รักจัง.......ตอนที่2
“ไงไอ้กิม หน้าเหี่ยวเป็นศพไม่มีญาติเลยนะมึง”
ไอ้อ่อนนั่งอยู่ที่โต๊ะประจำกลุ่ม เปิดปากทันทีที่เห็นผมเดินเมาแบบค้างๆคาๆต้อนรับวันใหม่เข้าไป
“พูดเนี่ย มองหน้าตัวเองก่อนเหอะไอ้อ่อน” ผมสวนกลับพลางกวาดตามองไปรอบโต๊ะ เพื่อนพ้องน้องพี่ผู้ร่วมเจตนารมย์กันมาทั้งหลายนั่งโงกกันหน้าสลอน
“ไอ้มิคมันยังไม่โผล่หัวมา สงสัยโดนสาวดักอยู่มุมตึก” ไอ้อ่อนต่อเหมือนรู้ หลังจากเห็นผมยืนหัวโด่สแกนเสียรอบโต๊ะ
“แล้วเมื่อคืนมึงกลับไปตอนไหนวะ แดกกันอยู่ดีๆแม่งหาย ไอ้มิคอีกคน ไปไม่มีลามาไม่มีไหว้”
ได้ยินเพื่อนว่ามาอย่างนี้ก็เลยต้องยกมือพนม ไหว้มันไปงามๆเสียทีก่อนแบมือกำแล้วเบิ้ดกระโหลกกันให้สะเทือน แล้วก้าวขาข้ามเก้าอี้ไปเบียดนั่งกับมันอีกคน
“ไอ้เอี้ย! คนยังแฮ้งค์อยู่ตบเข้ามาได้” ไอ้อ่อนผรุสวาทออกมาทั้งน้ำตาปริ่ม ก่อนทำงอนหันหน้าาหนีไปทางอื่น
ปล่อยให้ผมนั่งทำหน้าเหี่ยวเป็นศพไม่มีญาติพลางคิดทวบทวนคำถามที่ว่า เมื่อคืนผมกลับหอไปตอนไหน? กลับไปได้ยังไงโดยยังอยู่ดีครบสามสิบสอง เพราะเมาเป็นหมาขนาดนั้นมันไม่น่าจะกลับไปนอนแผ่สบายบนเตียงได้อย่างรอดปลอดภัยและใสสะอาด ไม่มีกลิ่นเหล้าหรือคราบอ้วกทิ้งไว้เป็นหลักฐานการเปลี่ยนสัญชาติจากคนเป็นหมามาเมื่อคืน จะมีก็แต่ปากเจ่อๆบวมๆเหมือนโดนต่อยด้วยโมเมนตัมไม่มากไม่น้อย แต่พอคลำดูมันก็ไม่เจ็บไม่ปวดนี่หว่า
เอาเป็นว่าเรื่องของเมื่อคืนที่จำได้หลังเหล้าน้ำเปล่าสองหนึ่ง แก้วที่หกกระดกเข้าปากมาก็เป็นเสียงเห่าหอน
ที่ได้ยินอยู่ใกล้ๆประหนึ่งหลุดออกจากปากตัวเอง แต่ว่าหอนเป็นเรื่องเป็นราวอะไรหรือใส่หน้าใครนั้นจำไม่ได้ รู้แต่ว่าตื่นมาเช้านี้โลกมันขยับได้ เอียงซ้ายทีขวาทีให้ได้ทดสอบความสามารถในการทรงตัว ประหลาดแต่ว่ากระโหลกยังอยู่ดีไม่มีปวด อาการเหมือนโดนกรอกแฮ็งค์กันแฮ็งค์ก่อนหลับเป็นตาย
“ไอ้กิม ไอ้เพื่อนโฉด! ไหนเมื่อวานบอกไม่ตั้งวงไง ทำไมหน้าเหี่ยวเป็นตัวกินไก่อย่างนี้ล่ะมึง” ไอ้โอ้ เจ้าพ่อสนามบาสโผล่มาพร้อมคำถามกินใจ
“โทษทีเว้ย ตอนมึงถามกูยังไม่รู้เลยว่าตกเย็นจะต้องไปนั่งแดกเหล้าเป็นเพื่อนไอ้อ่อน” เขวี้ยงขี้ใส่บุรุษที่สามที่กระตุกปากด่ากลับมาได้เร็วทันใจ แต่ผมทำเป็นหูทวนลมเพราะสายตาดันเหลือบไปเห็นหน้าขาวๆปากแดงๆของใครคนหนึ่งที่เดินผ่านมาพร้อมเพื่อนพ้องน้องพี่ตามหน้าตามหลังเป็นฝูง
หน้าขาวๆเคลื่อนเข้ามาในระยะโฟกัสจนเห็นเม็ดไฝใต้ตาแล้วก็เดินหล่อผ่านไปโดยไม่มีการเหลือบแลว่ามีใครหนึ่งคนนั่งมองตาค้างอยู่ตรงนี้ ขณะที่ผมได้แต่เบิ่งตามองตั้งแต่หน้าหล่อๆจนต้องหมุนคอตามแผ่นหลังกำยำใต้เสื้อนิสิต
“เฮ้ย กูบอกแล้วว่าอย่าไปมอง น้องเขาน่ารักก็จริงแต่คิวเต็มแล้วเว้ย” ไอ้โอ้หย่อนก้นลงนั่งฝั่งตรงข้าม คว้าแป็บซี่หนึ่งในสิบบนโต๊ะมาซดโฮกแล้วต่อ
“นู่น เจ้าของคิวมันเดินหล่อสาดนำอยู่หัวขบวนไม่เห็นรึไง”
ไอ้โอ้ใช้ปากที่ยังเคี้ยวน้ำแข็งไม่หมดก้อนบุ้ยใบ้ไปทางสูงยาวเข่าดีของผมที่ตอนนี้หย่อนก้นนั่งถัดไปหลายช่วงโต๊ะ อยากจะตวัดปากตอบมันไปเหมือนกันว่าเห็นอยู่เต็มสองตาเพราะที่กูจ้องตาค้างอยู่เป็นนานสองนานก็มีแต่หล่อสาดของมึงนี่แหละ น้องเตี้ยน่าเตี้ยเกินระดับสายตากู
แต่มันพูดไม่ออกครับ เพราะถึงแม้เป้าหมายจะเคลื่อนไปไกลเกินเอื้อมแต่อาการหัวใจสลายที่โดนความเมากลบทับไปเมื่อคืน ขณะนี้กำลังทะลักทลายเข้ามาสู่สมองการรับรู้ เช่นเดียวกับแห้วเหี้ยเสมือนจริงที่นึกว่ากินแกล้มเหล้าหมดไปแล้วหล่นปุลงมากลางกบาลจนเล่นเอาเซทั้งที่นั่งเบียดอยู่กับไอ้อ่อน
เจ็บที่ใจปวดที่กบาลอย่างนี้ไอ้เรื่องที่ลืมไปหลังน้ำเมาแก้วที่หกก็เลยมีอันได้ฟุ้งขึ้นมาให้ได้สะดุ้ง แต่ยังไม่ทันได้ตบๆความคิดให้เข้าที่เข้าทางว่าสะดุ้งเรื่องอะไรก็โดนมือหนักๆเน้นๆผลักเข้ามาที่หลังหัวแบบเต็มเหนี่ยวจนหน้าแทบโขกโต๊ะ เล่นเอาเสี้ยวหน้าขาวๆที่พยายามชะเง้อคอมองหลุดไปจากสายตาอย่างไม่ทันตั้งตัว เงยหน้าเงยตาขึ้นมาได้ผมก็อ้าปากเตรียมด่ากราดไอ้มือดีที่บังอาจมาเล่นของสูง แต่โดนเสียงเหน่อๆของไอ้อ่อนตัดหน้าไปซะฉิบ
“มาแล้วเหรอคุณชาย นึกว่าวันนี้จะไม่ได้เห็นหน้าเห็นตูดซะแล้ว นู่น น้องน้ำหวานมานั่งรอตั้งแต่ซุ้มโค้กยังไม่เปิด ป่านนี้โดนจีบจนจืดไปแล้วมั้งมึง”
ไอ้อ่อนอ้าปากรายงานเป็นผู้ประกาศข่าวภาคสนามตามเคย แต่ไอ้มิคที่โผล่มายืนหน้านิ่งกลับทำเหมือนเสียงเพื่อนเป็นเสียงนกเสียงกา แล้วยกมือข้างว่างขึ้นผลักหัวผมอีกครั้งด้วยความหนักหน่วงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าครั้งแรก
“เฮ้ย!” ผมรีบร้องเมื่อสะบัดหัวขึ้นมาเห็นไอ้มิคยังยกมือค้างแถมง้างเหมือนสองไม่พอจะขอสาม
“อย่านะมึง กูสู้นะเว้ย!”
ร้องอย่างเดียวไม่พอต้องรีบทะลึ่งพรวดเอาความสูงพอสูสีเข้าสู้ เพราะหน้าตาท่าทางฝ่ายตรงข้ามมันไม่ได้มาเล่นๆ เหมือนมันมาเพื่อตบหัวผมจริงๆจังๆยังไงชอบกล
“ขอบใจมากเพื่อนที่แก้แค้นให้กู แต่มึงตบได้เน้นๆอย่างนี้ทำไมไม่ถอดเก้าพันแปดที่ตีนซ้ายฟาดหัวมันไปเลยวะ” ขนาดไอ้อ่อนยังออกอาการงง
แต่ไอ้มิคยังคงทำเหมือนเสียงเข้มๆของผมกับเสียงเหน่อๆของไอ้อ่อนเป็นเสียงนกเสียงกา ไม่ฟังไม่พูด ยื่นมือพรวดมาคว้าคอผมดังหมับเข้าไปล็อคใต้รักแร้ด้วยความเร็วระดับดาวซัลโวล์ตอนง้างตีนยิงประตู รวดเร็วว่องไวซะจนเจ้าของคออย่างผมลิ้นไก่หาย ลืมร้อง ร้องไม่ออกไปซะอย่างนั้น
“เฮ้ย!? ไอ้มิค! ไอ้ดอมินิค ไอ้มิคนิค!?” งมเจอลิ้นไก่ได้ก็ต้องรีบแหกปากเรียกทั้งชื่อจริงชื่อเล่นของไอ้คนที่ออกแรงเหนี่ยวซ้ายโน้มขวาจนเล่นเอาสะเทือนตั้งแต่หัวถึงหาง
“ปล่อยนะเว้ย เป็นเอี้ยอะไรของมึง กูจะอ้วกแล้ว! เฮ้ย?!!!” หลุดออกมาได้อีกหนึ่งเฮ้ยพร้อมหัวใจเจ้าเอยตกไปอยู่ตาตุ่มเพราะโดนเปลี่ยนท่าโดยไม่มีการบอกล่วงหน้า
จากที่ตกเป็นเบี้ยล่างยืนโก่งโค้งเพราะโดนล็อคคอเข้าใต้รักแร้เขย่าซ้ายขวาหน้าหลังอยู่ดีๆ ใจไอ้กิมก็ต้องหายแว็บเพราะโดนกระชากคอเสื้อจากด้านหลังแบบพรวดเดียวจากค่อมเป็นหงาย เกือบได้ทำสะพานโค้งโชว์กลางมหาวิทยาลัย
“เฮ้ย ใจเย็นๆไอ้มิค โกรธเคืองอะไรไอ้กิม ตีหัวมันให้สลบแล้วลากไปเคลียร์กันที่อื่น มาเล่นกันอย่างนี้ คนเขามองกันทั้งมหาลัยแล้วมึง”
ไอ้อ่อนสอดเข้ามาทั้งเสียงทั้งมือ คว้าแขนผมที่ห้อยโตงเตงให้ลุกขึ้นจากท่าสะพานโค้งกึ่งสะพานหัก แต่กลับต้องชะงักทั้งที่ยังไม่ได้ออกแรงยื้อเพราะโดนไอ้คนสร้างสะพานแผ่รังสีอำมหิตกระแทกเสียหน้าเกือบหงาย
“ดึงไอ้กิมมันขึ้นมานั่งก่อนเหอะ หน้ามันเหลืองเป็นลิงถือลูกท้อบนยาหม่องถ้วยทองแล้วไอ้มิค” ไอ้โอ้ส่งเสียงมาลองเชิงอีกคนหลังจากเห็นท่าไอ้มิคที่ยังคว้าคอผมไว้ไม่ปล่อย ขนาดผมเองที่กำลังมึนๆ ตูดติดดินแต่หน้าผินมองฟ้าอยู่อย่างนี้ยังรู้สึกได้เลยว่าไอ้ที่ยืนค้ำหัวกันอยู่มันไม่อยู่ในอารมณ์เล่นๆมาเรียงๆ แต่มันมาแบบจริงจัง นี่กูไปทำอะไรให้มึงนี่?!
“รักอะไรกูนักหนาเนี่ยเช้านี้ มาถึงก็จับเต้นเลยนะมึง” เหล่หน้าเอ๋อๆที่มองกันอยู่รอบโต๊ะ แต่ไม่มีหน้าไหนกล้ายื่นมือยื่นตีนเข้ามาช่วยก็ต้องช่วยตัวเองให้รอดเป็นยอดดี แม้จะยังไม่รู้ว่าไอ้มิคมันไปกินอะไรผิดสำแดงมาก็ตาม
“เต้นพอแล้วก็ลากกูขึ้นไปนั่งด้วย ไม่งั้นเดี๋ยวจะขึ้นค่าตัว”
ผมเปลี่ยนโหมดจากจิกหัวเรียกเป็นไถไปข้างๆคูๆพลางเอื้อมมือไปคว้าไหล่แน่นๆจากกรรมพันธุ์นอก ใช้เป็นหลักดึงตัวเองขึ้นจากการตกเป็นเบี้ยล่าง ความคิดชั่วแว็บบอกให้ตวัดขาตวัดตัวทำพลิ้วเอาคืนสักท่าสองท่า แต่พอเห็นตาคมๆดุๆที่จ้องอยู่ไม่กระพริบก็เลยต้องลดละเลิกอาการอาฆาตมาดร้าย ไม่งั้นท่าต่อไปอาจโดนคิงแอ็นเจิ๊กแล้วตามด้วยทุ่มกระแทกวิญญาณ
ยืดขึ้นได้เต็มความสูงไม่เต็มตีนดีผมก็ทิ้งก้นแปะลงกับม้านั่งข้างไอ้อ่อนทันทีเพราะอาการแฮ็งค์ที่ประหลาดใจไปว่าไม่มีกำลังแว่วๆมาเคียงๆ มึนจนปากเริ่มจะเปาะ กำลังจะอ้าสรรเสริญไอ้มิคที่ยังยืนค้ำหัว แต่พลันสบเข้ากับสายตาพิฆาตของมันเข้าเต็มๆจนสันหลังเสียววาบ
“เฮ้ย! จะจ้องทำไมอย่างนั้น กูไปทำอะไรให้มึงเนี่ย หา?!” ไม่ใช่แค่ผมที่ผงะแต่ไอ้อ่อนที่อยู่ใกล้ชิดติดขอบเหตุการณ์ยังออกอาการสะดุ้งพร้อมผมอย่างพร้อมเพรียง
“เออ ดุจริงมึงวันนี้ เดี๋ยวไอ้กิมแม่งก็เครียดจนขนร่วง ที่สำคัญสาวๆมึงมาตามถึงโต๊ะแล้วไอ้มิค” ไอ้โอ้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามออกความเห็นแล้วตามด้วยการบอกกล่าว ฉากหลังเป็นสาวๆทั้งขาวทั้งคล้ำสองสามสวยเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดูไปเหมือนเธอเดินกันอยู่บนเวทีมีแค็ทวอล์กทั้งที่อยู่ในชุดนักศึกษา เล่นเอาหนุ่มๆทั้งโต๊ะผมและข้างเคียงตาเหล่กันเป็นแถบๆ
ผมเองก็เหล่แต่เหล่เลยสาวไปไม่มากไม่น้อย พอให้เห็นหน้าขาวๆหัวทุยๆที่กำลังก้มหน้าก้มตาอยู่กับอะไรบางอย่างบนโต๊ะโดยไม่มีทีท่าจะเงยหน้ามามองใครเหมือนพวกหน้าหม้อแถวนี้ เห็นแล้วจะดีใจหรือซึมเศร้ายังตัดสินใจไม่ถูก เพราะที่สุดหล่อของผมไม่สนใจจะเหล่สาวคงเพราะที่ว่างข้างๆทั้งซ้ายขวาแถมหน้าอีกหนึ่งมีหน้าแจ่มๆมานั่งประกบอยู่ครบสามมุมมองแล้ว เลยไม่ต้องไปเหล่ตามองหน้าแฉล่มอื่นให้ไกล
เก็กซิมจริงๆไอ้กิม เจอเข้าไปแค่ครึ่งตาเหล่ๆแต่เล่นเอาจุกขึ้นมาถึงลิ้นปี่ แต่จุกได้ไม่ถึงครึ่งนาทีทองก็มีอันต้องหน้าเบี้ยวเพราะโดนไอ้ยักษ์ปักหลั่นที่ปักหลักนิ่งอยู่ตรงหน้าเรียกร้องความสนใจแบบทำเมินไม่ได้
“!?…”
หน้าผมสะบัดตามแรงมือไอ้มิคที่วาดลงมาข้างแก้มชนิดว่าตาเหล่ตาเขกลับเป็นตาดี กะทันหันและเคล็ดขัดยอกจนลืมแหกปากโวยวาย ยิ่งเห็นหน้าตาถมึงทึงปานจะเฉาะกระโหลกดูดเนื้อสมองกันแล้วยิ่งอึ้งทึ่งเสียวจนปากหุบสนิทโดยอัตโนมัติ
ไอ้มิคค้างมือไว้บนแก้มไอ้กิมประหนึ่งเป็นแผ่นรองเมาท์แล้วก้มเอาหน้าหล่อๆที่นาทีนี้ออกแนวเหี้ยมเหี้ยๆเข้ามาใกล้จนปลายจมูกแทบจะจิ้มลูกกะตา ผมเองได้แต่นั่งรากงอกแล้วเหลือกตาขาวจ้องมันกลับเพราะยังอยู่ในภาวะอึ้งทึ่งเสียว ปล่อยให้มืออุ่นจนร้อนที่แจกลูกตบเรียกวิญญาณลามจากหน้ามาคว้าคอ
“อย่าให้เห็นอีก” เสียงเหี้ยมๆไม่ผิดกับหน้าตามาพร้อมแรงกระชับหนักๆเน้นๆ ณ ทัดดอกไม้
“……………”
ได้ยินเข้าไปสี่คำแต่เล่นเอาผมสับสนทางภาษาขึ้นมากะทันหัน กำลังจะยกมือบอกเพื่อนไม่เข้าใจขอใหม่อีกรอบก็พอดีกับที่เสียงใสๆจากสาวๆดังทักทายมาในระยะประชิด
แต่แทนที่ไอ้มิคจะละความสนใจจากการเขย่าขวัญไอ้กิมแล้วหันไปให้ความสนใจสาวที่อุตส่าห์เดินมาหาถึงที่ มันกลับยิ่งคว้าคอผมจั๋งหนับ ออกแรงบีบพอคลายเคล็ดขัดยอกแต่เล่นเอาต้องยกก้นออกจากม้านั่งลุกขึ้นมายืนข้างเจ้าของมือด้วยความสงบเสงี่ยม ถ้ามัวแต่นั่งเบียดตูดอยู่กับไอ้อ่อนงานนี้อาจมีลูกกระเดือกแตก
ระหว่างกำลังยืนงงอยู่กับที่พลางแอบส่งสายตาสื่อสารหาความในกับไอ้อ่อนไอ้โอ้ ว่าอะไรดลใจให้ไอ้มิคออกมาพะบู้กับไอ้กิมเช่นนี้ คำตอบที่ได้กลับมาดันเป็นสายตาที่สงสัยยิ่งกว่า ยิ่งมองยิ่งงงสับสนทำตัวไม่ถูก ก็พอดีกับที่ได้ยินเสียงเข้มๆของไอ้คนที่ยังคว้าคอผมอยู่ไม่ปล่อยบอกปัดนัดสาวแบบขวานผ่าซากจนต้องเหล่ตาตามเพื่อนร่วมโต๊ะที่แกล้งทำหูทวนลมแต่ความจริงแอบฟังมันอยู่ทุกพยางค์
“แต่พี่มิคบอกว่าไปได้นี่ แล้วหวานก็บอกทุกคนไปแล้วด้วย ไปเถอะนะ ไม่งั้นหวานต้องเบื่อแย่เลย” น้องน้ำหวานหน้าหวานยิ่งกว่าชื่อ ทำหน้าเศร้ากระชากใจชาย เอ่ยอ้อนไอ้มิคชนิดว่าถ้าเป็นไอ้อ่อนไอ้โอ้และไอ้หน้าหม้อทั้งหลายที่นั่งฟังกันหูไม่กระดิกอยู่แถวนี้และแถวนั้นต้องรีบเก็กเสียงหล่อแล้วตกปากรับคำทันใด
“พี่บอกว่าดูก่อน ไม่ได้บอกว่าจะไป” ไอ้มิคบอกปัดหน้าตาเฉยเล่นเอาสาวหน้าเบ้
“แต่ว่า… ทำไมล่ะคะพี่ก็ว่างนี่นา ไปเถอะนะ” น้ำหวานยังไม่ละความพยายามแม้ว่าหน้าจะเบี้ยวไปเล็กน้อยด้วยความขัดใจ ดูจากท่าทางแล้วคงไม่เคยโดนขัดใจใครเซย์โนใส่หน้ามาก่อน
ความเงียบเกิดขึ้นทันทีที่ประโยคตื้อครั้งที่สองถูกเอ่ยออกมา ผมเหล่มองไอ้มิคก็เห็นว่าคิ้วมันเริ่มขมวดเล็กน้อยบ่งบอกอาการไม่สบอารมณ์ เหล่กลับไปที่สาวเจอสายตาเว้าวอนแกมขอร้องกับยิ้มจางๆที่ส่งมาสู้หน้าเฉยชาของคนตัวสูงกว่า เห็นอย่างนี้ก็ให้นึกไปถึงหน้าตัวเองกับหน้าใครอีกคนกลางโรงอาหารเมื่อวานบ่าย แม้หน้าไอ้มิคหน้าน้องน้ำหวานหน้าผมและหน้าเจ้าของคำแสลงใจจะไม่มีส่วนใดคล้ายคลึงกันไม่ว่าจะตาซ้ายหูขวาหรือริมฝีปากล่าง แต่อาการตาละห้อยกับตาแข็งๆของสองคนนี้ทำให้ผมหวนไปสู่เมื่อวานได้อย่างไม่ต้องบลิ้วอารมณ์ พอนึกแล้วสายตาก็ส่ายไปหาคู่กรณีไม่รู้ตัว แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อสบเข้ากับตาคมๆของคนที่กำลังจะโดนถ้ำมอง
หน้าขาวๆหัวทุยๆที่เมื่อกี้ก้มจดจ่ออยู่กับอะไรบางอย่างบนโต๊ะตอนนี้หันมามองทางโต๊ะผมเสียเต็มตัว รอบข้างอีกหลายโต๊ะก็หันมามองน้องน้ำหวานกับไอ้มิคอย่างสนใจเรื่องชาวบ้านกันเป็นทิวแถวเพราะหนึ่งก็เดือนหนึ่งก็ดาวแถวดาวยังเสียงเริ่มดังหน้าเริ่มเบี้ยว
คนที่ทำอกไอ้กิมเดาะมองมาผ่านๆแบบไม่ได้สนใจจะยุ่งเรื่องรักนักศึกษา มองผ่านมาแล้วคงจะผ่านไปถ้าไม่เหล่มาเห็นสายตาร้องแรงแฝงความนัยของผมเข้าเสียก่อน จากการมองกันนิ่งๆคิ้วไม่มีขมวดแต่ก็ไม่ขยับสายตาไปทางอื่น ทำให้ผมไม่แน่ใจว่าเจ้าของสายตาจำกันได้ไหม จำได้หรือเปล่าว่าเคยมาสวดส่งศพกันไว้สดๆร้อนๆเมื่อวานนี้
เจอหน้าเฉยๆแบบไม่ให้คาดเดาได้ว่ามีความหลังกันหรือไม่อย่างไรแล้วอยากจะเดินเอาหน้าตัวเองไปเสนอให้ดูใกล้ๆเผื่อจะมีการเอ๊ะอะจิจ๊ะแล้วนำพาไปสู่บทสนทนา แต่ยังไม่ทันได้ทำพลิ้วบลิ้วเอาคอออกจากอุ้งมือไอ้มิค ก็มีอันต้องหันขวับกลับมามองคู่ดาวเดือนข้างตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเสียงสบถเป็นภาษาต่างประเทศ คำเดียวสั้นๆแต่เข้าใจกันไปทั้งเมือง ปกติถึงเพื่อนผมจะเถื่อนไปบ้างวันละหลายเวลาแต่ก็ไม่เคยเสียมารยาทกับผู้หญิงยิงเรือที่ไหนนี่หว่า แล้วนี่เหตุไฉนไอ้มิคถึงกับแจกฟักให้น้องน้ำหวานกลางสาธารณชนอย่างนี้
ละจากหน้าหล่อๆตาคมๆของว่าที่หวานใจตัวที่นั่งห่างไปเกือบสิบเมตรกลับมาเกาะติดสถานการณ์ กะกลายเป็นหนึ่งในไทยแอบมุงแต่กลายเป็นต้องผงะเพราะสายตาประชาชี เหล่รอบข้างแล้วสังหรณ์ว่าฟักทั้งดุ้นที่ไอ้มิคพึ่งกระแดะสำเนียงประจำชาติมันออกมาคงไม่ได้กะให้น้องน้ำหวานเอาไปต้มยำทำแกง แต่เป็นไอ้กิมนี่ที่จะโดนฟักฟาดใส่หน้า
“จะมองไปถึงไหน ห่าเอ้ย!!”
แหม สำเนียงเจ้าของภาษา ฟังแว่วๆเหมือนดูหนังมีซาวแทกซ์ แล้วเหมือนคนพูดจะนึกขึ้นได้ว่าพูดอยู่กับกระเหรี่ยงเลยกระดกลิ้นกลับเป็นภาษาไทยขณะจ้องหน้าผมชนิดว่าอีกนิดเดียวมันจะเข้ามาเฉาะหัวกันด้วยมือเปล่า
“ที่พูดกันเมื่อคืนมันอะไร!?”
แต่กระเหรี่ยงกิมที่โดนฟักฟาดใส่หน้ามาทั้งดุ้นเกิดอาการไม่เข้าใจภาษาไทยกะทันหันจากทั้งประโยคคำถามกึ่งบอกเล่าและสายตาคมกริปของเพื่อนเกลอ เมื่อคืน? กูกับมันพูดอะไรกันไปวะ? และสงสัยหน้าผมจะแสดงเจตนารมย์ว่ากูไม่เข้าใจมึงพูดอะไรมากไปหน่อย ไอ้มิคเลยยิ่งสติแตกสบถภาษาบ้านเกิดมาชุดใหญ่
เจอทั้งฟักทั้งบวบ มีแยมบิทแดมอิทท์จ่อติดหน้าในระยะประชิดอย่างนี้แล้วก็ให้นึกไปถึงอารมณ์บิ๊ก ซีนีม่าที่พึ่งดูไปเมื่อหลายคืนก่อน ต่างกันแต่ว่าครั้งนี้ตอนนี้ไม่ได้มีผมนั่งกระดิกตีนซดโค้กดูอยู่เพียงหนึ่ง แต่เพื่อนร่วมมหาลัยทั้งโต๊ะเราโต๊ะเขาโต๊ะข้างๆและน้องน้ำหวานต่างก็เบิกตาชมลูกครึ่งสบถเป็นแรพพ์กันอย่างพร้อมเพรียง
“ไอ้มิค! เบาๆหน่อยโว้ย คนเขามองกันทั้งมหาลัยแล้ว เป็นอะไรของมึงเนี่ย?!” ผมที่ยังโดนคว้าคอไว้ไม่ปล่อย ต้องดึงคออีกฝ่ายมากระซิบเตือนด้วยความเป็นห่วง แต่แทนที่ไอ้มิคจะสำนึกในความดีไอ้กิม มันกลับยื่นอีกมือผ่านหน้าผมไปชนิดแถบเสยจมูกแล้วคว้าขวดแป็บซี่ตรงหน้าไอ้อ่อนมาเขวี้ยงลงพื้นแบบเต็มวงสวิง
เสียงขวดแก้วถูกอัดกระแทกซีเมนต์ดังเพล้งแล้วแตกกระจายเป็นวงกว้างเหมือนจะช่วยลดแรงอารมณ์ของไอ้บ้ามิคไปได้บ้าง แต่อารมณ์ไทยมุงและผู้ชมเกาะขอบสนามอย่างผมอย่างน้องน้ำหวานถึงกับดีดตัวพุ่งปรี๊ด ออกแอ็กติ้งกระโดดเหยงหนีแก้วบาดกับคนบ้ากันอย่างพร้อมเพรียง
น้ำหวานและผองเพื่อนถอยกรูดไปหลายก้าวแล้วหยุดนิ่ง หน้าหวานๆซีดเป็นตูดห่านระหว่างเบิกตาจ้องพี่มิคในดวงใจแบบตกตะลึง ผิดกับผมที่ผงะหลังทีเดียวข้ามฝั่งมาอยู่ข้างไอ้อ่อนแล้วดึงไอ้โอ้ที่เตี้ยกว่ามาขวางหน้าอย่างไม่ห่วงภาพพจน์ความแมนตัวเอง
เรื่องมันเข้มมาถึงตรงนี้อย่าพึ่งคิดว่าไอ้กิมเป็นพวกตาขาวใหญ่กว่าตาดำ ทำไมไม่ลุยกันให้รู้เรื่องไปเสีย ความสูงก็พอฟัดพอเหวี่ยงแม้ไอ้มิคจะมีกล้ามงามๆตามกรรมพันธุ์นอกแต่ไอ้กิมก็ไม่ได้ก็องแก้งหัวไหล่ลีบซี่โครงบานเสียหน่อย กลัวอะไรทำไมต้องไปหลบหลังไอ้โอ้
กลัวครับ ผมยอมรับว่ากลัว เรื่องให้ต่อยกันปากแตกกับเพื่อนกับฝูงเป็นเรื่องที่ผมทำไม่ได้ ถ้าให้ไปกระโดดถีบยอดอกคนอื่นที่ไม่รู้จักแต่มาหาเรื่องกันนั้นตีนไอ้กิมไปก่อนใคร แต่ถ้ากับเพื่อนที่คบหากันมาจนรู้ชื่อพ่อล้อชื่อแม่ได้นั้นอีกเรื่อง จะให้มีเรื่องถึงขั้นลงไม่ลงมือต่อยกันตาเขียวไอ้กิมใจไม่ด้านพอ ยิ่งกับไอ้บ้าตรงหน้าด้วยแล้วบอกได้คำเดียวว่าผมไม่สู้ กว่าจะคบกันมาได้ขนาดนี้ อย่าให้มิตรภาพมันเสียเพราะอารมณ์ชั่ววูบจะดีกว่า
ไอ้มิคที่ยอมปล่อยผมออกจากอุ้งมือละสายตาจากผลงานตัว ยกมือขึ้นเสยผมด้วยท่าทางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วหันมาทางผมกับไอ้โอ้ด้วยหน้านิ่งๆ หน้านิ่งแต่สายตาคมกริบจนไอ้โอ้เกิดอาการชักกระตุก สับขาหลอกเปลี่ยนตำแหน่งดันผมมาอยู่หน้าด้วยความเร็วสูง ผมที่กลายเป็นกองหน้าแบบไม่มีเวลาให้ยกมือขอเวลานอกเลยได้แต่เบิกตาขาวจ้องตาคมๆของฝ่ายแดงกลับไป
ไอ้มิคจ้องผม ผมจ้องไอ้มิค นักศึกษาเหยียบร้อยก็ช่วยกันจ้องกันตาไม่กระพริบ ลุ้นระทึกเสียเงียบกันไปทั้งลาน แต่แล้วอยู่ๆไอ้คนสร้างเรื่องกลับก้าวถอยหลังทั้งที่สายตายังจ้องกันอยู่ก่อนจะเบือนหน้าหนีแล้วหันหลังออกเดินไปเฉยๆ
ผมที่ยังปักหลักเป็นกองหน้าไร้สามารถได้แต่กระพริบตาปริบๆ มองตามหลังที่เดินดุ่มๆจากไปด้วยความรู้สึกประหลาด ประหลาดเพราะไม่เคยมีครั้งไหนที่ไอ้มิคจะหันหลังหันตูดให้ไอ้กิมแล้วเดินจากไปดื้อๆ เดินออกไปเหมือนไม่อยากมองหน้า เหมือนว่าไม่มีเรื่องต้องให้คุยกันอีก
ความรู้สึกไม่คุ้นเคยให้รสประหลาดเหลือเชื่อ ประหลาดเสียจนผมปัดมือไอ้อ่อนที่ยื่นมายื้อ ผลักไอ้โอ้ที่ก้าวมาขวางแล้วก้าวเร็วจนเกือบเป็นวิ่งตามคนที่หันหลังจากไป
ผมวิ่งตามไอ้มิคด้วยความร้อนอัดแน่นในอก ความร้อนที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนแต่ทำให้ขาผมก้าวได้เร็วกว่าเดิม ต้องก้าวให้เร็วกว่าเดิม ยิ่งเห็นแผ่นหลังในเสื้อนิสิตห่างออกไปเรื่อยๆความรู้สึกอึดอัดที่มวนอยู่เต็มปอดก็ยิ่งขยายใหญ่โต
ผมตะโกนเรียกคนข้างหน้าให้หยุดให้รอ ไอ้มิคไม่หยุด ไม่แม้แต่จะผ่อนฝีเท้า ที่จริงผมเองต่างหากที่ควรจะหยุดวิ่งหยุดตาม รู้ว่าอีกฝ่ายอารมณ์กำลังขึ้นถ้าตามไปเรื่องจะยิ่งไปกันใหญ่ รู้ทั้งรู้ว่าเวลาไอ้มิคโมโหมันไม่เคยเห็นแก่ใครหน้าไหน แล้วจะวิ่งตามเอาหน้าไปรับหมัดมันหรือไงไอ้กิม? ถึงจะรู้ดีอย่างนี้ก็เถอะ ผมก็ยังวิ่งเต็มฝีเท้าจนระยะห่างร่นเข้าให้ได้ยื่นมือไปถึงไหล่
ผมคว้าไหล่แน่นๆข้างหน้าแทบเป็นกระชาก แรงรั้งทำให้ไอ้มิคหยุดเดินแต่หัวทุยๆของมันกลับยังมองตรงไปข้างหน้า ผมออกแรงดึงแล้วก้าวไปขวางแต่ไอ้มิคกลับหันหนีไปอีกทาง
ท่าทางที่เหมือนไม่อยากมองหน้า เหมือนไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกแล้วเล่นเอาผมรู้สึกหมดแรงเอาดื้อๆ ไอ้ที่คิดว่าต้องคุยกันให้รู้เรื่อง ให้มันรู้กันไปว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกลับหายไปจากหัวเหมือนโดนกดลบถอยหลัง
“… กูขอโทษ” เป็นคำแรกที่หลุดจากปากผม
“เมื่อคืนกูมีเรื่องกับมึงรึไงวะ? กูจำไม่ได้จริงๆ ถ้ายังไงกูขอโทษแล้วกัน”
“… ไอ้มิค” ความเงียบของอีกฝ่ายทำให้ผมยิ่งอ้อมไปดักหน้าแล้วก็ต้องชะงักเมื่อโดนหน้าที่หันหนีหันมาจ้องแบบไม่ให้ตั้งตัว
“มึงจำไม่ได้… กูเองที่มันบ้า” ไอ้มิคพูดเสียงเรียบพลางปัดมือผมออก “…ไม่เป็นไรไอ้กิม” ปากบอกไม่เป็นไรแต่ตาที่สบกันอยู่นี่ไปคนละเรื่อง
สายตาคมๆจากดวงตาสีอ่อนจัดจ้องเขม็งอยู่กับตาผม ชั่วขณะผมรู้สึกเหมือนโดนของแข็งไม่มีรูปร่างตบเข้ามากลางกระโหลก ชั่วขณะที่ตาอีกคู่ที่สบอยู่ออกแวววูบไหวชื้นน้ำ
“เฮ้ย ไอ้มิค!?” ผมโผเข้าไปคว้าคออีกฝ่ายไว้แทบเป็นกระโจนใส่
“กูเอง กูผิดเอง! กูที่มันเมาเป็นหมา… มึงมีอะไรบอกกู บอกมาเลย” เสียงผมสั่นจนตัวเองยังรู้สึก ยิ่งได้ยินเสียงสูดหายใจแรงของคนที่ยืนอยู่ชิดติดกันยิ่งทำเอารู้สึกเหมือนจะยืนไม่อยู่
คบกันมาเป็นสิบปี มีแค่หนเดียวที่คนใจแข็งอย่างไอ้มิคออกอาการอย่างนี้ให้คนใจอ่อนอย่างไอ้กิมเห็น ตอนนั้นผมถือไม้ยิงหนังสติ๊กทำเองในมือซ้าย ถุงตาข่ายใส่นกที่ยิงมาได้สามตัวในมือขวา ปากฉีกยิ้มกว้างขวางพลางยื่นนกที่ยิงได้ให้อีกฝ่ายที่คลุกเล็งนกด้วยกันมาทั้งเช้าแบบใจป้ำ แล้วบอกไปว่าเมื่อวานเห็นปลานิลตัวเป้งที่คลองริมตลิ่ง พรุ่งนี้เจอกันที่เดิมเวลาเดิม ไอ้มิคที่สูงเกินเด็กวัยเดียวกันและดวงตาแปลกสีกว่าทุกคนที่ผมรู้จักในตอนนั้นไม่ได้ตอบอะไร แต่กลับเอ่ยขอหนังสติ๊กทำเองของผมแทนนกทั้งถุงที่ยื่นอยู่ตรงหน้าด้วยภาษาไทยตกๆหล่นๆกับสำเนียงเพี้ยนๆประจำตัว
ผมส่งหนังสติ๊กให้พร้อมบอกไปว่าให้ยืม มือขาวๆยื่นมารับโดยไม่มีคำตอบว่าจะคืนเมื่อไหร่ ผมก็ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวปากยิ้มพลางจ้อไปเรื่อยเปื่อยจนเดินเคียงกันมาถึงทางแยกที่จะแยกไปบ้านใครบ้านมัน ผมบอกลาทิ้งท้ายไว้ว่าเจอกันพรุ่งนี้ คำพูดติดปากเหมือนทุกครั้งที่เล่นกันเสร็จ แต่อีกฝ่ายกลับจ้องหน้าผมเฉยไม่มีการบอกลาหรือตอบรับเหมือนทุกครั้ง แว็บหนึ่งตาสีแปลกที่ผมชอบมองเวลาเผลอเหมือนจะแดงก่ำรื้นน้ำ แต่เจ้าตัวก็รีบยกมือขยี้อย่างแรงจนผิวขาวจัดแดงเถือกไปทั้งหน้า และก่อนที่ผมจะได้ถามอะไรไอ้มิคก็หันหลังออกวิ่งเสียฝุ่นตลบ หนีไปพร้อมหนังสติ๊กในมือ
วันถัดมาผมคว้าคันเบ็ดทำเองกับอุปกรณ์ตกปลาทั้งหลายแหล่สะพายเต็มบ่าเต็มหลัง ตะโกนบอกแม่ว่าจะไปตกปลากับไอ้มิคแล้วเดินดุ่มๆออกไปรอคนที่นัดไว้ที่เดิม แต่เช้านั้นทั้งเช้าไอ้มิคไม่ได้โผล่มา และผมก็ไม่ได้เห็นมันอีกเลยนับแต่นั้น กว่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ปาเข้าไปจนหมดปิดเทอมใหญ่ เพราะไปวัดกับแม่ถึงได้เจอย่าไอ้มิค ถึงได้รู้ว่าพ่อแม่ไอ้มิคแยกทางกัน ไอ้มิคต้องกลับไปอยู่กับพ่อฝรั่งที่เมืองนอก เมืองนอกเป็นยังไงตอนนั้นผมไม่มีทางรู้ รู้แต่ตามคำผู้ใหญ่บอกว่ามันไกลแสนไกลและนั่นหมายถึงผมกับคนที่กลายมาเป็นเพื่อนเล่นยิงนกตกปลาโดดน้ำคลองกันตลอดสองเดือนครึ่งจะไม่มีวันได้เจอกันอีกแล้ว
“จะให้กูทำยังไงมึงบอก” ผมย้ำคำพร้อมกระชับมือบีบไหล่อีกฝ่าย รู้สึกร้อนรนจนขอบตาร้อน ออกอาการอ่อนแอแบบไม่อายคนที่ยืนอยู่ชิดติดกัน
ไอ้มิคที่ไม่รู้ว่าอารมณ์เย็นลงหรือหมดอารมณ์จะมองหน้าไอ้กิมกลับส่ายหน้าแล้วเกร็งตัว มือขาวๆที่ไม่ได้ผิดไปจากสมัยเด็กนอกจากขนาดและความแกร่งยกขึ้นดันไหล่ผมเป็นเชิงจบเรื่อง เท่านั้นเองผมก็ต่อมน้ำตาแตก
ผมมองหน้าไอ้มิคทั้งน้ำตา มองหน้าหล่อๆของมันที่หันมาชะงักกับอาการหลุดแมนของผม แล้วถามออกไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจที่ท่วมขึ้นมากลบอารมณ์อื่นมิดชิดซ้าย
“กูทำอะไรผิดมากนักหรือไง กูเมาเป็นหมาพูดจาไม่รู้เรื่อง ทำไมมึงต้องโกรธขนาดนี้ กูบอกแล้วไงว่าขอโทษ” ผมร่ายออกไปแบบไม่มีกั๊กอารมณ์พร้อมจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ถึงน้ำตาจะย้อยอยู่อย่างนี้แต่จะให้หลบตาทำเป็นกูไม่ได้ร้องนั้นไม่มี
ไอ้มิคยังคงเงียบ ไม่รู้เพราะตกใจกับน้ำตาลูกผู้ชายเพื่อนหรือโมโหจนพูดไม่ออก มองจากสีหน้าาแล้วอารมณ์มันคงก้ำกึ่งอยู่น่าดู
“เมื่อคืน…” ไอ้มิคยกมือขึ้นเสยผมเกรียนๆติดหนังหัวแบบแสนจะมีเอกลักษณ์ สายตาเลื่อนจากหน้าผมไปหยุดอยู่แถวเฟอร์ริกาโม่ที่ปลายตีนตัว ก่อนเงยหน้ามามองกันด้วยสายตาที่ผิดไปจากเดิม ตาคมๆจ้องมาที่ผมเหมือนจะมองกันให้ทะลุก่อนต่อประโยค
“เมื่อคืนมึงบอกว่าได้ ตกลง เราคบกัน”
โปรดติดตามตอนต่อไป
ปล ใจเย็นๆนะค้า ไว้อารมณ์มาปัญญาเกิด ทะเลกับเปรี้ยวใจคงได้มาสานต่อ
แต่ตอนนี้เอาเป็นว่าทำใจสบายๆ มาร่วมลุ้นเรื่องรักนักศึกษากับรักจังไปก่อนดีกั่ว
==========================================================================
คนโพส ก็ยังรอติ่งทะเลอยู่เหมือนกันอ่ะ ติดใจมากๆ