ตอนที่ ๑๘
2 เดือนต่อมา
“ฮัลโหล ไอ้อิก พวกมึงอยู่ไหนกันแล้ว”
วิริยะในชุดลำลองยืนอยู่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่งภายในห้าง ก้มลงดูนาฬิกาด้วยสีหน้าหงุดหงิด เพราะตอนนี้มารอกลุ่มเพื่อนนานกว่าสิบนาที จนทนไม่ไหวต้องต่อสายตรงไปหาเพื่อนรักถามไถ่ว่าพวกมันขี่เกวียนกันมาหรืออย่างไร ถึงได้ช้าขนาดนี้ นัดแล้วดันไม่มาตรงเวลา เดี๋ยวได้หมดเวลาติวหนังสือพอดี
เมื่อได้ยินคำตอบของเพื่อนรักที่กำลังจะกลายเป็นเพื่อนเลว วิริยะร้องเสียงดัง “ฮะ! พวกมึงไปทำห่าอะไรกันอยู่ที่ฟิตเนส จำไม่ได้เหรอว่านัดจะมาอ่านหนังสือ”
“มึงไม่ได้อ่านไลน์กลุ่มอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย” อัศวินถามจากปลายสาย
วิริยะเหลือกตาโต “อะไรวะ ไลน์กลุ่มนี่มีกี่กลุ่ม กูเข้าไม่ครบรึยังไง”
“สรุปมึงไม่ได้อ่าน กูเลื่อนนัดแล้ว ไอ้บ้า!”
เด็กหนุ่มยกมือเกาหัว “แล้วทำไมมึงไม่โทรมาบอกละ มึง! เดี๋ยวกูจะออกจากกลุ่มไลน์เดี๋ยวนี้แหละ ไอ้เวร แม่งมาเสียเที่ยว!”
เสียงอัศวินหัวเราะสะใจขนาดหนัก พูดกลับมาว่า “เออ มึงก็อย่าให้มันเสียเที่ยวสิ หาอะไรสนุก ๆ แถวนั้นทำไป”
“ก็มันมะ...” ทำท่าจะเถียงว่าไม่มีอะไรน่าสนุกทั้งนั้น หากแต่ว่าดวงตากลมเหลือบไปสบเห็นอะไรอีกฝั่ง จนลืมว่ากำลังคุยโทรศัพท์อยู่ อะไรสักอย่างที่ดึงความสนใจวิริยะไปหมดสิ้นแล้ว เด็กหนุ่มเห็นชายตัวใหญ่สูงกำลังเดินหน้าเคร่งมาพร้อมกับเลขาและคู่ค้าอีกสองสามคน บนตัวสวมสูทผูกไทเป็นทางการ ใบหน้าที่เคยมีหนวดเครายาวครึ้มสะอาดสะอ้านจนเปลี่ยนไป หากทว่าวิริยะจำได้ว่าเป็นใคร
ผิดจากภาพนายใหญ่ของไร่รุ่งอรุณีลิบลับ
“ไอ้อิก!” วิริยะกรอกสายเสียงกระซาบ วิ่งหลบไปยังหัวมุมเมื่อเห็นว่าเชษฐ์ไชยกำลังเดินตรงมาทิศนี้ จุดมุ่งหมายอีกฝ่ายคงเป็นร้านอาหารเพื่อคุยธุรกิจ
ครั้นหลบร่างบริเวณหัวมุมของร้านได้อย่างปลอดภัยแล้ว วิริยะอดคิดไม่ได้ว่านี่มันบังเอิญเกินไป “อย่าบอกกูนะ ว่านี่ฝีมือมึง!” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มฉุนเล็กน้อย แล้วลอบชะโงกออกไปดูลาดเลาว่าถูกเห็นรึไม่ พบเชษฐ์ไชยกำลังพาคู่ค้าเดินเข้าไปด้านในพอดิบพอดี ด้วยรอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นนานแล้ว รอยยิ้มที่วิริยะพรากไป
“พูดอะไรวะวิว” อัศวินย้อน
“มึงไม่ต้องมาไขสือ มึงหลอกกูมาเจออาเชษฐ์ใช่ไหม”
อัศวินหัวเราะ “ว้า พลาดแล้วเรา”
“ไม่ต้องมาขำเลย กูไม่สนุกด้วย”
“ก็ไม่ได้จะให้สนุกนี่หว่า กูอยากให้มึงกับอาเชษฐ์คุยกัน งอนกันยาวเกินไปแล้วเนี่ย” เพื่อนรักใช้เสียงจริงใจ ได้ฟังแล้ววิริยะมุ่ยหน้าด้วยความโมโห กรอกสายกลับไปว่า “ถ้าขืนอาเชษฐ์เจอกูคงไม่คุยอะไรสักคำหรอก คงวิ่งไล่ฟาดงวงฟาดงา จับกูหักเป็นสองท่อนให้สมกับความแย่ที่กูทำใส่วันนั้น”
“อาเชษฐ์ไม่ทำแบบนั้นหรอกน่า มีแต่มึงนั่นแหละคิดเองเออเอง” อัศวินตอบ
“ไม่เอา ยังไงก็ไม่อยากเจอ”
“กูรู้นะว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างมึงกับอาเชษฐ์”
วิริยะเบิกตา “แต่มึงควรรู้คนสุดท้ายนะเว้ย เพราะคนที่กูชอบคือมึงอะ”
“แค่เคยชอบไหม แต่อาเชษฐ์ดันคิดว่าคนที่มึงชอบคืออาอัฐษ์ แล้วตอนนี้อาเชษฐ์ก็งอนอาอัฐษ์มากด้วย ตั้งแต่ไปหามึงวันนั้นก็นับครั้งที่คุยกันได้เลย” อัศวินเล่าเรื่องที่ผ่านมาให้วิริยะฟังตามความจริง พร้อมกับเด็กหนุ่มฝั่งนี้ที่หน้าร้อนฉ่าเพราะความงุนงง ไม่เข้าใจ “อาอัฐษ์เกี่ยวอะไรด้วยวะ!”
“ก็นี่ไง ถึงได้อยากให้คุยกัน”
“ไม่เอา ไม่คุยอะไรทั้งนั้น” วิริยะส่ายหน้าราวกับกลัวเพื่อนรักจะเห็น
“แน่ใจ๊ แล้วห้ามมาทำมิวสิควิดีโอเป็นหมาถูกทิ้งให้กูเห็นอีกนะ”
“กูไม่ใช่หมา แล้วก็ไม่ได้ถูกทิ้งด้วย ฝ่ายกูเป็นคนทิ้งอาเชษฐ์ต่างหาก จำใส่สมองใหม่ซะนะ” วิริยะกดวางสายพร้อมหัวใจเต้นตึกเพราะเรื่องที่เถียงด้วย เมื่อพูดถึงทีไรก็รู้สึกเหมือนถูกเข็มแทงลงบนหน้าอก เพราะเขาไม่ได้รู้สึกภาคภูมิใจเลยที่ทำเช่นนั้น มันเจ็บจี้ดจนแทบหายใจไม่ออก
วิริยะผ่อนปรนอารมณ์ตัวเองอยู่ครู่หนึ่งแล้วทำใจ ค่อย ๆ ย่องเดินผ่านหน้าร้าน มองเข้าไปในกระจกอีกครั้งเพราะยังอยากเห็นหน้า สองเดือนแล้วที่ไม่ได้เจอ อยากเห็นว่าเชษฐ์ไชยเป็นอย่างไรบ้าง
ปรากฏร่างของเชษฐ์ไชยที่นั่งตรงกันข้ามกับลูกค้า กำลังพูดจาสีหน้าจริงจังอยู่ไม่หยุด สายตาของเด็กหนุ่มชะงักอยู่บริเวณใบหน้าหล่อเหลานั้นเพื่อเก็บงำภาพนี้ไว้ในความทรงจำ หายจากกันไปสองเดือน เชษฐ์ไชยดูหล่อและเนี๊ยบมากขึ้นแทบจะเหมือนกับอัฐษไชย แต่ด้วยความรู้สึก วิริยะสามารถแยกออกได้ภายในพริบตาเดียวว่าใครพี่ใครน้อง และใครที่ทำให้หัวใจเต้นแรงได้อย่างนี้
แต่...แม้จะดูดีขึ้นเพียงไหน เด็กหนุ่มกลับกำลังคิดว่าอีกฝ่ายดูฝืนทนเหลือเกิน ไม่เป็นตัวของตัวเองเลย ไม่เหมือนตอนที่อยู่ในไร่สักนิด
วินาทีหนึ่ง ใจของวิริยะชาวาบเมื่อนัยน์ตาคมนั้น จากสบกับคู่สนทนาก็ผละมามองทิศนี้ราวกำลังรู้ว่าถูกแอบมอง วิริยะหลบร่างไม่ทัน ทำได้เพียงยืนขาแข็งอยู่ตรงนี้เมื่อถูกจับได้ แต่ยิ่งไปกว่าสายตาคมเฉียบของเชษฐ์ไชยที่ทำให้ใจสั่นไหว คือท่าทีเมินเฉยของอีกฝ่ายนั้นกระมังที่ทำให้วิริยะแพ้พ่าย
เขาเพิ่งรู้ ว่าตัวเองกลายเป็นอากาศไปแล้ว เชษฐ์ไชยมองผ่านเขาไปอย่างไม่ใยดี
เจ็บที่หัวใจจัง
วิริยะหันมากุมหน้าอกตัวเองแล้วเดินหลบเลี่ยงออกมา ภายในสมองพร่ำบอกว่าอีกฝ่ายยังคงโกรธอยู่เท่านั้น แต่อีกความคิดหนึ่งก็บอกเด็กหนุ่มว่าเชษฐ์ไชยอาจหมดรักไปแล้ว
ทิ้งเขาเอง แล้วจะมาเสียใจแบบนี้ไม่ได้นะวิว ไม่ได้...
หลังจากเปิดเทอม ช่วงวันหยุด วิริยะจะใช้เวลาอยู่กับการนอนเอื่อยเฉื่อยอยู่บนโซฟา หรือไม่ก็ลุกไปหยิบทำโน่นทำนี่จนกลายเป็นนิสัย งานบ้านงานเรือนไม่เคยได้ตกถึงมือแม่เลี้ยงกับพี่สาวสักที แต่วันนี้เมื่อกลับมาถึงบ้าน วิริยะไม่เป็นอันทำอะไร นอกจากหยิบขนมในตู้มานั่งกินไปพลาง ดูทีวีไปพลาง
ผู้เป็นพี่สาวที่จับตามอง เห็นแล้วก็เพียงแค่ถอนใจ
กระทั่งเย็นแล้ว รายการข่าวมาแทนที่ช่วงบันเทิง ปรากฏร่างของคนที่กัดกินความคิดวิริยะขึ้นมาบนหน้าจอ กำลังจับมือกับใครสักคนที่น่าจะอยู่ในวงการธุรกิจเดียวกัน เสียงผู้ประกาศข่าวพูดเล่ารายละเอียดอะไรให้ฟัง วิริยะไม่ได้ให้ความสนใจมากเท่ากับการมองใบหน้าหล่อคมคายนั้นอย่างไม่วางตา
“เก่งเนอะ ธุรกิจกำลังไปได้สวยเลย” ทรายพูดขึ้น เมื่อเห็นเด็กหนุ่มยังไม่หยุดจ้อง
“ฮะ อะไรนะ” วิริยะย้อน
“ก็อีตาหน้าโหดนั่นไง นี่แกไม่ได้ดูอยู่หรอกเหรอ”
เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบกลับ เพราะกลัวทรายล้อเรื่องที่ผ่านมา หล่อนได้ยินทุกคำที่เด็กหนุ่มคุยกับเชษฐ์ไชยวันนั้น อีกนัยหนึ่งก็คือรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองและไม่อยากพูดให้เจ็บใจ แค่นี้ก็จะบ้าอยู่แล้ว วิริยะถอนใจเฮือกใหญ่แล้วเอนหลังพิงพนักโซฟา เคี้ยวขนมอย่างไม่รู้จะหาหนทางให้ตัวเองไม่รู้สึกคาราคาซังอย่างนี้ได้อย่างไร
คนง่วนอยู่กับการทำงานด้านหลังเหลือบมอง ยิ่งได้ยินเสียงถอนหายใจก็ยิ่งคิดว่าควรพูดอะไรบ้าง เพราะตั้งแต่ที่วิริยะร้องไห้วันนั้นก็เป็นคนไม่มีชีวิตชีวาเอาเสียเลย แม้จะทำเป็นบ้า ๆ บ๊อง ๆ กลบเกลื่อนก็ตามที สำหรับทรายที่โตมาด้วยกันยังไงก็กลบไม่มีทางมิด “แกจะอยู่อย่างงี้อีกนานไหมวิว”
วิริยะโผล่หัวจากพนักพิงมองไปด้านหลัง ในปากเต็มไปด้วยขนม “ก็มันไม่มีอะไรทำเลยซักอย่าง พ่อไม่ยอมให้ทำงานพิเศษแล้วอะพี่” มุ่นคิ้วทำหน้าเซ็ง ตอบหล่อนตามที่คิดและเข้าใจความหมายของคำถาม
คนฟังส่ายหน้า “ฉันหมายถึงเรื่องของแกกับเขา”
เด็กหนุ่มชะงัก
“ผมไม่อยากคุยเรื่องอาเชษฐ์” แล้วก็หันหลังกลับมาที่เดิม บอกว่าไม่อยากคุยเรื่องนี้จริง ๆ
“แล้วถ้ามีหมาตัวไหนคาบไป แกจะไม่หวงก้างใช่ไหม” ถ้อยคำที่พี่สาวใช้นั้นช่างแสบสัน และแทงที่หัวใจของวิริยะจนแทบจะพรุนราวรู้ว่าจะพูดยังไงให้เจ็บที่สุด เด็กหนุ่มหน้างอ หันกลับมาหาทราย
“เอาไปเลย ใครอยากได้ก็เอาไป”
“แน่นอน คอยดูก็แล้วกัน พี่แกขยันออกสื่อขนาดนี้เดี๋ยวได้มีมือดีมาฉกไปแน่ ทั้งหล่อทั้งรวยทั้งโสด มีใครไม่อยากได้เป็นผัวบ้างยะ” ก็จริงอย่างที่ทรายพูด เด็กหนุ่มหน้าบึ้งแล้วฉุกคิดตามว่าตอนนี้เชษฐ์ไชยก็ดูหล่อเหลาเหมือนพระเอกฮอลลีวู้ด ไม่แปลกที่ใคร ๆ จะชอบและเข้าหา ไหนจะคุณสมบัติรูปหล่อพ่อรวย กระบวยอันใหญ่นั่นอีก ไม่นานคงได้มีสาวแห่ขอดูกระบวยกันเป็นพรวนแน่
ไม่ได้ ต้องให้เขาดูคนเดียว!
เรื่องของรตรีหรือผู้คนไม่ยอมรับไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เชษฐ์ไชยก็เมินเขา นั่นสามารถบอกวิริยะได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าตัวใกล้พร้อมที่จะมีใหม่แล้ว
แต่ก็ไม่ได้อีกนั่นแหละ เขาจะหน้าด้านกลับไปหาเชษฐ์ไชยได้ยังไง ในเมื่อทรยศและทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายตั้งขนาดนั้น
“คนบางคนก็โง๊โง่ ทิ้งเขาได้ไม่ถึงห้านาทีก็ร้องไห้ขี้มูกโป่ง” เสียงนกเสียงกาแถวนี้ดังเข้ามาแทรกความคิด และดูเหมือนทรายจะไม่ยอมหยุดแต่โดยง่าย ทำอย่างกับวิริยะไม่รู้ว่ากำลังถูกหล่อนเกลี้ยกล่อมให้เป็นฝ่ายไปง้อเชษฐ์ไชย ไม่ต้องบอกให้ทำ วิริยะก็เผลอคิดอยากทำอยู่ทุกวัน แต่ติดอยู่ที่ว่าเขาหน้าด้านไม่พอ
“เฮ้อ กลัวเหลือเกินว่าจะคิดได้ก็ตอนที่สาย คราวนี้ได้ร้องไห้ข้ามปีแน่”
เด็กหนุ่มยกมือกุมขมับ “ไม่ต้องมาบ่น พี่ไม่เข้าใจผมหรอก”
“ที่กลัวอะไรไม่เข้าเรื่องน่ะเหรอ แบบนี้เขาเรียกพวกปอดแหกต่างหาก”
“ไม่รู้เว้ย ไม่เอา ไม่อยากฟัง...” เด็กหนุ่มส่ายหน้าแล้วล้มตัวลงนอนบนโซฟา เอาหมอนอุดหูไม่อยากพูดหรือคุยอะไรอีกต่อไป เพราะแค่เสียงในความคิดก็เพียงพอแล้วที่จะด่าว่าตัวเองให้เจ็บแสบ ภายในสมองมีแต่คำต่อว่าที่เขาตัดสินใจผิด เขารักเชษฐ์ไชย และเขาต้องเป็นบ้าแน่หากไม่ทำอะไรสักอย่างให้เสียงพวกนี้มลายหายไป
โทรศัพท์ในกระเป๋าวิริยะสั่นครืดชวนให้อารมณ์เสีย ใครกันที่โทรมาเอายามนี้ ไม่รู้หรือไรว่าเจ้าของของมันกำลังจะเป็นบ้าแล้ว แต่เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์อัศวินเพื่อนรักจอมวางแผน เด็กหนุ่มเบิกตาตกใจและชะงักหยุดคิดว่า หรืออีกฝ่ายจะโทรมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับเชษฐ์ไชยให้ฟังอีก ซึ่งเมื่อได้คำตอบแล้ว วิริยะก็รีบกดรับสาย “มีไร ไอ้เลว”
“อาเชษฐ์กำลังจะกลับไร่ แล้วก็จะไม่กลับมาที่นี่อีกต่อไปแล้ว”
วิริยะถลึงตาจนเหลือกเท่าไข่ห่านรีบลุกขึ้นยืน เรียกให้ทรายหันมองตาม พอเดาก็รู้ว่ามีเรื่องน่าตกใจเกิดขึ้น แม้ว่าไอ้น้องนอกไส้ทำทีเหมือนไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายก็ตามที หล่อนมองตามวิริยะที่ผ่อนลมหายใจ สั่งตัวเองให้นั่งลงคุยโทรศัพท์ต่อ “แล้วมึงมาบอกกูทำไม กูไม่เห็นอยากรู้เลย”
ทั้งที่ความจริงเหงื่อผุดเป็นเม็ดข้าวโพดแล้ว ยังจะท่าเยอะอีก
“อย่าลีลาไอ้วิว คราวนี้กูไม่ได้พูดเล่น มึงจะไม่ได้เจออาเชษฐ์ได้ง่าย ๆ แล้วนะ”
เด็กหนุ่มนิ่ง พูดไม่ออก “ละ แล้วทำไมอาเชษฐ์ถึงตัดสินใจแบบนั้น ก็ไหนบอกว่ารับหน้าที่เป็นผู้บริหารแล้ว แล้วจะรีบกลับไร่ไปทำไม”
“กูไม่รู้เว้ย นี่กูกลับมาแล้วอาเชษฐ์เพิ่งบอกว่าจะไป กูเลยรีบแอบโทรหามึงเนี่ย ตอนนี้อาเชษฐ์กำลังเก็บผ้าอยู่ อีกสักพักคงจะออกไปแล้ว”
“จะออกไปแล้ว!” วิริยะร้องด้วยความตกใจ เริ่มอยู่ไม่ติดที่
“จะเดินอะไรนักหนา เวียนหัว!” ทรายแสร้งบ่นเมื่อเห็นวิริยะหน้าเปลี่ยนสี
คนทำเป็นวางท่าเริ่มเก๊กไม่อยู่ หน้าแดง เหงื่อแตกทั้งเดินวนไปมาราวคนขาดสติ กระทั่งเลือกที่จะตัดสายแล้ววิ่งเข้าไปในห้องนอนของบิดา ขโมยกุญแจอย่างอุกอาจ ไม่สนอิงอรที่กำลังง่วนอยู่กับการทำความสะอาดแม้แต่นิด ตั้งแต่ธเนศกลับไปทำงานที่แท่น นางก็เริ่มชาชินกับการเห็นลูกเลี้ยงผุดตรงโน้นทีตรงนี้ทีแล้ว แต่คราวนี้ไหงกุญแจรถถึงหายไปได้
มารู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงสตาร์ทจากข้างล่าง “ว้าย! ทราย ไอ้วิวมันขโมยรถอีกแล้ว”
“ช่างมันเหอะแม่ เดี๋ยวมันก็กลับ” หญิงสาวผู้ง่วนอยู่กับโครงงานแอบคลี่ยิ้ม ยามได้ยินสุ้มเสียงร้อนใจของมารดา แต่ตอนนี้ใครที่ไหนเล่า จะใจร้อนเท่าไอ้น้องที่กำลังขับรถออกไป
นานเท่าไรไม่รู้ที่วิริยะไม่ได้ไปเหยียบบ้านหลังใหญ่ของเพื่อนรัก เด็กหนุ่มพอจำทางได้ บังคับขับเคลื่อนยานพาหนะที่พ่อทิ้งจอดไว้บ้าน ดำเนินไปตามความคาดหวัง แม้จะใจร้อน แต่วิริยะไม่ได้ขับเร็วกว่ากำหนดเพราะรู้ถึงอันตรายดี จริงอยู่ว่าอีกไม่นานจะสิบแปดแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็อาจโดนตำรวจจับอยู่ดีเพราะเขาไม่ทำตามกฎหมาย
ไม่รู้ว่าเร็วหรือช้า วิริยะมาถึงบ้านของเชษฐ์ไชย เห็นประตูรั้วใหญ่เปิดทิ้งไว้ก็รีบขับรถเข้าไป ใจที่ว่าตื่นเต้นก็พลันชื้นขึ้นเมื่อเห็นรถปิ๊กอัพของไร่จอดอยู่ แต่จู่ ๆ ไฟท้ายก็ติด บอกได้ว่าเครื่องยนต์ถูกสตาร์ทแล้วและเชษฐ์ไชยคงกำลังจะเดินทางกลับ วิริยะขับไปจอดขวางอยู่ที่ท้ายรถคันนั้นแล้ววิ่งลงไปอย่างสุดชีวิต ยังดีหน่อยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันปิดกระจกด้านคนขับ เด็กหนุ่มจึงได้ที วิ่งไปเปิดประตูแล้วหมุนดับเครื่อง ดึงกุญแจรถมาเสียดื้อ ๆ
“เฮ้ย!” เชษฐ์ไชยเงยขึ้นมองผู้ที่โผล่มา วิริยะถอยกรูดออกจากตัวรถ แอบซ่อนของกลางไว้ข้างหลังไม่ให้เชษฐ์ไชยที่ลุกขึ้นยืน ทำหน้าเรียบย่างสามขุมตามมาแย่งกุญแจรถคืนไปได้
“เอากุญแจคืนมา”
เด็กหนุ่มพยายามทำหน้าให้เป็นปรกติ ลืมเรื่องที่เคยพูดจาทำร้ายอีกฝ่ายไป “ไม่เอา”
คนตรงหน้าเริ่มมีท่าทางโมโห “บอกให้เอามา”
“อย่าเพิ่งไปได้ไหมครับ คุยกันก่อน”
“ฉันไม่คุย เอากุญแจรถมาแล้วแยกย้ายกันซะ”
น้ำเสียง ถ้อยคำที่เชษฐ์ไชยใช้นั้นดูห่างเหินเหลือเกิน
“วันนั้นผมโกหก ทุกคำที่ผมพูดผมโกหก!” เด็กหนุ่มร้องบอก ในขณะที่พยายามถอยออกห่างเมื่อเจ้าของใบหน้าดุก้าวเข้ามาใกล้ โดยมุ่งหวังจะยื้อแย่งของในมือวิริยะคืนไปแล้วกลับไปที่ไร่ แต่ก่อนจะจาก วิริยะอยากให้อีกฝ่ายมองเขาเสียใหม่ เพียงแค่ถูกมองด้วยสายตาเย็นยะเยือกเฉยชาเช่นนี้ก็เหมือนโดนบีบหัวใจ รู้สึกเจ็บไปถึงขั้วหัวใจ
“เธอโกหกก็จริง แต่มันถูกทุกอย่าง” เชษฐ์ไชยจ้องนัยน์ตากลมเบื้องหน้า ซึ่งมันก็เริ่มซีดลงหลังได้ฟัง “ฉันมาคิดทบทวนได้ทีหลัง ว่าถ้าเราไม่รักกันอะไรมันก็คงจะดีกว่านี้ ขอบใจ ที่ชี้ทางสว่างให้ ขอบใจที่อุตส่าห์สงสารบอกกันตรง ๆ ฉันเองก็จะบอกเธอตรง ๆ เหมือนกัน”
ภายในนัยน์ตาของเชษฐ์ไชยไม่เหลือวิริยะอยู่ในนั้นแล้ว
ความรุมร้อนแล่นเข้ามาที่เบ้าตาของวิริยะเมื่อได้ฟัง และได้เห็นทีท่ายามชายเบื้องหน้าพูด ไม่ทันได้มองด้านหลังว่าสุดทางเดินแล้ว ลำขาสะดุดกับขอบคอนกรีตของโรงรถแล้วร่างของเด็กหนุ่มร่วงล้มลงไปกระแทกบนพื้นสนามหญ้า หากทว่าไม่ได้ตกใจและรู้สึกเจ็บเลย เพราะนัยน์ตาคมแสนเฉยชาของเชษฐ์ไชยกำลังสะกดวิริยะอยู่
“เธอรู้จักฉันดีนี่ ว่าไม่มีทางกลับไปหาอดีตแน่”
เชษฐ์ไชยพูดเสียงเบา พลางเอื้อมมือยื่นมาให้
เด็กหนุ่มกะพริบตาไล่อะไรต่าง ๆ นานาออกไป แล้วยกแขนรับความช่วยเหลือ
“เพราะงั้นเลิกคิดได้แล้ว ว่าเราจะเป็นเหมือนเดิมได้”
คนกล่าวผละไปหยิบพวงกุญแจที่หล่นอยู่แถวนั้นแล้วจากไป ปล่อยให้มือของวิริยะส่งไปเก้อ
ก็ไม่คิดว่ามันจะง่ายนักหรอก เขาเตรียมใจมาแล้ว
เด็กหนุ่มมุ่นคิ้ว มองตามแผ่นหลังกว้างนั้นเดินตรงดิ่งไปยังรถของไร่แล้วขับออกไป ไม่ได้สนใจหันมองว่าตอนนี้วิริยะเป็นอย่างไร เฉกเช่นวันที่เด็กหนุ่มพูดจาทำร้ายจิตใจอีกฝ่าย วิริยะลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นดังนั้น มองตามรถของเชษฐ์ไชยไปจนสุดสายตา พยายามไล่น้ำไม่ให้รื้นชื้นเต็มเบ้า พร่ำบอกว่าเป็นเพราะทำตัวเองมันถึงได้เป็นอย่างนี้ จะมาร้องไห้เหมือนเมื่อก่อนไม่ได้อีกแล้ว
สมแล้ว ที่ทำกับเชษฐ์ไชยมันยังไม่พอเลย
แต่แค่นี้ วิริยะไม่ยอมหรอก
หนักว่านี้เด็กหนุ่มก็เคยเจอมาแล้ว คอยดูเถอะว่าจะเป็นเหมือนเดิมได้ไหม
3 เดือนต่อมา
ดูเหมือนทุกอย่างกำลังดำเนินผ่านไปโดยไม่รอท่า หลังเลิกงานแล้วเจ้าของไร่ก็เดินขึ้นมาบนห้องพัก ถอดผ้าผ่อนโยนใส่ตะกร้าแล้วเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำชำระร่างกาย หลังโกนหนวดโนเคราแล้วเสร็จคนตัวใหญ่ก็หันมาเช็ดผมสั้น ๆ ให้พอหมาดแล้วปล่อยให้มันแห้งตามธรรมชาติ ง่ายกว่าช่วงผมยาวตั้งเยอะ รู้อย่างนี้ตัดตั้งนานก็ดี
ดูหล่อกว่าเป็นลิงตั้งเยอะ
มือใหญ่ชะงัก เมื่อเสียงของใครสักคนที่บังคับให้ทำดังผุดขึ้นมาในหัว พร้อมด้วยหน้าใส ๆ และแววตาล้อเลียนนั้น เชษฐ์ไชยสะบัดทิ้งไป บอกว่าเขาควรอยู่กับปัจจุบันแล้วลืมอดีตแย่ ๆ พวกนั้นทิ้งไปเสีย
ชายหนุ่มโยนผ้าเช็ดผมลงในตะกร้าที่ใช้แล้ว แล้วถอนใจ เปิดประตูกะว่าจะหาเสื้อผ้าสวมใส่แล้วลงไปทานมื้อเย็น หากทว่าต้องชะงัก เมื่อเหลือบไปเห็นใครยืนยิ้มทำหน้าแป้นอยู่ ราวกับรู้ว่าชายหนุ่มกำลังอยู่ในห้องน้ำ ซึ่งใครคนนั้น คือคนเดียวกันที่เชษฐ์ไชยกำลังนึกถึงตอนนี้
ไม่จริง เขากำลังเพ้ออยู่
เด็กตรงหน้าคลี่ยิ้มกว้าง “อาเชษฐ์ครับ ปิดเทอมเล็กแล้ว ขอผมอยู่ด้วยคนนะ”
วิริยะจะมายืนยิ้มอะไรที่นี่!
ชายหนุ่มนิ่ง จ้องคนตรงหน้าราวกับไม่เชื่อ คิดว่าตัวเองไม่ได้แค่แพ้อ เขายังเห็นภาพหลอนว่าวิริยะพูดคุยด้วยอย่างเป็นตุเป็นตะ นี่คงเป็นเพราะผลพวงจากการทำงานหนักแล้วให้ฮอร์โมนทำงานผิดปกติแน่ ๆ !
--๕๐--
----------------------------------------------------------
กลับมาสายฮาเหมือนเดิมแล้ว รู้สึกดราม่าไม่ขึ้น แฮ่!
มารอดูกันว่าน้องวิวจะตามง้อคุณอายังไง รับรองแต่ละวิธีจะฮาและน่ารักมากกกกก
แล้วจะขยันอัพและตั้งใจเขียนนิยายสนุก ๆ ให้อ่านกันนะคะ
อย่าลืมทิ้งคอมเม้นเป็นกำลังใจให้หนูนาเด้อ พากลับมาหาหนุ่ม ๆ บอยแบนด์แล้ว
ใครคิดถึงดำบอกได้ อิอิ