ในที่สุดผมก็ต้องผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมากับมันจนได้ ที่น่าขนลุกไปกว่านั้นคือไอ้สายตาที่มันมองผมเปลี่ยนเสื้อผ้า ถึงผมจะเคยชินเวลาเพื่อนๆ มองเวลาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าในสนามกีฬาก็เถอะ (ยอมรับว่าตัวเองหุ่นดี เพราะพยายามออกกำลังกายมาตลอดหลายปี)
แต่การโดนสายตาเยือกเย็นแบบนั้นจ้องมองตอนถอดเสื้อนี่มันก็เป็นความรู้สึกว่าแย่เกินไป
“จะพาไปไหนเนี่ย ขับรถมาเสียใกล้เลย ที่มาเพราะบอกว่าจะพาไปฟังดนตรีสดสบายๆ นะ ไม่ใช่ที่หรูหราหมาเห่า นี่ไม่เอานะ!”
ผมบ่นกระปอดกระแปดตอนนั่งเท้าคางมองออกไปนอกตัวรถผ่านกระจกประตูผู้โดยสาร
“ไม่หรอก” พูดจบมันก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพูดซุบซิบกับใครก็ไม่รู้ แต่ผมแทบจะไม่สนใจ เพราะความจริงก็ไม่ได้อยากมากับมัน
ไม่นานรถยนต์คันหรูก็เคลื่อนตัวไปถึงร้านริมบึงน้ำขนาดย่อม ประดับด้วยไฟแสงเทียนระยิบระยับ โต็ะเก้าอี้ต่างถูกวางอยู่ล้อมบึงน้ำนั่น มีเวทีตรงกลางน้ำซึ่งนักดนตรีขันกล่อมเพลงสากลที่ฟังสบายไหลผ่านมาตามสายลมที่โชยเอื่อยเย็นสบาย
คนยังบางตาอาจเพราะยังหัวค่ำ พวกผมถูกเขิญให้ไปนั่งตรงมุมบึงที่สงบและห่างไกลจากคนอื่นพอควร รู้สึกใจไม่ดียังไงไม่รู้
ภาพเก่าๆ มันตัดเข้ามาผ่านสมองเข้ามาเป็นฉากๆ เป็นพวกฉากในหมวดหมู่การบูลลี่โดยอาหาร
“กินเผ็ดได้ไหม? แต่ท้องเสียอยู่งั้นอย่าเลย”
“เฮ้ยๆ กินได้ๆ ขาดไม่ได้เลย” เมื่อก่อนก็กินไม่เป็นหรอก แต่พอโดนแกล้งให้กินเผ็ดจัดบ่อยๆ ก็เลยกลายเป็นเสพติดเสียอย่างนั้น กลายเป็นอร่อยเฉยเลย
แต่สุดท้ายก็ไอ้คอปเตอร์ก็สั่งแค่อาหารจืดชืดมาวางเต็มโต๊ะ นอกจากอาหารแล้วก็ตามมาด้วยไวน์แดงใส่ถังน้ำแข็งมาวางไว้ที่โต๊ะเครื่องดื่มเล็กๆ ข้างโต๊ะ
ผมมองอาหารน่าเบื่อบนโต๊ะแล้วก็รู้สึกท้อแท้ไม่อยากอาหารขึ้นมา นี่มันการทรมานชัดๆ มันอยู่กับผมมาสองสามสัปดาห์แล้ว มันคงรู้ว่าผมเป็นโรคขี้เสียดายของ ดังนั้นมันเหมือนสั่งให้ผมกินมันให้หมดนี้ ให้ผมกินของไม่น่าอร่อยเหล่านี้ให้หมด โคตรเลวเลยไอ้ฟาย!!
รู้ตัวอีกทีผมก็เบือนหน้าหนีอาหารบนโต๊ะแล้วมองบรรยากาศรอบๆ เสียแล้ว ผมเองก็เพิ่งมาสังเกตว่าบริเวณที่ผมนั่งถูกปลูกเป็นศาลาขนาดกลาง ที่ยื่นส่วนหนึ่งลงไปในน้ำที่บรรจงขุดและฉาบก้นบ่ออย่างสวยงาม ดวงไฟใต้น้ำทำให้เห็นปลาคราฟท์ตัวใหญ่แหวกว่ายไปมา สีสันเหล่านั้นมันสวยสดจนน่าอัศจรรย์ น้ำใสสะอาดมากจนผมคิดว่าน่าจะกินได้เลยทีเดียว ลมโชยอ่อนปะทะกับอากาศเย็นๆ หลังฝนตกใหม่ๆ ที่นี่ก็เป็นสถานที่ที่ไม่เลวเลย
ดนตรีสดที่ฟังสบายๆ ไหลผ่านมาตามสายลมและแหวกอากาศมาถึงผมนั่น เข้ากับบรรยากาศโดยรอบมาก ผมครึ้มใจจนเผลอยิ้มออกกว้าง
จนกระทั้งสายตาส่ายไปกระทบกับไอ้คอปเตอร์ที่นั่งจ้องผมและอมยิ้มให้ ภาพที่เห็นทำให้ขนลุกอย่างประหลาด เพราะทุกครั้งที่ผมเจอรอยยิ้มแบบนั้น มักจะจบไม่สวยเลยสักครั้ง
ผมหุบยิ้มทันที
“อ้าว! ไม่ชอบเหรอ?” ไอ้คอปเตอร์ถามแทบจะทันที
“เออ!” กูหมายถึงมึงน่ะที่กูไม่ชอบผมตะโกนในใจดังมาก
“มึงยิ้มน่ารัก กูชอบเวลามึงยิ้ม” ผมสังเกตเห็นมันมองริมฝีปากผมไม่วางตา
ผมไม่สนใจคำพูดของมัน พร้อมแสดงสีหน้าตรงกันข้ามทันที
ผมหงุดหงิดอย่างประหลาดเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงขบขันในลำคอและยกมุมปากอย่างได้ใจ
“กินอาหารสิ มัวแต่เหม่อจนจะเย็นหมดแล้ว!!” ไอ้คอปเตอร์ใช้การกวาดตามองอาหารบนโต๊ะแทนการใช้นิ้วชี้
ผมมองมันกับอาหารสลับไปมา เพราะมันไม่แตะอาหารบนโต๊ะเลยสักชิ้น ทั้งที่ทุกจานจัดวางอย่างสวยงามน่ากินมากก็เถอะ
“ทำไมกลัวกูวางยาเหรอไง??”
ผมไม่ตอบแค่มองหน้ามันกลับไปเป็นคำตอบ
ไอ้คอปเตอร์ส่ายศีรษะและขยับตัวมาใกล้โต๊ะอาหารมากขึ้น
“อ่ะ! มึงชี้เลย ว่าจะให้กูกินอะไรชิ้นไหน มึงจะได้เลิกสงสัยกูเสียที”
ผมเบะปากและชี้อาหารแบบสุ่มๆ ให้มันจิ้มกินทุกจาน ชิมซุปทุกชาม จนครบ แต่แปลกมันกล้ากินจนชิ้นสุดท้าย
ผมจึงตัดสินใจค่อยๆ ใช้ช้อนกับส้อมบรรเลงอาหารบนโต๊ะเข้าปากตัวเองเรื่อยๆ แน่ละก็ผมหิวนี่นา ที่สำคัญ ไอ้อาหารที่เห็นจืดชืดตรงหน้ามันก็รสชาติไม่เลวนะ
“สั่งมาเยอะขนาดนี้ใครจะหมด!!” คงคิดจะให้เราจุกตายแน่เลยผมคิดในใจ
“ไม่หมดก็เหลือไว้นั่นแหละ!!”
“เฮ้ย!! เสียดาย!!”
“งั้นก็ห่อกลับ ตู้เย็นห้องมึงโล่งจะตาย เก็บไว้กินมื้ออื่นก็ได้!!”
“มึงรู้ได้ไง?”
“กูก็เปิดดูตอนมึงเข้าห้องน้ำก่อนออกมานี่ไง”
“ไร้มารยาท!!”
“มึงสิไร้มารยาท แขกมาถึงห้องไม่เตรียมน้ำให้แขกเลย!!”
“กูไม่ได้เชิญมึงเข้าห้องเสียหน่อย”
“แขกก็คือแขกป่ะวะ”
โอ้ย!!! เสียเวลาคุยกับมันโว้ยยยยย
บรรยากาศดี ร้านดี อาหารอร่อย ดนตรีสดเลิศ แต่คนไปด้วยนี้ไม่ไหว ทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปหมด ผมขอจบการรีวิวอาหารมื้อนี้แต่เพียงเท่านี้
ไอ้คอปเตอร์ขับรถมาส่งผมที่อพาร์ตเมนต์เหมือนเคยแต่คราวนี้มันเข้ามาจอดถึงลานจอดใต้อาคาร แม้ผมจะรู้สึกแปลกใจเพราะต้องเสียเงินเช่าที่จอดรถเท่านั้นถึงจะเข้ามาจอดในนี้ได้ แต่สำหรับไอ้คอปเตอร์ คงไม่มีอะไรทำให้ผมแปลกใจได้อีกแล้ว
“ส่งแค่นี่ก็ได้มั้ง! ไม่ต้องตามไปถึงที่ห้องก็ได้!!” ผมพูดกับมันทันทีที่เห็นมันล็อกรถด้วยรีโมทและเดินตามผมที่เร่งฝีเท้าหนีมัน
“ไม่เป็นไรทางผ่าน”
“เดี๋ยวนะ มุกนี่มันใช้ตรงนี้ไม่ได้ป่ะวะ” ผมยกนิ้วชี้จี้ที่ไปที่หน้ามันอย่างลืมตัว
“ได้ดิ!!” พูดจบมันก็จับมือผมและลากจูงเดินเข้าอาคารไปทันที ผมรีบสะบัดมือทันทีที่เดินถึงห้องผู้ดูแลอาคาร ซึ่งตอนนี้ก็เหลือแต่ รปภ. หนึ่งคนยืนมองอยู่
“พี่ รปภ. ครับ คือ…” ผมเตรียมจัดการขั้นเด็ดขาด
“สวัสดีครับ เชิญครับ!!” รปภ. คนหนุ่มยืนขึ้นทำความเคารพสไตล์ทหาร รวมนิ้วทั้งสี่จรดที่ปลายคิ้ว และทักทายเสียงดังฟังชัด
ผมทำได้แค่เลิกคิ้วสงสัย
ไม่เพียงเท่านั้น ไอ้คนที่ไม่ใช่คนพักอาศัยดันยกมือขึ้นทักกลับและใช้บัตรในมือสแกนเข้าประตูอัตโนมัติได้เฉยเลย
“เดี๋ยวนะ” ผมทักทันที
“ใช่!! กูย้ายมาอยู่ที่นี่แล้ว ยินดีที่มึงรู้แล้วนะเพื่อนบ้าน!!” มันหันหน้ามาทำหน้านิ่งใส่
“หมายความว่าไง?” ผมคิดว่าหน้าตาผมตอนนี้คงตลกมากเพราะทั้งพี่ รปภ. และไอ้คนที่อ้างตัวเป็นเพื่อนเผลอยิ้มออกมาชัดเจน
“ห้องกูอยู่ฝั่งตรงข้ามมึงไง” มันยกยิ้มมุมปาก ดูน่ากลัวไปอีกแบบ
“ไม่ใช่ กูหมายถึง เออ… มันก็ใช่ แต่กูกำลังจะถามว่า เพื่ออะไร?” ผมสับสนไปหมด จันต้นชนปลายไม่ถูก มือไม้เหวี่ยงไปมาในอากาศเหมือนกำลังจัดของในจินตนาการ
“กูก็บอกแล้วว่า กูจะจีบมึง! กูอยากรู้จักมึงนอกจากช่วงเวลาทำงานบ้าง อยู่ใกล้กันแบบนี้มันสะดวกกว่า” ไอ้คอปเตอร์พูดอธิบายเหมือนกำลังเล่าเรื่องของคนอื่น
ช่วยทำให้กูรู้สึกว่ามึงจีบกูจริงๆ หน่อยได้ไหม? ผมรู้สึกเวียนหัว จนต้องยกมือกุมขมับ
“ไป!! ขึ้นห้อง!!”
“อย่าพูดจาชวนขนลุกแบบนี้สิ!!”
ผมพูดจบรีบเดินแซงนำหน้าโดยที่ไม่มองหน้าไอ้คอปเตอร์เลย ไม่ใช่เพราะอายนะ แต่กูรำคาญ!!!
……………