11
พยัคฆ์ตื่นลงมาจากห้องก็ 11 โมงเกือบเที่ยง เมื่อวานเขากลับมานอนที่บ้าน พบว่าอาของเขายังคงนั่งรออยู่แม้เวลาจะล่วงเลยไปเกือบตี 2 แล้ว และกว่าสองคนอาหลานจะคุยเรื่องคุณลตากันเสร็จก็เกือบเช้าของอีกวัน
“คุณเสือจะรับกาแฟไหมคะ หรือจะรอรับมื้อเที่ยงทีเดียวเลย” ป้าลัยเห็นเขาเดินลงมาถึงตีนบันได จึงเดินเข้ามาสอบถาม
“ผมเอากาแฟก่อนดีกว่าครับ ช่วยยกไปให้ผมที่ศาลาด้านหลังบ้านนะครับ อ่อ! ขอหนังสือพิมพ์ด้วยนะครับ”
“ค่ะ”
“เออ แล้วอากรล่ะครับ”
“คุณกรออกไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ” ป้าลัยบอกกับเขาก่อนพาร่างอุ้ยอ้ายเดินจากไปเขาเดินออกจากประตูด้านข้างบ้าน ฝั่งโรงจอดรถ เดินเรียบหลบแดดตามเงาร่มไม้ไปยังหลังบ้าน ก็ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซด์เข้ามาจอดที่โรงรถ จึงเหลียวมอง
“อ้าว ไอ้กล้า วันนี้ไม่มีเรียนเหรอไงว่ะ?” พยัคฆ์ตะโกนถามคนที่เพิ่งจอดมอเตอร์ไซด์
“มีครับ แต่เป็นตอนบ่ายครับ” ต้นกล้าลูกของป้าลัยที่พักอาศัยพร้อมช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านของเขาเดินเข้ามาอย่างนอบน้อม “คุณเสือมีอะไรจะใช้ผมเหรอครับ ถ้าจะให้ล้างรถให้ วันนี้ผมทำให้ไม่ได้นะครับ เดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน”
“ไอ้นี่ ฉันยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ”
“อ่าว ก็ใครจะไปรู้ล่ะครับ”
“มีย้อนนะเดี๋ยวนี้ ฉันไม่อยู่หน่อยเดียว ปากดีขึ้นเป็นกอง”
“โอ๊ย!! ไม่มี๊..ใครจะกล้า”
“แล้วนี่หอบหิ้วอะไรมาเต็มมือเลย”
“ขนมร้านหน้าปากซอยนะครับ ซื้อไปฝากเพื่อน” ต้นกล้าตอบเขิน ๆ
“เพื่อนผู้หญิง?” พยัคฆ์แซว
“ก็ด้วยแหละครับ ขนมร้านนี้เขาอร่อยนะครับ คุณเสือลองสักชิ้นไหมครับ เดี๋ยวผมให้แม่จัดไว้ให้”
“ไม่เอาล่ะ ขอบใจ”
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” พยัคฆ์เดินนำต้นกล้าไปยังศาลาหลังบ้าน ส่วนต้นกล้าค่อย ๆ เดินเลี่ยงออกไปทางเรือนพักของแม่บ้านที่อยู่ลึกเข้าไป
“อ้าวกล้า กลับมาเร็วเชียว แห้วอีกแล้วล่ะสิแก” พยัคฆ์ได้ยินเสียงคนในปกครองคุยกัน
“โถ่แม่ อย่าซ้ำเติมกล้าดิ”
“แกก็ไม่รู้อะไรนักหนา ไปเฝ้าเขาได้ทุกวัน”
“แม่...กล้าไม่เจอนางฟ้าบาริสต้ามาสองวันแล้วนะ”
“แล้วแกไม่ลองถามคนที่ร้านดูล่ะ?”
“ใครจะกล้า?”
“เฮ้อ...แกก็ได้แต่มองเขาเน๊อะ แล้วจะได้คุยกับเขาไหมล่ะชาตินี้”
“เฮ้ย!! เคยคุยแล้วดิแม่!!”
“จริงอ่ะ คุยเรื่องอะไร”
“ก็... เอาชิ้นนี้ครับ...เท่าไรครับ และก็ขอบคุณครับ”
“ห๊า? ...นั่นเขาไม่เรียกว่าคุยโว้ยเจ้ากล้า เฮ้อ...อย่าไปบอกใครนะว่าเป็นลูกชายฉัน ฉันอายเขา” ป้าไหมคะเดินไปบ่นไป แล้วเดินตรงมาทางพยัคฆ์ ไม่คิดจะสนใจคนเป็นลูก
“หนังสือพิมพ์ค่ะ พอดีว่าป้าเอาไปตรวจหวยที่ห้องนะคะ ส่วนกาแฟเด็กกำลังชงมาให้นะคะ”
“ขอบคุณครับ แล้วถูกไหมครับ”
“แหมะ งวดนี้ถ้าประตูดวงจะไม่เปิดให้ป้านะคะ”
“ฮ่าๆ ๆ แล้วเจ้ากล้านี่มันขยันซื้อขนมนมเนยนะครับ ตอนแรกไอ้ผมก็นึกว่าเจ้ากล้ามันซื้อขนมไปจีบสาวที่มหา'ลัย ที่ไหนได้จีบคนขายนี่เอง แล้วเงินมันจะพอใช้ไหม”
“โอ๊ย... ไม่ได้จีบหรอกค่ะ แค่หลงรูปชื่นชมไปอย่างนั้นเอง ส่วนเรื่องซื้อขนมน่ะมันเป็นฝ่ายขายของร้านนี้เขาค่ะ อาสาซื้อให้เพื่อน ไม่ค่อยได้เสียตังค์เองหรอกค่ะ”
“นี่ขนาดแค่หลงรูปนะครับ” พยัคฆ์ชวนคุยฆ่าเวลา
“ค่ะ ก็จะไปจีบได้ยังไงกันค่ะ ทางโน้นเขาก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน”
“อ่าว อย่างนั้นเหรอครับ” ช่วงนี้รอบตัวเขาเริ่มจะมีแต่...ผู้ชายชอบผู้ชาย
“ค่ะ แต่ก็ว่าไม่ได้หรอกค่ะเด็กนั่นน่ารักจริงๆ คะ คุณเสือ ยิ่งเดี๋ยวนี้ไม่ว่าหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ก็แวะเวียนไปอุดหนุนร้านคุณแก้วกันทั้งนั้น ทั้งที่ตอนที่เธอจะเปิดร้านนะคะ เธอรับแต่พนักงานผู้ชาย ทำเหมือนซีรี่ย์เกาหลีเรื่องรักวุ่นวายของเจ้าชายกาแฟไงคะ คุณเสือเคยดูไหมคะ ที่พระเอกหล่อๆ อ่ะคะ เธอว่าจะเรียกลูกค้าสาว ๆ แต่ทำไปทำมาทั้งหนุ่มทั้งสาว พอๆ กันเลยค่ะ นี่ถ้าจะทานอาหารบางทีต้องโทรจองที่นั่งกันเลยเชียวนะคะ” ได้ทีคุณป้าลัยของเขาเม้าท์ซะยืดยาว
“สงสัยผมต้องลองแวะไปดูนางฟ้านำโชคของที่ร้านนี้เขาบ้างแล้วสิ” เขาได้ยินต้นกล้าเรียกว่านางฟ้าอะไรสักอย่าง นึกครึ้มใจเลยเรียกตามบ้าง
“ร้านคุณแก้วตรงปากซอยบ้านเรานี่เองค่ะ หาไม่ยาก”
“นี่ป้าได้ค่าโฆษณารึเปล่าครับเนี๊ยะ”
“คุณเสือก็หยอกคนแก่ อ่ะ..กาแฟมาพอดีเลย ป้าไม่กวนเวลาพักผ่อนของคุณเสือแล้วค่ะ”
.........................................................................
วรากรกลับจากไปพบลูกค้าข้างนอกพร้อมกับวรรณา ถ้าไม่ติดที่เขามีนัดกับลูกค้าไว้ตั้งแต่เช้า เขาก็อยากจะนอนพักอย่างเจ้าหลานตัวดีของเขาเหมือนกัน วรรณรึเปล่าเดินนำออกจากลิฟต์ไปก่อนเธอเดินตรงไปที่โต๊ะทำงานของเธอเพื่อวางกระเป๋าสะพายและแฟ้มเอกสาร ก่อนทำหน้าที่เปิดประตูให้ผู้เป็นนาย เมื่อวรึเปล่ารึเปล่าผ่านตัวเธอไป เธอจึงปิดประตูตามหลัง
“คุณกรจะรับอะไรไหมคะ เดี๋ยววรรณโทรสั่งเด็กมาให้”
“เอาอะไรง่าย ๆ รองท้องหน่อยแล้วกันครับ ว่าแต่วันนี้มีงานที่ไหนอีกไหม?”
“ไม่มีแล้วค่ะ จะมีก็แต่เอกสารที่คุณกรต้องเซ็นต์ เดี๋ยวรรณให้เด็กเอาไปให้คุณเซ็นต์ที่บ้านไหมคะ?”
“ก็ดีเหมือนครับ ผมจะได้กลับไปพักสักหน่อย วันนี้ได้นอนไปสองสามชั่วโมงเอง”
“รับทราบค่ะเจ้านาย” ถึงวรรณาจะอยากรู้เรื่องยัยลตานั่น แต่เมื่อนายไม่พูด เธอก็ไม่ควรถามแล้วเดินออกจากห้องไป
วรากรเอนหลังลงบนเก้าอี้ทำงาน แล้วหลับตาลงเพื่อพักสายตาสักเล็กน้อย เขายกมือขึ้นคลึงบริเวณหว่างคิ้วเพื่อบรรเทาความเหมื่อยล้า เสียงรินน้ำจากเหยือกลงในแก้วเปล่าทำให้เขายิ่งขมวดคิ้ว เขายังไม่ได้ยินเสียงใครเปิดประตูตั้งแต่วรรณาเดินออกไป เขาลืมตาขึ้นมองไปทางมินิบาร์ข้างๆ ชุดโซฟาพักค่อย ร่างนั้นสวมชุดซาฟารีสีเดียวกับพนักงานในบริษัทฯ ของเขา ร่างตรงหน้าเขามาตอนไหน ก่อนหรือหลังที่เขาจะเข้ามาในห้องนี้กัน แต่ไม่ว่าจะเข้ามาตอนไหนวรรณาก็ต้องรับรู้ได้ในเมื่อเธอเดินนำเขาตั้งแต่ออกมาจากลิฟต์จนถึงห้องนี้ ยกเว้นว่าร่างตรงหน้าเขานั้น
“หลิว” ไวเท่าความคิด ชื่อคนในความคำนึงก็หลุดออกมาจากปากเสียงแผ่ว
ร่างนั้นหันมาพร้อมแก้วน้ำในมือ ก่อนเดินมาวางลงตรงโต๊ะหน้าคนที่เอ่ยชื่อของตนเอง วรากรไม่สนใจแก้วน้ำตรงหน้า ลืมความเหนื่อยล้าก่อนหน้านี้ ลุกพรวดจากเก้าอี้ตรงเข้ามาสวมกอดคนที่เขาคิดถึง คนที่เขาตามหามาตลอด 20 กว่าปี หลิวลู่...กวางน้อยของเขา
.........................................................................
ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาผมไม่เจอนายแมวหง่าวนั่นเลยครับ เหมือนโลกใบเดิมของผมกลับมาแล้ว แต่ก็ไม่เหมือนเดิมสักทีเดียวเพราะบางทีผมก็ยังฝันประหลาดเหมือนคืนนั้นอยู่บ้าง จะเล่าให้ใครฟังก็ไม่ได้ มันน่าอายนี่ครับ อีก 2 สัปดาห์เจ๊หงส์ก็ออกจากโรงพยาบาลได้ แถมผมได้ข้อเสนอสำหรับงานพิเศษจากพี่ที่สถาบันเทควันโดเพิ่มด้วย อะไรๆ เหมือนจะดีขึ้น แต่ผมยังไม่ได้ตัดสินใจหรอกครับ ผมไม่ค่อยชอบการเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวของใครสักเท่าไร ถ้าสอนรวม ๆ นะพอได้อยู่ครับ ผมกำลังเช็ดแก้วกาแฟอยู่ที่เคาน์เตอร์ ก็มาโทรศัพท์เข้ามา ผมเลยขออนุญาตพี่แหม่มออกไปรับโทรศัพท์ด้านหลังร้าน
“ครับพี่ศักดิ์” ผมกรอกเสียงไปตามสาย
“หยก วันนี้หยกเลิกงานจากร้านนั่น 5 โมงใช่ไหม?” ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามแบบนี้คงมีเรื่องแน่นอนครับ อ่อ! เซ้นส์ของพวกเรารับรู้ผ่านโทรศัพท์ไม่ได้หรอกนะครับ
“ครับ พี่ศักดิ์มีอะไรรึเปล่าครับ หรือมีปัญหาที่สถาบัน”
“ที่สถาบันนะไม่เป็นมีอะไรหรอก แต่พี่โอ๊ตน่ะสิ ดันมอเตอร์ไซด์ล้ม ตอนกำลังไปค่ายมวย นี่พี่อยู่โรงพยาบาลกับมัน”
“แล้วพี่โอ๊ตเป็นอะไรมากไหมครับ” พี่โอ๊ตคนที่ชวนผมไปช่วงงานเทรนเนอร์ส่วนตัวนั่นแหละครับ
“ขาหักน่ะสิ งดสอนเทควันโดไปหลายเดือนเชียวล่ะ”
“แล้ว พี่ศักดิ์จะให้ผมลงชั่วโมงแทนพี่โอ๊ตเหรอครับ” พี่ศักดิ์เป็นเจ้าของสถาบันเทควันโดแถมดีกรีลูกครึ่งเกาหลีครับ แต่ดันชื่อไทยจ๋ามาก
สมศักดิ์ “เรื่องนั้นก็ด้วย แต่ที่สำคัญกว่าก็เรื่องเทรนหนึ่งร์มวยนี่แหละ นัดของมันวันนี้ดันเป็นถึงลูกชายนักการเมือง ไอ้พี่โอ๊ตมันหาคนแทนไม่ได้ ครั้นพี่จะไปแทนก็ต้องเอามันไปส่งบ้านก่อน ย้อนไปย้อนมา ไปไม่ทันน่ะ เลยว่าจะวานหยกไปแทนพี่หน่อย เฉพาะวันนี้เท่านั้นแหละ” พี่ศักดิ์บ่นยาวเลยครับ
“เออ...” ผมไม่อยากไปเลยครับ แต่ไม่รู้ว่าจะเลี่ยงยังไงดี คราวก่อนที่พี่โอ๊ตชวน ผมก็อ้างว่ายังไม่ได้คุยกับเจ๊หงส์
“พี่รู้ว่าหยกไม่ชอบ พี่ก็ไม่ค่อยอยากให้หยกไปหรอก ไอ้ลูกนักการเมืองนั่นไม่รู้จะไว้ใจได้รึเปล่า ว่าไงห๊ะไอ้ต้นเรื่อง” ประโยคสุดท้ายเหมือนพี่ศักดิ์แกจะบ่นพี่โอ๊ตที่คงจะนั่นอยู่ข้าง ๆ กัน
“หยก พี่โอ๊ตเองนะ พี่วานหน่อยนะๆ ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะลูกค้าเป็นลูกนักการเมือง พี่เบี้ยวงานไปแล้ว ไม่หาคนแทนแบบนี้หรอก” พี่โอ๊ตคงคว้าโทรศัพท์มาคุยขอร้องผม
“พี่เองยังไม่เคยเจอลูกค้าเลย เพิ่งรับงานมาเมื่อวานนี้เอง ผิดนัดตั้งแต่วันแรกมันก็คงไม่ดีใช่ไหมล่ะ”
“พี่โอ๊ตมีนัดกำลูกค้าตอนกี่โมงครับ” ผมถาม เริ่มใจอ่อนแล้วครับ
“ทุ่มหนึ่ง เดี๋ยวพี่ใช้เครื่องพี่แชร์โลเคชั่นไปให้นะ ขอบใจมาก” วางหูไปแล้วครับ ผมแค่ใจอ่อนแต่ยังไม่ได้รับงานนะครับ สุดท้ายผมก็ได้แต่เดินคอตกเข้าร้าน
.........................................................................
พยัคฆ์ขับรถออกมาจากบ้านอย่างหงุดหงิด เขาเคยแต่ทำงานคนเดียว อยากไปไหนก็ไป จะทำอะไรก็ทำ แต่นี่อยู่ ๆ อากรก็ให้ไอ้คนตาคมนี่ตามผมออกมาด้วย แล้วช่วงนี้นายนี่ก็อยู่ติดหนึบกับอากรยิ่งกว่าเลขาอย่างคุณวรรณจนเขาแปลกใจ เป็นแบบนี้มาเกือบอาทิตย์ พอเขามาที่บ้านทีไร ก็เห็นนายนี่อยู่ที่บ้านกับอากรเรียบร้อยแล้ว แถมดูอาปรากฏชอบให้นายนี่ติดหนึบซะด้วย
พยัคฆ์พยายามถามเรื่องประวัติของนายตาคมคนนี้ มันเป็นเรื่องปกติที่ต้องรู้ว่าคนที่มาทำงานกับเขามีเบื้องหน้าเบื้องหลังยังไงบ้าง ยิ่งไว้ใจให้เข้ามาถึงที่บ้านนี่แล้วล่ะก็ แต่อาของเขาก็แปลก ได้แต่บอกว่าไม่ต้องเช็ก นายนี่หรือนายชาติชายเป็นเพื่อนสนิทของอา แต่ไม่รู้ทำไมบางทีพยัคฆ์ดูเหมือนว่าอากรของเขาออกจะเชื่อฟังนายตาคมนี่ ทั้งที่ตัวเองเป็นเจ้านายแท้ ๆ
“คุณเสือมีอะไรจะถามผมรึเปล่าครับ” คงเพราะเขาจ้องมองคนข้าง ๆ บ่อยครั้ง
“นายขับรถได้ไหม?”
“ได้ครับ”
“อ้าว ถ้าอย่างนั้นทำไมฉันต้องขับให้นายนั่งว่ะ?”
“ก็ผมตามหลังคุณมา คุณขึ้นรถก่อน รถคุณ คุณขับ มันก็ถูกแล้วนี่ครับ อีกอย่างคุณไม่ได้สั่งให้ผมขับ”
“...” กวนตีน เขาคิด
“แล้วนายรู้จักอากรตั้งแต่เมื่อไร?”
“ก็รู้จักมานานแล้วครับ จะว่าเป็นเพื่อนเก่าก็ได้ ถ้าจะเช็กประวัติผมก็ไม่ต้องหรอกนะครับ อาคุณรู้จักผมดี”
“อากรรู้ แต่ฉันไม่รู้นี่ ทำไม ถามไม่ได้รึไง”
“ไว้ถึงเวลา อาคุณคงเล่าให้คุณฟังเองล่ะครับ” ทำไมช่วงนี้เขาได้ยินแต่ว่าไม่ถึงเวลา ไม่ถึงเวลา จากคนนั้นที คนนี้ทีนะ
“แล้วนายเข้าไปทำอะไรที่บ้านฉันทุกวัน งานอื่นในออฟฟิศไม่มีให้ทำแล้วหรือไง”
“ผมคงได้เลื่อนตำแหน่งมั้งครับ ได้เป็นผู้ติดตามอาของคุณ หรือบางครั้งก็คุณ”
“ฉันไม่ต้องการผู้ติดตาม”
“คุณคงไม่รู้ตัวสินะว่า คุณและอาคุณกำลังเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่อันตรายแค่ไหน?”
“นายรู้หรือไง?”
“...” คนนั่งข้างเขาไม่ตอบคำถาม เขาก็ขี้เกียจจะซักไซ้ เพราะดูท่าคงไม่ได้คำตอบง่ายๆ
“แล้ววันนี้อากรให้นายตามฉันทำไม”
“ไม่ได้ตาม แต่มาช่วยงาน”
“ช่วย ช่วยอะไร กับแค่มาจับตาดูเป้าหมาย”
“ก็ถ้าเป้าหมายไม่รู้จักคุณ อาคุณคงไม่ให้ผมมากับคุณด้วยหรอก”
มันก็จริงอย่างที่นายชาติว่า ลตารู้จักเขาเป็นอย่างดี ทำให้เขาได้แต่เฝ้าอยู่แต่ด้านนอกเท่านั้น ส่วนนายชาติ นอกจากจะออกงานภาคสนามกับเขาครั้งหนึ่งที่งานเพชรของคุณเพ็ญนภาแล้ว ก็มีแต่เจอที่บ้านเขานั่นแหละ หรือถึงลตาเคยเจอนายชาติ ก็ใช่ว่าจะจำได้
“แล้วอากรให้นายมาช่วยฉันยังไง นั่งเฝ้าอยู่ในรถเป็นเพื่อนฉันรึไง”
“หึ!!” ไอ้นี่ พยัคฆ์หงุดหงิดกับท่าทีของนายชาติ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจาก...
“เอา นายลงตรงนี้แล้วเดินต่อไปเองแล้วกัน ฉันจะไปจอดรถเลยค่ายมวยไปหน่อย จะได้ไม่มีใครสงสัย” เขาหมั่นไส้จึงจอดรถให้นายชาติลง
“ผมว่าคุณไปจอดหลบในโรงแรมจิ้งหรีดข้างหน้านี้ดีกว่า รถคุณมันเด่น เยื้อง ๆ ค่ายมวยมีร้านกาแฟอยู่ คุยก็ไปนั่งที่นั่นแล้วกัน”
นายชาติบอกก่อนเดินลงจากรถไป ทิ้งให้พยัคฆ์ได้แต่กัดฟันเข่นเขี้ยวอยู่คนเดียว
.........................................................................
หลิวลู่ลงจากรถของคนที่เปรียบเสมือนหลานชายของเขาเองคนหนึ่ง เขาพอจะรับรู้ถึงความไม่พอใจของพยัคฆ์ที่มีต่อเขาได้ ก็ตั้งแต่เขาตัดสินใจเสี่ยงเพื่อปรากฏตัวต่อหน้าวรากรวันนั้น เฮียกรของเขาก็ไม่ยอมปล่อยเขาคลาดสายตาเลยทีเดียว สั่งเด็ดขาดให้เขาย้ายเข้าไปอยู่บ้านของหลานชาย ยังดีที่ตกลงกันได้ว่าวรากรจะยังไม่บอกพยัคฆ์เรื่องของเขาจนกว่าจะถึงเวลา
ถึงแม้ตอนนี้เขาจะแน่ใจแล้วว่า วราการและพยัคฆ์จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าสัวเซียงและลูกชาย วรากรเพียงแต่ต้องการจะตีสนิทเจ้าสัวเซียงเพื่อสืบความเคลื่อนไหวจากทางนั้นเพราะระแคะระคายบางอย่าง และงานแรกที่เจ้าสัวให้แก่วรากรคือการตามหาเขา
จงเก็บมิตรไว้ใกล้ตัว แต่จงเก็บศัตรูไว้ใกล้ตัวยิ่งกว่า วรากรบอกเขาอย่างนั้น ซึ่งเขาก็เห็นด้วยกับวรากร
หลิวลู่เดินเข้าไปในค่ายมวย แกล้งทำทีเป็นเข้ามาติดต่อขอใช้บริการ และมีพนักงานพาเขาเดินดูรอบ ๆ ค่ายมวย เขาเป็นเป้าหมายกำลังซ้อมมวยอยู่ ดูท่าทางที่ค่ายนี้จะมีการผสมผสานมวยเข้ากับโยคะเพื่อเหมาะสำหรับผู้หญิง เพราะเห็นลูกค้าผู้หญิงหลายคนอยู่ เขาแกล้งมองนั่นมองนี่ไปรอบ ๆ พนักงานก็พูดบรรยายสรรพคุณของค่ายไปเรื่อย จนเขาก็ได้ยินเสียงเสียงหนึ่ง
“เจ็กลู่” เขาหันไปมองก็ต้องตกใจ นายน้อยของเขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ร่างนั่นสาวเท้าเข้ามายืนตรงหน้า “เจ็กลู่จริง ๆ ด้วย เจ็กมาทำอะไรที่นี่ครับ”
“ก็ว่าจะมาใช่บริการที่นี่น่ะ ว่าแต่ลื้อเถอะ มาทำอะไรที่นี่”
“มาสอนมวยแทนพี่ที่สถาบันน่ะครับ”
“สอนใคร?”
“ผมก็ไม่แน่ใจน่ะครับ รู้แต่ว่าเป็นลูกนักการเมือง”
“ขอโทษครับ น้องมาสอนแทนคุณโอ๊ตเหรอครับ” พนักงานที่พาหลิวลู่เดินดูรอบ ๆ แทรกขึ้น
“ครับ แล้วผมต้องสอนใครครับ”
“คุณกั๊มครับ”
“อั๊วไม่ให้ลื้อสอน ลื้อกลับไปกับอั๊วเดี๋ยวนี้” พยัคฆ์อยู่แถวนี้ด้วย ถ้าหยกสัมผัสความรู้สึกทางนั้นได้จนขาดความระวังตัวขึ้นมาจะทำยังไง เขาเสี่ยงไม่ได้ ไม่รู้ว่านอกจากลตาแล้ว ยังจะมีคนของเจ้าสัวเซียงอยู่แถวนี้อีกไหม?
“ได้ยังไงครับเจ็ก หยกรับปากพี่เขาไว้แล้วนะ จะให้ผิดคำพูดได้ยังไง”
“เอ่อ คุณลูกค้าครับ ให้น้องเขาสอนเถอะนะครับ แค่ชั่วโมงเดียวเอง”
“นะ เจ็กนะ”
“คุณกั๊มเขาสอนไม่อยากหรอกครับ แต่อย่าขัดใจแกเลยครับ เดี๋ยวเป็นเรื่อง”
“เห็นไหมเจ็ก ลูกนักการเมืองเลยนะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับไม่ใช่ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ท่านลองน่ะใจดี แต่คุณกั๊มแกยังเด็กน่ะครับ ถูกตามใจจนเคย ขัดใจขึ้นมาที่มีสิทธิ์ค่ายแตกได้ครับ”
“คุณกั๊มนี่อายุเท่าไรครับ”
“10 ขวบครับ”
“เจ็ก เด็ก 10 ขวบเอง หยกรับมือได้น่า...”
“เออ เรื่องของลื้อ อั๊วกลับล่ะ” หลิวลู่รีบเดินออกมาก่อนที่ลตาจะสังเกตเห็นเขา หรือจำเขาได้
To Be Continue