดเอาไว้เฉยๆแต่ยังคงจ้างคนมาทำความสะอาดเรื่อยๆแต่บ้านที่ว่านั่นก็อยู่ห่างไกลเมืองเหลือเกินทั้งยังไม่สะดวกหลายอย่าง ตรงกันข้ามกับคอนโดแห่งนี้ที่ทั้งสะดวกและอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยซึ่งผมกำลังจะเข้าศึกษาต่อ
...1217...
เลขห้องที่ระบุอยู่หน้าประตูบานสีเบจหยุดสายตาที่กำลังไล่มองตัวเลขที่เรียงลำดับอยู่หน้าห้องตั้งแต่ออกจากลิฟต์มา ผมยื่นคีย์การ์ดหมายจะไปแตะตรงช่องที่มีสัญญาณอัตโนมัติแต่ยังไม่ทันที่จะทำอย่างว่าก็ชะงักเมื่อเห็นประตูห้องนั้นแง้มอยู่เล็กน้อยไม่ได้ปิดสนิท
สงสัยว่าแม่บ้านที่ลูกพี่ลูกน้องสาวไหว้วานจ้างไว้คงจะมาทำความสะอาดให้ ว่าแต่ทำไมถึงไม่ปิดประตูให้สนิทหรือว่าอาจจะลืมปิด
ผมยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนักเพราะข้าวของในไม่มีสมบัติสำคัญอะไรเพราะไม่เคยมาอยู่เลยนับตั้งแต่ซื้อเก็บเอาไว้ คิดได้ดังนั้นผมเลยผลักประตูเข้าไปด้านในก่อนจะถอดรองเท้าแล้วแบกเป้ทิ้งลงข้างตัว เท้าที่กำลังจะก้าวไปกลางห้องหยุดชะงักเมื่อเห็นภาพตรงหน้า
“ ปล่อย”
“ อื้ม ปาย”
“ ปล่อยผมไอ”
“ ไอรู้ว่าคุณต้องการ”
ผมยืนอ้าปากค้างกับการแสดงอันเสียวไส้ระหว่างชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันจนเสื้อผ้าบางส่วนในร่างกายหลุดร่วงกองอยู่ตามพื้น หญิงสาวในชุดเดรสสีสดชายกระโปรงถกขึ้นมาเหนือเข่าเกือบคืบกำลังขึ้นคร่อมซุกไซ้ชายหนุ่มที่นอนแนบไปกับโซฟา เสี้ยวหน้าด้านข้างของผู้ชายคนนั้นเบี่ยงหนีริมฝีปากของหล่อนด้วยสีหน้าหน่ายๆ มือหนาที่รวบเอวคอดไว้ผลักหล่อนออกเบาๆ
“ ไอ”
“ อื้ม ไอรักปายนะคะ”
หล่อนก้มไปจูบซับแผ่นอกเปล่าเปลือยของชายหนุ่มอย่างหลงใหล ผมกระตุกยิ้มมุมปากราวกับว่าตัวเองเป็นผู้ชมที่คอยดูการแสดงบทบาทอะไรสักอย่างอย่างเพลิดเพลิน สีหน้าไอ้หมอนั่นดูเบื่อหน่ายรำคาญทั้งยังพยายามดันสาวเจ้าออกห่างเป็นกิริยาที่ดูไม่สอดคล้องไปกับหญิงสาวที่กำลังเพลิดเพลินกับการซุกไซ้ซอกคอขาวนั่น
“ มึง”
ผมยอมรับว่าตัวเองเสียมารยาทที่ยืนดูอีกฝ่าย แต่ยังไงก็เถอะอุตส่าห์ยืนหลบมุมอยู่แต่สายตากลมโตดูแข็งกร้าวก็ตวัดสายตามองมาทางนี้พอดี
“ อะไรคะปาย”
“ ออกไป”
ไอ้หนุ่มนั่นผลักหญิงสาวออกจากตัวเรี่ยวแรงคงจะหนักหนาพอดูถึงทำให้เจ้าหล่อนเซหงายหลังไปทันที
“ ว้าย”
“ คือ”
หญิงสาวเอี้ยวตัวหันมาทางนี้พอดีถึงกับร้องวี๊ดว้ายยกมือปิดหน้าอกหน้าใจของตัวเองยกใหญ่เมื่อเห็นว่ามีบุคคลที่สามปรากฏกายขึ้นมาห้อง
“ นี่แกเป็นใคร”
“ ผม”
ผมยืนอ้ำอึ้งจับต้นชนปลายไม่ถูกรู้สึกว่าหัวสมองไม่ไหลลื่นคงเพราะอดหลับอดนอนนั่งเครื่องบินหลายชั่วโมง
“ ออกไปจากห้องกู”
...ห้องกู...
ผมทำหน้ามึนก้มมองคีย์การ์ดในมืออีกครั้ง
“ เข้าใจผิดอะไรรึเปล่านี่ห้องผม”
ผมเถียงไอ้นั่น ผู้ชายตรงหน้าจัดว่าเป็นหนุ่มหล่อที่สาวๆเห็นคงต้องเหลียว ใบหน้าคมคายขาวเนียน คิ้วหนา ริมฝีปากสีสดราวกับคนที่มีสุขภาพดี ท่อนบนมันเปล่าเปลือยมองเห็นลอนกล้ามเนื้อตรงท้องอย่างชัดเจน มันดูดีทุกอย่างจะขัดก็แค่สีหน้ารำคาญคิ้วหนาขมวดมุ่นและติ่งหูทั้งสองข้างเจาะใส่ตุ้มหูอันเล็กสีดำ ตอนที่มันลุกขึ้นยืนคาดว่าส่วนสูงคงไม่ต่างจากผมมากนัก
เรากำลังประจันหน้ากันจนสายตาเกือบจะอยู่ระดับเดียวกัน มันเงยขึ้นเล็กน้อยทำให้ผมรู้ว่าผมคงจะสูงกว่ามันไม่มากนักหรอก
“ ออกไป”
“ นี่ห้องผม”
“ กูบอกให้มึงไสหัวออกไปจากห้องกู”
“ว้าย”
ผู้หญิงคนนั้นร้องลั่นเมื่อมันปาแจกันบนโต๊ะรับแขกเฉียดหน้าผมไปนิดเดียว เธอตัวสั่นอย่างตกใจและยิ่งตกใจหนักกกว่าเดิมเมื่อไอ้หมอนี่โยนกระเป๋าถือไปตกใกล้ๆปลายเท้าของเธอ
“ คุณกลับไปได้แล้วไอ”
“ แต่..” เธออิดออด
“ ไป”
ไม่ต้องรอให้พูดซ้ำเจ้าหล่อนรีบจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ก่อนจะคว้ากระเป๋าถือมากุมไว้แล้วสะบัดหน้าหนีพร้อมกับกระแทกเท้าแรงๆเดินออกไป
“ ไป”
“ เธอไปแล้ว”
“ กูหมายถึงมึง”
ผมถอนหายใจยืนกอดออกพิจารณามันนิ่ง ไม่ต่างจากมันที่ยืนคุมเชิงอยู่เบื้องหน้า
“ ที่นี่ห้องผม”
ผมยังยืนยันคำเดิมพร้อมกับยื่นคีย์การ์ดที่ระบุเบอร์ห้องไปที่อีกฝ่าย มันหรุบตามองของในมือผมก่อนจะทำหน้าไม่พอใจ
“ นี่ไม่ใช่ห้องมึง”
“ ก็คีย์การ์ดมันระบุเลขห้องนี้..” ผมเริ่มมีน้ำโหคนยิ่งเหนื่อยๆอยากจะพักอยู่ “ มันจะไม่ใช่ได้ยังไงวะ คุณนั่นแหละเลิกเล่นพิเรนทร์มาใช้ห้องคนอื่นทำบัดสีแบบนี้ได้แล้ว ผมเหนื่อยอยากพักผ่อน”
ผมถอนหายใจแรงๆเพราะเหนื่อยล้าสะสมจากการนั่งเครื่องบินติดต่อกันหลายชั่วโมง มันยืนนิ่งตอนที่ผมโบกมือไล่ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่โซฟา
“ นอกจากชอบเสือกเรื่องชาวบ้านแล้วยังเสือกโมเมเอาของคนอื่นอีกนะมึง” มันกอดอกด่าผมนิ่งๆ
ผมนี่เลือดขึ้นหน้าเลย
“ อ้าวคุณ”
“.........”
“ ใครมันจะไปรู้วะว่าเปิดเข้ามาพวกคุณจะเอากันอยู่”
“ ไอ้เหี้ย”
ฝ่ายนั้นตะโกนด่าผมทันทีตอนที่ผมพูดไปแล้วทำท่าเอามือสองข้างประกบกันเป็นสัญลักษณ์ไปทางในเบื้องต่ำ
“ ผมพูดความจริง”
มันบดกรามแน่นตาจ้องมองผมสีหน้าเอาเรื่อง มือทั้งสองข้างกำแน่น หน้าขาวๆที่กำลังโกรธแดงก่ำเหมือนของทอดที่กำลังจะสุก โครตตลกเลยผมกลั้นยิ้ม
“ หัวเราะหาพ่อมึงเหรอ”
“........”
ผมไม่ตอบแต่เหลือบตามองมันคล้ายกับจะบอกว่ามันนั่นแหละคือคำตอบ ฝ่ายนั้นหน้าตึงก่อนจะชูนิ้วกลางใส่หน้าผม
ผมยักไหล่ไม่ได้โกรธอะไรเพราะตอนอยู่เมืองนอกเพื่อนๆที่สนิทมันฮาร์ดคอร์ยิ่งกว่านี้ แต่ที่คงตรงหน้ายังไม่รู้ก็คือผมเป็นประเภทใครกวนมาผมจะชอบกวนกลับ อืม ถ้าจะเรียกให้ถูกคือผมเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างกวนตีนคำนี้แหละถึงจะถูก
“ ของคุณอันเท่านี้เหรอ”
ผมยิ้มๆมองนิ้วกลางของอีกฝ่ายสลับกับจ้องไปที่กึ่งกลางลำตัวฝ่ายนั้นที่ซ่อนอยู่ในกางเกงเดฟสีดำ ช่วงขาที่เรียวขามีเนื้อหนังบ่งบอกว่าเจ้าตัวคงจะออกกำลังเป็นประจำแน่นอน
“ มึง”
“ ขอโทษนะคะ”
จังหวะที่มันเตรียมกระโจนใส่ผมบังเอิญว่านิติบุคคลสาวที่เจอกันก่อนหน้านี้โผล่เข้ามาพอดี เธอทำเหรอหราและยิ่งตกใจเมื่อเห็นมันเปลือยท่อนบนอยู่และท่าทางพวกเราคงจะสามัคคีกันมากเป็นพิเศษแบบนี้
“ เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าคะ”
“ ออกไป” นอกจากมันจะไม่ตอบคำถามเขาดีๆแล้วยังตะคอกใส่พวกเราอีก
“ ขอโทษนะคะ ขอโทษค่ะ เป็นความบกพร่องของพวกเราเองพอดีดิฉันหยิบกุญแจห้องให้ผิดค่ะ” ท้ายประโยคเธอหันมาพูดกับผมแล้วก้มหน้าขอโทษขอโพยมัน
“ หา”
“ ขอโทษค่ะ” หล่อนหน้าเสียทำหน้าไม่สู้ดีนัก “ขออภัยในความบกพร่องครั้งนี้ด้วยค่ะ” หล่อนยกมือไหว้
“ ครับ”
ผมรับคำแบบงงๆ “ แล้วห้องผมคือ”
“ 1216 คะห้องข้างๆนี้เอง” หล่อนผายมือไปข้างๆ “ ถ้ายังไงเชิญตามดิฉันมาเลยค่ะ แล้วก็ขอโทษเจ้าของห้องสำหรับความสัปเพร่านี้ด้วยนะคะ”
มันพยักหน้ารับไปงั้นๆ ส่วนผมได้แต่เกาหัวก่อนจะเดินตามเธอออกไปจังหวะนั้นแหละผมได้ยินเสียงในลำคอมันราวกับว่าเยาะเย้ยที่สุดท้ายก็กลายเป็นผมที่ขี้ตู่จะเอาห้องของมัน
ผมหันไปมองและดวงตาเราประสานกัน มันแสยะยิ้มท่าทางกวนตีนไม่น้อย
“ หึ เล็ก” ผมทิ้งระเบิดไว้ด้วยการมองไปที่เป้ากางเกงมันแล้วปรามาสด้วยสีหน้ายียวน
“ ไอ้สัตว์”
ดีว่าผมปิดประตูห้องมันก่อนไม่งั้นเสียงดังโครมที่ตามมาติดๆนั่นคงไม่แคล้วโดนส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายผมเป็นแน่ หึ เรียกว่าดุเดือดตั้งแต่วันแรกที่เหยียบแผ่นดินเกิดเลยให้ตายเถอะ
***********************************
หลังจากวางกระเป๋าเป้ไว้กลางห้องผมก็ตัดสินใจเดินไปอาบน้ำอาบท่าเพื่อให้ตัวเองสดชื่นแต่ถึงอย่างนั้นร่างกายที่อดหลับอดนอนมาหลายชั่วโมงก็ทนไม่ไหวสุดท้ายผมเลยเลื้อยตัวลงนอนตรงโซฟากลางห้อง แต่ก่อนมโนความคิดจะล่องลอยไปภาพใบหน้าคนเจ้าอารมณ์ห้องข้างๆก็สว่างวาบขึ้นมา
คนอะไรวะขี้หงุดหงิดน่าดู
สังเกตได้จากการที่มันทำหน้าเฉยชาเบื่อหน่ายโลกตลอดเวลาไม่เว้นแม้แต่ตอนที่หญิงสาวที่มีใบหน้างดงามนั้นขึ้นคร่อม อยู่บนตัวมัน แปลก มีคนประเภทนี้อยู่ด้วยงั้นเหรอ ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนทั้งๆที่คนอย่างผมเจอคนมาตั้งมากมายตอนที่ใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ
ผมคิดอย่างขำๆก่อนจะผล็อยหลับไปในที่สุด
.
.
...ติ๊ดๆๆๆ...
เสียงนาฬิกาปลุกที่กดตั้งเอาไว้ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบทำเอาสะดุ้งตื่น หลังจากนั้นผมถึงได้มีโอกาสมองเลยไปยังนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบจะสี่ทุ่มเข้าไปแล้ว ผมสะบัดศีรษะไปมาเพื่อเรียกสติ เป็นเวลานานพอสมควรสำหรับการพักเอาแรงเพราะผมเริ่มหลับตั้งแต่บ่าย พอได้พักผ่อนนอนหลับจนอิ่มแล้วถึงได้รู้สึกว่าท้องตัวเองกำลังร้องด้วยความหิว
“ ไม่หิวก็บ้าแล้ว”
ผมพึมพำกับตัวเองเพราะมื้อสุดท้ายที่กินคือตอนอยู่บนเครื่องบินเมื่อหลายชั่วโมงก่อน คิดได้ดังนั้นจึงเริ่มลงมือค้นของในกระเป๋าเดินทางเพราะก่อนหน้านี้มารดาเขาเป็นคนแพ็คกระเป๋าให้ดังนั้นคงพอจะมีของกินอะไรติดมาบ้าง จะลงไปหาอะไรรองท้องตอนนี้ก็ขี้เกียจซะเหลือเกิน และผมก็ไม่ต้องผิดหวังเมื่อเห็นพวกขนมปังและคุ้กกี้ห่อกันกระแทกอย่างดีอยู่มุมหนึ่ง ภาพตรงหน้าทำให้อดคิดถึงผู้หญิงแสนรอบคอบซึ่งเป็นที่รักของผมและครอบครัวเป็นอย่างมาก
...คุณหญิงนิตยา... พูดแล้วก็อดคิดถึงไม่ได้จึงเอื้อมมือไปยังไอแพดคู่กายก่อนจะกดโทรวีดีโอหามารดาซึ่งอยู่ไกลแบบคนละซีกโลกหนึ่งโน่น รอไม่นานสัญญาณการเชื่อมต่อก็เริ่มต้นแล้วหน้าจอก็ปรากฏภาพใบหน้าเนียนใสของตัวแสบประจำบ้าน
“ พี่ยิม”
น้องสาวตัวแสบของผมโบกมือหยอยๆท่าทางยินดีไม่น้อย ใบหน้าเนียนใสยิ้มแก้มตุ่ยก่อนจะร้องวี๊ดวายกวักมือเรียกมารดาซึ่งมักบ่นให้ฟังเสมอว่าเจ้าแสบกระโดกกระเดกไม่สมกุลสตรีเอาซะเลย
“ คุณแม่ คุณแม่พี่ยิมโทรมาค่ะ”
“ คุณแม่”
เสียงมารดารับคำมาจากที่ไกลๆเมื่อนั้นเจ้าแสบถึงได้หันกลับมาสนใจผมทันที
“ ถึงนานรึยังอ่ะพี่ยิม”
น้องสาววัยใสของผมยิ้มแป้นแล้นมือก็สไลค์โทรศัพท์ในมือไปด้วย
“ ตั้งแต่บ่ายแล้ว แล้วเราอ่ะทำอะไรก้มหน้าก้มตายุ่งกับโทรศัพท์เชียว”
“ แฮ่”
เจ้าแสบแลบลิ้นทำไม่รู้ไม่ชี้
“ อ่านนิยายวายอยู่ล่ะสิ”
ผมแซวขำๆเพราะรู้ดีว่าเจ้าแสบชื่นชอบนิยายประเภทชายรักชายเป็นชีวิตจิตใจ ยิ่งเข้าคู่กับ
‘พี่หญิง’ ลูกพี่ลูกน้องสาวยิ่งไปกันใหญ่เพราะฝ่ายหลังนั้นผันตัวเองมาเขียนนิยายประเภทนี้จนโด่งดัง สุดท้ายอิท่าไหนไม่รู้พี่หญิงต้องเพียรส่งหนังสือแพ็คไปให้น้องสาวผมถึงเมืองนอกโน่น เรียกได้ว่าชอบเป็นชีวิตจิตใจ ตอนแรกๆผมก็ไม่เข้าใจหรอกออกจะแปลกๆด้วยซ้ำแต่เพราะถูกเจ้าแสบกรอกหูทุกวันมันเลยซึมซับไปบ้างถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้อยู่ดีอะนะ
“ พูดถูกใจ แต่เดาผิด”
“ หืม”
ผมทำหน้าฉงนเพราะปกติถ้าว่างจากการเรียนหรือกิจกรรมที่โรงเรียนน้องสาวผมก็ฝังตัวไปกับนิยายประเภทนี้จนมารดาเอือมระอา แต่ก็ได้แค่บ่นเพราะบิดานั้นคอยให้ท้ายเจ้าแสบอยู่เสมอ อย่างว่าแหละด้วยความเป็นลูกคนเล็กของครอบครัวซ้ำยังเป็นลูกสาวพ่อกับแม่ผมถึงได้ทั้งรักทั้งประคบประหงมกันขนาดนี้
“ บัวกำลังดูผู้ชายหล่ออยู่”
“ อะไรนะ”
นี่ถึงกับตามส่องผู้ชายแล้วเหรอคิดดูเด็กสิบเจ็ดสมัยนี้แก่แดดขนาดไหน ผมส่ายหัวไปมาก่อนจะหัวเราะใบหน้าจิ้มลิ้มที่มองค้อนผมไม่เบานัก
‘ใยบัว’ คือเด็กแสบของครอบครัวถึงอย่างนั้นผมก็รักและเอ็นดูน้องสาวคนนี้มาก เพราะไม่ใช่แค่พ่อกับแม่หรอกที่ชอบตามใจเธอผมเองก็เหมือนกัน เวลาน้องมาอ้อนเอาอะไรผมเองก็ใจอ่อนเสมอ หึ เด็กแสบเอ้ย
“ แล้วตกลงทำอะไรกันแน่ แอบดูหนังโป๊ใช่มั้ย”
“ บัวไม่ใช่พี่ยิมนะ”
นั่นไงทั้งฉลาดและรู้ทันผมขนาดนี้จะไม่ให้รักยังไงไหว
“ พี่ไม่ใช่คนแบบนั้นเถอะ”
“ เหรอ”
ยังจะมาทำลอยหน้าลอยตาจนน่าดีดผมม้าตรงหน้าผากชะมัด
“ ว้าย เพจอัพรูปพี่หมอปายด้วยอ่ะ”
“.......”
ผมส่ายหัวอย่างอ่อนใจกับอาการดีดดิ้นของน้องสาว ระหว่างนั้นผมก็เทกระเป๋าจัดของเข้าตู้เสื้อผ้าไปด้วย
“ อ้าย พี่หมอปาย”
“ หล่ออะไรเบอร์นี้”
เจ้าแสบยังพร่ำเพ้อต่อไปกับหน้าจอโทรศัพท์ตัวเอง ผมมองอาการคุ้มดีคุ้มร้ายของน้องสาวแล้วได้แต่ขำในใจเด็กนี่บางทีก็ติ้งต้อง บางทีก็กวนตีนไม่แพ้ผมหรอก อย่างว่าแหละสายเลือดเดียวกัน หึ
“ อะไรเจ้าแสบ”
“ ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้หล่อโฮก”
“ น้อยๆหน่อยเจ้าแสบกล้าดียังไงมาชมผู้ชายคนอื่นว่าหล่อต่อหน้าพี่เนี่ย”
“ ก็มันจริงอ่ะ”
“ ว่าแต่ไอ้หมอนี้มันเป็นใคร”
“ เอ้าก็รุ่นพี่ที่มหาลัยพี่นั่นแหละ...” ใยบัวทำหน้าเหมือนว่าผมพลาดอะไรดีๆไปสักอย่าง “...แบบว่าหน้าตาดีไงเลยมีรูปลงเพจ Cute boy ที่มหาลัยพี่ไง”
...อะไรวะ...
ผมเกาหัวงงทำหน้าไม่เข้าใจอะไรเพจๆนะ ขณะที่เจ้าแสบกำลังจะอ้าปากอธิบายพอดีมารดาเดินเข้ามาในจอภาพ เจ้าแสบถูกแม่บิดแก้มเบาๆแล้วบ่นอะไรไม่รู้ น้องสาวผมถึงได้ค้อนอย่างไม่จริงจังนักก่อนจะวิ่งหัวเราะหนีมารดาหายไปจากจอภาพ
“ ยิม”
“ ครับแม่”
“ เดินทางเป็นยังไงบ้างลูก”
สีหน้าของมารดาแสดงความห่วงใยอย่างชัดเจน
“ โอเคครับแม่ตอนนี้ยิมถึงห้องแล้ว”
“ ดูแลตัวเองนะลูก”
“ ครับ”
ผมรับคำมารดาที่น้ำเสียงดูว่าห่วงใยจริงๆทั้งๆที่ผมก็เดินทางคนเดียวออกบ่อยเพราะเขาเป็นใช้ชีวิตที่ต่างประเทศตั้งแต่เด็ก ต้องย้ายไปตามเมืองต่างๆตามบิดาซึ่งเป็นทูตประจำอยู่ที่ประเทศแถบยุโรป ดั้งนั้นทั้งพ่อและแม่ต้องหอบผมและใยบัวตามไปด้วยทุกที เพราะท่านทั้งสองไม่อยากอยู่ไกลจากลูก ดังนั้นตั้งแต่เด็กผมถึงอยู่ไม่ค่อยเป็นที่ต้องเข้าออกโรงเรียนเป็นประจำถึงอย่างนั้นก็มีข้อดีที่ทำให้ผมมีเพื่อนค่อนข้างเยอะ
เพราะต้องหัดทำอะไรเองตั้งแต่ยังเด็กจึงทำให้ผมค่อยข้างที่ดูแลตัวเองได้ดีเนื่องจากมารดาในฐานะภริยาทูตต้องช่วยงานบิดาในหลายๆเรื่องทำให้ท่านไม่ค่อยมีเวลาให้พวกเรานัก ผมกับเจ้าแสบจึงสนิทกันมากเพราะรู้ว่าพ่อกับแม่ไม่ค่อยว่างผมถึงต้องรับหน้าที่ดูแลน้องน้อยไปโดยปริยาย
“ ไปอยู่โน่นก็ตั้งใจเรียนนะยิม” คุณหญิงนิตยาภริยาท่านทูตอัศนัยได้ทีแย็บผมนิ่มๆ เนื่องจากตอนอยู่ไฮสคูลที่นั่นผมค่อนข้างแสบพอตัว
“ โธ่แม่ครับ”
“ ไม่รู้แหละไปอยู่ตัวคนเดียวอย่าแว้นให้มันมากนักนะเรา”
ไงแม่ผมใช้ศัพท์ได้วัยรุ่นซะด้วยสมกับตำแหน่งผู้หญิงทันสมัยแห่งยุคจริงๆ
“ ครับผม” คุณหญิงนิตยาหรี่มองผมอย่างรู้ทัน
“ ให้มันจริงเถอะย่ะ”
“ โธ่แม่ครับ ลูกชายไม่ใช่คนแบบนั้นซะหน่อย”
“ อีกไม่นานก็จะได้เจอกันแล้วครับแม่”
“ ก็นี่แหละแม่ถึงวางใจให้กลับไปคนเดียว”
หึ ทั้งๆที่ผมกับน้องสาวกลับไทยทุกซัมเมอร์เพราะญาติพี่น้องของบิดามารดาก็อยู่ที่นี่กันทั้งนั้น โดยเฉพาะญาติพี่น้องข้างฝ่ายมารดาที่อาศัยอยู่แถบปริมณฑลซึ่งผมกลับไปเยี่ยมประจำเพราะที่นั่นเป็นบ้านสวนซึ่งยายผมกับลูกหลานบางส่วนอาศัยอยู่
“ยังไงก็ดูแลตัวเองดีๆนะยิม แม่ต้องไปแล้วพอดีวันนี้มีงานเลี้ยงที่สถานทูต”
“ ครับแม่ ผมฝากความคิดถึงถึงพ่อด้วยนะครับ”
“ จ๊ะ แม่รักลูกนะยิม”
“รักคุณแม่เหมือนกันครับ”
ส่วนหนึ่งที่ผมตัดสินใจกลับมาเรียนในระดับปริญญาตรีต่อที่ไทยเพราะบิดาซึ่งใกล้จะเกษียณอายุราชการในหกเดือนข้างหน้าต้องการจะกลับมาอยู่บ้านเกิดเมืองนอนตัวเอง ดังนั้นพวกเราจึงเตรียมอพยพครอบครัวกลับมาตั้งรกรากที่ไทยอย่างถาวร พ่อผมบอกเสมอว่าถ้าถึงวันที่ท่านเกษียณตัวเองออกมาแล้วท่านต้องกลับมาใช้ชีวิตอย่างสงบที่บ้านของท่าน ส่วนแม่ซึ่งอยู่เคียงข้างพ่อมาตลอดคงจะได้ทำหน้าที่แม่บ้านสมใจสักที เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้นผมเลยสอบเรียนต่อในมหาวิทยาลัยที่ไทย
คิดถึงหกเดือนข้างหน้าครอบครัวเราคงกลับมาวุ่นวายเหมือนเดิมตอนที่อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาโดยเฉพาะเจ้าแสบที่คงสุขกว่าใครเพราะจะได้กลับมาล่านิยายแนวถนัดของตัวเองได้สะดวกสักที คิดถึงหน้าแป้นแล้นของน้องสาวแล้วก็ได้แต่ขำ
ว่าแต่ไอ้หมอปายคนที่เจ้าแสบมันพร่ำเพ้อที่มันจะแน่สักขนาดไหนวะ ถึงขนาดที่ทำให้น้องสาวซึ่งถือหางพี่ชายเรื่องความฮอตถึงกับออกปากชมคนอื่นอย่างไอ้หมอนั่นแบบนี้
...ชักอยากจะเห็นหน้ามันขึ้นมาแล้วสิ...
เปิดเรื่องใหม่จ้า แนวที่ไม่เคยเขียนเลยแบบว่าเมะชนเมะ อุ๊กรี๊ดดดดด
อาจจะฮาร์ดคอร์ไปบ้างเพื่อความสมจริง เอาตรงๆคือสนองนี๊ดตัวเอง 5555
ฝากติดตาม[หมอปาย&ยิม หรือยิม&หมอปาย]ด้วยน้า ไม่รู้ว่าใครจะหลงใคร อิอิ