♥ Fall in you ♥
-ตอน 4-
‘ผมว่าจะถามหลายทีแล้ว ทำไมพี่มากินข้าวเช้าคนเดียวตลอดเลย?’ ผมพิมพ์ข้อความลงในโทรศัพท์มือถือ แล้วส่งให้คนที่กำลังก้มหน้าก้มตากินไม่พูดไม่จาได้อ่าน
“แล้วมึงล่ะ ?” พี่อาคเนย์ไม่ตอบ แต่กลับย้อนถาม
‘เพื่อนผมมันไม่กินข้าวเช้า มันบอกเสียเวลานอน’
“ฝั่งนี้ก็เหมือนกัน” พี่อาคเนย์ตอบแล้วก็ยกยิ้ม ผมเลยส่งยิ้มกลับไปก่อนจะก้มหน้าก้มตากินมื้อเช้าบ้าง
จะว่าไปอาทิตย์นี้ เกือบจะทั้งอาทิตย์แล้วนะ ที่ผมบังเอิญเจอพี่อาคเนย์ตอนแปดโมงเช้าที่โรงอาหาร แล้วไปๆ มาๆ เราสองคนก็มานั่งกินข้าวเช้าด้วยกันตลอด
“ไหนๆ ก็เจอกันทุกวันละ แลกไลน์กันมั้ย ใครมาถึงก่อนจะได้เป็นคนสั่งข้าว” พี่อาคเนย์เสนอความเห็น
“…” ผมพยักหน้ารัวอย่างเห็นด้วย เพราะวันนี้ผมมาสายไปครึ่งชั่วโมง แถมยังต้องเสียเวลาไปต่อคิวซื้อข้าวอีก วันนี้ก็แอบคิดว่าจะต้องนั่งกินข้าวคนเดียวแล้ว แต่บังเอิญพี่เขาดันมาสายกว่า ก็เลยรีบตามมาสมทบที่โต๊ะตัวเดิม มุมเดิมของโรงอาหารกลาง
“ยิ้มไร?” พี่อาคเนย์ถามเสียงแข็ง เมื่อเราต่างก็มีไลน์ของกันและกันแล้ว แต่ผมก็ยังเอาแต่ก้มหน้าก้มตายิ้มกับโทรศัพท์ แต่พอพี่เขาทัก ผมก็รีบกลั้นยิ้มทันที
ก็ดูสิ ผู้ชายตัวสูง ไหล่กว้าง หน้าตาหล่อเหลา ดวงตาคมเฉี่ยว อีกทั้งจมูกยังโด่งเป็นสัน แถมผิวยังสีขาวออร่าซะขนาดนั้น แต่ดันมีชื่อเล่นจริงๆ ว่า ‘ฮ่องเต้’
ช่างไม่เหมาะกับพี่เขาเลย เรียกพี่อาคเนย์ ยังจะเหมาะกว่าอีก“เดี๋ยวกูเท ไม่เอามึงไปคณะด้วยซะเลยนี่ สายแล้วเนี่ย” รุ่นพี่ตรงหน้าว่าพลางลุกขึ้นยืน พร้อมหยิบกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์ด้วยมือข้างนึง ส่วนอีกข้างก็ถือจานไปเก็บตรงภาชนะเก็บล้าง ผมก็เลยรีบสะพายกระเป๋าแล้วถือจานตามพี่เขาไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นเราก็แยกกันตรงที่จอดรถคณะศิลปศาสตร์ จำได้ว่าก่อนลงจากรถ พี่เขาควานหาหนังสือจิตวิทยาที่เบาะหลัง จากนั้นก็ถือติดมือไปด้วย
และในวันนี้ ผมก็ได้รู้สักทีว่าพี่อาคเนย์เลือกเรียนสาขาอะไร.. “วันนี้กูแม่งโคตรขี้เกียจอ่ะ พูดตรงๆ” ไอ้หมอกบ่นกระปอดกระแปด หลังจากอาจารย์ปล่อยคลาส เพื่อให้เวลาพวกเราไปหาข้อมูลมาทำรายงานเรื่องสิทธิของเด็กหูหนวกที่จะเติบโตขึ้นเป็นเด็กที่ใช้ภาษาได้สองภาษา ซึ่งภาษาที่ว่าก็คือภาษาสำหรับคนหูหนวกหรือที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายก็คือภาษามือ และภาษาไทยในรูปแบบของภาษาเขียนและภาษาพูด
“กูงีบก่อนได้ป่ะ” ไอ้หมอกมันถามความเห็น ขณะที่ผมกำลังเดินนำหน้า ส่วนสายตาก็มองสอดส่องหาหมวดหมู่ของหนังสือที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เป็นหัวข้อที่อาจารย์มอบให้
“เออ กูก็คิดว่างั้นว่ะ คนอื่นเขาเข้าวัดแล้วร้อน แต่กูเข้าห้องสมุดแล้วง่วง” ไอ้คินมันก็เห็นดีเห็นงามไปกับไอ้หมอกด้วย ผมจึงหันไปทำตาดุใส่พวกมัน แต่พวกมันก็หาได้กลัวไม่ แถมยังพากันเดินลัดเลาะชั้นหนังสือออกไปหามุมเพื่อหลับนอนอีกต่างหาก
นี่ถ้างานของมันไม่เสร็จ ผมจะหัวเราะสมน้ำหน้าให้สะใจเลยพอเดินไปถึงหมวดหนังสือต่างประเทศ ผมก็นึกลังเลว่าจะเปลี่ยนแผนดีไหม แต่พอส่องไปส่องมาก็พบว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคนที่ผมสามารถพบเจอเขาได้ทุกเช้าที่โรงอาหารคณะ และเราก็เคยกินข้าวด้วยกันหลายครั้ง แถมยังแลกไอดีไลน์กันแล้วด้วย ผมจึงย่อตัวลงนั่ง พลางเอาปลายนิ้วชี้จิ้มข้างแขนของรุ่นพี่ต่างสาขาเบาๆ เพื่อให้เขาขยับตัวไปนอนอีกด้านหนึ่ง ผมจะได้สะดวกในการหาหนังสือหนังหาที่ต้องการ
‘หลับสบายเลยนะครับ’ ผมยิ้มพลางส่งข้อความไปให้อีกคนอ่าน
“จะสบายกว่านี้ ถ้าไม่มีใครมาปลุกเนี่ย” พี่เขาทำหน้ามุ่ยพร้อมกับขยับไปนั่งชิดมุมด้านขวามือ ผมก็เลยอมยิ้มก่อนจะหันไปสนใจจุดประสงค์หลักของการมาห้องสมุดอีกครั้ง กระทั่งได้หนังสือเล่มที่ต้องการ ผมจึงเขย่งปลายเท้าให้สูงขึ้น ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มนั้นติดมือมาด้วย พร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ รุ่นพี่ต่างสาขาอย่างถือวิสาสะ เพื่อควานหาเนื้อหาที่ตรงประเด็นให้ได้ ก่อนที่จะไปรวมกลุ่มกับเพื่อน
“เล่นใหญ่ ใช้หนังสือภาษาอังกฤษทำรายงานเลยเหรอมึง?” คนที่ผมคิดว่าน่าจะเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราไปแล้ว จู่ๆ ก็ถามขึ้นหลังจากที่ผมนั่งปักหลักกลั่นกรองข้อมูลอยู่ข้างๆ
‘ครับ พอดีหมวดที่เป็นภาษาไทย เพื่อนๆไปออกันเยอะมาก ผมเลยไม่อยากเข้าไปเบียด’ ผมพิมพ์ตอบลงในแชท โดยที่อีกฝ่ายก็อ่านข้อความจากหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเอง จากนั้นบทสนทนาของเราก็จบลงแค่นั้น
“ขนตามึงแลยาวดีเนอะ”
เดดแอร์..
บอกได้คำเดียวว่า เดดแอร์!
ไอ้พี่อาคเนย์แม่งต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ อยู่ๆ ก็มานั่งพิจารณาขนตาผมเฉย เล่นเอาผมทำงานไม่รู้เรื่องไปเลย โชคดีที่พวกไอ้คินมันไลน์มาตาม ผมเลยถือโอกาสรีบแยกตัวกับอีกฝ่ายซะ
พอมาถึงโต๊ะที่ไอ้เพื่อนสองคนมันจับจอง ผมก็รีบก้มหน้าก้มตาแปลภาษาอังกฤษในเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง ส่วนไอ้เพื่อนสองตัว มันก็นอนเอกเขนกอย่างสบายใจเฉิบ
“โห ไอ้เชี่ย มึงจะเมพไปไหน เล่นแปลเองเลยเหรอวะ โหดสาด” หลังจากไอ้คินมันชะโงกหน้ามาสอดส่องการทำงานของผม มันก็รีบอุทานออกมา พร้อมกับทำหน้าทำตาซะโอเว่อร์
“เชรดดดด” ไอ้หมอกมันรีบเงยหน้าขึ้นจากข้างแขนของตัวเอง จากนั้นก็ชะโงกหน้ามาดูเนื้อหาที่ผมจะใช้ประกอบงานที่อาจารย์สั่ง
‘กูไม่ได้เก่ง กูแค่ขี้เกียจไปแย่งหนังสือกับเพื่อนคนอื่น แม่งวุ่นวายเกิน’ ผมเข้าสู่โหมดแชท แล้วพิมพ์ข้อความลงไปในกรุ๊ป
“เป็นการขี้เกียจที่ยิ่งใหญ่มาก ไอ้สัส ต่างกับกู ที่ขี้เกียจแล้วก็นอนแม่งเลย” ไอ้หมอกมันว่า พลางพยักหน้าหงึกหงัก ส่วนไอ้คินก็ยกนิ้วโป้งทำท่ากดไลท์อย่างเห็นด้วย ผมเลยขี้คร้านจะสนใจพวกมัน รีบหันกลับมาทำงานของตัวเองต่อ
พอนั่งทำงานเพลินๆ เผลอแป้ปเดียวก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว ไอ้หมอกมันเลยทำท่าบิดขี้เกียจ ส่วนไอ้คินก็รีบเอาหนังสือไปเก็บที่ชั้นวางหนังสือ เพราะหลังจากที่มันนอนจนสาแก่ใจ ไอ้เพื่อนสองตัวมันก็รีบตั้งอกตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมายขึ้นมาบ้าง
“กูไปห้องน้ำแป๊ป พวกมึงก็รีบๆ เลย กูแม่งหิวสัสๆ” ไอ้หมอกมันหันมาบอกผมที่กำลังเก็บเครื่องเขียนลงในกระเป๋าเครื่องเขียน จากนั้นก็ลุกเอาหนังสือไปเก็บที่ชั้นวาง เนื่องจากผมแปลเนื้อหาที่ต้องการได้ครบถ้วนแล้ว เหลือแค่เรียบเรียงอีกนิดหน่อยก็น่าจะเสร็จ
เที่ยงนี้พวกเราตกลงจะไปกินร้านใกล้ๆ คณะ เนื่องจากมีเรียนในช่วงบ่าย อีกทั้งรสชาติอาหารก็ดีด้วย ที่สำคัญร้านนี้แอบเก๋นิดนึง ตรงที่มีช้อยส์ให้เลือกสั่งเป็นเมนูตามใจเชฟ เวลาสั่งก็ต้องเสี่ยงดวงกันหน่อยว่ามันจะเป็นเมนูไหน อร่อยหรือเปล่า แต่เท่าที่เคยสั่ง ก็ไม่เคยผิดหวังนะ
“เหมือนเดิม?” ทันทีที่ก้นแตะลงบนเก้าอี้ตรงมุมประจำ ไอ้หมอกก็หันมาถามความเห็น ผมกับไอ้คินเลยพยักหน้า
“เมนูตามใจเชฟเหมือนเดิมพี่ น้ำเปล่าสองขวด”
“นับวันอากาศยิ่งร้อนเหี้ยๆนะประเทศไทย” ไอ้คินเริ่มบ่นพลางขยับเสื้อเชิ้ตสีขาวของตัวเองไม่หยุด แถมร้านยังเป็นโอเพ่นแอร์แบบธรรมชาติอีกต่างหาก
“สุดๆ กูแม่งอยากจะโดดบ่อน้ำพุตรงหน้าทางเข้าคณะชิบ” ไอ้หมอกมันโอดครวญพลางพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
‘เอาดิ โดดเลยมึง’
“กวนนะมึงไอ้เตี้ย!” ไอ้หมอกที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถึงกับส่งมะเหงกมาเขกหัวผมแบบไม่ออมแรง
‘สาดดด เจ็บนะเว้ย’ ผมเบ้ปาก พลางก้มหน้าก้มตาพิมพ์เถียงกับไอ้เพื่อนซี้คู่อาฆาตราวกับเป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำวัน
“หราาาา” พอมันทำลอยหน้าลอยตา ผมก็ถึงกับชักสีหน้าใส่ไอ้หมอกอย่างเอาเรื่อง เพราะเวลามันกวนตีนทีไร เล่นเอาผมหงุดหงิดทุกที คิดแล้วก็เซ็ง ถ้าผมพูดได้นะ ป่านนี้ผมด่ามันเปิดเปิงไปแล้ว
เสียเปรียบชะมัด!แต่แล้ว เราสองเพื่อนซี้ก็มีโอกาสเถียงกันเป็นเรื่องเป็นราวในแบบของตัวเองได้ไม่นาน อาหารก็ทยอยมาเสิร์ฟ พวกผมก็พากันชื่นชมเมนูที่เขานำเสิร์ฟ ที่มีทั้งข้าวอบสับปะรด ข้าวหมูก้อนทอดไข่เจียว โรตีแกงเขียวหวาน
“แย่งกู” ไอ้หมอกทำหน้างอ เมื่อผมเอื้อมมือไปหยิบข้าวอบสับปะรด เรื่องของเรื่อง มันเป็นเมนูที่เราสามคนยังไม่เคยสั่ง และไม่แน่ว่าเมนูนี้อาจจะเป็นเมนูลับของร้านก็ได้
“…” ผมยักไหล่ และตั้งท่าจะกินให้หนำใจ แต่ปรากฏว่าโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ครัว กำลังถามหาเมนูข้าวอบสับปะรด เพราะว่ากลุ่มของเขาได้สั่งล่วงหน้าไว้แล้ว
คงจะเป็นลูกค้าประจำล่ะมั้งน่ะ..“เมื่อกี้มึงเอาไปเสิร์ฟโต๊ะไหนวะนั่น?” พี่เจ้าของร้านรีบหันไปถามพนักงานเสิร์ฟ ส่วนไอ้เด็กนั่นก็เกาหัวงงๆ พลางกวาดตามองไปรอบๆ ร้าน ก่อนจะหยุดลงที่โต๊ะของผม ขณะที่ลูกค้าคนดังกล่าวก็ค่อยๆ หันหน้ามาทางนี้ด้วย
อ่า.. พี่อาคเนย์ หรือพี่ฮ่องเต้นี่เอง..“เพื่อนผมมันยังไม่ได้กิน พี่จะเอาคืนไปก็ได้นะ?” ผมเอาเท้าสะกิดไอ้หมอก จนมันเงยหน้าขึ้นจากข้าวหมูก้อนทอดไข่เจียว แต่ก็ไม่ได้เข้าใจเอาซะเลยว่าผมต้องการอะไร ผมเลยต้องเอาเท้าเตะขามันอีกรอบ มันถึงได้ตะโกนบอกรุ่นพี่ต่างสาขาให้ผม
“ไม่เป็นไร แลกเมนูกันก็ได้” พี่เขาว่าอย่างนั้น แล้วก็เดินกลับมานั่งที่โต๊ะเหมือนเดิม ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมก็เลยก้มหน้าก้มตาทานเมนูของเขาต่อ
แต่จะว่าไป เมนูนี้ก็อร่อยดีนะ..หลังเลิกเรียนไอ้หมอกไอ้คินมันชวนผมปั่นจักรยานรอบมหาลัยเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้พวกมันมีเป้าหมายใหม่ มันบอกว่ามันอยากจะแวะไปให้อาหารปลาที่คณะดุริยางคศาสตร์ พร้อมกับนั่งชิวๆฟังเขาซักซ้อมวงดุริยางค์ที่แอบเปิดหน้าต่างแง้มๆไว้ จากนั้นก็ค่อยไปหาอะไรกินตรงร้านหมูย่างหน้ามหาลัย
“มึงรู้ป่ะ ทำไมกูถึงเลือกเรียนสาขานี้ ?” ไอ้คินมันโยนอาหารปลาลงในบ่อ ก่อนจะหันมาตั้งคำถามใส่พวกผมสองคน
“กูจะรู้มึงเรอะ ได้ข่าวว่าเราเพิ่งรู้จักกันมั้ยมึง” ไอ้หมอกรีบย้อนความทันควัน
“กูอ่ะ เห็นอาจารย์ทำหน้าที่ล่ามภาษามือในกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆ แล้วคิดว่าโคตรเท่ แถมยังทำประโยชน์ให้สังคมด้วยนะเว้ย กูเลยตัดสินใจเลือกเรียน” ไอ้คินมันตอบพลางยกยิ้มอย่างภาคภูมิใจกับการตัดสินใจของมัน
“ส่วนกู เลือกเรียนสาขานี้เพราะมันให้ประโยชน์กับคนประเภทกูว่ะ อีกอย่างกูซื้อความสบายใจของตัวเองด้วย คือมันก็อดกลัวไม่ได้นะเว้ย ว่ากูที่เป็นแบบนี้จะไปเรียนสาขาอื่น คณะอื่นแล้วจะได้รับการยอมรับจากเพื่อนๆ กับรุ่นพี่แบบนี้มั้ย เพราะกูน่ะ ถ้าถอดเครื่องช่วยฟังซะ ก็จบเห่” ไอ้หมอกมันพูดด้วยสีหน้าเศร้าๆ ผมเลยตบไหล่มันเบาๆ ในสถานะคนหัวอกเดียวกัน
“อืม กูเข้าใจ”
‘กูเองก็คิดเหมือนไอ้หมอกนะ ยิ่งตอนเด็กกูเคยถูกเพื่อนเอาเรื่องที่กูพูดไม่ได้มาล้อเลียน กูเลยยิ่งมีอคติกับคนไร้ข้อบกพร่องไปใหญ่ แถมพอตอนแม่งรู้สาเหตุที่ทำให้กูพูดไม่ได้นะ แม่งก็หาว่ากูไร้สาระ ไอ้สัสเอ้ย ถ้าพวกแม่งมาเป็นกู แม่งจะไม่คิดว่ามันไร้สาระเลย’
“ยังไงวะ?” ไอ้คินมันย้อนถาม ทำเอาผมชะงักขึ้นมาทันที
“ถ้ามึงไม่สะดวกจะเปิดใจเล่า ก็ไม่ต้องเล่าแม่ง” ไอ้หมอกมันว่าพลางบีบไหล่ผมที่นั่งอยู่ระหว่างกลางพวกมัน
“หาไรแดกกันเหอะว่ะ ทิ้งเรื่องดราม่าไว้แม่งตรงนี้แหละ ต่อไปพวกมึงจะมีแต่ความสุข เชื่อกู!” ไอ้คินมันลุกขึ้นยืนพลางยีหัวผมกับไอ้หมอกคนละที พวกผมก็เลยยกยิ้มให้มันแทนคำสัญญา ก่อนจะเดินตามไอ้เพื่อนตัวสูงที่เดินล้วงกระเป๋ากางเกงนำหน้าออกไปยังลานจอดรถของคณะดุริยางคศาสตร์ จึงทำให้พวกเราค่อยๆมองเห็นรูปทรงของตัวอาคารที่ประดับด้วยโน้ตดนตรีหลากประเภท
พวกเราจัดการคืนจักรยานที่ประตูหน้ามอ ก่อนจะข้ามสะพานลอยเพื่อข้ามไปยังฝั่งตรงข้าม เดินเรียบข้างทางไปอีกหน่อยก็เจอกับร้านหมูย่างสไตล์เกาหลี แต่พวกเราจะเปรี้ยวสั่งแต่เนื้อย่างมาแดกให้พุงกาง
“เฮ้ย บังเอิญว่ะ รวมโต๊ะกันเลยมั้ยพวกมึง?” หลังจากทักทายพวกพี่ทีมกับพี่อาคเนย์เรียบร้อยแล้ว พี่ทีมก็รีบกดดันชักชวนพวกเราทันที เพราะพนักงานกำลังรอคอยคำตอบจากเราอยู่
“โอเคพี่ เลี้ยงด้วยนะ” ไอ้คินมันว่า พลางยักคิ้วให้รุ่นพี่สายรหัสของตัวเอง
“แดกตีนกูนี่ รอบนี้หารกันครับมึง” พี่ทีมว่าพลางลากคอไอ้คินให้เดินตามพนักงานไปพร้อมแก
ผมปล่อยหน้าที่การสั่งอาหารให้คนอื่นๆ ส่วนตัวเองก็พิมพ์แชทไปบอกแม่ว่ากำลังจะกินมื้อเย็น จากนั้นก็นั่งไถโทรศัพท์เงียบๆ คนเดียว ซึ่งแอปพลิเคชันที่ผมเข้าไปส่องนั่นส่องนี่บ่อยที่สุดก็เห็นจะเป็นทวิตเตอร์นี่แหละครับ ความบันเทิงหลากหลายดี แถมบ่นคนเดียวก็ไม่มีใครมาว่าแดกด้วย
‘วันนี้นึกยังไงมากินซะไกล?’ หลังจากนั้นพี่อาคเนย์ก็ทักมา ผมเลยเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์แวบนึง จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาพิมพ์ตอบอีกฝ่าย
‘คนเรามันก็ต้องมีอารมณ์อยากเปลี่ยนบรรยากาศ เปลี่ยนเมนูกันบ้างสิครับ ใจคอพี่จะให้พวกผมฝากท้องกับโรงอาหารอย่างเดียวเลย?’ ประโยคอันยาวเหยียดถูกส่งออกไปภายในเวลาไม่กี่อึดใจ เพราะผมเป็นเซียนเรื่องการพิมพ์ อีกทั้งผมก็เปิดใจในการพูดคุยกับรุ่นพี่ตรงหน้าแล้ว ตั้งแต่รับรู้ว่าพี่เขาไปแอบเรียนภาษามือจนแทบจะเป็นมือโปรอยู่แล้ว
‘เออ’
‘ว่าแต่แถวนี้มีคาเฟ่ที่ทำบลูเลม่อนอร่อยๆอีกหรือเปล่าครับ’
‘ก็มีนะ เดินลงจากสะพานลอยก็เจอเลย ร้านขึ้นชื่ออยู่ ไอ้บอสถึงกับตกเป็นทาส’
‘ถ้าพี่บอสถึงกับตกเป็นทาส แสดงว่าผมก็ไม่น่าจะรอด’ หลังจากพิมพ์เสร็จผมก็เงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม ซึ่งพี่เขาก็ส่งยิ้มบางๆมาให้ ผมจึงยิ้มตอบ
‘ว่าแต่พี่ใช้เวลาเรียนภาษามือนานมั้ยครับ คือพี่ดูคล่องมาก’
‘ถ้าเอาแบบจริงๆจังๆก็ช่วงเข้ามหาลัยนี่แหละ อาศัยความรู้จากไอ้ทีม ไอ้บอสน่ะ ไม่งั้นเกิดพวกแม่งได้รวมหัวกันด่า กูก็ตายพอดี’
‘ไว้มึงคล่องภาษามือเมื่อไหร่ มาลองภูมิกับกูนี่’
‘ได้เลยครับพี่ฮ่องเต้’ ผมเงยหน้าพลางยักคิ้วรับคำท้า ส่วนอีกฝ่ายก็ทำถลึงตาใส่ เพราะผมดันเรียกชื่อต้องห้ามเข้าให้ แต่จากนั้นบทสนทนาของพวกเราก็จำต้องหยุดลง เมื่อคนอื่นๆ เริ่มงัดหัวข้อมาพูดคุยกันเพื่อสร้างความสนิทสนม ซึ่งผมกับพี่บอสก็ได้แต่ยิ้มรับบ้าง พยักหน้าตอบบ้าง กระทั่งอาหารเย็นของพวกเราเริ่มพร่องได้ช้าลง จึงพากันฝืนกินให้หมดจนท้องแทบแตก ก่อนจะแยกย้ายกันที่หน้าร้านเหมือนเดิม เพราะหอพักของรุ่นพี่ทั้งสามอยู่ตรงซอยถัดจากร้านหมูย่างนี่เอง
“ไว้เจอกันพี่”
“เออ”
ติ้ง!
ผมเปิดกระเป๋าเป้ พลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาพิมพ์ขณะที่สองขาก็ก้าวเดินตามการนำทางของไอ้เพื่อนทั้งสองคนที่กำลังมุ่งตรงไปยังสะพานลอยที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเรานัก
‘พรุ่งนี้จะกินอะไร?’
‘พรุ่งนี้ผมไม่มีเรียนครับ พี่ไม่ต้องสั่งเผื่อผมก็ได้’
‘เออว่ะ พรุ่งนี้วันพฤหัสนี่หว่า กูก็ลืมไปเลย’
‘อะไรกันพี่ ยังไม่ทันจะแก่เลย ขี้ลืมซะแล้วเหรอ’
‘วอนละมึง มะเหงกนี่’
‘กูถึงหอละ บาย’
ผมยังไม่ทันได้พิมพ์ต่อล้อต่อเถียงอะไรกลับไป อีกฝ่ายก็รีบชิ่งหนีซะแล้ว ผมเลยได้แต่เก็บเครื่องมือสื่อสารลงในกระเป๋าใบโปรด ก่อนจะค้นพบว่าตัวเองเอาแต่อมยิ้มจนปวดแก้มไปหมด
--------------------------------------
27/01/2018 แอพพลิเคชัน > แอปพลิเคชัน
คุณอาคเนย์ค่าตัวไม่แพงแล้วนะคะ 555