แตะต้องครั้งที่ 19
จับบบ…ขอสายดนัยบริษัทอะไรติดต่อไม่ทราบ
เหี้ยคาบไปเลี้ยงเหรอเบลอหน้ากูด้วย
น้าเกดลากผมเข้ากรุ๊ปสมาคมเมียหลวงเรียบร้อยแล้ว หลังจากแนะนำตัวเองสั้นๆ ผมก็กระหน่ำโฆษณาลงไปรัวๆ ทันที
ตอแหล!
เลิกสบถคำนี้อีกต่อไป
ด้วยจิตวิทยาแนวใหม่ที่จะทำให้คุณรู้ลึก รู้จริง รู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับคนใกล้ตัว นกสองหัว หลัวปลาไหล ไม่ว่าแน่แค่ไหนก็ต้องสารภาพจนหมดเปลือก ภายใต้สโลแกน Lie ปุ๊บ รู้ปั๊บ ตรวจจับทุกความจริง
โทรหาเราตอนนี้ 3 สายแรก รับส่วนลด 10%
อย่าลืม ความจริงรอคุณอยู่
โทรเลย!
ผมนั่งอยู่ในรถพี่ทัช ระหว่างที่รถติดอยู่ผมก็เอียงหน้าจอมือถือให้เขาอ่านข้อความนี้ เขาขมวดคิ้ว ก่อนจะส่ายหัว
“โคตรมั่ว”
“ตอนนั้นผมไม่มีเวลาเรียบเรียงคำไง เลยอัดๆ ข้อความเข้าไปก่อน”
“แล้ว?”
“ก็โทรกันมาสายไหม้ดิ...ถุ้ย!” ผมถอนหายใจ “เงียบกริ๊บกันหมดอะ แต่ก็มีใจเด็ดอยู่รายนึงที่เรากำลังจะไปตามล่าความจริงให้อยู่นี่ไง”
ผมเล่าให้พี่ทัชฟังคร่าวๆ ไปแล้ว
ลูกค้ารายแรกของเราเป็นผู้หญิงชื่อรวงข้าว อายุ 27 ปี หน้าตาถือว่าดีเลย ดูจากรูปโปรไฟล์ที่ไม่รู้ว่าใช้แอพไหนแต่งรูปอะนะ ส่วนนิสัยเท่าที่สัมผัสได้ก็ออกแนวเรียบๆ พูดน้อย ดูไม่ค่อยทันคน ตามท้องเรื่องที่ผมฟังมา ประมาณว่าแต่งงานกันได้ปีกว่าๆ สามีก็เริ่มออกลายคล้ายๆ ว่าจะกิ๊กกับเพื่อนร่วมงาน ซึ่งดูจากโหงวเฮ้งสามีก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ แต่งตัวเก่ง ยิ้มเจ้าเล่ห์ แบบนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน
จุดหมายที่เราจะไปก็คือตึกที่ทำงานของสามีเจ๊รวงข้าวนี่แหละ ตัวเจ๊เองไม่ได้มาด้วย พูดตามตรงดูเหมือนจะยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ แถมพี่ทัชยังยืนว่าจะไม่พรีเซนส์ตัวเองกับใครเหมือนที่ทำกับน้าเกดด้วย เพราะมันยุ่งยากเกินไป ผมก็ไม่อยากเซ้าซี้เขามาก เดี๋ยวจะพาลยกเลิกงานทั้งหมดเอา
เอาเป็นว่าจะหมู่หรือจ่าก็ขึ้นอยู่กับผลงานแรกนี่แหละ
ตื่นเต้นว่ะ
“ใกล้เวลาเลิกงานแล้ว เราจะไปทันปะวะพี่” ผมถาม
“ไม่รู้”
“เฮ้ย อย่าพูดงี้ดิ งานแรกนะ พูดเอาฤกษ์เอาชัยกันหน่อย”
“ไม่น่าทัน”
“ฟังแล้วโคตรรู้สึกดี” ผมย่นจมูกใส่เขา “เปลี่ยนเรื่องๆ เราคิดเงินเท่าไหร่ดีอะ งานแรก ผมยังไม่ได้ตกลงราคานะ แค่เกริ่นไว้ว่าขึ้นอยู่กับความยากง่าย แล้วก็เป็นลูกค้าคนแรกเลยลดให้ 10%”
พี่ทัชหันมองผม แต่ไม่พูดอะไร รถเริ่มขยับตามกันไปข้างหน้าเรื่อยๆ
“สองแสนมะ”
“...”
“ล้อเล่นน่า สองหมื่น?”
“...”
“อย่าบอกว่าสองร้อย”
“ฟรี”
“อะไร เราไม่ได้ทำมูลนิธินะ งั้นเรื่องราคาเดี๋ยวผมจัดการเอง…”
ตื่อดึ๊ง!
กำลังจะพูดต่อ ไลน์ก็เด้งขึ้นมาขัดจังหวะ ผมรีบเปิดดูทันที
★R3NJI: สงสัยเพื่อนมึงจะอายุไม่ยืนนะ
★R3NJI: หน้าตาก็ดี
★R3NJI: แต่แม่งกวนตีน
★R3NJI: เป็นผู้หญิงแท้ๆ ทำไมเลี้ยงหมาไว้ในปากวะ
★R3NJI: อยากปากแดงโดยไม่ต้องทาลิปเหรอ
★R3NJI: ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงนี่กูตบปากแหกไปละนะ
★R3NJI: หรือไม่ใช่ผู้หญิงแท้?
พี่เห็ดไปเจอเปิ้ลที่ไหนวะ
อยากกวนตีนแกเล่นเหมือนกัน แต่นี่ไม่ใช่เวลา
ผมกลับมาสนใจพี่ทัชต่อ “ผมมีของมาให้พี่” ว่าแล้วก็ควักของที่เตรียมมาจากกระเป๋ายื่นให้เขา มันคือถุงมือไหมพรมสีเหลืองลายมินเนี่ยน
“อะไร”
“ถุงมือไง น่าจะดีกว่าพลาสเตอร์อะ พอถึงเวลาต้องใช้พลังก็ถอดปุ๊บจับปั๊บได้เลย”
พี่ทัชเหลือบมองด้วยหางตา “ให้กูใส่ถุงมือสีเหลืองขนาดนี้ไปเดินข้างนอกเหรอ”
“ทีแรกผมก็ว่าจะหาแบบที่เป็นหนังสีดำดูร็อกๆ นะ แต่ไม่มี มีแต่สีดำแบบใส่แล้วเหมือนจะไปตัดอ้อยอะ อันนี้แหละดูโอเคสุดแล้วในร้าน ทำไมอะ ลายมินเนี่ยนก็ดูเข้ากับมือพี่ดีออก”
“ไม่เป็นไร กูชอบพลาสเตอร์”
ตื่อดึ๊ง!
ไลน์มาอีกละ
O: เจอพี่เห็ด
O: ถ้าไม่เกรงใจว่าเป็นรุ่นพี่นี่เตะปากแตกไปละนะ
O: แกเป็นบ้าไร
O: ตอนเด็กๆ เหี้ยแอบคาบไปเลี้ยงเหรอ
O: อ่านแต่ไม่ตอบ
O: อยู่ไหนวะ
ก็อยากจะตอบ แต่กำลังจะปฏิบัติภารกิจลับอยู่เนี่ย
ปิดเสียงไปก่อนละกัน
“แน่ใจเหรอว่าไม่เอา” ผมถามพี่ทัชต่อ
“ไม่เอา”
“งั้นก็ทิ้ง” ผมโยนถุงมือไปที่เบาะหลัง “ทีนี้คุยเรื่องแผน ผมคิดไว้สองแบบ แบบแรกนุ่มๆ เจ๊รวงข้าวให้เบอร์มาแล้ว เราโทรเข้าไปก่อนบอกว่ามีของมาส่ง นัดให้แกรอแถวนั้น แล้วเราก็เข้าไปจัดการเลย”
“จัดการยังไง”
“ก็...อันนี้หน้าที่พี่แล้วอะ เดินเข้าไปจับตัว พี่ถาม ผมอัดคลิป จบ”
“แบบที่สองล่ะ”
“แบบที่สอง ขั้นรุนแรงเลย เราสวมรอยเป็นพวกแก๊งทวงหนี้โหด บุกขึ้นไปที่บริษัทแกเลย ขอเจอตัวแล้วลากไปจัดการในห้องน้ำ”
“มึงกับกูเนี่ยนะ ทวงหนี้โหด”
“ทำไมอะ พี่ก็ทำหน้าให้มันโหดๆ ดิ นี่ เพื่อความสมจริง ผมพกคัตเตอร์มาด้วย” ผมควักคัตเตอร์ออกมาขยับใบมีดขึ้นลงดังแกรกๆ “ไม่เวิร์กเหรอ งั้นก็ใช้วิธีแรก ใกล้เวลาเลิกงานแล้ว เดี๋ยวผมโทรไปก่อนเลยนะ ตอนนี้…”
“แหวกหญ้าให้งูตื่นรึเปล่า”
“ฮะ?”
“เขาไม่ได้สั่งของอะไร”
“เราก็โม้ไปดิ มีใครไม่รู้ส่งของมาให้ เซอร์ไพรส์ไง”
“ถ้าเขาไม่เชื่อล่ะ”
“ต้องเชื่อดิ”
“ยังไงก็ต้องสงสัย อาจจะทำให้ไหวตัวทัน”
“แปลว่าไม่ควรโทรว่างั้น”
“อือ”
“งั้นทำไง แผนนี้ผมคิดมาทั้งคืนเลยนะ”
“จะถึงแล้ว ตึกข้างหน้านี้แหละ” พี่ทัชพูดเรียบๆ
“เฮ้ย จริงดิ สรุปเอาไงอะพี่ เราจะเข้าไปโดยไม่มีแผนไม่ได้นะ...พี่คิดดิ เอาไงๆ”
“หาที่จอดรถก่อน”
“นี่แหละๆ ตึกนี้เลย เลิกงานแล้วด้วยเนี่ย พี่ เราจะเสียเครดิตไม่ได้นะ” ระหว่างที่ผมบ่นบ้าไปเรื่อยๆ พี่ทัชก็ขยับรถเข้าเทียบทางเท้า และดับเครื่อง “จอดตรงนี้ได้เหรอ”
“มึงรีบไม่ใช่เหรอ”
“จอดได้แหละ คันอื่นก็จอดกันเยอะแยะ แล้วเอาไงล่ะ”
พี่ทัชควักมือถือตัวเองออกมา กดเข้าหน้ากูเกิล “ชื่อบริษัทอะไร” ผมบอกตามที่เจ๊รวงข้าวให้ข้อมูลไว้ พี่ทัชเสิร์ชหาเบอร์โทรอย่างรวดเร็วแล้วกดโทรออก
“เปิดสปีกเกอร์ด้วย” ผมบอก ใจเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
พี่ทัชเปิดสปีกเกอร์และลดมือถือลง เสียงสัญญาณดังต่อเนื่องอยู่หลายครั้งเหมือนจะไม่มีคนรับ แต่แล้วก็มีเสียงยกหูขึ้นจนได้
[บริษัท Alternative สวัสดีค่ะ]
“สวัสดีครับ” พี่ทัชเป็นคนพูด ส่วนผมที่กำลังอ้าปากด้วยความเคยชินต้องรีบเอามือปิดปากตัวเองไว้ “ขอสายพี่ดนัยหน่อยครับ”
[ดนัยไหนคะ]
พี่ทัชมองหน้าผม ผมรีบตั้งสติและทำปากพูดโดยไม่มีเสียง ฝ่ายจัดซื้อ “พี่ดนัยฝ่ายจัดซื้อน่ะครับ”
[อ๋อ จากไหนคะ]
ผมทำปากอีก บริษัทขอทัชฑี
“จากน้องที่ดีลงานค้างอยู่น่ะครับ”
[รอสักครู่นะคะ] เสียงเงียบไป สักพักเจ๊คนที่รับสายก็กลับมาพูดต่อ [ขอโทษนะคะ พี่ดนัยเพิ่งออกจากออฟฟิศไปเมื่อกี้เองค่ะ พอดีว่าเลิกงานแล้ว]
“อ๋อ ครับ”
[ยังไงพรุ่งนี้ลองติดต่อมาใหม่นะคะ]
“ได้ครับ ขอบคุณมากครับ”
พี่ทัชกดตัดสายและเก็บมือถือ ท่าทางของเขาดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไร อาจจะโล่งใจด้วยซ้ำ ขณะที่ผมนี่มือไม้สั่นเหงื่อแตกเต็มหลังไปหมดแล้ว
“ซวย” ผมพูด “เลิกงานไม่กี่นาที รีบออกจากออฟฟิศเลยเหรอวะ รีบไปหาเมียน้อยเหรอ แล้วเอาไงต่ออะ”
“กลับ”
“ฮะ? มาขนาดนี้ จะกลับง่ายๆ งี้ได้ไง เดี๋ยวผมลองโทรเข้ามือถือ”
“แล้วจะบอกเขาว่าไง มาจากบริษัทขอทัชฑีเหรอ”
“ก็ทำไมอะ”
“หนักกว่าบอกว่ามีของมาส่งอีกนะ”
“งั้นก็บอกของมาส่ง ช่างแม่ง ไม่สนละ ขอให้เจอตัวละกัน…”
“เดี๋ยว” พี่ทัชใช้นิ้วกดมือผมที่กำลังจะกดโทรออกไว้เบาๆ “ใช่คนนั้นมั้ย”
“ไหน” ผมหันเลิ่กลั่ก
“ข้างหน้า กำลังจะข้ามถนน”
ผมยื่นหน้าไปแทบจะเอาคางเกยคอนโซลหน้ารถ เพ่งมองกลุ่มคนสี่ห้าคนที่กำลังรอจะข้ามถนน และหนึ่งในนั้นก็คือ ดนัย ใฝ่จิตดี เป้าหมายของเรานี่เอง ตัวจริงเขาดูไม่สูงเท่าไหร่ ตัวผอมๆ เซ็ตทรงผมเหมือนในรูปเป๊ะ
“ใช่ว่ะพี่”
“แน่ใจนะ”
“ชัวร์ คนมันจะรุ่งอะ เก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องเฮงด้วย...ดูดิ นั่นไงกิ๊ก”
ผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ เขา แต่งตัวแซ่บใช่เล่น เสื้อรัดรูป กระโปรงสั้น แขนคล้องกระเป๋าหลุยส์ที่ผมดูไม่ออกว่าของแท้หรือปลอม
“มึงด่วนสรุปเกินไป”
“ก็ไม่ใช่เจ๊รวงข้าวอะ ไม่ใช่กิ๊กแล้วจะใครล่ะ เดินใกล้กันขนาดนี้”
“ก็ยังด่วนสรุปอยู่ดี”
“เดี๋ยวก็รู้ ปะ ลุย…”
พี่ทัชรั้งไหล่ผมไว้ “ดูก่อน เขาไปไหนกัน” ระหว่างที่พูดอยู่นี้ พี่ดนัย ใฝ่จิตดี ก็เดินข้ามถนนไปได้ครึ่งทางแล้ว ตลอดทางที่เดินแกยังยกมืออีกข้างค้างไว้เป็นการเบรกรถไปด้วย ทำเป็นเท่ ทำเป็นมั่น เห็นแล้วหมั่นไส้อยากสไลด์ตัวเข้าไปเตะตัดขาให้เสียศูนย์ ให้รถเมล์เสยกระเด็นไปสักสิบเมตร แล้วให้สิบล้อแล่นทับอีกที
ทำได้แค่จินตนาการแหละ ความจริงคือสองคนนั้นข้ามไปถึงอีกฝั่งแล้ว ดูพูดคุยกันกุ๊กกิ๊กออกหน้าออกตา แล้วก็พากันเดินเข้าไปในร้านกาแฟที่อยู่ตรงนั้นเอง
“เลิกงานแล้วไม่กลับบ้านกลับช่องนะ ชัดเลย ลุยได้ยังอะทีนี้”
“อือ” พี่ทัชทำเสียงเหมือนไม่เต็มใจ แต่ก็เปิดประตูลงจากรถ
เราเดินไปตรงจุดที่คนรอข้ามถนน ผมแอบสังเกตมือเขาก็ยังเห็นว่ามีพลาสเตอร์พันอยู่ครบทุกนิ้ว
“พี่ไม่แกะพลาสเตอร์เหรอ”
“ไว้ค่อย”
พี่ทัชเดินนำพาผมข้ามถนนไปแบบสบายๆ โดยไม่ต้องยกมือเบรกห้ามรถ เขาเปิดประตูเข้าร้านกาแฟแบบชิลล์ๆ ซึ่งผมก็พยายามเลียนแบบเขาทุกกระเบียดนิ้ว
“มัทฉะลาเต้ครับ” พี่ทัชสั่ง ขณะที่ผมเอาแต่สอดส่ายสายตาเข้าไปในร้าน “อีกแก้วเอาเป็นโกโก้เย็นครับ”
“ไม่เอาๆ เอาอเมริกาโน่ร้อน”
“แน่ใจ?”
“วิถีฮิปสเตอร์ไงพี่ รักสุขภาพ กาแฟเพียวๆ ไม่ต้องใส่นมอะไรเลย...ผมเลี้ยงเอง”
พี่ทัชหันมามองหน้า
“ทำไมอะ ก็คนมีตังค์อะ เนี่ยอีกหน่อยผมก็รวยละ เดี๋ยวคนในสมาคมก็เปย์รัวๆ แน่นอน”
พี่ทัชส่ายหน้า แต่ไม่ทักท้วงอะไรขณะผมควักเงินจ่าย
เห็นเป้าหมายแล้ว นั่งคุยกันหนุงหนิงอยู่ที่โต๊ะด้านในสุดของร้าน ซึ่งค่อนข้างลับตาคนจนน่าจะเรียกว่ามุมซ่อนชู้ก็ไม่ผิด พี่ทัชเดินนำผมไปโซนนั้น แต่นั่งถัดมาสี่โต๊ะ ผมเลือกนั่งฝั่งที่สามารถจับตาดูเป้าหมายได้ ส่วนพี่ทัชนั่งหันหลังให้พวกเขา
ระยะนี้ พอได้ยินเสียงพูดคุย แต่จับใจความไม่ได้
ผมควักมือถือขึ้นมาทันทีที่นั่งลง
“อย่า” พี่ทัชพูด
“ผมแค่จะเล่นมือถือ เนี่ยแชตเด้งมาเยอะแยะ” ผมพูดเพื่อให้เนียนขึ้น แต่ความจริงคือไม่ได้เข้าหน้าแชตเลย เปิดกล้องหลังสิครับรออะไร จับโทรศัพท์ตั้งขึ้นแบบเนียนๆ ค่อยๆ เอียงหามุมให้เป้าหมายกับชู้อยู่ในเฟรม “พี่เอาหนังสือกลอนมาปะ”
“ทำไม”
“อยากอ่าน” ผมบอก ก่อนจะลดเสียงลงเป็นเกือบกระซิบ “จะได้ดูเนียนๆ ไง ชิลล์ๆ อะ”
“อยากเนียนใช่มั้ย มีวิธีที่ง่ายกว่านั้น”
“ยังไงๆ”
“เก็บมือถือ เลิกเขย่าขา แล้วก็เลิกพูดกระซิบ”
นี่ไม่ใช่ร้านกาแฟประเภทที่ลูกค้าต้องยืนรอรับเครื่องดื่มตรงเคาน์เตอร์ แต่จะมีพนักงานนำมาเสิร์ฟให้ถึงที่ ซึ่งน้องพนักงานผู้หญิงหน้ามนๆ ท่าทางลนๆ ก็นำเครื่องดื่มเราเข้ามาเสิร์ฟในจังหวะนี้พอดี
ที่น้องพนักงานดูตื่นๆ ก็คงเพราะรัศมีของพี่ทัชนี่แหละ
และท่าทางตื่นๆ นี่ก็เรียกความสนใจจากคนรอบข้างได้โคตรดี รวมถึงเป้าหมายของภารกิจนี้ด้วย พี่ดนัย ใฝ่จิตดีชะเง้อมองมาทางเรา เล่นเอาผมถึงกับนั่งตัวตรงและรีบหันหน้าไปทางอื่น พอมั่นใจว่าเขาเลิกสนใจแล้ว ค่อยนั่งงอตัว หดคอลง คว้าทิชชู่ที่มาพร้อมกาแฟมาซับเหงื่อที่หน้าผากเร็วๆ
“ตรงนี้ด้วย” พี่ทัชพูด
“อะไร…”
เขาเคาะแก้มตัวเองเบาๆ
สีหน้าแบบนี้
แววตาแบบนี้
เข้าใจว่าที่เขาเคาะนิ้วกับแก้มคือบอกใบ้ให้ผมเช็ดเหงื่อตรงนี้ด้วย แต่ทำไมต้องขำมุมปากแบบนั้น งั้นเช็ดแม่งทั้งหน้าเลยละกัน เช็ดจนทิชชู่ม้วนเป็นก้อนเลย
“หมดยัง”
“อือ”
“รู้ปะ สายตาพี่เมื่อกี้อะ…”
“อะไร”
“เหมือนพี่กำลังมองหมาแมวอะ”
“...”
“คือไม่ใช่แบบไม่ดีนะ แบบมองยิ้มๆ เหมือนเอ็นดูหมาแมวอะ ทำไม หน้าผมเหมือนผงฟอกรึไง”
พี่ทัชนิ่งไปนิดนึง “แย่กว่าผงฟอก”
ผมเกือบจะหลุดประเด็นต่อปากต่อคำกับเขาแล้ว แต่ท่าทางระริกระรี้คิกคักของเป้าหมายช่วยเตือนสติผมซะก่อน ผมเลยวางมาดฮิปสเตอร์ นั่งไขว่ห้าง ยกกาแฟขึ้นจิบ
“ถุ้ย! กินกันเข้าไปได้ไงวะ”
“มึงยังไม่ได้เติมน้ำตาล”
“อ้อ” ผมฉีกซองน้ำตาลใส่รัวๆ ประมาณสี่ห้าซองได้ ใช้ช้อนคนแรงๆ แล้วยกชิมอีกที “ก็ไม่อร่อยอยู่ดีอะ”
“มึงเคยสั่งอันนี้ให้กูเพราะชื่อมันเพราะดีจำได้มั้ย ถ้าไม่อร่อยก็ไปสั่งใหม่ดิ” พี่ทัชพูด ก่อนจะดูดชาเขียวสบายๆ สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยคล้ายๆ ว่ากำลังดื่มด่ำกับรสชาติ
จำได้ดิวะ ก็เลยลองสั่งมากินเองนี่ไง แต่ความร้ายของเขาคือเอาคำพูดผมมาย้อนศรประชดผมคืนนี่แหละ เอาจริงๆ พี่ทัชก็แอบมีความกวนตีนเหมือนกันนะเนี่ย
แต่ปล่อยไปก่อน
อย่าหลุดประเด็น
ผมหยิบมือถือตั้งขึ้นกับโต๊ะและกดเปิดกล้องแอบถ่ายรูปอีกครั้ง “เอาไงต่ออะพี่ สองคนนั้นกินใกล้เสร็จแล้วนะ” ที่ผมพูดแบบนี้เพราะเห็นว่าเค้กที่อยู่ตรงหน้าผู้หญิงเหลืออีกนิดเดียว ส่วนกาแฟของผู้ชายก็เหมือนจะเย็นชืดแล้ว
พี่ทัชเริ่มแกะพลาสเตอร์ออกจากนิ้วช้าๆ
ทีละนิ้ว…
“ผมบอกแล้ว ว่าให้ใช้ถุงมือ...ผมช่วยแกะมั้ย”
“ไม่เป็นไร”
“พี่เร็วดิ”
“ไม่เห็นต้องรีบ”
“เออน่า เร็วๆ”
พี่ทัชแกะพลาสเตอร์ออกทุกนิ้ว ตามด้วยควักทิชชู่เปียกออกมาเช็ดมือ เหมือนจะไม่มีอะไรมาเร่งเร้าให้เขาทำอะไรเร็วขึ้นได้ ต่อให้ร้านนี้ไฟไหม้ก็ตาม
แต่ในที่สุดเขาก็เช็ดมือเสร็จจนได้ แต่ยังจะสละเวลากวาดเศษพลาสเตอร์ใส่กระเป๋าอีกนะ
“ให้พนักงานทิ้งให้ได้” ผมบอก
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเอาไปทิ้งข้างนอกเอง”
“คนดี” ผมเบ้ปาก “ลุยยังอะ นี่ถอดหัวใจแช่ไว้ในช่องฟรีซเหรอ ใจเย็นโคตร”
พี่ทัชไม่พูดอะไร เขาเคาะนิ้วกับโต๊ะเหมือนคิดอะไรอยู่ ถ้าเป็นเวลาอื่นนิ้วเรียวยาวที่เคาะเป็นจังหวะเบาๆ นี่อาจจะดึงดูดสายตาผมจนถึงขั้นสะกดให้เคลิ้มได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้
“พี่ ลุยยังๆ ล็อกตัวเลยมั้ย...พี่ เขาจะลุกแล้ว”
“กลับกันดีกว่า”
“ฮะ?”
พี่ทัชลุกขึ้นและหมุนตัวเดินออกไป ผมรีบลุกพรวดตาม แทบจะเป็นจังหวะเดียวกับที่เป้าหมายลุกขึ้นจากโต๊ะพอดี
“พี่ดนัย” จู่ๆ พี่ทัชก็โพล่งขึ้น ผมหยุดตามไม่ทันเลยหัวทิ่มไปชนกับแผ่นหลังของเขา “ใช่พี่ดนัยรึเปล่าครับ”
เป้าหมายของเรากับชู้ของเขาหันมามองด้วยสีหน้างงๆ
ผมก็งงด้วย
เดี๋ยวๆ นี่เริ่มปฏิบัติการแล้วเหรอ แผนคืออะไรวะ
ผมลนลานยกมือถือขึ้นมากดบันทึกวีดีโอ ทำเป็นขยับนิ้วพิมพ์เหมือนกับแชตเล่นชิลล์ๆ แต่เหงื่อแม่งเริ่มซึมๆ ละ โคตรตื่นเต้น
“พี่ดนัยจริงๆ ด้วย” พี่ทัชก้าวเข้าไปหยุดยืนห่างจากเป้าหมายแค่ช่วงแขนเดียว “ไม่นึกว่าจะเจอพี่แถวนี้”
“ใคร…” อีกฝ่ายขมวดคิ้ว ส่วนผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ฉีกยิ้มให้เบาๆ
“ผมณวัฒน์ไงพี่ จำไม่ได้เหรอ”
“ณวัฒน์ไหน”
จะว่าไป คงไม่มีใครยกมือถือขึ้นมาแชตสูงขนาดนี้ ผมเลยลดมือถือลง แอบเอียงกล้องเสยขึ้นกะๆ เอาว่าคลิปวีดีโอที่ได้คงจะจับภาพใบหน้าของชายชั่วหญิงชู้เอาไว้ได้ ถึงยังไงการถือโทรศัพท์ท่านี้ก็ไม่เป็นธรรมชาติอยู่ดี หัวใจผมเต้นโครมคราม ตับไตไส้ม้ามเหมือนจะเต้นไปด้วย งั้นเนียนๆ ร่วมวงไปด้วยเลยดีกว่า
“เฮ้ย! พี่ดนัยจริงๆ ด้วย”
“เฮ้ย! นี่พวกน้องสองคน…” เจ้าตัวสีหน้าตื่นเต้น ชี้นิ้วใส่เราสองคนสลับไปมา “เป็นใครวะเนี่ย” น้ำเสียงเขาดูขำๆ
“น้องที่เคยฝึกงานที่บริษัทเก่าพี่ไงครับ” พี่ทัชว่าต่อ
“อ้อ…” คราวนี้นายดนัยอะไรนี่เหมือนจะหน้าเสียนิดๆ ละ “พอจำได้ละๆ”
แหลว่ะ
โคตรปลาไหล ลักษณะนี้คือดูออกเลยว่าทำเป็นจำได้เพราะกลัวเสียฟอร์ม
“ณวัฒน์ใช่มั้ย แล้วนี่ก็…ใครน้า ชื่อติดอยู่ที่ปาก”
“ผม เอ่อ...พุดตะพัดไงพี่ เป็นน้องที่ฝึกงานพร้อมกับพี่ณวัฒน์อะ บ้านก็อยู่ใกล้ๆ กันกับพี่ดนัยไง แต่พี่อาจจะจำผมไม่ได้เพราะตอนนี้ผมหน้าตาดีขึ้นกว่าตอนนั้นเยอะ แล้ว...แล้วนี่พ่อพี่เลิกกินเหล้าแทนน้ำยังอะ ตับแข็งยัง” ปากมันไหลไปเอง ตอนนี้หยุดไม่ได้แล้ว
คราวนี้พี่ดนัยขมวดคิ้วจริงจัง “เดี๋ยวนะ พ่อพี่กินเหล้าแทนน้ำเลยเหรอ”
“ก็ใช่ไง แล้วพอเมาๆ ก็ชอบมาฉี่ใส่ประตูบ้านผม บางวันก็คุ้ยขยะกินด้วย”
“มีคุ้ยขยะกินด้วย”
“โอ๊ย ประจำอะ”
“พี่ว่าไม่ใช่แล้วว่ะ พวกน้องจำคนผิด…”
“ไม่ผิดหรอกครับ” พี่ทัชขัดกลางประโยค “ว่าแต่พี่ไปทำไรมา ดูดีขึ้นจนแทบจำไม่ได้เลย...เฮ้ย พี่ นาฬิกาสวยอะ ขอดูได้มั้ยครับ โทษนะ…”
หมับ
เอาแล้วๆๆๆ
พี่ทัชจับข้อมืออีกฝ่ายยกขึ้นนิดๆ ทำทีเหมือนจะขอดูนาฬิกา แน่นอนว่าปลายนิ้วสัมผัสเป้าหมายเรียบร้อย ผมงี้ถึงกับขนลุกหวิวๆ อย่างกับถูกจับซะเอง
“สวยอะพี่ ซื้อมาเท่าไหร่เหรอครับ” พี่ทัชถาม
“มะ...ไม่ได้ซื้อ ยืมเพื่อนมา” ตอนนี้เหมือนเจ้าตัวจะรู้ตัวแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดูจากการที่ปากคอสั่นนิดๆ
มาขนาดนี้แล้ว ยกมือถือขึ้นถ่ายอย่างเปิดเผยเลยละกัน
“แล้วนี่พี่มากับใครเหรอครับ” พี่ทัชถามต่อ เจ้าตัวมีอาการฮึดฮัดเล็กน้อยเหมือนจะพยายามสะบัดมือออก แต่ก็ดูสับสนและอ่อนแรง ผมสังเกตเห็นพี่ทัชรวบมือแน่นเข้ากว่าเดิม นาฬิกาบนข้อมือไม่เกี่ยวข้องอะไรแล้วตอนนี้
“มากับ…”
“เพื่อนร่วมงานเหรอครับ”
“ใช่”
“แค่เพื่อนร่วมงานเหรอ” ผมโพล่งถาม “เป็นไรกันอีกมั้ยอะ”
“เป็น...มะ...เมีย”
“เมียพี่ชื่อรวงข้าวไม่ใช่เหรอ” ผมจี้เข้าไปอีก
“ใช่”
“ถ้างั้นนี่ใครอะ”
“เมียน้อย…” พี่ดนัยปากสั่น คิ้วขมวด เหงื่อเริ่มไหลหยดจากไรผม “ก็ชู้นั่นแหละ กิ๊กกันได้สี่ห้าเดือน”
“จริงดิ พี่เล่นชู้เหรอ”
“จริง”
ผู้หญิงที่เงียบอยู่นานถึงกับผงะเหมือนถูกต่อย ปากสีแดงสดเม้มแน่น ขมวดคิ้วจนหน้าย่น ถ้าเป็นละครคงต้องมีตบสักฉาดหรือไม่ก็หยิบแก้วน้ำสาดหน้า แต่เจ๊คนนี้แค่ทำตาขวางๆ อยู่อึดใจนึง แล้วพอได้สติก็หมุนตัวจ้ำอ้าวออกจากร้านไป ฝ่ายชายทำท่าจะถลาตาม แต่มือพี่ทัชยังจับแขนเป้าหมายอยู่
ผมฉวยโอกาสนั้นยกกล้องจ่อหน้าเขาใกล้ๆ “พี่ๆ แล้วพี่รวงข้าวรู้มั้ยว่าพี่เลวแบบนี้”
“ไม่รู้ จะรู้ได้ไง โง่จะตาย...นะ...นี่ พวกมึงทำไรกู...ปล่อยนะเว้ย”
พี่ทัชปล่อยมือ
ดนัย ใฝ่จิตดีหายใจเฮือกๆ เหมือนเพิ่งวิ่งร้อยเมตรมา “พวกมึง...พวกมึงเป็นใคร”
“ขอโทษครับ ทักคนผิด” พี่ทัชพูด รู้สึกว่าจะมีความเย็นชาเจือในน้ำเสียงนิดๆ ด้วย
“อะไรของมึงวะ!”
พี่ทัชไม่ต่อปากต่อคำอีก เขาหันหลังเดินออกไปแล้ว
ผมกดปิดกล้องมือถือ เอียงหน้าไปพูดกับพี่ดนัยจิตปลาไหลเบาๆ “คนชั่ว” พูดจบก็รีบสับขาตามพี่ทัชออกไป
ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเดินไปทางไหน แต่ก็ไม่สำคัญหรอก
ถือว่าภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว
ผมกับพี่ทัชเดินข้ามถนนเร็วๆ ไปหยุดยืนกันอยู่ข้างรถมินิคูเปอร์ของเขา ตอนนี้เวลาเย็นใกล้ค่ำแล้ว รถติดหนาแน่นขึ้น และอีกไม่นานแสงไฟฟ้าก็จะรับช่วงต่อจากดวงอาทิตย์ที่เพิ่งลับไป
“ถ่ายได้หมดมั้ย” พี่ทัชถาม
“ได้ดิ จ่อหน้าเต็มๆ เลย”
“อย่าส่งคลิปยาวไป ตัดตรงที่เขาบอกว่าพี่รวงข้าวโง่ออกก่อน”
“...” ผมอึ้งไปนิด ก่อนจะถามโง่ๆ ออกไป “ทำไมอะ”
พี่ทัชมองหน้าผมเหมือนกับจะถามว่า นี่โง่จริงหรือแกล้งกวนตีนกันแน่ “พี่เขาไม่จำเป็นต้องได้ยินคำนี้”
“รู้น่า เป็นห่วงสุขภาพจิตเจ๊รวงข้าวใช่มะ เดี๋ยวตัดออกให้ครับโผม”
“ถ้าถ่ายติดหน้ากู ก็เบลอหน้ากูด้วย”
“ทำไมอะ หน้าตาดีๆ ไม่ชอบเหรอ ชอบให้หน้าเป็นสี่เหลี่ยมๆ เบลอๆ ไรงี้?”
“ไม่ชอบอยู่ในคลิป”
“แต่…”
“ตามนั้น”
“โอเคๆ เดี๋ยวผมเบลอให้” แล้วผมก็ถามต่อ “แล้วเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าไรอะ” เพราะนึกสงสัยขึ้นมาว่าเขาจะมีปรัชญาสอนใจอะไรมั้ยเกี่ยวกับเรื่องนี้
“เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าอยากให้คนรู้ความจริง ก็โกหกเข้าไว้”
“ยังไง...อ้อ รู้ละ หมายถึงยิ่งโกหกมากก็ยิ่งมีพิรุธมากไรงี้ ถึงคราวเคราะห์กรรมของพี่ดนัยแกแล้วที่มาเจอเราสองคน”
“หมายถึงมึงนี่แหละ คนปกติที่ไหนจะชื่อพุดตะพัด”
ผมเงยหน้าจากคลิปในมือถือ “อ่าว นี่หลอกด่าผมเหรอ หาว่าผมโม้มากจนมีพิรุธไรงี้...”
“ตามนั้น” พี่ทัชตัดบท “ทีนี้ก็ไปสถานีตำรวจกัน”
“ฮะ? ไปทำไมอะ นี่เรื่องต้องถึงตำรวจเลยเหรอ”
“ไม่งั้นจะกลับบ้านยังไง”
พี่ทัชหลุบสายตาต่ำลง
ผมก้มลงมองตาม เลยเข้าใจว่าเวรกรรมก็เล่นงานเราเหมือนกัน
“ชิบหาย ตำรวจมาล็อกล้อตั้งแต่ตอนไหนวะ”
_____________________
คิดถึงค่า :D
ขอบคุณนะคะที่อยู่กันตรงนี้ จะพยายามไปเรื่อยๆ เลยค่ะ
ฝากรักพี่ทัชกับเด็กแสบเยอะๆ เลยน้าา
นางร้าย
7.ตุลา.2019