#ญอผู้หญิงโศกา
ตอนที่ 11
เรื่องที่แกล้งจำไม่ได้
“แม่ถามจริง ๆ นะ ช่วงนี้ทะเลาะกับแจ็คหรือเปล่า?”
“...”
“ใช่ไหม สีหน้าลูกมันฟ้อง”
ในร้านอาหารชื่อดังย่านทองหล่อ เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนนั่งนิ่งขณะถูกคาดคั้นจากผู้เป็นแม่ซึ่งเขาทำได้แค่ถือช้อนกับส้อมเอาไว้ เท็นลดระดับสายตาลงพลางนึกถึงหน้าใครอีกคนที่ช่วงนี้เอาแต่หลับในคาบเรียนและเขาก็ไม่กล้าปลุกแม้ว่าอยากสะกิดชวนให้ตื่นมานั่งคุยเรื่องฝีมือการเล่นเกมของ TEN10 ที่พัฒนาไปกว่าเดิมเพียงเพราะได้เรียนรู้ทริกใหม่ ๆ
ทั้งที่เมื่อก่อนไอ้แจ็คเป็นคนคอยสะกิดปลุกเขาแท้ ๆ แล้วดูตอนนี้สิ... เกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่มันวะ ทำไมอยู่ ๆ ถึงซีเรียสเรื่องผลการเรียนลูกขึ้นมาจนออกปากว่าต้องงดซ้อมเกมดึก ๆ แล้วให้หันไปอ่านหนังสือแทน โอเค จะพยายามเข้าใจส่วนนี้ก็ได้ รู้ว่าพ่อแม่แต่ละคนไม่เหมือนกันจะให้เอาบ้านตนเองเป็นบรรทัดฐานก็คงไม่ถูก ถึงจะสนิทกับพ่อแม่มันประมาณหนึ่งแต่ก็ใช่ว่าจะเคยเห็นทุกมุมทุกด้านเสียเมื่อไหร่
แต่คำสั่งของพ่อแม่มันก็ส่งผลถึงทีมอย่างปฏิเสธไม่ได้ เพราะพอไอ้แจ็คเลิกซ้อมก็ต้องหาคนมาแทนที่เพื่อให้คนในทีมคุ้นชินกับตำแหน่ง ลำพังฝีมือไอ้แจ็คก็ดีอยู่แล้วแต่ปัญหาอาจจะอยู่ที่เขาผู้ซึ่งไม่ได้ตกหลุมรักตำแหน่งแทงค์เลยสักนิด
และผลก็ออกมาอีหรอบเดิมที่เขากับไอ้ธีร์ต้องปะทะริมฝีปากกันจนพี่ตั้บต้องไล่ไปนอนเหมือนทุกครั้ง ตอนไอ้แจ็คอยู่ทุกอย่างมันโคตรไปได้ดี อาจจะมีแขวะกันบ้างแต่ก็ไม่ได้เลยเถิดถึงขั้นอยากพกคีย์บอร์ดไปโรงเรียนแล้วเขวี้ยงใส่หน้าไอ้ธีร์แล้วถามว่า ‘เป็นเหี้ยไรมากไหมไอ้ห่า?’
พออยู่แบบนั้นทุกวี่ทุกวัน เท็นก็สำเหนียกได้ว่าต่อให้ติดเกาะกับไอ้ธีร์สองคนอย่างไรก็คงฆ่ากันตายมากกว่าจะคิดหาทางเอาชีวิตรอด
“ไม่ได้ทะเลาะ แค่ไม่ได้สนิทกันเหมือนเมื่อก่อน”
พูดเองก็สะเทือนใจเอง เด็กหนุ่มรู้ว่ามันปัญญานิ่มแค่ไหนกับอาการน้อยเนื้อต่ำใจเพราะเรื่องไม่ได้สนิทกับเพื่อนเหมือนที่เคยอีกแล้ว เด็กหนุ่มเคยเสิร์ชดูในอินเทอร์เน็ต ส่วนใหญ่ปัญหานี้จะเกิดขึ้นกับเด็กผู้หญิงซึ่งเท็นเริ่มรู้สึกไม่ดีเพียงเพราะว่าเขาคือผู้ชายส่วนน้อยที่คิดอย่างนั้น
คนอื่นไม่รู้สึกแบบนี้กันเลยหรืออย่างไร คนเหล่านั้นอยู่ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีส่วนร่วมกับเพื่อนหรือเพราะเขาคนนี้อ่อนแอมากจนต้องมีไอ้แจ็คอยู่ข้างตัวเสมอ?
เท็นเอาแต่ถามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า และเขารู้ตัวว่าพอรู้สึกแย่ความเป็นธรรมชาติก็เริ่มลดน้อยลง จากที่เคยตบหัวพูดคุยเรื่องไร้สาระไปเรื่อย ทุกวันนี้ในหัวก็เอาแต่คิดว่าจะพูดอย่างไรให้เพื่อนฉุกนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่มันเคยดีมากแค่ไหน
แต่สุดท้ายมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทั้งที่ความจริงไอ้แจ็คก็ยังคุยปกติแต่อย่างเดียวที่ไม่เหมือนเดิมก็คือระยะห่างเพียงหนึ่งก้าวที่ทั้งคู่มีให้กันโดยไม่รู้ตัว
เท็นพยายามหาคำตอบดี ๆ ให้ตนเองแล้ว แต่พอเห็นว่าไอ้ธีร์พูดคุยและเล่นหัวไอ้แจ็คได้โดยไม่รู้สึกอะไรถึงความเปลี่ยนแปลงของเพื่อนก็ยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่จนคิดว่ามีแค่เขาคนเดียวหรือไงที่ต้องการย้อนเวลากลับไปในช่วงเวลาที่ไม่มีช่องว่าง?
สองคนนั้นแค่สนิทกันมากขึ้นหรือว่าเขามันงี่เง่าเกินกว่าจะเข้าใจอะไร ยิ่งคิดก็ยิ่งหมกมุ่นออกจากความน่ารำคาญนี้ไม่ได้ จากที่เคยหันไปชวนไอ้แจ็คคุยก็เอาแต่นั่งเงียบอ่านหนังสือการ์ตูนเพื่อหลีกเลี่ยงบทสนทนา จนกลายเป็นว่าตอนนี้รู้สึกปวดไหล่ไปหมดเพราะแบกโลกทั้งใบเอาไว้
“ทำไมล่ะ ลูกสนิทกันมากไม่ใช่เหรอ?”
“อือ ตอนนี้ไม่แล้ว”
“เกิดอะไรขึ้น เล่าให้แม่ฟังซิ”
“ก็ไม่มีอะไร อยู่ดี ๆ มันก็เปลี่ยนไป”
“เขาทำอะไรให้ลูกรู้สึกไม่ดีใช่ไหม?”
“ไม่ มันไม่ได้เปลี่ยนไปแบบนั้น แต่มันแค่หันไปใช้ชีวิตส่วนตัวมากขึ้น ก็คนมันมีแฟน แล้วก็ดูเหมือนจะสนิทกับเพื่อนในกลุ่มอีกคนมากขึ้นด้วย”
“แล้วตอนนี้ลูกสนิทกับใคร?”
“ไม่มี”
“อ้าว ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ แจ็คก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าลูกเคยโดนแกล้งมาก่อน ทำไมถึงปล่อยให้ลูกอยู่คนเดียวแล้วเอาแต่สนใจเรื่องตัวเอง มีแฟนแล้วก็ทิ้งเพื่อนแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน?” คนแม่เริ่มชักสีหน้า มองลูกชายที่นั่งทำหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก
“มันมีแฟน จะให้ลากเท็นไปไหนมาไหนด้วยก็น่าอึดอัดเปล่า ๆ อีกอย่าง... จะให้มันทนอยู่กับเท็นตลอดไปเพราะเรื่องเคยถูกแกล้งก็คงไม่ได้” เหมือนเอามีดมาแทงอกตัวเอง แค่คิดว่าถ้าตลอดเวลาที่ผ่านมาคือความสงสารมันคงเจ็บดีไม่ใช่น้อย ซึ่งเท็นหวังว่าจะไม่ใช่อย่างนั้น เพราะถ้าวันไหนวันหนึ่งเขารู้ว่าความใจดีทั้งหมดมันมาจากความเวทนา โลกเด็กผู้ชายคนนี้คงพังไม่เหลือชิ้นดี
“ไม่ได้นะ ลูกดีกับแจ็คมาก ไม่มีใครรักแจ็คเท่าเท็นหรอกเชื่อแม่สิ ยังไงกัน ทำไมแจ็คทำแบบนี้ ต่อหน้าก็พูดดีแต่ลับหลังก็อีกเรื่องเหรอ แม่โมโหแล้วนะ”
คำพูดแม่แปลก ๆ แต่มันก็จริงเกินกว่าจะอ้าปากปฏิเสธ ใช่ เท็นรักไอ้แจ็คยิ่งกว่าใคร จะมีเพื่อนคนไหนเข้าใจมันกว่าเขาอีก... มีในโลกใบนี้ด้วยหรือไง?
“บางทีเท็นอาจจะน่าเบื่อเหมือนตอนมอต้น ไม่ได้เป็นเพื่อนที่อยู่ด้วยแล้วสนุกล่ะมั้ง”
“แจ็คทำแบบนี้ไม่ถูกเลย พอโตขึ้นแล้วก็เริ่มออกลายใช่ไหม ลูกแม่ทั้งรักทั้งหวังดีด้วยตั้งเท่าไหร่เคยสำนึกหรือเปล่า?”
คำยุยงทำให้ความในใจที่สะสมถูกถ่ายทอดออกมาเป็นการออกแรงจากฝ่ามือ เท็นไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดจากการกำช้อนส้อม เหมือนว่าตอนนี้ความคิดฝ่ายดีมันจะต่อต้านความน้อยใจไม่ไหวแล้ว
“แล้วยังไงแม่ เท็นไม่อยากทำให้เพื่อนลำบากใจ ทุกวันนี้มันก็ดูเหนื่อย ๆ”
‘แจ็คไม่ได้ลืมเราหรอก ไม่มีทาง’
‘หลอกตัวเองไปวัน ๆ ไอ้กระจอกเอ๊ย’
“แจ็คเหนื่อยคนเดียวหรือไง ก็ทำเท่ากันทุกอย่าง เรียน ซ้อมเกม ตื่นก็เวลาเดียวกัน แม่ไม่ไหวแล้ว เดี๋ยวแม่ไปคุยให้”
“ไม่เอานะแม่ ถ้าทำแบบนั้นมันโกรธเท็นแน่”
“งั้นก็ทำอะไรสักอย่างสิเท็น อย่ายอมแพ้ง่าย ๆ แม่ไม่อยากให้ลูกกลับไปเก็บตัวเหมือนตอนมอต้นอีกเข้าใจไหม?”
“...”
“ปะ กลับบ้านไปเก็บเสื้อผ้าไปนอนบ้านแจ็ค ให้มันรู้ซะบ้างว่าลูกแม่สำคัญมากแค่ไหน”
เขานิ่งไป ใจหนึ่งก็อยากทำตามที่แม่พูดแต่อีกใจก็กลัวต้องกลับไปรู้สึกแย่เหมือนตอนที่คาดหวังสูงอีก นัดดูหนังเมื่อตอนนั้นก็เหมือนเป็นเรื่องที่พูดมาแล้วจบไป ที่บอกจะอธิบายทุกอย่างให้ฟังคาดว่าชาติหน้าคงมีสิทธิ์มากกว่า
เท็นไม่ได้มีความมั่นใจเกินร้อยเหมือนก่อนหน้านี้ที่คิดว่าจะโผล่หน้าไปหาอีกฝ่ายเมื่อไหร่ก็ได้ มันกลายเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ กับการกลัวว่าจะถูกโกรธเข้าให้ถ้าหากไปหาถึงบ้านโดยไม่บอกก่อน
“คืนนี้เท็นจะไปค้างบ้านเพื่อน”
“เดี๋ยว เพื่อนที่ไหนลูก ไหนบอกว่าไม่มีเพื่อนสนิทคนอื่นแล้วไง?” คนเป็นแม่เงยหน้ามองลูกชายที่คว้ากระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพายพร้อมตั้งท่าลุกขึ้นโดยที่อาหารบนโต๊ะเพิ่งเริ่มกินไปได้เพียงไม่กี่คำ
“เพื่อนน่ะมี แต่สนิทไหมก็อีกเรื่อง”
“แล้วยังไง จะค้างแค่คืนนี้หรือว่าหลาย ๆ วัน เงินพอไหมลูก?”
“ไม่ต้องห่วงหรอก เท็นไม่เป็นไร”
เด็กหนุ่มมองคนเป็นแม่ที่รีบควานหากระเป๋าเงินพร้อมเงยหน้ามองเขาราวกับผิดหวังอยู่ไม่น้อย ก็รู้ว่าแม่อยากให้ปรับความเข้าใจกับไอ้แจ็คถึงได้เอาแต่ไล่ให้ไปค้างด้วยกันเหมือนที่เคยเป็น
แต่มันจะมีประโยชน์ได้อย่างไรถ้าคนที่พยายามทำให้ทุกอย่างดีขึ้นมีแค่เขาเพียงคนเดียว?
*
“ไกลกว่าที่คิด”
“ที่ไกลคือพวกบ้านอยู่แถบปริมณฑลมากกว่าเปล่า?”
“อืมครับ พ่อคนในเมือง”
เจ้าของบ้านยักคิ้ว เขาจึงโยนถุงผ้านวมอัดจนเจ้าตัวเซถอยหลังไปเล็กน้อย ไอ้ลิงหัวเทาขมวดคิ้วมองค้อน แต่นั่นก็เป็นผลจากการกวนตีนต้อนรับแขก
“ไหนมาม่ากู?”
“มาถึงก็ถามเรื่องของแดกเลย”
“ค่าผ้านวมอีกสองร้อย” แจ็คแบมือออกมา และเขาเอาคืนไอ้ลิงหัวเทาสำเร็จแล้ว
“ไอ้ฉิบหาย มึงลงทุนขับรถจากนนฯ มาถึงนี่เพราะเงินสองร้อยหรือไง?”
“ต้มมาม่ายัง?”
“ต้มก็แย่ละ จากบ้านมึงมาถึงที่นี่ใช้เวลาตั้งเท่าไหร่ ขืนต้มไว้คงอืดก่อนพอดี”
“ก็ถือว่ายังมีสมองอยู่บ้าง”
“มาเพื่อกวนส้นตีนกูถูกไหม ทำไมเหรอ ค้างคาใจอะไรตอนน้องแพรวขอไลน์กูหรือไง?” ชายหนุ่มตัวสูงทั้งคู่ยืนนิ่งไปกับคำถามที่คิดว่าสักวันหนึ่งคงได้พูดกันตรง ๆ เรื่องเด็กสาวที่ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าแจ็ครู้สึกอย่างไร
“คิดอะไรอยู่?”
“...” คนถูกถามไม่ได้โต้ตอบกลับมาอย่างก้าวร้าวกวนตีนเหมือนทุกที ตอนนี้ไอ้เท็นแค่มองหน้าเขาราวกับอยากให้เดาเอาเองหรือไม่ก็ลองทบทวนดูว่าเท่าที่รู้จักกันมาไอ้เท็นจะคิดอะไร
“ถ้าชอบจริง ๆ จะเข้าใจ”
“เข้าใจว่าอะไร?”
“...”
คราวนี้อีกฝ่ายสวนกลับมาทันทีพร้อมสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์นัก
“ก็เข้าใจ”
“มึงจะหลีกทางให้หรือไง ไอ้พระเอก”
“กูจะหลีกได้ไงในเมื่อกูไม่เคยไปยืนขวางทางใครตั้งแต่แรก”
“เหอะ พูดได้ดี”
“กูซีเรียสนะ ถ้ามึงแค่เล่น ๆ หรือเพราะอยากทำให้กูหงุดหงิดก็เลิกคิดเถอะ เพราะมันไม่ตลก”
ไอ้เท็นแค่นหัวเราะแล้วหันไปถอนหายใจอย่างหน่าย ๆ ก่อนจะหันมาสบตากันอีกครั้ง “ถามจริง?”
“เด็กมันซื่อบื้อ ถ้าชอบใครสักคนแล้วตัดใจยาก”
“แพรวบอกมึงเหรอว่าสนใจกู ทำไมดิ้นขนาดนี้?” เริ่มหงุดหงิดแล้ว กะอีแค่คุยดีด้วย ไม่ได้หยอดหรือหว่านล้อมเหมือนที่เคยทำกับผู้หญิงคนอื่นเลยสักนิด ถ้าเด็กมันคิดก็ถือว่าหัวอ่อนเกินไปแล้ว ซึ่งมันใช่ความผิดเขาคนนี้หรือไง ไอ้แจ็คประสาทแดกฉิบหาย หึงจนพาลหน้ามืดตามัวเลยใช่ไหม
โมโหว่ะ ที่มาไม่ใช่เพราะอยากกินมาม่ารสหมูสับงี่เง่านั่นหรอกเหรอ?
รู้สึกได้ถึงกลิ่นความน่าอึดอัดที่กำลังนำทั้งคู่ย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน ยอมรับว่าตั้งแต่แข่ง DotA การกุศลด้วยกันแจ็คก็เริ่มมองอีกฝ่ายดีขึ้น อาจเป็นเพราะไอ้เท็นไม่ได้ทำนิสัยชอบพูดประชดประชันทำท่าเหมือนอยากเอาชนะตลอดเวลาอย่างตอนปลายปีก่อนเพราะอยากได้ไอ้โซ่ไปอยู่ทีมด้วย แม้การพูดคุยจะมีขบกัดกันอยู่บ้างแต่มันก็ดีกว่าที่เคยเป็นไหน ๆ
แจ็ครู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวมัน แม้ว่าเรื่องบาดแผลในตอนนั้นยังคงหลงเหลือตกตะกอนอยู่ แต่ความผูกพันที่เคยมีให้กันก็ทำให้คาดหวังอยู่ลึก ๆ ว่าบางทีทุกอย่างอาจจะดีขึ้นก็ได้ แจ็คไม่กล้านึกถึงเรื่องกลับมาเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่การหายจากไปจากชีวิตกันอย่างนั้นมันก็บ้าบอเสียเหลือเกิน
ทุกคนโตเกินกว่าจะฝังใจกับเรื่องราวร้าย ๆ เมื่อครั้งยังเด็ก แม้แต่ไอ้ธีร์ที่ปากบอกว่าเกลียดแทบตาย แต่เขาเชื่อว่าในใจของมันคงไม่คิดอย่างนั้น อาจจะมีเคืองอยู่บ้างแต่คงไม่เท่าเมื่อครั้งแผลยังสดใหม่ ทุกอย่างเลือนรางไปตามเวลา รวมถึงความสนิทที่เคยแน่นแฟ้น ซึ่งมันจะดีขึ้นหรือแย่ลงชายหนุ่มก็ไม่อาจรู้ได้
พอเป็นเรื่องความรักแพรวก็หัวอ่อนเกินกว่าจะปล่อยเลยผ่านไป เด็กคนนั้นมักจะคล้อยตามได้ง่าย ๆ ขอเพียงได้ยินคำหวาน ๆ ตอนดูหนังเสร็จก็รัวมาในไลน์ชมพี่เท็นอย่างนั้นอย่างนี้ไม่หยุด และใช่... เขาเป็นกังวล
“ถ้ามึงชอบน้องเค้ามากก็ขอกูสิ แล้วกูจะเอาไปคิดอีกที”
“อืม กูชอบ”
ไอ้ห่าเอ๊ย ใช้เวลาคิดหน่อยไม่ได้หรือไงวะ?
“แต่ไม่ได้คิดจะพัฒนาความสัมพันธ์มากไปกว่านี้ มึงอาจคิดว่ากูปอดแหกซึ่งก็ใช่ กูไม่ปฏิเสธ กูไม่อยากให้การรู้สึกดีกับน้องมันมาเปลี่ยนแปลงอะไร เพราะการเป็นพี่น้องกันแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว กูไม่อยากให้คนอื่นอึดอัดถ้าวันหนึ่งกูกับน้องต้องเลิกกัน”
“แล้วไง?”
“และการที่กูมองแพรวเป็นน้องสาวมันคงไม่แปลกอะไรถ้ากูจะกลัวน้องมันเสียใจ”
“หล่อจริง ๆ ถ้ามือว่างกูคงปรบมือให้” เท็นห้ามตัวเองไม่อยู่แล้ว เขาหงุดหงิดตัวเองและไอ้ห่านี่ในเวลาเดียวกัน จะน้อยใจทำซากอะไร เพียงเพราะไอ้แจ็คพูดความจริงมากกว่าจะอ้อมค้อมน่ะเหรอ? “ในสายตามึงกูคงเหี้ยมากสินะ?”
“ก็ประมาณนึง”
“ไอ้ฉิบหายเอ๊ย ไม่ต้องแดกแล้วมาม่าอะ” เท็นทิ้งถุงผ้านวมลงพื้นแล้วล้วงกระเป๋ากางเกงรีบควานหาเงินออกมายัดใส่มือคนตรงหน้า “กูแถมให้อีกสามร้อยเลย เอาไว้เป็นค่าน้ำมันกับค่ามาม่า!!!”
“โมโหอะไร?”
“นี่มึงโง่หรือมึงโง่เนี่ย เห็นทีกูคงต้องเดินเข้าไปเอาไวท์บอร์ดมาร่างให้ดูทีละข้อแล้วไหมว่าโมโหมึงเรื่องอะไรบ้าง เป็นห่าไรอะ บอกว่าจะเอาผ้านวมมาให้ถึงบ้านแล้วก็ต้มมาม่ารอด้วย พอมาถึง หยุดยืนหน้าประตูบ้านกู เรื่องแรกที่พูดคือกลัวกูไปทำคนของมึงเสียใจ มึงรู้อะไรไหมแจ็ค ตอนนี้กูโคตรอยากต่อยหน้ามึงเลย”
“ก็เอาสิ”
“นี่มึงท้า?”
“ก็ถ้ากล้า?”
ทั้งคู่สบตากันอย่างหยั่งเชิง และคนที่หัวร้อนกับบทสนทนาเมื่อครู่ก็ง้างหมัดขึ้นขู่เพื่อให้รู้ว่าพร้อมจะทำจริง แค่อธิบายว่า ‘กูเป็นห่วงแพรว ถ้ามึงบอกว่าไม่ได้ชอบน้องกูก็สบายใจแล้ว ปะ เข้าไปกินมาม่ากัน’ แค่นั้นเรื่องก็จบ แล้วดูมันทำ ยืนทำหน้ากวนส้นตีนแล้วก็พูดอะไรไม่รู้ เลอะเทอะฉิบหาย
แต่ความหนักแน่นที่กำไว้ก็อ่อนลงอย่างง่ายดาย เพียงประคำพูดประโยคถัดไปของไอ้หน้าโง่แห่งปี
“แต่ต่อยแล้วต้มมาม่าให้กูด้วย”
*
บ้านเพื่อนที่ว่าคือร้านกล้วยกล้วย เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนนั่งเหม่อลอยอยู่ตามลำพังโดยมีแก้วกล้วยปั่นตั้งอยู่ข้าง ๆ จานกล้วยพองน้องรัก เท็นยังไม่ได้เอาอะไรเข้าปากสักคำเพราะจุกแน่นกับความรู้สึกแย่ ๆ ที่ไม่รู้จะหายไปเมื่อไหร่
“โอเคไหม?” เด็กหนุ่มยิ้มแล้วส่ายศีรษะเป็นคำตอบหลังจากเจ้าของร้านแสดงความเป็นห่วง อาจเป็นเพราะพักนี้เขามาที่นี่ตามลำพัง ผิดแปลกจากเมื่อก่อนที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยังมีไอ้หัวเกรียนนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้วก็กินทุกอย่างบนโต๊ะอย่างเอร็ดอร่อย
“เครียดเรื่องเรียนนิดหน่อยครับ”
“เข้าใจเลย เด็กมอหกก็งี้ แต่กินอะไรหน่อยก็ดีนะ ปล่อยไว้นาน ๆ เดี๋ยวหมดอร่อย”
“ครับพี่ ขอบคุณนะครับ”
ขอบคุณที่ไม่ถามว่าทำไมไอ้แจ็คไม่มาด้วย อย่างน้อยเท็นก็ได้เรียนรู้ว่าในโลกยังมีคนเลือกใช้คำถามเพื่อแสดงความเป็นห่วงได้ดีมากกว่าบางคนที่ถามจี้เพราะจะเอาความจริงให้ได้
“เท็น?”
เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นก่อนจะพบเด็กสาวในชุดเครื่องแบบสถาบันเดียวกัน ผู้หญิงคนนั้นโบกมือให้ซึ่งเท็นก็เก้ ๆ กัง ๆ ทำตามจนกลายเป็นว่าการทักทายครั้งนี้มันโคตรกระอักกระอ่วน ปกติเขากับแฟนไอ้แจ็คเคยมีจังหวะแบบนี้ที่ไหน ตอนบังเอิญหันไปเจอกันก็แค่ยิ้มให้ตามประสาเพื่อนร่วมห้อง แต่คราวนี้มันต่างออกไปเพราะทั้งคู่ดันมาเจอกันข้างนอกด้วยความบังเอิญ
“พวกแกไปก่อนเลยเดี๋ยวเราตามไป”
กลุ่มเด็กสาวสี่คนพยักหน้าแล้วเดินลงไปด้านล่าง บลูยืนชั่งใจอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งก่อนจะตรงเข้ามาหยุดอยู่ข้างโต๊ะ
“นั่งด้วยได้ไหม?” เท็นไม่ได้พูดอะไร เขาแค่มองหน้าอีกฝ่ายแล้วพยักหน้าก่อนเธอจะนั่งลง “รอใครอยู่เหรอ?”
“เปล่า เรามาคนเดียว”
“นึกว่านัดแฟนไว้ซะอีก” บลูยิ้มเล็ก ๆ กับบรรยากาศที่เธอพยายามสร้างให้มันดีขึ้น อันที่จริงเท็นก็พอรู้ว่าเธอกลัว ซึ่งเหตุผลก็เป็นเพราะเขามักจะทำหน้าไม่รับแขกเสมอเมื่อบลูเดินมาชวนแจ็คไปเที่ยวไหนต่อไหน
เท็นรู้ว่าทำตัวไม่ดีกับแฟนเพื่อนแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว เขาเกลียดกฎของโลกที่ว่าเพื่อนต้องมีขอบเขต และคนเป็นแฟนมักจะมีสิทธิพิเศษมากกว่า
“ไม่อะ เราไม่มีแฟน”
“อ้าว แล้วที่เห็นเดินด้วยกันบ่อย ๆ นั่นไม่ได้คบกันหรอกเหรอ น้องมอห้าคนนั้น”
“คนไหน?”
“โห จำไม่ได้ด้วย เจ้าชู้นะเนี่ย” เธออมยิ้มพลางชี้หน้า ซึ่งคนถูกจับได้ก็เลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูก จึงยกน้ำกล้วยปั่นขึ้นดื่มกลบเกลื่อน
เด็กผู้หญิงพวกนั้นก็แค่ควงเล่น ๆ เพื่อให้เป็นกระแส น่าแปลกดี ผู้หญิงไม่ชอบคนเจ้าชู้แต่ก็กรี๊ดกับอะไรแบบนี้เพราะคิดว่ามันเท่ ถามว่าชอบเหรอ ไม่ ไม่เลยสักนิด แต่ถ้าทำอย่างนั้นแล้วมันส่งให้เขาได้มีตัวตน ได้อยู่ในจุดที่ไม่ได้รู้สึกว่ากลายเป็นไอ้ขี้แพ้มันก็โอเค
“เรานึกว่าแจ็คไปสยามกับเท็นซะอีก”
“ห๊ะ?”
“ก็พักนี้แจ็คไม่ค่อยว่าง ทั้งเรื่องอ่านหนังสือแล้วก็ซ้อมทีม เราเลยคิดว่าน่าจะอยู่ด้วยกัน แต่ไม่ใช่หรอกเหรอ?”
“เปล่า เราก็คิดว่ามันไปกับบลูเหมือนกัน”
“อ้าว”
“อ้าว?”
ทั้งคู่สบตากันนิ่ง ก่อนเด็กสาวจะเป็นฝ่ายเกาศีรษะกับความงุนงง อยู่ ๆ ก็ดูเหมือนว่าบรรยากาศจะดีขึ้น ซึ่งมันมาเพราะความโล่งใจอย่างหนึ่งที่เท็นได้รู้ว่าอย่างน้อยไอ้เวรนั่นก็ไม่ได้หายหัวไปเพราะติดแฟน
“เราก็นึกว่ามันติดบลูซะอีก”
“ติดอะไรล่ะ ทุกวันนี้มีเวลาอยู่ด้วยกันเกินชั่วโมงเราก็ดีใจมากแล้วเท็น”
“ไอ้ห่านั่นเป็นแฟนที่ใช้ไม่ได้เลยสินะ” เด็กสาวมองคนข้างตัวที่อยู่ ๆ ก็หลุดยิ้มออกมาเหมือนว่ามีความสุขกับเรื่องอะไรสักอย่างซึ่งเธอไม่รู้
“ยิ้มได้แล้วเหรอ?”
“...ห๊ะ?”
“ก็ตอนแรกเท็นเอาแต่ทำหน้าเศร้า แต่ก็ดีแล้วล่ะ เวลาเท็นยิ้มน่ะน่ารักมาก ๆ เลยนะ”
“...”
เหมือนกำลังปีนขึ้นไปบนหน้าผาสูงชันก่อนจะตกลงมาพร้อมความโง่ของตนเอง เด็กสาวกำมือแน่นจนเผลอจิกเล็บเข้าเนื้อ ถ้าเกิดเท็นชักสีหน้าใส่หรือเดินหนีไปเธอคงรู้สึกแย่ไปจนถึงชาติหน้าแน่เลย
“คือเราหมายความว่าเท็นดูดีแบบเท่ ๆ น่ะ...”
“อย่าพูดแบบนั้นอีก”
“อะ... อือ ขอโทษนะ”
“ไม่ เราไม่ได้โกรธ ไม่ต้องขอโทษหรอก”
“ไม่ ๆ เราเข้าใจว่าเราสองคนไม่ได้สนิทกันถึงขั้นที่จะพูดอะไรก็ได้ ขอโทษนะเท็น เราชอบเป็นแบบนี้ตลอดเลยอะ” เด็กสาวยิ้มแห้ง ๆ ในที่สุดก็กลับไปตึงเหมือนเดิมจนได้ ทั้งที่เกือบจะดีขึ้นแล้วแท้ ๆ
“เราไม่ชินเวลาถูกชม เหตุผลก็มีแค่นี้” เธอมองเด็กหนุ่มตัวสูงที่ให้แก้วกล้วยปั่นเป็นจุดยึดสายตาก่อนจะกลืนความประหม่าลงคอ
“ถ้าอยากชินไว ๆ เท็นก็ลองเข้าไปดูในเว็บโรงเรียนสิ ในนั้นมีแต่คนชมเท็นเยอะแยะเลย”
เด็กหนุ่มไม่ได้บอกว่าเขาทำอย่างนั้นทุกวันสักร้อยครั้งได้ ระหว่างนั้นก็ภาวนาว่าขอให้ใครสักคนพูดว่าเขามีดีกว่าไอ้ธีร์ร้อยเท่าพันเท่า หรือพูดอะไรก็ได้เพื่อปลอบใจตัวเองอย่างคนขี้แพ้
แต่พอถึงตอนนี้ก็อดคิดไม่ได้ว่าบลูกำลังคิดอะไรอยู่?
แค่แวะมาคุยด้วยเฉย ๆ เพราะอยากเป็นมิตรกับแฟนเพื่อน หรือมีเหตุผลบางอย่างเหมือนผู้หญิงคนอื่นที่เคยเข้าหาเขาเพราะหวังอะไร?
“ที่บอกว่าชมน่ะ นั่นรวมถึงบลูด้วยไหม?”
“...”
หากอีกฝ่ายตอบทันทีคงรู้สึกดีกว่านี้ อย่างน้อยเท็นก็จะได้โกรธตัวเองที่งี่เง่าพาลไม่ถูกใจแฟนเพื่อนอย่างไร้เหตุผล แต่การที่อีกฝ่ายนิ่งงันไปและมองเขาด้วยสายตาแอบแฝงอะไร นั่นหมายความว่าเธอมีความลังเลไม่แน่ใจซ่อนอยู่
“บลู”
หยดน้ำบนแก้วน้ำปั่นไหลลงโต๊ะ ขณะมือแกร่งค่อย ๆ เลื่อนเข้าหากระทั่งแตะเข้ากับนิ้วก้อยของเด็กสาว ชั่วเสี้ยววินาหนึ่งจิตใต้สำนึกด้านดีมันบอกว่าถ้าอีกฝ่ายละมือออกแล้วเดินหนีไปก็คงดี เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นเขาจะได้รู้สึกผิดอย่างเต็มที่และมองผู้หญิงคนนี้เสียใหม่
สัมผัสจากปลายนิ้วเบาบางแต่เขาเชื่อว่ามันกำลังทำให้หัวใจใครอีกคนสั่นได้ สังเกตจากสีหน้าและมือที่ยังวางอยู่จุดเดิมไม่ชักกลับไป
“ถ้าไม่ใช่ให้ส่ายหน้า แต่ถ้าใช่... ช่วยพยักหน้าบอกเราได้ไหม?”
ผู้หญิงที่ไอ้แจ็คบอกว่าน่ารักจากหัวใจมากกว่าหน้าตานั้นจะซื่อสัตย์กับมันสักแค่ไหน เขาจะได้รู้จากคำตอบนี้
“...”
ให้ตาย เจ้าหญิงของไอ้แจ็คกำลังพยักหน้าเป็นคำตอบว่ะ
*
“เท็น!!!”
“อะไร?!!!”
“มึงช่วยจับหมากับแมวมึงไปขังหน่อยได้ไหม ไม่ก็โยนลงหม้อมาม่าไปเลย!!!”
เสียงตะโกนจากด้านนอกทำคนในครัวหลุดขำอย่างห้ามไม่อยู่ ก็จะอะไรอีก มีคนแพ้สัตว์อยู่ข้างนอกนั่น ชายหนุ่มชะงักมือที่กำลังแกะแพ็คหมูสับสำเร็จรูป ซึ่งพอเดินออกไปก็พบภาพชวนหัวเราะให้ลั่นโลก ก็ไอ้คนที่เคยหน้านิ่งกำลังจะตายเพราะถูกเจ้าขนทองจู่โจมฟัดเลียหน้าพร้อมกระดิกหางไม่หยุดนั่นแหละ
“พี่ซันถอยออกมาเร็ว อย่าไปยุ่งกับคนกระจอก”
“โฮ่ง!!! แฮะ ๆๆๆๆๆ”
“...”
สุดท้ายไอ้แจ็คก็พ่ายแพ้ให้ความขี้ตื๊อของเจ้าขนสีทอง จึงนั่งนิ่งปล่อยให้หมาปีนป่ายคลอเคลียตามอำเภอใจ จะไม่ให้ขำได้อย่างไร ก็ผมเผ้าที่มันเกล้าไว้หลุดลุ่ยออกมาราวกับคนเพิ่งถูกปู้ยี้ปู้ยำมาไม่มีผิด
“ตอนแรกเห่ากูแทบคอแหก แล้วตอนนี้เสือกมาหลงรักอะไร?” แจ็คมองเจ้าหมาโกลเด้นตัวโตที่มองเขาตาแป๋ว ผิดกับตอนแรกที่เจ้าของบ้านมันเปิดประตูให้แล้วก็ทำท่าขู่เหมือนเห็นเขาเป็นโจรอย่างไรอย่างนั้น
“มันก็ต้องเช็กก่อนว่ามึงเป็นคนดีไหม” เท็นยืนกอดอกพิงกับผนังมองภาพตรงหน้า รู้สึกสะใจแปลก ๆ คนที่มาดนิ่งอย่างมันหลุดได้เพราะถูกหมาอ้อนหรอกเหรอ?
“เช็กเจ้านายมันก่อนเลยคนแรก”
“กูเป็นคนดีนะ อย่างน้อยก็กับสองตัวนั้น”
“ช่วยมาเอามันออกไปก่อนเถอะ หรือกูต้องไหว้ก่อน?”
เจ้าของบ้านไหวไหล่กับคำพูดประชดประชันแล้วเดินหายไปในครัวก่อนจะเดินกลับมาพร้อมขนมชิ้นเล็ก ๆ หนึ่งกำมือ เท็นกระดิกนิ้วชี้ให้ไอ้คนหน้านิ่งแบมือออก ซึ่งมันก็จ้องหน้าอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะยอมทำตาม
“ไม่ได้ให้มึงนะ อย่าแดกล่ะ”
“เออ กูดูออกว่าไอ้รูปทรงกระดูกนี่มีไว้ให้หมา”
“บอกไว้เผื่อโง่”
“และการบอกกูก็ไม่ได้ทำให้มึงฉลาดขึ้น”
คนได้ปั่นอมยิ้มชอบใจ เขาเห็นว่าไอ้แจ็คเลิกคิ้วพร้อมย้ำของในมือว่าจะให้ทำอะไร เขาจึงหยิบกำใหญ่มาไว้กับตัวแล้วให้อีกฝ่ายแบ่งเป็นสองส่วนกำไว้ ข้างซ้ายมีน้อยกว่า และข้างขวามีมากกว่า
“เคยเห็นในเน็ตที่เขาแกล้งหมาเปล่า?”
“ไม่เคย”
“เน็ตน่าจะเข้าถึงบางใหญ่แล้วนะ นี่มึงหลุดมาจากยุคหินเหรอแจ็ค?”
“กูไม่เคยเห็นแล้วกูผิดตรงไหน มึงรู้ก็เล่ามาสิไอ้ฉิบหาย”
“เอ้า?” คนถูกเขกกะโหลกถึงกับเลิกคิ้วมองงง ๆ มันไม่ใช่ครั้งแรกในชีวิตที่อีกฝ่ายทำแบบนี้ และเท็นเคยคิดว่าครั้งสุดท้ายมันผ่านไปนานมากแล้ว
“ก็แค่สลับมือไปมาให้หมางง อย่างนี้ แล้วก็อย่างนี้ หลังจากนั้นก็ให้มันเลือกว่าจะเอาข้างไหน” พี่ซันจ้องมือพ่ออย่างตั้งใจ
“หมามึงฉลาดขนาดยกขาหน้าขึ้นได้ด้วยหรือไง มันน่าจะดมก่อน”
“อยากรู้ก็ลองทำสิไอ้ควาย พี่ซันฉลาดกว่ามึงอีก อย่างน้อยมันก็จีบหมาข้างบ้านเป็น”
“ปากหมา”
“กูกัดแล้วติดเชื้อนะ ลองไหม?” แจ็คชำเลืองมองไอ้คนพูดมากที่ขบฟันบนล่างเสียง กั่ก ๆๆๆ จนน่าหมั่นไส้ กวนตีนเก่งกว่าใครในโลกแล้วไอ้เวรนี่
ไอ้ขนทองเงยหน้าขึ้นมองตาแป๋วเหมือนอยากถามว่าพ่อมันจะเล่นอะไรอีกแล้ว แต่สุดท้ายมันก็ยกขาหน้าขึ้นวางลงบนมือข้างซ้ายซึ่งพอไอ้เท็นแบมือออกก็พบว่ามีขนมเพียงชิ้นเดียว พี่ซันของพ่อมันไม่รู้ว่าโดนหลอกเข้าให้แล้ว ไอ้ขนทองงับแล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยก่อนฝันจะสลายเมื่อไอ้เท็นแบมือขวาออกมาเพื่อโชว์ให้เห็นว่ามีขนมกระดูกหมาอีกสี่-ห้าชิ้นอยู่
“บาปไหมแกล้งหมา?”
“มึงลองดู”
“ทำไมกูต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ?” ไอ้แจ็คถอนหายใจหนัก ๆ ดูท่าจะไม่ถูกกับสัตว์เลี้ยงซึ่งเขาไม่เคยรู้มาก่อน
“ฆ่าเวลาไง เล่นกับพี่ซันแค่เดี๋ยวเดียวมาม่าก็เสร็จพอดี”
“มึงเอาไอ้นี่ออกไปด้วย เมื่อกี้กูลูบนิดเดียวแว้งมากัดเฉย ประสาทแดกเหมือนเจ้านายมันไม่มีผิด”
“มันกัดแค่คนกาก ๆ อะ”
“งั้นมึงก็คงถูกกัดทุกวัน ไหน ขอดูแผลหน่อย รอยสักนั่นก็มีไว้กลบรอยแผลเป็นจากแมวล่ะสิ?”
เท็นต้องพยายามกลั้นขำเอาไว้เพราะถ้าเขาหลุดออกมาเมื่อไหร่ไอ้แจ็คคงได้เป็นฝ่ายชนะแน่ เขาไม่อยากแพ้ ไม่อยากเสียฟอร์ม แล้วก็ไม่อยากยอมรับด้วยว่าบรรยากาศตอนนี้มันดีที่สุดในรอบปีแล้ว
“แมวก็งี้แหละ พอมึงสนใจมัน มันจะไม่สนใจมึง”
“นิสัยเดียวกับพ่อมันเปี๊ยบ แมวเปรต”
“เรียกดี ๆ หน่อย มันเป็นผู้หญิง”
“ตัวเมียก็พอมั้ง อยู่ ๆ ก็นึกอยากเป็นสุภาพบุรุษขึ้นมาเหรอ เอาลูกมึงออกไปได้แล้ว” แจ็คขยับตัวพร้อมพึมพำ ‘ชิ่ว ๆ’ ใส่ไอ้ก้อนขนงี่เง่าที่นอนเบียดขาเขาราวกับสนิทกันมาแต่ชาติปางก่อน
“มันชอบมึงนะรู้เปล่า ปกติกูอุ้มหน่อยก็กางเล็บใส่แล้ว”
“แบบนี้เรียกว่าเลี้ยงเสียข้าวสุก เอาไปปล่อยวัดเลยสิ”
“ก็แย่ละ นั่นลูกกู”
แจ็คไม่ได้โต้ตอบกลับไปเพราะนึกเอ็นดูคำว่า ‘ลูกกู’ ถ้าคำนี้หลุดออกมาจากไอ้มัธยมคนนั้นเขาคงอดไม่ได้ที่จะยีผมจนกว่าจะหายมันเขี้ยว แต่ตอนนี้ไม่ใช่ เขาทำได้แค่ขำในใจแล้วให้สีหน้านิ่งเฉยกลบทุกอย่าง
(ต่อด้านล่างนะคะ)