ตอนที่ ๒๐
1 ปีผ่านไป
ชีวิตเฟรชชี่ปีหนึ่งในมหาวิทยาลัยเริ่มได้สักพักแล้ว ซึ่งก็วุ่นวายมากด้วย ย้อนไปช่วงมัธยมปลาย วิริยะเคร่งเครียดกับการสอบโน่นนี่จนลืมคิดถึงบางสิ่งที่ขาดหายไป แรก ๆ ก็รู้สึกปวดใจ ห่วง เป็นกังวลอยู่หลายอย่าง แต่เมื่อเหลียวหลังกลับไปเห็นพ่อที่คอยให้กำลังใจและคาดหวังอยู่ เด็กหนุ่มก็คิดว่าต้องตั้งใจทำสิ่งตรงหน้าให้สำเร็จก่อน ไม่ควรจมอยู่กับเรื่องข้างหลัง
วิริยะสอบติดที่เดียวกันกับทรายในคณะวิศวะอย่างที่ตัวเองหวัง เขาบอกว่าอยากเก่งเหมือนพ่อ เด็กหนุ่มมีโอกาสได้ออกไปทานข้าวนอกบ้านกับธเนศและเพื่อนอยู่บ่อยครั้ง ทุกครั้งท่านจะยิ้มหน้าบาน อวดลูกชายกับเพื่อนรุ่นเดียวกันว่าเรียนติดที่เดียวกันกับตัวเอง พลอยให้วิริยะรู้สึกมีความสุขไปด้วย
วิริยะรู้ว่าการใช้ชีวิตแบบมีจุดหมายมันคุ้มค่า และเขารอให้ถึงวันนั้นไม่ไหว
แต่ในอีกส่วนที่ยังไม่รู้เลยว่าจะจบยังไง เด็กหนุ่มก็เหมือนคนงมทางในความมืดเช่นกัน
เชษฐ์ไชยลืมเขาไปแล้วหรือ เหตุใดจึงไม่ติดต่อมาบ้างเลย วิริยะเอาแต่ร่ำร้องถามตัวเองอยู่ในใจ
ดูเหมือนสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวจิตใจได้ คือการนอนมองรูปในมือถือของตัวเอง ดูภาพนายใหญ่แห่งไร่รุ่งอรุณีในอิริยาบถต่าง ๆ ที่ตัวเองแอบถ่ายเก็บไว้เพื่อคลายความคิดถึง ภาพที่เชษฐ์ไชยจดจ่อเคร่งเครียดอยู่กับงานยังดูมีเสน่ห์ต่อวิริยะ ไม่เว้นแม้แต่ตอนที่เจ้าตัวกำลังขมวดคิ้วมุ่นครุ่นคิด เห็นแล้วความรู้สึกอบอุ่นก็ผุดขึ้นมาอยู่ในใจ
แต่ติดตรงที่ว่ามันแย่ยิ่งกว่าเก่าน่ะซี ยิ่งเห็น ยิ่งคิดถึง
ตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตโดยปราศจากเชษฐ์ไชยในหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ดูเหมือนบิดาของเขาจะไม่ต้องรอให้ลูกชายเล่าอะไรให้ฟัง คงรู้ไปหมดแล้วว่าวิริยะรักเชษฐ์ไชยขนาดไหน เมื่อถึงข่าวธุรกิจทีไร จากที่กำลังง่วนอยู่กับสิ่งอื่น วิริยะก็วิ่งโร่มานั่งดู แถมเปิดเสียงดังแทบบ้านจะแตก ทั้งที่ภายในข่าวไม่ได้กล่าวถึงครอบครัวของเชษฐ์ไชย หรือจะมี ส่วนมากก็เห็นพูดถึงอัฐษไชยที่รักษาการแทนเท่านั้น
“หนวกหูโว้ย หรี่เสียงลงได้แล้ว ดูยังไงเขาก็ไม่มาหาหรอก”
“แม่!” ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร มารู้ตัวอีกทีทรายก็ทำหน้าที่ปรามมารดาตัวเองยามปากไม่ดีเข้าแล้ว
“ก็พูดจริงนี่นา นี่ที่ป้าบอกเพราะหวังดีหรอก” อิงอรพูด
วิริยะถอนใจ “ก็อาเชษฐ์เขายุ่งอยู่นี่”
“ยุ่งอะไร จะบอกให้ คนเราถ้ามีใจ ต่อให้ยุ่งขนาดไหนก็ปลีกตัวมาหาได้”
“แม่!”
“เอ๊ะนั่งนี่ แกน่ะเข้าข้างน้องแก ระวังมันจะน้ำตาเช็ดหัวเข่าเอาเถอะ ถ้ากลับไปอีกทีเขามีลูกมีเมียแล้วน่ะ วิว...ที่ป้าพูดตรง ๆ น่ะ พูดในเชิงความเป็นไปได้นะ เขาทั้งหล่อทั้งรวย ตอนนี้ผู้หญิงเข้าแถวถวายตัวให้ทั้งจังหวัดแล้วมั้ง” นางล้างถ้วยล้างชาม จีบปากจีบคอพูดไปด้วย พลอยให้หน้าของวิริยะเหลือสองนิ้วเพราะขบคิดตาม
“ขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าไปลูก”
ธเนศมองลูกชายแล้วก็เอาแต่ส่ายหน้า นึกถึงวันที่เกิดเหตุร้ายกับวิริยะขึ้นมา ที่โรงพยาบาลในวันที่เชษฐ์ไชยไปพบวิริยะนั้น เจ้าตัวได้สารภาพเรื่องสถานะของตนกับวิริยะออกมาแล้วหมดสิ้น อันเป็นต้นเหตุให้ธเนศต้องรีบพาลูกชายกลับบ้านมาก่อน ทั้งที่วิริยะไม่เต็มใจ
เขายังมีบางอย่างที่ยังไม่ได้บอกลูกชาย เพราะรอเวลาอยู่ รอว่าเมื่อไรเชษฐ์ไชยจะพร้อมเดินกลับมา เพราะฝ่ายลูกชายของเขายังคงยึดมั่นในสิ่งที่เชษฐ์ไชยขอร้องโดยไม่ปริปากบ่น ไม่จู้จี้ถามหา และทำหน้าที่ลูกอย่างดีจนธเนศภาคภูมิใจได้ คนเป็นพ่ออย่างเขา เห็นทีต้องตอบแทนในสิ่งที่ลูกชายทำให้บ้าง
คิดแล้วผู้เป็นพ่อก็ทอดถอนใจ มองวิริยะที่เดินลากเท้าขึ้นไปพักด้านบนเพียงลำพัง
แต่ก็รู้ ว่าเจ้าตัวไม่ได้ลืมเชษฐ์ไชยเลยสักวินาที
จะมีก็แต่ฝ่ายนั้นนั่นแหละ ลืมลูกชายของเขาไปแล้วหรือไร ถึงไม่ได้ติดต่อมาเลย...
ภายในห้องพักของวิริยะมืดมิด มีเพียงแสงของโทรศัพท์เท่านั้นที่แผ่กระจายไปทั่ว วิริยะมุ่นคิ้วจ้องภาพชายหนุ่มในความทรงจำของตัวเองเขม็งอย่างไม่เชื่อสายตา คิดถึงใบหน้าของอัฐษไชยเมื่อครู่แล้วเกาศีรษะ ต่อว่าตัวเองว่าอาจบ้าเพราะความคิดถึงไปแล้วก็ได้ เหตุใดช่วงนี้ตาฝาดเฝื่อน มองใครต่อใครว่าเป็นเชษฐ์ไชยไปหมด ถึงจะไม่ได้เจออีกฝ่ายเป็นปี เขาก็แยกออกอยู่ดีว่าคนไหนพี่ คนไหนน้อง ไม่มีทางจำผิดแน่
แล้วไหงวันนี้ใบหน้าของอัฐษไชยถึงได้คล้ายเชษฐ์ไชยนัก เขาบ้าไปแล้วแน่ ๆ บ้าจนต้องแอบมาเปิดดูรูปของเชษฐ์ไชยในโทรศัพท์อีกทีเพื่อความแน่ใจ นี่สรุปตัวเขาเองก็ค่อย ๆ ลืมภาพใบหน้าของอีกฝ่ายไปเหมือนกันหรือ
แล้วเชษฐ์ไชยเล่า ป่านนี้จะลืมหน้าของเขาไปหรือยัง
“อาเชษฐ์...”
คิดถึงแทบเป็นบ้า
ถึงจะโดนพ่อไล่ให้ขึ้นมาอาบน้ำ แต่วิริยะฟุบหลับไปทั้งอย่างนั้น มารู้ตัวอีกทีก็เช้าแล้ว และวันนี้เป็นวันสำคัญต่อเขามาก ต้องรีบอาบน้ำลงไปตักบาตรกับครอบครัว เพราะเป็นวันแรกที่ใช้ชีวิตการเป็นชายหนุ่มอย่างเต็มตัว ครั้นแล้วธุระก็รีบลงไปด้านล่าง ไปถึงเห็นธเนศยิ้มกว้างทักทายในขณะป้าและพี่สาวกำลังทำงานบ้าน “ไง ไอ้หนุ่ม”
วิริยะคลี่ยิ้มเขิน เดินไปหยุดยืนตรงหน้า “ฮึ ผมสูงกว่าพ่อแล้ว”
“เออ ชนะไปเลย” พูดจบ เสียงหัวเราะของสองพ่อลูกก็ประสานกัน
“เอ้อ เดี๋ยววันนี้ผมต้องออกไปเจอไอ้อิกกับพี่รหัสนะครับ เขาบอกจะเลี้ยงข้าว” วิริยะพูดขึ้น
“ให้พ่อออกไปส่งไหม”
“โหย ไม่ต้องหรอกครับพ่อ ผมโตเป็นหนุ่มแล้วนะ”
“โตเป็นหนุ่มรึโตเป็นสาว” อิงอรแซว
ได้ฟังวิริยะก็ยู่หน้า “ถามแบบนี้ เห็นหน้าผมสวยกว่าลูกสาวป้าอรเหรอครับ”
คนอีกฝั่งหันขวับ “เฮอะ! ฉันอยู่ดี ๆ นะเนี่ย จะทะเลาะกันไม่ต้องมาพาดพิงถึงกันจะได้มะ” ทรายทำเสียงงอน แล้วทุกคนก็หัวเราะขึ้นมา เห็นแล้ววิริยะก็คลายความรู้สึกค้างคาใจของตัวเองเมื่อคืนไปนิดหน่อย เมื่อเห็นว่าสมาชิกในบ้านสนิทสนมกลมเกลียวกันมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน
หลังรับพรจากพระและกรวดน้ำแล้ว ทุกคนก็กลับมาทานมื้อเช้ากันก่อน วิริยะนัดกับรุ่นพี่ว่าจะทานมื้อเที่ยงกัน จึงคิดว่าควรออกไปสาย ๆ หน่อย เพราะถึงอย่างไรต้องพาแกไปเลือกของขวัญให้แฟนอยู่แล้ว ครั้นแล้วเสร็จธุระ เขาก็หยิบกระเป๋าขึ้นสะพายบนบ่า โทรศัพท์ แล้วหยิบของเล็ก ๆ น้อย ๆ ใส่ตามไปด้วย ก่อนจะจ้ำลงบันไดไปยืนรอแท็กซี่อยู่ข้างนอก จุดมุ่งหมายคือห้างสรรพสินค้าที่เดิม
ไปถึง ยังไม่ทันลงจากรถดีเสียด้วยซ้ำ พี่รหัสคู่ซี้ก็โทรตามเขาแล้ว เด็กหนุ่มส่ายหัวด้วยรอยยิ้มแล้วกดรับสายในขณะที่จ่ายเงินค่ารถไปด้วย “ว่าไงพี่กันย์ ถึงแล้วพี่ เจอกันข้างใน แล้วไอ้อิกละมายัง” ว่าพลางปิดประตูรถแล้ววิ่งเข้าไปด้านใน จากที่ตากแดดร้อน พอเข้าไปเจอไอเย็นของเครื่องปรับอากาศก็ทำวิริยะชะงักได้เหมือนกัน
“มึงอยู่ตรงไหน”
“เพิ่งเข้ามาเองพี่”
“กูก็เพิ่งมาเหมือนกัน นั่น! กูเจอมึงแล้ว” หลังรุ่นพี่พูดจบก็วางสาย วิริยะกวาดสายตาไปเห็นพี่ชายตัวใหญ่กว่ายกมือกวักเรียกอยู่แต่ไกลก็รีบคลี่ยิ้ม เดินตรงไปหา ยังไม่ทันได้คำตอบว่าเพื่อนรักมาหรือยังก็พอรู้ว่าไม่ เพราะตอนนี้เห็นอีกฝ่ายยืนรอเขาอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น “ไอ้อิกยังไม่มาเลยเนี่ย เราไปเดินเลือกของกันก่อนไหม จะได้ใช้เวลาคิดนานกว่าเก่า”
วิริยะพยักหน้ารับเห็นด้วย แล้วก็พากันหมุนตัวเดินไปที่ลิฟท์ ด้วยความคุ้นชินที่ถูกคนตัวสูงกว่าใช้เป็นที่พักลำแขน ตั้งแต่สมัยอัศวินและกลุ่มบอยแบนด์ภูธรแล้ว วิริยะเลยเมินเฉยเวลาที่ถูกใครกอดคอไป นอกเสียจากตอนที่มีใครมองตามด้วยสายตาแปลก ๆ เช่นนี้ เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดี เพราะคนที่กอดคอเขาอยู่เป็นถึงเดือนมหาวิทยาลัย ความหล่อเหลามองเห็นไกลตั้งแต่ร้อยเมตรโน่น
น่า...แค่เพื่อนกอดคอกัน ใครเขาก็ทำ
“มึงว่ากูควรซื้ออะไรดีวะ” กันย์ถามขึ้น ขณะยืนรอกันอยู่หน้าลิฟท์
“ไม่ได้คิดไว้แล้วหรอกเหรอ ช่วงนี้พี่เขาไม่บ่นว่าอยากได้อะไรเป็นพิเศษเลยรึไง”
“โหย! มันไม่บ่นอะ มันบอกตรง ๆ เลยว่าอยากได้โทรศัพท์ใหม่ แพง!”
“ขี้งก” เด็กหนุ่มย่นหน้า ถ้าเป็นเขาขอเชษฐ์ไชยคงได้ตั้งแต่เดี๋ยวนั้นเลย
“เออ เห็นหล่อ ๆ อย่างนี้แต่จนนะเว้ย” ไม่พูดเปล่า รุ่นพี่ล็อกคอวิริยะเข้ามาใกล้ทำท่าจะเขกมะเหงกที่กล้าว่า ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเด็กหนุ่มที่ดิ้นหนี ทั้งสองหยอกล้อกันอยู่เช่นนั้น กระทั่งประตูลิฟต์เปิดออกเผยให้เห็นผู้ที่ยืนอยู่ด้านในสามสี่คน ซึ่งเป็นผู้ชายที่เด็กหนุ่มคุ้นหน้าคุ้นตาดี ดีเสียจนคิดว่าตัวเองอาจตาฝาดไปแล้วก็ได้
“อาเชษฐ์!”
เห็นแล้วกันย์ก็ดึงวิริยะหลบให้เดินออกมา ในขณะที่เด็กหนุ่มเบิกตาตกใจราวกับเห็นผี จ้องชายตัวใหญ่สวมสูทผูกเนคไทเดินออกมาพร้อมกับคู่ค้า อีกฝ่ายเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความแปลกใจที่เห็นวิริยะและผู้ชายคนอื่น ยืนหัวเราะสนุกสนานกันอยู่ตรงนี้ ชายหนุ่มยกยิ้มเล็กน้อยเท่านั้นเป็นการตอบ “อะไรกันวิว ไม่ได้เจอหน้าพักเดียวก็ทักกันผิดซะแล้ว”
วิริยะนิ่งไปเมื่อเห็นสายตาสุขุมใจดีของอีกฝ่าย “อะ อาอัฐษ์เหรอ”
“ก็ใช่น่ะซี ถึงอาจะหล่อ แต่ก็หล่อสู้อาเชษฐ์ของวิวไม่ได้หรอก” อีกฝ่ายตอบสุขุม
ได้ฟังแล้วเด็กหนุ่มยังนิ่ง จ้องตาชายอาวุโสกว่าตรงหน้าด้วยต้องการทราบว่าจริงหรือไม่ ถึงแม้อีกฝ่ายจะดูผิวสะอาดสะอ้านมากขึ้น ปล่อยผมลงมาปิดหน้าผาก และดูผอมลงไปมากจนหุ่นใกล้เคียงกับอัฐษไชยแล้วก็จริง แต่มีความรู้สึกบางอย่างบอกเด็กหนุ่มว่าคนตรงหน้าไม่ใช่อัฐษไชยอย่างที่เห็น
“คุณอัฐษ์จะไปไหนต่อรึเปล่าครับ” เลขาพูดแทรก
ตกลงวิริยะลืมเชษฐ์ไชยไปแล้วจริง ๆ หรือเนี่ย
แม้กระทั่งความรู้สึกตอนอยู่ด้วยกันก็ยังลืมไป สับสนไปหมด
“อ้อ กะว่าจะเลี้ยงข้าวหลานหน่อยน่ะ คุณกลับไปก่อนได้เลย เดี๋ยวผมไปส่งลูกค้าเอง วิวรออาอยู่ตรงนี้ก่อนนะ” อัฐษไชยยิ้มให้วิริยะ วางมือลงบนศีรษะเด็กหนุ่มเหมือนที่เคย เป็นรอยยิ้มสุขุมใจดีอย่างที่มักทำบ่อย ๆ หากทว่าความรู้สึกของวิริยะตอนนี้มันแปรปรวนไปหมดจนพูดไม่ออก ทำได้เพียงพยักหน้ารับผู้อาวุโสกว่าเท่านั้น และมองตามแผ่นหลังกว้างใหญ่ของอีกฝ่ายโดยไม่วางตา
“มีเจ้ามือแล้วโว้ย” กันย์คลี่ยิ้ม เลียปากอย่างได้ใจ
“ไอ้วิว!” เสียงของอัศวินร้องเรียกเด็กหนุ่มแต่ไกล แล้ววิ่งมาหยุดหอบเหนื่อยตรงหน้า มองตามหลังอาของตัวเองแล้วเอ่ยถาม “เมื่อกี้อาอัฐษ์เหรอ กูบอกให้รับกูมาด้วย ทิ้งเฉยเลย!” อัศวินบ่นให้หลัง
วิริยะรู้สึกหน้าชาไปนิดหน่อย “อาอัฐษ์จริง ๆ เหรอ”
“อะไรของมึงเนี่ย ก็อาอัฐษ์ไง”
วิริยะรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนโง่ขึ้นมา เขามั่นใจว่าคนที่เดินออกไปเมื่อกี้คือเชษฐ์ไชยไม่ผิดแน่
“อย่ามารวมหัวหลอกกันนะเว้ย!” พูดจบ วิริยะก็หมุนตัววิ่งตามผู้ชายคนนั้นไป หวังจะเค้นให้ยอมรับให้ได้ หากเป็นเชษฐ์ไชยคงหลอกตบตาเด็กหนุ่มได้ไม่นานหรอก
ไปถึงที่โรงจอดรถ เห็นเจ้าของร่างสูงใหญ่กำลังเดินกลับมาทางนี้ด้วยสีหน้าเรียบขรึม ลำขาของเด็กหนุ่มชะงักกึกอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายทั้งหอบหายใจเพราะการวิ่ง แล้วจับจ้อง พยายามที่สุดที่จะแยกแยะให้ออกว่าใครเป็นใคร
คนตรงหน้าเลิกคิ้วฉงนเมื่อเห็นวิริยะอยู่ที่นี่ สุดท้ายก็คลี่ยิ้มให้อย่างใจดี พูดกับวิริยะเสียงโทนอบอุ่นว่า “อาไม่หนีไปไหนหรอกน่า ไปเถอะ เดี๋ยวเพื่อนจะรอ”
“อาเชษฐ์!”
คนตรงหน้าชะงักไปชั่วอึดใจ ท่าทีแลดูแปลกไปเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น
อาจเป็นเพราะแปลกใจที่จู่ ๆ วิริยะก็โพล่งขึ้นมาก็เป็นได้ แต่สุดท้ายอัฐษไชยกลับผุดยิ้มให้ พร้อมทั้งยกมือขึ้นโยกศีรษะเด็กหนุ่มด้วยความนึกเอ็นดูปนสงสาร “โถวิว ตอนนี้เชษฐ์กำลังตั้งใจจัดการเรื่องที่ไร่อยู่ อีกไม่นานหรอกนะ เดี๋ยวจะได้เจอกันแล้ว ทนรออีกนิดเถอะนะ”
มือใหญ่จูงวิริยะให้เดินตามหลังกลับไปด้านใน ในขณะที่หัวใจวิริยะรู้สึกเหมือนกำลังจะสลาย
แม้แต่มือก็ยังเหมือน
เด็กหนุ่มกลืนน้ำลาย เงยมองแผ่นหลังกว้างใหญ่ของคนตรงหน้า ถามตัวเองอยู่หลายครั้งว่าเชษฐ์ไชยมีเหตุผลอะไรที่ต้องโกหกเขา แล้วหายไปจากชีวิตนานถึงหนึ่งปี คำตอบที่ได้คือไม่มีเลย
“อาอัฐษ์ ทำไมทิ้งผมอย่างนี้ล่ะ!” อัศวินโวยวายเมื่อทั้งสองมาถึง ทั้งสีหน้า ทั้งแววตาของเพื่อนรักพูดได้อย่างธรรมชาติ ราวกับมองว่าคนคนนี้คืออัฐษไชยอย่างแท้จริง หรือความรู้สึกที่เป็นอยู่คือวิริยะคิดเองเออเอง เขาลืมภาพของเชษฐ์ไชยไปแล้วจริง ๆ
หรือทั้งสองกำลังโกหกวิริยะ
โกหกทำไม เพื่ออะไร
อัฐษไชยพาทั้งสามไปที่ร้านชาบู คนตัวใหญ่ถอดสูทวางไว้ข้างกายให้ลดความเป็นทางการลง ปล่อยคนอายุน้อยกว่าเป็นผู้สั่งเมนู ดูเหมือนเจ้าตัวจะรู้ว่าถูกวิริยะลอบมองอยู่บ่อยครั้งเพื่อจับสังเกต อัฐษไชยเพียงหันมายกยิ้มสุขุมให้อย่างเคย แล้วขยับมาสอบถามอยู่ตลอดว่าอาหารอร่อยหรือไม่ คอยคีบมาใส่จานอย่างคนอัธยาศัยใจดีเหมือนเคย เพียงแต่ทุกครั้งที่สบมองกัน ใจวิริยะกลับไหวสั่น ซึ่งไม่ใช่ความรู้สึกที่เคยมีต่ออัฐษไชยเลย
หลังทานอาหาร กันย์ชวนวิริยะออกไปเลือกของขวัญให้แฟน ทั้งหมดยกมือไหว้ขอบคุณอัฐษไชยยกใหญ่ หากทว่าวิริยะยังไม่ได้เดินตามรุ่นพี่ไป เด็กหนุ่มดึงแขนคนตัวใหญ่ให้ยังหยุดอยู่มุมนี้ก่อน พร้อมทั้งสีหน้าของผู้ถูกกระทำที่กำลังฉงนมองอยู่
“วิว ไปเร็ว เดี๋ยวไม่มีเวลาเลือกของ”
เด็กหนุ่มมองไปยังรุ่นพี่หลังถูกเรียก แล้วถอนใจ “พี่ไปกับไอ้อิกก่อนเลย”
“เฮ้ย! ไปกับไอ้นี่น่ะเหรอ”
“เออ ไปกับผมนี่แหละพี่” อัศวินชอบนักที่เห็นคนเกลียดขี้หน้าตัวเองทำทีแขยงขยาดยามอยู่ด้วยกัน ชายหนุ่มกอดคอรุ่นพี่ บังคับพาเดินแยกออกไปก่อน หลังเห็นว่าวิริยะต้องการความเป็นส่วนตัว
อีกนิดเดียว แล้ววิริยะจะยอมล่าถอยไป ขอแค่ให้แน่ใจ
มือเรียวยาวกุมจับมือใหญ่ของคนตรงหน้าอย่างแนบแน่น อย่างที่เคยกุมจับกับเชษฐ์ไชยเมื่อก่อน ในขณะที่เงยจ้องตาจับหาอาความจริงในแววตาของชายตรงหน้า ว่ากำลังโกหกเขาอยู่หรือไม่
ในแววตาของอีกฝ่ายนั้นว่างเปล่า ขณะที่ไม่หลบเลี่ยงไปไหนสักวินาที
เชษฐ์ไชยไม่ใช่คนโกหกเก่งนัก วิริยะรู้ดี
“ผมคิดถึงอาเชษฐ์มาก...”
คนตรงหน้านิ่งไปราวกำลังอึ้ง แต่ก็ไม่นาน ใบหน้าหล่อเหลาคมคายก็คลี่ยิ้มรับในสิ่งที่วิริยะต้องการบอก บีบมือของเด็กหนุ่มเป็นการตอบรับ นัยหนึ่งก็คิดว่าอาจกำลังจะเฉลยบอกว่าแท้จริงแล้วตัวเองเป็นใคร พลอยให้หัวใจที่เหี่ยวเฉาของวิริยะลิงโลดขึ้นมา หากทว่าเมื่อเห็นมือใหญ่ผละมาโยกศีรษะอีกครั้งอย่างอ่อนแผ่ว พร้อมโน้มขยับลงมาจ้องตาอย่างไม่ปกปิดนั้น
วิริยะกลับรู้สึกใจหาย
“ไม่ต้องบอกอาก็รู้หรอก” อัฐษไชยบอกเสียงเบา ท้ายที่สุดแล้ววิริยะก็ไม่ได้ความจริงจากปากของอีกฝ่าย เด็กหนุ่มรู้สึกสับสน มึนงงไปหมด คิดว่าหากทำเช่นนี้แล้วความจริงจะถูกเปิดเผยได้ แต่ไม่เลย
สีหน้าของคนอายุมากกว่าตรงหน้าเปลี่ยนไป เมื่อเห็นน้ำตาของวิริยะไหล
“ขอโทษที่งี่เง่าครับ อาอัฐษ์ แต่ผมคิดถึงอาเชษฐ์มากจริง ๆ”
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มเครือสั่นแทบไม่มีแรงเพราะหัวใจเต้นตุบตับแทบทะลุออกจากอก พูดจบ วิริยะก็เดินกลับไปอีกฝั่งเสียอย่างนั้น แทนที่จะตามอัศวินและรุ่นพี่ไป ปล่อยให้อัฐษไชยมุ่นคิ้วมองตามด้วยความไม่เข้าใจความรู้สึกนึกคิด
แต่ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ยกยิ้ม ส่ายหน้าให้อีกทีด้วยความเอ็นดูและไม่ถือสาที่วิริยะทำแบบนี้ ก็เพราะไม่ได้เจอกันเป็นปี ไม่แปลกที่วิริยะจะพะวงถึงอย่างนี้ เขาเข้าใจดีและไม่โกรธเลย...
กันย์เลือกของด้วยความเบื่อ ในขณะที่เพื่อนของรุ่นน้องทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องตามหลังอยู่ตลอด พอจะหยิบของน่าสนใจ อัศวินก็ติบอกว่าไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่เหมือนตอนอยู่กับวิริยะเลย น้องของเขามีเหตุผลกว่าตั้งเยอะ คิดแล้วความรู้สึกของชายหนุ่มก็แสดงออกมาถึงสีหน้า ให้อัศวินรู้ว่าตัวเองไม่อยากอยู่ด้วย
แล้วเมื่อไรวิริยะจะตามมากันหนอ นี่ผ่านมาจะสองชั่วโมงแล้ว คุยธุระกันถึงไหน เขาเบื่อจะอยู่กับไอ้โย่งที่คอยแต่พูดจากวนประสาทนี่เต็มทีแล้ว เมื่อคิดได้ กันย์ล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาน้องรหัส ไม่นานวิริยะก็กดรับ น้ำเสียงเครือไหวคล้ายกำลังร้องไห้อยู่ในที
“ฮัลโหล เมื่อไรจะมาซักทีวะวิว รอนานแล้วเนี่ย” คนพี่บ่นอย่างหงุดหงิดพลางเหลือบไปมองอัศวินที่ยืนเลือกของอยู่ข้างหลัง
“พี่เลือกแล้วกลับไปก่อนเลย ผมไม่ว่าง” เสียงปลายสายตอบเบามาก
ได้ยินแล้วกันย์ก็หงุดหงิดกว่าเก่า “ไม่ว่างบ้าอะไร นี่แกอยู่ไหน”
“อยู่บนรถตู้”
“ฮะ!” กันย์ย้อนถามเสียงดังลั่นร้าน เรียกให้อัศวินเดินมาหาด้วยความใคร่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่เว้นแม้แต่คนอื่นที่อยู่รอบข้าง “ไปทำอะไรบนรถตู้ ถูกจับตัวไปเหรอ!”
“เปล่า กำลังไปไร่รุ่งอรุณี”
“ไร่รุ่งอรุณี ที่ไหน! ไปทะ...” ยังไม่ได้พูดจบ อัศวินก็เหลือกตาแย่งโทรศัพท์ไปคุยเสียเอง
“ไปที่ไร่ทำไม ก็อาเชษฐ์บอกแล้วว่าอย่าไป”
วิริยะถอนใจ หน้าบูดหน้างอตอบกลับปลายสาย
“ก็มึงกับอาเชษฐ์รวมหัวกันหลอกกู กูก็จะไปพิสูจน์น่ะสิว่าอาเชษฐ์อยู่ที่ไร่จริงรึเปล่า ห้ามโทรไปบอกอาเชษฐ์ด้วย ไม่งั้นกูโกรธมึงมากกว่าเดิมแน่ แค่นี้นะ” พูดจบ วิริยะก็กดวางสายแล้วมองทอดออกไปยังสองข้างทาง แม้จะยอมล่าถอยจากอีกฝ่ายเมื่อครู่ใหญ่ แต่วิริยะเชื่อความรู้สึกตัวเองว่าคนตรงหน้านั้น คือเชษฐ์ไชยไม่ผิดแน่
อีกฝ่ายโกหกทำไมไม่รู้ รู้เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาเสียความรู้สึกจนอดทนรอให้ได้ยินคำอธิบายจากปากเจ้าตัวไม่ไหว จนต้องตามหาความจริงด้วยตัวเอง แม้ว่าจะเป็นการผิดสัญญาก็ตาม คอยดูเถอะเชษฐ์ไชย เขาจะจับให้ได้คาหนังคาเขาเลย!
--๕๐--
---------------------------------------------------------
บางคนคิดว่านิยายจบแล้ว ที่จริงยังไม่จบเด้อ ยังไม่มีฉากวาบหวิวเซอร์วิสแฟน ๆ เลย ยังจบไม่ได้ อิอิ ว่าจะให้จบซักตอนที่ 22 เพิ่มฉากหวาน ๆ ในตอนท้าย ๆ ด้วย แล้วก็มีตอนพิเศษคู่รองค่ะ พวกชาติ อัฐษ์ ดำ หมอก
อย่าเพิ่งเลิกติดตามน้า ถึงเรื่องจะคลี่คลายลงไปแล้ว แต่ความสนุกยังไม่จบเด้อออออ
ทิ้งคอมเม้นไว้ให้เค้าอ่านหน่อยน้า ตอนหน้ามีเซอร์วิสด้วย
สรุปตอนนี้วิวคุยกะอาอัฐษ์หรืออาเชษฐ์ ให้ทาย อิอิ