เมื่อผมต้องกลายเป็นแม่พันธุ์ {ตอนเล่ห์รักจ้าวรัตติกาล:โชตะ 1}
ร้อน!!!
ดึกดื่นเที่ยงคืนเช่นนี้น่าจะเป็นเวลาของการนิทราที่แสนสุข แต่ร่างบางกลับรู้สึกกระสับกระส่าย ครั่นเนื้อครั่นตัวกับความรู้สึกร้อนอบอ้าว เหงื่อไคลไหลย้อยสร้างความหงุดหงิดใจจนพาลให้นอนไม่หลับ ดวงตาเรียวเบิกขึ้นท่ามกลางแสงไฟที่ถูกจุดไว้ตั้งแต่หัวค่ำที่เริ่มริบหรี่ลงแล้วอย่างช่างใจ มองพี่น้องที่นอนเรียงรายหลับกันอย่างสบายราวกับไม่ได้พบปัญหาอย่างที่ตนเจอ
เฮ้อ...
คงต้องออกไปอาบน้ำดับความร้อนเสียแล้ว บีซอลุกขึ้นนั่งมองท่านแม่ที่นอนอยู่ในอ้อมแขนท่านพ่อโดยมีเจ้าตัวเล็กที่เป็นน้องคนสุดท้องขั้นกลางระหว่างทั้งคู่ด้วยรอยยิ้ม เห็นแบบนี้แล้วไม่กล้าปลุกให้ใครไปเป็นเพื่อนเลย
เด็กชายตัดสินใจลงจากเตียง ก้าวเท้าเปลือยเปล่าออกจากถ้ำโดยมีแสงไฟที่ถูกจุดไว้ระหว่างทางเป็นตัวช่วยนำทาง
บีซอกระโดดตูมลงน้ำเมื่อร่างทั้งร่างนั้นเปลือยเปล่า เด็กชายโผล่พ้นเหนือน้ำแล้วว่ายเล่นท่ามกลางแสงจันทราของคืนเดือนหงาย น้ำเย็นกำลังดีทำให้รู้สึกสบายตัวแล้วคลายอารมณ์หงุดหงิดลงได้อยู่มากโข
พรึบพลับ!
แว่วเสียงคล้ายการกระพือปีกของอะไรสักอย่าง ที่มีแรงสั่นไหวจนทำให้ต้นไม้ใบไม้บริเวณนี้กระเพื่อมไหว โบกสะบัดกิ่งและใบอย่างรุนแรง ใบไม้และฝุ่นที่ปลิวว่อนกลางอากาศนั้นทำให้บีซอต้องยกมือขึ้นปิดหน้าเอาไว้กันฝุ่นเข้าตา
บุรุษผู้ชื่นชอบและใช้ชีวิตยามราตรีมากกว่าตอนฟ้าแจ้ง ลืมตาขึ้นเมื่อลงมายังพื้นดินด้วยความสวัสดิภาพ ปีกสีดำที่สยายใหญ่ตรงกลางแผ่นหลังกว้างนั้นลู่ลงแล้วค่อยๆหดหายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน ร่างสูงใหญ่นัยต์ตาแดงเพลิง จมูกโด่งเป็นสันรองรับกับริมฝีปากหนาที่ตอนนี้แย้มพรายเมื่อเจอสิ่งที่ถูกใจอยู่ตรงหน้า
แสงจันทร์สะท้อนผิวขาวนวลที่ช่วงหน้าอกโผล่พ้นผืนน้ำขึ้นมาอย่างชวนมอง แม้ไม่ได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายเพราะฝ่ามือน้อยนั้นบดบังไว้ แต่เขาก็มั่นใจว่าภายใต้มือคู่นั้นต้องมีสิ่งสวยงามรอตนพิศอยู่อย่างแน่นอน
เมื่อสดับรับฟังว่ารอบกายนั้นเงียบสงบลงแล้ว บีซอก็ลดมือลงเพื่อมองดูต้นเหตุของเสียงนั้น เด็กชายตาเบิกกว้างก่อนจะกระพริบปริบๆเมื่อภาพตรงหน้าที่เขาเห็นคือ ชายรูปร่างสูงใหญ่ที่แทบเรียกว่าเปลือยเปล่าได้เลยถ้าไม่มีผ้าหนังสีดำเงาปิดตรงช่วงกลางลำตัวไว้ ร่างนั้นตรงเข้ามายังริมลำธารเรื่อยๆ ในขณะที่บีซอก็ก้าวถอยหลังด้วยความกลัวและไม่ไว้ใจ
“ท่านเป็นใคร? เหตุใดถึงได้มายังที่แห่งนี้ในยามวิกาล” เสียงใสเอ่ยทักอย่างสั่นๆ
ใบหน้าคมนั้นแต้มไปด้วยรอยยิ้มอย่างพึงใจเมื่อเห็นหน้าของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน อนธการก็ยิ่งรู้สึกถูกชะตายิ่งนัก ตัวยังเป็นเด็กแต่เปล่งรัศมีเสน่หามาล่อลวงให้ตนหลงใหลได้อย่างไม่ยาก
“เจ้าช่างงดงามนัก” อนธการไม่ได้ตอบคำถามจากเด็กน้อย แต่กลับกล่าวชมด้วยแววตาวิบวับปนเจ้าชู้
เด็กชายหน้าแดงซ่านกับคำชมจากชายแปลกหน้า หยุดก้าวถอยหลังเมื่อน้ำเริ่มสูงถึงปาก หากยังก้าวต่อไปเกรงว่าเขาคงต้องจมน้ำตายเป็นแน่แท้
“ทะ...ท่าน” เด็กชายกล่าวเสียงตะกุกตะกัก ในอกสั่นรัวอย่างหวาดกลัว เมื่อชายผู้นั้นก้าวลงมาในน้ำตรงเข้ามาหาตน
“ข้าชอบเด็กๆ และยิ่งเป็นเจ้าข้าก็ยิ่งชอบ” เสียงทุ้มนั้นช่างน่าฟังราวกับขับกล่อมให้เคลิบเคลิ้ม เด็กชายยืนนิ่งแม้อีกฝ่ายจะเข้ามาใกล้แล้วจับตนขึ้นมาอุ้มแนบอกโดยไม่มีการปัดป้องใดๆทั้งสิ้น บีซอตกอยู่ในมนตร์สะกดที่อนธการสร้างขึ้น ดวงหน้าหวานเผยอปากขึ้นอย่างยั่วยวน จนจ้าวรัตติกาลต้องก้มลงไปชิมความหอมหวานนั้นอย่างอดไม่อยู่
อืม..นุ่มลิ้น
อนธการพาเด็กน้อยที่หลับตาพริ้มในอ้อมแขนขึ้นมาบนฝั่ง แปลงกายเป็นค้างคาวตัวใหญ่ กางปีกสีดำขึ้นสะบัดเล็กน้อยก่อนจะโผบินขึ้นไปบนท้องนภาที่ยามนี้ได้รับแสงจากจันทราสาดส่องให้เห็นหมู่มวลดาวที่อยู่กันอย่างประปราย
เด็กในอ้อมแขนตนนั้นหลับไปเสียแล้ว ผิวขาวเปลือยเปล่าผุดผ่องแห้งเหือดลงแล้วจากกระแสลมที่พัดโบกอย่างแรงจนคนตัวน้อยห่อไหล่ด้วยความหนาวเย็น
อนธการเพิ่มแรงกอดรัดร่างน้อยนั้นเข้าไปอีก หวังให้กายอุ่นจนแทบร้อนของตนทำให้เจ้าตัวเล็กคลายหนาวได้สักเพียงน้อยก็ยังดี
จ้าวรัตติกาลบินโฉบลงตรงระเบียงปราสาทชั้นสองซึ่งเป็นห้องนอนของตนพอดี อนธการกลายร่างเป็นมนุษย์วางร่างเปลือยเปล่าลงบนเตียงใหญ่ที่ปูรองพื้นไว้ด้วยผ้าขนแกะหนานุ่ม จัดการห่มผ้าให้กับคนตัวเล็กแล้วสอดกายเข้าไปกอดจนร่างเล็กแทบจมเข้าไปในอก
รอยยิ้มแย้มที่มุมปากเมื่อคนที่อยู่ในอ้อมแขนช่างถูกใจตนเหลือเกิน เขาก้มสูดดมลงบนแก้มเย็นที่แดงปลั่งนั้นอย่างเผลอไผล ความรุ่มร้อนในกายเพรียกหาอยากให้เขาจัดการเด็กน้อยคนนี้ให้ครวญครางใต้ร่างตน แต่ก็ต้องอดใจไว้ เขาไม่อยากลักหลับเด็กคนนี้ รอให้ตื่นก่อนเถอะ เขาจะทำให้ยิ่งกว่าร้องครางเสียอีก
รีบตื่นนะเด็กน้อย...
บีซอปรือเปลือกตาเมื่อรู้สึกว่าเนื้อตัวนั้นโดนลูบไล้อย่างจาบจ้วงจากมือปริศนา เด็กชายรู้สึกเหมือนกับจะหายใจไม่ออกเหมือนโดนอะไรสักอย่างรัดกายไว้ เมื่อสายตาชินกับความมืด บีซอก็พบว่าตนไม่ได้อยู่ในถ้ำ ครั้งสุดท้ายที่จำได้คือตนกำลังเล่นน้ำอยู่ แล้วจู่ๆก็มีผู้ชายแปลกหน้าโผล่มา
ใช่!
จำได้แล้ว เด็กชายมองแขนกำยำที่กอดรัดตนไว้อย่างตกใจ น้ำเสียงสั่นพร่าเอ่ยถาม
“ท่านเป็นใคร แล้วที่นี่คือที่ไหน ท่านจับข้ามาทำไม ท่าน...”
“จุ๊ๆ เด็กน้อย” เสียงทุ้มนุ่มลึกที่ดังขึ้นเหนือหัวผู้ที่เป็นเจ้าของอ้อมแขนแกร่งกล่าวก่อนจะคลายกอดและหยุดมือหนึบหนับนั้นลง
บีซออาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายคลายอ้อมแขนเหวี่ยงตัวเองออกมาแทบตกเตียงแล้วรีบลุกขึ้นยืนฝั่งตรงข้าม เขาจ้องหน้าคนที่นอนเท้าแขนมองมาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างหวาดๆ
“เหตุใดเจ้าถึงได้ทำท่าราวกับกลัวข้าเช่นนั้นด้วย รู้ไหมว่ามันทำให้ข้าน้อยใจนะ” ใบหน้าที่พยายามปั้นแต่งให้น่าสงสารนั้นช่างขัดสายตาบีซอเหลือเกิน
“ได้โปรดพาข้ากลับไปยังที่เดิมเถิด หากพ่อแม่และพี่น้องของข้าตื่นมาแล้วไม่เจอข้า พวกเขาจะเป็นห่วง”
“เจ้ามีพ่อแม่และพี่น้องด้วยรึ?” คำถามที่ไม่น่าจะถามดังออกมาจากริมฝีปากหนา แววตาที่สงสัยใคร่รู้อย่างจริงจังนั้นทำให้บีซอชักจะสงสัยว่าชายผู้นี้ไม่รู้หรือว่าแกล้งถามกัน
ถ้าไม่มีพ่อแม่แล้วเขาจะเกิดมาได้อย่างไร ไม่น่าถาม!
“ใช่ และข้าคิดว่าท่านควรพาข้ากลับไปส่งได้แล้ว”
“อืม..ข้าไม่รู้มาก่อนเลยนะว่านอกจากตัวข้าแล้วยังมีพ่อแม่ของข้าอีก แล้วพี่น้องของข้าจะหน้าตาเป็นเช่นไรนะ”
เสียงพึมพำจากร่างสูงเรียกความสนใจจากบีซอได้เป็นอย่างดี ตกลงว่าบุรุษตรงหน้าบ้าหรือดีกันแน่ที่กล่าวราวกับว่าเรื่องที่เขาพูดกลายเป็นเรื่องของอีกฝ่ายไปเสียอย่างนั้น
“ท่านพูดราวกับว่าท่านอยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด...ท่านไม่รู้จักใครเลยรึ?”
ใบหน้าคมดูสลดลง อนธการยิ้มขืนเมื่อคำพูดของเด็กน้อยมันกระแทกใจ เขาอยู่อย่างเหงาๆมานานหลายร้อยปีแล้ว ไม่มีใครหรือผู้ใดอยู่เคียงข้างสักคน อย่าว่าแต่พี่น้องเลย พ่อแม่เขาก็ยังไม่เคยได้เห็นหน้าหรือว่าเคยก็จำไม่ได้เสียแล้ว
อนธการอยู่ปราสาทแห่งนี้ตั้งแต่จำความได้ ส่วนมากเขาใช้ชีวิตในเวลากลางคืน กลางวันนั้นแทบไม่ได้ออกจากห้องเลยเพราะมันเป็นเวลานอนของเขา ส่วนมากเขาจะออกหาเหยื่อ
หึหึ
เหยื่อที่พบส่วนมากก็เป็นพวกอมนุษย์ที่สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ พอผ่านชั่วโมงแห่งความเร่าร้อนในกามก็ต่างก็แยกย้ายกลับคืนสู่ถิ่นตน ความเปล่าเปลี่ยวจึงเป็นสิ่งอยู่คู่กับเขามาช้านาน และมันชักจะชินเสียแล้ว
อนธการไม่คิดว่าการออกตามล่าหาเหยื่อในคืนนี้เขาจะได้พบกับเนื้ออันโอชะที่แสนน่าสวาปามเช่นนี้ เส้นเลือดตรงคอที่เต้นตุบๆปลุกสัญชาตญาณนักล่าอย่างเขาให้กระหายใคร่ฝังเขี้ยวลงบนต้นคองามระหงนั่น
ผิวกายผุดผ่องที่เปลือยเปล่าเป็นสิ่งเร้าให้แก่นกายนั้นแข็งขืนชูชัน จ้าวรัตติกาลผ่อนลมหายใจแล้วสูดเข้าลึกๆเมื่อความปรารถนาเริ่มเกาะกิน เพราะแค่มองคนตัวเล็กข้างหน้าเขาก็แทบจะบรรลุสู่กามารมณ์
บีซอที่เฝ้ารอคำตอบจากคนบนเตียงที่ไม่มีทีท่าว่าจะกล่าวอะไรเลย มีแต่ตาสีแดงเพลิงมองมายังเขาด้วยสายตาแปลกๆจนเด็กชายรู้สึกประหม่า ความกลัวเริ่มเกาะกุมจิตใจ มือชื้นเหงื่อจนต้องยกขึ้นมาถูกัน แล้วกล่าวถามต่อด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เพราะคิดว่าอีกฝ่ายโกรธที่ตนอาจถามในสิ่งที่ไม่ควรถาม
“คือ...ท่านไม่ต้องตอบข้าก็ได้ เพียงแต่ช่วยพาข้ากลับคืนถิ่นเถิดนะ...นะ” แววอ้อนวอนปรากฏขึ้นทั้งน้ำเสียงและแววตาทำให้คนมองอดจะยิ้มในความพยายามเอาตัวรอดของอีกฝ่าย
อนธการหัวเราะเบาๆ แล้วหรี่ตาลงเล็กน้อย เสียงทุ้มกล่าว
“ข้าว่าเจ้าอย่าห่วงเรื่องจะได้กลับหรือไม่กลับดีกว่า ตอนนี้เจ้าไม่หนาวหรือ...อ่า..ข้าว่ายามใกล้รุ่งเช่นนี้อากาศกำลังเย็นสบายเลยนะ หรือเจ้าว่าอย่างไร” สายตาวิบวับและประโยคคำถามที่แสนธรรมดานั้นกลับสร้างความสงสัยให้คนฟังไม่น้อย
เด็กชายมุ่นคิ้วคิดตาม อากาศก็เย็นดี ถ้าได้นอนสักงีบก็คงจะดีไม่น้อย
หมี่ซอยกมือขึ้นลูบแขนตั้งแต่ศอกขึ้นมาจนถึงหัวไหล่ ความสงสัยยิ่งจู่โจมเมื่อสัมผัสไม่ได้ถึงความนุ่มของเสื้อแขนสั้นที่ตนมักใส่เสมอ ก้มมองดูร่างกายก็แทบกรีดร้องออกมาด้วยความอายเมื่อพบว่า...
ไม่ได้ใส่เสื้อผ้า!
ไม่มีอะไรที่ห่อหุ้มบนกาย เนื้อตัวล่อนจ้อน เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยิ้มล้อๆ ด้วยใบหน้าร้อนผ่าวทั้งอับอายที่มายืนเปลือยต่อหน้าคนแปลกหน้า ทั้งยังรู้สึกโกรธใบหน้าระรื่นนั่นราวกับอีกฝ่ายได้ชมสิ่งที่น่าอภิรมย์ก็ไม่ปาน
อายๆๆ
เด็กชายก่นร้องอยู่ในใจ กระวีกระวาดดึงผ้าแพรผืนบางที่ชายคนนั้นห่มอยู่มาห่อตั้งแต่ศีรษะถึงปลายเท้า เหลือเพียงลูกกระตาสองข้างที่โผล่ออกมา น้ำเสียงห้วนเอ่ยออกมาอย่างด้วยอารมณ์
“เหตุใดท่านจึงไม่เตือนหรือบอกข้าสักนิด ว่าข้ามิได้สวมสิ่งใดบนกายเลย ท่านต้องการแกล้งให้ข้าต้องอับอายใช่หรือไม่...ท่านช่าง..”
“นี่เจ้าโกรธข้าเพราะเพียงว่าข้ามิได้หาเครื่องนุ่งห่มให้เจ้ารึ? ทั้งที่ตอนข้าเจอเจ้าก็ไม่มีสิ่งใดบดบังเรือนกายสวยงามของเจ้าเลยนะ...ข้าผิดรึ” แม้จะพยายามทำหน้าให้ดูราวกับน้อยเนื้อต่ำใจ แต่แววตากลับหาเป็นเช่นนั้นไม่
นัยต์ตาระริก ราวกลั้นขำนั่นช่างน่าโมโหยิ่งนัก
“หากท่านจะกล่าวเช่นนั้นคงไม่ผิด ข้าไม่ถือโทษ...แต่ช่วยหาอะไรก็ได้ให้ข้าใส่ทีเถอะนะ”
“เจ้าจะใส่ไปทำไม? ในเมื่อ...” สายตากรุ้มกริ่มที่ทอดมองมาอย่างโจ่งแจ้ง เรือนกายใหญ่โตลงจากเตียงสาวเท้ามาหาคนตัวเล็กที่ก้าวเท้าถอยหลังจนไปชนผนังห้อง อนธการย่อตัวลงแล้วเท้าแขนกันเด็กน้อยไว้ บอกด้วยใบหน้าระบายยิ้มกว้าง
“ไม่ต้องใส่อะไรทั้งสิ้น เพราะว่าข้าก็จะไม่ใส่เช่นกัน” ว่าจบอนธการก็ยืดตัวขึ้นแล้วรั้งผ้าหนังสีดำมะเมื่อมที่ปกปิดตรงส่วนกลางลำตัวไว้และสลัดออกจากตัว สิ่งที่เคยอัดแน่นปวดตุบๆ ชี้ตั้งแตะโดนตรงไหล่เด็กน้อยพอดี
บีซอกลืนน้ำลายดังอึก ก้มมองความใหญ่โตของท่อนเนื้อตรงหน้าอย่างอกสั่นขวัญหาย เขาตกตะลึงรู้สึกว่าลิ้นของตนหายไป อึกๆอักๆพูดอะไรไม่ออกสักคำ มีแค่ตาที่เบิ่งค้างที่บ่งบอกว่าเด็กน้อยสติหลุดไปแล้ว
ตาโตๆ แก้มแดงๆ ปากเป็นกระจับที่ตอนนี้อ้าค้าง เงยหน้าขึ้นมามองอนธการเพียงแวบเดียวก่อนจะทรุดฮวบไปกองกับพื้น
จ้าวรัตติกาลตกใจที่จู่ๆ เด็กน้อยก็ล้มไปจุ้มปุ๊กอยู่กับพื้น เขารีบย่อตัวไปประคองแล้วสอดแขนที่เอวบาง อุ้มบีซอขึ้นมาแล้วเดินไปวางลงบนเตียง น้ำเสียงเอ่ยถามอย่างห่วงใย
“เจ้าเป็นอะไรไปรึ? จู่ๆทำไมถึง..”
“พาข้ากลับบ้าน!” เด็กน้อยที่ตอนนี้หายจากอาการตกใจหรืออะไรก็แล้วแต่ตะโกนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
อนธการส่ายหน้าอย่างระอา อุตส่าห์เป็นห่วงที่แท้ก็หาเรื่องอยากกลับบ้านสินะ จ้าวรัตติกาลขึ้นคร่อมคนตัวเล็กอย่างไวเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะลุกลงจากเตียง
“ข้าไม่เคยพาใครกลับทั้งที่ยังไม่ได้...”
“หยุดนะ!” เสียงห้ามของเด็กน้อยดังขึ้นราวกับรู้ว่าประโยคต่อไปคืออะไร บีซอฮึดฮัดอยู่ในผ้าห่มอย่างหัวเสีย
“ไม่ว่าท่านจะว่าเช่นไร ไม่ว่าท่านจะพาใครมาที่นี่แล้วทำกิจอะไรกัน มันไม่เกี่ยวกับข้า เพราะข้าไม่ได้เต็มใจมา และข้าก็จะไม่ทำดังเช่นคนพวกนั้นด้วย! ข้าไม่รู้จักท่าน ข้าไม่ปรารถนาที่จะรู้จักบุรุษที่น่ากลัวเช่นท่าน พาข้ากลับบ้านซะหากท่านไม่อยากมีปัญหากับพ่อของข้า”
อนธการนิ่งงัน เขาเงียบเพราะคำพูดจากเหยื่อ ใช่สินะ เขาลืมไปได้อย่างไรว่าเด็กคนนี้คือเหยื่อเหมือนรายอื่นๆ เขาไม่จำเป็นต้องถนอมน้ำใจ แค่จัดการตามที่เคยทำเท่านั้นเอง
เขาคงลืมบอกไป ว่าหลังจากเสร็จกิจแล้วต่างคนต่างกลับถิ่นเดิมของตน แต่ไม่ใช่ในสภาพที่ยังมีลมหายใจ เหลือเพียงร่างกายที่มีหนังหุ้มกระดูกเท่านั้นที่บ่งบอกว่ายังเคยมีตัวตนอยู่ มีเพียงวิญญาณที่ล่องลอยกลับไปสู่ถิ่นเกิด
แล้วมันจะเป็นไรไป หากเด็กตรงหน้าจะเป็นรายต่อไปที่เขาจะเขมือบให้หมดทั้งตัว
สวัสดีค่ะ พาตอนใหม่มาเสริฟแล้วนะคะ อาจจะดูสั้นไปหน่อยเนาะ อิอิ
กลัวคนอ่านรอนานก็เลยรีบปั่นแล้วเอามาลงอาจจะมีข้อผิดพลาดบ้างต้องขออภัยด้วยนะคะ
พระเอกของตอนนี้เป็นค้างคาวตัวใหญ่ที่กินเลือดเป็นอาหาร ตอนหน้าเรามาดูกันว่าบีซอจะโดนจัดการหรือเปล่ากันนะคะ
ปล.ตอนนี้คนเขียนเปิดเรื่องใหม่อีกแล้ว (เรื่องเก่ายังไม่จบ) นักอ่านหลายท่านในนี้ก็ตามไปอ่านเรื่องนั้นด้วย ขอบคุณมากนะคะ
มีอะไรเสนอแนะหรือต้องการสะกิดเตือนนักเขียนก็เม้นบอกกันอย่างเต็มที่เลยเราจะได้ปรับปรุงงานเขียนของตัวเองให้ดียิ่งขึ้นนะคะ
ขอบคุณนักอ่านทุกท่าน เจอกันตอนหน้าจ้า
ปลล. ฝากเรื่องใหม่จ้า
♥จองรัก...เมียจำเป็น♥ (Mpreg)