-4-
“หลังลูกแกะสอบเสร็จ เราไปหาพี่ชายของนายกันไหม”
“คุณหมายถึงพี่จักรเหรอ” ประมุขผุดลุกขึ้นนั่ง หลังนอนเปื่อยอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาข้างคนที่เอาแต่ทำงานมาหลายชั่วโมง ชื่อของพี่ชายที่ไม่ได้ไปเยี่ยมมาหลายเดือนเรียกความสนใจได้ชะงัก จนเขาเกือบจะโยนหนังสืออ่านสอบทิ้งทั้งที่เพิ่งกราบไหว้ไปเมื่อไม่ถึงสิบนาทีที่แล้ว
“ใช่”
“ไปครับไป เต้เพิ่งทักมาคุยเรื่องนี้เหมือนกัน เห็นว่าพี่จักรเริ่มดีขึ้นแล้ว”
ตอนที่ได้โทรคุยกับพี่คนรองแล้วรู้เรื่องที่พี่จักรอาการดีขึ้น เขาดีใจขนาดไหนคงอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ยาก แม้แต่ฮ่องเต้ที่เก็บอาการได้ดีกว่ายังแสดงออกมาทางน้ำเสียงอย่างชัดเจน หลังจากพูดคุยกันอยู่สักพักก็ตกลงกันว่าช่วงปิดเทอมจะไปเหนือด้วยกัน แต่ยังไม่ได้กำหนดเวลาแน่นอนอะไร เพราะพี่คนรองของเขาต้องพูดคุยกับคนรักที่อยู่คนละประเทศก่อนด้วย
“แล้วต้องนัดกับครอบครัวหรือเปล่า”
“นัดครับ เห็นเต้บอกว่าพ่อก็จะไปเยี่ยมพี่จักรด้วยเหมือนกัน” เขาตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง แค่คิดถึงตอนที่จะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันก็มีความสุขแล้ว “แต่คงต้องดูอีกทีว่าจะเจอกันได้ช่วงไหน เต้ปิดเทอมหลังผมด้วย”
“งั้นพอลูกแกะปิดเทอม เราไปเที่ยวที่นั่นรอกันก่อน ถึงเวลานัดเมื่อไหร่ค่อยไปหาพี่ชายดีไหม”
เพียงแค่ได้ยินคำว่าเที่ยว ลูกแกะตัวน้อยผู้ใช้ชีวิตผูกติดอยู่กับตัวเมืองมานานก็ตื่นเต้นจนตาวาว พยักหน้าหงึกหงักอย่างแรงทั้งที่ยังยิ้มอยู่ ทำเอาคนมองเกือบไปไม่เป็น ต้องรั้งตัวเองเอาไว้ไม่ให้ตรงเข้าไปฟัดตามใจอยาก ที่เคยดูจากรูปว่าน่ามันเขี้ยวแล้ว พอมาอยู่ด้วยจริงๆ แบบนี้น่าบีบกว่าเดิมอีกเป็นร้อยเท่า
“เกรย์...”
ครืด
ดวงตาสองคู่เบนไปมองโทรศัพท์ที่สั่นขัดจังหวะบนโต๊ะพร้อมกัน และแน่นอนว่าต่างฝ่ายต่างเมินมันโดยสิ้นเชิง เมื่อเวลานี้คนตรงหน้าคือสิ่งสำคัญที่สุดที่ควรให้ความสนใจ
“ว่าไง”
“ผม…”
ครืด
“ทำหน้าแบบนี้มีอะไรจะถามสินะ”
“ครับ คือว่า...”
ครืด ครืด ครืด ครืด
“เหมือนจะได้กลิ่นไหม้หรือเปล่านะ” เกรย์ถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นลูกแกะทำตาโต
“ผมต้มขาหมูทิ้งไว้!” พูดจบพ่อครัวตัวน้อยที่บอกว่าจะทำอาหารให้เขาชิมก็รีบลุกขึ้นวิ่งไปที่ครัวด้วยความว่องไว
เกรย์มองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายไปจนสุดสายตา เมื่อมั่นใจว่าลูกแกะจะไม่ออกมาในเร็วๆ นี้จึงหุบยิ้มลง มือเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์เจ้าปัญหาของคนสำคัญขึ้นมาดู ก่อนดวงตาคมจะหรี่ลงเล็กน้อยยามเห็นการแจ้งเตือนของโปรแกรมโซเชียลมีเดียที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอ
เขากดปลดล็อกโทรศัพท์ของประมุขด้วยความรวดเร็ว กวาดตามองตัวอักษรภาษาไทยที่ทักมาทางข้อความด้วยความตั้งใจอยู่ครู่หนึ่งก็ยังไม่เข้าใจ เนื่องจากศึกษามาเพียงภาษาพูด แต่แค่ได้เห็นว่าคนที่ทักมากดหัวใจให้รูปของลูกแกะรัวๆ เขาก็พอจะเดาได้แล้วว่าข้อความที่ส่งมาน่าจะเกี่ยวกับอะไร
เสน่ห์แรงจริงๆ...
ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดคำสั่งปลดล็อกประตูห้องเป็นลำดับแรก จากนั้นก็กดส่งข้อความไปหาคนสนิทที่เฝ้าอยู่ด้านนอก เพียงครู่เดียวเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับที่การ์ดคนหนึ่งเดินเข้ามาด้านใน
“นายครับ”
“สรุปเจตนาเจ้าของข้อความพวกนี้ในหนึ่งประโยค” คำสั่งราบเรียบดังขึ้นพร้อมกันกับที่โทรศัพท์ของลูกแกะน้อยถูกยื่นไปให้บอดี้การ์ดหนุ่มผู้ควบตำแหน่งล่ามส่วนตัวซึ่งพูดได้มากถึงหกภาษา
ปีเตอร์กวาดตามองหน้าจอวูบเดียวก็กลับไปยืนตัวตรง ใบหน้ายังคงเรียบเฉยไร้อารมณ์ตามประสามืออาชีพ ทว่าหากพูดถึงความรู้สึกในใจ หากเลือกวิ่งหนีไปได้เขาคงวิ่งหนีไปนานแล้ว
“เจตนาต้องการทำความรู้จักแบบไม่บริสุทธิ์ใจครับ”
“อืม” ผู้เป็นนายยังคงไม่คลายรอยยิ้มที่ส่งไปไม่ถึงดวงตา หลังจากใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ก็ส่งโทรศัพท์ไปให้ล่ามคนสนิทอีกครั้ง “ตอนนี้ฉันอารมณ์ดี ส่งข้อความเตือนไปหน่อยแล้วกัน”
“ระดับไหนดีครับนาย”
“ชวนคุยไปก่อนแล้วค่อยเตือนเบาๆ ว่าเขาเป็นคนของใคร อย่าลืมส่งสัญลักษณ์นี่ไปด้วย” เขาก้มลงขีดเขียนสัญลักษณ์ที่ว่าในไอแพด ก่อนจะหันจอไปให้ปีเตอร์ดู
“ได้ครับ”
“เร่งมือหน่อยแล้วกัน ลูกแกะใกล้จะออกมาแล้ว”
ล่ามหนุ่มรีบลงมือปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด โดยไม่ลืมใส่สัญลักษณ์ที่เขาไม่แน่ใจว่าคืออะไร แต่กลับทำให้ขนลุกโดยใช่เหตุลงไปในประโยคสุดท้าย
^_^ สัญลักษณ์นี่...
^_____^ หรืออันนี้
ทั้งที่เหมือนจะดีแต่ทำไมมองว่าดีไม่ได้เลยนะ...
“นายครับ สัญลักษณ์พวกนี้มันหมายถึงอะไรเหรอครับ” ท้ายที่สุดล่ามหนุ่มก็ทนไม่ไหว ต้องหันไปถามนายด้วยความอยากรู้ส่วนตัว โชคดีที่หน้าที่หลักของเขาคือการทำงานด้านเอกสารมากกว่าไปบู๊แบบการ์ดคนอื่นๆ ถ้าไม่ใช่เวลาจำเป็นจริงๆ ก็ไม่ต้องรักษามาดอะไรมากนัก
“หน้ายิ้มน่ะ เหมือนฉันที่กำลังยิ้มอยู่นี่ไง”
“…” คนฟังก้มหัวให้เจ้านายหนึ่งครั้งโดยไม่แสดงสีหน้า หากขาที่ก้าวถอยหลังเดินออกไปตามทางเดิมอย่างรวดเร็วบ่งบอกได้ชัดเจนว่าความรู้สึกในตอนนี้เป็นอย่างไร
ปากยิ้มก็จริง... แต่ภาพลักษณ์โดยรวมที่เหมือนอยากจะฆ่าคนแบบนั้น หากไม่ใช่คุณประมุขที่รับมือ ไม่ว่าใครก็ต้องรีบชิ่งหนีเหมือนเขาแน่นอน
หลังจากปีเตอร์ออกจากห้องไปแล้ว เกรย์ก็กลับไปจ้องมองหน้าจออีกครั้ง เมื่อมั่นใจว่าคนที่อยู่อีกฝั่งและบังอาจอยากทำความรู้จักกับลูกแกะของเขาได้อ่านข้อความ ‘เตือนเบาๆ’ แล้ว ชายหนุ่มก็วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะเหมือนเดิม ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหาคนที่กำลังหัวหมุนอยู่กับอาหารในครัวแทน
ลูกแกะในชุดผ้ากันเปื้อนลายแกะน้อยสีขาวดูน่ามองแม้จะหันหลังอยู่หน้าเตา เกรย์ค่อยๆ เดินไปยืนอยู่ด้านหลัง แล้วยื่นหน้าข้ามไหล่ผอมของคนตัวเล็กกว่าไปมองอาหารหน้าตาน่ากินที่อีกคนตั้งใจทำให้พร้อมรอยยิ้ม
จริงๆ ตอนแรกเขาก็บอกอยู่แล้วว่าไม่ต้องทำก็ได้ แต่คนดื้อด้านก็ยังพูดซ้ำไปซ้ำมาว่าอยากทำให้กิน ทั้งยังเลือกเมนูทำยากที่ต้องใช้เวลาอีก ถึงจะได้ยินคำโอ้อวดว่าตัวเองทำอาหารอร่อยมาตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ได้เจอกัน และคิดอยู่เสมอว่าสักวันอยากจะลองชิมฝีมือลูกแกะดู แต่เขาก็ไม่อยากให้คนสำคัญต้องลำบากอยู่ดี
“ยังไม่เสร็จอีกเหรอ”
คนที่ถูกยืนซ้อนหลังอยู่ไม่ได้แสดงท่าทีตกใจใดๆ เมื่อเขาจงใจพูดข้างหู ไม่รู้ว่ารู้แต่แรกหรือมีสมาธิกับอาหารมากเกินไปกันแน่ เพราะพอกดปิดเตาเรียบร้อยแล้ว ลูกแกะก็แค่หันหน้ามาหาและส่งยิ้มสดใสน่ามองมาให้ตามปกติเท่านั้น
“เสร็จพอดีเลย”
“เดี๋ยวฉันช่วยยก” เกรย์วางคางลงบนบ่าผอม ดวงตาแวววาวมองคนน่ารักที่ไม่ได้แสดงท่าทีเขินอายหรือตกอกตกใจอะไรด้วยความพอใจ เขาชื่นชอบความใสซื่อตามธรรมชาติของลูกแกะ แล้วก็ชอบที่แม้จะดูไร้พิษสงเพียงใด อีกคนก็ยังมีสติและควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ได้เสมอ
แม้บางครั้งจะไม่มั่นใจว่าควบคุมเก่งหรือเป็นพวกไม่คิดอะไรเลยก็ตามที...
“คุณไปนั่งรอดีกว่า” คุณพ่อครัวบอกขณะที่หยิบจานมาตักขาหมู โดยยังปล่อยให้เกรย์ยึดพื้นที่บนไหล่ไว้ตามใจชอบ “ผมเห็นคุณตื่นมาก็นั่งทำงานตลอดเลย ไปนั่งพักก่อนเถอะครับ”
ได้ยินแบบนั้นเขาก็ไม่ขัดใจอะไรอีก เพียงส่งเสียงอืออาเป็นคำตอบแล้วผละออกไปนั่งรอที่โต๊ะอาหารเงียบๆ เพราะอันที่จริงการได้มานั่งมองลูกแกะเดินไปเดินมาทำอาหารด้วยท่าทางมีความสุขแบบนี้ก็รู้สึกดีไม่แพ้กัน
“หลังทานอาหารเสร็จแล้วเรามานั่งคุยกันดีไหม” เกรย์ถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนไม่คิดอะไร บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มประดับไว้ทั้งปากและตา ยิ่งได้เห็นท่าทีตกใจเหมือนเด็กทำความผิดแล้วโดนจับได้ของคนที่กำลังตักข้าวใส่จาน เขาก็ยิ่งอารมณ์ดีจนต้องหัวเราะออกมาเบาๆ
“คุณ...รู้”
“ตอนเราคุยกันทางโทรศัพท์โดยไม่เห็นหน้า เวลาลูกแกะไม่สบายใจ มีครั้งไหนที่ฉันไม่รู้ไหม”
ประมุขทำท่าทีครุ่นคิดเมื่อได้ยินคำถาม ก่อนจะต้องส่ายหน้าเป็นคำตอบ เมื่อตลอดระยะเวลาหลายปีที่คุยกันมาโดยไม่เห็นหน้า ไม่มีครั้งไหนเลยที่อีกคนไม่รู้ว่าเขากำลังอยู่ในอารมณ์แบบไหน ต่อให้คิดว่าปกปิดได้ดีแล้ว เกรย์ก็ยังหาหนทางมาพิสูจน์ความรู้สึกที่แท้จริงจนต้องยอมรับอยู่ดี
“ไม่มี”
“ขนาดเราไม่เห็นหน้ากันฉันยังรู้ว่านายรู้สึกยังไง แล้วนี่มาอยู่ต่อหน้าแล้ว คิดว่าฉันไม่รู้หรือไงว่าคนของตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่” พูดจบเขาก็ยื่นมือออกไปลูบแก้มขาวของคนที่นั่งลงด้านข้างอย่างปลอบโยน “เคยบอกแล้วใช่ไหมให้ถามได้ทุกเรื่อง ฉันสัญญาว่าจะตอบตามความจริง”
คนฟังเริ่มยิ้มออกเมื่อได้รับความอ่อนโยนจากฝ่ามืออุ่นและดวงตาคู่นั้น ประมุขพยักหน้าเข้าใจ ดันจานข้าวไปตรงหน้าคนสำคัญ ก่อนจะเริ่มชวนคุยเรื่องอาหารอย่างร่าเริง
“นี่ขาหมูที่ผมเคยบอกคุณว่าไปกินกับเพื่อนข้างนอกแล้วไม่อร่อย จำได้ไหมครับ”
“อา... เมื่อสองสามปีก่อนหรือเปล่า”
“ใช่” เขายกยิ้มดีใจเมื่อเกรย์จำได้จริงๆ “ตอนนั้นผมบอกคุณว่าผมทำอร่อยกว่าอีก แล้วคุณก็บอกว่าถ้าได้เจอกันจะขอชิม...”
“แบบนี้นี่เอง”
“จริงๆ ตอนนั้นผมโกหก” คนขี้โกหกยอมรับเขินๆ ท่าทางดูอายมากจริงๆ ที่ต้องสารภาพเรื่องราวในอดีตซึ่งผ่านมานานแล้ว “นอกจากมาม่า ไข่เจียวแล้วก็ไข่ดาว ผมทำอะไรแทบไม่เป็นเลย แต่เพราะสัญญาไว้ว่าจะทำให้คุณกินก็เลยฝึกมาโดยตลอด”
“ให้พี่ชายสอนตอนอยู่บ้านเหรอ”
“ใช่ครับ”
ฮ่องเต้เป็นพวกเก่งรอบด้านอยู่แล้ว ตอนอยู่ด้วยกันที่บ้านโดยไม่มีใครคอยดูแลเพราะพ่อทำงานอยู่ไกล คนที่ต้องทำอาหารและดูแลเขากับพี่จักรก็คือเต้ ตอนที่ประมุขบอกว่าอยากเรียนทำอาหารบ้าง อีกฝ่ายยังทำหน้าตาประหลาดใจใส่อยู่เลย ถึงสุดท้ายจะยอมสอนให้จริงๆ แต่กว่าจะมาถึงขั้นนี้ได้ก็เสียเหงื่อไปมากและโดนด่าจนหูแฉะอยู่เหมือนกัน
“หน้าตาน่าอร่อยดี” เกรย์ก้มหน้ามองขาหมูในจานด้วยความสนใจ ยิ่งได้ยินว่าลูกแกะทำทั้งหมดเพื่อเขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันน่ากินยิ่งเข้าไปใหญ่ หรือต่อให้สุดท้ายรสชาติออกมาไม่ถูกปากยังไง เห็นทีก็คงต้องบอกว่าอร่อยและกินจนหมดจานอยู่ดี
“ลองดูนะ ถ้าไม่ถูกปากผมจะทำอย่างอื่นให้” ปากว่าไปนั่น แต่หน้าตาคาดหวังสุดๆ แล้วใครจะบอกว่าไม่ถูกปากได้กัน
คนที่โดนบังคับให้ตอบว่าอร่อยแบบอ้อมๆ ตักอาหารคำแรกเข้าปาก แล้วค่อยๆ เคี้ยวเพื่อรับรู้รสชาติช้าๆ อย่างตั้งใจ ปกติเกรย์เป็นคนทานยากอยู่แล้ว อาหารทุกมื้อของเขาล้วนแล้วแต่ถูกปรุงตามความชอบเป็นอย่างดี หากไม่นับข้าวมันไก่ที่ลูกแกะพาไปกินเมื่อวานซึ่งถือว่าอยู่ในระดับพอไหว นี่น่าจะเป็นข้าวมื้อแรกที่เขายอมกินโดยไม่สนใจว่ามันคืออะไร
“อร่อย” เกรย์เงยหน้าบอกด้วยความประหลาดใจ เพราะนอกจากมันจะถูกปากเขาเอามากๆ แล้ว ยังอร่อยตามที่พูดจริงๆ ด้วย คงเพราะลูกแกะรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่ชอบอะไรหวานๆ เลยจงใจปรุงรสในแบบที่ชอบโดยเฉพาะ
“จริงเหรอ” คนฟังตาเป็นประกายวาววับด้วยความดีใจ เหมือนจะลืมไปแล้วว่าตรงหน้าตัวเองก็มีข้าวอยู่จานหนึ่ง เอาแต่จ้องหน้าเกรย์มองดูเขากินด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข เหมือนทุกคำที่ตักเข้าปากเป็นการตอกย้ำว่ามันอร่อยจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น
“เลิกมองแล้วกินของตัวเองได้แล้ว”
“เกือบลืมเลย”
พวกเขามองหน้ากันแล้วหัวเราะ เป็นเหมือนการผ่อนคลายก่อนที่จะต้องกลับไปพูดถึงเรื่องเครียดๆ ที่ต่างฝ่ายต่างก็รู้อยู่แล้วว่าเกี่ยวกับอะไร
เกรย์มองตามหลังคนที่เดินถือจานไปล้างที่อ่างโดยไม่ได้ห้าม เพราะรู้ดีว่ายังไงลูกแกะก็ต้องดื้อล้างเอง ไม่ยอมทิ้งไว้ให้แม่บ้านจัดการอยู่แล้ว เขาไม่ได้เดินหนีกลับไปนั่งรอที่โซฟาสบายๆ แต่เลือกที่จะนั่งรอบนเก้าอี้ไม้ที่เดิมโดยไม่ขยับไปไหน รอจนลูกแกะทำอะไรเสร็จหมดแล้วจึงเดินกลับไปที่ห้องรับแขกพร้อมกัน
“พร้อมจะถามหรือยัง” ชายหนุ่มถามยิ้มๆ เมื่อเห็นลูกแกะยกขาขึ้นขัดสมาธิบนโซฟา หันหน้ามาจ้องเขาเขม็งด้วยท่าทางตั้งอกตั้งใจ
“คือ…” ประมุขเผยสีหน้าลังเล ครั้งนี้ไม่ได้กังวลว่าควรถามดีไหม แต่เหมือนจะกังวลเกี่ยวกับคำตอบที่จะได้ยินมากกว่า
หลังจากครุ่นคิดอยู่ทั้งคืนเกี่ยวกับเรื่องที่ได้ยินที่ร้านข้าว เขาเริ่มจับสังเกตเกี่ยวกับอะไรบางอย่างได้ อย่างเรื่องที่ทุกคนหันมามองตอนเกรย์พูดคำว่า ‘แม่มด’ หรือความเชื่อมโยงระหว่างคนคนนั้นกับพี่จักร แม้จะไม่ใช่คนฉลาดนักจึงต้องใช้เวลาคิดมากกว่าคนอื่น แต่ประมุขก็ยังเดาได้ว่าแม่มดที่ว่าหมายถึงใคร
“พร้อมแล้วค่อยพูด” สัมผัสอบอุ่นของฝ่ามือร้อนวางทับลงบนมือของเขาราวกับจะปลอบโยน เพียงแค่ได้สบดวงตาสีฟ้าคู่นั้น ประมุขก็รับรู้ได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายเข้าใจอยู่แล้วว่าเขาต้องการพูดเรื่องอะไร แต่ก็ยังใจเย็นนั่งรอเงียบๆ เพื่อให้พร้อมก่อน ความอบอุ่นที่ได้รับแผ่ซ่านไปถึงกลางใจ ทำให้คนอ่อนแอกล้าเผชิญหน้ากับสิ่งที่หลบเลี่ยงมานาน
“แม่มดที่คุณพูดถึง...หมายถึงแม่ของผมกับพี่จักรใช่ไหมครับ”
“ใช่”
คำตอบตรงไปตรงมาไม่เสียเวลาคิดทำให้คนฟังใจหล่นหายไปวูบหนึ่ง ความทรงจำที่ไม่ดีนักในวัยเด็กยามถูกแม่แท้ๆ ดึงแขน พยายามลากให้ไปด้วยกันยังติดค้างอยู่ในหัวจนเผลอกำมือเกรย์แน่น
“เขาจะ...ทำร้ายพี่จักรอีกแล้วเหรอ” ประมุขถามเสียงค่อย อึดอัดใจและเป็นกังวลไปหมดเพียงแค่ได้นึกถึง ลำพังความรู้สึกผิดที่มีตอนที่พี่ชายถูกเอาตัวไปใช้ประโยชน์แทนก็ติดค้างอยู่ในใจมากพออยู่แล้ว หากผู้หญิงคนนั้นจะมาทำร้ายพี่อีกเขาไม่มีทางยอมแน่
แต่ไม่ยอมแล้วทำอะไรได้... คนอ่อนแออย่างเขาจะทำอะไรได้
“ลูกแกะ” เสียงทุ้มที่ดูจริงจังกว่าทุกครั้งเรียกสติที่เกือบจะหลุดลอยให้กลับคืนมาอีกครั้ง ประมุขเงยหน้ามองคนเรียก มือบีบกันแน่นด้วยความกังวล ทว่าแววตาที่จ้องมองมากลับทำให้ความรู้สึกทั้งหมดจางหายไปอย่างช้าๆ
“เกรย์...”
“ไม่ต้องกลัว ฉันอยู่ตรงนี้”
ครั้งหนึ่งเคยมีคนบอกเขาว่าคำพูดดีๆ ไม่ว่าใครก็พูดกันได้ เพราะสุดท้ายจะทำตามที่พูดได้หรือเปล่าก็ขึ้นอยู่กับคนคนนั้น แต่เมื่อคำพูดที่ว่าหลุดออกมาจากปากของผู้ชายที่เขาเชื่อถือมาเป็นสิบปี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ประมุขก็มั่นใจว่าเขาจะต้องทำตามที่พูดได้อย่างแน่นอน
“คุณจะช่วยพี่จักรใช่ไหมครับ”
“ฉันจะช่วยเท่าที่ช่วยได้” เกรย์ตอบอย่างตรงไปตรงมา “ไม่ใช่ว่าไม่อยากช่วยหรอกนะลูกแกะ... แต่พี่ชายของนายก็มีศักดิ์ศรีเป็นของตัวเอง ถ้าเขาคิดจะจัดการเอง ฉันก็จะยืนดูอยู่ห่างๆ”
“…”
“แต่ถ้าลูกแกะขอร้องก็เป็นอีกเรื่อง”
“ผม…” ประมุขกัดริมฝีปากเมื่อเข้าใจดีว่านิสัยของพี่ชายคนโตเป็นแบบไหน ขนาดเพื่อนสนิทที่เจอกันตอนพี่ถูกแม่พาไปฝรั่งเศสยังเข้าใจและเลือกดูอยู่ห่างๆ แล้วเขาจะไปตัดสินใจแทนพี่ได้อย่างไร “ผมเคารพการตัดสินใจของพี่จักร แต่คุณช่วยเล่าให้ฟังได้ไหม ว่าพี่จักรต้องการจะทำอะไรกันแน่”
“ได้สิ” สิ้นคำตอบรับ เกรย์ก็ดึงแขนของคนข้างกายเบาๆ ให้ขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม เขาเอนกายพิงพนักโซฟาด้วยท่าทางผ่อนคลาย มือข้างหนึ่งยกขึ้นเกลี่ยแก้มลูกแกะน้อยของตัวเองไปด้วย “ตอนที่ฉันได้รู้จักกับคิง พี่ชายของนาย เรากลายเป็นเพื่อนสนิทที่มีนิสัยคล้ายกัน แต่จริงๆ แล้วเหตุผลที่ฉันช่วยเหลือคิงเป็นเพราะเรามีผลประโยชน์ร่วมกัน”
“ผลประโยชน์?”
“สำหรับคิงฉันคือเพื่อนที่ใช้การได้ มีอำนาจ มีเงิน มีพร้อมทุกอย่างที่จะช่วยให้เขาต่อสู้กับแม่ตัวเองได้ในอนาคต”
“แล้วสำหรับคุณล่ะครับ”
“ความสนุก” คนพูดเหยียดยิ้มน่าขนลุก ทว่าวินาทีถัดมาก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างรวดเร็ว “ส่วนเหตุผลที่สำคัญกว่าความสนุก...ก็คือนาย”
“ผมเหรอ...”
“จำรูปนี้ได้หรือเปล่า” รูปเก่าๆ ที่พกติดตัวไว้ตลอดถูกหยิบยื่นให้เจ้าของมันดู เพียงแค่ได้เห็นใบหน้าสมัยเด็กของตัวเองในนั้น ประมุขก็เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
“ทำไมมันไปอยู่กับคุณได้... แล้วทำไมมีแค่ผมคนเดียว รูปขาดเหรอครับ”
“อา...ฉันฉีกออกมาเอง” เกรย์หัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงช่วงเวลานั้น “พอดีไปเห็นรูปถ่ายสามพี่น้องของคิงเข้า เห็นแล้วถูกใจลูกแกะก็เลยฉีกออกมาแล้วเหมารวมเป็นของตัวเองตั้งแต่ตอนนั้น”
คนฟังกะพริบตาปริบๆ ฟังคำสารภาพง่ายๆ ที่ได้ยินด้วยใบหน้าเอ๋อเหรอ สมองคล้ายจะประมวลผมไม่ทันไปชั่วขณะ กระทั่งรู้แล้วว่าเพิ่งได้ฟังเรื่องราวที่สำคัญมากมายขนาดไหน ใบหน้าขาวก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อน พร้อมกันกับที่รอยยิ้มปรากฏขึ้นโดยไม่อาจควบคุมได้
“คุณ...สนใจผมตั้งแต่ตอนนั้น”
“ใช่ หลังจากนั้นฉันก็ส่งจดหมายคุยกับนายมาโดยตลอด”
“ละ...แล้วเรื่องพี่จักรกับผู้หญิงคนนั้น” เมื่อสัญญาณเตือนภัยเริ่มร้องเตือนให้เปลี่ยนเรื่องก่อนจะต้องอับอายเพราะไม่อาจหุบยิ้มได้ ประมุขก็รีบดึงกลับเข้าเรื่องเก่าที่พูดคุยทิ้งไว้ ท่าทางน่าเอ็นดูทำให้คนที่มองอยู่ตลอดยิ้มตามด้วยความอารมณ์ดี แต่ก็ยอมเปลี่ยนเรื่องโดยไม่ได้ขัดอะไร
“อย่างที่นายรู้ว่าคิงถูกแม่มดพาตัวไปเพราะต้องการให้กลายเป็นหุ่นเชิด ตัวเองจะได้กุมอำนาจของสามีใหม่ไว้คนเดียว แต่เพราะคิงไม่ใช่พวกหัวอ่อน เขาถึงได้วางแผนเขี่ยแม่ตัวเองออกนอกวงจรธุรกิจเอาไว้ตั้งแต่แรก สิ่งที่นอกเหนือจากการคาดการณ์ก็คงมีแค่เรื่องอุบัติเหตุที่ทำให้เดินไม่ได้ พอเกิดเรื่องขึ้นแม่มดก็ผลักคิงกลับมา เพราะเขากลายเป็นหุ่นเชิดที่ไร้ประโยชน์ไปแล้ว ซึ่งพี่นายก็เสียศูนย์ไปเหมือนกัน คงถึงขั้นตัดสินใจจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางนี้อีก แม้แต่แผนที่เริ่มทำกับฉันไปแล้วก็คิดจะโยนทิ้ง”
“แผนคืออะไรเหรอครับ”
“ตอนที่พ่อเลี้ยงของคิงตาย เขาเริ่มลงมือดึงแม่มดให้เข้าสู่วังวนของการพนัน ใช้ประโยชน์จากเพื่อนสนิทของเธอให้เป็นประโยชน์ แต่ก็ผิดคาดไปหน่อยที่เธอเข้าไปยุ่มย่ามกับธุรกิจผิดกกฎหมาย ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องใต้ดินจนถอนตัวไม่ขึ้น คิงให้ฉันช่วยรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่เธอทำเอาไว้ตั้งแต่เริ่มต้น แต่เพราะฉันเห็นว่ามันไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่...ก็เลยส่งคนเข้าไปในบริษัทของแม่มด ค่อยๆ บ่อนทำลายจากข้างในช้าๆ หลังจากที่คิงถูกเด้งออกจากตำแหน่ง”
“…”
“ตอนแรกฉันคิดว่าคงต้องหยุดเพราะคิงไม่เล่นด้วย แต่ดูเหมือนอีกไม่นานเขาต้องเริ่มแผนการต่อแน่นอน ลูกแกะรู้ไหมว่าเพราะอะไร”
“ภีม…”
“เก่งมาก” เกรย์เอ่ยชมด้วยแววตาอ่อนโยน “ดูเหมือนแม่มดจะเล่นนอกกติกา คิดจะยุ่มย่ามกับคนของคิง อีกไม่นานเขาต้องเริ่มดำเนินการต่อแน่”
“คุณติดต่อกับพี่จักรแล้วเหรอครับ” ประมุขถามด้วยความแปลกใจ เมื่ออีกคนพูดราวกับรู้ว่าพี่เขากำลังคิดหรือทำอะไรอยู่
“ยังหรอก... แต่ถ้าคิงไม่ติดต่อมา ฉันก็คงจะไปหาเอง”
มันก็ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายนั้นจะอดทนได้อีกนานแค่ไหน... แต่ในเมื่อหาคนสำคัญของตัวเองเจอแล้วแบบนี้ อีกไม่นานก็คงทนไม่ไหวเอง
“เกรย์... คุณส่งคนตามพี่เหรอ”
“อย่าเรียกว่าตามเลย” เขาโคลงหัวไปมา กลับไปสนุกสนานกับการเขี่ยแก้มลูกแกะน้อยอีกครั้ง “เรียกว่าช่วยดูแลอยู่ห่างๆ... ป้องกันไม่ให้ลูกแกะต้องเสียใจทีหลังดีกว่า”
คนที่ถูกสอนให้มองเหตุการณ์ล่วงหน้าไว้ไกลๆ อย่างเกรย์ไม่มีทางยอมพลาดแน่นอน ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าสุดท้ายแม่ลูกคู่นั้นก็ต้องแตกหักกันไปข้าง เขาจึงช่วยดูเหตุการณ์ของทั้งสองฝ่ายเพื่อเอาไว้ใช้ประเมินสถานการณ์สำหรับแผนขั้นต่อไปก็เท่านั้น ถ้าบอกว่าทั้งหมดเพื่อไม่ให้ลูกแกะต้องเสียใจทีหลังก็คงไม่ผิด เพราะหากคิงพลาดท่าเสียที โดนแม่ทำร้ายหรือเอาตัวไปเสี่ยงอีกรอบ เด็กคนนี้ต้องปวดใจแน่ๆ
ก็อย่างที่บอกไป... นอกจากความสนุกแล้วก็มีแค่ลูกแกะเท่านั้นที่สำคัญสำหรับเขา
“มีอีกเรื่องที่ผมอยากถาม...”
“หืม” เกรย์เลิกคิ้วประหลาดใจเมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของคนพูด
“พี่จักรเคยบอกว่าคุณเป็นพวกไว้ใจไม่ได้... เหมือนคนที่ใส่หน้ากากตลอดเวลา” พูดไปก็ขมวดคิ้วไปจนหน้ายุ่ง คล้ายไม่มั่นใจว่าควรถามหรือเปล่าทั้งที่จริงๆ พูดออกไปหมดแล้ว “ทำไมพี่จักรต้องใส่ร้ายคุณเหรอครับ ผมก็เห็นคุณนิสัยแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ไม่เห็นเหมือนใส่หน้ากากอะไรอย่างที่ว่าเลย”
หน้าตาจริงจังกับน้ำเสียงที่เชื่อมั่นจนเต็มเปี่ยมของลูกแกะทำให้เกรย์นิ่งงันไปครู่ใหญ่ อารมณ์ร้ายๆ ซึ่งถูกสั่งสมมาจากการทำงานคล้ายจะถูกทำลายไปจนหมดสิ้น เพียงแค่ได้เห็นใบหน้าซื่อๆ ของคนที่บอกว่าพี่ชายตัวเองใส่ร้ายเขา
“ฉันจะทำยังไงกับนายดีนะ” เกรย์หัวเราะหึหึในลำคอขณะยื่นมือไปดึงลูกแกะให้เอนตัวมาอยู่ในอ้อมกอด
“คุณยังไม่ตอบเลย”
“อา...จะตอบยังไงดีล่ะเนี่ย” เขาทำหน้าคิดหนักเมื่อไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้ลูกแกะเข้าใจ อันที่จริงคงต้องบอกว่ามันผิดตั้งแต่อีกฝ่ายเข้าใจว่าคิงใส่ร้ายเขาแล้ว เพราะที่พี่ชายของเจ้าตัวพูดมามันถูกหมดทุกอย่าง “เอาเป็นว่าฉันในเวลาที่อยู่กับลูกแกะ กับฉันในเวลาที่อยู่กับคนอื่นไม่เหมือนกันก็แล้วกัน”
“ไม่เหมือนยังไงเหรอครับ”
“ลูกแกะคิดว่าตอนฉันคุยกับนายเหมือนตอนฉันคุยกับพวกการ์ดไหม”
“…ไม่เหมือน” ประมุขส่ายหน้าทันควัน ปกติเวลาเห็นเกรย์คุยกับพี่การ์ดมักจะเป็นเรื่องงาน แล้วท่าทางตอนพูดคุยก็ไม่่ใช่ท่าทางสบายๆ แบบตอนอยู่กับเขาด้วย จะบอกว่า...น่ากลัวก็คงไม่ผิดนัก
“นิสัยตอนฉันอยู่กับลูกแกะคือนิสัยที่แท้จริง นิสัยตอนฉันอยู่กับพวกนั้นก็ใช่ แต่สถานะที่แตกต่างทำให้การแสดงออกไม่เหมือนกันก็เท่านั้น” เกรย์นิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อคิดว่าควรพูดอะไรต่อให้คนฟังเข้าใจมากขึ้น “ลูกแกะเป็นคนสำคัญของฉัน ส่วนพวกการ์ดก็ถือได้ว่าเป็นเพื่อน เป็นลูกน้องที่ไว้ใจได้ เพราะงั้นฉันถึงแสดงนิสัยที่แท้จริงได้โดยไม่ต้องปกปิด แต่กับคนอื่นที่ไม่สนิทก็เป็นอีกเรื่อง”
“อย่างพวกคู่ค้าหรือคนที่ทำธุรกิจร่วมกันใช่ไหม”
“ใช่” หรือถ้าจะให้พูดจริงๆ ก็คือนอกเหนือจากครอบครัว ลูกแกะ แล้วก็พวกการ์ดที่สนิทสนมกันมานาน พวกที่เหลือล้วนเข้าข่าย ‘คนอื่น’ ทั้งหมด “เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น ฉันมีความจำเป็นต้องสวมหน้ากากน่ะ เพราะงั้นที่คิงพูดก็ไม่ผิดหรอก”
“แต่คุณไว้ใจได้” ประมุขเถียง ขณะที่มือกอดเอวคนตัวสูงเอาไว้แน่น เหมือนจะไม่ชอบใจเท่าไหร่กับคำว่าไว้ใจไม่ได้ซึ่งถูกเอามาใช้กับคนสำคัญ แต่เมื่อถูกเชยคางให้เงยหน้าขึ้นมอง ใบหน้าไม่พอใจก็แปรเปลี่ยนเป็นใสซื่อตามนิสัยของคนไม่คิดมากเหมือนเดิม
“แค่ลูกแกะไว้ใจฉันก็พอ” เพียงแค่ถูกจ้องมองด้วยดวงตาสีฟ้าน่าหลงใหล ประมุขก็เผลอพยักหน้าแล้วตอบอืออาไปอย่างง่ายดาย รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ถูกกดหัวให้แนบลงกับอกกว้าง ฟังเสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะหนักแน่นมั่นคงจนตาเริ่มปรือลงช้าๆ
“อืิอ...”
“นอนเถอะ”
ฝ่ามืออุ่นร้อนที่ช่วยลูบหัวลูบหลังให้สบายตัวทำให้สติของคนที่บ่นว่าง่วงเริ่มจางหายไปช้าๆ เกรย์ก้มลงมองคนในอ้อมกอดเมื่อรู้สึกว่าน้ำหนักบนอกเพิ่มมากขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากคนง่วงหลับสนิทไปแล้ว ถึงอย่างนั้นสองแขนที่กอดเอวเขาไว้ก็ยังไม่ปล่อยออก ไม่รู้ว่ากลัวจะถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวหรือต้องการความอบอุ่นกันแน่ แต่ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลไหนก็ทำให้เขาไม่คิดขยับไปที่ใดทั้งนั้น
พอลูกแกะพูดถึงหน้ากากขึ้นมาถึงได้รู้สึกตัว...
จะว่าไปก็หลายวันแล้วเหมือนกันที่เขาไม่ได้ใส่หน้ากากเข้าหาใคร คงเป็นเพราะทั้งวันเอาแต่ขลุกอยู่กับลูกแกะ หรือถ้าต้องไปทำงานก็จะมีคนส่งข้อความมาทำให้ยิ้มอยู่เสมอ ไม่ว่าจะหน้ากากการค้าหรือหน้ากากอื่นๆ ที่สวมไว้จึงหลุดออกอยู่บ่อยครั้ง
“ตอนฉันจำเป็นต้องสวมหน้ากาก นายคงไม่ทำให้ทุกอย่างพังนะ” เกรย์เขี่ยแก้มขาวๆ ของคนในอ้อมกอดเบาๆ จนเจ้าตัวส่งเสียงอือออาไม่พอใจพลางพลิกหน้าหนี เพียงแค่ได้เห็นท่าทีเล็กน้อยเหล่านี้ เขาก็หลุดยิ้มออกมาอย่างอดไม่อยู่แล้ว คงไม่ต้องพูดถึงยามคนน่าเอ็นดูทำหน้าเอ๋อๆ หรือออดอ้อนใส่เลย
แบบนี้ต่อให้เขายกปืนจ่อหัวใครอยู่ ถ้าลูกแกะบอกให้หยุด เห็นทีเขาคงต้องหยุดตามคำสั่งเป็นแน่
“ก็เลือกแล้วนี่นะ...”
แม้จะรู้อยู่แล้วว่าลูกแกะตัวนี้จะกลายเป็นจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของตัวเอง แต่หากต้องกลับไปเลือกทางเดินใหม่อีกสักกี่ครั้ง เขาก็ยังยืนยันว่าจะเลือกทางเดิม
ได้แต่หวังว่าลูกแกะจะคิดเหมือนกัน...
---------------------------
TALK: ถ้าใครเคยอ่านจักรพรรดิมาแล้วสงสัยว่าคุณเกรย์เวลาใส่หน้ากากเป็นยังไง ให้คิดถึงตอนอยู่ในเรื่องนั้นเลยค่ะ นั่นคือหน้ากากยิ้มของเขาแหละ เราว่าคนที่แสดงบุคลิกออกมาได้หลายอย่างน่ากลัวนะ คุณเขาก็เป็นคนหนึ่งที่เล่นละครเก่ง น่ากลัวววว
ปล.ที่หายไปนานเพราะเราพักมือค่ะ เคยแจ้งในหน้าเพจกับทวิตไว้ว่าปวดมือเลยต้องหยุดพิมพ์ไปช่วงหนึ่ง ท้ายตอนที่แล้วลืมบอกในหน้านิยายไป
สำหรับใครที่ต้องการติดตามข่าวงานเขียนของเรา ตามได้ทางเพจ Chesshire. หรือทวิต @Chesshire04 เลยค่า