ตอนที่ 13 คุ้มที่จะเสี่ยง
หลังจากผมบอกความรู้สึกในใจให้บูมได้รู้
มันก็คงอยู่ที่บูมแล้วล่ะ ว่าเขาจะคิดยังไง
และตอนนี้ผมก็รอที่จะฟังประคำตอบนั้นอยู่
“ต่าย หากเราทำอะไรแบบให้อภัยไม่ได้ ต่ายจะยังรักเราอยู่เปล่า”
น้ำสียงของบูมที่ผมอยากได้ยิน
แม้ประโยคที่บูมพูดจะไม่ใช้แบบที่ผมคิดไว้
แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมใจชื่นขึ้นบ้าง
“อืม....ยังไงเราก็รักบูม”
ผมตอบคำถามและหันมองบูม
เพราะคำถามที่บูมถามมา
มันทำให้ผมแทบไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ
“ต่าย แล้วต่ายคิดว่าเราดีพอหรือเปล่า ที่จะรักต่าย”
บูมถามผมอีกประโยค
และนั้นมันก็เริ่มทำให้ผมสงสัย
สงสัยว่าทำไหมบูมถึงถามผมแบบไม่มั่นใจ
หรือเพราะผมทำให้เขามั่นใจไม่ได้
“เราไม่รู้ว่านายใช้เกณฑ์อะไรมาตัดสินน่ะบูม
แต่เราก็ยังบอกคำเดิมว่า เรารักนาย”
น้ำเสียงของผมไม่ดูดุดันหรือรู้สึกรำคาญกับสิ่งที่บูมถาม
แต่กลับกัน น้ำเสียงที่ดูอ่อนโยนและแผ่วเบา
เมื่อเทียบกับอารณ์ของผมที่ดูจริงใจ
มันคงพอจะทำให้บูมได้สัมผัสกับสิ่งดีๆ
ที่ผมพยายามส่งผ่านเขาไป
“ต่ายหวังมากไหม........หวังว่าเราจะรับรักต่าย”
“เราหวังน่ะ หวังว่านายจะรับรัก
แต่เราบอกไม่ได้ว่ามากหรือน้อย
เพราะมันเป็นเรื่องของความรู้สึก”
“แล้วหากว่าเรารับรักต่าย แล้วสุดท้าย.....เลิกกัน
ต่ายจะเสียใจกับมันมากไหม”
ผมยังมองหน้าบูมอยู่
และบูมก็ยังคงมองหน้าผมเหมือนกัน
แล้วคำถามขอบูมมันก็ต้องทำให้ผมได้คิด
คิดว่าบูมต้องการอะไรจากผม
“คงเสียใจหากเราไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้น
และเราก็คงเจ็บ หากบูมทิ้งเราไป ทั้งที่เรายังรักบูมมากขนาดนี้”
ผมพยามบังคับให้น้ำเสียงเป็นปกติ
เพราะผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมกลัว
มันเริ่มจะเป็นความจริง
“แล้วหากตอนนี้รู้ว่าเลิกกัน ต่ายจะยังอยากคบกับเราอีกไหม”
ผมแทบสะอึกเมื่อได้ยินคำถามข้อนี้
แต่สุดท้าย มันก็บีบที่ให้ผมตอบออกไป
และหวังว่าบูมจะคิดอย่างที่ผมคิด
“เราว่ามันก็คุ้มที่จะลองเสี่ยงน่ะ
หากเราทั้งสองคนได้รู้ใจตัวเอง”
ผมรอฟังคำตอบของบูม
ที่มันคงไม่มีอะไรจะทำให้ผมรู้สึกจ็บ
และอยากร้องไห้ไปมากกว่านี้
แต่ผมต้องทน....
ทนเพราะผมไม่อยากเอาน้ำตา
มาเป็นเครื่องเรียกความสงสารจากบูม
“ต่าย.....บ้างทีเราว่ามัน....ไม่ใช่แบบนี้ก็ได้น่ะ”
ผมได้ยินที่บูมพูดทุกอย่าง
และทุกคำผมก็เขาใจดี
เพียงแต่ผมหวังว่าบูมจะขยายความหมาย
หรือพูดในสิ่งที่มันพอจะช่วยย้ำ
และทำให้ผมได้รู้ตัวมากกว่านี้
“อืม....เราเข้าใจ”
คำสั้นๆที่ออกมาจากปากผม
มันคงพอจะทำให้บูมเชื่อได้ว่า
ผมเข้าใจทุกอย่างแล้ว
“เราขอโทษน่ะต่าย....ที่รักเรา เราให้ต่ายไม่ได้”
“อืม อย่าขอโทษเลย เรื่องความรู้สึกบังคับกันไม่ได้หรอก
ถ้า...ใช่...มันก็ใช่ ถ้า...ไม่ใช่...มันก็ไม่ใช่”
ผมฝืนยิ้มให้บูมก่อนจะมองสายตาเศร้าๆของเขา
ซึ่งผมคิดว่ามันคงจะไม่ได้ต่างจากสายตาของผมเลย
เหอ...........................................................................................
ผมถอนหายใจและรีบแหงนหน้าขึ้น
......อย่างร้องน่ะเมิง.....
ผมพยายามบอกตัวเอง และบังคบให้อามรณ์เข้าอยู่ในสภาพปกติ
เพราะหากขืนเป็นแบบนี้ต่อไป มันคงจะยิ่งทำให้ผมต้องร้องไห้
แล้วอีกอย่าง ผมกับบูมเราก็ควรจากกันด้วยร้อยยิ้ม
ไม่ใช่น้ำตา....
“ต่าย....กินผัดไทเหอะ เราว่ามันเริ่มจืดแล้วล่ะ”
ผมค่อยๆหันกลับมาหน้าบูม
และเห็นบูมยิ้มให้ผม
ผมแอบรู้สึกดีใจอยู่ลึกๆเหมือนกัน
เพราะอย่างน้อยก้าวต่อไปของผมกับบูม
มันยังคงมีคำว่าเพื่อนเคียงข้างเราสองคน
.
.
.
ผมเดินขึ้นห้องมาด้วยน้ำตา
เพราะหลังจากที่ผมไปส่งบูมที่หน้าบ้าน
และปิดประตูบ้านเรียบร้อยแล้ว
ความเหนื่อย ความท้อ ความผิดหวัง
มันก็ค่อยๆเข้ามารุมเร้าตัวผม
จนน้ำตาที่ครั้งหนึ่งผมได้กักเก็บไว้
มันก็ค่อยๆไหลลงอาบแอบ
และผมก็ไม่คิดที่จะหยุดร้องไห้
เพราะอย่างน้อย น้ำใสๆนี้
มันอาจจะช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นได้
เมื่อผมเดินขึ้นห้องมาได้
ผมก็เดินไปคว้าผ้าเช้ดตัวและตรงเข้าห้องน้ำ
เหอ.............................................................
ผมถอนหายใจเป็นครั้งที่ร้อย
และเริ่มมองสำรวจตัวเองในกระจก
นอกจากหน้าโทรมๆของผมที่เต็มไปด้วยน้ำตา
ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรอีก
“น้ำหน้าอย่างกูใครจะมาชอบว่ะ เหอะๆ”
หลังจากด่าตัวเองและปลงกับหลายๆสิ่งได้
ผมลงมืออาบน้ำและทำภารกิจต่างๆของคืนนี้จนเสร็จสิน
และที่เหลือคือ...นอนหลับ
ก่อนจะหลับตา ผมหันไปมองที่บานประตู
ทีที่อดีตเคยมีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่
และเข้าก็จะบอกคำๆหนึ่งกับผม
และมันก็จะทำให้ผมรู้สึกดี
“ฝันนี้น่ะ...บูม”
น้ำตาผมเริ่มไหลอีกแล้ว
ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าตัวเองจะร้องทำไม
เพราะมันก็แค่อกหัก มันก็แค่เจ็บ และมันก็แค่ไม่เหลือใคร
“กะ....กู....บอ....บอก...ว่า...อย่า....ร้อง”
ทั้งที่บอกตัวเองแบบนี้
แต่มันก็เหมือนจะช่วยกระตุ้นให้ต่อมน้ำตา
มันเพิ่มการผลิตมากขึ้นและสุดท้าย
ผมก็คว่ำหน้าร้องไห้กับหมอน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ
ผมนอนร้องไห้ไม่นานก็รู้สึกง่วง
และนี้มันก็เป็นสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุด
เพราะช่วงเวลาที่ผมหลับ
มันก็จะช่วยให้ผมลืมสาเหตุของการร้องไห้
และหวังว่าเช้าพรุ่งนี้ มันจะสดใสกว่าเดิม
.
.
.
“กริ่งงงง...........”
-----------------------------------------------------------------------------------------------------ปล.ขอบคุณมากๆน่ะครับที่มาอ่านกัน พอดีมีเข้าค่ายที่โรงเรียน แล้วผมเป็น กนร.(คณะกรรมการนักเรียน)
เลยมีบทบาทค่อนข้างมากถึงมาก เพราะจัดงาน ไงก็บ้างคนอาจลืมนิยายเรื่องนี้แล้ว
ผมก็ขอโทษน่ะครับที่ไม่ได้มาแจ้ง...ขอบคุณมากครับ