**{31.8.61-ตอนพิเศษนอกเล่ม๒ คู่รอง} Cinderella man and the beast
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: **{31.8.61-ตอนพิเศษนอกเล่ม๒ คู่รอง} Cinderella man and the beast  (อ่าน 37558 ครั้ง)

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
ดีจังเข้าใจกันแลัว ^^

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
โอ้ยยยยย อาเชษฐ์ นี่คือพอไม่ต้องปิดบังแล้วก็ต้องเปิดเผยเบอร์นี้เลยหรือ? ถ้ามีคนมาเห็นน้องต้องงอนอีกยาวแน่ๆ หมั่นไส้อ่ะ!!!

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa

(ต่อ)

เชษฐ์ไชยพาวิริยะอ้อมเดินจากหลังบ้านไปยังหอพักเลย เพราะขี้เกียจตอบคำถามของทั้งแม่ต้อยและรตรีว่าไปทำอะไรกันมา เมื่อไปถึงหน้าห้อง เห็นเด็กหนุ่มก้มหน้าก้มตาควานหากุญแจในกระเป๋า บนแก้มยังคงไม่หายแดงแม้ว่าบนตัวจะเปียกไปด้วยน้ำทั้งคู่ ชายหนุ่มไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายกำลังร้อน เพราะเจ้าตัวไม่กล้าแม้กระทั่งสบตาเขาด้วยซ้ำ

สงสัยยังอาย เห็นแล้วคนตัวโตกว่าก็เพียงยิ้ม ยกมือสางผมเปียกยุ่ง ๆ ของเด็กหนุ่มให้

ผู้ถูกกระทำเงยมามองแวบหนึ่ง แล้วหลุบมองมือของตัวเองที่กำลังตั้งใจไขกุญแจ

“ไม่รู้เลยนะว่าจะขี้อายได้ขนาดนี้” ชายหนุ่มพูด

คนฟังย่นคิ้ว

“ใครจะไปหน้าด้านหน้าทนอย่างอาเชษฐ์ล่ะ ไม่รู้จักอาย เกิดใครมาเห็นเข้าจะทำยังไง”

“ก็...ขอโทษ บอกแล้วไงว่าจะไม่ทำอีก สัญญาเลย” ว่าพลางจะฉวยโอกาสจับมือ หากทว่าเด็กหนุ่มรู้ทัน รีบสะบัดออกแล้วหันมาโวยวาย “ไม่ต้องมาเนียนเลย แล้วอย่างนี้ใครมันจะไปเชื่อวะ นี่ขนาดกำลังพูดอยู่แท้ ๆ ยังจะตีหน้ามึนไม่รู้ร้อนรู้หนาวอีก”

“ย้ายไปอยู่ด้วยกันที่บ้านสิ”

เมื่อได้ยินเชษฐ์ไชยเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาเสียดื้อ ๆ วิริยะถอนหายใจเหนื่อย “อาเชษฐ์...”

“ทำไม รึว่าไม่อยากอยู่กับพี่”

“อย่าแทนตัวเองว่าพี่สิ เดี๋ยวคนอื่นมาได้ยินเข้า”

“ไม่ต้องมาเฉไฉเลยนะ” เชษฐ์ไชยยังคงไม่ยอม ขยับเข้าหาเด็กหนุ่มที่ยังคงรู้สึกไม่สบายใจ “ก็คุยกันเข้าใจตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนี่ เราใจตรงกันไม่ใช่เหรอวิว ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องยากด้วยล่ะ”

“ก็เพราะอาเชษฐ์ใจร้อนเกินไปไง ทุกอย่างไม่ต้องให้มันง่ายไปซะหมดก็ได้นี่นา”

“ก็เพราะรู้ไง ต่อจากนี้มันจะไม่มีอะไรง่ายอีกต่อไปแล้ววิว เธอมาอยู่ข้างพี่ แล้วเป็นกำลังใจให้พี่ผจญเรื่องยากข้างหน้าเสียตอนนี้ไม่ได้เหรอ บอกมาซิ...อะไรทำให้เธอกังวลใจ พี่จะแก้ไขให้” ได้ฟังน้ำเสียงทุ้มนุ่มของเชษฐ์ไชยแล้ว เด็กหนุ่มทำได้เพียงสบตา ปล่อยให้มือหนาของอีกฝ่ายเคลื่อนมากุมจับประสานในความเงียบ สื่อความหมายของประโยคที่ผ่านมา

พูดไม่ออกเลย

“ที่พูดมาเวิ่นเว้อทั้งหมดเนี่ย คือพี่อยากจะครอบครองเธอ ป่าวประกาศว่าเธอเป็นของของพี่ให้ใครต่อใครรู้ เรื่องเมื่อคืนพี่ไม่ได้พูดเล่น ๆ นะวิว เธอคือคนของไร่รุ่งอรุณีไปแล้ว แล้วใครต่อใครก็ต้องได้รู้ในเร็ววันนี้ว่าวิวเป็นอะไรกับพี่”

ไม่ได้! วิริยะส่ายหน้าระรัวแต่ก็พูดไม่ออก เขาจะให้เชษฐ์ไชยทำอย่างนั้นไม่ได้ เท่ากับว่าตั้งระเบิดเวลาทำลายตัวเองเพื่อเขา แต่เมื่อเห็นความตั้งใจของอีกฝ่ายแล้ว วิริยะก็ไม่อาจหาญพอที่จะเอ่ยปฏิเสธไปในทันที

ในขณะที่ทั้งสองเถียงกันด้วยสายตา ก้อนน้ำภายในลูกโป่งสีสันสดใสหลายลูกก็ถูกปามาทิศนี้ โดนตัวใหญ่ของเชษฐ์ไชยแล้วแตกกระจายจนวิริยะสะดุ้งโหยงตกใจ

“อะไรอีกวะเนี่ย!” เชษฐ์ไชยบ่น ทั้งสองหันไปตามที่มาของมัน เป็นกลุ่มชายหนุ่มทั้งเจ็ดที่ยืนอยู่หลังรถกระบะของไร่ กำลังถอดเสื้อ สวมใส่เพียงกางเกงขาสั้น บ้างก็ถือปืนฉีดน้ำอันใหญ่ บ้างก็ถือขันพลาสติกยืนยิ้มเเฉ่งให้อยู่

เจ็ดหนุ่มบอยแบนด์

“แอบไปเล่นน้ำไม่ชวนพวกเราเหรอครับนายเชษฐ์!” ไทตะโกน

วิริยะหน้าเริ่มแดง มองเชษฐ์ไชยสลับกับพวกพี่ ๆ เพราะรู้สึกว่ามีบางอย่างค้างคาอยู่ในใจ หากทว่าดำกระโดดลงจากรถ สภาพแขนเดียวอย่างนี้ยังไม่สน แถมเอาอะไรไม่รู้พันแขนไว้ราวกับเป็นมัมมี่ วิ่งมาหาพวกเขาด้วยใบหน้าอย่างเดิม ไม่ได้มีทีท่าแปลกไปจากเมื่อก่อน “นายเซษฐ์ วิว ไปเล่นน้ำที่เขื่อนกันครับ มื้อนี้คนเล่นหลาย ไปเถอะ ไหน ๆ กะเปียกกันมาแล้ว”

“ไม่ไป” เชษฐ์ไชยหน้าบึ้ง อารมณ์เสียที่คุยกันยังไม่จบ

“ผมไป รอแป๊บนะ ไปเอาหมวกกับเสื้อแขนยาวก่อน” พูดจบ วิริยะก็รีบหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องพัก ไม่ถงไม่ถามสุขภาพของคนพี่สักคำ ปล่อยให้เชษฐ์ไชยอึ้ง อดจะหันไปมองหน้าของดำที่กำลังกลั้นขำไม่ได้ มันคงรู้ว่าเขาอยากจะเปลี่ยนใจตามวิริยะไปแน่

“ไปบ่ครับ เปลี่ยนใจยังทันเด้” ดำล้อ

“เออ!” เชษฐ์ไชยมุ่นคิ้ว ผละไปมองไอ้พวกลิงที่กำลังสนุกสนานแกล้งกันบนรถแล้วทอดถอนใจ “แล้วยกโขยงไปกันเนี่ย ขออนุญาตกูกันรึยัง รถกูก็พาขโมยกันมาเสร็จสรรพ ไอ้พวกโจรห้าร้อย”

ดำยิ้มเผล่ “พวกมันว่าบ่ต้องขอ จั่งใด๋นายเซษฐ์กะให้ไปอยู่แล้ว”

“หน็อย ไอ้พวกเวร ได้คืบแล้วจะเอาศอก” เชษฐ์ไชยบ่น

“แต่นายเชษฐ์บ่ต้องห่วงเรื่องพวกเฮาสิเอาเรื่องของนายเซษฐ์ไปเว้าเด้อ พวกดำอยู่ข้างนายเซษฐ์ ฮู้ว่านายเซษฐ์สิบ่เก็บไว้เป็นความลับแน่นอน” หนุ่มอีสานบอกด้วยความยินดีที่จะเล่า เมื่อพวกเขาเจอกันอีกครั้งตอนเช้า หลังได้นอนขบคิดไตร่ตรอง ทั้งหมดก็ได้ปรึกษาหารือกันแล้วว่าเชษฐ์ไชยไม่ผิดที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ พวกเขาเต็มใจที่จะสนับสนุนให้เชษฐ์ไชยมีความรัก แม้ว่าใครจะไม่เห็นด้วยก็ตาม

“ขอบใจ...” มือหนาของเจ้านายตบเปาะบนบ่าของดำ แล้วเดินออกไปรอที่รถโดยไม่พูดอะไรต่อให้มากความ ปล่อยให้ลูกน้องที่อายุน้อยกว่าอยู่มุมนี้ยิ้มด้วยความดีใจ แม้จะไม่เอ่ยอะไรมาก แต่ดำรู้ว่าเชษฐ์ไชยรู้สึกดีที่ตัวเองไม่ได้เดียวดายอย่างที่คิด

“คั่นพ่อแม่วิวเอาเรื่องมื้อใด๋ เดี๋ยวดำสิเอาโอเลี้ยงไปฝากที่คุกเด้อ!”

คนฟังหันมาชูนิ้วกลางให้ พร้อมกับดำที่หัวเราะคิกหลังจากแซวเสร็จ เชษฐ์ไชยยังคงเป็นเชษฐ์ไชย แม้จะมีความรัก แม้จะแพ้ให้กับเด็กอายุแค่สิบเจ็ดหน้าตาน่าเอ็นดู ก็ยังคงดิบเถื่อนเหมือนเดิม เป็นเจ้านายคนเดิม แค่แสดงออกต่อเขาเท่านี้มันก็ดูเลี่ยนเกินไปแล้ว สำหรับผู้ชายด้วยกัน

เมื่อวิริยะเสร็จธุระแล้วก็ตามมาขึ้นรถ เจ้าตัวหน้างอเล็กน้อยเมื่อเชษฐ์ไชยบังคับให้มานั่งข้างหน้าด้วยกัน คงอยากจะไปสนุกอยู่กับพวกพี่ด้านหลังมากกว่า นายใหญ่ของไร่ลงจอดที่หน้าบ้านตัวเองเพื่อหยิบของใช้ส่วนตัว และอะไรจิปาถะด้วยเช่นกัน เพราะเห็นว่าวิริยะไม่รอบคอบนักก็เลยหยิบผ้าขนหนู และเสื้อผ้ามาเผื่อ เผื่อว่าอีกฝ่ายจะเล่นน้ำจนหนาวแล้วอยากเปลี่ยนผ้าขึ้นมา

เดินกลับมาที่รถ เห็นวิริยะไปอยู่ข้างหลังรวมกับพวกลิงรุ่นพี่เรียบร้อยแล้ว เชษฐ์ไชยถอนหายใจ สรุปชวนให้เขาไปเป็นคนขับรถให้พวกมันหรอกหรือ นี่ถ้าวิริยะไม่อยู่ด้วย เขาจะแกล้งขับเร็ว ๆ แล้วเทกระจาดพวกมันให้สมกับความหมั่นไส้ แต่ความเป็นจริงน่ะหรือ เสียงบ่นด้านหลังได้ยินแว่ว ๆ ว่าขับรถหรือขับเต่า ช้าเหลือเกิน เมื่อไรจะไปถึงที่หมายกัน

ผิดด้วยหรือไงที่เขาเป็นห่วงเมีย กลัววิริยะเป็นอันตราย

ตลอดทางเชษฐ์ไชยเหลือบมองวิริยะตลอด ครั้นเห็นเด็กหนุ่มสนุกสนานยามอยู่ร่วมกับเจ็ดหนุ่มบอยแบนด์แล้วก็พลอยทำให้คนในรถยิ้มตามไปด้วย สองข้างทางมีเด็กและกลุ่มคนตั้งถังน้ำรออยู่หน้าบ้าน ชายหนุ่มชะลอให้ได้เล่นน้ำกัน แต่เมื่อไรถึงบริเวณที่มีกลุ่มวัยรุ่น ไม่ว่าจะชายหรือหญิง เชษฐ์ไชยเหยียบขับผ่านฉิวโดยไม่สนว่าคนด้านหลังรถจะโวยวายกันขนาดไหน เป็นคนขับมันก็ดีอย่างนี้

มาถึงอ่างเก็บน้ำสมใจอยากของเจ็ดหนุ่ม วิริยะอ้าปากหวอกับบรรยากาศเบื้องหน้าที่มีเขาลูกใหญ่ บริเวณสันเขื่อนที่ใช้เป็นตำแหน่งกักเก็บน้ำเป็นถนนลาดยางผ่านยาวเป็นกิโลเมตร น้ำในเขื่อนไม่ได้แห้ง มีคนกำลังเล่นกันอยู่ ด้านบนสันมีรถจอดกันอยู่หลายคัน บริเวณถนนนั้นเริ่มมีผู้คนเดินเล่นน้ำกันบ้างแล้ว เชษฐ์ไชยพาทุกคนขับขึ้นสันเขื่อนไปจอดที่ริมถนนแถวนั้นบ้าง จะได้ปล่อยพวกลิง ๆ ลงไปเล่นน้ำกัน

ขอบถนนจะมีเสาขาวดำขนาดเอวตั้งเรียงกันไปจนสุด ข้างล่างจะเป็นทางเบี่ยง ต่ำกว่าสันเขื่อนราวสิบห้าเมตรได้ สำหรับคนที่ต้องการไปยังอีกฝั่งของเขื่อน เพราะด้านบนมีกิจกรรมสำหรับเล่นน้ำกัน จะเดินทางผ่านคงไม่สะดวกเท่าด้านล่าง ด้านฝั่งที่มีน้ำ จะเป็นหินก้อนใหญ่เรียงกันสวยงามไปจนสุดทาง เป็นที่สำหรับคนแวะมาตกปลา และให้ใครนั่งพักผ่อนหย่อนใจ

ดูเหมือนเจ็ดหนุ่มจะฮอตเป็นพิเศษ เมื่อรถจอดก็มีสาว ๆ มารุมขอปะแป้งกันยกใหญ่ เป็นใครก็คงชอบ ขนาดวิริยะเองยังรู้สึกเลยว่าพวกพี่ ๆ ของเขาดูหล่อเหลาเป็นพิเศษเมื่อถอดเสื้อ ไม่แปลกเมื่อใครเห็นแล้วพากันกรี๊ด พลอยให้นึกถึงพี่สาวทั้งสามที่กลับบ้านเกิดกัน

ทั้งหมดไม่ได้ไปไหน นอกจากวิ่งเล่นแถว ๆ รถจอด ยิ่งนานไปคนยิ่งเยอะมากขึ้นจนถนนแน่นขนัดไปด้วยผู้คนผู้ปอนเปียกไปด้วยน้ำ ไม่ต่างจากตรอกใดตรอกหนึ่งในเมืองใหญ่นัก เห็นแล้ววิริยะรู้สึกตื่นตาตื่นใจ

“ขอปะแป้งหน่อยได้ไหมครับ” หนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า ยิ้มแป้นแล้นให้วิริยะ

“ได้ครับพี่”

วิริยะเตรียมแป้งในมือจะทาให้อีกฝ่ายคืนบ้าง หากทว่าผู้มาขอปะแป้งที่ยิ้มอยู่นั้น หน้าเจื่อนลง เมื่อเหลือบไปเจอะอะไรอยู่ด้านหลัง เด็กหนุ่มมองตามสายตานั้น เห็นคนตัวยักษ์ยืนพิงรถยนต์หน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับต้องการกินเลือดกินเนื้อ แถมสวมแว่นดำอย่างกับพวกมาเฟียจ้องพวกเขาเขม็งคล้ายว่าทำอะไรผิดไป “พะ พี่ว่าพี่ไปดีกว่า”

“เอ้า...” วิริยะเกาหัว หน้ายุ่ง เดินไปหาเชษฐ์ไชยที่ยังคงไม่เลิกวางท่าเป็นคนดุ “อาเชษฐ์ ยิ้มหน่อยสิ”

เชษฐ์ไชยส่ายหน้า “เกี่ยวอะไรละ จะเล่นน้ำก็เล่นไปสิ”

“ก็อาเชษฐ์ทำหน้าดุ คนเขากลัวกันหมดแล้ว” วิริยะอธิบาย เมื่อเห็นพ่อคนหน้าโหดยักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้ เด็กหนุ่มก็ดึงให้มาหยุดยืนข้าง แล้วยื่นปืนฉีดน้ำให้ “เอ้า มาเล่นด้วยกันนี่แหละ”

“อะไร ไม่เล่น พี่ไม่ใช่เด็กแล้วนะ” เชษฐ์ไชยส่ายหน้า

“งั้นก็ทำหน้าดี ๆ สิ”

“ก็มันดีได้แค่นี้นี่ จะเอาอะไรอีก” เชษฐ์ไชยยังคงเถียง เห็นแล้ววิริยะก็เพียงแค่มุ่นคิ้วเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมตามใจ หน้าจ๋อยลงไปพักหนึ่งเท่านั้นก็ผุดยิ้มกวน วิ่งไปขอขันดินสอพองของพี่ ๆ มา แล้วทำท่าจะป้ายหน้าให้ เชษฐ์ไชยรู้ทันรีบเบี่ยงหน้าหลบ ไม่ยอมให้วิริยะทำตามใจ แต่พอเห็นเด็กหนุ่มหน้างออีกรอบ ก็จำต้องยอมหยุดยืนนิ่ง ๆ ปล่อยให้เจ้าตัวละเลงหน้าจนกว่าจะพอใจ

ให้ตายซี สงสัยได้เข้าอีหรอบเดิมแน่ รักใครก็หลงตามใจตลอด

“เสร็จแล้ว” เสียงของวิริยะสดใสขึ้น “คราวนี้คนจะได้ไม่กลัว”

เชษฐ์ไชยเข้าใจผิดไปว่าอีกฝ่ายจะละเลงหน้า แต่ไม่เลย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวิริยะทำอะไรลงไปบ้าง กระทั่งไอ้พวกลิงทั้งเจ็ดหันมาเห็น พากันสะกิดดูแล้วหัวเราะกันก๊ากใหญ่ เขาถึงรำลึกได้ว่ามันคงน่าอายมากแน่ ไม่น่าไปยอมตามใจไอ้เด็กตรงหน้าเลย คิดแล้วชายหนุ่มก็หมุนตัวกลับมาส่องที่กระจกรถ ชะงักกึกไปพักหนึ่งเมื่อเห็นสภาพตัวเอง

วิระยะวาดตายิ้มเป็นสระอิใส่บนแว่นตาดำทั้งสองข้างให้ เพื่อภาพลักษณ์ที่ดูเป็นมิตรขึ้น แถมหนวดสามเส้นเป็นแมวเหมียวให้ด้วยทั้งสองข้าง กับจุกกลมที่ปลายจมูกอีกหนึ่งที่ เปลี่ยนจากเสือตัวใหญ่กลายเป็นโหมดมุ้งมิ้งได้ฉับพลันจนไอ้ลิงทั้งเจ็ดนอนกลิ้งขำกันยกใหญ่ เชษฐ์ไชยส่ายหน้า จะลบก็เห็นวิริยะยืนกอดอกมองอยู่ แม้ไม่ได้พูด ชายหนุ่มก็รู้ว่าเขาไม่ควรลบมันออก

เออ ให้พวกมันขำกันได้ตามสบายใจ เขาไม่สนแล้ว

เล่นน้ำกันพักใหญ่ เชษฐ์ไชยเห็นท่าทางของวิริยะแปลกไป กระทั่งตัวผอมโปร่งเริ่มซวนเซจะล้ม ดีหน่อยที่ชายหนุ่มรีบไปรับตัวได้ทัน ถึงแม้วิริยะจะบอกว่าไม่เป็นไรแล้วยิ้มให้ แต่รอยยิ้มก็แห้งเหือดเหลือเกิน ดูไม่มีแรงเอาเสียเลย

“นายเชษฐ์ พาวิวไปนั่งหลบแดดอยู่ฝั่งโน้นกันเถอะครับ หลังรถแดดไปไม่ถึง” หมอกบอกพลางช่วยพยุงตัววิริยะ พาเดินอ้อมรถมาทรุดตัวนั่งที่ขอบถนน มองลงไปเป็นเนินหินที่เรียงตัวกัน และผืนน้ำของเขื่อนที่กว้างขวางไปจนถึงตีนเขา ลมเย็นก็พัดเข้ามาช่วยให้หายใจได้สะดวกมากขึ้น

หมอกเห็นเสื่อในรถก็เอื้อมไปหยิบมาปูให้

“อย่าบอกพี่นะว่าวิวไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า นี่จะเย็นแล้วนะ”

ได้ฟังเชษฐ์ไชยที่พยุงให้นั่งก็หันขวับมองหน้าซีด ๆ ของเด็กหนุ่ม “จริงเหรอวิว ยังไม่ได้กินอะไรเลยเหรอ”

“ครับ ยังไม่ได้กิน” วิริยะยอมรับ

“ทำไมไม่บอกกันเล่า!”

“ก็ไม่เห็นต้องดุขนาดนี้เลยนี่” วิริยะบุ้ยปาก

เชษฐ์ไชยส่ายหน้าระอา “งั้นรออยู่นี่ เดี๋ยวไปซื้ออะไรมาให้กิน”

“พวกมึง เอาอะไรกันไหม นายเชษฐ์จะออกไปซื้อของ!”

“ไอ้หมอก กูไม่ใช่เบ๊พวกมึงนะเว้ย!” เชษฐ์ไชยเสียงดัง

“เอาน่า ทางผ่านไม่ใช่เหรอครับ นายเชษฐ์จะสองมาตรฐานซื้อให้วิวคนเดียวได้ไง เดี๋ยวผมอยู่ดูวิวมันให้” หมอกทำเสียงอ้อน

วิริยะหัวเราะเมื่อเห็นคนตัวโตทำหน้าไม่ค่อยชอบใจ แต่ก็ไม่เถียง เสียงของพี่ ๆ ตะโกนบอกว่าอยากได้อะไรระนาวแทบฟังไม่ได้ศัพท์ เชษฐ์ไชยก็ไม่สนว่าใครต้องการสิ่งไหน ก้มหยิบกระเป๋าสตางค์ในรถแล้วเดินหน้ายักษ์แหวกผู้คนไปอีกฝั่ง ไกลจากบริเวณนี้ราวห้าร้อยเมตร เพราะรู้ว่าตรงนั้นมีร้านค้าและร้านสะดวกซื้อตั้งอยู่

หมอกคลี่ยิ้ม ทรุดตัวลงนั่งข้างเด็กหนุ่มมองทอดออกไปยังวิวสวย ๆ เบื้องหน้า “แล้วได้คุยอะไรกับนายเชษฐ์บ้างไหม”

วิริยะที่นั่งกอดตัวเองบนเสื่อผละมามองพี่ชายข้างกาย “เรื่องอะไร”

“ก็เรื่องทั้งคู่นั่นแหละ ที่นายเชษฐ์ออกตัวแรงขนาดนี้คงไม่สนอะไรแล้วจริง ๆ”

“ผมไม่อยากให้อาเชษฐ์ทำแบบนี้ อาเชษฐ์ไม่ควรทำลายชื่อเสียงตัวเอง” เด็กหนุ่มก้มลงมองพื้น

“อย่าพูดแบบนี้ให้นายเชษฐ์ได้ยินเด็ดขาดเลยรู้ไหม ไม่ได้ชอบนายเชษฐ์รึไง”

“ก็...ก็ชอบ” วิริยะพูดเสียงเบา รู้สึกกระดากอายที่จะกล่าวให้ใครฟัง “อาเชษฐ์ก็มีมุมน่ารักอยู่เยอะเหมือนกัน แต่ แค่ชอบ กับความน่าจะเป็นไปได้มันไม่ค่อยเข้ากันเลย ก็เลยคิดว่าควรหยุดซะตั้งแต่ตอนนี้ไหม หยุดตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มมันคงดีกว่า”

“เอาอะไรมาคิดว่ามันดีกว่า” หมอกทำเสียงดุ ทำให้เด็กหนุ่มหน้าหงอยลงเหลือสองนิ้ว “จากผู้ชายที่เคยแต่งงานมีลูกมีเมีย แถมมีชื่อเสียง วิวคิดว่ามันง่ายนักเหรอที่จะยอมรับตัวเองได้อย่างตรงไปตรงมาแบบนี้ ไม่คิดบ้างเหรอ ว่าคนอย่างนายเชษฐ์ยอมสละทุกอย่างให้ขนาดนี้เพราะอะไร เพราะนายเชษฐ์เลือกวิวไง ถ้านายเชษฐ์มาได้ยินพูดแบบนี้คงเสียศูนย์แน่” หมอกส่ายหน้า

“ผม...” ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไรดี “ผมควรเชื่อในตัวอาเชษฐ์มากกว่านี้ใช่ไหม”

คนฟังยกยิ้ม “พวกพี่เชื่อกันเต็มร้อยเลย”

ถึงจะพูดกันอย่างนั้น ไม่เป็นวิริยะก็ไม่มีใครเข้าใจ

“ครับ”

การรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะทำลายทั้งชีวิตของคนอื่น มันไม่ได้ทำให้จิตใจของเขารู้สึกสงบลงได้เลย ในเมื่อรู้อยู่แก่ใจ จะให้มองผ่านแล้วเมินเฉยไป นั่นไม่ใช่นิสัยของวิริยะเลยสิพับผ่า คิดแล้วเด็กหนุ่มก็มองทอดออกไปยังเบื้องหน้า ดวงอาทิตย์ลูกกลมโตสีแดงฉานกำลังจะตกลงจากฟากฟ้า เผาไหม้ความรู้สึกภายในใจของเด็กหนุ่มจนร้อนรุมไปหมด

โดยเฉพาะชีวิตของคนคนนั้น คือคนที่สำคัญต่อเขา

ทั้งสองเงียบไปพักใหญ่ ไม่ทันได้พูดอะไรกันต่อ เชษฐ์ไชยก็หอบหิ้วถุงขนาดเบิ้มกลับมาสองใบ สภาพสะบักสะบอมไม่เหลือเค้านายใหญ่ของไร่รุ่งอรุณีให้เห็นสักนิด ตัวขาวโพลนไปด้วยแป้ง ผมเผ้ารุงรัง บนใบหน้าไม่มีที่ว่างให้เห็นผิวจริงได้เลย คงเป็นเพราะภาพลักษณ์อันเป็นมิตรที่เด็กหนุ่มแกล้งเชษฐ์ไชยไว้ เลยมีคนกล้าเข้ามาขอปะแป้งมากขึ้นกระมัง เห็นแล้ววิริยะยิ้มหน้าบานปนขำ ไม่สนว่าเชษฐ์ไชยจะอารมณ์ไม่ดี

“โอ้โห นายเชษฐ์ซื้อของมาได้เป๊ะทุกอย่างเลย!” หมอกร้อง

“ไหน ๆ เออ! จริงด้วย แถมมีแต่ของที่ผมชอบติดมาด้วย” ไทวิ่งมาดูของในถุง

“น่ารักอะ!”

“น่ารักพ่อมึงสิ เอาไปแบ่งกัน” เชษฐ์ไชยยื่นถุงใบหนึ่งให้พวกมัน ท่ามกลางรอยยิ้มของเพื่อนคนอื่น แล้วเสร็จคนตัวใหญ่ก็เดินอ้อมมาด้านหลังหาเด็กหนุ่มอีกที วางถุงไว้ให้แล้วก็เปิดประตูรถกั้นทางเดินไม่ให้ไอ้พวกลิงวิ่งมาก่อกวน เมื่อเห็นแล้ววิริยะก็ค้นของในถุง ทำเป็นเบิกตาตื่นเต้น เลียนแบบพวกพี่ ๆ

“โอ้โห้ มีแซนด์วิชทูน่าของโปรดผมด้วย อาเชษฐ์นี่รู้ใจผมจริง ๆ เลย”

คนฟังยังคงทำเป็นเก๊กท่า ปล่อยให้วิริยะทาน ตัวเองก็ลุกขึ้นถอดเสื้อ ควานหาข้าวของที่ตระเตรียมไว้ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้หายเปียกแล้วจึงทรุดตัวนั่งข้างเด็กหนุ่ม มองดูคนเจริญอาหารท่าทางชอบของที่ซื้อมาให้ ไม่ได้รู้สึกดีใจปลื้มปริ่มสักนิดเล๊ย

“ดูสิ แถมซื้อชาที่ผมชอบมาอีกต่างหาก” วิริยะทำเสียงตื่นเต้น

คนฟังส่ายหน้า เก็บงำรอยยิ้มของตัวเอง รู้อยู่ว่าเด็กหนุ่มต้องการพูดล้อเลียน

“ไม่เห็นดีใจเลย”

วิริยะยิ้ม “อ้อ เหรอ ไม่ดีใจเลยเหรอ กิ๊ว ๆ” นิ้วชี้เรียวยกมาจิ้มแก้มล้ออีกที เชษฐ์ไชยถึงขั้นอดทนไม่ไหวหลุดยิ้มออกมาในที่สุด ชายหนุ่มหันไปอีกฝั่งแล้วส่ายหน้าให้กับความน่าเอ็นดูของเด็กข้างกาย แพ้ทางอย่างนี้ตลอด เสียภาพพจน์นายใหญ่ของไร่รุ่งอรุณีหมด

เริ่มค่ำแล้ว คนที่เล่นน้ำในเขื่อนต่างพากันกลับบ้าน ต่างจากบริเวณสันเขื่อนที่ยังมีผู้คนเดินฉีดน้ำเล่นหนาตา แม้จะลดลงจากช่วงกลางวันไปเยอะพอสมควร เชษฐ์ไชยให้วิริยะเปลี่ยนผ้า สวมเสื้อแขนยาวตัวโคร่งที่เขาหยิบติดรถมา ไม่ต้องเปลี่ยนกางเกง เพราะดูท่าใกล้จะแห้งคาตัวแล้ว ระหว่างนั้นก็นั่งรอให้สมุนตัวใหญ่ทั้งเจ็ดกลับมาที่รถ ก็พากันดูพระอาทิตย์ตกไปพลาง

“ขอบคุณนะครับ”

วิริยะที่นั่งอยู่ข้างกายพูดขึ้น ฝ่าเสียงดังด้านหลัง ยังหยิบของกินเล่นเข้าปากไปพลาง ก่อนจะเอื้อมมากุมจับมือของชายหนุ่ม เชษฐ์ไชยหันมามองคนกระทำด้วยหัวใจที่เต้นระส่ำ ผุดรอยยิ้มขึ้นมาประดับบนใบหน้าโหดอย่างไม่อาจทานไหว มือใหญ่ผละขึ้นมาลูบผมของเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดูจับใจ รำลึกได้ว่าความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อวิริยะนั้น เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนล้นออกมาจากอก ต่อให้ใจแข็งขนาดไหนก็ละลายได้

วิริยะฉีกยิ้มกว้าง

แทนที่จะคิดว่าตัวเองกำลังทำลายชีวิตของเชษฐ์ไชย

เขาควรมองทุกอย่างในมุมใหม่ วิริยะควรมองว่าเขาทำอะไรเพื่อคนข้างกายได้บ้าง ดูอย่างตอนนี้ซี เมื่อก่อนเชษฐ์ไชยไม่เคยยิ้มอย่างนี้ได้ ฉะนั้นแล้ว วิริยะควรจะเชื่อใจ ควรวางใจว่าอีกฝ่ายจะสามารถทำให้ทั้งสองรักกันได้โดยไม่มีใครกล้าห้าม อย่างน้อยเชษฐ์ไชยก็ได้มีความสุขเมื่ออยู่กับเขา

ต่อให้ต้องฟันฝ่ากับอะไรแย่ ๆ ก็ตาม เชษฐ์ไชยอาจมีความสุขกว่าเมื่อก่อนก็ได้

วิริยะก็เช่นกัน

 

เพราะรถติดมาก กว่าจะค่อย ๆ ขยับเขยื้อนออกจากตรงนั้นก็กินเวลานานเหลือเกิน และครั้นกลับมาถึงบ้านได้ เล่นเอาวิริยะหลับคอพับเพราะความเหนื่อย เชษฐ์ไชยถือโอกาสแวะพาวิริยะเข้าไปพักด้วยเลย โดยไม่ถามความเต็มใจของคนหลับ แล้วให้หนุ่ม ๆ บอยแบนด์จัดการที่เหลือกันเอาเอง

กว่าจะหิ้วเด็กหนุ่มเข้ามาในบ้านได้ เขาฝ่ามรสุมคำแซวของไอ้พวกนั้นจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เชษฐ์ไชยถอนหายใจ พาวิริยะเดินผ่านหน้ารตรีและแม่บ้านคนอื่นไป แวบหนึ่งที่หล่อนเห็นวิริยะก็ลุกขึ้นยืน มองตามชายหนุ่มเขม็งคล้ายมีคำถาม แต่เมื่อเห็นสายตาของเขา ก็เก็บทุกอย่างไว้ในใจ แล้วหน้างอ ทรุดนั่งลงดูทีวีเช่นเดิม

จะหน้าด้านหน้าทนอยู่ก็อยู่ไป แต่อย่าหวังว่าเขาจะใจอ่อน

“อาเชษฐ์ ปล่อย ผมตื่นแล้ว” วิริยะดิ้น ซึ่งเขาก็ยอมตามใจ วางวิริยะลงให้ยืนบนพื้น เด็กหนุ่มยังงัวเงียเมาขี้ตา มองซ้ายแลขวาเห็นว่าเป็นบ้านพักของเขาแต่ก็ไม่โวยวายขอกลับ ไม่ปฏิเสธ แถมเดินนำเขาไปที่ห้องอีกด้วย เห็นแล้วคนพี่ก็ยิ่งหลงไปกันใหญ่

ไปถึงวิริยะก็อยู่ในสภาวะทิ้งตัว หงายเงิบลงนอนบนเตียงไปเลย

“เดี๋ยว เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” เชษฐ์ไชยคลี่ยิ้ม ดึงแขนยาว ๆ ให้ลุกขึ้นนั่ง แล้วหยิบผ้าคลุมตัวอีกมุมโยนให้ใส่ คนขี้เซาทำเสียงอู้อี้อิดออดแต่ก็ยอมทำตามโดยง่าย เห็นแล้วคนมองก็นึกอยากจับฟัดให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่ต้องห้ามใจทำตามสัญญาที่ให้ไว้

คิดแล้วก็เดินดุ่มเข้าไปอาบน้ำผลัดผ้า ออกมาอีกทีก็เห็นวิริยะนอนตะแคงหลับปุ๋ยไม่เกรงใจเจ้าของห้องและชุดที่ตัวเองสวม ผ้าคลุมแหวกจนเห็นไปถึงไหนต่อไหน

เชษฐ์ไชยส่ายหน้า “วิว ไข่ออกแล้วเว้ย”

ดูเหมือนวิริยะจะหลับลึกเพราะเหน็ดเหนื่อยจริง ๆ เห็นแล้วเชษฐ์ไชยไม่ได้ตั้งใจจะปลุกให้เด็กหนุ่มตื่นหรือรบกวนอะไร ก้มลงไปจัดชายผ้าคลุมให้ดี ๆ แล้วเลิกผ้าห่มนวมขึ้นทับบนตัว คนหลับพลิกตัวเปลี่ยนท่า หันมายังทิศนี้เพื่อรับความอบอุ่นให้มากขึ้น เชษฐ์ไชยยิ้มเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าบนใบหน้าใสยังมีเศษแป้งติดอยู่เลย

แสบก็แสบ กวนประสาทก็ที่หนึ่ง ไม่รู้รักลงได้ยังไง

คิดแล้วชายหนุ่มก็โน้มลง แนบริมฝีปากมอบจูบให้เพราะหาคำตอบแก่ตนเองไม่ได้ เขาพ่ายแพ้ให้เด็กคนนี้ราบคาบไม่ว่าเรื่องไหน แต่ คำตอบส่วนหนึ่งที่รู้มาแต่ต้น คือวิริยะทำให้เขาเป็นตัวของตัวเองเสมอเมื่ออยู่ด้วยกัน เขาไม่ต้องเหนื่อยสวมหน้ากากทำเป็นคนเก่งเหมือนอยู่กับใคร และสบายใจยามอยู่ด้วยอย่างน่าประหลาด

อย่างที่อัฐษไชยบอกไว้เลย

ในขณะที่จมอยู่กับความอิ่มเอมใจแม้เพียงแค่ได้นั่งมองวิริยะยามหลับ เสียงใครสักคนเคาะประตูเรียก แล้วเฉลยว่าเป็นแม่ต้อย เชษฐ์ไชยจัดแจงผ้าคลุมบนตัววิริยะอยู่เพียงครู่เดียวก็ลุกขึ้นไปเปิดประตู เห็นนางถือโทรศัพท์บ้านไว้ในมือ บอกเขาว่า “มีคนต้องการคุยกับนายเชษฐ์ค่ะ เรื่องด่วน บอกว่าพยายามโทรเข้ามือถือแต่นายเชษฐ์ไม่รับเลย น้ำเสียงดูเหมือนกำลังโกรธมาก”

เชษฐ์ไชยมุ่นคิ้ว “ใคร”

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ กำชับว่าต้องเรียกให้นายเชษฐ์มาคุยสายให้ได้ ไม่ยอมรอถึงพรุ่งนี้” นางเอามือปิดโทรศัพท์ แล้วพูดกับเจ้านายเสียงเบา สีหน้าเป็นกังวล เห็นเช่นนั้นเชษฐ์ไชยก็พยักหน้าเข้าใจ รับมาแนบกับหูแล้วให้นางไปพักผ่อนได้

“ฮัลโหล ผมเชษฐ์ไชยพูดอยู่”

มือใหญ่ปิดประตูห้องพักแล้วหมุนตัวเดินไปทรุดนั่งลงบนเตียง ข้างวิริยะ

“กว่าผมจะติดต่อคุณได้นี่ยากเย็นเหลือเกินนะ ผมเกือบจะบุกไปที่รังของคุณอยู่แล้วเชียว” เสียงทุ้มนุ่มของปลายสายห้วนและเต็มไปด้วยอารมณ์กล่าวกลับมา เมื่อได้ยิน ใบหน้าสุขุมของเชษฐ์ไชยเปลี่ยนสี จากที่จะทิ้งตัวลงนอนกอดไอ้ตัวเล็กข้างกาย กลับต้องกระเด้งตัวนั่งหลังตรงด้วยความแปลกใจ “คุณเป็นใคร!”

ปลายสายเงียบไปพักหนึ่ง แล้วตอบกลับมาว่า

“พ่อของวิว”

--๑๐๐--

------------------------------------------------------------

เฮือกกกก คุณพ่อมาจัดการนายเชษฐ์แล้ว เกือบจะบุกมาที่ไร่แล้วด้วย

จากนี้จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ใกล้จะถึงบทสรุปความรักของทั้งสองแล้วค่ะ ตอนหน้าวิวก็กลับบ้านไปเจอะพ่อกับแม่เลี้ยง น้องจะโดนอะไรบ้าง แล้วอาเชษฐ์จะโดนอะไรบ้าง ระยะห่างของทั้งคู่ก็พิสูจน์ความรักของทั้งคู่ไปด้วยว่าจะจบแบบไหน ต่อจากนี้ก็อัพให้อ่านถี่ขึ้นนะคะ

เจอกันตอนหน้านะคะ


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 :fire: ไฟจากคุณพ่อมาแล้ว

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
งานเข้าแล้วพี่เชษฐ์ของน้องวิว
 o18

ออฟไลน์ T_TARS

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :katai1: :katai1:
ระเบิดลูกใหญ่กำลังจะมา

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 702
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
เดี๋ยวๆ พ่อของวิวจะมาเกรี้ยวกราดใส่เชษฐ์ไชยทำไม เมียกับลูกเลี้ยงตัวเองทำอะไรลูกตัวจริงของตัวเองไม่เห็นจะรู้ จะจัดการอะไร ตามืดตาบอดขนาดนั้นจะมาเกรี้ยวกราดอะไร ไม่เข้าใจ

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
คุณพ่อมาแล้ววววว

อาเชษฐ์ฟ้องคุณพ่อเรื่องคุณแม่เลี้ยงด้วยนะคะ (นี่อินมาก) เราต้องรีบเบี่ยงประเด็นก่อนดราม่ามาถึงตัวค่ะ ฮาาาา

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เปรตแม่ลูกไปใส่ไฟเรื่องวิวให้พ่ิอวิวหรือเปล่า  o12

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
คุณพ่อโดนอิแม่เลี้ยงเป่าหูอะไรมาป่าวคะ

ออฟไลน์ donutnoi

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-7
พ่อวิวควรรู้ความจริงซักทีนะ

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
เมื่อไหร่พ่อวิวจะรู้ซักทีว่า แม่เลี้ยงทำอะไรวิวบ้าง

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa


ตอนที่ ๑๗

หน้าของเชษฐ์ไชยชาวาบ เมื่อทราบว่ากำลังคุยอยู่กับใคร ฉุกคิดขึ้นมาชั่ววินาทีหนึ่ง เขาไม่รู้เลยว่าทำไมวิริยะถึงมาไกลขนาดนี้เพียงเพื่อทำงาน ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาถามเด็กหนุ่มทั้งที่สงสัยมานานแล้ว

ชายหนุ่มนิ่ง เหลือบมองคนนอนหลับข้างกายแล้วได้แต่ยกมือสางผมอย่างทำอะไรไม่ได้ แม้จะเร็วไปหน่อย หากทว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องปล่อยให้วิริยะไปจริง ๆ แต่เขาจะไปส่งเด็กหนุ่มด้วยตัวเอง ไปรับรู้ว่าชีวิตของวิริยะเจออะไรบ้าง มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แล้วเป็นฮีโร่ยื่นมือ มอบความอบอุ่นให้ ให้เจ้าตัวคิดไม่ผิดที่เปิดใจรับเขา

“คุณพ่อของวิว มีธุระอะไรกับผมงั้นเหรอ” ชายหนุ่มพูดเสียงเบา ลดทอนความแข็งกระด้างลง

“ผมติดต่อลูกชายไม่ได้เลย โทรหาก็ไม่ติด นี่สืบเสาะเอากับเพื่อนก็เพิ่งได้รู้ว่าเขาไปต่างจังหวัด ไปทำงาน ผมต้องการให้เขากลับบ้านให้เร็วที่สุด เราสองพ่อลูกมีเรื่องต้องคุยกัน เรื่องใหญ่มาก ซึ่งคุณก็ไม่ยอมรับสายสักทีจนผมร้อนใจแทบจะบุกไปที่ไร่อะไรนั่นแล้ว”

เมื่อได้ฟัง ถึงจะคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ดังว่า แต่โผล่มาเอาตอนนี้แล้วเชษฐ์ไชยอดที่จะแขวะไม่ได้ว่า “วิวหายมาเป็นเดือนแล้ว ทำไมคุณเพิ่งจะติดต่อมากันละครับ”

ปลายสายเงียบไป คงไม่คิดว่าเชษฐ์ไชยจะย้อนถาม แล้วตอบกลับมาเสียงห้วนตามอารมณ์ “นั่นมันเรื่องของผม ผมไม่จำเป็นต้องตอบคำถามของคุณ ไม่รู้หรอกว่าคุณเป็นใคร แต่วิวเพิ่งอายุแค่สิบเจ็ด คุณรับเขาเข้าทำงานในที่แบบนั้นได้ยังไง มันลำบากเกินกว่าเด็กคนหนึ่งรับไหว”

“เดี๋ยวนะครับ ก่อนที่คุณพ่อจะโทษผม คุณพ่อน่าจะคิดว่าสาเหตุมันเกิดจากอะไร ทำไมวิวถึงได้หนีมาไกลขนาดนี้ แทนที่จะมาโบ้ยความผิดให้คนอื่น แบบนั้นน่าจะดีกว่าไหมครับ” เชษฐ์ไชยกัดฟันกรอดเก็บความขุ่นมัวอยู่ในใจ กวาดสายตามองคนหลับข้างกันไปพลาง อยากรู้จริงเชียวว่าพ่อของเด็กคนนี้แก่กว่าเขาสักกี่ปี เหตุใดความคิดถึงยังดูเด็กนัก

อีกฝ่ายได้ฟังก็เงียบอีกครั้ง

“อา นั่นเป็นความผิดของผมเอง” น้ำเสียงบอกว่าสำนึกผิดจริงอย่างที่พูด ให้ความคลางแคลงใจของเชษฐ์ไชยลดทอนลงตามไปด้วย “ในเมื่อผมติดต่อคุณได้แล้ว ฝากบอกวิวให้รีบกลับบ้านด้วยก็แล้วกัน ถ้าเป็นไปได้พรุ่งนี้เลยยิ่งดี ผมไม่อยากให้เขาทำงานที่นั่นต่อแล้ว บอกวิวไปว่าพ่อของเขารออยู่ เขาคงจะรีบมา”

แม้จะรู้ว่ามันกำลังเกิดขึ้นในไม่ช้า แต่ใจของเชษฐ์ไชยก็ปวดหนึบแปลก ๆ อยู่ดี

“ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะบอกเขา”

“ไม่ พรุ่งนี้เขาจะต้องถึงบ้าน”

เชษฐ์ไชยกดวางสายแล้วเอนหลังลงพิงที่หัวเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน มิใช่เหนื่อยกาย แต่มันรู้สึกเหนื่อยที่ใจ เมื่อฝ่ายตรงข้ามไม่ให้เวลาเขาได้เตรียมใจเลยแม้แต่นิด ยื่นคำขาดแบบนี้เขาก็แย่น่ะซี คิดแล้วก็รู้สึกปวดหัว เหลือบไปเห็นไอ้ตัวดีที่นอนหลับไม่รู้ร้อนรู้หนาวแล้วอยากเป็นเจ้าตัวเสียจริง ไม่ต้องรู้อะไร ไม่ต้องคิดมาก ทำหน้าตาน่ารักแล้วทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี

แต่เป็นวิริยะก็ไม่ได้ง่ายนักหรอก เขารู้ดี

 

เช้าแล้ว วิริยะรู้สึกตัวตื่นเพราะแสงจากหน้าต่างสาดมาโดนดวงตา เด็กหนุ่มบิดขี้เกียจอยู่สองสามที หมุนตัวพลิกท่ามกลางความสบายที่น้อยนักจะได้สัมผัสเมื่อมาอยู่ที่นี่ หากทว่าเมื่อเหลือบตามองไปอีกฝั่ง เห็นคนตัวใหญ่นั่งกอดอกพิงหัวเตียงมองเขาอยู่ สภาพราวกับอดนอนมาได้สามคืนสี่วัน “เฮ้ย!”

วิริยะตกใจรีบลุกขึ้นนั่ง เกาหัวชี้ฟูของตัวเองมองสภาพเชษฐ์ไชยที่กำลังเซื่องซึม หน้าซังกะตาย รอบดวงตาดำคล้ำราวกับหมีแพนด้า เพียงแต่ว่าขนาดตัวและหนังหน้าไม่น่ารักเท่าเท่านั้นเอง เด็กหนุ่มถอนใจ คิดว่าเป็นแค่สภาพตื่นนอนใหม่ ๆ ของอีกฝ่ายมากกว่า “อาเชษฐ์ ตื่นแล้วมานั่งทำหน้าปวดขี้อะไรแบบนี้เล่า ตกใจหมด”

เด็กหนุ่มขยับจับนวมห่ม แล้วเอนหลังหนุนหมอนนอนเอื่อยอีกรอบ

“ยังไม่ได้นอน”

คนนอนบนเตียงแหงนมองเชษฐ์ไชยอีกครั้ง “ทำไมไม่นอนเล่า เตียงก็ตั้งกว้าง”

“มีเรื่องให้คิดมากมายไปหมดน่ะสิ”

“เรื่องอะไรครับ”

เชษฐ์ไชยนิ่ง แล้วพูดไปตามความจริงว่า “เมื่อคืน พ่อเธอโทรมา บอกว่าติดต่อเธอไม่ได้”

วิริยะเบิกตาโตเท่าไข่ห่าน กุลีกุจอลุกขึ้นนั่งมองเชษฐ์ไชยด้วยต้องการย้อนถามว่าจริงหรือหลอก หากทว่าเมื่อเห็นแววตาของคนกล่าว เด็กหนุ่มก็เชื่ออย่างสนิทใจว่าเป็นความจริง “พ่อโกรธไหมครับ พูดกับอาเชษฐ์ว่าไงบ้าง”

“ก็ไม่ยังไง แค่ฝากบอกว่าให้กลับบ้านวันนี้” พูดแล้วเชษฐ์ไชยก็ทำหน้าเซ็ง เอนหลังพิงหัวเตียง ยกมือขึ้นสางผมตัวเองจนยุ่งแทนที่จะเข้าทรง ทั้งสองเงียบไปพักหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรนักเพราะมัวแต่คิดว่าจะพูดอะไรกันดี ท้ายที่สุดคนอายุมากกว่าก็ล้มตัวลงมากอด บ่นเสียงท้อ “เฮ้อ...คนก็อุตส่าห์ตามกลับมา กลัวจะไม่ได้เจอบ่อย ๆ ที่ไหนได้พ่อตามกลับบ้านซะอย่างงั้น”

วิริยะยิ้มเล็กน้อย “ก็ใครล่ะ มัวแต่ทำหน้ายักษ์ใส่คนอื่น เล่นตัวดีนัก”

“เออ ผิดเอง พอใจรึยังฮะ” เชษฐ์ไชยยิ้มตามเล็กน้อยหลังกล่าวจบ เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่ได้มีทีท่าทุกข์ร้อนเหมือนตัวเขาก็ถอนใจ รู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นไอ้ขี้แพ้เหลือเกิน “ใช่ซี๊ ไอ้เรามันรักข้างเดียว จะคิดมากจะกังวลก็เป็นไปคนเดียวอย่างนี้ตลอดนั่นแหละ ไป...ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว เดี๋ยวจะไปส่ง”

วิริยะละรอยยิ้ม ก็รู้สึกอยู่เหมือนกันว่าเชษฐ์ไชยไม่ได้พูดเล่น ถ้อยคำที่ใช้มีแต่ความน้อยเนื้อต่ำใจ แต่เด็กหนุ่มกลับคิดว่าควรเมินเฉยไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คิดเสียว่าเชษฐ์ไชยแค่แกล้งกระเซ้าไปเท่านั้น “อาเชษฐ์อนุญาตให้ไปแล้วเหรอ ถ้าผมไปแล้วจะมาแจ้งตำรวจจับทีหลังไม่ได้น้า”

คนฟังส่ายหน้า “ไม่อยากให้ไปก็ต้องให้ไป พ่อตาตามกลับขนาดนี้”

“เฮอะ! พ่อตาบ้าอะไรเล่า” เด็กหนุ่มมุ่นคิ้วหัวเราะ

“ลุกเร็วเข้า เดี๋ยวสาย” แม้จะบอกแบบนั้น เชษฐ์ไชยที่ใช้เวลาทั้งคืนเพื่อมองวิริยะยามหลับใหลก็เพิ่งได้รู้ว่าการสัมผัสมันมีความสุขถึงขนาดนี้ ชายหนุ่มพรบจูบบนแก้มของคนนอนอยู่ในอก กอดไว้ ทุกอย่างตรงกันข้ามกับคำพูดเร่งเร้าเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง กระทั่งคนถูกกระทำดิ้นบอกให้ปล่อยก็ยังไม่ยอม

“งั้นยังไม่ลุก” วิริยะพูดเสียงเบา

คนพี่ยกยิ้มเมื่อได้ฟัง ยามวิริยะสบตาคนกอด บนแก้มผุดเลือดฝาดขึ้นมาเป็นปื้นสีแดงจนแลดูน่ามองสำหรับเชษฐ์ไชย อีกฝ่ายอาจร้อน หรือไม่ก็กำลังรู้สึกเขินอาย ซึ่งน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่าเมื่อชายหนุ่มพยายามจ้องไปที่นัยน์ตาของเจ้าตัว วิริยะกลับหลบไปที่อื่นไม่กล้าสู้ เห็นแล้วอดจะประทับจูบแสดงความเป็นเจ้าของไม่ได้

“เขินอะไรขนาดนี้ ไปเถอะ ลุกไปอาบน้ำ” คนพี่กระซิบ

เด็กหนุ่มส่ายหน้า “อาเชษฐ์ไปก่อนเลย ผมรอได้” แล้วสายตาอันมีพิรุธก็ก้มลง มองที่ลำตัวใต้ผ้าห่มนวมของตนเอง เชษฐ์ไชยพอมองออกแล้วว่าที่วิริยะกำลังอายเป็นเพราะอะไร ชายหนุ่มยิ้มมีเลศนัย เอื้อมมือจะเปิดผ้าที่คลุมตัวออกเพื่อให้เห็นกับตาตนเอง ทว่าวิริยะก็ไหวตัวทัน หมุนติ้วเอานวมม้วนเป็นเค้กโรลหน้าตาน่าเอ็นดูจนคนมองรู้ทันว่ากำลังมีความลับอะไรซ่อนอยู่

“อาเชษฐ์จะทำอะไร!” เด็กหนุ่มร้องเสียงดัง

“ไหน ขอดูหน่อย”

“ขอดูอะไร!” หน้าวิริยะแดงขึ้นไปกว่าเก่ารู้ว่าเชษฐ์ไชยกำลังขอดูอะไร

“ก็ซ่อนอะไรไว้ล่ะ” พูดจบพ่อกอริลล่าตัวใหญ่ก็กระโจนเข้าหา

“อ๊ากกกก ไม่เอาโว้ย!” วิริยะกระดึ้บตัวเป็นหนอนหลบและจับผ้านวมของตัวเองเป็นบ้องข้าวหลามเพื่อความปลอดภัยสุดชีวิต หนีเชษฐ์ไชยที่หัวเราะหึเดินตามมาจับตัว พยายามดึงสิ่งที่ปกป้องให้หลุดออกไป “ไม่! ของตัวเองก็มีก็ดูไปซี จะขอดูของคนอื่นอย่างหน้าด้าน ๆ แบบนี้ได้ไง อาเชษฐ์ หยุด อย่า!” พูดไม่ทันขาดคำ วิริยะลื่นลงกระแทกที่เตียงนอนในสภาพหนอนตัวกลม แล้วก็กลิ้งหลุน ๆ เมื่อถูกกระตุกดึงผ้านวมออกไป

“อ๊าก ไอ้บ้าอาเชษฐ์!”

วิริยะเวียนหัว ทุบบ่าคนตัวใหญ่ที่โน้มลงมาด้วยรอยยิ้มร้ายหวังจะเปิดผ้าคลุมที่ใช้ปกปิดร่างกาย และอะไรที่ตื่นขึ้นมาเคารพธงชาติตั้งแต่เช้า ด้วยวิชาที่เคยเรียนมาตั้งแต่สมัยเด็กกับบิดา เด็กหนุ่มฮึดลุกขึ้น เอื้อมดึงบ่าของคนด้านบนแล้วถีบส่งไปแรงที่หน้าอกแกร่งของเชษฐ์ไชยจนตัวยักษ์ ๆ ลอยขึ้นเหนืออากาศ ก่อนจะเหวี่ยงให้หล่นกระแทกลงบนพื้นอีกฝั่งเสียงดังผลัก

“โอ๊ยยย!”

“กลับบ้านไปผมไม่คิดถึงอาเชษฐ์แน่!” เด็กหนุ่มร้องเสียงโมโหที่กวนกันตั้งแต่เช้า เดินไปนั่งทับบนหลังแล้วดึงขาเชษฐ์ไชยขึ้นมา หลังของนายใหญ่ของไร่ผู้ไม่เคยผ่านการยืดหยุ่นแต่อย่างใดแอ่นจนผิดรูป ชายหนุ่มร้องโหวกเหวกโวยวายทุรนทุรายขอชีวิตจนท้ายที่สุดต้องตบพื้นเสียงดัง

“วิว วิว! ยอมแล้ว เจ็บ ๆ ๆ!”

ได้ยินคำยอมแพ้ วิริยะวิ่งเข้าไปเข้าห้องน้ำท่ามกลางเสียงโอดโอยของคนเจ็บ อาบน้ำอาบท่า รอจนกว่าร่างกายจะเป็นปกติจึงเปิดประตูออกไปด้านนอก รู้สึกโล่งใจที่ไม่เห็นเชษฐ์ไชยตีหน้ายักษ์เอาเรื่องอย่างที่คิด เด็กหนุ่มผ่อนลมหายใจอย่างนึกโล่ง เดินออกไปเห็นพี่เสือกำลังนอนเล่นอยู่บนเตียงก็ตรงรี่เข้าไปหา ซุกกอด ลูบขนของมันด้วยความคิดถึง สองวันแล้วที่ทิ้งให้มันรอเก้ออยู่ที่ห้อง

น่าเสียดายที่หลังจากนี้จะไม่ค่อยได้เจอกันแล้ว เด็กหนุ่มเอนหลังลงนอนบนเตียงมองพี่เสือ แล้วก็ครุ่นคิดเรื่องของเชษฐ์ไชยไปพลาง เขาต้องทำตามที่เชษฐ์ไชยบอก ต้องไม่ยอมให้ใครเอาเปรียบอีก หากไปถึงที่บ้าน วิริยะจะไม่ยอมให้ตัวเองเป็นฝ่ายผิดแน่นอน

เชษฐ์ไชยลงไปเก็บเสื้อผ้าให้วิริยะ สัมภาระของเด็กหนุ่มที่หอบหิ้วมาตั้งแต่วันแรกมีเพียงเสื้อผ้าเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรมากมายเยอะแยะ คนตัวโตทำหน้างอนเพราะถูกดัดหลังจนแอ่น ปล่อยให้วิริยะยิ้มเก้อในขณะที่แต่งตัว อีกฝ่ายก็เดินไปอีกฝั่งเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้าง กว่าจะเสร็จก็สายแล้ว แต่เชษฐ์ไชยบอกว่าวันนี้รถคงไม่เยอะ เพราะคนเขากลับบ้านเกิดตั้งแต่สองสามวันก่อนแล้ว ถนนคงโล่งและไปถึงที่หมายไวกว่ากำหนด

วิริยะไม่รู้ว่าเชษฐ์ไชยกำลังคิดอะไรอยู่ สถานะของทั้งสองก็ยังคงคลุมเครือ ไม่ได้ถูกเชษฐ์ไชยเปิดเผยอย่างที่วิริยะนึกกลัวไว้ เด็กหนุ่มเหลือบมองคนขับรถที่ยังคงตั้งหน้าตั้งตาพาเขาไปสู่จุดหมาย ไม่ได้แสดงท่าทีอาลัยอาวรณ์เขานักอย่างที่ควร ทั้งที่ก็บ่นว่าเป็นกังวล ใจหาย และไม่อยากให้มันเกิดขึ้น

เชษฐ์ไชยคงเป็นผู้ใหญ่ ตอนนี้คงกำลังคิดอย่างผู้ใหญ่อยู่กระมัง

 

ตั้งแต่เมื่อวานที่ธเนศกลับมาอย่างฉุกละหุกโดยไม่บอกกล่าวที่บ้าน ตอนนี้เจ้าตัวยังไม่นอน มัวแต่เดินไปมาทั่วทั้งบ้านรอให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนกลับมา เมื่อวานเห็นคุยโทรศัพท์กับใครสักคนสีหน้าเคร่งเครียด อิงอรเหลือบมองไปที่ร่างสูงใหญ่ของสามีแล้วได้แต่ถอนหายใจ กังวลว่าอีกฝ่ายจะรู้ความจริงว่านางทำอะไรกับวิริยะไปบ้าง

“ไปนอนก่อนเถอะค่ะคุณ ผ่านมาครึ่งวันแล้ว ฉันว่าวันนี้วิวยังไม่กลับหรอก” ว่าพลางวางแก้วเครื่องดื่มให้ด้วยความเป็นห่วง ถึงจะไม่ชอบหน้าวิริยะ แต่นางก็รักธเนศและเต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ

“จะให้ฉันหลับลงได้ยังไง ลูกฉันหายไปทั้งคนนะอร” ธเนศส่ายหน้า

“ก็วิวไปเองนี่คะ อรรั้งแล้วก็ไม่ยอมเชื่อ”

“ใช่ แต่วิวไม่ใช่ลูกเธอไง เธอก็เลยไม่กังวล” ชายตรงหน้าย้อนกลับมาหน้าตึงเคร่ง

ที่วิริยะพูดก่อนไปมันถูกทุกอย่าง ต่อให้นางเรียกร้องความสนใจอย่างไรธเนศก็ไม่อาจยกให้นางพิเศษกว่าลูกชายตัวเองได้ ซึ่งนั่นแหละทำให้อิงอรรู้สึกเกลียดเด็กคนนั้นอย่างจับจิตจับใจ กำมือของนางแน่นจนสั่นไหว มองแผ่นหลังใหญ่กว่าของสามีที่ตั้งหน้าตั้งตาหันไปมองหน้าบ้าน รอให้ลูกชายสุดที่รักกลับมา “คุณพูดแบบนี้มันไม่ถูกนะคะ อรก็เมียคุณ อรเห็นวิวเป็นลูกของอรเหมือนกัน แต่ในเมื่อเขาไม่เคยเห็นอรเป็นแม่ คุณจะให้อรทำยังไงดีคะ”

ธเนศหันมาสบตา ใช้เสียงเรียบตอบกลับ

“ก็อรไม่ใช่แม่เขาจริง ๆ นี่”

หน้าของนางซีดเผือดราวโดนตอกหน้า แล้วพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง หากยังอยู่ตรงนี้ต่อคาดว่าจะได้ระเบิดแน่ คิดแล้วอิงอรก็กระแทกเท้าเดินขึ้นไปยังชั้นสอง เปิดที่พักของลูกสาวคนโต หยิบแย่งหมอนที่วางอยู่บนตักคนที่นั่งดูทีวีขึ้นมาอุดหน้า แล้วกรีดร้องสุดเสียงด้วยความโมโห ชนิดที่ว่าคนที่นั่งดูทีวีอยู่รู้สึกแปลกใจ

“ไปโดนตัวไหนมาเนี่ยแม่” ทรายทำเสียงรำคาญ

“จะอะไรซะอีกละ ก็ลุงแกน่ะสิ เข้าข้างไอ้เด็กเปรตนั่น นี่ก็นั่งชะเง้อคอรอให้มันกลับมาอยู่”

“แม่ว่าวิวมันจะกลับมาไหม” ลูกสาวย้อนถาม

“ไม่รู้โว้ย! สาธุ...ถ้ามันกำลังมาก็ขอให้รถคว่ำตายไปจากชีวิตฉันเถอะเพี้ยง!”

อิงอรประนมมือสาธุดังว่า ไม่ทันได้ละออกก็ได้ยินเสียงแตรอยู่หน้าบ้าน ลูกสาวหัวเราะผู้เป็นแม่ แล้วลุกขึ้นไปเปิดม่านหน้าต่างดูว่าใครมา เห็นรถปิ๊กอัพคันหนึ่งจอดอยู่ สภาพเหมือนเพิ่งลุยออกจากป่ามาได้ ด้านล่างเห็นธเนศเดินไปเปิดประตู แล้วเจ้าของรถผู้มาเยือนก็ลงจากรถไปคุยด้วย เป็นผู้ชายตัวใหญ่หน้าโหดเหมือนพวกทวงหนี้อะไรทำนองนั้น

แต่ภาพหลังจากนั้นทำให้ทรายอยู่ไม่ติด เห็นวิริยะสะพายกระเป๋าเป้เดินไปหยุดยืนคู่คนแปลกหน้า แล้วธเนศก็จับจูงเด็กหนุ่มเดินตรงเข้าบ้านมาเป็นเชิงบังคับ “แม่ แม่”

“อะไรของแกอีก แค่นี้ก็ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว” อิงอรทำเสียงรำคาญ

“ไอ้วิวมาแล้ว ไปเร็ว”

“ไปไหน”

“ก็ลงไปข้างล่างไง จะให้มันฟ้องลุงเนศเหรอว่าเราแกล้งมัน” เมื่อได้ฟัง อิงอรก็เห็นด้วย สองแม่ลูกรีบลงไปด้านล่าง ประจวบเหมาะกับช่วงที่ธเนศพาวิริยะเดินเข้าไปถึงข้างในพอดี จึงได้ดูลาดเลาว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วอีตาตัวโตหน้าไม่เป็นมิตรที่ตามหลังมาเป็นใคร เห็นแล้วรู้สึกกลัวและไม่ชอบขี้หน้าเลยสิพับผ่า

ธเนศคลายมือวิริยะให้หยุดยืนอยู่ในบ้าน หน้าเข้มดุ ท่าทางโกรธขึ้งเป็นอย่างมาก ในขณะเด็กหนุ่มผู้มีความผิดที่หนีออกจากบ้านยังคงยอมรับผิดแต่โดยดี ยอมก้มหน้าก้มตารับฟังคำต่อว่าของบิดา “ทำไมถึงต้องหนีออกจากบ้าน ไม่พอใจอะไรทำไมไม่บอกป้าอรดี ๆ ฮะวิว หายไปได้ยังไงเป็นเดือน ๆ ไม่ห่วงคนที่เขารออยู่เหรอ!”

ธเนศเหลือบมองสองแม่ลูกด้านหลังเด็กหนุ่ม แล้วกระตุกดึงวิริยะให้เดินเข้าไปหา “ไปขอโทษป้าอรที่พูดจาไม่ดีใส่เขาซะ เขาดูแล เขาเลี้ยงลูกมาตั้งแต่เด็ก ทำไมถึงทำแบบนั้น!”

วิริยะเงยขึ้นมองบิดา แล้วผละสายตาไปมองคนที่ถูกพาดพิงถึง

“แต่ป้าอรไม่เคยดูแลผมเลย ผมดูแลตัวเองมาตลอด!”

“อย่าทำแบบนี้นะวิว! พ่อไม่เคยสอนให้ลูกอกตัญญู!” ธเนศใช้เสียงดังขึ้นกว่าเก่า มองสองแม่ลูกที่หน้าถอดสีไม่เคยเห็นเขาต่อว่าวิริยะอย่างนี้มาก่อน วิริยะน้ำตาไหลเพราะคิดว่าพ่อจะฟังคำของเขาบ้าง แต่ไม่เลย ธเนศคงไม่ผูกพันกับเขาเพราะเอาเวลาทำแต่งานเท่านั้นกระมัง

เด็กหนุ่มมองอิงอรและลูกอยู่พักหนึ่งแล้วกล่าว “พ่ออยากรู้ไม่ใช่รึไงว่าผมหนีไปทำไม ถ้าป้าอรดีกับผม ดูแลผมเป็นอย่างดีจริง ๆ แล้วผมจะหนีไปที่อื่นอีกทำไม ผมจะบอกความจริงให้ ผมไม่เคยได้ใช้เงินที่พ่อส่งมาให้เลย ต้องออกไปทำงานพิเศษเป็นบ้าเป็นหลัง แล้วก็ต้องกลับมาทำงานบ้าน รับใช้สองแม่ลูกนี่อีก ช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุดก็แค่ตอนที่พ่อกลับมา ซึ่งมันก็นับครั้งได้ อย่าว่าแต่เป็นเพราะป้าอรเลย พ่อก็ด้วย ความผิดของพ่อนั่นแหละ!”

“วิว!” อิงอรเสียงดัง “ทำไมพูดกับพ่อแบบนั้น”

“เรื่องของผมกับพ่อ ป้าอรไม่ต้องยุ่ง แล้วก็เลิกใส่หน้ากากเป็นคนดีได้แล้ว!”

“วิว ทำไมลูกก้าวร้าวแบบนี้ละฮะ!” ธเนศกระตุกแขนเรียกสติลูกชาย

“ก็เพราะผมเป็นเด็กดีมาตลอดแล้วกลายเป็นว่าถูกทำร้ายไง จากนี้ผมแม่งจะเอาแต่ใจ จะพูดอะไรก็ได้ ต่อให้ตัวเองต้องกลายเป็นเด็กก้าวร้าวผมก็ยอม!” วิริยะเสียงดังทั้งน้ำตา มองพ่อ มองแม่เลี้ยงแล้วยกหลังมือเช็ดคราบน้ำบนใบหน้า ไม่สนมือใหญ่ของเชษฐ์ไชยที่เทียวลูบปลอบให้คลายความรู้สึกอะไรต่าง ๆ ลง

“พ่อบอกให้ขอโทษป้าอรไง” ธเนศใช้น้ำเสียงเย็นลง ออกคำสั่ง

วิริยะสะอื้นฮึกใหญ่ “พ่อ...”

“บอกให้ขอโทษป้าอร!”

“คุณพ่อใจเย็น ๆ ก่อน” เชษฐ์ไชยปรามเมื่อเห็นบรรยากาศเริ่มคุกรุ่น

“ต่อให้ป้าอรผิดจริง ลูกก็ไม่ควรทำตัวแบบนี้ใส่เขา มีทางออกตั้งเยอะแยะไม่ใช่ให้ปิดปากเงียบ อย่าไปโทษคนอื่นให้มากความเลยวิว โทษตัววิวเองบ้างเถอะที่มีส่วนผิดด้วย ทำไมลูกไม่ยอมเอ่ยปากทั้งที่มันง่ายนิดเดียว” ธเนศพูดตามตรง แล้วหันไปหาสองแม่ลูกที่ยังคงพูดไม่ออก ทำได้เพียงยืนนิ่งมองสถานการณ์ไปก่อนเท่านั้น

หรืออาจจะจริงอย่างที่พ่อพูด ถ้าวิริยะไม่เก็บทุกอย่างเงียบไว้กับตัว ทุกอย่างมันคงไม่เป็นแบบนี้ หากวิริยะเชื่อใจบิดากว่านี้ คงไม่ทำให้สองแม่ลูกย่ามใจจนปานปลายมาถึงตอนนี้ได้ เด็กหนุ่มมองบิดาแล้วยอมรับว่าเป็นเพราะตัวเองด้วยส่วนหนึ่ง หากจะทำให้ทุกอย่างสงบลงไปก็จะยอมไปก่อน แต่หลังจากนี้วิริยะจะไม่ยอมถูกรังแกอีกต่อไปแล้ว เขาให้คำสัตย์แก่ตนเอง

วิริยะหันไปหาอิงอร ยกมือประนมไหว้เป็นการแสดงความรู้สึกผิด

“ขอโทษครับป้าอร”

ซึ่งดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่อยากรับ อิงอรหลับตาชังใส่แล้วเมินคำขอโทษของเด็กหนุ่มไปยังทิศอื่นเพราะความโมโหที่ถูกต่อว่า จนลืมตัวที่จะเป็นแม่เลี้ยงที่ดีต่อหน้าของธเนศ วิริยะหันกลับไปมองบิดาที่รู้สึกเหมือนใจเย็นลงแล้ว ท่านกำลังส่ายหน้าให้ แล้วเดินมากอดบ่าวิริยะให้คลายความเสียใจลงไป บอกเด็กหนุ่มว่าทำดีแล้ว

“ส่วนเธอ อิงอร” ธเนศเปรย

เรียกให้นางที่กำลังเชิดคอหันไปสบตา ประมุขของบ้านขบฟันพยายามปรับอารมณ์ตัวเองพักหนึ่ง ก้มมองลูกชายในอ้อมแขนแล้วพูดต่อ “ถ้าฉันไม่ฉุกคิดแล้วลากลับมาโดยไม่บอกก่อน ป่านนี้ฉันก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกชายตัวเอง ทั้งที่ฉันวางใจ เชื่อใจเธอมาโดยตลอด ไม่คิดเลยว่าเธอจะใจร้ายได้ขนาดนี้”

อิงอรเบิกตา ใจหายลงตาตุ่ม “คุณคะ ไม่จริงนะคะ วิวแค่ไม่ชอบฉัน...”

“ใช่ค่ะลุงเนศ วิวต่อต้านแม่มาโดยตลอด” ทรายรีบพูด เพราะเรื่องเริ่มพลิกมาทางนี้แทนเสียได้

ธเนศขบฟันจนกรามปูด “ฉันเชื่อวิว แล้วก็เชื่อแพรวาด้วย”

“อะไรนะคะ” อิงอรเหลือกตาโตกว่าเดิมสองเท่า

“คิดว่าฉันจะไม่ได้ยินอะไรมาเลยงั้นเหรอ น้องวาบอกฉันตลอดว่าพี่ชายเขาโดนอะไร ตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อ แต่พักหลังวิวก็ดูผอมลงไป แถมจากที่เป็นเด็กสดใสก็หมองลง ไม่กล้าพูดกล้าคุย ฉันเป็นพ่อของเขา คิดว่าฉันไม่สนใจเลยงั้นเหรอ แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ไม่อยากให้ลูกเป็นเด็กก้าวร้าว ต่อให้พวกเธอผิดก็ไม่ควรทำแบบนั้น พวกเธอต้องรับผิดจากฉันเท่านั้น!”

“คุณคะ ฉัน...”

“เก็บข้าวของออกไปจากบ้านซะอร ฉันคิดว่าเธอจะเปลี่ยนตัวเอง แต่ไม่เลย” วิริยะกลืนน้ำลายลงอึกใหญ่ ตกใจ ไม่คิดว่าบิดาจะตัดสินใจทำแบบนี้ เด็กหนุ่มแหงนมองใบหน้าจริงจังเคร่งเครียดของธเนศอยู่พักหนึ่ง แล้วผละไปอีกมุม เห็นอิงอรหน้าซีดเผือดพูดไม่ออก คงเพราะรู้สึกเช่นเดียวกันว่าธเนศกำลังโกรธเกินไป

“พ่อครับ” วิริยะพูดเสียงเบา รั้งสติของบิดา

“ฉันสั่งให้พวกเธอเก็บของออกจากบ้านฉันไป”

ทรายนิ่ง มองมารดาและธเนศด้วยความกลัว กลัวว่าจะได้กลับไปอยู่จุดเดิม จุดที่พยายามหนีจากมา “ลุงเนศคะ หนูขอโทษ หนูผิดไปแล้ว อย่าโกรธเลยนะคะ”

“สายไปแล้ว ฉันพยายามปล่อยผ่านมาตลอด แต่ถ้าเลี้ยงไม่เชื่องก็ออกจากบ้านฉันไปซะ!”

“พ่อครับ พ่อ...” วิริยะไม่อยากให้พ่อเสียใจที่ทำแบบนี้ เขารู้ว่าพ่อรักสองคนนี้ไม่น้อยเลย

และที่โกรธมาก ก็เพราะรักนั่นแหละ เลยผิดหวังมากขนาดนี้

“ถ้ามาอยู่บ้านฉันแล้วไม่ดีกับลูกฉัน ฉันไม่รู้จะเลี้ยงพวกเธอต่อทำไม ออกไป...” สุ้มเสียงของธเนศอ่อนลงพร้อมกับสองแม่ลูกหวีดร้องตกใจ หัวหน้าครอบครัวเข่าทรุดไม่มีแรงไปเสียเฉย ๆ เมื่อเห็นบิดาหมดสติไป วิริยะพยายามปลุกให้ตื่น น้ำตาไหลร้องไห้ เชษฐ์ไชยพุ่งเข้ามาช่วยรับไม่ให้หัวฟาดพื้น บอกเขาว่าให้ไปเปิดประตูบ้าน ต้องรีบพาไปส่งโรงพยาบาล กลัวจะอาการหนักแล้วไม่ทันการณ์

ท่ามกลางสีหน้าตกใจของอิงอรและทราย วิริยะตามเชษฐ์ไชยไปยังรถเพื่อนำพาธเนศไปโรงพยาบาล ทั้งสองจะตามเด็กหนุ่มไป คราวแรกทำทีแขยงรถที่เปื้อนและเก่า แถมได้นั่งกระบะหลัง แต่ได้ยินเชษฐ์ไชยเร่งบอกว่าตอนนี้ควรห่วงอาการคนป่วย อิงอรกับทรายจึงรีบกระโดดตามกันมาด้วย

ถึงมือหมอแล้ว เชษฐ์ไชยเดินไปตบบ่าเด็กหนุ่มที่กำลังนั่งไม่ไหวติงอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน เรียกเจ้าของใบหน้าแดงเงยขึ้นมาสบตา แล้วก้มลงมองพื้นยอมรับว่าส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะเขา ไม่น่าทำให้พ่อโกรธถึงขนาดนั้นเลย นิ้วมือเรียวกุมจับมือใหญ่ที่วางบนบ่าของตัวเอง นึกขอบคุณที่เชษฐ์ไชยอยู่ตรงนี้อย่างเงียบเชียบ ซึ่งคนพี่คงรู้ ยังคงอยู่ตรงนั้นเพื่อซาบซึมและแบ่งเบาความรู้สึกของเด็กหนุ่มไม่เดินไปไหน

วิริยะมีทีท่าโล่งอกเมื่อรู้ว่าบิดาไม่เป็นอะไรมาก เด็กหนุ่มกอดเชษฐ์ไชยแน่นหลังทราบข่าวว่าธเนศเพียงแค่ไม่ได้หลับพักผ่อนเท่านั้น เลยวูบไป อิงอรบอกว่าจะกลับไปเอาเสื้อผ้ามาเฝ้า เพราะอยากแอดมิทแล้วตรวจดูว่าธเนศมีโรคอะไรหรือไม่ จะได้รักษาได้ทัน เพราะท่านอยู่แต่แท่นไม่ค่อยได้ตรวจร่างกายอย่างดีนัก

          เรื่องระหว่างของวิริยะกับสองแม่ลูกยังไม่ชัดเจนนัก แต่เด็กหนุ่มเชื่อว่าทั้งสองคนไม่กล้าอวดเบ่งใส่เขาอย่างเคย แม้ความสัมพันธ์ของสองฝ่ายยังไม่ดี แต่วิริยะรู้สึกว่าตัวเองมีตัวตนมากขึ้น ต้องขอบคุณน้องแพรวาของเขา ขอบคุณเชษฐ์ไชยที่อยู่เคียงข้าง ให้วันนี้ดำเนินผ่านไปได้


----------------------------------------------------------------------
มาอัพแล้วจ้า ช่วงนี้ก็จะเคลียร์ปมครอบครัวหน่อย เพราะจะชุดใหญ่เรื่องสถานะของอาเชษฐ์กับน้องวิว
อีกห้าสิบที่เหลือ ก็จะได้รู้แล้วว่าทั้งสองอยู่ในความสัมพันธ์ไหน อาเชษฐ์จะถามวิวแล้ว
แล้วจะเป็นไง วิวจะปฏิเสธ รึจะยอมคบกับอาเชษฐ์น้อ
เดี๋ยวอาเชษฐ์จะได้มาทำงานใกล้กับน้องด้วย ต้องรอลุ้นว่ายังไงต่อ แต่รับรองว่าสองคนนี้เป็นคู่กัดคู่ฟัดกันตลอด ต่อให้รักกันแล้วก็เถอะ อิอิ

เจอกันอีกห้าสิบเปอร์เซ็นที่เหลือค่ะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 :pig4:

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ขอให้ผ่านไปด้วยดีนะ ทั้งคุณพ่อ และลูกเขย หุหุหุ

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ขอโทษที่ผ่านมาด่าพ่อวิวไปซะเยอะนะคะ สุดท้าย่อก็รักลูกใส่ใจลูกมากกว่ทีคิดอยู่ดี

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
ดีใจมากๆที่พ่อเชื่อวิว แต่นี่ก็ยังเชียร์ไม่ให้คุณพ่อเอาอิงอรไว้ในบ้านนะเนี่ย

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เอามันออกไป เอามันออกไป ไปแล้วให้ไปลับเลยไม่ต้องกลับมา  :laugh:

ออฟไลน์ pigarea

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
พอจะดี ก็มีเรื่องมาเพิ่มอีกแล้ว แบบนี้น้องวิวจะได้กลับไปไร่อีกหรือเปล่า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: **{17.4.61-ตอนที่ ๑๗--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
« ตอบ #169 เมื่อ: 18-04-2018 10:37:20 »





ออฟไลน์ T_TARS

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ถ้ารู้่องความสัมพันธ์ของเด็กวิวกับนายลิงยักษ์นี่ จะไม่เป็นลมหนักกว่าเดิมไหมเนี่ยคุณพ่อ

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
อยากรู้ตอนต่อไปแล้ววววววววววๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa

(ต่อ)

เชษฐ์ไชยมาส่งเด็กหนุ่มที่บ้านเพราะวิริยะต้องไปรับน้องสาว แพรวาถูกส่งไปเรียนโดยที่เธอไม่ได้อยากไปนัก ทั้งว่ายน้ำ ร้องเพลง เต้นบัลเล่ต์ ถึงจะเคยโกรธแม่เลี้ยงที่ไม่ดีกับเขานัก แต่เงินค่าใช้จ่ายที่ถูกหักไปส่วนหนึ่งก็คงมาจ่ายค่าเล่าเรียนพวกนี้ของน้อง มาคิดอีกทีแล้ววิริยะโกรธแม่เลี้ยงไม่ลง ไม่ขนาดอยากขับไล่ออกจากบ้านเพียงนั้น

เชษฐ์ไชยขอตัวกลับก่อน แต่บอกเด็กหนุ่มว่ายังไม่ได้ไปที่ไร่ หากวิริยะต้องการให้ช่วยเหลืออะไรติดต่อไปที่บ้านได้เลย แต่จนแล้วจนรอดวิริยะก็ไม่ได้รบกวนอะไรอีกฝ่าย ตั้งแต่บิดาออกจากโรงพยาบาล เรื่องของเด็กหนุ่มกับเชษฐ์ไชยก็เงียบหายไปจากกัน วิริยะใช้เวลาอยู่กับธเนศเท่านั้น พูดจา ใช้ชีวิตด้วยกันเพื่อชดเชยในวันที่สูญเสียไป

เด็กหนุ่มได้เป็นคนดูแลจัดสรรเรื่องเงินภายในบ้านทั้งหมด แพรวาไม่ได้ถูกบังคับให้ไปเรียน ส่วนสองแม่ลูกที่ถูกไล่ไปนั้น วิริยะเกลี้ยกล่อมให้บิดาใจอ่อนลงแล้ว คงเหลือแค่พี่สาวที่คอยทำตัวไม่ดีใส่ หล่อนมีทีท่าเคืองเด็กหนุ่มที่พูดจาต่อว่าอิงอรวันนั้น วิริยะไม่ได้สนใจว่าทรายจะรู้สึกอย่างไร แค่เมินไป และหวังว่าหล่อนจะคิดได้ว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้

เสียงโทรศัพท์หวีดร้องกลางดึกของวันขัดการนอนหลับ วิริยะงัวเงียหยิบขึ้นมาดู ปลายสายเป็นมาร์ค เพื่อนร่วมกลุ่มที่กำลังติดต่อมา วิริยะมุ่นคิ้วกดรับสายทั้งที่หงุดหงิดเพราะถูกรบกวนการพักผ่อน “ว่าไงไอ้มาร์ค โทรมาทำไมตอนนี้”

“ไอ้ห่า กูนึกว่าจะโทรไม่ติด”

“เออ กูทำงานซื้อโทรศัพท์ใหม่แล้ว มึงมีไรเนี่ย โทรมาทำไมตอนนี้” วิริยะทำเสียงฉุน

“เออ จริงสิ มึงออกมาเดี๋ยวนี้เลย พี่สาวมึงอะ กำลังจะแย่แล้ว” เสียงของเพื่อนกระซิบกระซาบเหมือนแอบดูอะไรอยู่สักอย่าง วิริยะรู้สึกตื่นเต็มตาเมื่อมันพูดถึงพี่สาว ทรายน่ะหรือ คิดแล้วก็มองไปยังนาฬิกาบอกเวลาตีหนึ่งของวัน แล้วอย่างนี้เขาจะออกไปได้ยังไง ไอ้มาร์คเอาส่วนไหนมาคิดกันถึงได้เรียกออกไปยามนี้

เอาวะ สงสัยคงต้องเสี่ยงแล้ว

วิริยะย่องไปขโมยกุญแจรถของบิดาที่ห้อยทิ้งไว้ แล้ววิ่งออกจากบ้านไป สถานที่ที่นัดคือหน้าแหล่งบันเทิงแห่งหนึ่ง ไปถึงเห็นมาร์คกวักมือเรียกให้จอดแล้วชี้นิ้วไปยังคนที่อยู่ในสถานะพี่สาวของวิริยะ เจ้าหล่อนกำลังมีเรื่องกับผู้ชายสองคน ดูเหมือนพวกมันพยายามบังคับให้ขึ้นรถไปด้วยในสภาพที่ทรายเมามาย ทว่ายังคงมีสติไม่ยอมไปโดยง่าย

“ไอ้มาร์ค” วิริยะลงรถไปหา “มากินข้าวต้มพ่อมึงสิแถวนี้”

“เออ ช่างหัวกูเถอะ มึงจะช่วยพี่มึงยังไง กำลังจะโดนหิ้วไปแล้วนั่น”

วิริยะมองไปยังผู้ชายตัวใหญ่สองคนแล้วถอนใจ “ช่างแม่ง กูลุยเอง”

“เฮ้ยไอ้วิว มันตัวใหญ่กว่า แถมมีอาวุธรึเปล่าก็ไม่รู้”

“กูไม่สน ไม่ได้ปอดแหกเหมือนมึงเว้ย!” ว่าจบวิริยะก็วิ่งไปหาวัยรุ่นสองคนที่กำลังฉุดกระชากพี่สาวเขาขึ้นรถ แล้วผลักพวกมันออกไป หนึ่งในนั้นไม่ล้มลงเพราะยังไม่ได้เมามาก มันมองเด็กหนุ่มตาขวางและเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “มึงมาเสือกอะไรด้วยฮะ!”

วิริยะยืนขวางไม่ให้มันเข้าถึงตัวคนด้านหลัง “พี่สาวกู!”

ไม่ใช่แค่ไอ้สองตัวตกใจ หญิงสาวที่กำลังเมาเองก็เช่นกัน

“แต่กูเป็นเพื่อนมัน มึงมาเสือกอะไรด้วย พวกกูแค่จะไปต่อกันเท่านั้นเอง!” มันเถียง

“ก็กูบอกว่ากูไม่ไปไง!”

วิริยะหันไปหาทรายเมื่อได้ยินดังนั้น เด็กหนุ่มจ้องไอ้ตรงหน้า “ได้ยินชัดแล้วใช่ไหมว่าผู้หญิงไม่ไปด้วยอะ ถ้าไม่มีปัญญาหาเงินไปซื้อกิน ก็หาเสาแล้วเอาให้หายคันสิวะ ไม่ใช่มามอมเหล้าผู้หญิง ใช้วิธีแบบนี้เขาเรียกว่าหน้าตัวเมียเว้ย!”

“ไอ้เวรเอ๊ย!” มันโกรธแล้วกระโดดพุ่งเข้าใส่ วิริยะถูกต่อยจนเซ

แต่ก็เหมือนเคย แม้จะตัวเล็กกว่าแต่เด็กหนุ่มก็สู้สุดชีวิต ยังดีหน่อยที่มันมีอาการเมาบ้างจึงทำให้พลิกสถานการณ์ได้ บวกกับมาร์คร้องตะโกนบอกคนรอบข้างว่าคู่กรณีเป็นพวกเลว พวกมันจึงหน้าบาง ตะเกียกตะกายวิ่งขึ้นรถแล้วบึ่งขับหนีไปท่ามกลางคำครหาต่อว่าของผู้คนรอบข้าง

“โดนลุงเนศด่าแน่ แอบขโมยรถมา” คนเมาที่นั่งอยู่เบาะข้างบ่นพึมพำ

วิริยะผละจากทางเบื้องหน้า เพียงแค่ยกยิ้มเท่านั้น แม้สภาพตอนนี้ยังไม่ได้ดูร้ายแรง คาดว่าพรุ่งนี้หน้าคงเขียวช้ำไปหมด แล้วก็คงได้ฟังคำต่อว่าของบิดายาวเหยียดอีกรอบ เมื่อท่านเห็นเด็กหนุ่มในสภาพถูกหมาฟัด “ก็อย่าบอกพ่อซีพี่ เรื่องนี้เป็นความลับของเรานะ”

ทรายไม่ได้ตอบอะไรกลับมานอกจากยิ้มเท่านั้น มองทอดออกไปข้างนอก ปล่อยให้วิริยะนำพากลับไปยังที่บ้านอย่างวางใจว่าปลอดภัยแล้ว พร้อมกับความรู้สึกแปลกแยกภายในใจได้รับการสมานดูแลอย่างเชื่องช้า ในขณะที่ถ้อยคำยามวิริยะตะโกนบอกว่าหล่อนคือพี่สาวนั้น ยังคงก้องสะท้อนอยู่ในโสตประสาทไม่ยอมจางหายไป

 

ตั้งแต่กลับมาจากไร่รุ่งอรุณี วันนี้ก็ครบอาทิตย์แล้ว วิริยะลืมตานอนมองเพดานห้องพักของตนเอง คิดไปด้วยว่าคนที่ไร่กำลังทำอะไรอยู่ ป่านนี้คงกลับจากการพักผ่อนในวันหยุดกันหมดแล้ว จะมีใครคิดถึงเด็กหนุ่มบ้างไหม เขามาโดยที่ยังไม่ทันได้เอ่ยลาใครสักคำ แม้กระทั่งเชษฐ์ไชยก็ด้วย วิริยะปลีกตัวหายไปจากชีวิตอีกฝ่ายทั้งที่ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน

วันนี้เด็กหนุ่มตื่นตั้งแต่ตีห้า อาจเป็นเพราะความเคยชินที่ทำมาตลอดทั้งเดือนก็เป็นได้ ทำให้เขาไม่อาจข่มตานอนหลับต่อ ต้องลงไปทำความสะอาด ทำงานบ้านทั้งที่ตอนแรกก็กะว่าจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอิงอรกับทราย แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ช่วยแบ่งเบาภาระของพวกหล่อนคงไม่เป็นไร ที่สำคัญ หากเด็กหนุ่มไม่ได้ทำอะไรเลย คงวุ่นวายใจน่าดู

กว่าแม่เลี้ยงและพ่อจะตื่นวิริยะก็ทำงานทุกอย่างเสร็จแล้ว เด็กหนุ่มยิ้มให้ธเนศ แล้วขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว ไม่มีอะไรทำก็เดิน ๆ เล่น ๆ วนเวียนภายในห้อง หรือไม่ลงมาด้านล่าง หยิบจับโน่นนี่ทำแก้เครียด เอาเสียบ้านใหม่เอี่ยมไม่มีฝุ่นเกาะแม้แต่นิด ท่าทางคงแปลกในสายตาของแม่เลี้ยงและพี่สาวอยู่มาก พวกหล่อนทำได้เพียงมองตามแล้วครุ่นคิดว่าวิริยะคงมีเรื่องอะไรอยู่ในใจ กระทั่งเด็กหนุ่มขึ้นมาบนห้องพักของตัวเองอีกครั้ง แล้วหลับไป

วิริยะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาช่วงเย็นของวัน เป็นทรายเคาะประตูเรียกบอกว่ามีคนมาหา วินาทีแรกวิริยะคิดว่าเป็นเชษฐ์ไชย เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มกว้างแล้วรีบวิ่งลงไปด้านล่าง หากทว่ารอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าเจือจางลง เมื่อเห็นใครนั่งอยู่ในห้องรับแขก คนที่คิดว่าจะไม่ได้เจอกันอีก เหตุใดนั่งยิ้มหน้าแป้นแล้นรออยู่อย่างนี้ได้

“ไอ้อิก นี่มึงยังอยู่อีกเหรอ”

คนถูกทักคลี่ยิ้ม “เอ่อ ยังไม่ตาย ทักกูซะรู้เลยว่ารักมาก”

วิริยะมุ่นคิ้ว เดินไปทรุดนั่งตรงกันข้ามเพื่อน “แล้วทำไมยังไม่ไปอีก”

“ก็ พ่อกูดันไม่ยอมให้ไปอีกน่ะสิ กูโทรหามึงตั้งหลายทีก็ไม่ติด” อัศวินบอกด้วยรอยยิ้มแหย ให้คนฟังอ้าปากค้างด้วยความโมโห วิริยะเอื้อมไปทุบบ่าของมันด้วยความหมั่นไส้ ที่หลอกให้ร้องไห้ร้องห่มเสียใจตั้งนาน คิดว่าจะไม่ได้เจอกันบ่อย ๆ เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว แถมหลอกให้เขา...สารภาพไปแล้วว่าคิดยังไงกับเจ้าตัว

“มึงนะมึง หลอกให้กูตกใจ” วิริยะบ่น

คนนั่งข้างยิ้มจนตาหยีกับท่าทางแสนตลก มองเด็กหนุ่มอยู่แวบหนึ่ง คล้ายกำลังสำรวจว่าวิริยะเปลี่ยนไปตรงไหนบ้าง “มึงคล้ำลงนะ แถมดูอ้วนขึ้นด้วย จากที่คิดว่าจะอยู่ไม่ได้ อากูเลี้ยงซะเป็นหมูเลยเนี่ย” อัศวินยิ้มแล้วจับตัววิริยะไปพลาง

เด็กหนุ่มส่ายหน้า “น้ำหนักขึ้น แต่ไม่อ้วนเว้ย”

“เออ กูหมายความแบบนี้แหละ แต่ดีกว่าเมื่อก่อนนะ” เพื่อนรักตบบ่าบอก

“แล้วนี่มาหา คือคิดถึงกูว่างั้น” วิริยะยิ้มล้อแล้วเอนหลังพิงพนักโซฟาของบ้านอย่างสบายตัว ไม่สนเพื่อนที่หันมองตามอยู่ครู่หนึ่ง เห็นแล้ววิริยะก็คลี่ยิ้ม กระตุกดึงคออัศวินมากอดให้เอนหลังอยู่ข้างกันอย่างสบาย ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยกล้าทำ แต่วันนี้วิริยะไม่คิดก่อนเสียด้วยซ้ำ พลอยให้อัศวินนึกตกใจตามไปด้วย

“เมื่อวานไอ้มาร์คบอกกูว่ามึงไปหมี่เหลืองมา ทันทีที่อาเชษฐ์ได้ยิน แทบจะบุกมาถึงที่บ้านเลย”

วิริยะละรอยยิ้ม ไม่เข้าใจความหมาย “ทำไมอะ”

“ก็อาเชษฐ์อยากรู้ไงว่ามึงเป็นยังไงบ้าง”

รอยยิ้มบนใบหน้าของวิริยะจางหายไป “กูคิดว่าอาเชษฐ์กลับไปแล้วซะอีก”

คนกล่าวหลุบตาลงมองพื้น ไม่ใช่เลย เมื่อกี้เด็กหนุ่มเชื่ออย่างสนิทใจเลยว่าเชษฐ์ไชยแวะมาหา เขาดีใจและเสียใจที่ไม่ได้เป็นดังหวัง หรือเชษฐ์ไชยกำลังคิดถอยออกห่างไปเช่นกัน เมื่อกลับมาที่นี่ มารับรู้ว่าตัวเองมีหน้าที่อะไรที่ต้องแบกรับ มีใครตั้งความหวังไว้รออยู่ อีกฝ่ายอาจตัดสินใจใหม่เรื่องของเขาก็ได้ อาจล้มเลิกความตั้งใจที่จะมีเขาในชีวิตต่อไปแล้วก็ได้

ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี วิริยะไม่อยากให้ตัวเองรู้สึกผิดที่เชษฐ์ไชยเลือก

“ยังไม่กลับ แต่ว่าใกล้แล้วแหละ เห็นว่ามาเคลียร์อะไรสักอย่าง” อัศวินเล่า

“เที่ยวนี้อยู่นานเนอะ”

คนฟังจ้องตาวิริยะ “มึงไม่สนใจเลยเหรอว่าอาเชษฐ์รออะไร มึงงอนอยู่รึเปล่าเนี่ย”

“งอนบ้างอนบออะไร๊” วิริยะทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“ไม่คิดถึงเหรอ”

“คิดถึงอะไรคนหน้าโหดใจร้ายพรรค์นั้น ออกมาจากไร่ได้กูนี่โคตรโล่งใจ” คนพูดยิ้ม

“อ๊อ...เหรอ” อัศวินทำหน้าไม่เชื่อเมื่อได้ฟัง พร้อมเคลื่อนมือมายีผมหยอกล้ออยู่ในที ขณะที่ฝ่ายวิริยะทำได้เพียงคลี่ยิ้มกว้าง ต่อสู้แรงของเพื่อนรัก ไม่ยอมให้ผมเสียทรงฝ่ายเดียวได้ ท่ามกลางสายตาของทรายที่ลอบยืนดูอยู่ห่าง ๆ

อัศวินถามไถ่ความเป็นอยู่ของเด็กหนุ่มอยู่สักพักแล้วขอตัวกลับ นัดกันไว้ว่าอีกสองสามวันจะไปเจอกลุ่มเพื่อนที่ห้างเพื่อเที่ยวเล่นตามประสา วิริยะตอบรับเพราะตัวเองไม่ได้ทำงานพิเศษแล้ว ก่อนที่จะเดินกลับขึ้นไปห้องพัก ขณะก้าวเท้าไปที่ชั้นสอง เขาสวนทางกับทรายที่ดูเหมือนจะแอบฟังเรื่องของเชษฐ์ไชย เมื่อหล่อนเห็นสีหน้าอันผิดไปจากเมื่อครู่ของวิริยะก็รู้ดีว่าที่เด็กหนุ่มซังกะตายขนาดนี้เป็นเพราะใคร

“ชอบเขาเหรอ” พี่สาวถาม ยามลำขาวิริยะเดินไปถึงชั้นสอง

เด็กหนุ่มชะงักเท้า หันกลับไปหาเธอ “อะไรพี่ทราย...”

หล่อนเดินฉับตามมาหยุดตรงกันข้าม “ก็ตาหน้าโหด ๆ คนนั้นน่ะ”

“บ้า มะ ไม่ได้ชอบ”

“จะชอบก็ไม่ได้ว่าไรนี่”

เด็กหนุ่มหลุบตามองพื้นเมื่อได้ยินหล่อนว่า แสดงความมีพิรุธจนคนอายุมากกว่ารู้ทัน หากทว่าทรายไม่ได้พูดอะไรมาก นอกจากแสร้งพยักหน้ายอมเชื่อไปก่อน แล้วปล่อยให้วิริยะเดินเป็นร่างไร้วิญญาณเข้าไปที่ห้องพัก หล่อนส่ายหน้าหลังจากประตูปิดลง ไม่บอกก็รู้ว่าท่าทางเบื่อโลกอย่างนี้เป็นเพราะกำลังอกหักช้ำรักอยู่

ก็น่าช้ำอยู่หรอก ตาคนนั้นไม่น่าจะชอบเด็กผู้ชายได้...มั้ง แถมดูดี ๆ ก็หล่อด้วย

หล่อนยังมองไม่เห็นทางเลยว่าจะรักจะชอบกันได้ยังไง

 

ที่จริงก็คิดว่ามันดีแล้ว ที่เชษฐ์ไชยปล่อยให้เรื่องของทั้งสองคลุมเครือคาราคาซังอย่างนี้ ไม่ต้องโพนทะนาบอกใครว่าเป็นอะไรกัน แต่เอาเข้าจริงวิริยะกลับรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอกหัก ก็แหงแหละ เด็กหนุ่มยอมรับกับตัวเองไปแล้วนี่ว่าชอบอีกฝ่าย จะให้ไม่รู้สึกอะไรเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

เด็กหนุ่มนอนกลิ้งไปกลิ้งมาด้วยความหงุดหงิด เสียงโทรศัพท์ของวิริยะหวีดร้องบอกว่ามีใครต้องการคุยสายด้วย ซึ่งตั้งแต่ซื้อมาก็นับครั้งได้ เด็กหนุ่มเอื้อมมือยกมันขึ้นมาดู นึกแปลกใจที่เบอร์นี้ไม่คุ้นเอาเสียเลย แต่ถึงอย่างนั้นวิริยะก็ยังคงกดรับสาย “ฮัลโหล...”

ปลายสายเงียบไปพักหนึ่ง

“โทรติดด้วยแฮะ”

เสียงของเชษฐ์ไชยนี่!

“อาเชษฐ์!” วิริยะเหลือกตาแล้วลุกขึ้นยืนเหมือนทุกครั้งที่ตกใจ รู้สึกเหมือนใจหายวาบเพราะความตื่นเต้น ลำขาของเด็กหนุ่มพาให้เขาเดินวนไปมาภายในห้องพักนั้น โดยไม่ได้พูดอะไรอยู่เป็นนาที ไม่รู้จะตอบกลับไปว่าอะไรดี ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าปลายสายกำลังรออยู่ “ฮะ ฮัลโหล...”

“จู่ ๆ ก็เงียบ ไม่ดีใจเลยเหรอที่โทรไป” เชษฐ์ไชยถาม

วิริยะเดินไปทรุดตัวลงบนเตียง ผุดยิ้ม “ไม่เห็นดีใจเลย”

“ก็ว่าอยู่”

“ก็ว่าอะไรครับ” เด็กหนุ่มย้อน

“ถ้าคิดถึงคงไม่ปล่อยให้รอขนาดนี้หรอก” เสียงของอีกฝ่ายเรียบเสมือนไม่ได้คิดอะไรนัก หากทว่าถ้อยคำกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความน้อยใจอย่างเคยพูดก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มลอบถอนใจอยู่พักหนึ่งจึงกรอกเสียงพูดกลับไปว่า “แล้วจะให้ติดต่อไปยังไง แต่อาเชษฐ์ก็รู้ว่าบ้านผมอยู่ไหนนี่”

“เธอก็รู้ว่าบ้านพี่อยู่ไหนเหมือนกัน” ปลายสายย้อน

“จะโทรมาเถียงกันเหรอฮะอาเชษฐ์” เด็กหนุ่มคลี่ยิ้ม เอนตัวลงนอนบนเตียง ภาพบนเพดานปรากฏใบหน้าครึ้มไปด้วยหนวดเคราของคนคุยสายด้วย แต่เป็นเวอร์ชั่นกำลังส่งยิ้มหวาน สบตา แล้วเอ่ยปากบอกมาตรง ๆ กับวิริยะว่า “ซะที่ไหนละ ก็คิดถึงไงถึงได้โทรไป แต่ไม่คิดว่าจะติดหรอก ทำใจไว้แล้วว่าจะไม่ได้คุย”

“แล้ว...”

“แล้วก็ถูกลอตเตอรี่ไง” น้ำเสียงของเชษฐ์ไชยอบอุ่นจนวิริยะหลุดยิ้มอีกครั้ง

“เมื่อไรจะเลิกทำตัวเว่อร์อย่างนี้น่ะครับ”

“วิว พี่กำลังจะกลับไร่ ขอไปเจอก่อนได้ไหม” เชษฐ์ไชยพูดถึงเรื่องที่ต้องการขึ้น วิริยะละรอยยิ้มลงเมื่อคิดว่ากำลังจะได้เจอหน้า แล้วหวนคิดถึงบางสิ่งบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็รู้สึกกลัว กลัวสายตาของใครต่อใคร กลัวสิ่งที่เชษฐ์ไชยมีอยู่นั้น พังทลายลงไปครืนเดียวเพียงเพราะเขาเป็นตัวต้นเหตุ และสุดท้าย วิริยะกลัวว่าตัวเองจะรับไม่ไหวกับผลกระทบตามมา

ถึงแม้เชษฐ์ไชยจะเข้มแข็ง แต่วิริยะรู้ดีว่าการเป็นเชษฐ์ไชยไม่ง่ายเลย เขาไม่อาจทนปล่อยให้อีกฝ่ายรับแรงกดดันอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว

การตัดสินใจแบบนี้แหละถูกที่สุด เด็กหนุ่มสูดลมหายใจ ตอบกลับไป

“อาเชษฐ์ไม่ต้องมาหรอก ถ้าจะกลับก็กลับไปเลย”

“หมายความว่าไงน่ะวิว” เสียงของอีกฝ่ายแปลกใจ

หัวใจวิริยะเต้นเป็นระส่ำ กลัวเชษฐ์ไชยไม่เชื่อ

“ที่ผมไม่ติดต่อกลับไป อาเชษฐ์ก็น่าจะรู้แล้วนี่ว่าคำตอบผมหมายความว่าไง ผมไม่ได้ชอบอาเชษฐ์...ความรู้สึกของผมในตอนนั้นก็แค่สับสน เมื่อผมกลับมาที่นี่ ผมก็ได้รู้ว่าผมตัดใจจากคนที่ตัวเองเคยชอบไม่ได้จริง ๆ”

“วิว...”

เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจ ไม่อยากฟังเสียงของเชษฐ์ไชยเลย “แค่นี้นะครับ”

“วิว!”

“อาเชษฐ์ไม่ได้เป็นเกย์ อาเชษฐ์แค่หลงผิดไป โอเคนะครับ”

“วิว วิว!” เชษฐ์ไชยเสียงดัง

วิริยะกดปุ่มวางสายแล้วซุกหน้าลงกับหมอนเพื่อตั้งสติให้ตัวเอง เขาทำถูกแล้ว ให้เสียใจกันตอนนี้ดีกว่าต้องทนนั่งมองเชษฐ์ไชยเจ็บปวดกับการฝ่าฟันเรื่องยากข้างหน้าอย่างเห็นแก่ตัว มันไม่ใช่นิสัยของเด็กหนุ่มอย่างที่คิดไว้ตั้งแต่แรก ต่อให้ออกคำสั่งตัวเองเท่าใดวิริยะก็ทำไม่ได้ ต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลมอย่างนี้น่ะถูกแล้ว

พอกันที ให้มันจบลงแค่นี้พอ

แต่นอนอยู่บนเตียงบอกตัวเองให้ไม่ฟุ้งซ่านได้ไม่เท่าไร เสียงออดบ้านวิริยะดังระรัวถี่ราวกับที่ไหนกำลังไฟไหม้ เด็กหนุ่มยกหน้าแดง ๆ ออกจากหมอนแล้วรู้สึกถึงความร้อนแล่นเข้ามาสู่ใบหน้า อย่าบอกเลยว่าคนที่มาพังกริ่งที่นี่เขาคือเชษฐ์ไชยที่บึ่งรถมา คิดแล้วลำขายาวก็พาเด็กหนุ่มกระโดดลงจากเตียงแอบดูอยู่หลังหน้าต่าง เห็นตากอริลล่าหน้าโหดกำลังเอาเป็นเอาตายกับการกดเรียก กระทั่งเห็นทรายวิ่งออกไป

เดี๋ยวซี เกิดเชษฐ์ไชยบอกพี่สาวเขาว่าเป็นอะไรกันกับวิริยะ มันก็แย่น่ะซี!

เด็กหนุ่มเหลือกตา วิ่งกุลีกุจอออกไปหาเชษฐ์ไชยโดยไม่กลัวตัวเองจะล้มหัวคะมำ ขณะที่ทรายกำลังจะไปถึงประตู ด้วยความที่ซ้อมวิ่งมาตั้งแต่หนีเชษฐ์ไชยตอนอยู่ไร่ วิริยะรักษาความเร็วของตัวเองแซงพี่สาวไปดักหน้า กั้นไม่ให้ไปรับแขก บอกหล่อนว่าจะต้อนรับเชษฐ์ไชยด้วยตัวเอง ตอนแรกทรายทำทีจับพิรุธ แต่ก็ยอมเดินกลับเข้าบ้านไปในท้ายที่สุดเมื่อเหลือบเห็นเชษฐ์ไชย

“วิว ออกมาคุยกันเดี๋ยวนี้เลย” เชษฐ์ไชยเรียก

เด็กหนุ่มหันกลับไปเปิดประตูบานเล็ก ไม่ได้ให้เชษฐ์ไชยเข้ามาข้างใน พยายามปรับสีหน้าให้เรียบนิ่ง เชษฐ์ไชยจะได้รู้ว่าสิ่งที่พูดไปเมื่อครู่นั่นเอาจริง ไม่ได้พูดติดตลกแต่อย่างใด ซึ่งอีกฝ่ายก็คงไม่สนุกด้วยเช่นกัน เจ้าของตัวใหญ่เองก็มีทีท่าเคร่งเครียดไม่ต่างจากวิริยะนัก

“พูดอะไรออกมา ทำไมไม่เคลียร์กันให้เข้าใจ”

เด็กหนุ่มถอนใจ มุ่นคิ้วเงยขึ้นสบตา “ขอโทษนะ แต่ผมว่าผมพูดเคลียร์แล้ว”

“เคลียร์บ้าอะไร ที่แป็นแบบนี้ก็เพราะห่วงพี่ไม่ใช่เหรอ พี่รู้หรอกน่า!”

“เปล่า ผมห่วงตัวเองต่างหาก ผมไม่อยากให้พ่ออายเขาที่มีลูกเป็นเกย์ ส่วนอาเชษฐ์ก็มีลูกมีเมียดีอยู่แล้ว ลองคิดดูสิว่าถ้ามีใครรู้เรื่องของเรา เราได้จบเห่แน่” เด็กหนุ่มตอบตามความจริง

“ไม่มีใครจบทั้งนั้นแหละวิว ทำไมไม่เชื่อใจกันบ้าง”

“ที่สำคัญ อาเชษฐ์ครับ ผมยังรักคน ๆ นั้นอยู่...” เด็กหนุ่มตอบเสียงเบาแล้วเงยขึ้นจ้องตาให้คำสัตย์จริง “ที่จริงอาเชษฐ์ก็ดี และผมชอบอาเชษฐ์ แต่เผอิญว่ามันไม่มากพอที่จะต้องอดทนเจอเรื่องราวมากมายในอนาคตได้ อาเชษฐ์เข้าใจความรู้สึกผมไหมครับ”

คนตรงหน้าพูดไม่ออก ทำได้เพียงขบฟันจ้องตาเด็กหนุ่มเขม็ง จะเพราะความโกรธเคืองหรือเสียใจวิริยะไม่อาจเดาได้ เด็กหนุ่มรู้เพียงว่าตอนนี้หัวใจของตัวเองก็แหลกสลายพอ ๆ กัน กล่าวต่ออีกว่า “อาเชษฐ์จะโกรธจะเกลียดผมยังไงก็ได้ แต่ผมไม่เลือกอาเชษฐ์ ผมเลือกตัวเอง กับอีกคนที่ผมชอบมากกว่า”

คนตรงหน้าโคลงศีรษะ “ทำไมทำแบบนี้น่ะวิว”

วิริยะไม่รู้ว่าเชษฐ์ไชยหมายความว่าอะไร เด็กหนุ่มยังคงยักไหล่

“แล้วจะให้ผมทำแบบไหน”

“ก็บอกแล้วไง ถ้ากังวลใจอะไรก็บอกกันตรง ๆ”

“พอทีเถอะอาเชษฐ์”

“เธอไม่ใช่คนแบบนี้หรอก พี่รู้”

“สิ่งที่อาเชษฐ์รู้อาจไม่ใช่ความจริงก็ได้ เรารู้จักกันนานแค่ไหนเชียว” วิริยะเถียง สีหน้าเพิ่มความจริงจังมากขึ้นไปอีกระดับเมื่อเห็นว่าเชษฐ์ไชยไม่พูดอะไรสวนกลับ เพราะกำลังคิดว่าเด็กหนุ่มพูดถูก “ผมจะบอกความจริงให้ก็ได้ว่าทำไมถึงทำแบบนี้ อาเชษฐ์คิดถูกตั้งแต่แรกแล้วว่าผมบ้าเงิน ผมบ้าความสบาย ที่ทนอยู่นั่นต่อก็เพราะแค่อยากเอาชนะอาเชษฐ์แค่นั้นแหละ ไม่ได้ดีเด่อะไรไปกว่าใครหรอก แล้วรู้อะไรไหม ผมโคตรดีใจเลยที่รู้ว่าอาเชษฐ์คิดยังไงกับผม”

คนตรงหน้านิ่งไป

“ผมสนุกมาก ที่ทำให้อาเชษฐ์เป็นบ้าเป็นหลังวิ่งไล่ตาม...”

“วิว!” น้ำเสียงของเชษฐ์ไชยเย็นเยียบ “เธอไม่ได้อยากพูดเรื่องนี้หรอก”

“ฮะ ๆ ๆ ๆ” วิริยะหัวเราะ “ก็คงใช่ แต่มาคิดอีกทีแล้วผมยังใจดีนะ ที่บอกอาเชษฐ์ตรง ๆ ไม่หนีหายไปอย่างคุณรตรีอะไรนั่น ผมไม่อยากซ้ำเติมให้อาเชษฐ์เป็นทุกข์ไปกว่าเก่า แค่สภาพตอนนี้ก็ไม่มีใครจะเอาแล้ว”

เชษฐ์ไชยมองใบหน้าแดงก่ำของคนตรงหน้าขณะเอ่ยพูด ความรู้สึกเหมือนโดนกำมือเล็กนั่นบีบหัวใจจนนึกหาคำตอบโต้ไม่ได้ นอกจากนิ่งฟัง ให้วิริยะพล่ามเสียให้พอใจ ให้เผยความรู้สึกจริง ๆ ออกมา เขาจะได้ตาสว่างแล้วหันหลังให้เจ้าตัวอย่างเต็มภาคภูมิสักที หลังจากแอบคิดมาอย่างน้อยใจตลอดว่าความรักนี้เป็นเขาฝ่ายเดียวเท่านั้นที่มีใจ

“ผมรู้ดี คนที่ผมชอบเขาไม่ชายตามองผมหรอก” วิริยะเงยดวงตากลมมาสบ แล้วยกยิ้มเพียงน้อยนิดให้ มองเชษฐ์ไชยตั้งแต่หัวจรดเท้าให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าถูกดูถูก “แต่ผมก็ไม่เอาอาเชษฐ์เหมือนกัน ผมอาย อายที่จะเป็นอะไรกับอาเชษฐ์ อายที่จะให้ใครรู้ว่าเราเป็นอะไรกัน”

ใบหน้าของผู้ฟังร้อนรุม ภายในใจชาดิกไปหมดเมื่อได้ยินถ้อยคำที่วิริยะกล่าว

“พอแล้ว...” เชษฐ์ไชยพยักหน้ารับเล็กน้อยเท่านั้น บอกไปว่าตอนนี้เข้าใจแล้ว นัยน์ตาคมสบที่วิริยะไม่ผละไปที่ไหน แต่แทบไม่มีแรงกล่าว “ถ้าจุดประสงค์เพียงเพราะอยากให้ถอยออกจากชีวิต แค่นี้ก็พอแล้วแหละ”

วิริยะนิ่ง ใจเต้นตึกเมื่อท่าทีที่เคยแสดงความขึ้งโกรธนั้นผ่อนลง

เหมือนตอนนั้นเลย ตอนที่เขาโกรธเชษฐ์ไชย โกรธและคิดขึ้นมาได้ว่ามันช่างเสียเวลาเหลือเกิน หากจะต่อปากต่อคำกับอีกฝ่าย อยากหนีไปให้พ้น ๆ แล้วไม่ต้องมาเจอะเจอกันอีก

หรือเชษฐ์ไชยกำลังคิดแบบนั้นอยู่เหมือนกันหนอ

“ขอโทษก็แล้วกัน ที่ทำให้ลำบากใจ ขอโทษจริง ๆ นะวิว”

สีหน้าของคนกล่าวราวไม่มีชีวิตชีวา แหบพร่าสั่นไหว นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่เชษฐ์ไชยพูดด้วย จากนั้นร่างสูงใหญ่ก็เดินอ้อมไปขึ้นรถแล้วบังคับขับเคลื่อนออกไปโดยไม่มีแม้แต่คำลา เด็กหนุ่มมองตามจนสุดสายตา เห็นว่าหลังจากพูดคำเหล่านั้นแล้วอีกฝ่ายก็ไม่หันกลับมาหาวิริยะอีกเลย ยอมล่าถอยไปจากชีวิตของเด็กหนุ่มอย่างไม่ดื้อรั้น ทั้งที่เชษฐ์ไชยควรโมโหและเป็นเดือดเป็นร้อนมากกว่านี้

หรือเจ้าตัวไม่ได้เอ็นดูเขามากมายขนาดนั้น

หรือไม่

เชษฐ์ไชยคงรู้อยู่แก่ใจแล้วกระมัง จากท่าทีที่เด็กหนุ่มแสดงออกมาโดยตลอด

ใจร้ายจัง

วิริยะลากเท้าเดินเอื่อยกลับเข้ามาในรั้วของบ้าน รู้สึกเหมือนตัวเองหนักราวแบกโลกไว้ทั้งใบ จากที่คิดและทำใจไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เด็กหนุ่มกลับรู้สึกเหมือนจะขาดใจ เมื่อภาพสีหน้าอันผิดหวังของเชษฐ์ไชยขณะหมุนตัวเดินกลับไปขึ้นรถนั้น ยังคงตราตรึงอยู่ในใจจนไม่อาจลบออกไปได้

ลำขาของวิริยะชะงัก เมื่อพ้นประตูรั้วเข้าไปแล้วพบทรายยืนกอดอกรออยู่ เมื่อเห็นสีหน้าของพี่สาว หล่อนกำลังโคลงศีรษะให้คล้ายว่าระอากับสิ่งที่วิริยะทำ ความรุมร้อนและอะไรที่พยายามปกปิดไว้กลับล้นทะลักออกมาจนไม่อาจห้ามปรามได้ น้ำตาวิริยะไหลราวเขื่อนแตก โผกอดทรายปล่อยน้ำตาร้องไห้อยู่ตรงนั้น ผ่านมาไม่กี่นาทีแท้ ๆ รู้สึกผิดจนไม่สามารถอดทนได้แล้ว

“ทำอะไรลงไปเนี่ย ไอ้โง่เอ๊ย...”

ใช่ ทำไมเขาถึงได้โง่ขนาดนี้

ในหูของวิริยะได้ยินเพียงเสียงสะอื้นร้องไห้ของตัวเอง คำกล่าวสุดท้ายของเชษฐ์ไชย ยังคงหวนกลับมาเสียดแทงอกอยู่ซ้ำ ๆ และคำปลอบของทราย ไม่ได้ลดทอนความเจ็บปวดในใจวิริยะลงไปได้เลย

--๑๐๐--

----------------------------------------------------------

แง้ๆๆ ก็จะมีความดราม่าหน่อยๆ

เดี๋ยวตอนหน้าก็ดีขึ้น กลับมาเจอกันแล้วเด้อ บวกกับฝ่ายน้องวิวเป็นคนตามง้อสามีบ้าง

แล้วความรักของทั้งสองจะจบลงยังไง ติดตามจ้าาาา

ออฟไลน์ ●GreenTEA●

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
เลิกสับสนได้แล้ววิว

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
มีสามีหล่อล่ำปล้ำง่ายขนาดนั้น ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ ตามป้ายรถเมล์ ยังมาเรื่องมากอีกนะวิว
เดี๊ยวปั๊ด  :beat: :beat:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
 :z6: ไม่มีอะไร แค่ถีบเรียกสตินะวิว

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
ฮืออออ น้องวิว ทำไมทำแบบนี้อ่ะลูกกก
สงสารทั้งคู่เลยเนี่ย

ออฟไลน์ pigarea

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
วิวววววว  คิดอะไร​มาก​ไป​

ออฟไลน์ T_TARS

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
หนูวิว กลับไปง้อเจ้าชายอสูรเดี๋ยวนี่เลย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด