เมื่อผมต้องกลายเป็นแม่พันธุ์ ตอน ศึกพ่อตาโหด(หื่น)กับลูกเขยปีศาจ
ดวงตาดำทมิฬฉายแววโหด ร่างกายใหญ่โตผิวสีซีดขาวก้าวย่างด้วยความไวจนไม่อาจจะมองทัน ฝุ่นและใบไม้แห้งปลิวว่อนคลุ้งไปกับอากาศ เทพพิทักป่าคำรามกึกก้องทั่วทั้งผืนไพร จ้องปีศาจที่ขนาดลำตัวใกล้เคียงกันด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่งยวด อมฤทธิ์หยุดยืนอยู่ต่อหน้าคนทั้งคู่ด้วยแววตาขึงโกรธ
“เจ้าปล่อยลูกของข้าซะ ข้ามีเรื่องจะต้องสะสางกับเจ้า...ไอ้ค้างคาวขี้ขโมย!”
อนธการเลิกคิ้ว มองบุรุษเบื้องหน้าด้วยใบหน้านิ่งเฉย เขารับรู้ถึงบรรยากาศที่ตึงเครียดนี้ดี แต่เพราะเขาคงจะเก่งในการเก็บความรู้สึกกระมัง เลยไม่ได้มีท่าทีใดๆแสดงออกมามากนัก เขาไม่ได้ทำตามคำสั่ง เพราะเขาก็เป็นปีศาจเช่นกันจะกลัวเกรงเทพครึ่งปีศาจตนนี้หรือก็ไม่ คนในอ้อมแขนเท่านั้นที่เขาต้องการ
“เจ้าหูตึงหรืออย่างไร ข้าบอกให้ปล่อยลูกของข้าเดี๋ยวนี้!” น้ำเสียงพิโรจน์จนเด็กๆที่ยืนอออยู่รวมกันถึงกับสะดุ้งโหยงอย่างตกใจ ด้วยไม่เคยเห็นท่านพ่อโกรธจัดขนาดนี้ ต่างมองตากันเลิกลักอย่างกังวลต่อเหตุการณ์ที่มันอาจจะรุนแรงกว่าที่คิดไว้
จ้าวรัตติกาลเพียงพ่นลมออกจากปากอย่างเบื่อหน่าย เมื่อคิดว่าตาแก่เบื้องหน้านี้ช่างทำตนเป็นพ่อตาจอมโหด ถ้าไม่เห็นแก่บีซอป่านนี้เขาอาจจัดการหักคออีกฝ่ายให้หายหงุดหงิดใจเสีย ที่กล้าขึ้นเสียงใส่เขา
“ข้าอยากจะปล่อยเมียของข้าอยู่หรอกนะ แต่เพราะเขายังยืนไม่ได้ ข้าก็เลยต้องอุ้มไว้ก่อน ไม่เช่นนั้นเมียของข้าอาจจะล้มลงต่อหน้าท่านไปแล้ว” น้ำเสียงเรียบๆกับใบหน้ายียวนที่ลอยไปลอยมานั่นว่ากวนโมโหอยู่แล้ว แต่ไม่เท่ากับคำที่กล่าวอ้างว่าเป็นอะไรกับบีซอ ทำให้คนฟังโกรธจนตาแทบลุกเป็นไฟ
“เจ้าย่ำยีลูกข้า” อมฤทธิ์ชี้หน้าอนธการอย่างโกรธจัด บีซอที่เงียบกริบมาตลอดได้แต่ซุกหน้าลงบนอกเปลือยของอนธการด้วยความกลัว ท่านพ่อจะฆ่าเขาด้วยอีกคนหรือเปล่านะ เขาไม่เคยเห็นท่านพ่อโกรธหนักขนาดนี้มาก่อน เด็กชายคิดอย่างเกรงกลัว
“เขาเป็นเมียข้าโดยเต็มใจ ข้ามิได้กระทำตามที่ท่านกล่าวหา” แม้จะถูกตามที่เทพพิทักษ์ป่าได้ว่าไว้ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะย่ำยีโดยอีกฝ่ายไม่เต็มใจเสียหน่อย ยิ่งช่วงก่อนจะมาเด็กน้อยยังร้องครางใต้ร่างเขาอย่างมีความสุขอยู่เลย จะเรียกว่าการย่ำยีนั้นคงจะไม่ถูก อนธการคิดเองเสร็จสรรพ
“จริงหรือบีซอ เจ้าบอกพ่อมาเดี๋ยวนี้!” บีซอตัวสั่นเมื่อท่านพ่อตวาดเสียงดัง มะเหมี่ยวที่ยืนอุ้มลูกชายคนเล็กที่เขาเพิ่งคลอดเมื่อสองเดือนก่อนเริ่มยืนไม่ติดที่ เมื่อเห็นว่าอมฤทธิ์ชักจะโมโหจนแทบคุมสติตนไม่ได้แล้ว
“แม่ครับ ผมฝากพุกก้าไว้สักเดี๋ยวนะครับ”
“จ้าลูก”ขะยิ่นรับพุกก้าน้อยที่ทำแก้มป่องเมื่อท่านแม่ไม่ยอมให้เขาไปด้วยมาอุ้มไว้ในอ้อมแขน เด็กชายหน้างอจนขะยิ่นต้องเอ่ยบอกว่าจะพาไปเที่ยวในเมือง พุกก้าจึงยิ้มแป้นอย่างดีใจ เพราะตั้งแต่เกิดมาก็อยู่แต่ในป่า ได้ออกไปเที่ยวข้างนอกบ้างก็น่าสนุกดี
“ท่านยายรับปากข้าแล้วนะ”
“จ้า ยายรับปาก” ขะยิ่นยิ้ม ดีนะที่มะขิ่นติดเรียนไม่อย่างนั้นคงจะขอตามมาด้วย ลูกสาวหล่อนยังไม่รู้เรื่องเหนือธรรมชาตินี้ ไม่อยากจะนึกเลยว่าหากรู้ขึ้นมาจะเป็นเช่นไร อาจจะช็อคก็ได้ใครจะไปรู้...นางคิดอย่างปลงๆ
“พ่อถามเจ้าได้ยินไหม! บีซอยังจะเงียบอีกนานไหม!”
“อมฤทธิ์อย่าตะคอกลูกสิ” มะเหมี่ยวเดินปรี่เข้ามาปราม ถึงจะไม่พอใจในตัวปีศาจตนนั้นมากขนาดไหน เขาก็ไม่อยากให้มันเกิดอะไรร้ายแรงขึ้น เพราะถึงอย่างไรเรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว คงจะไปแก้ไขอะไรไม่ได้
อมฤทธิ์ดูสงบขึ้น อารมณ์ที่อยากฉีกทึ้งปีศาจค้างคาวถูกเก็บไว้ในใจอย่างเงียบๆ เมื่อเมียรักทำท่าเหมือนไม่อยากให้เขาเกรี้ยวกราดมากนัก ชายหนุ่มกัดฟันกรอดอย่างข่มอารมณ์ จ้องลูกชายที่ทำเหมือนกลัวเขานักหนาอย่างไม่เข้าใจ
“บีซอ” มะเหมี่ยวเรียกลูกรักที่เงยหน้ามองมายังเขาด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ แววตระหนกปรากฏในแววตาใสที่เคลือบไว้ด้วยความอ่อนแรงจนคนเป็นแม่อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้
“ท่านแม่ ข้า ข้า...”
“มาหาแม่สิลูก หิวหรือเปล่า ได้กินอะไรมาบ้างหรือยัง” น้ำเสียงห่วงใยของมะเหมี่ยวทำให้คนที่ใจคอไม่ดีน้ำตาคลอ ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนอนธการอย่างต้องการจะไปหาท่านแม่ของตน
“ปล่อยข้า ข้าจะไปหาท่านแม่” เด็กชายงอแงเสียงขึ้นจมูก ไขว่คว้ามือไปหาม่าเหมี่ยว
จ้าวรัตติกาลหลับตาลงอย่างยอมแพ้ เห็นทีว่าเขาคงต้องยอมลงให้ก่อน มิเช่นนั้นเด็กดื้ออาจจะแผลงฤทธิ์ให้เขาต้องปวดหัวมากกว่าคนเป็นพ่อก็เป็นได้
อนธการคลายอ้อมแขนปล่อยให้บีซอได้ยืนบนพื้นด้วยตัวเอง แต่เพียงแค่เท้าแตะพื้นได้ไม่เท่าไหร่ บีซอก็ทรุดฮวบลงนั่งกับพื้นอย่างอ่อนแรง
มะเหมี่ยวรีบก้มลงไปอุ้มลูกชายขึ้นมาแนบอกอย่างตกใจ ใบหน้าซีดเผือดของบีซอยิ้มแหยๆให้
“ขาของข้ามันสั่นแปลกๆ ข้าพยายามจะยืนแล้วแต่มันไม่มีแรงเลย” เสียงใสแก้ตัวอ่อยๆ มะเหมี่ยวหันไปจ้องตากับอนธการด้วยสายตากล่าวโทษ ความไม่พอใจเด่นชัดในแววตาจนอมฤทธิ์ที่ยืนมองเหตุการณ์ใกล้ๆถึงกับขนลุกซู่เมื่อเห็นเช่นนั้น
แววตาตอนที่เขาช่วยเกลี้ยกล่อมมะเหมี่ยวยอมให้หมี่ซอไปอยู่กับอรุณ ตอนนั้นเมียรักโกรธเขามากจนไล่ให้ไปนอนนอกถ้ำเป็นเวลาร่วมเดือน มาบัดนี้เขาไม่รู้เลยว่ามะเหมี่ยวจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร
แต่คงไม่ทำเหมือนครานั้นหรอกนะ...เพราะเขาไม่ได้ผิดด้วยเรื่องอันใดเลย
“คุณรู้ใช่ไหมว่าควรจัดการเรื่องนี้ยังไง” อนธการเลิกคิ้วสงสัย เมื่อชายหนุ่มร่างบางที่บีซอเรียกว่าท่านแม่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นกับเขา ชายหนุ่มกอดอกด้วยท่าทางสบายแล้วเอ่ยถาม
“ท่านอยากให้ข้าจัดการเช่นไรรึ? หากถามใจของข้า ข้าอยากให้บีซอไปอยู่กับข้าที่ปราสาท...ว่าแต่ท่านจะยอมหรือไม่ล่ะ?”
“ไม่มีทาง! ลูกข้าจะไม่ไปอยู่กับค้างคาวสามหาวเช่นเจ้าเด็ดขาด!” เสียงดุดันดังออกมาจากอมฤทธิ์ทันที เขาอยากบดขยี้กระดูกอีกฝ่ายให้แหลกละเอียดไปกับมือเสียจริง
“แต่บีซอเป็นเมียของข้า...เมียก็ต้องไปอยู่กับผัวมิใช่รึ? ท่านเทพ”
ยียวนกวนประสาทชะมัด!
อมฤทธิ์เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธจัด
ขะยิ่นเห็นท่าไม่ดี เพราะนางมองเห็นว่าในไม่ช้านี้จะต้องมีการกระทบกระทั่งกันจนเจ็บตัวแน่ๆ
“มะเหมี่ยวพาบีซอเข้ามาพักก่อนเถอะลูก...ปล่อยให้พวกเขาเคลียร์กันเองดีกว่านะ” อย่างน้อยควรหาที่หลบก่อน ไม่เช่นนั้นอาจได้รับลูกหลงแน่ๆ
เมื่อมารดาตะโกนมาเช่นนั้น มะเหมี่ยวก็รีบสาวเท้าเดินตรงไปหาในทันที ใจตอนนี้เจ็บปวดมากนัก ที่เห็นบุตรชายเป็นที่รักดูอ่อนแอจนน่าสงสาร
เรื่องอย่างว่าควรเกิดขึ้นเมื่อบีซอเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ใช่เกิดขึ้นรวดเร็วจนตั้งรับไม่ทันเช่นนี้ หัวอกคนเป็นแม่ย่อมปวดใจกว่าลูกเป็นเท่าตัวอยู่แล้ว
โถ...ลูกของแม่
“ท่านยาย”บีซอร้องเรียกเมื่อเห็นท่านยายที่นานๆทีจะแวะมาเยี่ยมพวกเขาที่นี่สักหนหนึ่ง นี่คงเป็นเพราะเรื่องของเขาแน่ๆ ท่านยายถึงได้มาหา
“มะเหมี่ยวพาบีซอไปพักในถ้ำก่อนเถอะลูก เด็กๆด้วยนะลูก” ทุกคนต่างพากันเดินเข้าถ้ำไปอย่างว่าง่าย แม้ใจของเด็กๆอยากรอดูเหตุการณ์ต่อก็ตาม
มีเพียงอรุณเท่านั้นที่ยังยืนดูพ่อตากับลูกเขยหมาดๆจ้องตากันแทบถลน เขาเหาะขึ้นไปนั่งบนกิ่งต้นฉำฉา รอดูเหตุการณ์อย่างสนใจ
“เจ้าบังอาจมายุ่งกับลูกของข้า รู้หรือไม่ว่าจะได้รับบทเรียนเช่นไร” อมฤทธิ์ถามเสียงกร้าว
“ข้าหาได้เกรงกลัวท่านไม่ หากท่านมิใช่บิดาของบีซอ ข้าไม่ยืนปล่อยให้ท่านว่าข้าเพียงฝ่ายเดียวเป็นแน่”
“เจ้ามันมิใช่บุรุษ เจ้าข่มเหงลูกของข้า แล้วยังมาพูดจาอวดดีอีก!”
อนธการทำหน้าเบื่อหน่าย ชายหนุ่มไม่ต้องการให้เรื่องมันเลวร้ายไปมากกว่านี้ เพราะเขายังอยากได้ตัวบีซอไปอยู่ด้วย การคิดต่อกรกับอมฤทธิ์จึงไม่ใช่วิธีที่ดีเลย
“หากเช่นนั้นท่านจะให้ข้าทำเยี่ยงไร ในเมื่อตอนนี้บีซอเป็นเมียของข้า แล้วข้าก็ปรารถนาลูกของท่านมากเช่นกัน”
“เจ้าไม่ต้องทำเช่นไรเลย แค่อย่ามายุ่งกับลูกของข้าอีกก็พอ”
“คงจะเป็นไปไม่ได้” อนธการส่ายหัว
อมฤทธิ์ที่ไม่พอใจในตัวจ้าวรัตติกาลอยู่แล้วพุ่งตัวเข้าใส่อนธการ ใช้สองมือกำรอบคออีกฝ่ายไว้พูดเสียงดัง
“งั้นเจ้าก็ต้องชนะข้าให้ได้ แล้วข้าจะยกบีซอให้เจ้า”
“ท่านเป็นพยานนะ” อนธการหันไปถามผู้ชายที่นั่งอยู่บนกิ่งไม้ อรุณเพียงแค่ยักไหล่แล้วพิงหลังไปที่ลำต้นอย่างสบายอารมณ์ รอดูการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้อย่างใจจดใจจ่อ
ราวกับมีกระแสไฟฟ้าลั่นเปรี้ยงออกมาจากสายตาของคนทั้งคู่ที่จ้องมองกันอย่างไม่ยอมแพ้ ก่อนที่คลื่นลมจะพัดโบกกระหน่ำอย่างรุนแรง
อสนีบาตคำรามสะเทือนลั่น สรรพสัตว์พลันแตกตื่นโกลาหน
วนาลัยปรวนแปรทั้งภูวดล ธาราวนหมุนเร็วน่าหวั่นใจ
สองบุรุษพุ่งตัวเข้าพันตู แม้นต่อสู้ยิบตาก็หาใช่
ต่างลองเชิงตั้งรับตอบกลับไป แรงนั้นไซร้มหาศาลเหลือประมาณ
จ้าวราตรีโน้มหลบหัตถ์บุรุษเทพ นฤเทพแปลงกายยืนตระหง่าน
สยายปีกมหึมานิลกาฬ ผ่อนลมปราณพุ่งโฉบเทพละลิ่วไกล
ความเร็วและแรงที่จ้าวรัตติกาลพุ่งใส่อมฤทธิ์นั้น ทำให้เทพครึ่งปีศาจที่ชะล่าใจในตัวของอีกฝ่ายลอยไปกระแทกกับต้นไม้ใหญ่จนโค่นล้มแตกหักกระจัดกระจาย
อมฤทธิ์นอนหงายโดยด้านบนถูกจ้าวรัตติกาลกดไหล่ทั้งสองข้างของเขาไว้ ดวงตาสีแดงเพลิงจ้องมายังเขาอย่างเหนือกว่า เมื่อแสดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นก่อนหลังจากที่ลองเชิงกันมาสักพัก
สายฟ้าแลบแปลบปลาบสะท้อนดวงหน้าซีดขาวของอมฤทธิ์ ที่หรี่มองจ้าวรัตติกาลด้วยความพึงใจปนความไม่พอใจที่ค่อยๆลดลงจนเขาเองยังรู้สึกแปลกใจตนเอง อาจเป็นเพราะเขาเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายก็ดูเป็นปีศาจที่เก่งพอตัว
“ท่านแพ้ข้า ท่านต้องยกบีซอให้ข้าตามที่ได้สัญญาไว้” ใบหน้าค้างคาวที่มีเขี้ยวแหลมคมเอ่ย
อมฤทธิ์หัวเราะในลำคอ รู้สึกขบขันในท่าทางราวได้ใจนั้นหนักหนา เขายังไม่ได้ “เริ่ม” เลย จะเรียกว่าแพ้ได้อย่างไร
“เจ้าชนะข้า? หึหึ ข้ายังไม่ได้ลงมือต่อสู้กับเจ้าอย่างจริงๆจังๆ เจ้าก็คิดว่าข้าพ่ายแพ้ให้กับเจ้าแล้วรึ...เจ้ามันอ่อนหัดกว่าที่ข้าคิดไว้เยอะนะ...เจ้าค้างคาวผีดิบ!” หลังจบประโยค อมฤทธิ์ก็โขกศีรษะใส่หน้าผากของจ้าวรัตติกาลจนหน้าหงายแล้วใช้พลังเทพผลักอกของอนธการกระเด็นออกจากร่างเขาอย่างแรง จนจ้าวรัตติกาลลอยเคว้งไปตามอากาศ แผ่นหลังที่ปกคลุมไปด้วยปีกกว้างกระทบกับโขดหินขนาดใหญ่ที่อยู่ริมน้ำอย่างจัง
ปัก!
โขดหินแตกเป็นเสี่ยง หลุดกระเด็นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยตามแรงอัดที่มหาศาลนั่น จ้าวรัตติกาลพยายามทรงตัวลุกขึ้นอย่างลำบาก ร่างกายได้รับบาดเจ็บหนักรวมถึงปีกสีดำที่มีโลหิตซึมออกมา ริมฝีปากหนาเม้มแน่น นึกเคืองใจที่เทพพิทักษ์ป่าต้องการจะให้เขาถึงขั้นสิ้นชีพแดดิ้นเสียบัดเดี๋ยวนั้นเลย
เขาไม่ทันคิดว่าอีกฝ่ายที่เป็นถึงเทพครึ่งปีศาจจะมีพละกำลังเหลือล้นมากถึงเพียงนี้ แค่ฝ่ามือสองข้างก็สามารถสร้างความเจ็บปวดแก่เขาได้มากมาย และก็คงเป็นเขาเองที่ประเมินความเก่งกาจของอมฤทธิ์ต่ำไป
อึก!
อนธการกระอักเลือด เขาใช้หลังมือเช็ดมันออกจากริมฝีปากอย่างลวกๆ มองอมฤทธิ์ที่ก้าวเดินอย่างเชื่องช้ามาหาเขาด้วยสายตาเตรียมพร้อม ถึงแม้จะรับรู้ว่าอวัยวะภายในกำลังช้ำ แต่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทางอ่อนแอออกไปมากนัก
ความสะใจปรากฏบนใบหน้าหล่อคมของเทพพิทักษ์ป่า เพียงเท่านี้ไม่ได้ทำให้เขาหายโกรธแค้นอีกฝ่ายได้หรอก ถ้าจะให้ดีเจ้าค้างคาวผีดิบตนนี้ต้องเจ็บปวดมากกว่าบีซอหลายร้อยเท่า ที่บังอาจกระทำย่ำยีบุตรของเขา
ถึงแม้แม่ยายจะบอกว่ามันเป็นลิขิตที่เบื้องบนกำหนดมาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรบีซอก็ต้องตกเป็นเมียของมันไม่วันใดก็วันหนึ่ง เขาก็ยังไม่ชอบใจอยู่ดี เขามีบุตรมากมายก็จริง แต่ใช่ว่าจะอยากให้ไปตกเป็นเมียของปีศาจหรือแม้กระทั่งเทพที่เป็นชายด้วยกันเสียหน่อย เขาก็อยากได้ลูกสะใภ้บ้าง
“เจ้าอัปราชัยให้แก่ข้าแล้ว ยังอยากจะพูดอะไรต่ออีกไหม หึหึ” อมฤทธิ์ว่าหลังจากที่เดินมายืนประจันหน้าจ้าวรัตติกาล มือหนาข้างซ้ายยกขึ้นตบบ่าผู้พ่ายแพ้เบาๆคล้ายกับให้กำลังใจ ทั้งที่ใบหน้าเปื้อนยิ้ม
อนธการผลักมือนั้นออก ก้าวถอยหลังสองก้าว เขากลายร่างเป็นมนุษย์ก่อนจะทรุดกายลงบนพื้นที่มีเศษหินอยู่กระจายนั้นอย่างหมดแรง ร่างกายตอนนี้เรียกร้องโลหิตสดๆจากสัตว์หรืออะไรก็ได้ เพราะตั้งแต่เมื่อวานเขาก็ยังไม่ได้มีอะไรลงท้องเลย แล้ววันนี้ยังต้องมาบาดเจ็บหนักอีก คาดว่าหากยังไม่ได้โลหิตสักหยดเขาอาจกลายเป็นแค่อดีตจ้าวรัตติกาลก็เป็นได้
“เจ้าดูอ่อนแอนะ ข้าไม่อยากจะเชื่อว่าราชารัตติกาลเช่นเจ้าจะเจ็บหนักได้ขนาดนี้” อมฤทธิ์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่บัดนี้กลับมาเป็นปกติดังเดิม แล้วก้มลงมาพยักพเยิดหน้ากับอีกฝ่ายเหมือนพูดคุยกันเรื่องธรรมดา มิใช่การดูถูกฝีมือของอนธการแต่อย่างใด
“ข้าก็เป็นแค่ปีศาจตนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้เก่งกาจไปกว่าผู้ใด และข้าก็ขอยอมรับว่าท่านเป็นคนแรกที่ทำให้ข้าบาดเจ็บหนักได้ถึงเพียงนี้...ข้ายอมแพ้ต่อท่านแล้ว” อนธการยอมรับผลแต่โดยดี ในเมื่อไม่สามารถทำให้อมฤทธิ์สยบต่อเขาได้ เขาก็ควรทำตามข้อตกลง ถึงแม้ใจไม่อยากจะยอมรับก็ตาม
เทพครึ่งปีศาจเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจที่จ้าวรัตติกาลมีท่าทีอ่อนลง แต่เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการจะรับผิดชอบบีซอจริงๆจังๆดังคำประกาศกร้าวที่เคยว่าไว้ ความขุ่นเคืองก็ปรากฏในแววตาอย่างเด่นชัด
“เจ้าไม่ได้ตั้งใจจะต่อสู้กับข้าเสียตั้งแต่ทีแรกแล้วใช่ไหม?” อมฤทธิ์โน้มลงดึงไหล่อีกฝ่ายขึ้นมาเขย่าอย่างแรงด้วยความโกรธจัด แววตาทมิฬจ้องคาดคั้น
“ท่านคิดว่าเช่นไรล่ะ?” ยังจะมีหน้ามากวนประสาทเขาอีก
อนธการถอนใจเบา เมื่ออมฤทธิ์หยุดเขย่าเขา แขนที่เกาะกุมไหล่หลุดออกไปและเจ้าตัวก็ดูนิ่งไป เมื่อเขาถาม
“เฮ้อ...ใครอยากจะมีปัญหากับพ่อตากันล่ะ ท่านว่าจริงไหม?”
“เจ้า!” อมฤทธิ์ชี้หน้าอีกฝ่ายอย่างแค้นใจ เขาโดนไอ้ค้างคาวผีดิบหลอกให้ตายใจงั้นรึ?
“เจ้าตั้งใจปล่อยให้ข้าได้เปรียบ! เจ้ามันช่าง...” อมฤทธิ์พยายามสรรหาคำด่า แต่ก็ดูเหมือนเขาจะคิดไม่ออก เขาควรจะดีใจไหมกับไอ้ว่าที่ลูกเขยที่อยากเอาใจเขาด้วยการยอมแพ้เสียเอง เพื่อให้เขาเห็นใจแล้วยกบีซอให้
ฝันไปเถอะ!
“เจ้ากลับถิ่นของเจ้าไปได้แล้ว และก็ไม่ต้องโผล่มาที่นี่ ลูกของข้าจะได้ไม่ต้องมาแปดเปื้อนเพราะเจ้าอีก!” อมฤทธิ์หุนหันเดินออกมาจากตรงนั้นอย่างอารมณ์ไม่ดี ปล่อยทิ้งให้จ้าวรัตติกาลนั่งถอนใจอย่างปลงตก เขาไม่คิดว่าพ่อตาจอมโหดจะโกรธจัดขนาดนี้
ด้วยพละกำลังของเขา ใช่ว่าผู้ใดจะมาทำร้ายได้โดยง่าย หากเขาไม่ยอมอ่อนข้อให้
“เป็นข้าก็โกรธที่ว่าที่ลูกเขยทำเหมือนดูถูกฝีมือเช่นที่เจ้าทำกับอมฤทธิ์” อรุณเหาะลงมาจากต้นไม้เดินตรงมายังจุดที่จ้าวรัตติกาลยืนอยู่ เม้มริมฝีปากเมื่อเห็นสภาพที่ดูไม่จืดของอีกฝ่าย แล้วลงความเห็นว่าอนธการช่างทำอะไรที่ไร้สาระเสียจริง เขามองออกตั้งแต่ทีแรกแล้วว่าจ้าวรัตติกาลปล่อยให้อมฤทธิ์ได้เปรียบ
เพราะมองดูอย่างไรฝีมือของทั้งคู่ก็น่าจะสูสีกัน พละกำลังของเทพและปีศาจนั้นมหาศาลอยู่แล้ว เป็นการยากที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะเพลี่ยงพล้ำเพราะไร้ฝีมือจริงๆ
“ข้าไม่คิดว่าเทพครึ่งปีศาจตนนั้นจะคิดมากกับเรื่องแค่นี้ ถ้าจะให้ข้าสู้กับเขาแบบเต็มที่ ไม่ข้าก็ท่านเทพตนนั้นได้ตายกันไปข้าง เพราะคงไม่มีใครยอมใคร หากเช่นนั้นบีซอจะยอมรึ? จะยอมไปอยู่กับคนที่ทำร้ายพ่อของตนเองเช่นข้ารึ?”
อรุณคิดตาม มันก็เป็นเช่นที่อนธการว่ามา เขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แต่ก็ยังพอสัมผัสได้ว่าปีศาจค้างคาวตนนี้ไม่ได้ต้องการชนะอมฤทธิ์
แค่เพียงบีซอเท่านั้นสินะที่เจ้านี่ต้องการ
ด้วยความเห็นใจ อรุณอดที่จะเอาตัวเข้ามายุ่งไม่ได้
“แล้วเจ้าไม่อยากได้ตัวบีซอไปอยู่ด้วยแล้วรึ?”
“ข้าไม่เคยต้องการผู้ใดมากเท่าบีซอมาก่อน เขาตัวเล็กบอบบางน่าทะนุถนอมจนข้าไม่อาจจะเสียเขาไปให้ผู้ใด...ข้ารู้สึกว่าหากข้างกายของข้ามีเขาอยู่ด้วยมันจะทำให้ชีวิตที่แห้งผากของข้าดูชุ่มชื่นขึ้น”
ใบหน้าคนพูดดูมีความสุขจนอรุณอดรู้สึกไปกับอนธการไม่ได้ เพราะเขาเข้าใจว่าความเหงานั้นมันโหดร้ายเช่นใดเมื่อไร้คนข้างกายที่คอยพูดคุยหรือเล่าเรื่องราวต่างๆสู่กันฟัง
ดังเช่นที่เขามีหมี่ซอ เด็กดื้อที่ไม่ว่าอย่างไรก็ดูเป็นคนที่น่ารักที่สุดในสายตาของเขาอยู่ดี
“เช่นนั้นเจ้าก็จงกลับไปยังถิ่นของเจ้า ไม่เกินสามวันสิ่งที่เจ้าปรารถนาจะไปอยู่ตรงหน้า”
นี่เขาทำตัวเป็นเทพแห่งความรักไปแล้วหรือ? อรุณขำตนเองที่หาเรื่องยุ่งใส่ตัว
เอาน่า อย่างน้อยก็เป็นพวกอุดมการณ์เดียวกัน
ก็เด็กน่ะ เคี้ยวอร่อย นุ่มคอดีนักแล
เขาการันตี!
ต่อข้างล่างจ้า