ตอนที่ ๑๖
พิธีขอขมากรรมต้องทำก่อนเที่ยงวัน นันสัปเหร่อเฒ่ามาถึงบ้านภิรมย์สุขตั้งแต่เช้าตรู่ ป้าษอรเตรียมดอกบัวหนึ่งกำมือ ธูป 39 ดอก อันหมายถึงไตรภูมิทั้ง 36 ชั้น ประกอบด้วย 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน อบายภูมิ 4 มนุษย์โลก 1 รวมทั้งหมด 36 ชั้น
“คนเราเกิดมาหลายภาพหลายชาติ แต่ละคนมีเจ้ากรรมนายเวรที่ต่างกัน จึงควรสวดเพื่อขอขมา ต่อเจ้ากรรมนายเวร ทั่งอดีตชาติที่ผ่านมา หรือเคยล่วงเกินแก่ เทพยดา16ชั้นฟ้า15ชั้นดินหรือ เคยสาบาน บนบาน ต่อสิ่งศักดิ์ทั้งหลาย รวมทั้งสิ่งที่มองไม่เห็นทุกประการณ์”ชายชราเอ่ย
ภูวรินทร์แม้ใจจะรู้สึกประดักประเดิดกับการขมาเช่นนี้อยู่บ้าง แต่ก็ยอมทำตาม กระถางธูปถูกตั้งกลางแจ้งในลานบ่อน้ำพุ เขาไม่เห็นสิ่งบูชาอย่างอื่น ชายชราจับจ้องอินทนิลอยู่ตลอด เขาพยายามทำใจให้สงบ จดจ่ออยู่กับการตั้งจิตอธิษฐานขอขมาแก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย เขาหวังว่ามณีจะรับรู้ รวมไปถึงจิตใจของป้าษอรด้วย หญิงท้วมมีสีหน้าเคร่งเครียดระหว่างพิธีกรรม
ท้องฟ้าแจ่มใส อากาศยามเช้าช่วยทำให้เขารูสึกดีขึ้น หลังจากที่สวดอธิษฐานตามสัปเหร่อ กลิ่นธูปลอยคลุ้งไปทั่วลานบ่อน้ำพุ
“...ขอถอนคำอธิษฐานคำสาบานที่จะติดตามคู่ในอดีต ขอให้ต่างฝ่ายต่างเป็นอิสระ”พอเอ่ยถึงประโยคนี้ ภูวรินทร์ชะงักไปอยู่นาน เหลียวมองอินทนิลที่หน้าซีด เม้มปาก มองมาที่เขาด้วยสายตาเศร้าสร้อย ตานันหันมองเขาอย่างกดดัน ชายหนุ่มท่องตาม พยายามตั้งจิตอธิษฐาน ไม่วอกแวก
และประโยคสุดท้ายที่เขาท่องตามสัปเหร่อ “...ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากคำสาปแช่งของปวงชน ของเจ้ากรรมนายเวร” และรอให้ธูปไหม้จนหมดก้าน ก็เป็นอันสิ้นเสร็จซึ่งภูวรินทร์ไม่เข้าใจนัก กับการต้องจ้องมองธูปเหล่านี้ สัปเหร่อเหลียวมองรอบบ้านก่อนจะพนมมือพึมพำอะไรสักอย่างไม่ชัดเจน หลังจากนั้นป้าษอรจึงนำดอกบัวเหล่านั้นไปถวายศาลพระภูมิต่อ
ชายหนุ่มเดินไปอินทนิลที่ดูเงียบไปตั้งแต่เมื่อคืน เด็กหนุ่มยืนมองก้านธูปที่ไหม้ไปจนหมดแล้ว “รู้สึกอย่างไรบ้าง”เขาถามอย่างเป็นห่วง อีกฝ่ายสะดุ้งก่อนจะหันมองเขา สีหน้าดูไม่ดีนัก แต่ก็พยายามยิ้ม
“ก็ไม่รู้สึกอะไรเลย....ตาคนนั้นเป็นพวกมิจฉาชีพหรือเปล่าก็ไม่รู้” อินทนิลจ้องไปที่ชายชราอย่างไม่ไว้ใจ เขามองตามเห็นว่าตานันกำลังจัดถาดสำหรับของเซ่นไหว้บรรพบุรุษกับนิรุทอยู่
“เขาไม่ได้มาเอาเงินจากเราไปนี่ เป็นมิจฉาชีพได้ยังไง...แต่ถึงพิธีจะแปลกไปหน่อย ฉันก็หวังว่ามันจะสำเร็จ”เขาบอกไปแม้จะรู้สึกไม่ดีนิดหน่อยที่เอ่ยถอดทอนคำสาบานแต่ครั้งอดีต แต่คิดอีกแง่ก็เป็นเรื่องดีที่จะไม่ต้องมีพันธะต่อกันให้เกิดเวรเกิดกรรม อินทนิลถอนหายใจ สองมือกำแน่นไม่คลายออก เขาขมวดคิ้ว ทุกครั้งที่อีกฝ่ายมีอาการแบบนี้ มักจะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ดีนัก ท่าทีแบบนี้ของอินทนิลหายไปนาน หลังจากที่รู้ว่าคุณแก้วใช้ร่างของตนไปทำอะไรบ้าง
“อินน์ก็หวังไว้แบบนั้น คุณภูจะได้อยู่อย่างสงบสุข”เด็กหนุ่มบอก น้ำเสียงไม่ยินดีตามที่เอ่ยออกมานัก แววตาเป็นกังวล ชายหนุ่มเงียบไป เขายิ้มบางๆ รู้ดีว่าต่อจากนี้ เขาและอินทนิลจะไม่เหมือนเดิมอีก รวมทั้งคุณแก้วด้วย
“ฉันก็อยากให้คนบ้านนี้อยู่อย่างปกติกันมากกว่า”เขาบอก มองอินทนิลอย่างตั้งใจ เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง แววตาฉายความไม่มั่นใจออกมา
ขณะเดียวกันสัปเหร่อวัยชราเดินมาหาภูวรินทร์ ร่างกายผอมสีผิวเข้มคล้ำ “พ่อหนุ่ม มาคุยกับตาหน่อย”อีกฝ่ายเอ่ยเรียก มือผอมเห็นกระดูกยื่นมือมาจับต้นแขนของเขาไว้ ฝ่ามือนั้นยังแข็งแรงเพราะแรงบีบ เขาพยักหน้าตกลง สัปเหร่อเดินนำเข้าไปยังสุสานของบ้าน ระหว่างที่ก้าวผ่านรั้วบานเล็ก เขาหันไปมองอินทนิลที่ยังคงจับจ้องตามมาจนสุดสายตา
เมื่อเดินผ่านเรือนปั้นหยา เข้าไปสู่แนวป่า เขตสุสานอันเงียบสงบ กระถางดอกไม้ที่เหลือจากเรือนกระจกถูกนำมาตกแต่งสุสาน โดยเฉพาะรอบๆโกฏิ ดอกไม้วางเรียงเป็นแถว ทำให้สุสานดูมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเดิม ภายในสุสานมีกลิ่นธูปลอยคลุ้ง ก่อนหน้านั้นนิรุทเอาของมาไหว้พ่อของตนและของบรรพบุรุษ
“มีอะไรหรือครับ”ภูวรินทร์เอ่ยถาม มองชายชราที่เดินมาหยุดอยู่ที่โกฏิของมณี เขามองภาพเลือนลางของเธออย่างเศร้าหมอง
“คราวก่อนคุณเจอโถดองศพทารกไว้ไม่ใช่หรือ”ชายชราเริ่มการสนทนา เหลียวมองเขาไปด้วย ภูวรินทร์ขมวดคิ้ว ก่อนหน้าเขาให้ลุงชมไปจัดการเรื่องซากทารก คาดว่าคงได้สัปเหร่อคนนี้คงช่วยจัดการให้ เรื่องราวตอนนั้นเขาไม่รู้รายละเอียดมาก ลุงชมก็จัดการเอง
“ครับ แล้วมีอะไรหรือเปล่า”เขาถามด้วยความลังเล อีกฝ่ายถอนหายใจก่อนจะทอดสายตามองโกฏิของมณี ขณะที่ค่อยๆเอ่ยถ้อยคำออกมา
“ทารกนั่นถูกนำไปทำพิธี เพราะนางบัวน่าจะกลัวบาปกรรมจึงเอายันต์มาสะกดไว้”ชายชราเอ่ยถึงเรื่องที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน พอนึกถึงสาเหตุที่ทำให้บัวเกิดความกลัว คงไม่พ้นเรื่องผีสาง ชายหนุ่มกังวลใจ ยิ่งเจอเรื่องของมณีเขายิ่งรู้สึกระแวง เขามองโกฏิอยู่เงียบๆ นึกถึงว่าวิญญาณของเธอยังอยู่ไม่ไปไหนแล้วก็ได้แต่เห็นใจ
“แล้วจะเกิดผลร้ายหรือไม่ครับ”เขาถาม ชายชราหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้า “เป็นเรื่องงมงายน่ะคุณ สมัยนั้นอาจจะเชื่อกันอยู่มาก”ชายชราเอ่ยน้ำเสียงต่ำ จ้องมองเขาอีกครั้ง เขาลังเลที่จะเอ่ยถาม แต่หากต้องเก็บงำไว้ตนคงไม่สบายใจ
“....ตารู้ไหม มณียังไม่ไปเกิด ผมไม่รู้ว่าพิธีนี้เชื่อถือได้มากแค่ไหน แต่ผมหวังว่าเธอได้รับกุศลจากผม”เขาบอก มองชายชรานิ่งๆ เจ้าตัวถอนหายใจ ส่ายศีรษะท่าทางเหมือนเหนื่อยใจ
“อืม ตาก็พอจะได้ยินมาบ้าง รู้ไหมว่าทำไมบ้านนี้จึงไม่ค่อยมีคนอาศัย หรือมีคนอื่นอยู่ในบริเวณใกล้เคียง”ชายชราพูด เขาพยักหน้า
“เพราะเรื่องผีหรือครับ”เขาตอบ จะเป็นเรื่องอื่นไปได้อย่างไร ตานันหัวเราะออกมาเบาๆ
“ก็ถูก ชาวบ้านได้ยินอาถรรพ์ของคนภิรมย์สุขมานาน หากไม่จริงก็คงไม่มีคนเอาไปพูดกันทั่วแบบนี้หรอก ในสมัยรุ่นคุณภัทร พ่อของคุณนิรุท จำได้ว่าช่วงนั้นถือเป็นยุคมืดของคนบ้านนี้เลยก็ว่าได้ มีคนตาย และผีอาฆาต ทั้งคุณแก้ว มณีด้วย พอบ้านไร้คนสืบทอด ถึงจะมีคนคอยดูแล คุณว่าจะมีคนใจกล้าเข้ามาขโมยของดีในบ้านบ้างไหม”ชายชราเล่าถึงเรื่องราวที่เขาไม่เคยได้ยิน ชายหนุ่มองสัปเหร่อ
“แสดงว่ามีคนเจอผีจริงน่ะเหรอ”ภูวรินทร์งงงวย แม้ว่าเขาเจอมณีในรูปของสิ่งเหนือธรรมชาติ ใกล้เคียงกับคำว่าผี แต่ก็ได้มาหลอกหลอนอะไรเขา เหมือนต่างคนต่างอยู่
“อาจใช่หรือไม่ใช่ แต่ที่แน่ๆ คนที่เฝ้าบ้านคงไม่ปล่อยให้โจรทำสำเร็จ”อีกฝ่ายพูดถึง ‘คนเฝ้าบ้าน’ ใครกัน หมายถึงมนุษย์หรือว่าวิญญาณ
“แล้วโจรเป็นยังไงบ้างครับ”เขาถามต่อ คาดคะเนคำตอบเอาไว้ในใจแล้วเช่นกัน อีกฝ่ายไหวไหล่ผ่ายผอม
“โจรไม่ได้อะไรจากบ้าน แต่ก็ตาย เพราะเผลอไปกินพืชมีพิษเข้าให้ โง่จริงๆ”
“ผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย ป้าษอรก็ไม่ได้เล่าให้ฟัง”ชายหนุ่มขมวดคิ้ว รู้สึกว่าป้าษอรไม่เล่าเรื่องสำคัญๆที่เกิดขึ้นในบ้านให้เขาฟัง
“อ้อ สมัยนั้น อรมันอายุเท่าไหร่กันเชียว ตอนนั้นคนดูแลบ้านเป็นแม่ของมัน...”ชายชราบอกต่อ คลายความข้องใจของเขาไปได้ไม่น้อย
“ตาจะบอกว่าที่โจรตายเพราะผีงั้นเหรอ”
“ไม่รู้สิ เป็นเรื่องเล่าจากคนเก่าแก่ แต่พวกเรื่องเล่าล้วนมีที่มา อยากให้คุณฟังไว้ก็เท่านั้น อีกเรื่องหนึงถ้าคุณกังวลเรื่องมณี.... คืนนี้ไม่ลองออกไปดูบ้างล่ะ”สัปเหร่อแนะ ทำเอาภูวรินทร์ถึงกับหลุดขำ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาพูดล้อเล่นกับเขา อีกฝ่ายมีสีหน้าเหมือนล้อเลียนเขา เขารู้ว่าตนเองขี้ขลาดตาขาว
“...พูดจริงหรือแค่อำผม”เขาเอ่ย มองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา คราวนี้ชายชราหัวเราะออกมา
“ฮ่ะๆ ช่างเถอะ นางได้รับกุศลไปแล้ว วิญญาณก็คงได้รับการปลดปล่อย บางทีเพราะคนบ้านนี้ไม่เคยทำบุญให้นาง ไม่เคยมาขอขมากรรมต่อกัน จะว่าไป คนที่จะต้องขอมาก็คือตัวคุณ นางจึงต้องรอถึงเจ็ดสิบกว่าปี การที่คุณหวังให้เรื่องทุกอย่างจบลงที่พิธีขอขมากรรม คุณคาดหวังมากเกินไปหน่อย”ชายชราเอ่ย
“ผมแค่หวังให้ป้าษอรไม่แบกรับเรื่องในอดีต”คำพูดของเจ้าตัว เขาเองก็เข้าใจดี
“อืม นางคงคิดได้แล้วล่ะ ไม่เช่นนั้นคงไม่ทำพิธีนี้หรอก แต่คุณจะคาดหวังว่าให้ทุกสิ่งเป็นไปตามที่ปรารถนาก็คงไม่ได้ ทุกอย่างมีที่ทางของมันเอง”อีกฝ่ายเอ่ยช้าๆ น้ำเสียงคล้ายกับกำลังสอนสั่งเขาไปในตัว เขาฟังแล้วก็คิดตาม ยิ่งทำให้รู้สึกไม่หนักแน่นมั่นคงเอาเสียเลย เขาเงียบไปนาน ไม่สามารถโต้ตอบคู่สนทนาต่อ
“ไม่รู้หรือว่าคนบ้านนี้นับถือผี”หลังจากที่ตานันมองเขาอยู่นาน จู่ๆก็เอ่ยออกมาเรียบๆ สีหน้านิ่งเฉย ภูวรินทร์ตกใจกับสิ่งที่ได้ยินไม่น้อย
“อะไรนะ”คำบอกเล่าของอีกฝ่าย นับถือผีงั้นหรือ เขาจ้องสัปเหร่อด้วยท่าทีเคร่งขรึม ในใจนึกถึงคุณแก้วที่มักจะบูชาสิ่งที่ลาลับไปแล้วมากกว่าการบูชาพระ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ ทำเอาภูวรินทร์รู้สึกเหวาดกลัว ร่างกายเย็นเยียบ
“ไม่เห็นหรือว่า บ้านนี้ไม่มีพระบูชา หลวงตาท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ที่เคยมาธุดงค์ที่เนินเขาหลังอาศรม ตอนนั้นมาเจอคนภิรมย์สุขคนลูกของหมื่นนรินทร์ คนนี้อยู่ไม่นานนัก พอตายก็เผากันเอง ไม่ได้มาทำพิธีที่วัด”อีกฝ่ายเล่าด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่สนใจที่เขาตกใจกับข้อเท็จจริงดังกล่าว
“แล้วตารู้ได้ยังไงล่ะครับ”ภูวรินทร์ตั้งสติ ก่อนจะถามต่อไป คราวนี้ชายชราขยับมาใกล้เขา สีหน้าขรึม แววตาจริงจังกว่าทุกครั้ง
“ตอนหลานมันตาย นังอรมันเรียกหมอขวัญมายื้อชีวิตหลานมันไว้ คล้ายกับการเรียกเอาจิตกลับสู่ร่างทำนองนี้ มันหมายความว่าคนที่ตายไปแล้วกลับเข้าร่างได้ มันไม่ใช่เรื่องดีนี่คุณ”ตานันเอ่ย เขาใจหายวาบเมื่อเรื่องวกกลับมาเกี่ยวพันกับอินทนิลกับคุณแก้ว เขานิ่งงัน รู้สึกจับต้นชนปรายไม่ถูก
“จะบอกว่าที่อินทนิลอยู่มาป่านนี้เพราะป้าษอรเรียกขวัญกลับมา แล้วเรื่องคุณแก้วล่ะ ไม่ใช่เพราะคำสาปงั้นเหรอถึงได้ไม่ไปไหน”เขาถามอย่างไม่เข้าใจนัก ทีแรกคิดว่าเป็นผลจากคำสาปแช่งซะอีก ชายชราพยักหน้า เหลือบมองเขาอย่างพิจารณาก่อนจะเอ่ยออกมา
“ใช่ เป็นเพราะคำแช่งเลยไปเกิดไม่ได้ แต่การที่จิตของท่านยังสามารถเข้าสู่ร่างของอินทนิลได้ น่าจะมาจากสาเหตุนี้ด้วยเช่นกัน ปกติวิญญาณที่ไม่ถูกเชื้อเชิญจะมาเข้าสิงสู่กับร่างกายมนุษย์ได้เช่นไร”อีกฝ่ายตอบ ภูวรินทร์ยิ่งรู้สึกไม่ดีมากกว่าเดิม อีกฝ่ายคอยจะเอ่ยเตือนเรื่องคนเป็นคนตายกับเขา แต่ครั้งนี้เขาคล้อยตามได้ไม่น้อย แม้ในใจอยากปฏิเสธข้อเท็จจริงนี้
“คงไม่ใช่แค่มีผีสิงร่างใช่ไหมครับ จิตของคุณแก้วกับอินน์เชื่อมต่อกัน”เขาบอก การที่คุณแก้วกับอินทนิลยังคงมีชีวิตอยู่ มีเลือดเนื้อ มันไม่ใช่การสิงสู่ของวิญญาณแบบทั่วไป ไม่คิดว่าป้าษอรจะใช้วิธีแบบนั้นมายื้อชีวิตของอินทนิล เขาถอนหายใจอย่างท้อใจ ความหวังในใจมลายสิ้น
“อืม ถูกต้อง...แต่แล้วอย่างไรล่ะ เขาคือคนที่ควรตายไปตามกรรมไม่ใช่หรือไง”ชายราเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง สายตาพร่ามองมาที่ตนไม่ไปไหน เขาเงียบ แม้ใจจะรู้ดีแต่ก็ไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้ เขารู้สึกเจ็บลึกๆ เขาส่ายหน้า ก่อนจะเอ่ยด้วยอารมณ์โกรธเคือง
“...ที่ตาพูดก็เพื่อให้ผมยอมให้อินน์ตายไปงั้นเหรอ”เสียงของเขาลั่นไปทั่วสุสาน จากนั้นก็เงียบไป ชายชราแค่มองเขาอย่างเฉยชาก่อนจะถอนหายใจแรง
“มันแล้วแต่เวรแต่กรรม คุณยุดยื้อไปก็เท่านั้น เมื่อถึงวาระ ก็คงยื้อไว้ไม่ได้”อีกฝ่ายเอ่ยอย่างไม่ไว้หน้า จากนั้นก็เดินไปจุดธูปไหว้โกฏิของมณี สวดพึมพำอะไรสักอย่าง เหมือนบทแผ่เมตตา ภูวรินทร์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามทำใจให้สงบ
“ตารู้เรื่องคำแช่งได้เช่นไรครับ”เขาเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย
“เฮ้อ สงสัยว่าคงมีวาสนาต่อกันล่ะมั้ง รุ่นปู่ของตาเคยทำงานกับท่านหมื่น เป็นคนขับรถ พ่อของตาเคยเป็นคนสวนอยู่ที่นี่เหมือนกัน เลยได้ยินเรื่องเล่าจากบ้านหลังนี้ซะเยอะ”หลังจากที่ไหว้เสร็จ ชายชราก็ลุกขึ้นหันมาคุยกับเขา
“งั้นเหรอ...”เขาพึมพำ ทุกคนในบ้านล้วนแต่เคยพบเจอกันมาก่อน ไม่ก็เคยมีความเกี่ยวข้องกับบ้านภิรมย์สุขไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
“บ้านหลังนี้ไม่มีสิ่งเลวร้าย เพียงแค่มันเก่าไปหน่อย ก็ยิ่งทำให้น่ากลัวอีกอย่าง หากคุณเจอเสียงแปลกๆก็อย่าไปร้องทักเข้าล่ะ การไม่เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น ใช่ว่าจะลบหลู่ได้ง่าย”
“ผมเชื่อนะ เจอมาขนาดนี้ถ้ายังจิตแข็งอยู่ ผมคงไม่ใช่คน”
อีกฝ่ายหัวเราะ “ถ้ามีอะไรก็เรียกหาตาได้ บอกผ่านไอ้ชมก็ได้ เพราะติดต่อกันตลอด”ชายชราเอ่ยบอก น้ำเสียงเป็นมิตร เขายิ้ม
“ขอบคุณมากครับ” อย่างน้อยสัปเหร่อคนนี้ก็เคยช่วยเขามาก่อน แล้วยังมาเป็นธุระเรื่องพิธีกรรมนี้อีก ชายหนุ่มไม่รู้ว่าพิธีกรรมจะสำเร็จมากแค่ไหน มันเป็นแค่เรื่องอุปโลกน์ขึ้นมาเองหรือเปล่า เขาไม่อาจปักใจเชื่อ แต่เขาไม่ประมาท อย่างน้อย...ก็ทำใจเอาไว้กับทุกผลลัพธ์
คล้อยหลังสัปเหร่อชรากลับไปไม่นาน ภูวรินทร์กุมศีรษะ คำบอกเล่าของตานันทำให้ปวดหัวมาก เขาทุกขใจ เรื่องคนบ้านนี้นับถือผี ทำให้เขาเข้าใจการบูชาของอินทนิล อีกฝ่ายไม่เคยไหว้พระขอพรเลยสักครั้ง มีแต่บูชาบรรพบุรุษ ป้าษอรเองแม้จะทำบุญเข้าวัด แต่ก็ศรัทธาในพิธีกรรมที่ไม่ใช่วิถีพุทธ
เสียงผู้มาเยือนคนใหม่เดินเข้ามาในสุสาน ภูวรินทร์เห็นว่าเป็นป้าษอร เธอเดินถือธูปกับดอกแก้วมาด้วย เขาคิดว่าป้าษอรต้องการมาขอขมามณี เธอเดินไปนั่งหน้าโกฏิก่อนจะจุดธูปวางช่อดอกแก้วลงก่อนจะหลับตาพนมมือ ภูวรินทร์แค่ถอยออกมาดูเงียบๆที่ใต้ต้นไม้ สามารถบังแดดได้ดี
“…ดอกแก้วคือตัวแทนแห่งความบริสุทธิ์ เป็นดอกไม้สิริมงคล เหมาะสำหรับการพิธีทางศาสนา…อิฉันจึงขอแผ่เมตตาอโหสิกรรมแก่ท่านหมื่นนรินทร์ นางมณีและลูก การกระทำใดที่เคยล่วงเกิน เบียดเบียนแก่ท่านทั้งสาม ขอข้าพเจ้าอโหสิกรรม และไม่คิดจะอาฆาตพยาบาทท่านทั้งสามคนอีก ไม่ว่าจะภพเก่าหรือภพปัจจุบันก็ตาม ขอให้ท่านทั้งหลายรับกุศลที่ข้าพเจ้าส่งไปให้ด้วยเถิด...”ป้าษอรเอ่ย เขาไม่ได้เตรียมตัวมารับฟังถ้อยคำนี้ จึงแปลกใจมาก
ภูวรินทร์มองอยู่เงียบๆ เขายิ้ม แม้เป็นเรื่องน่ายินดีแต่อีกเสี้ยวในใจกลับพลันเศร้าลงเมื่อ รับรู้ว่าไม่สามารถหลีกหนีคำสาปแข่งได้ ลึกในใจไม่อาจละทิ้งบ้านหลังนี้ไปได้ เขาอยากรู้ว่าอะไรดลใจให้ป้าษอรคิดได้ อีกฝ่ายลุกขึ้นยืน เดินตรงมาหา
“...คุณคงสงสัย หากถามว่าเพราะอะไร ก็คงเป็นเพราะคุณแก้วมากกว่า ต่อให้ใจของบัวคิดอาฆาตเพียงใด แต่ตราบใดที่คุณแก้วไม่คิดจะโกรธเคือง ก็ไม่มีประโยชน์ใดต้องเก็บสิ่งที่แบกมานาน”
“...”ภูวรินทร์ไม่มีถ้อยคำใดตอบโต้ แค่เงียบ รับฟังอีกฝ่ายพูด
“อีกอย่างป้าเพิ่งรู้จากอินทนิลว่ามณียังไม่ได้จากไปไหน พอมารู้แบบนี้แล้ว ป้าเองก็รู้สึกสับสน มณีนางได้รับกรรมของนาง ป้าเองก็กำลังรับกรรมของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นท่านหมื่น คุณแก้ว ที่ยังต้องพบเจอกันอยู่ดี”ป้าษอรเอ่ยน้ำเสียงเหมือนคนปลงตก แววตาไม่สะท้อนความยึดถือเช่นครั้งก่อน
“ผมคิดว่ามณีคงจากไปแล้ว ในเมื่อเราทำพิธีขอขมากรรม...ก็คงจะเหลือแต่คนที่ยังอยู่”ภูวรินทร์พึมพำ แม้ว่าเขาจะรู้สึกสบายใจที่ได้แผ่กุศลไปให้ผู้อื่น
“หลวงตาพูดถูกค่ะ ว่าให้อยู่กับปัจจุบัน ในตอนนี้ป้าเองก็จะดูแลอินทนิลให้ดี ดูแลบ้านเช่นเดิม”เธอบอก ชายหนุ่มมองหน้าเธออยู่นาน เขายิ้มก่อนจะเอ่ยขอบคุณกับอีกฝ่าย “ไม่ว่าอย่างไร ป้าก็ยังนับถือคุณและอยากให้คุณดูแลอินทนิลให้ดี...ป้าไม่ใช่ว่าไม่ทราบว่าอินน์มันคิดอะไรอยู่...ป้าจึงรบกวนคุณให้ทำดีต่อมัน รวมถึงคุณแก้วด้วย”อีกฝ่ายเอ่ยบอก แววตานิ่งสงบ เขาหลับตา พยักหน้า เขาไม่คิดจะละเลยเด็กหนุ่มเลยนี่นา
“ครับ ผมเองก็ปรารถนาให้อินน์มีความสุข”เขาบอก
ภูวรินทร์กลับเข้ามาในบ้าน เขาไม่เห็นนิรุทเลย จึงเดินไปยังชั้นบน กลับเข้าไปห้องนอนของตนเอง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งนิ่งๆอยู่บนเตียง ปล่อยใจสงบลง ในที่สุดป้าษอรละทิ้งความโกรธแค้นที่แบกมานับสิบปี แบกความทุกข์ของนางบัว ชายหนุ่มเองก็บอกไม่ถูกนักว่ารู้สึกดีใจหรือไม่ เพราะมีหลายเรื่องประดังประเดเข้ามาพร้อมๆกัน
มีเสียงเคาะประตู ภูวรินทร์ร้องบอกให้เข้ามาได้ เป็นอินทนิลที่เปิดประตูเข้ามาหา เด็กหนุ่มส่งยิ้มให้เขา ก่อนจะก้าวเดินเข้ามาหา เสียงกำไลข้อเท้ายังคงดังออกมาเบาๆ อีกฝ่ายเดินมานั่งลงข้างกายเขา แต่ไม่ได้เอ่ยเอื้อนคำใดออกมา เพียงแค่ยื่นมือมากุมมือของเขาไว้แน่นๆ ความอบอุ่นแผ่ไปทั่วฝ่ามือ ทำให้ชายหนุ่มยิ้มแย้มออกมาก่อนจะเหลียวมองคนข้างกาย
“ต่อจากนี้คงไม่มีเรื่องร้ายแล้วครับ”อินทนิลเอ่ยบอก นัยน์ตาสีนิลเปล่งประกายความยินดีออกมา ริมฝีปากเผยรอยยิ้มสดใส เขามองรอยยิ้มจนพบว่าตนเองไม่สามารถละทิ้งอินทนิลไปได้ หรือแม้แต่การจากลาของอีกฝ่าย ชายหนุ่มยิ้มให้อินทนิลแทน
“นั่นสินะ”เขาบอก เด็กหนุ่มกระชับฝ่ามือแน่นขึ้น ร่างของเด็กหนุ่มขยับเข้ามาใกล้เอนตัวพิงกับไหล่ของเขาไปด้วย เขานิ่งไป แต่ในใจกลับยินดีที่เห็นอีกฝ่ายแสดงความรู้สึกต่อตนเอง เขายิ้มบางๆรู้สึกเวทนาตัวเองขึ้นมา ‘ไม่อยากอาภัพรัก’ ภูวรินทร์คิด ตลอดยี่สิบเจ็ดปีที่ผ่านมาทั้งชีวิต เขาไม่เคยมีความรัก เรียกว่าไม่เคยได้รักใครซะมากกว่า คนที่เขาเคยคบด้วยล้วนไม่จริงใจ จึงเป็นความสัมพันธ์ที่ชั่วคราว ต่างจากอินทนิลและคุณแก้ว ที่มอบความรักแก่ตนก่อน ไล่ตามเขา เปิดเผยความรู้สึกที่ชัดเจน มันทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกรักใคร่ของทั้งสองคนไปได้ เขารู้ดีว่าไม่อาจตัดขาดกับทั้งคู่ได้
“ตอนที่ทำพิธีอินน์กลัวแทบแย่แหน่ะ ว่าคุณภูจะเปลี่ยนใจ”อินทนิลเอ่ยออกมา เขาจึงขยับตัว หันมองอีกฝ่ายอย่างเต็มตา
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”เขาถาม อินทนิลจ้องมองเขาเหมือนเสียใจ “ก็แววตาของคุณดูมุ่งมั่น โดยเฉาะตอนที่เอ่ยถึงการตัดคำสาบานที่เคยเอ่ยไว้”อินทนิลพึมพำไม่เต็มเสียงเท่าไหร่ ไม่กล้าสบตา เขาจึงยื่นมือไปจับไหล่ผอม ก่อนจะออกแรงบีบเบาๆให้อีกฝ่ายหันกลับมา
“แล้วไม่ดีเหรอ มันเป็นเรื่องของอดีต ตอนนี้ฉันก็อยู่ที่นี่กับเธอไม่ใช่หรือไง”ชายหนุ่มตอบ อินทนิลเปลี่ยนสีหน้าจากซึมเศร้ากลายเป็นความยินดี เด็กหนุ่มยิ้มกว้างเข้ามากอดเขาแน่นเป็นเด็กๆ ภูวรินทร์กอดร่างอุ่นที่ผอมบาง เขาขมวดคิ้วให้กับร่างกายนี้ อินทนิลดูจีความสุขกับการกอดเขา เพราะไม่ยอมปล่อยมือ
“นี่อินน์...”เขาเรียก น้ำเสียงเจือความขบขัน เด็กหนุ่มยอมคลายกอด นัยน์ตาสีนิลวาววับ “คุณภูครับ อินน์ขอแค่ได้อยู่กับคุณก็เพียงพอแล้ว”สิ้นคำพูดของอินทนิล ภูวรินทร์กระพริบตาจ้องมองคนตรงหน้าโดยไม่ละสายตา หัวใจเหมือนมีดอกไม้ผลิบาน เขายิ้ม กวาดสายตาไปทั่วดวงหน้าเรียว ก่อนจะยื่นมือไปสัมผัสเส้นผมอ่อนนุ่มของอินทนิล เด็กหนุ่มยิ้มให้เขา นัยน์ตาอ่อนโยนลง สะท้อนภาพของเขา
“อินน์กับท่านจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ”เด็กหนุ่มเอ่ย นัยน์ตาสีนิลเริ่มแดงมีน้ำใสคลอไปด้วย จากที่ดอกไม้ผลิบานตอนนี้กลับแห้งเหี่ยวเฉาลงทันที หัวใจเหมือนโดนบีบรัดแน่น เขาเม้มปาก ไม่อยากคิดวุ่นวายกับประโยคเหล่านี้ของอินทนิล เขากอดอินทนิลไว้แน่น ยกมือลูบศีรษะเล็กอย่างถนอม
“ขอบคุณมากนะ ตอนนี้ฉันยอบรับในชะตาของตนเองแล้ว ยอมรับในตัวตนของเธอสองคนด้วยเช่นกัน...”ภูวรินทร์เอ่ยออกมาจากใจ แม้จะเป็นเรื่องน่ายินดีแค่ไหน แต่เขายังคงสุขใจได้ไม่เต็มที่ เด็กหนุ่มกระชับกอดแน่น
“เรารู้แล้ว”อินทนิลเอ่ยเบาๆ โอบกอดเขาเนิ่นนาน ชายหนุ่มผละออกมอง ยื่นมือเกลี่ยหยาดน้ำตาของอีกฝ่ายออกไปให้พ้นแก้ม เขาไม่ลังเลที่จะเข้าไปประทับจูบแก่อินทนิล เจ้าตัวตอบรับสัมผัสของเขาอย่างเต็มใจ ขยับตัวเข้าหากันอย่างโหยหา มือหนาโอบลำตัวของเด็กหนุ่มไว้ดึงรั้งเข้าหา มือที่ว่างเข้ามาหยอกเย้ากับร่างกายใต้สาบเสื้อ สองร่างแนบแน่น ด่ำดิ่งสู่ห้วงกามา แต่รสสัมผัสปราศจากความมัวเมาเพียงแค่ตัว ตอบรับกันและกันด้วยรักในใจ สอดแทรกกอดรัดให้หรรษาจนกว่าคนทั่งคู่จะพึงพอใจ
ภูวรินทร์เพียงแค่อยากเชยชมเด็กหนุ่ม ตัวตนของอินทนิลสักครั้ง ไม่รู้ว่าเรื่องหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร แต่เขารับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง หากว่าไม่ใช่ฝันเฟื่อง เขาคงต้องติดต่อกับป้าธิชาดูสักครั้ง เพื่อคุยเรื่องของอินทนิล
+++++++++++
นิรุทยังคงอาศัยอยู่ที่บ้าน อีกฝ่ายดูจะสนใจเรือนกระจกเป็นพิเศษ จึงทำให้เขาต้องมาคุยกับชายคนนี้อยู่บ่อยครั้ง “ไม่ยักรู้ว่าดอกไม้พวกนี้ยังรอดได้อีก”
“ป้าษอร ลุงชมดูแลมันไม่ใช่หรือไงครับ”เขาบอก อีกฝ่ายพยักหน้า ริมฝีปากแย้มยิ้ม “เธออึดอัดหรือ”
“ก็นิดหน่อยครับ...”ชายหนุ่มตอบไปตามตรง เขายังไม่ชินกับการพูดคุยกับนิรุทนัก อีกฝ่ายมองอยู่นาน เขาเงียบ ตั้งใจว่าหากไม่มีเรื่องจะพูดกัน เขาคงต้องเดินหนี
“ขอโทษนะ”นิรุทเอ่ยถ้อยคำออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ ภูวรินทร์ชะงักงันไปทันที
“ว่าไงนะครับ”ภูวรินทร์เอ่ยซ้ำ มองอีกฝ่ายนิ่งๆ เจ้าตัวแค่มองเขาอยู่นาน แววตาที่สะท้อนกลับมาเป็นความรู้สึกผิด
“ฉันเอ่ยคำขอโทษให้เธอ...ในฐานะพ่อที่ไม่ได้เรื่อง”นิรุทบอกเรียบๆ ภูวรินทร์นิ่งงัน “ช่างเถอะครับ... ว่าแต่คุณยังติดต่อกับป้าธิชาบ้างไหมครับ”เขาเอ่ยถาม
“ธิชา?...นานๆครั้ง ฝ่ายนั้นไม่ค่อยได้ติดต่อกลับมาหรอก...ทำไมหรือ”
“เรื่องอินทนิลน่ะครับ”ชายหนุ่มตอบ นิรุทมองหน้าเขาด้วยสายตาสงบนิ่ง เขาคิดว่าอีกฝ่ายรู้ความสัมพันธ์ของเขากับอินทนิล ป้าษอรอาจบอก
“...ฉันไม่อยากยุ่งเรื่องของเธอหรอก...แต่อินทนิลยังเด็กอยู่เลย”อีกฝ่ายพูด จนเขารู้สึกผิดบาปขึ้นมา ชายหนุ่มไม่อยากคุยกับนิรุทอีก
“ผมมันมีกิเลสเยอะ”เขาเอ่ยทิ้งท้าย ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากเรือนกระจกด้วยใจไม่สงบนัก ชายหนุ่มเดินกลับเข้าไปในบ้าน อินทนิลนั่งร้อยมาลัยอยู่ที่โถงรับแขก พอเห็นเขาเดินมาก็ส่งยิ้มทักทาย
“ทำอีกแล้วเหรอ เอาไปไหว้พระหรือไง”ภูวรินทร์เอ่ยถาม นึกถึงคำของสัปเหร่อที่บอกว่าคนบ้านนี้นับถือผี อินทนิลถือเข็มร้อยมาลัย กำลังหยิบดอกพุดเสียบลงเข็มช้าๆอย่างชำนาญ
“เปล่าครับ อินน์จะเอาไปไว้บนหัวนอน”เด็กหนุ่มตอบ เขาลอบถอนหายใจ อินทนิลเงยหน้ามอง คิ้วขมวดเข้าหากัน “มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ฉันไม่ฝันร้ายแล้วนะ ไม่ต้องทำหรอก”เขาบอกด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่มีความดุดันให้ได้ยิน อินทนิลชะงักค้างไป
“คุณภูกังวลสิ่งที่อินน์ทำเหรอครับ”เด็กหนุ่มวางเข็มมาลัยในมือลง เขาส่ายหน้าปฏิเสธ “เปล่าหรอก..ฉันแค่เสียดายน่ะ พวงมาลัยไม่นานมันก็เหี่ยวเฉา”เขาบอก อินทนิลมองดอกพุดในมืออย่างไม่เข้าใจนัก
“เหรอ...คุณไม่ชอบเหรอครับ”
“ไม่ได้ไม่ชอบ...เอาเป็นแค่ดอกแก้วก็พอนะ อย่างน้อยกลิ่นของมันทำให้ฉันผ่อนคลายได้”เขาบอก พอได้ฟังคำเกลี้ยกล่อมอินทนิลคล้อยตามง่ายๆ
“ตามใจครับ แต่พวงนี้ทำให้เสร็จไปเลยดีกว่า เสียดายของ”เจ้าตัวตอบ เขาจึงพยักหน้าตกลง มองดูอินทนิลร้อยมาลัยอยู่เงียบๆ แม้ว่าอีกฝ่ายจะทำเป็นนิ่งเฉย เหมือนไม่สะทกสะท้านอะไร แต่เขาเห็นว่าเด็กหนุ่มประหม่า ภูวรินทร์ลอบยิ้ม ยอมหยิบหนังสือพิมพ์ออกมาอ่านฆ่าเวลาเล่น ไม่มีข่าวอะไรที่น่าสนใจ หรือเกี่ยวข้องกับคนภิรมย์สุข