บทที่ 2ภวิลเดินไปตามทางเดินปูหินทอดสู่บันไดหน้ามุขอย่างไม่รีบร้อน
... คนเรา... เวลาตัดสินใจทำอะไร ใครจะรู้ล่วงหน้าได้บ้างว่าคือสิ่งที่ดีที่สุดหรือไม่ ควรทำหรือไม่ แต่บางครั้ง บางเรื่อง ก็เป็นเรื่องที่ยังไงก็ต้องทำ
และเขา... ตัดสินใจแล้ว
ในฐานะลูกชายและหลานชายคนโต ภาระหน้าที่ที่ต้องดูแลมีมากมาย ทั้งธุรกิจ ทั้งครอบครัว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ใช้เครื่องมือทางธุรกิจเพื่อจัดการเรื่องในครอบครัว เขาสร้างเครื่องมือนั้นขึ้นมาเอง จึงไม่ต้องปรึกษาใคร
ธุรกิจของตระกูลวิรัชภาคย์ครอบคลุมหลายด้าน แบ่งแยกกันดูแลระหว่างพ่อของเขา อาผู้หญิง และญาติๆ คนอื่น ส่วนคุณย่ายังดำรงตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์ แนะนำเรื่องสำคัญๆ ในตระกูล
ล่าสุดธุรกิจในเครือที่แตกแขนงออกมาทำกำไรให้สูงทั้งยังเติบโตเร็วคือวินเนอร์พร็อพเพอร์ตี้ ภวิลใช้เวลาไม่นานทำให้บริษัทเป็นที่รู้จักในฐานะบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ผลประกอบการสูงติดต่อกันทำให้มีข้ออ้างดีเยี่ยมที่จะขยายกิจการไปถึงธุรกิจโรงแรมด้วย
และตอนนี้วินเนอร์พร็อพเพอร์ตี้เป็นเจ้าของหุ้นกิจการตรงหน้าอยู่ถึงเจ็ดสิบกว่าเปอร์เซ็นต์
มากพอที่จะ... ทำอะไรก็ได้
หากจุดประสงค์มีเพียงขยายงานให้ใหญ่โตขึ้น โรงแรมบูติกเล็กๆ แบบนี้คงช่วยไม่ได้มาก จริงอยู่ ที่ดินผืนงามติดริมแม่น้ำเจ้าพระยามีมูลค่ามหาศาล แต่เขาเพียงซื้อหุ้นในกิจการ ไม่ได้เป็นเจ้าของโฉนด ได้เท่านี้... ไม่คุ้ม
จุดคุ้มทุนของแต่ละอย่างไม่เหมือนกัน เขาเป็นนักธุรกิจ ลงทุนไปต้องได้อะไรกลับคืนมา ภวิลกวาดสายตาดูตัวตึกตรงหน้าอย่างใช้ความคิด
กรณีนี้... ก็ไม่ต่าง
ตอนเกิดเรื่อง เขาไม่อยู่ กำลังเจรจาแทนพ่อเรื่องร่วมทุนในกิจการอีกแขนงหนึ่ง แต่โทรศัพท์ด่วนจากเมืองไทยทำให้ต้องขอตัวจับเครื่องบินเที่ยวแรกกลับอย่างเร็วที่สุด
พอแตะพื้น รถของบ้านรอรับไปโรงพยาบาลทันที ก่อนหน้านี้พ่อไม่ยอมบอกรายละเอียดแม้เขาพยายามคาดคั้น พอถึงแล้วจึงได้รู้ว่าแท้จริงไม่มีใครตอบได้ เกิดอะไรขึ้นกับกฤตวัตกันแน่ เพียงแต่... สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้คือน้องชายเสียชีวิตแล้ว... จากไปก่อนที่เขาจะกลับมาทัน
ภวิลตั้งตัวไม่ติด ก่อนหน้าที่จะขึ้นเครื่องน้องยังโทรมา พูดจาเย้าแหย่ตามปกติแต่ลงท้ายด้วยอวยพรให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ เขาผ่านร้านหนังสือใกล้โรงแรม เห็นหนังสือออกแบบยังคิดถึง ซื้อมาฝาก ยังคิดว่าแบบนี้คงชอบ
เพื่อมารู้ว่ายูมันไม่มีทางตื่นขึ้นมาเห็น หัวเราะ หรือชื่นชมกับอะไรได้อีก
ภวิลเป็นลูกคนเดียวมาตลอดจนกระทั่งอาหญิงพาลูกกลับบ้านเดิมเมื่อสามีเสียชีวิต ตอนนั้นเขาเพิ่งขึ้นป. 6 น้องคนใหม่ที่ห่างกันสี่ปีตามเขาต้อยๆ ไม่มีพ่อแล้วเด็กชายกฤตวัตก็ติดเขาแจ ชื่นชมนับถือเขาเป็นทั้งพี่ชายและรุ่นพี่ในทุกเรื่องราว จากนั้นพอเจ้าตัวเข้ามหาวิทยาลัยได้ไม่นาน พ่อจึงรับหลานเป็นลูกบุญธรรมเสียเลย
แต่สถานะของอีกฝ่ายจะเป็นลูกพี่ลูกน้องหรือน้องบุญธรรมก็ไม่ได้แตกต่าง... ยังไง... ก็น้องอยู่ดี ภวิลสนิทสนมกับกฤตวัตราวคลานตามกันมา มีกระทบกระทั่งกันบ้าง... ก็เรื่องปกติของพี่น้อง ทุ่มเถียงแล้วก็ผ่านไป แต่ความรักความผูกพันเป็นของจริง
... แม้อีกฝ่ายจะไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว
เขาหน่วงหนักในใจเมื่อนึกถึงน้อง
คนในครอบครัวจากไปกะทันหันโดยไม่มีคำอธิบาย ที่ยังอยู่ข้างหลัง... ต่างต้องหาทางจัดการกับความรู้สึกสูญเสีย อาหญิงนับถือคริสต์ ที่จัดพิธีศพน้องแบบนี้ก็ตามความต้องการคนเป็นแม่ หลังเกิดเรื่องเธอพร่ำบอกทุกคนว่าน้องกลับไปหาพระผู้เป็นเจ้าแล้ว และมีชีวิตนิรันดรตลอดไป
แต่สำหรับเขา จะมองว่าขึ้นสวรรค์ไปอยู่กับพระเจ้าหรืออยู่กับพรหมก็เปลี่ยนแปลงผลที่ว่ากฤตวัตยังไม่สมควรจากไปไม่ได้ และถ้านั่นคือผล อะไรคือเหตุ
ภวิลอยากอาละวาดเมื่อไม่มีใครบอกอะไรได้ เพราะเขาต้องการเข้าใจ
... ทำไมเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น หลีกเลี่ยงได้ไหม มีทางช่วยได้ทันบ้างหรือไม่ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว... บางทีน้องอาจจะยังอยู่
คำถามแรกที่เขาถามหลังจากนิ่งไปนานเมื่อรู้ข่าว คือ “ตอนนั้นอยู่กับใคร”
... ยูตายตอนอยู่กับเพื่อนชื่อจิรัฐ ตายในรถของจิรัฐ
นอกเหนือจากนี้... ล้วนแล้วแต่คลุมเครือทั้งสิ้น
จากรูปการณ์ ก็อาจเชื่อได้ว่าจิรัฐเป็นเพียงคนนำส่งโรงพยาบาลเท่านั้น แต่น้องชายเขาเสียชีวิตก่อนจะทันถึงมือหมอ ไม่ใช่อุบัติเหตุทางรถยนต์ สืบดูเบื้องต้นแล้ว ในวันนั้นทั้งรถทั้งคนขับไม่มีรอยขีดข่วน ยูเอง... ก็ไม่ได้มีร่องรอยบาดแผลที่เห็นได้ชัดจากภายนอกด้วยซ้ำ
แต่ภวิลยังมั่นใจ... มีอะไรมากกว่าที่ตาเห็น
หลังเกิดเรื่องเป็นธรรมดาที่มีข่าวลือไปต่างๆ นานาในหมู่ญาติตลอดจนวงสังคมถึงสาเหตุการตายของกฤตวัต ยิ่งหาสาเหตุแน่ชัดไม่ได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้มีการคาดเดากันอย่างสนุกปากมากขึ้นเท่านั้น ต่อยอดจากคนที่น้องของเขาอยู่ด้วยตอนเสียชีวิต ทั้งจิรัฐขับรถโดยประมาทแล้วเอาเงินยัดตำรวจ บางเสียงก็อ้างไปว่ากฤตวัตขัดแย้งกับผู้มีอิทธิพลเรื่องชู้สาว จิรัฐรู้เข้าแต่กลัวโดนหางเลขตามไปด้วยเลยปล่อยเพื่อนตายโดยจับมือใครดมไม่ได้เสียอย่างนั้น
ภวิลปรามได้คุมได้เท่าที่ถึงหูเขาแต่ใครจะรู้ ลับหลังจะโหมกระพือกันไปอีกขนาดไหน
... มีแต่เรื่องเสียๆ หายๆ แต่เจ้าตัวคนที่น่าจะเสียหายที่สุดกลับไม่ออกมาชี้แจงอธิบายใดๆ ราวกับยินดีเป็นจำเลยสังคม
คนปกติธรรมดาที่ไหนจะยอมบูชายัญตัวเองแบบนั้นถ้าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่บ้าง ภวิลสัญญากับตัวเอง จนกว่าจะรู้ความจริงทั้งหมด เขาจะไม่ยอมปล่อยมือจากเรื่องนี้เป็นอันขาด
จิรัฐยังยืนอยู่ที่หน้าต่างด้วยความรู้สึกเหมือนรอคำพิพากษาที่ไม่มีทางอุทธรณ์
เห็นผู้มาเยือนก้าวเชื่องช้า พิจดูต้นไม้ใบหญ้าอาณาบริเวณราวกับเป็นเจ้าของแล้วจึงค่อยเบือนหน้ากลับ ทรุดนั่งลงที่โต๊ะประชุมดังเดิม คลึงนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ลงที่หว่างคิ้ว
... ปวดหัวตุบ
“จีรู้จักเขาหรือ” ธรรมนูญเอ่ยถาม สังเกตเห็นสีหน้าเปลี่ยนไปของรุ่นน้องตั้งแต่เมื่อครู่
“เคยเจอแค่... ครั้งสองครั้งน่ะครับ ตอนไปบ้านยู”
ตอนนั้นกฤตวัตยังไม่ได้ใช้นามสกุลวิรัชภาคย์ พอไปถึงบ้าน อันที่จริงควรจะเรียกว่าคฤหาสน์มากกว่า เห็นป้ายข้างหน้าแล้วถึงได้รู้ คนพาไปตื่นเต้นใหญ่โตเมื่อรู้ว่าตระกูลของแม่กับเพื่อนรักรู้จักกันมา คุณตาทวดของทั้งสองเคยคบหาสนิทสนม แม้ว่าคนหนึ่งจะเป็นขุนนาง และอีกคนจะเป็นพ่อค้า เลยมาจนถึงรุ่นลูก คุณตาก็ยังเป็นเพื่อนกันต่อ แถมคุณยายยังเป็นญาติกันอีก
‘เพราะฉะนั้นถูกที่สุดแล้วที่เราเป็นเพื่อนกันเนี่ย’ เขาจำได้ว่ากฤตวัตหัวเราะร่า
เข้าบ้านไปก็เจอคนเดินสวนออกมาพอดี เพื่อนแนะนำว่าเป็นพี่ จิรัฐรีบยกมือไหว้ อีกฝ่ายรับไหว้ หยุดพูดกับน้องชายสองสามคำแล้วก็ออกไป
มันก็เท่านั้น... ความเกี่ยวข้องระหว่างเขากับภวิล
กฤตวัตพูดถึงพี่ชายด้วยความชื่นชมอยู่เสมอ พี่วินเก่งอย่างโน้นเก่งอย่างนี้ เก่งจนจิรัฐเคยเย้าว่าคงเป็นยอดมนุษย์ ขาดแต่เหาะไม่ได้เท่านั้น ‘พี่วิน’ ถูกเอ่ยถึงในวงสนทนาบ่อยจนจิรัฐก็ติดเรียกตามไปด้วย แม้ภายนอกจะดูเหมือนพี่น้องคู่นี้ชอบต่อปากต่อคำกัน แต่ในความไม่ลงรอยมีความผูกพันแท้จริง
หลังเกิดเรื่อง เขากับวิรัชภาคย์เข้าหน้าไม่ติด คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคนที่เข้ามาเทคโอเวอร์ในคราวนี้จะเป็นพี่ชายของกฤตวัต ซึ่งน่าจะไม่อยากข้องแวะกันมากกว่า แต่จิรัฐบอกตัวเอง อีกฝ่ายจะไม่มีทางได้ไปมากกว่านี้... เขาจะปกป้องที่เหลือให้ถึงที่สุด
ธรรมนูญถอนใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่อยากจะนับ เห็นหน้ารุ่นน้อง มองดูก็รู้ว่าจิรัฐพยายามคิดหาทางออกหัวแทบแตก ตอนนี้เขาเองมืดแปดด้านไม่ต่างกัน ได้แต่บอกให้เลขานุการออกไปรับ ‘แขก’ ที
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่คนใหม่มาแล้ว ยังไงคงต้องรับหน้ากันไปก่อน
เลขาฯ ออกจากห้องธรรมนูญก็พูด
“พี่ว่าจีลองไปคุยกับเขาดู บริษัทในมือมีมากขนาดนั้นคงไม่ว่างมานั่งบริหารโรงแรมเราเองอีกหรอก ถ้าจะจัดคณะกรรมการฯ เข้ามาใหม่เผื่อเราได้ช่วยสรรหาบ้าง...”
ไม่ใช่เขาไม่รู้ มันบังเอิญเกินไปที่คนกว้านซื้อหุ้นจะเป็นพี่ชายของกฤตวัต แน่ใจว่าจิรัฐคงคิดเช่นเดียวกัน แต่เหตุการณ์มาถึงขั้นนี้คงต้องตั้งรับให้มั่นแล้วค่อยดู อีกฝ่ายจะเดินหมากอย่างไรต่อ
จิรัฐพยักหน้าอย่างครุ่นคิด ที่ผู้จัดการฝ่ายการเงินและบุคคลพูดมาเป็นวิธีดึงอำนาจการบริหารมาส่วนหนึ่ง เพราะจะขอซื้อหุ้นคืนตอนนี้ยังยาก และเขาซื้อคืนไม่ได้ทั้งหมดแน่ๆ
ผ่านไปครู่หนึ่งเลขาฯ ก็กลับเข้ามาในห้องประชุม “รออยู่ในห้องทำงานแล้วค่ะ”
“ห้องทำงานไหน ยังไม่ได้จัด” ธรรมนูญงง
“คุณ... เข้าไปรอในห้องทำงานคุณจีน่ะค่ะ”
“งั้นไปกัน...” ธรรมนูญเหลียวหารุ่นน้อง
หากเลขานุการพูดเสียงเบา “... อยากพบคุณจีคนเดียวก่อน”
“เอ... พี่ไปด้วยดีกว่ามั้ย” ธรรมนูญยังเชื่อในทฤษฎีคนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย
“ไม่เป็นไร พี่อาร์มรออยู่นี่แหละ” คำตอบไม่ลังเล
สิ่งสุดท้ายที่จิรัฐจะทำ คือยอมให้ฝ่ายนั้นคิดว่าเขากลัวจนถึงกับไปพบคนเดียวไม่ได้
เขาก้าวไปตามทางเดิน ตั้งสติให้มั่นคง นึกถึงคำที่พ่อเคยพูดบ่อยๆ ‘สติ... นะลูก เป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา ถ้าเรามีสติอยู่ เราจะไม่แพ้ ทั้งตัวเอง ทั้งผู้อื่น’
เคาะประตูห้องทำงานแล้วจึงเปิดออก คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หันหลังให้ค่อยหมุนกลับมาเผชิญหน้าช้าๆ สายตาคมเย็นยะเยียบกวาดมองเขา... จากบนลงล่าง แล้วไล่ขึ้นมาใหม่
จิรัฐจำไม่ได้ว่าพี่วินของยูที่เขาเคยพบ ถึงจะแค่ไม่กี่ครั้ง จะมองคนด้วยสายตาแบบนี้ สายตาที่เหมือนประเมินค่าและราคาของ แต่ก็เหมือนจะเหยียดและกดให้จมดินไปพร้อมกัน เขาสะท้านในใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่า ภวิลคงสงวนสายตาแบบนี้ไว้มองคนที่... เกลียด
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายก็สะกดตัวเองจนสุดความสามารถ
ความโกรธความแค้นเหมือนเสือร้ายที่พล่านอยู่ในอก รอจะโลดออกไปขย้ำทำลายเหยื่อ เสือตัวนั้นย่อมหันมาแว้งกัดได้เช่นกันหากควบคุมไว้ไม่ดีพอ แต่ถ้าฝึกให้ดีแล้ว เสือจะ... ล่าตามคำสั่ง
ภวิลรู้... จะพลาดไม่ได้
... ที่ลงทุนทุ่มเงินจำนวนไม่น้อยยึดสิทธิ์ในการจัดการบ้านหลังนี้ก็เพื่อให้เข้านอกออกในได้สะดวก เบาะแสอื่นที่เขาเคยตามสืบล้วนไร้ผล เหลือเพียงแต่ที่นี่
ความจริงเรื่องการตายของน้อง คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นคนเดียวที่น่าจะรู้ดีที่สุด ดังนั้นต้องเข้าใกล้ หาวิธีที่จะทำให้พูด
เห็นท่ายืนหลังตรงเป๊ะ สีหน้านิ่งสนิทนั่นแล้วก็พอรู้ว่าน่าจะดื้อ... ปากแข็ง
เขาต้องเดินเกมอย่างระมัดระวัง ผิดตาเดียว ล้มทั้งกระดาน
ตั้งแต่เดินเข้ามา... บางแห่งคล้ายเห็นสไตล์ส่วนตัวของกฤตวัตชัดเจน น้องชายคงลงทุนลงแรงไปไม่น้อยเลย
ยูเป็นคนอยู่นิ่งไม่ได้ บ้านพักตากอากาศ คอนโดของครอบครัวกี่แห่งๆ ขอแต่งเรียบ ว่างๆ คิดแผนปรับปรุงออฟฟิศของบริษัทในเครือ แต่ภวิลรู้จักนิสัยน้องดี ถ้าไม่ ‘รัก’ ก็ไม่ทำ
ขนาดขอเบิกเงินจากคุณย่าส่วนที่เป็นของตัวเองมาร่วมทุนด้วย... คงไม่ได้รักบ้านอย่างเดียว คนน่าจะสำคัญไม่แพ้กัน ท่าทางไม่ใช่เพื่อนธรรมดา
สิ่งที่เขาคิดแต่แรกไม่เปลี่ยน และตอนนี้ยิ่งแน่ใจคือ...
ยู... รสนิยมดี
เมื่อไม่มีการเชิญให้นั่ง จิรัฐก็ไม่นั่ง ยืนอยู่อย่างนั้น คิดๆ ดูแล้วก็ตลก เมื่อวาน หรือแม้แต่เมื่อเช้า ห้องทำงานนี้ก็ยังเป็นของเขา แต่พอตกสายหน่อยกลับไม่มีที่นั่งในห้องตัวเองเสียแล้ว
ห้องเงียบจนน่าอึดอัด ภวิลเลื่อนปึกเอกสารส่งให้ช้าๆ แต่ก่อนอีกฝ่ายจะทันรับมันก็ตกจากโต๊ะร่วงสู่พื้น จิรัฐจำต้องก้มลงเก็บ เขาเม้มปากแน่น พอเงยหน้าขึ้นมาภวิลก็เฉยเสียจนมองไม่ออกว่าจงใจหรือไม่
เอกสารพวกนั้นตอกย้ำความกลัวของเขา และยืนยันว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง บริษัทของภวิลซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมคิดรวมกันเป็นจำนวนมากกว่าที่เขาถืออยู่ถึงสามเท่าตัวเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการควบคุมกิจการ ถึงจะเตรียมใจมาไว้บ้างแล้วแต่จิรัฐยังรู้สึกเหมือนจะยืนไม่อยู่เมื่อคิดว่าการดูแลที่นี่จะไม่ใช่สิทธิ์ของตัวเองอีกต่อไป
“ตกใจหรือ? ใครๆ ก็ทำกัน เทคโอเวอร์มันเรื่องธรรมดา... ผมแค่เสนอทางเลือกให้ผู้ถือหุ้น ช่วยไม่ได้ เขายอมขายให้ผม คุณก็ต้องคิดนะว่าทำไมทุกคนถึงทิ้งทุ่นคุณกันหมด”
น้ำเสียงราบเรียบแต่ติดจะเยาะทำให้จิรัฐตวัดสายตามองคนพูดด้วยความเดือดดาล
... ก็ใช่ เขาตัวคนเดียว ถึงตอนนี้ก็เหลือแต่แม่เท่านั้น ไม่ได้มีญาติพี่น้องคอยสนับสนุนช่วยเหลือเรื่องแหล่งทุนหรือว่าเรื่องอื่นๆ เหมือนอย่างในวิรัชภาคย์
เสียงเรื่อยๆ นั้นยังเอ่ย
"ผมก็ไม่โทษเขาหรอก ใครจะอยากให้คนมีประวัติเคย... ประมาทเลินเล่อขนาดนั้นมาบริหารต่อ เดี๋ยวนี้นะคุณ ข่าวนิดๆ หน่อยๆ หุ้นก็ราคาตก ผมมาซื้อเขาก็ดีใจกันจะแย่ คงกลัวคุณบริหารโดยประมาทด้วยเหมือนกัน จะพากันลงเหวไปเสียหมด”
ถึงหลักฐานต่างๆ จะบ่งชี้แล้วว่าไม่ใช่อุบัติเหตุรถยนต์ แต่ภวิลก็ยังพูด... อยากดูปฏิกิริยา
เขามองจิรัฐกำมือแน่น
"ผมไม่ได้ประมาท!"
"พูดอะไรระวังหน่อย" ภวิลสวนขึ้นทันควัน "คนอื่นมาได้ยินคุณบอกว่าไม่ได้ประมาท จะคิดไปว่าคุณ... เจตนา"
“หมายความว่ายังไง คุณจะบอกว่าผมเจตนาเรื่องอะไร”
“ผมก็ไม่รู้... คุณเคยทำอะไรไว้ล่ะ”
ทั้งสองคนประสานสายตากัน ฝ่ายหนึ่งเฉยเมยเย็นชา ส่วนอีกฝ่ายพยายามสะกดกลั้นอารมณ์พลุ่งพล่านด้วยคำว่าสติ จิรัฐวางเอกสารคืนกลับลงบนโต๊ะก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่บังคับให้นิ่งที่สุด
“ผมไม่เห็นเหตุผล...”
“เทคโอเวอร์ ถ้าไม่ทำเพราะจะกำจัดคู่แข่งในธุรกิจเดียวกัน ซึ่งในกรณีนี้ไม่ใช่ ก็ทำเพราะเมื่อขยายธุรกิจแล้วไม่ต้องมาตั้งต้นเริ่มใหม่หมด พัฒนาต่อยอดมันคุ้มกว่ากันเยอะ เผอิญว่าวินเนอร์พร็อพเพอร์ตี้อยากต่อยอดธุรกิจเป็นกิจการโรงแรมบูติก มันก็เท่านั้น"
มันไม่ใช่เท่านั้นแน่... จิรัฐถามต่อด้วยน้ำเสียงเดิม
“คุณภวิล คุณจะเอาของที่คุณไม่อยากได้ไปทำไม”
"คุณรู้ได้ยังไงว่าอะไรผมอยากได้ อะไรไม่อยาก... ได้"
จิรัฐสูดลมหายใจเข้าลึก ทุกครั้งเมื่อมีปัญหาให้แก้ ไม่ว่าผู้ถือหุ้นพูดไม่รู้เรื่อง การประชุมยืดเยื้อเกินจำเป็น ลูกค้าที่ดูจะไม่ยอมฟังเอาเสียเลยหรืออะไรก็ตาม เขาจะเริ่มนับเลขเพื่อให้ใจเย็นลง จำนวนขึ้นอยู่กับความยากในการรับมือ
... มากก็เพิ่มหลัก หนักเข้าจะนับถอยหลัง
และตอนนี้เขากำลังนับถอยหลังจากหลักพัน
"ตระกูลคุณไม่เคยสนใจธุรกิจโรงแรม ถึงแตกบริษัทใหม่มาพัฒนาอสังหาฯ ก็ทำแต่ศูนย์การค้าไม่ก็อาคารสำนักงานให้เช่าคุณไม่เคยทำคอนโดหรือบ้านด้วยซ้ำ พูดง่ายๆ ก็คือ คุณไม่เคยบริหารอะไรที่มีคนจริงๆ เข้าไปใช้ชีวิตอยู่เลย"
"ไม่เคยทำถึงได้ซื้อมาทำนี่ยังไง เมื่อก่อนน้องชายผมก็เคย 'สนใจ' ตอนนี้ผมจะสนใจบ้างก็ไม่เห็นแปลก”
รอยยิ้มจุดขึ้นที่มุมปากของคนพูดเล็กน้อย มันคงน่ามองนักในยามปกติ เพียงแต่ตอนนี้จิรัฐพาลจะคิดไปว่าถ้าเสือยิ้มได้เวลาเห็นเหยื่อชิ้นงามเดินเข้ามาให้เชือดถึงที่ มันคงไม่ต่างกันมากนัก
สำหรับบริษัทอย่างวินเนอร์พร็อพเพอร์ตี้ แค่แสดงความจำนงว่าอยากทำโรงแรมดูบ้างเท่านั้น ไม่แคล้วมีสัญญาเรียงแถวมาให้เลือกเป็นพรวน ทุ่มเงินซื้อหุ้นส่วนใหญ่มาเพื่อบริหารโรงแรมเล็กๆ แบบนี้ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด
ถ้าไม่เข้ามาเพื่อจุดประสงค์อื่น
... ภวิลคงไม่แม้แต่จะชายตาแล
กระนั้นเขาก็ยังพูดออกไปทั้งๆ ที่แน่ใจว่าอีกฝ่ายคงจะรับฟังเท่าๆ กับที่ฟังเสียงนกเสียงกา
“ตอนนั้นจะ... ร่วมทุน ไม่ใช่ตกลงให้เทคโอเวอร์”
“น้องผมน่ะใจดี บางทีดีเกินไป” ภวิลบอก ไม่หลงเหลือรอยยิ้มอีก “ร่วมทุนกันทำให้เพิ่มทุนได้โดยไม่ต้องกู้ ไม่ต้องห่วงเรื่องดอกเบี้ย ทางนี้ก็สบาย... ผมไม่รู้คุณใช้วิธีอะไรจูงใจเขา แต่คงไม่มีประโยชน์กับผม ผมไม่ได้ชอบของ... สวยๆ งามๆ เหมือนเขา”
สายตาจับอ้อยอิ่งชวนให้คนฟังหน้าร้อนเมื่อนึกถึงนัยที่ซ่อนอยู่ในประโยคนั้น กำลังจะขยับปากโต้ตอบหากอีกฝ่ายเอ่ยต่อไปเป็นเรื่องอื่น
“น้องผมชอบบ้านหลังนี้ไม่ใช่หรือ บอกบ้านสวย เครื่องเรือนเก่างามนัก แต่ลำพังแค่สวย... มันก็เท่านั้นแหละถ้าทำกำไรไม่ได้ ที่จริงโรงแรมนี้ยังไม่ถึงกับหมดโอกาสเสียทีเดียว เปลี่ยนผู้บริหารที่มีอำนาจควบคุมเสียใหม่จะได้แก้ปัญหาที่เคยมีมา สงสัยจะต้องปรับโครงสร้างพนักงานกันยกใหญ่ด้วย แต่ไม่ต้องห่วง ถึงจะไม่ได้สิทธิ์ในการบริหารแล้ว คุณก็... ทำอย่างอื่นได้ ผมยังไม่ใจร้ายขนาดให้เพื่อนที่น้องชายผม... รักที่สุด... ต้องตกงานหรอก”
จิรัฐอดขัดหูกับคำว่า 'รักที่สุด' ไม่ได้ เขาโพล่งออกไปก่อนจะห้ามตัวเองทัน
"ทำอะไรครับ ขุดลอกสระบัว ทำความสะอาด หรือว่าขับเรือรับส่งแขกดี แต่ขอบอกไว้ก่อนว่างานในครัวไม่ค่อยเก่ง ถ้าเสิร์ฟกับยกกระเป๋าละพอได้"
"อย่าเพิ่งใจร้อน แล้วก็รู้เอง” รอยยิ้มมุมปากแบบเดิมจุดขึ้นอีกครั้ง
จิรัฐเริ่มนับถอยหลังอีก กับคนคนนี้เขา ‘หลุด’ ได้ง่ายดาย ทางเดียวที่จะรับมือได้คือต้องควบคุมสติเข้าไว้
“คุณภวิล อำนาจในการบริหารของคุณอาจแค่ชั่วคราว ถ้ามีทาง ผมจะพยายามรวบรวมทุนมา...”
คำพูดนั้นถูกขัดโดยเสียงหัวเราะ ภวิลส่ายหัวน้อยๆ มองเขาอย่างสงสารแบบที่หมาป่าคงมองลูกแกะที่หาญมาต่อรองด้วยทั้งๆ กำลังจะถูกกินอยู่แล้ว
“ผมนับถือความกล้าของคุณนะ แต่พูดก็พูดเถอะ ผมไม่เห็นทางเลยจริงๆ นอกจาก...กู้”
จิรัฐหน้าถอดสี เพราะเพิ่งนึกถึงผลของการเลือก ‘ทาง’ ที่ภวิลว่าขึ้นมาได้
ถ้ากู้เงิน เขาคงไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันอะไรที่มีค่ามากพอสำหรับเงินจำนวนมหาศาลขนาดนั้นได้ยกเว้นแต่...
... โฉนดที่ดินกับบ้านหลังนี้
และถึงได้เงินมาซื้อหุ้นที่ไม่รู้ภวิลจะโก่งราคาไปอีกเท่าไหร่คืนมา ถ้าไม่เหลือเงินพอจะชำระหนี้ทัน ก็ไม่พ้น... ต้องขายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันอยู่ดี
“บ้านกับที่ดินนี้เป็นของแม่คุณ ถ้าเอาไปค้ำท่านก็ต้องรู้ว่าคุณไม่ได้ตกลงจะร่วมหุ้นเสริมทุนตามธรรมดา แต่บ้านพระยาเปลี่ยนมือผู้บริหารไปแล้ว” ภวิลเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “ซึ่งผมคิดว่าคุณคงไม่เสี่ยง ได้ข่าวสุขภาพท่านไม่ค่อยจะแข็งแรงนัก”
ภวิลปิดกั้นเขาไว้ทุกทาง กระทั่งเรื่องแม่ก็ยังรู้ จิรัฐรู้สึกราวผนังห้องบีบแคบเข้า เพดานที่เคยสูงโปร่งกลับลดต่ำลง
“หรือว่า... คุณจะถอยออกไปรับเงินปันผลสบายๆ ที่เหลือ... ผมจัดการเอง แต่คุณก็อาจจะต้องเข้ามาบ้าง แขกชอบที่เป็นธุรกิจของครอบครัว คิดไปว่าจะทำให้ใส่ใจกับรายละเอียดได้มากไม่เหมือนโรงแรมใหญ่ๆ ผมไม่อยากให้ภาพตรงนั้นมันเสีย หลายๆ ที่ก็ทำอย่างนี้แหละ ให้คนอื่นมาบริหารแต่ยังบอกว่าดำเนินกิจการโดยครอบครัวอยู่ บางทีก็เรียกว่าเจ้าของไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ...”
จิรัฐจ้องคนตรงหน้าเขม็ง
“ไม่เอาหรือ? ถ้าการที่ผมเป็นผู้บริหารสูงสุดของที่นี่ขัดใจคุณนัก มีอีกทาง... ขายหุ้นที่เหลืออยู่ทั้งหมดให้ผม” คนนั่งไขว่ห้างอยู่เหลือบสบตา “ผมซื้อได้ ไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอก”
จิรัฐสูดลมหายใจลึก... ให้เขาตายเสียดีกว่าจะยอมวางมือจากบ้านหลังนี้ บ้านที่คุณทวดสร้างเป็นเรือนหอให้คุณหญิงของท่าน คุณยายทวดของเขา... บ้านที่พ่อใช้ทั้งชีวิตทั้งชีวิตบูรณะขึ้นมาด้วยความรักที่มีให้แม่
เห็นสีหน้าอีกฝ่ายภวิลก็เอ่ยต่ออย่างไม่ยินดียินร้าย
"นั่นสิ... คุณไม่มีวันทิ้งที่นี่ได้ คุณต้องอยู่... เพราะคนที่เขารักคุณทุ่มเทให้กับบ้านหลังนี้มามากเกินไป ทั้งพ่อ ทั้งแม่คุณ ทั้ง... น้องผม แต่ที่พูดขึ้นมาก็เพราะอยากให้รู้ว่า คุณอยู่... ในสถานะที่ต่างจากเดิมแล้ว”
จิรัฐหน้าชา บทสนทนาเมื่อครู่ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะผู้บริหารคนใหม่เพียงจะแสดงให้เขาเห็น... ที่เคยคิดว่าพอมีทางนั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่
ราวกับทำได้เพียงคอยดูบ้านพระยาเปลี่ยนแปลงไปตามแต่อีกฝ่ายจะใช้อำนาจสิทธิ์ขาดจัดการ
จะตัดใจละไปก็ไม่ได้... สายโซ่ที่เรียกว่าความผูกพันดึงรั้งเขาไว้อย่างแน่นหนาเกินไป สำหรับจิรัฐแล้ว บ้านพระยาไม่ใช่แค่ตึกเก่าริมน้ำ หรือเป็นเพียงกิจการของครอบครัว เวลามองกลับมา เขาเห็นหยาดเหงื่อ รอยยิ้ม และความพยายาม... ของพ่อ ของแม่ ของยู เห็นแรงกายแรงใจของพนักงานทุกคนที่ทำให้ที่นี่เป็นบ้านของผู้ที่จากบ้านมา... แม้เพียงชั่วคราว
อิฐทุกก้อน หญ้าทุกต้น มีความหมายกับเขาในแบบที่คนมองแต่ผลกำไรขาดทุนแบบผู้ถือหุ้นใหญ่คนใหม่ไม่มีทางเข้าใจ
ภวิลโบกมือ “เชิญ ตามระดับผู้จัดการทั้งหมดมาพบผมด้วย ส่วนคุณก็อย่าเพิ่งไปไหนไกลเผื่อมีธุระต้องเรียก” เขาหยุดเหมือนคิด แต่จิรัฐแน่ใจว่าคือการเย้ยชัด “แต่ก็คง... ไปไหนไม่ได้อยู่ดี”
จิรัฐเดินช้าๆ ไปที่ประตู ไม่ทันเห็นรอยยิ้มอีกแวบหนึ่งของผู้บริหารคนใหม่
... ที่พูดออกไปทุกอย่างภวิลคิดถี่ถ้วน ถ้าการเข้ามาซื้อหุ้นก้อนใหญ่ในครั้งนี้ส่งผลให้ ‘เป้าหมาย’ ลี้หนีหาย ก็ไม่บรรลุจุดประสงค์
ใจอยู่ที่ไหน กายมักจะทนห่างได้ไม่นาน เขานึกถึงทศกัณฐ์กับกล่องดวงใจ... แม้คนตรงหน้าจะไม่คล้ายยักษ์เลยสักนิด แต่ถ้าจิรัฐมีกล่องดวงใจ ใจคงถอดฝากไว้กับบ้านหลังนี้ บ้านที่อยู่ในมือเขาแล้ว
ใจที่ลดทอนความเข้มแข็งลงย่อมเค้นสิ่งที่ปิดบังซ่อนเร้นไว้ได้โดยง่าย
ภวิลมองร่างเพรียวหยุดอยู่ที่ประตู มือจับลูกบิด แต่แล้วก็หันกลับมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นคง
“บางอย่างในโลกนี้นะคุณภวิล คุณอาจจะมีโอกาสครอบครองได้ชั่วครู่ชั่วยาม แต่คุณไม่มีวันเป็นเจ้าของจริงๆ หรอก”
ประตูปิดลง... นุ่มนวลนัก ราวจะขัดกับแววตาเข้มแข็งเอาจริงที่มองสบเขานิ่งๆ ภวิลหัวเราะกับตัวเองโดยไม่มีความรื่นรมย์แม้เพียงนิด
... ใช่ว่าเขาปรารถนาจะข้องแวะกับที่นี่ไปตลอดกาลเสียเมื่อไร!++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คุณ theduchess มาแล้วน้า ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ
คุณ yeyong อีกสักแป๊บได้รู้แน่นอน
คุณ dawnthesky ขอบคุณค่ะมาอ่านเรื่องนี้ด้วย ไม่ม่ามากหรอก จริงๆ นะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่า
คุณ PetitDragon แก้แค้นหรือเปล่านะ เรียกว่ามาหาความจริงละกัน แต่ระหว่างนั้นก็...
คุณ iamnan โอ๋ๆ ไม่ต้องกลัวหรอกน้า มันไม่เยอะ (ในสายตาคนเขียน 55) อ่านต่อกันเต๊อะ ปล. ถ้าอยากได้แบบชิวๆ เลยลองหาสมาคมขนสั้นในห้องนิยายจบแล้วได้ (โฆษณาเรื่องเก่าซะงั้น)
คุณ parn11 มาแล้วนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาค่า
คุณ jeaby@_@ ขอบคุณที่แวะมาค่า
คุณ silverphoenix ขอบคุณมากค่า ฝากด้วยน้า
คุณ kun มาแล้วค่ะ ขอบคุณที่แวะมาอ่านค่ะ
คุณ bluebird ขอบคุณที่ยังติดตามค่ะ จะพยายามมาต่อไม่ให้นานนัก ฝากด้วยนะคะ
คุณ bulldog17 ขอบคุณที่แวะมาอ่านเรื่องนี้ด้วยค่ะ เรื่องปมเราก็จะค่อยๆ แก้กันปายย
บทที่ 2 มาแล้ว ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านมากค่า
แล้วพบกันใหม่นะจ๊ะ