ตอนที่ ๒๒
หลังจากใช้เวลาแกล้งกันจนพอใจ เชษฐ์ไชยกับวิริยะเดินลงมาด้านล่างเพราะถึงเวลามื้อเย็นแล้ว ได้ยินเสียงเด็ก ๆ เล่นกันแว่วอยู่ที่หน้าบ้าน ส่วนคุณยายต้อยของไนน์ก็จัดสำรับอยู่ในครัว เมื่อเห็นทั้งสองยิ้มหน้าบานเดินลงมาก็อดที่จะทำสายตาแซวไม่ได้ “แหม ถ้าน้องวิวมีมดลูก ป่านนี้มีเป็นโหลแล้วมั้งคะ คุณพ่อขยันสุดฤทธิ์”
วิริยะมองตากับเชษฐ์ไชยแล้วหัวเราะกับคำกระเซ้านั้น “อะไรกันครับป้าต้อย มั่วแล้ว”
“จะว่าไป ถ้าไม่มีหลาน ลูกฉันอาจมีครึ่งร้อยแล้วก็ได้ แต่พอดีมีก้างขวางคอเลยต้องอดไง เพราะแม่มันมาไข่ทิ้งไว้ให้เลี้ยง” นายใหญ่ของไร่ทรุดตัวนั่ง แล้วสะดุ้งโหยงเพราะแรงหยิกที่ต้นขา หันไปเห็นไอ้ตัวดีทำตาดุปรามที่ชายหนุ่มพูดตรงเถรเกินไป จนไปแทงใจของใครเข้า หลานที่เชษฐ์ไชยหมายถึงก็คือหลานของแม่ต้อยด้วยเช่นกัน
เมื่อเห็นสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ของเชษฐ์ไชย วิริยะอดที่จะพูดไม่ได้
“ตัวเองอ่อนปวกเปียกเองก็บอกเขาไป”
“อะไร ใครอ่อน พี่ไม่ได้อ่อน แค่ทำงานเหนื่อยเอง” คนพูดทำเสียงดังแก้ตัวสุดความสามารถ
“ก็ไม่เห็นต้องทำจมูกบานป้ะ ทำไม...รึว่าร้อนตัวเหรอครับ” วิริยะแซวปนขำ ไอ้นิสัยชอบทำจมูกบานเวลาตื่นเต้นตกใจของเชษฐ์ไชยยังไม่หายไปสักที นี่แหละ เวลาโกหกหรือทำผิดอะไรมา วิริยะก็รู้ทันหมดทุกอย่าง คิดแล้วชายหนุ่มก็คลี่ยิ้มมองคนโดนรู้ทันตรงหน้า ที่กำลังงอนตักข้าวทานเมื่อถูกแซว “เอ้อ เรื่องที่คุยกันไว้อาทิตย์ที่แล้ว คือผมต้องออกจากบ้านมะรืนนี้นะครับ”
เรื่องที่คุยกัน เชษฐ์ไชยมุ่นคิ้วนึกอยู่ครู่หนึ่ง กลัวถูกต่อว่าที่ลืม “ไอ้ที่ว่าเพื่อนนัดเลี้ยงรุ่นน่ะเหรอ ไม่เอาหรอก ไม่ให้ไป”
“เอ้า พี่เชษฐ์ ได้ไงอะ ผมตกลงกับเพื่อนไว้ตั้งเป็นเดือนแล้วว่าจะไป” วิริยะทำตาโตเถียง
“นี่ตกลงก่อนจะขอพี่อีกเหรอ” เชษฐ์ไชยถามน้ำเสียงไม่จริงจังนัก
“ไม่ได้ขอ เพราะผมตั้งใจจะไปอยู่แล้ว แค่บอกให้รู้ว่าไปไหนแค่นั้นแหละ แล้วถ้าพี่ไม่ไปส่งที่นั่น ผมก็จะนั่งรถบขส. ไปเองก็ได้ ไม่เห็นต้องง้อเลย” วิริยะหันไปกล่าวระรัว แล้วเผลอทำหน้างอโดยไม่ตั้งใจ
“งอนรึเปล่าน่ะ”
คนฟังเบิกตา “งอนอะไร ไม่ได้งอน เรื่องไร้สาระจะงอนทำไม”
“แล้วแต่นะ” คนพี่ยิ้มแล้วแสร้งไม่สนใจ ตักอาหารตรงหน้าทาน
คนถูกเมินย่นหน้า “งอนก็ได้ แล้วจะไม่ง้อหน่อยเหรอ”
“ไม่อะ ก็บอกเองนี่ว่าเรื่องไร้สาระ งอนเองก็หายเองไป”
วิริยะอ้าปากกว้างเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินเชษฐ์ไชยพูดแบบนี้ เดี๋ยวนี้ชักเก่งขึ้นทุกวันแล้ว ชายหนุ่มคิดแล้วทำเป็นเบ้ปากกล่าวตอบกลับไปว่า “อ๋อ ใช่ละซี...ก็ผมยอมมาอยู่ด้วยแล้วไง คราวนี้จะทิ้งขว้างยังไงก็ได้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนน่ะเหรอ พูดอะไรก็ยอมไปหมด พองอนนะ โน่น...ขับรถไล่ตาม ใช้ให้จับลูกเจี๊ยบเป็นร้อย ๆ ตัวก็ยังไหว”
“ชู่...” เชษฐ์ไชยหันมาเอ็ด “เรื่องนี้ไม่มีใครรู้...”
หลังทราบ วิริยะก็คลี่ยิ้มกว้างอยากจะแกล้ง หันไปหาแม่ต้อยที่กำลังง่วนอยู่กับงาน “ป้าต้อยครับ จำได้ไหมตอนที่พี่เชษฐ์รถคว่ำ เขาขับรถไปตามง้อผมด้วยแหละ แล้วกลัวโดนผมทิ้งมากขนาดสั่งให้ไปไล่จับลูกเจี๊ยบ...” มือใหญ่กุมปากวิริยะแล้วดึงใบหน้าของชายหนุ่มเข้าไปให้ประจันหน้า ดูเหมือนจะโกรธ แต่เชษฐ์ไชยกลับยิ้มขันเมื่อเห็นวิริยะไม่รีรอที่จะแกล้งสักวินาทีเมื่อมีโอกาส
“ถ้าพูดอีกพี่จูบนะ ต่อหน้าทุกคนนี่แหละ” คนดุกระซาบ เมื่อเห็นวิริยะนิ่งแล้วก็ยอมผละมือออก ยังคงมีความสุขกับการแกล้งกันไปมาราวกับทั้งสองไม่ได้โตขึ้นเลย ครั้นริมฝีปากวิริยะเป็นอิสระแล้ว ไอ้ตัวดีก็ทำปากจู๋เชื้อเชิญให้จูบอย่างท้าทาย สิ้นลายหนุ่มน้อยขี้อายเมื่อก่อนไปแล้ว กลับเป็นฝ่ายเชษฐ์ไชยเสียเองที่รู้สึกแก้มร้อนขึ้นมาเมื่อเห็น
“กินนี่ไปเลยไป” มือใหญ่หยิบผักแถวนั้นยัดปากอีกฝ่ายแทน
“สรุปไปนะครับ เดี๋ยวผมจัดกระเป๋าให้พี่เอง” วิริยะหันมายิ้ม เคี้ยวของในปากไปพลาง แลดูเหมือนแฮมสเตอร์ตัวอวบอ้วนกำลังกินอาหาร เห็นแล้วผู้พี่ก็นึกเอ็นดู เอื้อมไปยีผมให้เสียทรงพลางพยักหน้าตอบรับ
ช่วงเช้า เชษฐ์ไชยตื่นตามเวลาอย่างทุกวัน ชายหนุ่มพลิกตัวมาดึงคนนอนข้าง ให้ซุกกอดอยู่ในอกรับความอบอุ่น ท่ามกลางความหนาวเย็นจากเครื่องปรับอากาศ วิริยะขยับหนุนต้นแขนใหญ่ให้ตัวเองหลับสนิทกว่าเก่า กลิ่นหอมกรุ่นจากร่างกายของเชษฐ์ไชยทำให้เพลินไปกับการนอน และแทนที่คนตื่นก่อนจะลุกหรือปลุก กลับใช้เวลาสนุกสนานกับการจูบเรือนผมวิริยะซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่มีวันอิ่มหนำ
เดี๋ยวนี้วิริยะไม่หวงตัว จะจับตรงไหนก็ให้จับไปหมด ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ไม่เคยเบื่อ
ทุก ๆ วัน เชษฐ์ไชยไม่มีเวลาเอื่อยเฉื่อยอย่างนี้นัก ต้องลุกตื่นออกไปทำงานตั้งแต่เช้ามืด หวนนึกถึงช่วงที่วิริยะเข้ามาอยู่ด้วยใหม่ ๆ แล้วรู้สึกมีความสุข ตอนนั้นเชษฐ์ไชยหลงเมียจนเสียการเสียงาน กลางคืนขยันทำการบ้าน ตอนเช้าก็ไม่อยากลุกเพราะเสียกำลังมาทั้งคืน วิริยะบังคับให้ออกไปทำงานช่วงแรก ชายหนุ่มก็ใช้ลูกแถว่าปวดนั่น เมื่อยนี่ ถึงได้อยู่ด้วยจนหนำใจ พักหลังหนึ่งอาทิตย์ที่อยู่นอนเฝ้าเมียทั้งวันทั้งคืน ดูเหมือนวิริยะจะรู้ทันลูกแถจนได้
จากนั้น เชษฐ์ไชยก็โดนลงโทษให้อด ๆ อยาก ๆ มาตลอดจนถึงตอนนี้
ไม่น่าจัดไปอย่างละโมบโลภมากเลย
“พี่เชษฐ์รักผมไหม” วิริยะอู้อี้ถามตั้งแต่ยังไม่ลืมตาตื่น
เห็นแล้วคนมองก็คลี่ยิ้ม “รักสิ รักที่สุด”
“ผมก็รักพี่” คนกล่าวขยับตัวกอดแล้วยกขาขึ้นมาก่ายบนตัวราวกับยังไม่ตื่นดี เห็นแล้วเชษฐ์ไชยก็มุ่นคิ้ว คงไม่ใช่ว่ากำลังละเมออยู่หรอกนะ ชายหนุ่มขยับตัวจะจับผ้าห่มคลุมตัวให้คลายความหนาวก็ชะงัก เมื่ออะไรแข็ง ๆ กำลังดุนดันขาเขาอยู่ ยังไม่กระจ่างใจดีจึงล้วงเข้าไปจับดูถึงได้รู้
“เฮ้ย! ห้ามฝัน ตื่นมาเดี๋ยวนี้เลยนะวิว” มือใหญ่เขย่าตัววิริยะให้ตื่น “ห้ามเสร็จ จะเสร็จก็เสร็จตอนมีอะไรกันจริง ๆ สิวะ”
“หือ...” วิริยะลืมตางง ๆ
“ไม่ต้องมาหือ ก็ว่าอยู่ ร้อยวันพันปีไม่เคยถาม” นอกจากตอนจะเสร็จ คิดแล้วชายหนุ่มมุ่นคิ้ว
ผู้เพิ่งตื่นนิ่วหน้า เกาหัวแกรกกับคนจอมหาเรื่อง “พี่บ้ารึเปล่าเนี่ย หึงตัวเองในฝันเหรอ”
“แล้วจะเอาไปฝันทำไม ตัวจริงก็นอนกอดอยู่ตรงนี้ พี่น้อยใจนะ” เชษฐ์ไชยทำหน้าละห้อย ที่ถูกแซวเมื่อวาน ใช่ว่าจะได้ทำสมอยากอย่างที่แม่ต้อยเห็น ถึงจะหวานให้ใครอิจฉาแต่ความจริงเชษฐ์ไชยรู้อยู่ว่าเป็นยังไง เพราะความโลภของตัวเองแท้ ๆ เชียว
ครั้นเห็นว่าเชษฐ์ไชยเคืองเพราะอะไร วิริยะก็คลี่ยิ้มแล้วลุกขึ้นนั่งส่ายหน้าให้
“เดี๋ยววันนี้ กลับจากเจอเพื่อนแล้ว...จะตามใจนะครับ”
แก้มของเชษฐ์ไชยชื้นด้วยจูบหลังวิริยะกล่าวจบ ชายหนุ่มติดไอ้นิสัยยิ้มเผล่นี้มาจากวิริยะ แต่เจ้าตัวไม่ทันได้เห็นเพราะเดินไปเข้าห้องน้ำแล้ว หลังประตูปิดลง นายใหญ่ของไร่ก็ร้องเยส กลิ้งไปมาอยู่บนเตียงราวกับเด็กร้องอยากได้ของ เมื่อจะได้ทำอะไร ‘ตามใจ’ สักที คิดขึ้นมากี่ทีก็รู้สึกกระชุ่มกระชวยใจเหลือเกิน
ดำขับรถเข้ามาที่ไร่ในช่วงเที่ยงของวัน กะจะบอกเชษฐ์ไชยว่าเมื่อคืนที่ไร่เกิดโกลาหลเพราะมีคนปวดท้องคลอดลูกกลางดึก เหนือได้ลูกชายและให้วิริยะไปรับขวัญหลาน ไปถึงบ้านพัก พบคนตัวใหญ่กำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้เหล็กตัวสีขาวหน้าบ้าน ไม่ได้ไปทำงานที่ไร่ เห็นแล้วดำก็รู้สึกแปลกใจ เดินตรงไปหาอีกฝ่ายทักทาย “นายเซษฐ์ ดำมีเรื่องสิบอก”
คนฟังเงยขึ้นมาสบตา แล้วยิ้ม “มีอะไร”
ดำนิ่งไปเมื่อได้สบตา แล้วลอบสำรวจเจ้านายอีกที
“คุณอัฐษ์...” เขารู้หรอกว่าเป็นใคร ถึงอีกฝ่ายจะใส่เสื้อผ้าของเชษฐ์ไชยอยู่ราวตั้งใจสวมรอยนายใหญ่ของไร่ แต่ผิวตัวและใบหน้าสะอ้านสะอาด และรอยยิ้มสุขุมตรงหน้านั้นยากที่เชษฐ์ไชยจะเลียนแบบได้ คราวที่แล้วอัฐษไชยหลอกเขาเสียอยู่หมัดเลย เล่นใหญ่อย่างกับเป็นเชษฐ์ไชยจริง ๆ ทั้งที่ดำเองก็ทำงานกับเชษฐ์ไชยมาตั้งหลายปี
ครั้นอีกฝ่ายถูกทักก็หัวเราะ ยกนิ้วชี้ชี้หน้าดำด้วยรอยยิ้ม “จำได้ขึ้นใจขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าแอบชอบฉันหรอกนะ”
“กะมักอยู่ครับ คุณอัฐษ์ใจดีหลายกั่วนายเซษฐ์” ดำทรุดนั่งอยู่ตรงกันข้าม
“แต่ทำไมรู้สึกว่าเธอชอบเชษฐ์มากกว่าฉันล่ะ” คนถามยกกาแฟขึ้นดื่ม
ดำอึกอักไม่รู้จะตอบอะไร ดูเหมือนจะถูกแกล้งเสียจนไปไม่เป็น หากทว่าชายหนุ่มนึกขึ้นได้ว่าตัวเองมีธุระต้องคุยกับเจ้านาย “นายเซษฐ์ไปไสครับ” เปลี่ยนเรื่องไปเสียดื้อ ๆ ซึ่งหลังได้ฟังแล้วอัฐษไชยจะเข้าใจว่าตอนนี้ดำรู้สึกอย่างไร ตอบกลับดำไปอย่างปกติ “ป้าต้อยบอกว่าพาวิวออกไปตั้งแต่เช้าโน่น เอาหลานไปด้วย สงสัยคงพาไปเยี่ยมครอบครัวละมั้ง”
ดำร้องอ้อ “อ้าว แล้วคุณอัฐษ์มาได้จั่งใด๋ครับ”
“คิดถึงคนที่นี่ไง” คนกล่าวระบายยิ้ม ทั้งที่ยังไม่ละสายตาไปไหน ดำรู้สึกแปลกเมื่อถูกมองด้วยสายตาเช่นนี้ ราวกับว่าคนที่นี่ ที่อัฐษไชยกำลังหมายถึงคือตัวเขาเองเสียอย่างนั้น ทั้งสองเงียบไปพักหนึ่ง มีเพียงเสียงลมและใบไม้ปลิวตามพื้นดังแกรก ๆ คั่นกลาง และหากต้องเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ มีหวังดำอกแตกตายแน่
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูง รีบบอกอีกฝ่ายว่า “ดำไปก่อนดีกั่ว ยังบ่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืน ไปก่อนเด้อครับ” กำลังจะหมุนตัวเดินไปอีกฝั่ง ชายหนุ่มชะงักเท้ากึกเมื่อเห็นตัวใหญ่ของชาติเดินกะเผลกมาทางนี้ นึกขึ้นมาว่าก็คงใช่ หากคนที่นี่ที่อัฐษไชยหมายถึงคือหัวหน้าใหญ่ของไร่อย่างชาติ ผู้เป็นเพื่อนเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก
ชาติเหลือบเห็นทั้งสองที่อยู่ด้วยกัน แล้วกระตุกยิ้มร้าย ทักทายคนอายุน้อยที่สุดว่า “ทำไมต้องเห็นมึงอยู่กับอัฐษ์ตลอดเลย ชักแปลก ๆ แล้วนะ”
“บังเอิญครับ” ดำบอก
“บังเอิญบ่อย ๆ ไม่ดีหรอก คราวหลังอย่าบังเอิญมาให้กูเห็น”
“ชาติ!” อัฐษไชยเอ็ดความปากไม่ดีขี้หาเรื่องของเพื่อน
“แล้วอ้ายซาติกะบังเอิญคือกันบ่ครับ” ดำย้อน ใครจะไปยอมให้ถูกเล่นฝ่ายเดียวกันเล่า
คนถูกถามหัวเราะหึ “ซะที่ไหน อัฐษ์มันบอกว่ามาถึงแล้ว ก็เลยจะเอากุญแจบ้านมาให้นี่ไง”
“เป็นหยังต้องเอามาให้ครับ” ดำถามสีหน้าไม่รู้
ชาติกระตุกยิ้มราวกับเหนือกว่า “ไม่รู้รึไง ทุกทีที่มันมาก็จะไปค้าง...ที่บ้านกู” คนตัวสูงใหญ่ตรงหน้าทำเป็นเว้นวรรคให้คิดเองเออเอง ว่าส่วนที่หายไปนั้นหมายความว่ายังไง
ดำทำหน้าขึงขัง “อ้ายชาติคงบ่ฮู้คือกัน ว่าวันนี้คุณอัฐษ์สิค้างอยู่บ้านดำ”
“ฮะ...” อัฐษไชยย้อนด้วยความงง ท่ามกลางสีหน้าแปลกใจของชาติที่ได้ฟัง
“ไปครับคุณอัฐษ์ ดำง่วงแล้ว ฝากโทรลานายเซษฐ์ให้ดำนำเด้อ อ้ายซาติ”
“ดะ เดี๋ยวก่อนดำ ไปเอากระเป๋าที่รถก่อน” ผู้ถูกจูงมือทำหน้างงร้องบอก ไม่อาจเอ่ยทักท้วงให้คนอายุน้อยกว่าเสียหน้าได้ ทั้งที่ความเป็นจริงชายหนุ่มตั้งใจจะไปค้างที่บ้านของชาติอย่างที่เพื่อนพูด จึงได้โทรเรียกให้ออกจากไร่มาหา คิดแล้วอัฐษไชยก็หันไปทางด้านหลัง เห็นชาติทำสายตาเคืองโกรธราวกับเสือที่จ้องจะตะครุบเหยื่อตามมา แต่ใครจะไปสนกันเล่า ในเมื่อดำออกตัวเสียขนาดนี้ อัฐษไชยก็ต้องคว้าโอกาสไว้ซีถึงจะถูก
ไปถึงบ้านพักซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับบ้านของชาติ ดำลงไปเปิดประตูรั้วครู่เดียวก็ขึ้นมาขับรถเข้าไปจอดด้านใน ทุกครั้งที่มาเยี่ยมเชษฐ์ไชย อัฐษไชยมีโอกาสแค่ได้มองจากภายนอกเท่านั้น เมื่อได้เข้ามาจึงได้รู้ว่าดูดีกว่าที่คิด สะอาดสะอ้านและจัดสวนสวยงามแปลกตา ขนาดของตัวบ้านไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่ดูรวม ๆ แล้วอบอุ่นน่าอยู่
ดูเหมือนคนแถวนี้ชอบบ้านไม้ สมัยนี้ไม้ราคาสูงเหลือเกิน คงต้องจ่ายเงินไม่น้อยเลยเหมือนกัน คิดแล้วอัฐษไชยก็เดินสำรวจภายในบ้านอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานดำก็ถือกระเป๋าของชายหนุ่มเดินตามเข้ามา เมื่อได้ยินฝีเท้าของเจ้าบ้าน ชายหนุ่มจึงหันไปส่งยิ้มให้อีกฝ่ายที่เดินตรงมาทิศนี้ สีหน้าเหมือนกำลังวิตกอะไร “คุณอัฐษ์คงสิงงว่าเป็นหยังดำคือเฮ็ดแบบนี้”
ชายหนุ่มยกยิ้ม “ใช่ งงนิดหน่อย”
“ดำกะงงคือกัน” คนกล่าวพูดตามตรงพลางยื่นของในมือมาให้ อัฐษไชยยิ้มพลางเอื้อมไปรับ มองคนตรงหน้ากล่าวขัดความเงียบในขณะสบตากันว่า “ซั่นไปห้องคุณอัฐษ์กันครับ”
“ทำห้องให้ฉันด้วยเหรอ” ชายหนุ่มแซว
คนฟังหน้าขึ้นสี
“บะ บ่แม่นแบบนั้นครับ” ดำแก้ตัวพลางส่ายหน้า “ดำหมายถึงห้องที่คุณอัฐษ์สินอนคืนนี้”
อัฐษไชยเบ้ปากเล็กน้อยเมื่อเห็นเด็กตรงหน้ารีบแก้ไขความเข้าใจผิดของเขา ทั้งที่ความเป็นจริงชายหนุ่มก็เข้าใจถูกตั้งแต่แรกแล้ว แต่ที่พูดแบบนั้นเพราะต้องการยียวน 'กวนใจ' เด็กคนนี้มากกว่า
“ขอมานอนบ่อย ๆ ได้ไหม” อัฐษไชยพูดทีเล่นทีจริงพลางยกยิ้ม คนเดินนำยังไม่ได้ตอบ พาไปหยุดอยู่ตรงหน้าห้องพักแล้วเปิดออก ให้อัฐษไชยเดินเข้าสู่ด้านใน ชายหนุ่มสำรวจด้วยสายตา เห็นว่าจัดแจงดูดีและสะอาดสะอ้านเหมือนห้องใหม่ น่าจะใช่...ชายหนุ่มคิดแล้วผุดรอยยิ้มขึ้นมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเป็นคนแรกที่ได้เข้ามาพัก ก่อนที่เจ้าของบ้านจะตามเข้าไป
เสียงปิดประตูสะท้อนก้องภายในใจของอัฐษไชยอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มหันไปมองคนด้านหลังที่ทำหน้าแปลกใจเมื่อถูกจับจ้อง แล้วยกยิ้มกับท่าทางเงอะงะของดำ รู้ตัวว่าอีกฝ่ายเริ่มทำตัวไม่ถูกเมื่ออยู่กันสองคนอีกครั้ง เห็นเช่นนั้นอัฐษไชยก็ทรุดนั่งลงบนเตียง แล้วนึกอะไรขึ้นมาได้
“เอ้อ รูปสาวที่ตั้งอยู่กลางบ้าน เมียเหรอ”
ดำเบิกตา “บ่แม่นครับ น้องสาวหล่า”
“แปลว่า” อัฐษไชยย้อน
“น้องคนเล็กครับ” ดำตอบภาษาไทยด้วยสีหน้าอาย ๆ
“ก็พูดได้นี่นา ทำไมไม่พูดไทยกลางล่ะ”
คนฟังยู่หน้า โคลงศีรษะ “บ่เอาครับ ดำเว้าแล้วตก คนฟังแล้วหัวเราะกัน ดำบ่มัก”
“ฉันไม่หัวเราะหรอก เวลาดำพูดไทยน่ารักจะตาย” อัฐษไชยเอื้อมไปดึงให้คนยืนตรงหน้ามาทรุดนั่งข้าง ดูเหมือนดำจะทำตัวไม่ถูกแต่ก็ยอม รู้สึกเหมือนยักษ์สองตัวนั่งเรียงกันอยู่ แถมติดกันจนรู้สึกถึงผิวกายร้อนผ่าวของอัฐษไชยอีกต่างหาก เห็นดังนั้นดำจึงกระเถิบออกเพื่อเว้นระยะห่างสักเล็กน้อย หากทว่าเมื่ออัฐษไชยรู้ตัวก็คลี่ยิ้มอยากแกล้ง ขยับเข้ามาเบียดอีกรอบหนึ่ง แล้วดำก็กระเถิบหนีอีกที เป็นเช่นนั้นจนสิ้นสุดที่บริเวณขอบเตียง
“คุณอัฐษ์ ดำบ่มีม่องนั่งแล้ว” ชายหนุ่มหันไปบอกพลางเกาศีรษะแกรก ทำหน้าไม่ถูก
คนฟังยักไหล่ หันมาพูดว่า “มานั่งบนตักฉันก็ได้”
ดำถอนใจกับนิสัยเจ้านาย “อย่าท้าดำ คั่นดำเฮ็ดอีหลีอย่ามาเคียดกันเด้”
“ว่าไงนะ” คนฟังย้อน ไม่รู้ว่าอัฐษไชยแสร้งไม่เข้าใจ หรือกำลังเป็นอย่างที่ตอบกลับมาจริง ๆ แต่แววตาและสีหน้านั้นยียวนจนดำรู้สึกรำคาญ ชายหนุ่มขยับไปนั่งบนตักเจ้านายให้รู้แล้วรู้รอดไป ซึ่งเมื่อเห็นเด็กอายุน้อยกว่าตอบสนองกลับมาเช่นนี้แล้วอัฐษไชยก็อึ้งไป “เห็นบ่ บอกแล้วว่าสิเคียด”
“แปลหน่อยสิดำ” อัฐษไชยเงยขึ้นมองชายหนุ่ม มือวางอยู่บนตักของดำอย่างถือวิสาสะ
คนด้านบนถอนใจ ทำท่าจะลุกแต่ลุกไม่ขึ้น อัฐษไชยไม่ยอม
“คุณอัฐษ์ ดำล้อเล่น” ชายหนุ่มบอก
“เวลาคุยกับฉัน พูดภาษากลาง”
“บ่...” ดำตอบ เริ่มรู้สึกรำคาญมือที่เริ่มไต่บนตัว
“ตอนที่เข้าใจว่าฉันเป็นเชษฐ์ทำไมดูน่ารักว่านี้นะ” อัฐษไชยทำเสียงน้อยใจ ซึ่งดำก็รู้ว่าอีกฝ่ายแค่แสร้งเท่านั้น
“กะดำย่านนายเซษฐ์ แต่คุณอัฐษ์บ่น่าย่าน ใจดีกั่ว” ที่สำคัญความรู้สึกระหว่างเชษฐ์ไชยกับอัฐษไชย ตอนอยู่ด้วยกันแล้วมันแตกต่าง วางตัวคนละแบบอย่างสิ้นเชิง อยู่กับเชษฐ์ไชยถึงจะห่างเหินแต่รู้สึกสบายใจกว่า แต่กับอัฐษไชย แม้สายตาที่อีกฝ่ายใช้มองจะมีความใจดีและเอ็นดูประสมอยู่ แต่มันดูร้ายกาจอย่างไรพิกล
ดำไม่เข้าใจตัวเอง
“พอเห็นว่าเป็นฉัน เลยอยากดื้อยังไงก็ได้งั้นเหรอ หืม...” เสียงของคนกล่าวล้อเลียน
ดำปัดมือซุกซนออกจากหน้าขา “รอให้คุณอัฐษ์เป็นคนจ่ายค่าแฮงดำก่อน จั่งสิเซื่อ”
อัฐษไชยคลี่ยิ้มหลังได้ฟัง “งั้น...ขอจ้างให้มาเป็นคนรู้ใจหน่อยสิ”
อดจะใช้คำพูดน้ำเน่าพวกนี้ไม่ได้เลยสิพับผ่า
ได้ฟังแล้วดำหน้าชาไปพักหนึ่ง รู้สึกเหมือนตัวเองหูฝาดเฝื่อนฟังผิดเพี้ยนไป อัฐษไชยคิดอะไรอยู่ถึงได้ใช้คำพูดกับเขาเช่นนี้ ชายหนุ่มกระเด้งตัวลุกขึ้นยืน หันกลับไปเห็นเจ้าของตักที่กำลังใช้มือค้ำพื้นเตียงข้างหลัง เงยมองเขาอยู่เช่นกัน หากทว่าสายตาแลดูพราวระยับราวกับว่าคิดอะไรอยู่ ซึ่งดูลึกลับ และแปลกจากสายตาของอัฐษไชยที่เคยเห็นมาก่อน
“ดูทำหน้าเข้า ตลกจัง” อัฐษไชยระบายยิ้มใจดี ดูเหมือนกำลังอยากแกล้งดำอยู่ พลอยให้ชายหนุ่มอดที่จะยิ้มตามอย่างโล่งอกไม่ได้ที่มันไม่เป็นความจริง “แต่ฉันเอาจริงนะ”
รอยยิ้มดำผลุบหายไป ความวางใจทั้งหมดพังครืนลงกับคำเดียว อยากจะบ้า!
“บ่เว้ากับคุณอัฐษ์แล้ว มักแกล้งดำ” เจ้าของบ้านทำหน้าขึงขังเดินหนีออกไปจากห้อง พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเจ้านายที่มองตามจนร่างของดำหายไปจากสายตา แกล้งงั้นหรือ อัฐษไชยยกมือสางผมตัวเองเพราะความรุมร้อนบนใบหน้าแปลก ๆ ตัวเขารู้สึกอายที่หน้าด้านพุ่งชนไปตรง ๆ แทบตาย แต่ไอ้เด็กซื่อบื้อเจ้าของบ้านยังคิดว่าเขาแกล้งอยู่อีก
ก็อุตส่าห์รู้สึกมีความหวังขึ้นมานิด ๆ แล้วแท้ ๆ ที่เจ้าตัวทำท่าหวงกับชาติ
สงสัยต้องให้ถึงเนื้อถึงตัว จับเอามาเป็นของเขาทางพฤตินัยก่อนกระมัง คนโง่ข้างนอกถึงจะเข้าใจว่าที่อัฐษไชยเป็นอยู่ตอนนี้ โคตรจะเอาจริงเลย คิดแล้ว รอยยิ้มสุขุมก็ผุดขึ้นมาเมื่อมองลงบนตักของตัวเอง ความอุ่นของร่างกายอีกฝ่ายยังไม่จางหายไปไหนเลย
หนำซ้ำ ป่านนี้ชาติคงนั่งแช่งเขาให้โดนดำกระทืบตายอยู่กระมัง
--๓๕--