ไข่ฟองที่ 12
แฟนเพื่อนสนิท
"วันนี้กูจะไปหาพี่อ๋องนะ"
ผมละความสนใจจากไทม์ไลน์อันแสนหน้าเบื่อบนเฟซบุ๊กหันไปมองเพื่อนสนิทที่อยู่ๆ ก็พูดถึงแฟนหนุ่มรุ่นพี่ออกมาในช่วงพักสิบนาทีของคาบบ่าย
"ไปตอนไหน"
"เลิกเรียน"
วิชาต่อไปก็เป็นคาบสุดท้ายของวันนี้แล้ว อย่าบอกนะว่าที่ไข่ต้มมันทำหน้าเหมือนคิดอะไรสักอย่างมาทั้งวันคือเรื่องนี้ เรื่องที่มันอยากไปหาพี่อ๋อง
"ไปหาที่ไหน"
"มหา'ลัยดิ"
"คนเดียว?"
"อืม"
ผมวางมือถือไว้ใต้โต๊ะหันหน้ามาคุยกับไข่ต้มให้เป็นเรื่องเป็นราว ปกติมันเคยอยากไปหาใครที่ไหน ถึงไปก็ชอบลากผมไปด้วยตลอด แต่ตอนนี้กลับอยากไปคนเดียวขึ้นมา ไม่รู้ว่าพี่อ๋องชวนหรือมันคิดจะไปเอง
"พี่เขาให้ไปหาเหรอ"
"เปล่าอะ กูอยากไป อยากเจอ"
รู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ที่หัวใจ ผมเองก็ลืมคิดไปว่าพี่อ๋องไม่ใช่คนแปลกหน้าหรือคนธรรมดาที่ไข่ต้มมันจะทำเมินไม่สนใจ แต่เป็นคนพิเศษมากๆ สำหรับมัน
"ให้ไปเป็นเพื่อนมั้ย"
"ไม่เป็นไร กูบอกไว้เฉยๆ เลิกเรียนกะว่าจะออกไปเลย"
"มึงไปถูกแน่นะ"
"มันก็ไม่ได้ไปยากป้ะ"
"กลัวมึงหลงไง ปกติไม่เห็นเคยไปไหนคนเดียว"
"เวอร์ไปละ"
"ยังไงก็รายงานกูด้วยแล้วกัน"
"รายงานเลยเหรอ"
"เออ เผื่อมึงหลงไง กูเป็นห่วง"
"ครับพ่อ" มันรับคำแล้วคำหน้ากวนประสาทใส่ผม ใจนึกอยากจะเขกกะโหลกแรงๆ โทษฐานทำตัวน่ารักเกินไป แต่ก็ทำได้แค่ง้างมือค้างไว้แล้วย่นจมูกใส่มันแทน มองมันนั่งอมยิ้มมีความสุข โดยที่ไม่ต้องเดาให้ยากว่ามันกำลังนึกถึงใคร
เป็นรอยยิ้มที่ทำให้คนมองเจ็บหัวใจชะมัด
เลิกเรียนตอนบ่ายสามโมงไข่ต้มมันรีบเก็บของ บอกลาแล้วสะพายกระเป๋าออกจากห้องเรียน ส่วนเพื่อนสนิทดีเด่นอย่างผมก็ได้แต่โบกมือกลับแล้วยิ้มให้ บอกมันให้โชคดีระมัดระวังตัว ดูสายรถเมล์ให้ดีๆ ก่อนขึ้น ใครชวนไปไหนก็ห้ามไป ปิดท้ายด้วยว่าถ้าเจอพี่อ๋องแล้วให้ไลน์มาหา
ผมนั่งมองจนไข่ต้มมันเดินออกจากประตูแล้วรีบเก็บของตามออกไป ก่อนหน้านี้ผมบอกมันว่าไม่รีบกลับให้มันกลับไปก่อน เพราะไม่อยากส่งมันขึ้นรถที่หน้าโรงเรียน แล้วจะทำให้แผนที่ผมใช้เวลาคิดมาตลอดห้าสิบนาทีต้องพังลง
แผนที่ผมจะตามมันไปหาพี่อ๋องด้วย
ผมเดินตามหลังไข่ต้มโดยเว้นระยะห่างไว้พอประมาณ มองมันเดินก้มหน้าก้มตาไม่สนใจใคร ขณะที่ใครหลายคนรอบตัวจับจ้องมาที่มัน แต่กลับไม่มีใครสามารถทะลุกำแพงที่ล้อมรอบตัวเพื่อนผมคนนี้ได้เลย
เพราะนิสัยไม่ค่อยสนใจใครของไข่ต้มทำให้การสะกดรอยตามของผมเป็นไปอย่างราบรื่น ผมเดินรวมกลุ่มกับนักเรียนคนอื่นจนมาถึงป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียน ยืนหลบอยู่ด้านหลังมองไข่ต้มที่ยืนอยู่ด้านหน้า มันคอยชะเง้อมองรถเป็นพักๆ จนกระทั่งคันที่รอมาถึง
ไข่ต้มขึ้นประตูหน้าผมเลยเดินขึ้นประตูหลัง ป้ายนี้นักเรียนขึ้นเยอะเลยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกจับได้ โดยเฉพาะไข่ต้ม ผู้ที่ไม่เคยสนใจสิ่งรอบข้าง ยิ่งมันเปิดเพลงใส่หูฟังปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอกแบบนี้ยิ่งไม่ต้องกังวล แต่กลับทำให้ผมเป็นห่วงเพราะความไม่ระวังตัวของมันมากกว่า
รถวิ่งออกมาไกลขึ้นนักเรียนหลายคนก็เริ่มทยอยลง รถไม่ถึงกับโล่งเพราะมีคนขึ้นลงอยู่ตลอด ไข่ต้มได้ที่นั่งช่วงกลางรถ ผมได้นั่งถัดจากมันสองแถว แต่ไม่ต้องกลัวว่ามันจะเห็น เพราะขนาดคนที่นั่งข้างๆ มันได้หันไปมองเขาบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้
S : ถึงไหนแล้ว
ผมหยิบมือถือขึ้นมาพิมพ์หามันแกล้งถามถึงสถานการณ์ ทิ้งเวลาสักพักกว่าข้อความจะขึ้นว่าถูกอ่าน พร้อมคำตอบที่เพื่อนสนิทตอบกลับมา
Egg : ใกล้ถึงแล้ว
S : ขึ้นรถถูกสายใช่มั้ย
Egg : ถูกเด้
S : นึกว่าตื่นเต้นเลยขึ้นผิด
Egg : แค่ไปหาพี่อ๋อง ทำไมต้องตื่นเต้น
S : ก็ได้ไปเจอแฟนไง
พิมพ์เองก็เจ็บเอง อยากจะลบคำว่าแฟนทิ้งแต่คงไม่ทัน เลยได้แต่เงยหน้ามองคนที่นั่งอยู่เบาะหน้า อยากรู้ว่าตอนนี้ไข่ต้มมันกำลังทำหน้ายังไง
Egg : เพิ่งรู้ว่าเจอแฟนต้องตื่นเต้น
S : นานๆ เจอกันทีไม่ตื่นเต้นเหรอวะ
Egg : ไม่รู้ดิ ก็อยากเจอนะ แต่ก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น
S : ไร้ความรู้สึกเหรอมึง
Egg : นั่นก็เกินไป
ผมนั่งยิ้มให้จอมือถือ ไม่รู้ไข่ต้มจะเป็นเหมือนกันหรือเปล่า มันจะมีความสุขไหมเวลาที่ได้คุยกับผม แล้วมันจะยิ้มอย่างที่ผมยิ้มบ้างไหม
S : แล้วมึงตื่นเต้นมั้ยเวลาเจอกู
Egg : ถามอะไรวะ
รอยยิ้มผมจางลง มองคำถามของเพื่อนสนิทแล้วได้แต่หัวเราะเยาะตัวเอง นั่นสินะ มันจะตื่นเต้นเวลาได้เจอผมทำไม
S : ถามเฉยๆ
Egg : รู้แค่ว่ากูอยากเจอมึงทุกวันก็พอ
รอยยิ้มที่จางหายไปกลับคืนมาอีกครั้ง ผมยิ้มให้คนข้างหน้าแม้มันจะไม่เห็น ก็เป็นซะแบบนี้ ชอบทำให้ผมรู้สึกเหมือนเป็นคนพิเศษ แล้วจะให้ผมรู้สึกกับมันแบบเพื่อนธรรมดาได้ยังไง
Egg : ถึงแล้วว่ะ กูจะลงรถแล้วนะ เดี๋ยวเจอพี่อ๋องแล้วบอกอีกที
อ่านที่ไข่ต้มส่งมาผมถึงได้มองวิวข้างทาง ใกล้จะถึงมหาวิทยาลัยพี่อ๋องแล้วอย่างที่มันว่า ทั้งที่ก้มหน้าคุยกับผมอยู่ตลอด ทั้งที่เคยมาครั้งแรก แต่มันก็ไม่ลืมสังเกตเส้นทางและป้ายที่ต้องลง
S : เออๆ โชคดีนะมึง ระวังตัวด้วย
ข้อความของผมไม่ถูกอ่านเพราะไข่ต้มมันปิดเพลงเก็บหูฟังและเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงนักเรียนแล้วเรียบร้อย มันลุกขึ้นกดกริ่งยืนรอหน้าประตูด้านหน้า รอจนรถจอดสนิทประตูเปิดผมถึงลุกเดินลงประตูหลัง โชคดีที่มีคนอื่นลงด้วยอีกสองคน ไข่ต้มมันมัวแต่หันซ้ายหันขวาแบบคนไม่รู้ทาง ผมเลยรีบแทรกตัวไปกับกลุ่มคนที่ยืนรอรถอยู่ โดยที่มันไม่ทันสังเกตเห็น
ไข่ต้มหยิบมือถือขึ้นมาพิมพ์หาใครสักคน ซึ่งคงไม่ใช่ผมที่แจ้งเตือนน่าจะยังค้างอยู่บนหน้าจอของมันเพราะยังไม่ได้เปิดอ่าน ส่วนคนที่มันกำลังแชตไปหาเป็นใครนั้นก็คงไม่ต้องเดา
มือหยุดพิมพ์ยืนมองหน้าจออยู่สักพักไข่ต้มมันก็ยกมือถือขึ้นแนบข้างหู คาดว่าพี่อ๋องคงไม่ตอบมันเลยต้องโทรหา แต่เหมือนว่าจะไม่มีคนรับสาย
ผมเห็นไข่ต้มกดโทรออกอีกสองรอบแต่ผลก็ยังเหมือนเดิม มันมองมือถือแล้วทำหน้าหงอย เดินกลับมานั่งที่ป้ายรถเมล์ที่ผู้คนไม่ค่อยพลุกพล่านนัก สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล มันชัดเจนจนผมรู้สึกไม่ดีไปด้วย แล้วไอ้พี่อ๋องมันเป็นอะไรทำไมถึงไม่ยอมรับโทรศัพท์กัน
S : เจอพี่อ๋องยังวะ เงียบเลย
ผมลองทักไปหา เห็นมันก้มมองโทรศัพท์ที่อยู่ในมือสักพักก่อนข้อความของผมจะถูกอ่าน
Egg : ยังเลย
S : ยังไม่ถึงอีกเหรอ
Egg : ถึงแล้วๆ แต่รอพี่อ๋องออกมาอยู่
S : เคๆ อย่ากลับดึกแล้วกัน
สติ๊กเกอร์ตัวการ์ตูนหน้าตายิ้มแย้มมีคำกำกับว่ารับทราบถูกส่งกลับมา แต่หน้าตาไข่ต้มไม่ได้ร่าเริงเหมือนสติ๊กเกอร์ที่ส่งให้ผมเลยสักนิด มันบอกว่ากำลังรอ ทั้งที่โทรหาแล้วพี่อ๋องไม่รับ หรือมันกับพี่เขาอาจจะแชตกันโดยที่ผมไม่ทันสังเกตเห็น ถึงอย่างนั้นผมกลับไม่เห็นเลยว่าไข่ต้มมันกำลังมีความสุขอยู่
คำว่ารอที่ผมรับรู้มาไม่ได้ระบุเวลาที่แน่นอน ผ่านมาแล้วสิบห้านาทีหลังจากมาถึง ไข่ต้มยังเอาแต่จ้องมือถือ กดโทรออกเป็นระยะ แล้วถอนหายใจเมื่อไม่ได้รับการตอบกลับจากปลายสาย
ผมยังยืนมองไข่ต้มอยู่ที่เดิม อยากจะทักไปชวนคุยเป็นเพื่อนแต่ไม่อยากทำให้แจ้งเตือนของผมทำมันดีใจเก้อเพราะกำลังรอใครบางคน คนที่ยังไม่ยอมตอบกลับมา คนที่ปล่อยให้มันรอโดยไม่บอกอะไรเลย
สามสิบนาที...
สี่สิบนาที...
ห้าสิบนาที...
ความอดทนของผมหมดลงเมื่อยังไม่เห็นวี่แววว่าพี่อ๋องจะโผล่มาหรือไข่ต้มจะขยับไปไหน มันยังคงนั่งรออยู่ที่เดิม รอด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย สีหน้าที่ผมไม่ชอบเอาเสียเลย
S : กลับยัง ห้าโมงแล้ว
ผมทักไปหา ลอบมองปฏิกิริยาที่แสนเฉยชาเมื่อเห็นแจ้งเตือนของผม แล้วข้อความก็ถูกเปิดอ่านในทันที
Egg : เพิ่งห้าโมง
S : ทำไมตอบเร็ว
Egg : ไม่ดีเหรอ
S : พี่อ๋องไม่ว่า?
คำถามของผมทำมันเงียบไป ไข่ต้มเอาแต่มองหน้าจออยู่อย่างนั้น นานจนผมอยากจะเดินออกไปหา แต่สุดท้ายมันก็ยอมตอบกลับมา
Egg : จะกลับแล้ว
S : มาแล้วไปหาอะไรกินกันมั้ย
Egg : ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอมึง
S : กูมาเตะบอลกับพวกไอ้มง หิวโคตร
Egg : หิวก็ไปกินดิ รอกูอีกนาน
S : กูรอได้ กินอะไรดี
Egg : คิดไว้แล้วกัน เดี๋ยวกูลงหน้าสวน แล้วค่อยเดินไปพร้อมกัน
S : โอเค
ผมเห็นรอยยิ้มบางๆ ก่อนไข่ต้มจะเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงแล้วลุกขึ้นยืน มันดูเหม่อๆ ตอนเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งจนผมนึกเป็นห่วง แต่ก็ทำได้แค่คอยมองดูมันอยู่ไม่ไกล รอจนมันขึ้นรถเมล์ ผมถึงได้โบกแท็กซี่กลับ นึกเป็นห่วงจนอยากจะโทรไปหา แต่ก็ทำได้แค่รอเวลาอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าที่จะได้เจอกันอีก
ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงแท็กซี่ก็พาผมมาถึงที่หมาย แซงรถเมล์ที่ไข่ต้มมันถึงตั้งแต่ป้ายที่สอง มีเวลาเหลือเฟือผมเลยวิ่งรอบสวนเล่นให้เหงื่อมันออก ก่อนกลับมานั่งรอมันที่ป้ายรถเมล์ ลองทักไปถามว่าถึงไหน แต่ผ่านไปหลายนาทีก็ยังไม่ได้คำตอบ
ผมรอคอยโดยไม่ทักไปหาหรือเร่งเร้าอะไรมันอีก ภาพที่เห็นมันนั่งรอคนที่รักด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยยังทำให้ผมรู้สึกแย่จนถึงตอนนี้ จะว่าโกรธพี่อ๋องที่ไม่ออกมาหาก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะผมไม่รู้ว่าเรื่องราวมันเป็นมายังไง พี่เขาติดธุระสำคัญที่ไหน คุยอะไรกับเพื่อนผมบ้าง หรือเป็นไข่ต้มเองที่มันดื้อจะรอ ความรู้สึกที่มีอยู่ตอนนี้เลยกลายเป็นความอึดอัด จุกจนเหมือนจะพูดอะไรไม่ออก จนผมไม่รู้ว่าจะทำตัวเป็นปกติตอนเจอไข่ต้มได้หรือเปล่า
แล้วก็ไม่รู้ว่ามันจะทำตัวยังไงตอนกลับมาเจอผมเหมือนกัน
ผ่านไปหลายนาทีในที่สุดคนที่รอก็มาถึง ไข่ต้มเดินก้มหน้าลงจากรถ แม้ท่าทางจะดูเหมือนปกติที่มันไม่เคยสนใจใคร หรือสนใจจะมองสิ่งรอบข้าง แต่ผมรู้ดีว่ามันไม่ปกติ ถึงจะไม่รู้เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ผมก็รับรู้ได้ เพราะเราคือเพื่อนที่สนิทกันที่สุด
"เป็นอะไรวะ"
คำถามของผมโดนเมิน ไข่ต้มยังเอาแต่เดินก้มหน้าตรงหามาผม ถึงอย่างนั้นผมก็ยังสังเกตเห็น จมูกแดง แก้มแดง ใต้ตาช้ำ ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน เสียงลมหายใจที่ฟังแล้วรู้สึกติดขัด กับน้ำใสๆ ที่ไหลผ่านแก้ม
มันกำลังร้องไห้
ไข่ต้มโผเข้ามาหาโดยที่ยังไม่ยอมพูดอะไร ผมอ้าแขนรับแล้วกอดมันไว้ ลูบหัวลูบหลังเพื่อปลอบประโลม มอบไหล่กว้างๆ นี้ให้เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวได้พักพิง เพื่อนที่ผมรักที่สุด
"เพิ่งรู้ว่ามึงขี้แย"
เสียงสะอื้นเบาลงแต่ไหล่คนในอ้อมกอดยังสั่นเป็นระยะ ผมพยายามไม่ถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะกลัวว่าจะทำให้ไข่ต้มร้องไห้หนักกว่าเดิม แม้อยากรู้สาเหตุของน้ำตามันมากแค่ไหนก็ตาม
"กูหิวแล้วนะ"
"อดทนอีกแป๊บนึง" เสียงติดสะอื้นตอบกลับมา ไข่ต้มคลายอ้อมกอดออก แต่ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นจากไหล่ผม
"คิดออกหรือยังว่าจะกินอะไร"
ไข่ต้มส่ายหน้า อาการแบบนี้มันคงไม่อยากกินอะไร ผมเองก็ไม่ได้หิวตั้งแต่แรกแค่หาเรื่องชวนมันมาเจอกันเฉยๆ เพราะงั้นเปลี่ยนแผนน่าจะดีกว่า
"กลับบ้านมั้ย เดี๋ยวไปส่ง"
มันส่ายหน้าตอบอีกครั้ง กลับบ้านไปสภาพนี้มีหวังโดนพ่อแม่เค้นเอาความเป็นเรื่องเป็นราวแน่ๆ
"งั้นบ้านกู"
คำตอบยังเป็นการส่ายหน้า ไปบ้านผมเจอแม่ผมก็คงโดนถามเหมือนกัน แล้วบ้านไข่ต้มก็จะรู้เรื่องในไม่ช้า
"งั้นหาซื้อขนมมานั่งกินแถวนี้"
คราวนี้ไข่ต้มมันพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากันให้ผมได้เห็นหน้ามันชัดๆ หน้าแดงกับตาช้ำๆ ทำเอาใจหายจนอยากจะร้องไห้ตาม ตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมาผมยังไม่เคยเห็นมันร้องไห้หนักขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยเลยสักครั้ง
ผมช่วยเช็ดน้ำตาที่ยังไม่แห้ง ไล้นิ้วโป้งเบาๆ ที่ใต้ตา อยากก้มลงจูบซับน้ำตาให้แต่ก็ทำได้เพียงในจินตนาการ ถ้าหากคนคนนั้นเป็นผมล่ะก็ ไข่ต้มไม่มีวันอยู่ในสภาพแบบนี้แน่ ผมจะไม่มีวันทำให้มันเสียใจเด็ดขาด
แซนวิสกับน้ำที่ซื้อมาจากเซเว่นถูกวางทิ้งไว้ไม่มีใครสนใจ ผมพาไข่ต้มเขามานั่งเก้าอี้ในสวน ท่ามกลางบรรยากาศยามเย็นที่มีคนวิ่งออกกำลังกายบ้างประปราย เรานั่งข้างกัน ผมจับมือมันไว้ พยายามชวนคุยโดยเลี่ยงเรื่องพี่อ๋องที่เป็นสาเหตุของน้ำตาในครั้งนี้
"ไม่กินวะ เย็นหมดแล้ว" จบเรื่องเตะบอลกับเพื่อนที่ผมแต่งขึ้นมาเล่าให้มันฟังแบบตลกฝืดก็วกเข้าเรื่องของกิน
"ไม่อยากกิน"
"ไม่หิวหรือไง"
"ก็หิว แต่ปากมันไม่อยาก"
"กินหน่อย นิดนึงก็ได้ อย่าทำให้กูเป็นห่วงดิ"
ผมงัดไม้เด็ดออกมาแล้วมันก็ได้ผล ไข่ต้มหยิบแซนวิสขึ้นมากิน กินหนึ่งคำแล้วเคี้ยวอย่างเชื่องช้า ถ้าให้เวลามันสักครึ่งชั่วโมงผมว่าก็คงกินไม่หมด
"มึง" กินไปคำเดียวมันก็วางแซนวิสที่ถืออยู่ไว้บนตัก เรียกผมโดยไม่หันหน้ามามอง แล้วน้ำตาก็ทำท่าเหมือนจะไหลออกมาอีกครั้ง
ผมยกมือขึ้นเช็ดหยดน้ำใสที่หางตาเพื่อนสนิทเบาๆ มันไม่ว่าแถมยังหันมายิ้มให้
"มึงไม่ถามกูเหรอว่าไปหาพี่อ๋องมาเป็นยังไงบ้าง" คำถามของไข่ต้มทำให้น้ำตามันไหลผ่านแก้มลงมา เป็นแบบนี้แล้วจะให้ผมถามได้ยังไง
"มึงหยุดร้องไห้ให้ได้ก่อนเถอะ"
"หยุดไม่ได้"
"งั้นกูก็ไม่ถาม"
"มึงไม่อยากรู้เหรอ"
"อยากรู้ แต่กูไม่อยากเห็นมึงร้องไห้"
ไข่ต้มยิ้มให้ผมทั้งน้ำตา แววตามีความเศร้าปนสุข มันคือภาพรอยยิ้มที่ผมไม่อยากจดจำที่สุด และเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมเจ็บปวดที่สุด
"มึงรู้มั้ย กูไปหาพี่อ๋อง แต่กูไม่ได้เจอเขาว่ะ" แล้วสุดท้ายมันก็เล่าออกมา
ผมพยักหน้ารับ ไม่เอ่ยถามถึงสาเหตุ ไม่ได้ขอให้มันหยุดเล่า ได้แต่ใช้ทิชชูที่ซื้อมาด้วยเช็ดน้ำตาที่ยังไหลออกมาเป็นระยะ และรับฟังอย่างตั้งใจ
"กูคงผิดด้วยแหละที่ไม่ได้บอกล่วงหน้า แต่กูก็ทักไปบอกพี่อ๋องแล้วนะ บอกว่าจะไปหาถึงพี่เขาจะไม่ได้ตอบกลับมา พอกูไปถึงก็ยังไม่ได้คำตอบ กูโทรหาก็ไม่รับ กูรออยู่เกือบชั่วโมง กูไม่กล้าเข้าไปหาข้างในเพราะกูกลัว กลัวหาไม่เจอ กลัวไปเจอคนเยอะๆ สุดท้ายเลยตัดสินใจขึ้นรถกลับ แล้วพี่อ๋องถึงได้โทรกลับมา"
เล่ามาถึงตรงนี้น้ำตามันก็ไหลพราก ผมบีบมือมันเพื่อให้กำลังใจ ไม่ขอให้หยุดเล่าเพราะไข่ต้มมันไม่ได้ต้องการแบบนั้น
"กูไม่ได้โกรธพี่อ๋องเลยนะเพราะรู้ว่ากูเองก็ผิด เขาไม่ได้บอกให้ไปหาก็ยังไป ไปทั้งที่เขาว่างหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่กูก็ยังร้องไห้อะมึง น้ำตามันไหลออกมาเอง ยิ่งอ่านไลน์ที่พี่เขาส่งมาขอโทษซ้ำๆ กูก็ยิ่งร้อง ร้องจนคนบนรถหันมามอง ตลกตัวเองว่ะ เป็นบ้าอะไรไม่รู้"
"ตาบวมหมดแล้ว"
ผมยังคอยเช็ดน้ำตาให้มัน ความโกรธที่มีอยู่น้อยนิดก่อนหน้านี้หายไปจนหมด ผมไม่รู้ว่าพี่อ๋องติดธุระอะไรถึงไม่ยอมรับสายและออกมาหาไข่ต้มไม่ได้ แต่เรื่องนี้ต่างฝ่ายต่างผิดกันคนละครึ่ง เพราะงั้นก็ถือซะว่าเป็นการเรียนรู้เป็นประสบการณ์ ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนย่อมเกิดปัญหาได้ทั้งเล็กและใหญ่ ครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น หากมันเกิดขึ้นอีกครั้ง เพื่อนผมคนนี้จะเข้มแข็งขึ้นกว่าเดิม
"มึงกับพี่อ๋องเคลียร์กันโอเคแล้วใช่มั้ย" ฟังจากที่ไข่ต้มเล่าปัญหาครั้งนี้ไม่ได้ทะเลาะกันรุนแรง พี่อ๋องขอโทษแล้ว ที่เพื่อนผมร้องไห้เป็นเพราะมันรู้สึกผิด และเสียใจที่ทำให้เกิดเรื่องแย่ๆ นี้ขึ้น
"เคลียร์แล้ว กูขอโทษพี่อ๋องแล้ว พี่อ๋องก็ขอโทษกูตั้งหลายครั้ง เขาคิดว่ากูโกรธ"
"ก็ดูมึงร้องไห้ดิ"
"มันรู้สึกแย่นี่หว่า เพราะกูทำให้พี่อ๋องรู้สึกไม่ดี พี่เขาคิดว่าทำให้กูรอนาน ทั้งที่อยากเจอแต่ก็ไม่ได้เจอ เขากลัวกูคิดว่าเขาไม่อยากเจอกู แต่กูไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆ นะ อาจจะน้อยใจนิดหน่อย แต่พอพี่เขาอธิบายเหตุผลว่าติดรับน้องกูก็เข้าใจ กูไปไม่บอกล่วงหน้าเอง"
อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมเข้าใจว่าทำไมไข่ต้มถึงร้องไห้หนักขนาดนี้เป็นเพราะมันโทษตัวเอง แม้ภายนอกจะดูเย็นชาไม่สนใจใคร แต่จริงๆ แล้วมันอ่อนไหวแค่ไหนผมรู้ดี โดยเฉพาะกับคนที่มันยกให้เป็นคนพิเศษ
"มึงก็เลิกโทษตัวเองได้แล้ว เป็นแบบนี้กูว่าพี่อ๋องจะยิ่งรู้สึกไม่ดี"
"ไม่ได้อยากคิดเลย"
"แล้วก็เลิกร้องไห้ด้วย ถ้าไม่อยากให้พี่อ๋องคอลมาแล้วเห็นตาบวมๆ ของมึง"
"ก็ไม่ต้องคอล"
"เป็นคนใจร้ายตั้งแต่เมื่อไร"
"ตั้งนานแล้ว มึงไม่รู้เหรอ" ทำหน้าทำตาน่าหมั่นไส้ถามกลับจนผมอยากจะบีบจมูกรั้นๆ สักที พอเริ่มหายเศร้าแล้วก็แผลงฤทธิ์เลย
"ทำเป็นใจร้ายไปงั้น แต่จริงๆ แล้วขี้แย"
"ทำไมต้องล้อ"
"หรือไม่จริง"
"เออ"
ไข่ต้มกระแทกเสียงใส่ ทำเป็นหน้าบึ้งในทีแรกก่อนแย้มรอยยิ้มบางๆ ตามด้วยถ้อยคำที่ทำให้ผมใจฟูขึ้นมา
"ขอบคุณมึงมากนะที่อยู่กับกูตลอดเลย"
"ไม่ต้องมาทำซึ้ง"
"กอดมึงอุ่นมาก"
"พอๆ"
"ตอนเช็ดน้ำตาให้นี่ใจสั่นเลย"
"ไอ้สัดหยุดพูด"
"ไหนมากอดทีดิ๊" ไข่ต้มโผเข้ามาหา ผมเลยรีบลุกหนีแกล้งทำหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่มันกลบเกลื่อนรอยยิ้มที่พยายามกลั้นเอาไว้
ก็เป็นซะแบบนี้ พออารมณ์อ่อนไหวแล้วชอบทำตัวน่ารักแบบนี้ จะห้ามไม่ให้เผลอใจให้ได้ยังไง
"ดีขึ้นแล้วก็กลับบ้าน เอาแซนวิสกลับไปกินด้วย เดี๋ยวกูไปส่ง" ผมคว้ากระเป๋ามาสะพายแล้วโบกมือไล่ ตอนนี้ฟ้ามืดสนิทแล้ว อยากไปส่งมันให้ถึงบ้านเพราะสภาพแบบนี้ให้กลับเองไม่น่ารอด
ไข่ต้มไม่ขัดอะไร มันเก็บของกินยัดใส่กระเป๋าลุกขึ้นมายืนข้างผม มอบรอยยิ้มที่แม้จะยังไม่สดใสเต็มที่มาให้ พร้อมกับคำขอบคุณครั้งที่เท่าไรแล้วไม่รู้
เราเดินเคียงข้างไปตามทางในสวนที่ไร้ซึ่งผู้คน มือเราสัมผัสโดนกันเป็นครั้งคราว สัมผัสเพียงเสี้ยววินาทีที่ผมอยากจะยืดมันให้ยาวนานมากกว่านี้ อยากจะคว้ามือมันมาจับไว้แล้วพาเดินกันไปด้วยกัน แต่รู้ว่าดีว่าทำไม่ได้
สถานะของผม...ทำแบบนั้นไม่ได้
tbc.
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า