2
~ เรื่องบังเอิญครั้งที่สอง ~
บรรยากาศร้านเบอร์ลิคไม่ใช่อะไรที่ผมปลื้มสักเท่าไร เพราะมันเต็มไปด้วยสารพัดอบายมุขเท่าที่จะหาได้ในประเทศสารขัณฑ์แห่งนี้ แม้ภายนอกจะดูเป็นผับขายเหล้าเคล้าดนตรีเล่นสดเอาไว้ให้เพื่อนฝูงเฮฮาสังสรรค์กันธรรมดา แต่ก็เป็นที่ที่คุณสามารถสั่งยาไอซ์มาซี้ดเข้าจมูกไปพร้อมกับซดน้ำต้มข่าไก่ได้ ยังไม่รวมของเด็กๆ อย่างพวกบุหรี่ยัดไส้กัญชาหรือแม้แต่จะซื้อ-ขายบริการทั้งผู้หญิงผู้ชายอย่างเปิดเผย เรียกได้ว่าเป็นสถานที่อโคจรชนิดที่ผมกับบีบี๋ไม่ควรจะเฉียดเข้ามาเลยด้วยซ้ำ
ขึ้นชื่อว่าสถานที่แย่ๆ บรรดาคนที่มาเที่ยวแม่งก็ต้องฮาร์ดคอร์ตามไปด้วย ผมถึงได้ไม่เข้าใจเลยว่าไอ้พี่อาร์ทมันกล้านัดบีบี๋มานั่งในร้านแบบนี้ได้ยังไง.... ไอ้สายตาลวนลามน่ะผมรู้จักดี ชินแล้วด้วย แต่ถ้ามันมาพร้อมกันทุกทิศทางก็ยากเกินกว่าที่ผมจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นและควบคุมสีหน้าตัวเองให้เป็นปกติได้
เอาเป็นว่าตอนนี้ผมกำลังหน้าบึ้งสนิท อารมณ์ก็บูดเช่นกัน....
“ยินดีต้อนรับว่าที่สะใภ้กลุ่มหน่อยเว้ย.... เอ้า ดื่มๆๆๆ”
หนึ่งในเพื่อนพี่อาร์ทซึ่งผมขี้เกียจจะจำชื่อแหกปากตะโกนแข่งกับเสียงเพลง เหล้าสีเต็มแก้วทยอยแจกจ่ายไปรอบวงเป็นสัญญาณว่าพร้อมเมาฉลองคืนวันศุกร์เต็มที่
“น้องบี๋ เอาเรดหรือเอาเบียร์ดีครับ?” รุ่นพี่หนุ่มตี๋คนเดิมเอียงหน้ามาถามไอ้บี๋ซึ่งนั่งอยู่ข้างผม ยังไม่ทันจะตอบก็มีเสียงโห่แซ็วขึ้นมาสำทับอีกระลอก
“หรือจะเอาพี่อาร์ทดีครับ ฮ่าๆๆๆ”
“เอาเบียร์ก็ดีกว่าครับ” บีบี๋ยิ้มเขิน ถ้าไฟในร้านสว่างกว่านี้อีกนิดรับรองว่าคงได้เห็นหน้ามันแดงไปถึงหูทั้งที่ยังไม่ได้ดื่มสักแอะ
“งั้นรวดเดียวเลยนะ”
พี่อาร์ทยุส่งก่อนจะส่งเบียร์สดหนึ่งแก้วเต็มๆ ให้คนตัวเล็ก ท่ามกลางความมืดที่มีเอ็นข้อไก่ทอดกับขวดชามะนาวขวางอยู่ตรงหน้า ผมพยายามส่งซิกพร้อมทั้งเตะขาเพื่อนให้รู้สึกตัว อย่าได้หลงคารมผู้ชายที่ส่อเจตนาจะมอมเหล้ามันแบบเนียนๆ อย่างเด็ดขาด
“บีบี๋ อย่าดื่มเยอะ”
“เออน่า กูไม่เป็นไรหรอก.... เห็นงี้แต่กูคอแข็งนะเว้ย”
กัลยาณมิตรอุตส่าห์เตือนด้วยความเป็นห่วงแต่เจ้าตัวกลับอยากจะโชว์พาวอวดผู้ ผมก็เลยไม่พูดอะไรต่อ ปล่อยให้มันกระดกเบียร์ลงคอเอาอย่างที่สบายใจเลย
ถ้านี่เป็นบททดสอบความเข้ากันได้ระหว่างกลุ่มเพื่อนกับว่าที่แฟน ผมกล้าบอกเลยว่าไอ้บี๋คงผ่านฉลุยทุกด่าน เพราะนอกจากจะดื่มสารพัดแอลกอฮอลล์ที่พี่อาร์ทแอนด์เดอะแก๊งค์ประเคนให้แก้วแล้วแก้วเล่า มันยังพูดคุยหัวเราะเอิ๊กอ๊ากไปกับเขาได้ทุกเรื่อง ทั้งผลบอลเมื่อคืน วิเคราะห์สาวไซด์ไลน์ วิจัยอาบอบนวด หลีหญิงโต๊ะข้างๆ ในขณะที่ผมได้แต่นั่งหน้าเป็นตูดและดูเป็นอะไรที่โคตรไม่เข้ากับบรรยากาศเลยแม้แต่เสี้ยวกระผีก
“เฮ้ย มึงมีน้ำแข็งป่ะ เอามาแบ่งกูหน่อย”
“สัส แพงนะเว้ย.... เอาไปแล้วก็ซื้อมาคืนกูด้วย”
“เออน่า!”
และแล้วสิ่งที่ผมกังวลก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อเพื่อนพี่อาร์ทส่งยาให้กันต่อหน้าต่อตาทุกคน ไม่มีหลบซ่อน ไม่มีความละอาย ไม่มีความรู้สึกว่ากำลังทำผิดกฎหมาย ทำอย่างกับว่าผงสีขาวในซองซิปล็อคคือผงโอวัลตินใครกินก็อร่อยยังไงยังงั้น
“ไอ้โจ มึงเบาๆ ดิวะ.... เดี๋ยวก็ช็อกตายห่าคาร้านเขาหรอก” พี่อาร์ทเตือน แต่เพื่อนที่ชื่อโจก็เอาหลอดตักยาสูดเข้าจมูกรวดเดียวไปแล้วเรียบร้อย
ผมไม่โอเคกับสิ่งที่เห็น การเสพยาไม่ใช่อะไรที่ผมอยากเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเลย จากที่ค่อนข้างนอยด์สภาพแวดล้อมอยู่แล้วก็เลยยิ่งแผ่รังสีมาคุมากกว่าเดิม.... ผมไม่ได้เกลียดการสังสรรค์และก็ยังมองว่าการที่ผู้ชายกินเหล้านั้นถือเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ผมอยู่ในสถานะที่ต้องระมัดระวังมากกว่าคนอื่นๆ เพราะถ้าหากผมเมา เล่นยาหรือก่อเรื่องอะไรขึ้นมา ปลายทางมันจะไม่ได้จบแค่ถูกพ่อแม่ด่าเหมือนอย่างวัยรุ่นทั่วไป
“น้องทิชาอุตส่าห์มาถึงนี่แล้วจะไม่ดื่มกับพวกพี่สักหน่อยเหรอ?”
“ไม่ล่ะครับ” ผมตอบปฏิเสธเพื่อนพี่อาร์ทอีกคนซึ่งนั่งตรงข้ามกัน เห็นมาสักพักแล้วล่ะว่าเขาทั้งแปลกใจแล้วก็ขำที่ผมเอาแต่กินกับแกล้มเคล้าเลมอนไอซ์ที
“นานๆ ครั้งไม่เป็นไรหรอกน่า.... ดื่มด้วยกันนะ เดี๋ยวพี่เต้ชงเรดให้”
“ชื่อทิชาแล้วยังกินแต่ชามะนาว น่ารักหน่อมแน้มยังกะเด็กม.ต้นแน่ะ”
“ไม่ดีกว่าครับ พอดีผมสะดวกแบบนี้”
ถ้าชวนอย่างสุภาพก็ยังพอทน แต่ไอ้คนชื่อโจที่สูดไอซ์ไปเมื่อกี้ดันปากหมาแซ็วไม่ดูสี่ดูแปดจนผมแอบง้างตีนรออยู่ใต้โต๊ะ กะว่าถ้ามึงปากดีใส่กูอีกคำเดียวล่ะก็โดนแน่ จะผิดก็เพื่อนเวรของผมนี่แหละที่ดันผสมโรงไปกับพวกนั้นด้วย
“ทิชามันคออ่อนน่ะพี่ พวกพี่ที่คณะนัดไปก๊งกันทีไรมันก็กินได้แต่มิกเซอร์กับกับแกล้ม โคตรเปลืองเลย”
“เอาจริงดิ ไม่น่าเชื่อ”
“กูก็ว่างั้น.... ดูเรียบร้อยไม่เหมาะกับหน้าน้องมันเลยว่ะ”
“แล้วหน้าผมมันเป็นไงเหรอ?”
ผมทิ้งส้อมลงในจานเสียงดังแคร๊ง จากที่นั่งปั้นหน้านิ่งมาได้ตั้งนานก็เริ่มจะเหวี่ยงออกทางสายตาและคำพูด
“จะบอกว่าหน้าตาดูแรดไม่เหมือนคนไม่ชอบกินเหล้างั้นสิ?”
ผมไม่ได้ตะคอก แต่น้ำเสียงเย็นเฉียบก็ทำเอาทั้งโต๊ะเงียบสนิทเหมือนโดนคำสาปลิ้นแข็ง พี่อาร์ทกับเพื่อนมองผมคล้ายอยากถามว่าเป็นเหี้ยอะไรมากไหมแต่ก็ไม่กล้า.... บีบี๋มันไม่ได้เมาหรือตั้งใจจะแซะเพื่อนหรอกแต่พอเหล้าเข้าปากแล้วดันพูดมากกว่าปกติโดยไม่รู้ตัว ผมเองก็ไม่ควรถือสา ทว่า ความรู้สึกหงุดหงิดเหมือนตัวเองมาอยู่ผิดที่ผิดทางก็มีมากพอๆ กับความไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามกับรสนิยมส่วนตัว
โดยเฉพาะที่พวกแม่งคล้ายจะจี้ใจดำผมทางอ้อม ว่าหน้าตาเหมือนแม่ ก็ต้องชอบทำอะไรแย่ๆ อย่างที่แม่เคยทำ....!“เหี้ยชา.... พี่เขาแค่หยอกเล่นเว้ย อย่าหัวร้อนง่ายดิมึง”
บีบี๋หัวเราะแห้งหันมาลูบหัวผมหวังจะให้อารมณ์เย็นลง ตอนนี้มันคงรู้แล้วล่ะว่าสถานการณ์ระหว่างเพื่อนตัวกับเพื่อนว่าที่ผัวอาจบานปลายกลายเป็นสงครามในไม่ช้า ฑูตสันถวไมตรีจึงพยายามปล่อยมุขเรี่ยราดเกลี้ยกล่อมให้ผมสงบลง
“อ้ะนี่ ไก่ทอดของโปรดมึง.... กินไก่ให้ใจเย็นๆ โนะคุณเพื่อน หรือมึงจะลากไปกินในน้ำก็ได้”
แต่ผมไม่ขำ อันที่จริงก็ไม่มีอะไรน่าขำตั้งแต่มีคนควักยาไอซ์มาดูดเล่นบนโต๊ะแล้ว
“ไอ้บี๋ ปาร์ตี้เปิดตัวของมึงจบแล้ว.... กลับ!”
“ไอ้ชา มึงโกรธที่กูพูดเมื่อกี้เหรอ.... กูขอโทษ”
คนตัวเล็กเสียงอ่อย สีหน้าเจื่อนสนิทเพราะเข้าใจว่าผมไม่ชอบที่มันเอาเรื่องวีรกรรมตัวจกกับแกล้มมาแฉกลางวงเหล้า มันเองก็ดื่มไปเยอะ สมองจะตกๆ หล่นๆ จนไม่ได้ยินอะไรไปบ้างก็ช่างเหอะ
“กูไม่ได้โกรธมึงเว้ย บี๋... แต่เชื่อกูเถอะว่าที่นี่ไม่มีอะไรที่เหมาะกับมึงอยู่หรอก”
ประโยคหลังผมเน้นทั้งน้ำเสียงและสายตาไปทางพี่อาร์ทเต็มๆ ตั้งแต่รู้ว่านัดกันมาร้านนี้ ผมก็คิดอยู่แล้วเชียวว่ามันไม่มีทางจบสวยได้แน่ๆ ซึ่งถ้าผมไม่สังหรณ์ใจในทางร้ายจนยอมตามมาเฝ้าบีบี๋ รับรองว่าต้องมีหมาตัวไหนสักตัวเทไอซ์ใส่แก้วเพื่อนผมแล้วลากมันไปทำมิดีมิร้ายที่ไหนก็ไม่รู้
“เดี๋ยวสิครับ ทิชา” พอผมดึงบีบี๋ให้ลุกขึ้น พี่อาร์ทก็ลุกตามทันที เขาดูโกรธจัดทีเดียวแต่ก็ยังมีสติมากพอจะคุยอย่างสุภาพชน “พี่เป็นคนชวนน้องบี๋มา แล้วอยู่ดีๆ ทิชาจะมาบังคับให้เพื่อนกลับแบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ?”
“คราวหน้าพี่อาร์ทก็ชวนมันไปที่ดีๆ สิครับ ไม่ใช่พามันมานั่งร้านมั่วที่มีแต่เหี้ยนั่งดูดไอซ์กันหน้าสลอน”
กลุ่มเพื่อนพี่อาร์ททำเป็นสะดุ้งโหยงกันทั้งโต๊ะ แต่ไหนๆ ก็พูดกันขนาดนี้แล้วก็คงไม่จำเป็นจะต้องเกรงใจไว้หน้ากันอีกแล้วมั้ง
“ถ้าพี่ไม่ดูดด้วยก็แล้วไป แต่เพื่อนขี้ยาแบบนี้เลิกคบได้ก็เลิกเหอะนะ ไม่พากันไปแก่ตายในคุกก็คงได้โอเวอร์โดสตายห่าเข้าสักวัน!"
“อ้าว ไอ้สัดนี่.... พูดงี้อยากเจ็บเหรอวะ!?”
"กูอุตส่าห์ไม่เล่นแม่งเพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนเมียมึงนะ ไอ้อาร์ท!”
โจกับเต้ (ในที่สุดก็จำชื่อได้) ลุกขึ้นชี้หน้าผม ในตอนนี้โต๊ะข้างๆ เริ่มหันมามองทางเรากันแล้ว แน่นอนว่าฤทธิ์เหล้าของฝั่งนั้นและความโกรธของผมทำให้ไม่มีใครหน้าบางยอมถอยกันสักคน
“ทิชา น้องพูดเกินไปแล้วนะครับ”
พี่อาร์ทยกมือเป็นเชิงบอกเพื่อนให้ยั้งตีนเอาไว้ก่อน แต่สีหน้าท่าทางและคำพูดคำจาวางมาดข่มขู่ขัดกับลุคพ่อพระที่เจ้าตัวพยายามพรีเซนต์เสียเหลือเกิน
“ขอโทษเพื่อนพี่ซะ จะได้ไม่ต้องมีเรื่องกัน”
“ไอ้ชา........” บีบี๋ดึงชายแขนเสื้อผมคล้ายว่าอยากให้ขอโทษพวกเชี่ยนั่นเหมือนกัน
“ก็แล้วแต่มึงนะบี๋ กูถือว่ากูเตือนมึงแต่แรกแล้ว”
ไม่ว่าใครจะขอร้อง ผมก็ไม่สนทั้งนั้น ในเมื่อผมไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน ไอ้ขี้ยาสองตัวนั่นต่างหากที่เสียมารยาทวิจารณ์หน้าตาผม แล้วทำไมผมจะต้องยอมลดศักดิ์ศรีขอโทษเพื่อให้เรื่องจบด้วย
แต่ยังไม่ทันจะได้หันหลังเตรียมออกจากร้าน พี่อาร์ทก็รั้งผมไว้ด้วยคำถามที่ชวนให้เส้นเลือดในสมองเต้นตุบด้วยความโมโห
“อย่างน้องทิชายังมีอะไรให้เตือนคนอื่นได้ด้วยเหรอ? เอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่าไหมครับ?”
“อยากจะด่าอะไรก็ด่ามาตรงๆ เลยดิ!”
ผมแหวใส่ รู้ทันทีเลยว่าอีกฝ่ายกำลังจะเอาประเด็นไหนมาดิสเครดิตผม แล้วก็เป็นดังคาดเมื่อไอ้พี่เต้กับไอ้พี่โจช่วยกันขุดเรื่องอับอายขายขี้หน้าของผมออกมาล้อเลียนกันสนุกปาก
“ไอ้อาร์ท มึงก็พูดไปเลยว่าใครๆ เขาก็รู้สันดานไอ้เด็กห่านี่กันหมดทั้งมหาลัยแหละว่ามันชอบเป็นเมียน้อยชาวบ้านเหมือนแม่มันอะ.... ถุย! ทำเป็นแอ๊บแดกเหล้าไม่เป็น รังเกียจพวกเล่นยา แต่กับผัวคนอื่นนี่ถึงไหนถึงกันเลยใช่ปะ”
“คดีล่าสุดมึงนี่อะไรนะ ใช่ไอ้เอก คณะบริหารหรือเปล่า.... ได้ยินว่าโดนเมียมันตามไปด่าประจานกลางสตาร์บัคเลยนี่ ฮ่าๆๆ”
ผมโกรธจัดจนหน้าร้อนผ่าว รู้สึกเหมือนเลือดในร่างกายจะกลายเป็นน้ำเดือด.... คุณเคยโมโหอะไรสักอย่างมากๆ จนอยากรวบรวมเอาคำด่าหยาบๆ ทั้งโลกไปปาใส่หน้าคู่กรณี แต่ในความเป็นจริงกลับนึกคำพวกนั้นไม่ออก ทำได้แค่กำหมัดแน่นตัวสั่นแล้วก็น้ำตาคลอเพราะความเจ็บใจไหม นั่นละคือสิ่งที่ผมกำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้
และระหว่างที่ยืนนึกหาทางตอบโต้อยู่นั้น ไอ้หมาขี้ยาก็ฉวยโอกาสเข้ามาประชิดตัวผม
“ไอ้เหี้ย จับอะไรของมึงวะ!?” ผมร้องโวยวายเมื่อหนึ่งในสองใช้มือขยำก้นผมเต็มๆ
“โห จับแค่นี้ทำหวงเว้ย” พวกมันหัวเราะ ทำราวกับว่าเป็นเรื่องน่าขำฉิบหายที่ผมไม่เต็มใจให้ล่วงละเมิดทางเพศ
“หรือกูเปิดเผยไปมึงเลยไม่ชอบวะ ต้องแอบๆ จับเหมือนที่ทำกับไอ้เอกสินะ มึงถึงจะยอม?”
“ปล่อย อย่ามาโดนตัวกู!!”
เหตุการณ์ยิ่งเลยเถิดเมื่อไอ้สองคนนั้นลากตัวผมเข้ามุมโซฟาได้สำเร็จ ผมดิ้นรนอยู่บนตักของคนชื่อเต้โดยที่มือของมันล็อกเอวไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อนหนี ส่วนไอ้เหี้ยโจซึ่งกำลังดีดได้ที่เพราะน้ำแข็งที่เสพเข้าไปตามมาประกบทางด้านหน้า ฤทธิ์เหล้ายาผสมผสานกับสันดานเลวที่มีมาตั้งแต่กำเนิดทำให้พวกมันดูถูกผมจนเกินกว่าที่จะให้อภัยได้
“เฮ้ย ทิชา.... ให้กูเอาทีนึงดิ เดี๋ยวกูจ่ายสดมึงสองหมื่นเลย โอเคปะน้อง?”
“กูด้วย ให้สามหมื่นเลย ถ้ายอมให้ปล่อยในกูจ่ายห้าหมื่น สนมั้ย?”
“ไอ้สัด! ไอ้พวกใจหมา! กูไม่ใช่กะหรี่โว้ย!!”
ผมทั้งตะโกนด่าทั้งดิ้นสุดแรงเกิด หากก็ไม่สามารถหยุดยั้งมือสากสกปรกที่สอดล้วงเข้ามาใต้ชายเสื้อได้ ผมขนลุกเกรียวด้วยความรังเกียจ ขยะแขยงเสียงหัวเราะและลมหายใจที่เป่ารดลงมาโดนผิวเนื้อ.... น้ำตาไหลไม่ใช่จากความหวาดกลัวว่าจะถูกรังแก แต่เป็นเพราะโกรธเกลียดทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ที่ทำให้ผมถูกมองว่าเป็นตัวร่าน เป็นของเล่นที่ใครจะเหยียดยามทำเหี้ยใส่ยังไงก็ได้
“พี่อาร์ท!!” บีบี๋หันไปโวยใส่คนคุยของมันเมื่อเหตุการณ์ดูท่าจะไปกันใหญ่ “บอกให้เพื่อนพี่ปล่อยไอ้ชาเดี๋ยวนี้เลยนะ.... ล้อเล่นอะไรกัน บี๋ไม่ตลกด้วยหรอก บี๋จะกลับแล้ว!!”
“นี่มันเรื่องของไอ้เต้กับไอ้โจ พี่ห้ามมันไม่ได้หรอก.... แล้วพี่ก็บอกให้เพื่อนบี๋ขอโทษพวกมันแล้วนะ แต่เขาไม่ยอมทำตามเองก็ช่วยไม่ได้”
ไอ้พี่อาร์ททำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะดึงบีบี๋ให้นั่งลงตามเดิม แต่คราวนี้เพื่อนผมแม่งไม่ยอม มันสะบัดมือพี่อาร์ททิ้งพร้อมทั้งสบถเสียงลั่น
“โธ่เว้ย!”
ภาพที่ผมเห็นก็คือไอ้บี๋คว้าขวดชามะนาวบนโต๊ะตรงดิ่งมาทางนี้ หน้ามันดูโมโหมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พี่อาร์ทพยายามจะตามมาคว้าตัวเพื่อนผมให้ถอยกลับไปแต่ก็ช้าเกินไปแล้ว.... ขวดแก้วในมือบีบี๋เงื้อสูงขึ้นในอากาศ ในตอนนั้นผมคิดว่ามันจะต้องฟาดลงบนหัวไอ้เต้หรือไอ้โจคนไหนสักคนแน่
แต่ทว่า....
โครม!!!“โอ๊ย!!!!”
มีเสียงของหนักหล่นกระแทกพื้นอยู่ข้างหู ตามมาด้วยเสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ผมรีบตะกายตัวลุกขึ้นทันทีที่หลุดจากพันธนาการ เพื่อนรักของผมยังคงยืนถือขวดชามะนาวค้างอยู่ตรงที่เดิม หน้าตาดูเหวอหนักมากก่อนที่มันจะรีบเข้ามาคว้าตัวผมให้ออกมาจากมุมโซฟาตรงนั้น
แล้วเราก็ได้ยืนดูไอ้ขี้ยาสองตัวชดใช้กรรมด้วยกัน....
“เฮ้ย มึงมาเสือกอะไรด้วยวะ!!??”
“มึงกล้าถีบกูเหรอ ไอ้สัด!”
อ้อ ที่แท้เสียงหล่นตุ้บจากโซฟาเมื่อกี้เพราะโดนตีนอัดเข้าเต็มๆ นี่เอง
“เออ กูกล้า”
หนึ่งในพลเมืองดีตอบหน้าตาย แม้จะอยู่ในความมืดแต่ผมก็เห็นสายตาคมปลาบของคนที่ยืนหน้าสุดมองพวกเพื่อนพี่อาร์ทอย่างเอาเรื่อง ฝูงชนรอบข้างที่แดนซ์กระจายลืมตายกันอยู่เมื่อครู่แตกฮือเพราะกลัวโดนลูกหลง เปิดทางให้เจ้าถิ่นตัวจริงและพรรคพวกเข้ามาประจัญหน้ากับทีมพี่อาร์ท
“แล้วถ้ามึงสองตัวยังไม่หยุดทำอะไรชั่วๆ ล่ะก็ รับรองว่ากูไม่ทำแค่ถีบมึงหน้าหงายแบบตะกี้แน่!”
“พวกมึงอยู่วิดวะใช่มั้ย?”
พี่อาร์ทก้าวออกมาขวางหน้าเพื่อน ใช้ความเป็นหัวโจกของแก๊งค์เจรจากับคู่กรณีซึ่งดูเหมือนจะคุ้นหน้าคุ้นตากันมาก่อน
“ที่ร้านนี้มีกฎว่าเรื่องของใครของมัน ห้ามมาก้าวก่ายข้ามโต๊ะ กูว่าพวกมึงกลับไปที่ของตัวเองจะดีกว่า”
“ตอนแรกกูเห็นสองคนนี้มากับมึง กูก็ไม่อยากจะยุ่งหรอก แต่เด็กมันลุกจากโต๊ะมึงแล้ว เพื่อนมึงต่างหากที่ไปลากเขากลับมาปล้ำน่ะ”
“ก็แค่เข้าใจผิดกันนิดหน่อย”
“แล้วแบบไหนวะถึงจะเรียกว่าเข้าใจถูก? จะบอกว่าไอ้เจ้านี่มันเต็มใจให้พวกเพื่อนมึงข่มขืนกลางร้านรุ่นพี่กูงั้นดิ?”
ผู้ช่วยเหลือยักไหล่กวนตีนกลับเมื่อฝั่งพี่อาร์ทปฏิเสธหน้าตายว่าที่ไอ้เต้กับไอ้โจทำเมื่อกี้ก็แค่ล้อเล่นกันขำๆ สะเก็ดดาวในหมู่พี่น้อง ก่อนที่ร่างสูงจะหันมาหาผมเพื่อถามย้ำว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไรกันแน่
“ว่าไง ตกลงว่ามึงสมยอมพวกมันหรือเปล่า?”
ผมส่ายหน้า อันที่จริงแค่สภาพหัวยุ่งเหยิง เนื้อตัวมีรอยช้ำจากการถูกฉุดกระชากแรงๆ ก็เป็นยิ่งกว่าหลักฐานอยู่แล้ว
“งั้นกูว่าก็น่าเคลียร์ได้แล้วมั้ง หรือมึงอยากให้คนทั้งมหาลัยรับรู้เรื่องที่เพื่อนมึงทำล่ะ?”
“แล้วมึงจะมีปัญญาทำอะไรพวกกูได้?”
“ไสหัวไปดีๆ เหอะว่ะ พวกมึงสามตัวเรียนวิทยาไม่ใช่เหรอ.... ถ้าคิดจะเรียนด้วยเงินพ่อมึงแม่มึงก็แล้วไป แต่ถ้าจะต่อโทแล้วเกิดอยากได้ทุนวิจัยขึ้นมา กูว่าคดีล่วงละเมิดทางเพศกับเสพยาอาจจะทำให้พวกมึงอยู่ยากสักหน่อยนะ”
“มึงขู่กูเหรอ?”
“ถ้ามึงจะไม่เอาทุนก็ไม่เห็นต้องกลัว”
พอโดนต้อนเข้าหน่อย ไอ้พี่อาร์ทก็หน้าเสียไปเหมือนกัน สงสัยเงินที่เอามาเที่ยวเปย์ไอ้บี๋ก็คงกู้กยศ.มาแหง ไอ้พี่เต้ก็เงียบสนิทเหมือนมีคนส่งส้นเท้าให้อม เหลือแต่ไอ้พี่โจที่ยังห้าวเป้งท้าคนตรงหน้าเหยงๆ คงเพราะยาไอซ์ที่ซี้ดเข้าไปทำให้มองเห็นช้างตัวเท่ามด
“บ้านกูรวยเว้ย!” มันว่าก่อนจะชี้หน้าผม ทำท่าคล้ายจะดึงตัวผมกลับไปที่เดิมให้ได้ “แล้วกูก็ยังไม่จบธุระกับไอ้เด็กเหี้ยนี่ด้วย อุก..........!!”
ยังไม่ทันขาดคำ ฝ่าเท้าหุ้มด้วยรองเท้าไนกี้ Air Max Zero ก็ยันโครมเข้าให้ที่กลางอก ส่งมนุษย์ขี้ยาให้ลงไปนอนกองเป็นหมาตายคาพื้น รอยยิ้มแสยะปรากฏขึ้นบนใบหน้าเจ้าของตีนขณะเดินเข้าไปกระทืบท้องซ้ำไม่ให้ลุกขึ้นมาซ่าส์ได้อีก
“อ้อ กูลืมเตือนมึงอีกอย่างนึงว่ะ”
มือใหญ่กระชากคอเสื้อไอ้พี่โจทั้งที่แม่งกำลังสำลักจุกดิ้นทุรนทุราย พี่อาร์ทกับลูกสมุนอีกตัวก็ได้แต่ยืนนิ่งไม่กล้าเข้าไปช่วยเพราะเจ้าของเสียงห้วนประกาศกร้าวว่าถ้ายังกล้าเปรี้ยวตีนอีก รับรองไม่ได้ขับรถกลับหอแบบครบสามสิบสองแน่
“นอกจากจะต้องระวังเรื่องทุนแล้ว อีกอย่างนึงก็มึงควรระวังก็คือคณะวิศวะ เพราะพวกกูน่ะโคตรจะสามัคคีกันเลยเวลายำตีนไอ้ขี้ยาคณะวิทย์ฯ หวังว่ามึงคงไม่โง่!”
เรื่องที่เคยได้ยินมาอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับร้านเบอร์ลิคก็คือ หุ้นส่วนของร้านเป็นรุ่นพี่คณะวิศวะ ฯ ที่จบไปนานแล้วแต่เบื่อจะทำงานกับเครื่องยนต์เลยหันมาเอาดีทางขายอบายมุขแทน พวกรุ่นน้องในสายก็เลยค่อนข้างจะมีสิทธิ์เข้านอกออกในประหนึ่งเจ้าถิ่น....
ปกติแล้ว ก็อย่างที่ไอ้พี่อาร์ทมันบอกนั่นแหละว่าทุกคนที่มาเที่ยวที่นี่จะไม่ก้าวก่ายข้ามโต๊ะกัน ใครอยากดื่มเหล้า อยากแดนซ์ อยากพี้ยา หรือจะทำอะไรก็เชิญ ตราบใดที่ไม่ได้สร้างความเสียหายให้ตัวร้านก็จะไม่มีใครมาขวาง แต่คราวนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมแก๊งค์วิศวะซึ่งน่าจะรับสืบทอดหน้าที่เฝ้าเบอร์ลิคถึงมาเช็คบิลเก็บโต๊ะพี่อาร์ทกับเพื่อนแบบนี้
ผมกับบีบี๋ออกมานอกร้านได้อย่างปลอดภัยก็เพราะได้พวกวิศวะฯ คุ้มกันประหนึ่งบอดี้การ์ด พอได้แสงไฟด้านหน้าบวกกับระยะสายตาที่กำลังพอเหมาะ ร่างสูงใหญ่ที่เป็นคนวอร์กับไอ้พี่อาร์ทและถีบไอ้เชี่ยพี่โจจนกลิ้งไม่เป็นท่าก็หันมามองหน้าผม ขมวดคิ้วแน่น แล้วก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก
“กูว่ามึงนี่หน้าตาคุ้นๆ.......” เขาพูดแบบไม่ค่อยแน่ใจ “มึงใช่ทิชาที่อยู่สินกำมั้ยวะ?”
ผมพยักหน้ารับก่อนจะย้อนถามบ้างตามมารยาท “ใช่พี่โรมที่เคยเจอกันเมื่อตอนนั้นหรือเปล่าครับ?”
“เออ กูเอง”
แต่เขาคงไม่รู้หรอกว่าผมจำเขาได้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ข้างในแล้ว....
“ทำไมกูต้องมาเจอมึงตอนกำลังมีเรื่องตีกับชาวบ้านเขาอยู่ทุกทีเลยวะเนี่ย?”
“ไม่รู้ดิพี่ สงสัยดวงสมพงษ์กันมั้ง”
ผมหัวเราะพลางตอบทีเล่นทีจริง แต่จะว่าไปแล้วก็คงต้องบอกว่าผมตอบจริงมากกว่า เพราะการที่ผมจะได้รับความช่วยเหลือจากคนๆ เดียวกันถึงสองครั้งสองคราวมันไม่น่าจะใช่แค่ความบังเอิญเพียงอย่างเดียว มันจะต้องมีผีผลักหรือไม่ก็บุพเพอาละวาดร่วมด้วยช่วยกันชัวร์
“ไอ้ชา มึงรู้จักพี่เขาด้วยเหรอ?”
ไอ้บีบี๋แอบกระซิบถาม ดูท่าทางมันออกจะหวาดๆ พี่โรมอยู่นิดหน่อย ซึ่งผมคิดเอาเองว่าคงเป็นเพราะพี่โรมเป็นคนตัวใหญ่ไซส์หมีกรีซลีย์ พูดจาโผงผางท้าตีท้าต่อยตามประสาพวกวิศวะฯ ทั่วไป แตกต่างจากหนุ่มตี๋เจ้าสำอางแบบพี่อาร์ทที่มันชอบชนิดฟ้ากับเหว (แน่นอนว่าไอ้เชี่ยพี่อาร์ทต้องเป็นเหว)
“พี่โรม คนที่ให้กูยืมเสื้อตอนที่มีเรื่องกับเมียพี่เอกน่ะ”
“อ้อ.... เจ้าของเสื้อช็อปภาคเครื่องกลคนนั้นนี่เอง~”
คราวนี้ไอ้บี๋ตื่นเต้นตาโตขึ้นมาเชียว จากที่หลบอยู่ข้างหลังผมก็โผล่มามองพี่โรมและพรรคพวกอย่างสนอกสนใจ
ผมได้ยินพี่โรมคุยโทรศัพท์กับเพื่อนที่ยังอยู่ข้างในร้าน ดูเหมือนว่าฝั่งนั้นจะบังคับไอ้พี่อาร์ทกับเพื่อนชั่วของแม่งออกไปทางด้านหลังเรียบร้อยแล้ว เป็นอันว่าตอนนี้ผมกับบีบี๋ปลอดภัยดีทั้งคู่ ไม่ต้องห่วงว่าจะโดนดักตีหัวที่ลานจอดรถอย่างที่พวกหมาลอบกัดชอบทำกัน.... ผมหยิบมือถือขึ้นมากดเรียกอูเบอร์ก่อนจะเดินออกไปรอรถตรงทางเข้า พี่โรมยังคงเดินตามติดผมทุกฝีก้าวจนแทบจะขึ้นมาขี่คอเป็นผีชัตเตอร์อยู่รอมร่อ ปากก็บ่นยืดยาวไปเรื่อยยิ่งกว่าครูฝ่ายปกครองสมัยมัธยม
“กูจะไม่ถามนะว่ามึงไปรู้จักกับไอ้ห่าสามตัวนั่นได้ยังไง มหาลัยแม่งก็มีกันอยู่แค่นี้ แต่มึงเห็นชื่อร้านนี้แล้วทำไมถึงยังกล้าเหยียบตีนเข้ามาอีก.... ได้ยินที่ไอ้หน้าปลาจวดนั่นพูดไหมว่าคนที่นี่เขาไม่เสือกเรื่องชาวบ้านกัน ถ้าพวกกูไม่อยู่แล้วไอ้ขี้ยานั่นมันจะข่มขืนมึงจริงๆ ก็ไม่มีใครเขาช่วยมึงได้หรอก”
ผมโดนด่าเต็มๆ ก็ยอมรับแหละว่าที่โดนไปนั้นครึ่งหนึ่งเพราะหาเรื่องใส่ตัวเอง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็เป็นเพราะความแรดของไอ้เชี่ยบี๋ที่ยืนยิ้มแห้งอยู่ข้างๆ
“ทีพวกพี่ยังมาได้เลย.......” ผมเถียง ไม่รู้จะเถียงไปทำไมแต่ก็ยังอยากจะเถียงอยู่ดี
“กูมาช่วยรุ่นพี่กูเปิดแผ่นโว้ย แล้วกูก็เป็นผู้ชายด้วย”
“ผมก็ผู้ชายนะ”
“แต่มึงเป็นผู้ชายที่โดนผู้ชายด้วยกันจับตูดแล้วปล้ำได้”
ผมอ้าปากค้างเถียงไม่ออก แสดงว่าไอ้พี่โรมแม่งเห็นเหตุการณ์ที่ผมโดนกลุ่มพี่อาร์ทลวนลามมาตั้งแต่แรกเลยนี่หว่า
เจ้าของมือใหญ่ขยี้หัวผม เรียกสายตาผมให้แหงนขึ้นมองใบหน้าคมในระยะประชิด.... ครั้งแรกที่เจอกัน ผมยอมรับว่ามันคือความประทับใจบวกซาบซึ้งที่พี่โรมอุตส่าห์ช่วยเหลือรุ่นน้องต่างคณะผู้ตกทุกข์ได้ยากทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่หลังจากคืนเสื้อช็อปไปแล้ว ผมก็แทบไม่ได้นึกถึงวีรกรรมฮีโร่ของพี่โรมอีกเลย อย่างเดียวที่สลักฝังแน่นอยู่ในความทรงจำก็คือหน้าตาหมีๆ ของผู้ชายปากร้ายใจดีซึ่งขึ้นมึงขึ้นกูใส่ผมตั้งแต่คุยกันได้ยังไม่ถึงสองนาที
ให้ตายเถอะ ผมจำหน้าพี่โรมได้ก็จริง แต่ไม่ยักกะจำได้เลยว่าเขาจะเป็นมนุษย์หมีที่หล่อขนาดนี้
สัดเอ๊ย.... หล่อฉิบ!
“เห็นมึงเจ็บแล้วกูก็ไม่ได้อยากจะซ้ำเติมนะ ทิชา แต่มึงน่าจะดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้หน่อยดิวะ.... คราวก่อนก็โดนไอ้เหี้ยเอกหลอกให้เสียหมา คราวนี้ก็โดนรังแกอีก นั่นเพราะคนอื่นเขามองออกว่าจุดอ่อนของมึงคืออะไรไง มึงก็ต้องอย่าเอาตัวเองไปอยู่ใจจุดที่เขาจะเอาเปรียบมึงได้ง่ายๆ สิ”
ถ้าเป็นคนอื่นมาพูดใส่หน้าแบบนี้ ผมคงสวนกลับไปแล้วว่า ‘แล้วมึงเสือกไรด้วย?’ แต่พอดีว่านี่คือพี่โรมที่ผมกำลังจ้องหน้าเขาจนตาค้างอยู่ ผมก็เลยโกรธไม่ลง.... ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าเพราะพี่โรมเขาดูคล้ายจะเป็นห่วงผมจริงจังมาก ผมก็เลยไม่คิดจะเหวี่ยงใส่ต่างหาก
“หูย เท่จัง.......”
บีบี๋ตบมือเปาะแปะ ไม่รู้ว่ามันตั้งใจจะชมพี่โรมจริงๆ หรือแกล้งปากมอมด้วยอารมณ์หมั่นไส้กันแน่ แต่พี่โรมละสายตาจากผมไปแยกเขี้ยวใส่มันทันที
“มึงก็ด้วย ไอ้ตัวเล็ก.... กูเห็นนะว่ามึงจะเอาขวดลิปตันอันเท่าฝ่ามือไปเพ่นกบาลไอ้ขี้ยานั่น ตัวเท่าข้าวสารแต่เปรี้ยวตีนฉิบหาย!”
“ก็บี๋จะช่วยเพื่อนอะ!”
“ก็แล้วถ้ามันหันมาเล่นงานมึง มึงว่ามึงกับเพื่อนจะรอดมั้ย หรือจะพากันตายห่าทั้งคู่!?”
เอาเป็นว่าทั้งผมและไอ้บี๋ ไม่มีใครเถียงสู้พี่โรมได้สักคน แต่ก็อย่างว่าแหละ มันผิดตั้งแต่พวกเราสองคนก้าวเท้าเข้ามาในเบอร์ลิค สถานที่โคตรอโคจรของชาวกรุงเทพ สถานที่ที่สามารถทำให้ชีวิตของใครบางคนพลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้าได้ภายในชั่วข้ามคืน
และมันก็เป็นสถานที่ที่ผมจะมาเจอพี่โรมได้ทุกเมื่อที่อยากเจอ....
“รถมึงมาแล้วใช่มั้ย?” พี่โรมถามหลังจากที่ผมเพิ่งกดวางสายคนขับ รถที่จะมารับอยู่ห่างออกไปแค่ห้าสิบเมตรนี่เอง
“งั้นผมไปก่อนนะครับพี่ แล้วก็ขอบคุณสำหรับเรื่องในร้านเมื่อกี้ด้วย” ผมยกมือไหว้ทั้งบอกลาและขอบคุณไปพร้อมกันแบบทูอินวัน
อูเบอร์ที่ผมเรียกจอดเทียบริมฟุตบาท ผมเปิดประตูให้บีบี๋ขึ้นไปนั่งเบาะหลังก่อนแล้วตัวเองค่อยตามไป แต่ก่อนที่จะดึงประตูปิดเป็นสัญญาณให้พี่คนขับซิ่งได้ พี่โรมก็เรียกผมซะเสียงดังลั่นถนน
“เดี๋ยวเด่ะ ทิชา!”
ผมรีบชะโงกหน้าออกมาด้วยความตกใจ นึกไปเองว่าไอ้พวกพี่อาร์ทมันย้อนกลับมา ทว่า สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็คือโทรศัพท์ไอโฟนของพี่โรมพร้อมกับคำพูดที่ว่า
“.....กูขอแอดไลน์มึงหน่อย”
“แอดไม?”
ผมทั้งอึ้งแล้วก็งงหน่อยๆ ออกแนวตั้งตัวไม่ติด ไม่คิดว่าคนอย่างพี่โรมจะอยากคุยอะไรกับผมมากไปกว่าที่บังเอิญพบกันสองครั้ง
“ก็กูเป็นคนส่งมึงขึ้นรถ กูก็ต้องเช็คว่ามึงถึงบ้านไหมวะ?” เขาว่าก่อนจะยัดเยียดมือถือให้ผมพิมพ์ไอดีไลน์เพื่อแอดไว้ในเฟรนด์ลิสต์ “เดี๋ยวมึงแคปหน้าจออูเบอร์ที่มันมีโชว์ทะเบียนรถส่งให้กู พอถึงบ้านแล้วก็ทักมาบอกด้วย”
“พี่เป็นพ่อผมหรือไงเนี่ย?” ผมทำเป็นบ่นแต่ก็ยอมให้พี่โรมแอดไลน์โดยดีไม่มีขัดขืน
ทว่า ประโยคที่ได้ยินต่อจากนี้แม่งเป็นอะไรที่ผมคาดไม่ถึงจริงๆ
“ให้มีลูกดื้ออย่างมึงนี่กูไม่เอาด้วยหรอก แต่ถ้าเป็นเมียก็คงพอไหว......”