E I L V
I: VEIL เขาเกลียดกรูเม่ต์พารากอน
ไม่ใช่เพราะนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่เดินขวักไขว่
ไม่ใช่เพราะสินค้าราคาโปรโมชั่นที่เล็งเอาไว้วันก่อนหมดไปแล้ว
ไม่ใช่เพราะนิสิตในชุดนักศึกษาที่เพิ่งเดินชนเพราะเอาแต่ก้มหน้ามองสมาร์ตโฟน
แต่เพราะชายหญิงคู่หนึ่งที่ยืนเลือกซื้อผลไม้อยู่ตรงนั้นต่างหาก
ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมอีกสักพักใหญ่โดยไม่เบนสายตาไปทางอื่น ตำแหน่งที่ยืนอยู่ตอนนี้เป็นจุดที่ไม่ถึงกับอับแต่หากมองจากมุมนั้นแล้วคงเห็นแค่ศีรษะ กระทั่งจุดโฟกัสทั้งสองหายเข้าไปในล็อกชั้นวางของหนึ่งถึงเม้มริมฝีปากให้พอมั่นใจได้ว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่
ความตื้อข้างในหัวมีมากเสียจนต้องก้าวเท้ายาวกลับไปทางลานจอดรถในชั้นเดียวกัน เดินย้อนตามทางที่เพิ่งผ่านมาเมื่อสักชั่วโมงที่แล้วจนเจอกับรถยนต์สี่ประตูที่ตนเองเป็นเจ้าของ นั่งลงตรงตำแหน่งคนขับโดยไม่ลืมล็อกอะไรให้เรียบร้อย สูดหายใจเข้าไปลึกด้วยความหวังว่ามันจะช่วยดึงสติได้ หากพอหายใจออกก็กลับไปฟุ้งซ่านเช่นเดิม
เขาไม่ตั้งคำถามว่าเป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่
เพราะมันเกิดขึ้นไปแล้ว
ต่อจากนี้ควรเป็นอย่างไรต่างหาก
เริ่มรู้สึกว่ารถมันร้อนก็เลยเหยียบคันเบรกเตรียมสตาร์ตเครื่อง ตัดสินใจเอาว่ากลับห้องก่อนแล้วอย่างอื่นค่อยว่ากันใหม่ อย่างน้อยการขับรถมันอาจจะทำให้เขามุ่งความสนใจกับการจราจรแสนน่าหงุดหงิดกลางเมืองมากกว่าล่ะมั้ง
หากยังไม่ทันได้ทำอะไรสักอย่าง เสียงเคาะกระจกข้างก็เล่นเอาสะดุ้งโหยง สิ่งที่นิรชาเห็นด้านนอกกระจกเคลือบฟิล์มดำคือผู้ชายคนหนึ่งยืนตัวตรง ไม่ได้ดูคุกคามแต่ก็ยังคงน่าสงสัยว่าทำอะไร
ได้ยินข่าวเรื่องมิจฉาชีพมาเยอะแยะจนว้าวุ่นไปก่อน พอยังไม่ได้จุดเครื่องก็เลยไม่สามารถพุ่งรถออกไปได้ อะดรีนารีนที่สูบฉีดเข้าไปพร้อมกับความสับสนล้านแปดทำให้หัวใจเต้นเร็วรัวเสียจนน่ากลัว นี่ชีวิตเขาต้องมาเจอกับอะไรที่น่าระทึกใจติดต่อกันอย่างนี้เลยเหรอ
พอมีเสียงเคาะประตูอีกครั้งก็คิดว่าไม่น่าจะปลอดภัยแล้ว เปลี่ยนใจเตรียมคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาใครสักคนที่เป็นสายโทรออกล่าสุด
“...”
คนด้านนอกขยับปากเอ่ยอะไรบางอย่างที่ฟังไม่เข้าใจ หากเมื่อมือข้างหนึ่งยกถุงผ้าลายคุ้นขึ้นมาเหนือมุมอับจึงพ่นลมหายใจโล่งอกออกมาได้
ต่อให้จุดประสงค์สำหรับการเคาะกระจกจะมาดีมากกว่าร้ายก็ไม่ได้หมายความว่าจะเชื่อใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ นิรชาเพียงลดกระจกลงเล็กน้อย พอให้สามารถมีบทสนทนาที่ตอบโต้กันได้ในเบื้องต้น
“คุณลืมของครับ”
“อ่า...ขอบคุณครับ”
คงไม่มีอะไรน่ากังวลแล้วก็เลยลดกระจกลงจนเกือบสุด รับถุงผ้าสีครามที่ใส่พวกของใช้ส่วนตัวจากการจับจ่ายเมื่อชั่วโมงที่แล้วมาวางเอาไว้ตรงเบาะด้านข้างตัวเอง ตั้งใจว่าจะกล่าวคำขอบคุณอีกครั้งแล้วก็จบกันไปเสียที
“...”
หากมือขวาของพลเมืองดีแปลกหน้าที่วางเท้าอยู่กับขอบกระจกกลับทำให้แผนที่วางไว้ล่มไม่เป็นท่า
“...ครับ?”
หรือว่าอยากจะได้เงินตอบแทน ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาก็พร้อมจะให้นะ เพราะว่าตอนนี้อยากกลับบ้านเต็มทน
คนฝั่งนอกของรถยนต์โน้มตัวเข้ามาใกล้ แสงจากหลอดไฟด้านบนขับให้สีดำของนัยน์ตาคู่นั้นชัดเจนเหลือเกิน นิรชาหลุบตาลงมาเพื่อให้ดึงสติให้กับตัวเอง แต่มันเหมือนจะแย่ยิ่งกว่าเดิมเมื่อเขาพบรอยยิ้มมุมปากแสนอบอุ่นจนลมหายใจขาดช่วง
“ต้องการคนรับฟังหรือเปล่าครับ?”
“สรุปแล้วก็คือคุณเจอแฟนของคุณเดินอยู่กับผู้หญิงคนอื่น”
“น่าจะเป็นอย่างนั้น”
“อ้าว”
“อยู่ดีๆ ผมก็คิดว่าคนนั้นอาจเป็นแฟนแล้วผมเป็นคนอื่นก็ได้น่ะ”
นิรชาตอบตามที่คิด เปิดสัญญาณเลี้ยวซ้ายเตรียมพร้อมสำหรับการตบรถออกจากถนนเส้นหลักไปตามทางลัดที่ใช้ประจำ จะว่าไปแล้วนี่เขาทำบ้าอะไรอยู่เนี่ยถึงยอมให้คนแปลกหน้าขึ้นมานั่งในรถแถมปลายทางตอนนี้ยังเป็นคอนโดที่พักของตัวเองอีก
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”
“อะไรก็เกิดขึ้นได้นี่”
‘คนรับฟัง’ ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีจนเขาอดประหลาดใจไม่ได้ ตั้งแต่ตอนที่ผงกหัวตกลงแล้วอีกคนก็เดินอ้อมขึ้นมานั่งในตำแหน่งข้างคนขับ เราเริ่มการสนทนาโดยไม่มีการแนะนำตัวใด พลเมืองดีที่ยังไม่รู้จักชื่อเล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่าตอนนั้นเห็นเขารีบเดินจนลืมหยิบถุงผ้าข้างตัว ตามด้วยการไถ่ถามว่าเพราะอะไรถึงรีบร้อนออกไปขนาดนั้น
ด้วยนิสัยส่วนตัวแล้วความจริงนิรชาชอบเก็บทุกอย่างเอาไว้กับตัวเป็นส่วนใหญ่ สงสัยเหมือนกันว่ามันเครียดจนไม่อยากจะเก็บเอาไว้หรือเพราะอะไรเขาถึงกล้าเล่ามันออกไปจนครบทุกช็อตที่เห็นกับตา
มันเริ่มจากการที่เขาตรวจไซต์งานเสร็จเร็วกว่าที่คาดเอาไว้มากพอสมควร ก็เลยตัดสินใจเข้าเมืองมาซื้อของที่จำได้ว่ามีคนแชร์เกี่ยวกับโปรโมชั่นลดราคาเอาไว้ น่าสงสารที่นอกจากตัวเองจะไม่ได้ของแล้วยังต้องมาเห็นอะไรที่ไม่ควรเข้าอีก
ภาพที่เห็นจากมุมของคนภายนอกมองยังไงชายหญิงสองคนนั้นก็ไม่พ้นคู่รักที่ออกมาจับจ่ายซื้อของกันตามประสา ท่าหยอกล้อที่แสดงออกมาคงทำให้คนอื่นมีความสุขตามได้ไม่ยาก คงมีแต่เขาเท่านั้นแหละที่เห็นภาพนั้นแล้วชาไปทั้งร่างกาย
“อันนี้ไม่เถียง”
“ตลกดีเนอะ”
“ถ้าไม่ขำก็อย่าฝืนเลยคุณ”
เก็บความประทับใจในเรื่องเล็กน้อยเอาไว้ใต้รอยยิ้มจาง “แต่ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่เวลาที่จะมาเสียใจเหมือนกัน”
“ทำไมล่ะ”
“เสียดายเวลามั้ง”
อาจเป็นคนที่มีมุมมองประหลาดไปเสียหน่อย นิรชาน่ะเป็นพวกชอบมองอนาคตข้างหน้ามากกว่าหนึ่งสเต็ปเสมอ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาคิดตอนนี้คือถ้าเอาแต่ฟูมฟายเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วนอกจากจะไม่ทำให้มีอะไรดีขึ้นมาแล้วมันน่าจะแย่ลงกว่าเดิม
“อะไรจะบริหารเวลาให้คุ้มค่าขนาดนั้น”
“หรือคุณคิดว่าผมควรคร่ำครวญกับมันงั้นสิ?”
กดแตรไล่ให้รถคันหน้าขยับไปอยู่เลนกลางถ้าจะขับช้าขนาดนี้ มันเป็นข้อควรรู้พื้นฐานว่าเลนขวาสุดน่ะเอาไว้สำหรับทำความเร็ว พอทางข้างหน้าโล่งขาขวาจึงเหยียบคันเร่งให้มิดกว่าเดิม
“ไม่ได้บอกอย่างนั้น” เหลือบมองคนที่ไม่เปลี่ยนอาการกับการเร่งความเร็วขึ้นกะทันหัน ทั้งน้ำเสียงและหน้าตายังคงเดิมเอาไว้ไม่มีเปลี่ยน “แต่คนเราควรเสียใจเป็นนะ”
“ผมก็เสียใจอยู่”
“หมายถึงแสดงออกมา” “...”
หนึ่งสิ่งที่สะกิดใจคือผู้ชายคนนี้อ่านใจคนอื่นออกหรืออย่างไร ตอนตามเอาของที่ลืมไว้มาให้รอบหนึ่งแล้ว นิรชาเผลอเม้มปากเล็กน้อยระหว่างวิเคราะห์ความเป็นไปได้ทั้งหมด ความคิดด้านลบหายไปเกือบทั้งหมดหลงเหลือเพียงความลังเลใจว่ามันควรดำเนินไปทางไหนต่อ
“โอ๊ะ ลืมไปว่าผมเสนอตัวมาเป็นคนรับฟัง”
“ไม่เป็นไร” รีบออกตัวก่อนกันเข้าใจผิดกันไปใหญ่ ตอนนี้เขาเลี้ยวเข้ามาในส่วนพื้นที่ส่วนบุคคลของคอนโดเรียบร้อยแล้ว ที่จอดประจำยังคงเว้นว่างเอาไว้เพราะต้องขับเข้ามาค่อนข้างลึก และคนในตึกนี้มีนิสัยชอบจอดในตำแหน่งเดิมซ้ำๆ เหมือนกันหมด “นอกจากฟังแล้วมาช่วยคุยก็ดีเหมือนกัน”
“ดีใจที่ทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นครับ”
มองภาพจากจออีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าจอดเข้าซองได้สวยงามไม่เบียดกินที่คนอื่น หันมาเอียงคอให้คนทางซ้ายเป็นเชิงถาม “คุณเคยคิดว่าตัวเองแปลกไหม?”
เขายกไหล่ขึ้นเล็กน้อย “ไม่นะ”
“แล้วการที่คนแปลกหน้ามานั่งคุยกันในรถตลอดทางอย่างนี้ล่ะ”
“ก็ไม่เท่าไหร่นะ”
อืม ก็เป็นคำตอบที่ดูแล้วเข้ากับสถานการณ์ของเราดี
เดินลงมาจากรถโดยที่คนรับฟังอาสาเป็นคนถือถุงผ้าเจ้าปัญหาเอาไว้ให้ ล็อกรถอะไรให้เรียบร้อยแล้วเดินนำไปยังทางขึ้นตึก ระบบรักษาความปลอดภัยทำให้ต้องใช้บัตรตั้งแต่ทางเข้าหลัก และนั่นหมายความว่าเราได้เวลาบอกลากันแล้ว
“ผมมีคำถาม...ที่น่าจะแปลกนิดหน่อย”
หันมาประชันหน้าโดยเว้นระยะห่างเอาไว้พอดี ความสูงที่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นไปคุย เขาไม่ได้สนใจพอที่จะเก็บรายละเอียดบนใบหน้าคนแปลกหน้าที่ยังไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อทั้งหมด เอาเท่าที่บอกได้คือตาสวยแล้วบุคลิกดูอบอุ่นดี
“ว่า”
“มันรู้สึกแบบไหนเหรอ เวลาที่เรา ‘ซ่อน’ ใครบางคนเอาไว้น่ะ”
ยิ้มเล็กตรงมุมปากนั้นแปลได้หลายอย่างเหลือเกิน
“ถ้าอยากรู้ก็ลองทดสอบกันไหมล่ะ?” โดยทั่วไปแล้วชีวิตในวันเสาร์ช่วงบ่ายของนิรชามักหมดไปกับการจัดเก็บห้องให้เรียบร้อย เขาก็เลยไม่เข้าใจเท่าไหร่ว่าตอนนี้ทำไมตัวเองถึงต้องมานั่งเฝ้าคนตรวจข้อสอบมิดเทอมอย่างนี้ด้วย
อาจารย์ฐิติ ภาควิชาสถิติ
นามสกุลจำไม่ได้เพราะไม่มีเวลาอ่านป้ายตรงหน้าห้องนานขนาดนั้น คือตอนแรกที่ชวนออกมาคลายเครียดก็เข้าใจว่าคงเป็นการดูหนังฟังเพลงเที่ยวเล่นตามประสาคนเมือง ไหงพอมาถึงตามที่นัดหมายแล้วมันกลับกลายเป็นส่วนตึกของคณะวิทยาศาสตร์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งไปได้ก็ไม่รู้
จะว่าผิดที่เขาเองก็ส่วนหนึ่ง ตอนที่ได้โลเคชันมาแล้วก็เอาแต่เช็กว่ามันเดินทางจากบ้านไปสะดวกไหม ต้องผ่านถนนที่ควรเลี่ยงไหม พอคำนวณเส้นทางแล้วก็ตอบตกลงไปง่ายๆ และเพิ่งมาคิ้วขมวดเอาเมื่อเช้าตอนที่เตรียมออกรถแล้วนั่นแหละ
นัดเจอกันตรงด้านหน้าสวนเพื่อพบกับผู้นัดหมายในชุดที่ดูไม่ได้เป็นทางการเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังคงความสไตล์ส่วนตัวเองไว้ได้อย่างเช่นรองเท้าหนังลำลองหุ้มส้น ส่วนเสื้อนั้นเป็นแบบโปโลกับกางเกงขาสามส่วนที่ใช้โทนสีคล้ายคลึงกัน
เราไถ่ถามเกี่ยวกับสารทุกข์สุกดิบเล็กน้อยระหว่างการเดินเข้ามาข้างใน วันหยุดทำให้ตึกใหญ่ดูเงียบเหงากว่าที่ควรจะเป็น และนิรชาก็เริ่มตงิดใจตอนที่อีกฝ่ายกดลิฟต์เตรียมขึ้นไปบนอาคาร
จากนั้นการทักทายแม่บ้านตรงโต๊ะต้อนรับก็ทำเอาทุกอย่างกระจ่างแบบที่ไม่ต้องสืบหาอะไรกันอีก คนแต่งตัวตามสบายอย่างเขาอดเกร็งไม่ได้เมื่อได้ข้อสรุปให้กับตัวเอง ยิ่งตอนเดินไปตามทางแล้วได้ยินแค่เสียงรองเท้าของตัวเองกระทบกับพื้นก็ยิ่งแล้วใหญ่
เข้ามาในห้องแล้วก็อธิบายสั้นๆ แค่ว่าเดี๋ยวขอเวลาตรวจข้อสอบเด็กก่อน หลังจากนั้นค่อยออกไปหาอะไรทานกัน เสียงกดปลายปากกาลูกลื่นไปกับส่วนต่างๆ ของกระดาษดังไม่ต่อเนื่องกันเป็นจังหวะชัดเจน บางทีก็ลากยาวหรือบางครั้งก็แค่เป็นการติ๊กถูกสั้น เขามอง ‘อาจารย์' ทำหน้าเคร่งกับกระดาษแล้วก็เปลี่ยนไปหมุนเก้าอี้เพื่อสำรวจรอบห้องแทน
ใครจะไปกล้าชวนคุยกัน
รูปแบบการดำเนินแตกต่างไปจากแพทเทิร์นที่ควรจะเป็นตั้งแต่แรกทำให้นิรชาเลิกคิดว่ามันแปลกหรือไม่แปลกไปแล้ว เอาเป็นว่าเครื่องปรับอากาศในห้องนี้ก็เย็นดีแล้วหนังสือน่าอ่านก็เต็มชั้นวางไปหมดก็แล้วกัน
แอบสงสัยเหมือนกันว่าทำไมห้องของอาจารย์ในมหาวิทยาลัยต้องตกแต่งด้วยชั้นวางที่อัดแน่นไปด้วยหนังสือขนาดนี้ อย่างภาพแรกที่เห็นตั้งแต่เข้ามาก็คือห้องสี่เหลี่ยมที่มีพื้นที่พอสมควรไม่ได้ดูอึดอัดจนเกินไป มีกองกระดาษที่ไม่ได้รับการจัดเรียงให้เรียบร้อยอยู่นิดหน่อยบนโต๊ะ ส่วนที่เหลือเรียกได้ว่าสะอาดเชียวล่ะ
ได้รับอนุญาตตั้งแต่แรกแล้วว่าถ้าอยากอ่านเล่มไหนก็หยิบได้เลย คนที่วันๆ เอาแต่คำนวณเกี่ยวกับเส้นการเดินทางของไฟฟ้าก็เลยขยับตัวช้าไม่ให้รบกวนเจ้าของห้องไปทางตู้ริมสุดติดประตู ไล่ดูจากชั้นวางตรงระยะสายตาแล้วจึงเลื่อนไปยังชั้นวางถัดไปเพื่อพบว่ามันคือหนังสือภาษาต่างประเทศเล่มหนาที่ดูวิชาการสุดขอบโลก
ผ่านมาถึงชั้นวางที่สามจึงได้เห็นหมวดหมู่ที่ดูเป็นมิตรกับตนเองมากกว่า หนังสือแนวรวบรวมประวัติศาสตร์รอบโลกและรวมบทความวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมืองของนักวิชาการและอาจารย์คือสองสิ่งที่เขากำลังชั่งใจอยู่ในเวลานี้ นี่ถ้าหลังจากนี้ใครบอกว่าเราสามารถรู้จักตัวตนจากหนังสือที่อ่านเขาจะลองยกตัวอย่างผู้ชายคนนี้ซะ
แล้วจะรอดูว่าใครจะ ‘อ่าน’ อาจารย์ฐิติได้
ไม่ใช่สายอินเนอร์รักชาติจนหัวดื้อ ที่เลือกเอาเล่มวิจารณ์บทบาทและหน้าที่ของรัฐบาลมาอ่านก็เพราะอยากรู้ว่าเนื้อหาข้างในเป็นอย่างไร สารภาพเลยก็ได้ว่าไม่เคยมีความคิดที่จะหยิบอะไรทำนองนี้ขึ้นมาอ่านปกหลังเสียด้วยซ้ำ
“โอ๊ะ?”
“ครับ?” เอียงคอถามยามเดินกลับมานั่งประจำตำแหน่งพร้อมกับของเล่นใหม่ “เล่มนี้ห้ามหยิบเหรอ”
“เปล่า แค่แปลกใจ”
“ดีใจที่เป็นฝ่ายทำให้คุณแปลกใจบ้าง”
เสียงหัวเราะเพียงเล็กน้อยเป็นตัวแปรที่ทำให้บรรยากาศในห้องดูสดใสขึ้นทันตา “นึกว่าจะหยิบพวกนิยายสืบสวนตรงนั้นมา”
ไม่ได้ต่อบทสนทนาด้วยเสียง นิรชาก้มลงมาชื่นชมการออกแบบหน้าปกของหนังสือบนตัก ไล้ปลายนิ้วไปตามตัวอักษรปั๊มฟอยล์สีเงินตัดกับพื้นหลังสีกรมท่า ส่วนรูปภาพที่ใส่มาด้วยนั้นเป็นการตัดแปะเหตุการณ์ทางเมืองจากหน้าหนังสือพิมพ์ให้กลายเป็นละครเรื่องใหม่ ตัวเลขบอกปีที่พิมพ์บนนั้นคือเมื่อประมาณหนึ่งปีที่แล้ว ถึงว่าทำไมดูไม่โบราณในความรู้สึก
“ผมยังต้องตรวจอีกเยอะเลย ถ้าอยากกินพวกกาแฟออกไปชงเองได้เลยนะที่ห้องกลาง วันนี้ไม่มีใครมาทำงานหรอก”
ยังคงพินิจว่ามันประกอบด้วยเรื่องราวจากช่วงเวลาใดบ้าง ถึงจะบอกว่าไม่ใช่สายอินการเมืองแต่มันก็ต้องเคยผ่านตามาบ้างล่ะ อาจจะเป็นจากหนังสือเรียนหรือไม่ก็บนโลกออนไลน์ที่เพื่อนแชร์กันมา
“ไม่เป็นไร แค่น้ำเปล่าก็พอ” ในห้องพักมีขวดน้ำตรามหาวิทยาลัยวางเรียงอยู่สามสี่ขวดบนโต๊ะทำงาน นิรชากระตุกยิ้มร้ายขึ้นมายามนึกบางอย่างได้ “กันเอาไว้ดีกว่า เดี๋ยวคนอื่นจะรู้ว่าอาจารย์ฐิติ ‘ซ่อน’ ใครเอาไว้ในห้อง”
คราวนี้เสียงหัวเราะแบบเดียวกันกลับทำให้อุณหภูมิในห้องดูเย็นเยียบลงไปหลายเท่าตัว เก็บความเสียดายเอาไว้ข้างในเพราะดันหวังไปว่าจะได้เห็นอะไรแปลกๆ เหมือนอย่างที่ผ่านมา อาจารย์ในภาควิชาสถิติยังคงแย้มยิ้มละไมแถมยังยอกย้อนหน้าตาเฉย
“ใครซ่อนใครกันแน่?” “...”
กลายเป็นว่ามันจี้จุดบางอย่างข้างในให้ดิ่งลึก นิรชาแสร้งเปลี่ยนจุดสนใจไปยังเนื้อหาด้านในของหนังสือตรงตัก เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยยามพบว่าหน้ารองปกนั้นมีข้อความและลายเซ็นต์กินที่เกือบครึ่งหน้าเขียนด้วยปากกาหมึกซึมสีดำสนิท
“ให้ฐิติ ...อ่านแล้วส่งคำวิจารณ์กลับมา ...ขอโทษที”
พอนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายกำลังตรวจข้อสอบอยู่ก็เลยต้องรีบกล่าวคำขอโทษ เจ้าของหนังสือดูจะรับมือกับสถานการณ์ได้ไม่ดีเท่าไหร่ถึงทำหน้าสงสัยแบบที่มือก็ยังค้างเอาไว้ในท่าตรวจข้อสอบเช่นเดิม
“ขอโทษทำไมครับ?”
“ผมลืมไปว่าคุณทำงานอยู่”
“อ้อ ไม่เป็นไรๆ”
“จะอ่านเงียบๆ ล่ะ สัญญา”
“ไม่ต้องถึงขั้นยกสามนิ้วก็ได้” ก็มันเผลอทำตามความเคยชินน่ะสิ เป็นการแสดงออกเสริมว่าเขาตั้งใจจะไม่ทำอีกแล้วจริง “อย่าไปชูแถวม็อบนะครับ เดี๋ยวโดนรวบไม่รู้ตัว”
“ปกติแล้วทุกคนเรียกคุณว่าฐิติเหรอ”
เพื่อไม่ให้เรื่องราวมันออกนอกทะเลจนเกินไปก็เลยเปลี่ยนเรื่องคุยหน่อย อันนี้เขาสงสัยเพราะว่าขนาดในหนังสือก็ยังเขียนด้วยชื่อจริงเลย
“เกือบหมดนะ ยกเว้นพวกเพื่อนที่ต่างประเทศเรียกธีโอ”
ผงกหัวรับทราบ พวกอาจารย์ก็น่าจะเคยไปเรียนต่อต่างประเทศกันทั้งนั้นแหละ “งั้นเรียกฐิตินะ ส่วนผมเรียกว่านินก็ได้”
น่าจะเป็นความประหลาดอย่างที่ล้านตรงที่เราเพิ่งจะมาแนะนำชื่อกันจริงจังก็ตอนนี้ เวลาคุยในไลน์มันเป็นชื่อจริงแบบภาษาอังกฤษก็เลยไม่กล้าอ่านออกเสียงเอาเอง คราวนี้ล่ะจะได้เรียกชื่อได้อย่างสบายใจแล้ว
“ครับผม”
ได้เวลาพอสมควรก็ต้องส่งคนมีหน้าที่กลับไปทำงาน ตัวนิรชาเองก็ก้มลงมาอ่านข้อความจากผู้เขียนที่ส่งตรงถึงเจ้าของต่อจนจบ ดูทรงจากวิธีการเขียนที่ไม่เป็นทางการแถมยังมีการกระแหนะกระแหนพอขำขันสามารถให้ข้อสรุปได้ว่าน่าจะรู้จักกันดีในระดับหนึ่งเลยล่ะ
แน่นอนว่าไม่ใช่หน้าที่ที่ต้องไปตามเสาะหาข้อมูลเพิ่มเติมว่าสนิทกันมาตั้งแต่ชาติปางไหน พลิกต่อไปจนเจอกับสารบัญบอกเลขหน้าที่ดูละลานตาไปด้วยคำศัพท์ประดิษฐ์ที่ต้องมาแปลไทยเป็นไทยอีกที สุ่มเลือกเป็นช่วงกลางของเล่มเพราะว่าดูชื่อหัวข้อแล้วน่าสนุกที่สุดจากการไล่อ่านหนึ่งรอบ
สะดุดไม่น้อยเชียวล่ะพอเปิดออกมาแล้วเจอปากกาไฮไลต์ขีดเป็นช่วงทั่วหน้ากระดาษ มีลายมือลากลูกศรเขียนกำกับเอาไว้ปนกันทั้งไทยและอังกฤษ จากที่คิดว่าจะอ่านเนื้อหาก็เลยกลายเป็นสนุกกับการไล่ดูวิธีการตั้งคำถามในแต่ละจุด บางคำถามก็เข้าใจได้ส่วนที่เหลือบอกเลยว่าออกนอกจักรวาลไปแล้ว
คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าอาจารย์ที่สอนเกี่ยวกับสถิติจะมีมุมมองด้านสังคมที่ซับซ้อนได้เท่านี้ คือบางประโยคที่ถ้าเป็นเขาเองคงอ่านเพียงผ่านก็ยังมีการแยกออกมาเป็นหัวข้อย่อย นี่คือเพื่อนให้วิจารณ์ก็จัดเต็มไม่มีกั๊กเลยแฮะ
เพราะมันควรแอบซ่อนเอาไว้?
“...”
ทั้งหน้ากระดาษไม่มีการขีดเขียนไฮไลต์เช่นเดียวกับแผ่นอื่น แถมยังมีการวงกลมซ้ำๆ ตรงข้อความช่วงหนึ่งที่เขียนเกี่ยวกับการเก็บรักษาข้อมูลของทางรัฐบาลทั้งที่บางอย่างมันควรจะเผยแพร่ต่อสาธารณะชน เท่าที่ลองกรีดเล่มผ่านตายังไม่เคยมีจุดไหนที่ใช้รูปแบบเดียวกันในการขีดใจความสำคัญและตั้งคำถาม
เก็บความสงสัยเอาไว้คนเดียวพลางปลอบว่ามันอย่าไปยุ่มย่ามอะไรในเรื่องที่เป็นส่วนตัวมากนัก เปิดดูต่อไปจนเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงเรียกชื่อเบาๆ
“เพื่อนคุณคงด่าเปิง” โชว์หน้าที่กำลังอ่านอยู่ขึ้นสูงระดับสายตาอีกฝ่าย อันนี้ถือว่าเด็ดอยู่เพราะมีทั้งการเน้นข้อความ ขีดฆ่า แล้วก็เครื่องหมายคำถามตัวใหญ่ “ผมไม่อยากคิดเวลาคุณเป็นกรรมการธีสิสเลย”
“ก็ไม่ได้ขนาดนั้นนะ ...มั้ง”
“แสดงว่าใจร้ายจริง”
ส่งสายตารู้ทันไปให้ ปิดหนังสือลงเตรียมเก็บมันไว้กับชั้นวางตามเดิม นาฬิกาแบบแขวนกำแพงบอกว่าตอนนี้เกือบห้าโมงเย็นเข้าไปแล้ว นี่เขาหลุดเข้าไปอยู่ในอีกโลกของแท้
“ไม่แก้ต่างดีกว่า ให้คุณรอพิสูจน์เอง”
“ก็ว่าไปนั่น แล้วเพื่อนคุณว่ายังไงบ้างเจอเข้าไปขนาดนี้”
“ยังไม่ได้ให้เลยครับ”
“อ้าว?”
“พอกลับมาทวนเองแล้วผมคิดว่าบางข้อความมันไม่น่าให้เขาได้อ่านน่ะ”
“อืม...” ตามจริงแล้วมันมีอะไรบางอย่างผุดขึ้นมา แต่เขารู้ตัวดีว่าไม่ควรพูดมันออกไป “นี่ผมก็มีข้อความที่รู้สึกว่าไม่ควรให้คนอื่นได้อ่านเหมือนกันแหละ”
“หมายถึง?”
เรายังคงคุยกันไม่ขาดช่วงในเวลาที่ฐิติสาละวนกับการเก็บของทุกอย่างให้เข้าที่ กระดาษคำตอบทั้งหมดถูกนำใส่ซองวางเอาไว้ในจุดที่สังเกตง่ายเตรียมเอาไว้สำหรับส่งให้ฝ่ายทะเบียนกรอกคะแนนลงไปในเช้าวันจันทร์
“แฟนผมเขาส่งมาถามว่าทำอะไรอยู่ แล้วผมก็อยากจะส่งกลับไปถามว่าคุณต่างหากที่ทำอะไรอยู่”
“ไม่ควรให้คนอื่นอ่านจริงด้วย”
“แต่คิดอยู่ว่าส่งรูปนี้ไปดีไหม”
หยิบโทรศัพท์ออกมาโชว์รูปที่ว่า เป็นภาพช่วงหน้าตักของเขาที่มีหนังสือเล่มหนาเปิดค้างเอาไว้ตรงหน้าที่ไม่มีรอยขีดเขียนใด จัดองค์ประกอบโดยรวมให้ดูไม่ออกว่ากำลังอยู่ที่ไหน...หรือว่าอยู่กับใคร
“ก็ส่งไปสิ ไม่เห็นมีอะไรเลย”
“อยู่ดีๆ ก็ไม่กล้าน่ะ” น่าจะเป็นประเภทที่มองว่ามนุษย์นั้นควรจะดำรงเอาไว้ซึ่งความดี และสิ่งที่เขากำลังทำอยู่มันเป็นเรื่องผิด “กลัวอะไรก็ไม่รู้”
“ลองทำอย่างนี้ไหมล่ะ หลับตาแล้วกดส่งไปเลย”
นอกจากจะไม่มีการห้ามปรามแล้วยังแนะนำวิธีการที่ไม่ค่อยดีอีกต่างหาก จากที่นั่งกันอยู่คนละฝั่งของโต๊ะตัวใหญ่ตอนนี้ผู้ชายคนนั้นขยับมานั่งตรงมุมขอบโต๊ะที่ติดกับเก้าอี้นวมของเขา สาธิตการปิดตาแล้วทำมือเหมือนกดส่งบางอย่างกลางอากาศ
กลั้นขำเอาไว้ก่อน รู้สึกอารมณ์ดีจนความกังวลแรกเริ่มหายไปแทบทั้งหมด นิรชาปล่อยความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดไว้ข้างหลัง จัดแจงเข้าไปตามคำสั่งส่งภาพจัดถึงขั้นตอนสุดท้าย เล็งเอาไว้ให้เรียบร้อยว่าไม่มีทางผิดตำแหน่งจึงปิดตาลงแล้วจัดการกดลงไปทันที
...
คงเป็นเพราะหลับตาอยู่ สัมผัสหยุ่นบางเบาตรงริมฝีปากที่ได้รับจึงชัดเจนกว่าที่ควรจะเป็น
“เห็นไหม ไม่มีอะไรสักหน่อย”
***
เป็นอะไรที่แต่งยากเหมือนเดิมเลยค่ะ (หัวเราะ) สวัสดีสำหรับเรื่องสั้นประจำปี 2019 นะคะ
#อีไอแอลวี