<<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 80.......................................13/05/58  (อ่าน 215697 ครั้ง)

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 62
«ตอบ #180 เมื่อ03-11-2014 16:50:30 »

บทที่ 62 นี่มันชักจะเกินไปแล้ว(1)

สถานะของเหลียนอันสุ่ยไม่ธรรมดา  ในโรงหมอไม่มีผู้ใดกล้าหาเรื่องตอแย  แต่ก็มักถูกนำไปซุบซิบลับหลัง
กลิ่นยาลอยฟุ้ง  โรงหมอค่อนข้างเงียบสงบ  อย่างน้อยวันนี้ก็ยังไม่มีคนใหญ่คนโตป่วยเป็นอะไร  หมอส่วนหนึ่งถูกตามออกไปตรวจนางกำนัลที่ล้มป่วยตามตำหนัก
 
เหลียนอันสุ่ยสุภาพนุ่มนวล  ความจริงเหล่านางกำนัลชมชอบมาให้เขารักษาไม่น้อย  แต่หลังจากมีข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับเป่ยชางอ๋อง  คนส่วนใหญ่ล้วนไม่กล้าใช้เขาทำงาน  เหลียนอันสุ่ยทราบว่าสภาพนี้ยากแก้ไข  วันเวลาส่วนใหญ่จึงวุ่นวายอยู่กับการศึกษาหาข้อเชื่อมโยงระหว่างการแพทย์ของแคว้นเป่ยชางกับแคว้นเหลียน  เพียงแต่วันนี้กลับมีคนเจาะจงตามตัวเขาไปตรวจรักษา  นี่นับเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เหลียนอันสุ่ยเดินตามนางกำนัลอายุเยาว์ไปเงียบๆ  ตอนแรกคิดจะให้หมอผู้อื่นตามมาด้วยอีกคนเพราะเขาไม่ช่ำชองวิธีการตรวจรักษาแบบชาวเป่ยชาง  แต่หมอทุกคนที่สบตาด้วยกลับหลบตาเขาเป็นพัลวัน  มองนางกำนัลน้อยผู้นี้ด้วยท่าทีหวาดๆยำเกรง
สิ่งปลูกสร้างเบื้องหน้าอยู่ในเขตนางกำนัล  แต่กลับเป็นเรือนแยกออกมาต่างหาก  นางกำนัลที่มีเรือนเป็นของตัวเองความจริงมีไม่มากเลย  พระมาตุลาแคว้นเหลียนครุ่นคิดคาดเดาศักดิ์ฐานะของผู้ที่ตามตัวเขามาตรวจรักษา  ขณะที่หญิงรับใช้เปิดประตูให้ 
แสงบางๆสาดเข้าไปด้านใน  สายตาเย็นชาคู่หนึ่งจับจ้องมองออกมา  เงยหน้าขึ้นเหลียนอันสุ่ยก็เห็นหญิงชราผมสีดอกเลาผู้หนึ่งกุมไม้เท้านั่งอยู่บนเก้าอี้ที่มีที่เท้าแขนด้วยท่วงท่าน่าเกรงขาม  นางกำนัลที่พาเขาเข้ามาหลบออกไป  ในขณะที่เหลียนอันสุ่ยเริ่มจะคาดเดาศักดิ์ฐานะของสตรีตรงหน้าออก
“หมอชาวเหลียนไม่ได้ชอบจับชีพจรหรือ” ตู้ฮูหยินถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย  นางวางมือกับที่เท้าแขน  หงายมือขึ้นเล็กน้อย
ระหว่างที่เหลียนอันสุ่ยจับชีพจรตู้ฮูหยินก็จ้องบุรุษข้างกายนางเขม็ง  ความจริงรูปลักษณ์ของเหลียนอันสุ่ยธรรมดากว่าที่นางคาด  แต่บุคลิกสุภาพนุ่มนวลของเขาทำให้นางหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด 
บุรุษผู้นี้มิได้พินอบพิเทา  แต่ก็ไม่ได้เย่อหยิ่งถือตัว  สมควรบอกว่าเขาปฏิบัติต่อนางอย่างอ่อนน้อมเหมือนปฏิบัติต่อญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง  เหลียนอันสุ่ยสอบถามอาการของนางอย่างละเอียด  ถามไปถึงเรื่องปวดหลังที่คงได้ยินได้ฟังมาจากผู้อื่น  เห็นได้ชัดว่าคาดเดาฐานะของนางออกแล้ว 
เขาจำเป็นต้องฝังเข็มให้นาง  แต่บางจุดบางตำแหน่งกลับไม่สะดวกอยู่บ้าง  และยิ่งไม่สะดวกมากขึ้นเมื่อนางไม่ให้ความร่วมมือ  นางมองวิธีแก้ปัญหาของเขา  บุรุษผู้นี้คือคนที่ขโมยเด็กที่นางรักยิ่งกว่าลูกในไส้ไป  ความไม่ชอบหน้าและอคติยังคงอยู่  แต่ในใจกลับอดไม่ได้ที่จะนึกชื่นชมอยู่บ้าง  ความจริงแล้วบุรุษผู้นี้ก็เป็นคนที่ใช้ได้คนหนึ่ง  และเป็นหมอที่ละเอียดรอบคอบคนหนึ่ง
กดจุดและฝังเข็มทำให้อาการปวดหลังของนางดีขึ้นไม่น้อย  ตู้ฮูหยินผ่อนคลายขึ้น  แต่ความไม่ชอบหน้าไม่ได้ลดน้อยลงไป
“ท่านทราบว่าข้าเป็นใครใช่หรือไม่”
“ก่อนเข้ามาไม่ทราบ  ตอนนี้พอจะทราบแล้ว”
“ข้าคือตู้ฮูหยิน  ต้องวานให้เชื้อพระวงศ์แคว้นเหลียนมาตรวจอาการให้นางกำนัลเล็กๆอย่างข้า  นับว่าลำบากท่านแล้ว”
เหลียนอันสุ่ยทราบแล้วว่าสายตาคมกริบและวาจาที่คมกริบยิ่งกว่าของฉีเซี่ยงหยวนลอกเลียนมาจากใคร  ขณะตอบว่า
“ฐานะนั้นความจริงเป็นอดีตไปแล้ว  จริงอยู่ที่สายเลือดนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในตัวข้า  แต่เราท่านต่างทราบว่าแคว้นเหลียนไม่ได้ดำรงอยู่อีกต่อไป”
ตู้ฮูหยินหรี่ตาลง  นางจงใจใช้วาจาเสียดสีสถานการณ์เหยียดหยามเหลียนอันสุ่ย  แต่เมื่อเขายอมรับง่ายๆเช่นนั้นนางกลับรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง  ตู้ฮูหยินก็เป็นเช่นเดียวกับฉีเซี่ยงหยวนภูมิใจในแผ่นดินที่นางเกิด  หากเมื่อใคร่ครวญดูอีกครั้ง  ใจกลับเกิดความยอมรับนับถือบางเบา  เพราะสภาพที่เหลียนอันสุ่ยเป็น  สิ่งที่ต้องทำคือเผชิญหน้ากับความจริงอย่างกล้าหาญ
“ท่านเป็นคนที่พิเศษมาก  ท่านต้องการอะไรจากแคว้นเป่ยชางกันแน่”
เหลียนอันสุ่ยยิ้มบางๆ  ไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายระแวงเขา  เหลียนอันสุ่ยรู้สึกว่าขอเพียงเขาเป็นอันตรายต่อฐานะของฉีเซี่ยงหยวนแม้เพียงเล็กน้อย  สตรีตรงหน้าก็พร้อมจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อกำจัดเขาทิ้งไป  เซี่ยงหยวน  ถึงแม้ท่านจะมีบิดามารดาที่ไม่รักท่าน  แต่ท่านมีสตรีผู้หนึ่งที่รักท่านมาก
“ข้าเพียงต้องการอยู่เคียงข้างเขา” รอยยิ้มบางๆของเหลียนอันสุ่ยสงบลึกซึ้ง  ทั้งยังแฝงความหม่นหมองอยู่บ้าง  แต่ใบหน้าเช่นนี้ของเขากลับกอปรเป็นบุคลิกที่จับหัวใจคน

ตู้ฮูหยินฟังแล้วนิ่งอึ้งไป  ตอนแรกนางมองไม่ออกว่าฉีเซี่ยงหยวนลุ่มหลงบุรุษตรงหน้าได้อย่างไร  แต่ตอนนี้ดูๆไปกลับยิ่งพบว่ายากจะละสายตาจากไป  ในน้ำเสียงของเหลียนอันสุ่ยมีแววขอร้องอยู่ชัดเจน  แววตาของตู้ฮูหยินกลับคืนสู่ความเย็นชา
“ท่านเป็นบุรุษที่โดดเด่นผู้หนึ่ง  ตอนนี้แม้ตกอับ  แต่คิดจะประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องยาก  เหตุใดต้องเลือกทางเช่นนี้  ท่านไม่จำเป็นต้องเลือกทางเช่นนี้เลย”
“ตู้ฮูหยิน  ข้าทราบว่าฐานะเช่นนี้ไม่มีทางให้อะไรกับข้านอกจากคำเหยียดหยาม  แต่อย่างน้อยมันก็ให้ฉีเซี่ยงหยวนกับข้าซึ่งนั่นเพียงพอแล้ว”
“บังอาจ!  ต้าอ๋องไม่ใช่ของท่าน  ไม่วันใดก็วันหนึ่งเขาจะต้องอภิเษกพระชายา  มีบุตรธิดาสืบทอดต่อไป  ท่านใช้ความรักที่เห็นแก่ตัวขนาดนี้มาผูกมัดเขาเอาไว้  มันไม่เกินไปหน่อยหรือ”
“ท่านเข้าใจผิดแล้ว  เรื่องเขาต้องแต่งตั้งพระชายาข้าเข้าใจดี  เรื่องเขาต้องมีบุตรธิดาข้าเองก็หวังให้เป็นเช่นนั้น  ข้าทราบสถานภาพของตัวเองและไม่คิดเรียกร้องอะไรทั้งนั้น”
ตู้ฮูหยินโกรธจนตัวสั่น
“ท่านต่างหากที่ผิดแล้ว  สิ่งที่ท่านเรียกร้องนั้นแพงมาก  แพงจนข้าไม่คิดว่าแคว้นเป่ยชางจะจ่ายไหว  เพราะท่านเรียกร้องหัวใจของเขา  เด็กคนนี้ไม่ว่าจะรักใครล้วนรักจนถึงที่สุด  เวลาดีกับใครก็ดีจนถึงที่สุดเช่นกัน  หากแคว้นเป่ยชางต้องล่มจมเพราะท่าน  ข้าจะไม่มีวันให้อภัยท่านเลย ! ”
เหลียนอันสุ่ยมองความโกรธของสตรีตรงหน้าอย่างตะลึงลาน  สุดท้ายกล่าวว่า
“ความรักไม่ใช่สิ่งที่สามารถควบคุมบังคับได้  วันนี้เขารักข้า  พรุ่งนี้เขาไม่รักข้า  ข้าล้วนไม่สามารถควบคุมบงการทั้งนั้น  เพราะหากข้าสามารถควบคุมบงการได้นั่นก็แสดงว่าที่เขารักเป็นเพียงเปลือกนอกของข้า  มิใช่แก่นแท้ในตัวข้า  แล้วความรักแค่เปลือกเช่นนี้คู่ควรให้ท่านกลัดกลุ้มกังวลหรือ” ถ้าเป็นแบบแรกทั้งท่านทั้งข้าต่างเปลี่ยนมันไม่ได้  ถ้าเป็นแบบหลังท่านใยต้องยึดถือเป็นอารมณ์ด้วย
ตู้ฮูหยินฟังแล้วนิ่งไป  สายตาเย็นชาหรี่ลง  แต่ให้ความรู้สึกทิ่มแทงคนกว่าเก่า
“...นับว่าข้าดูถูกท่านเกินไป  ท่านสามารถกล่าววาจาเช่นนี้ให้กับตัวเอง  ข้านับว่าไม่แปลกใจแล้วว่าต้าอ๋องหลงรักท่านได้ยังไง” มองดูท่าทีสงบใจเย็นของบุรุษตรงหน้า  รู้สึกเสียหน้าเล็กน้อยที่ตัวเองไม่อาจควบคุมอารมณ์  แต่ลึกๆกลับพึงพอใจวิธีแสดงออกของเหลียนอันสุ่ยไม่น้อย
ฉีเซี่ยงหยวนนิสัยเหมือนนาง  เวลาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟถ้อยคำจะยิ่งแหลมคม  ไม่เคยมีใครรับมือได้มาก่อน  พระมาตุลาแคว้นเหลียนกลับเย็นเป็นน้ำ  สงบมั่นคงและกระจ่างชัดถึงเพียงนั้น  ด้วยความลำเอียงนางยังคงเห็นว่าบุรุษที่นางเลี้ยงมายอดเยี่ยมกว่า  แต่ก็ยอมรับว่าบุคคลตรงหน้าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
“ออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนคนแก่สักครู่ได้ไหม”
เหลียนอันสุ่ยไม่เข้าใจ  แต่ก็ตอบตกลง

พื้นที่เรือนปลูกต้นไม้เป็นสัดส่วน  ระแนงไม้ที่ลาดเทเป็นทรงลงมาเหมือนหลังคาปลูกไม้เถาออกดอกกลิ่นหอมรวยริน  ตู้ฮูหยินไม่ยอมให้เหลียนอันสุ่ยช่วงพยุง พอใจจะใช้ไม้เท้าก้าวไปเอง  นางช่วยตัวเองตลอดมา  เข้มงวดกวดขันตลอดมา  ไม่ว่าจะวัยสาวหรือวัยชราล้วนขึ้นชื่อว่าดุจนนางกำนัลเล็กๆหวาดผวา
“ท่านชอบต้นไม้อะไร” จู่ๆตู้ฮูหยินก็ถามขึ้น
“ข้าชอบต้นไผ่”
“ไผ่เป็นไม้ที่เอนลู่ตามลม” ตู้ฮูหยินวิจารณ์ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ข้ากลับคิดว่าไผ่เป็นไม้ที่ลำต้นตรงไม่คดงอ  เติบโตขึ้นอย่างแจ่มชัดในตัวเอง  รู้จักยืดหยุ่นและรู้จักยืนหยัด  เป่ยชางฤดูหนาวยาวนาน  ท่านสมควรทราบดีว่าในฤดูที่หนาวเย็นที่สุด  ต้นไผ่ก็ยังเขียวขจีและยืนหยัดไม่ต่างจากฤดูอื่น”
“ในฤดูหนาวยังมีต้นสนและดอกเหมย  ท่านไม่ชอบพวกมันหรือ”

“สนเป็นไม้ใหญ่  ไม้ใหญ่มักต้านลม  คนที่ไม่รู้จักยืดหยุ่น  สุดท้ายต้องสำนึกเสียใจ  ดอกเหมยงามเฉิดฉัน  แต่โดดเด่นทระนงเกินไป  สุดท้ายก็บานได้ไม่นาน  ข้าชอบความเรียบง่ายของต้นไผ่  กลิ่นไผ่ไม่ฉุนแรง  แต่กลับทำให้คนรู้สึกสะอาดสดชื่น  หากทั้งหมดก็เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของข้า  มีคนอีกมากมายที่ประทับใจต้นสนและดอกเหมยเหมือนกับที่ข้าประทับใจต้นไผ่”
“ท่านจะบอกว่าท่านเป็นต้นไผ่ ? ” พระมาตุลาผู้นี้มีแนวคิดที่น่าสนใจไม่น้อย  แต่ตู้ฮูหยินอดรู้สึกไม่ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังว่ากระทบตัวนาง
“พูดให้ถูกคือข้าอยากเป็นให้ได้แบบต้นไผ่  ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้จักยืดหยุ่น  สุดท้ายก็ต้องสำนึกเสียใจ” เหลียนอันสุ่ยไม่ได้มองแววตาตู้ฮูหยินจึงไม่เห็นแววตาอ่อนลงของนาง
ชั่วชีวิตของตู้ฮูหยินมีเพียงสามคนที่ไม่หวาดกลัวนาง  คนแรกคือมารดาของฉีเซี่ยงหยวน  คนที่สองคือฉีเซี่ยงหยวน  ส่วนคนที่สาม...คือบุตรชายที่จากไปแล้วของนาง  นางตั้งครรภ์ปีเดียวกับนายหญิงตำหนักไป่เหอจึงถูกคัดเลือกให้เป็นแม่นม  หากบุตรชายของนางไม่ได้จากไปตอนอายุได้ยี่สิบ  ตอนนี้เขาสมควรอยู่ในวัยเดียวกับฉีเซี่ยงหยวน...วัยเดียวกับบุรุษตรงหน้า
“ในโลกนี้มีใครไม่เคยเสียใจบ้าง  ความผิดพลาดทำให้คนเข้มแข็ง  ท่านเองก็อายุไม่น้อย  สมควรผ่านเรื่องราวมากมาย  ได้ยินว่าท่านเคยมีชายาคนหนึ่ง  มีบุตรชายคนหนึ่ง”
เหลียนอันสุ่ยรับคำ
“เช่นนั้นท่านสมควรทราบดีว่าการมีบุตรชายเป็นเรื่องที่ชวนปลาบปลื้มประโลมใจแค่ไหน  คำพูดก่อนหน้านี้ของท่านที่บอกว่าท่านหวังให้เขามีลูกเป็นความจริงหรือ ? ”
เหลียนอันสุ่ยยิ้มแล้วตอบว่า
“การที่เขาไม่มีลูกเป็นเรื่องที่ข้ารู้สึกผิดต่อเขาอย่างมาก  ดังนั้นท่านต้องการให้ท่านช่วยเหลือในเรื่องนี้อย่างไรก็บอกมาเถิด  ข้าจะไม่ขัดขวางอย่างแน่นอน”
---------------------
ฉีเซี่ยงหยวนทราบว่าเหลียนอันสุ่ยถูกตู้ฮูหยินเรียกไปตรวจอาการก็ถามถึงอย่างเป็นห่วง  แต่เหลียนอันสุ่ยบอกเขาว่าไม่มีอะไร  หลายวันหลังจากนั้นงานที่โรงหมอของเหลียนอันสุ่ยเพิ่มกิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่งคือต้องแวะไปตรวจอาการให้ตู้ฮูหยิน  ตอนแรกฉีเซี่ยงหยวนกังวลเล็กน้อย  แต่เห็นไม่เกิดเรื่องอะไรก็เบาใจขึ้น  หากเบาใจได้ไม่นานก็ชักจะรู้สึกแปลกๆ

ปกติหญิงรับใช้ในตำหนักเสียงวสันต์ไม่เคยเปลี่ยนคน  แต่ช่วงนี้ฉีเซี่ยงหยวนกลับพบว่ามีหญิงรับใช้หน้าใหม่เพิ่มเข้ามาหลายคนทีเดียว  คนหลังๆที่เพิ่มเข้ามาสวยกว่าคนก่อนหน้า  ยิ่งเวลาผ่านไปตำหนักเสียงวสันต์แทบจะกลายเป็นแดนสวรรค์ไปแล้ว  มีแต่เทพธิดาเดินไปเดินมา 
ฉีเซี่ยงหยวนยิ่งมองกลับยิ่งรู้สึกหงุดหงิด  เหลียนอันสุ่ยคือคนที่อยู่ตำหนักบ่อยกว่าเขา  เช่นนี้ไม่เท่ากับว่าทุกวันๆล้วนต้องทนมองเทพธิดาเหล่านี้เดินเวียนไปเวียนมาหรอกหรือ  เพียงแค่คิดฉีเซี่ยงหยวนก็รู้สึกว่าจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้  ขณะกำลังหงุดหงิดเหลือแสน  ก็ได้ยินเสียงพิณกับเสียงขลุ่ยดังลอยมา  อารมณ์โมโหยิ่งพุ่งสูงเทียมฟ้า 
ตอนเหลียนอันสุ่ยเป่าขลุ่ยเสร็จกลับเข้ามา  ฉีเซี่ยงหยวนจึงประชดด้วยการเลือกจะให้ความสนใจแต่หญิงรับใช้คนที่งดงามที่สุด  ตอนแรกฉีเซี่ยงหยวนอยากจะเห็นเหลียนอันสุ่ยเดือดร้อนใจ  แต่ปรากฏว่าเหลียนอันสุ่ยกลับหลบฉากไปง่ายๆ  ปล่อยให้หญิงรับใช้ผู้นั้นยกน้ำชามาให้เขา
ตอนกลางวันไม่พอ  ตอนกลางคืนหนักข้อกว่าเดิม  ฉีเซี่ยงหยวนปักหลักทำงานสีหน้าบูดบึ้งอยู่บนโต๊ะตัวใหญ่  คนที่เดินเข้ามาฝนหมึกให้เขากลับเป็นหญิงรับใช้ที่งามราวกับบุปผาคนนั้นอีกแล้ว!
“เจ้ามาทำไม” คำถามห้วนสั้น
“พระมาตุลาให้ข้ามาฝนหมึกให้กับท่าน” เจ้าของเสียงพยายามข่มความหวาดหวั่นต่อสายตาคมกริบที่สาดมองมา
ทันใดนั้นฉีเซี่ยงหยวนก็คาดเดาจุดประสงค์ของเรื่องทั้งหมดออก  หลังจากเข้าใจแจ่มแจ้งโทสะที่ไม่ได้ผ่อนคลายลงเลยตลอดทั้งวันก็เลยพ้นขีดการควบคุมไปไกล
ที่แท้เทพธิดาพวกนี้เหลียนอันสุ่ยล้วนเตรียมไว้ให้เขา !
ประเสริฐมาก  ประเสริฐมากจริงๆ 
ยิ่งครุ่นคิดสีหน้าก็ยิ่งเหี้ยมเกรียม  ฉีเซี่ยงหยวนพลันอยากทราบว่าขณะนี้เหลียนอันสุ่ยกำลังทำอะไร  ผุดลุกเดินออกไป  เสาะหาไม่นานก็พบ ‘ตัวต้นเหตุ’ กำลังนั่งอ่านม้วนตำราอยู่ที่เรือนด้านหน้า  เห็นได้ชัดว่าเหลียนอันสุ่ย ‘เปิดทาง’ ให้ด้วยความเต็มใจยิ่ง
ได้ยินเสียงผลักประตู  พระมาตุลาแคว้นเหลียนก็เงยหน้าขึ้น
“ท่าน  ทำไมถึง...” เหลียนอันสุ่ยพูดไม่ทันจบประโยคดีข้อมือก็ถูกฉุดลากให้เดินตามไป 
ถึงห้องหนังสือ  ปลายนิ้วของฉีเซี่ยงหยวนชี้ไปที่หญิงรับใช้ผู้นั้น  ถามเสียงเกรี้ยวกราดว่า
“ท่านจัดนางมาให้ข้าใช่หรือไม่!”
“ท่านไม่ได้...ถูกใจนางหรอกหรือ” เห็นดวงตากระจ่างมองกลับมาอย่างไม่เข้าใจ  ฉีเซี่ยงหยวนก็แสยะยิ้ม
“อ้อ  นี่ท่านกำลังรอให้ข้าถูกใจซักคนแล้วค่อยจัดการยกข้าให้กับผู้อื่นอย่างนั้นสิ”
“ต้าอ๋อง  ข้าคิดว่า...ข้าคิดว่าท่านน่าจะเบื่อ  มีพวกนางช่วยปรนนิบัติท่านข้าก็วางใจ  อีกอย่างพวกนางล้วนเป็นกุลสตรีดีงามที่แม่นมตู้คัดเลือกให้ท่านด้วยตัวเอง...” พูดไม่ทันจบคำก็ถูกลากตัวออกไป
มือใหญ่ของฉีเซี่ยงหยวนกำรอบมือเรียวแน่นราวกับปลอกเหล็ก  กล่าวเสียงเย็นโดยไม่หันไปมองว่า
“เจ้าก็ตามมาด้วย”
หญิงรับใช้ที่หวาดกลัวจนตัวสั่นผู้นั้นได้แต่ก้าวตามไป
ปกติฉีเซี่ยงหยวนหึงหวงแค่ไหนก็ไม่เคยเอามาลงกับเหลียนอันสุ่ย  แต่คราวนี้เกินไปจริงๆ  หากยังทนทานได้ก็เป็นรูปสลักศิลาแล้ว !
ผลักร่างเหลียนอันสุ่ยลงบนเตียง  หันไปออกคำสั่งกับหญิงรับใช้ผู้นั้นว่า
“หันหลังไป!”
เหลียนอันสุ่ยตื่นตระหนกเมื่อเห็นระดับความโทสะที่เต้นระริกอยู่ในแววตาฝ่ายตรงข้าม  ทราบว่าครั้งนี้เขาเดินแผนผิดพลาดจนเป็นเรื่องขึ้นมาแล้ว  ยังไม่ทันถอยหนีไปไหนก็ถูกกักเอาไว้ใต้ร่างแกร่ง
“เหลียนอันสุ่ย  ท่านคิดปัดความรับผิดชอบหรือ  หน้าที่ปรนนิบัติข้าเป็นของท่านคนเดียวไม่อนุญาตให้ท่านเที่ยวแจกจ่ายให้คนอื่น  อ้อ  หรือท่านคิดทำตัวเป็นอัครชายาที่ดี  แต่ดีถึงระดับนี้ข้ากลับไม่ต้องการ”
เหลียนอันสุ่ยพยายามสงบเยือกเย็น  แต่ก็เยือกเย็นไม่ไหวเมื่ออีกฝ่ายเริ่มลงมือเปลื้องอาภรณ์เขา  สีหน้าซีดเผือด  หันไปมองร่างบอบบางที่ยืนหันหลังให้พวกเขาห่างออกไปอีกหกก้าวอย่างกระวนกระวาย
“ต้าอ๋อง  ท่านโมโหข้า  ข้าเข้าใจ  แต่นางไม่มีความผิด  ท่านต้องปล่อยนาง...”
สีหน้าของฉีเซี่ยงหยวนเย็นเยียบ
“ปล่อยนาง?  ท่านมิใช่ต้องการให้นางมาเป็น ‘หญิงรับใช้ข้างเตียง’ ของข้าหรอกหรือ” หญิงรับใช้ข้างเตียงความหมายที่แท้จริงคือปรนนิบัติบนเตียง  เหลียนอันสุ่ยมีลูกให้ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้  จึงหวังให้ฉีเซี่ยงหยวนสามารถมีลูกกับผู้อื่น  แต่เห็นท่าทางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟของอีกฝ่ายก็ลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

ริมฝีปากถูกจุมพิตอย่างดุดัน  ร่างหนาทาบทับลงมาอย่างถือสิทธิ์  มือใหญ่ลูบไล้ไปทั่วเปลื้องเสื้อผ้าเขาออกทีละชิ้น  ทีละชิ้น 
เหลียนอันสุ่ยรู้สึกว่าช่วงขาของตัวเองเปลือยเปล่าในตอนที่มือใหญ่ผลักหัวเข่าบังคับให้เรียวขาทั้งคู่แยกออกจากกัน  ฉีเซี่ยงหยวนสอดมือเข้าไปลูบไล้เอวเพรียว  ริมฝีปากขบหนักๆลงบนซอกคอขาวเหมือนจะลงโทษ  เหลียนอันสุ่ยแนบหน้าด้านข้างเข้ากับหมอนพยายามสะกดกลั้นเสียงหอบหายใจ  ทราบว่าต้าอ๋องผู้นี้กำลังคิดบัญชีทบต้นทบดอก

แต่เมื่อชายเสื้อร่นขึ้นมาถึงเอว  และริมฝีปากร้อนผ่าวเลื่อนลงสู่เรียวขาของเขา  เหลียนอันสุ่ยก็สั่นสะท้าน  ร้องว่า
“ต้าอ๋อง  ไม่เอา  ไม่เอาแบบนี้” ในที่สุดเหลียนอันสุ่ยก็ทราบแล้วว่าฉีเซี่ยงหยวนคิดจะทำอะไร  แต่การร่วมรักแบบนี้เขาไม่ชอบ  เหลียนอันสุ่ยไม่ชอบความรู้สึกที่ไม่อาจควบคุมตัวเอง  หากฉีเซี่ยงหยวนในคราวนี้ดูจะไม่ฟังคำปฏิเสธของเขา  เรียวปากร้อนจัดละเลียดเรียวขาด้านในอย่างจงใจ
“เซี่ยงหยวน  ท่าน  ท่าน  ปล่อยปละละเว้นข้าเถอะ” เหลียนอันสุ่ยพยายามอ้อนวอน
“ปล่อยปละละเว้นท่าน?  มาพูดตอนนี้ไม่รู้สึกสายเกินไปหน่อยหรือ” ก่อเรื่องอะไรเอาไว้  ยังไม่ยอมชดใช้ให้ข้าเงียบๆอีก  เห็นดวงตาวาวโรจน์  เหลียนอันสุ่ยก็เม้มริมฝีปากอย่างทราบความผิด
แต่เมื่อริมฝีปากของอีกฝ่ายแตะต้องร่างกายของเขาอีกครั้ง  เหลียนอันสุ่ยก็บิดร่างอย่างปั่นป่วน  ความรุ่มร้อนที่ฉีเซี่ยงหยวนบังคับจุดขึ้นในกายเขาแผ่ขยายอย่างรวดเร็ว  กลืนกินร่างกายเขาให้ค่อยๆจมดิ่งลงไป  เหลียนอันสุ่ยพยายามซุกหน้าเข้ากับหมอน  หวังให้เสียงครวญครางที่หลุดลอดออกไปแผ่วเบาที่สุด

แต่บุรุษที่อยู่เหนือร่างเขาคล้ายพยายามทำสงครามกับเขา  ปลายลิ้นยิ่งมากลับยิ่งช่ำชอง  เหลียนอันสุ่ยทนทานไม่ไหว  ยื่นมือออกไป  คิดผลักศีรษะอีกฝ่ายที่ก้มอยู่เหนือหว่างขาเขาให้ห่างออก  สุดท้ายกลับทำได้แค่สอดมือเข้าไปในกลุ่มผมสีดำสนิท  ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสัมผัสเร่าร้อนที่อีกฝ่ายมอบให้
ผู้ชายคนนี้รู้จักทุกซอกทุกมุมของร่างกายเขาดีเกินไป  ควบคุมบงการให้เขาทรมานและสุขสม  บังคับให้เขาเผชิญหน้ากับความปรารถนาของตัวเองอย่างไม่มีหนทางหลบหนี

พระมาตุลาแคว้นเหลียนหายใจหอบหนัก  ถูกอีกฝ่ายปลุกปั่นจนอ่อนระทวยไปทั้งร่าง  เข้าใจว่าเคราะห์กรรมผ่านพ้นไปแล้ว  แต่เมื่อมือใหญ่ช้อนใต้ร่างเขา  รวบตัวของเขาขึ้นมา   เหลียนอันสุ่ยก็ทราบว่าความทรมานนี้ยังไม่สิ้นสุดยุติ

หญิงรับใช้ผู้น่าสงสารกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ  ร่างบอบบางสั่นสะท้านราวใบไม้กลางสายลมสารท  หวาดกลัวอย่างลึกล้ำในสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหลังนาง  เสียงเสียดสีของเสื้อผ้าและผิวกาย  เสียงหอบหายใจดูราวกับดำเนินไปไม่จบสิ้น  ใบหน้างามของนางแดงซ่านทุกครั้งที่มีเสียงครวญครางหลุดรอดออกมา  นางย่อมไม่ใช่ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้น  แต่ไม่อาจจินตนาการพระมาตุลาผู้สุภาพอ่อนโยนเข้ากับเสียงครวญครางที่แทบจะเลาะกระดูกคร่าวิญญาณคน

เหลียนอันสุ่ยรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าฉีเซี่ยงหยวนจงใจกลั่นแกล้งเขา  ให้เขาไม่มีทางเข้าหน้ากับหญิงรับใช้ผู้นั้นติดอีกเลย  เหลียนอันสุ่ยยกมือขึ้นปิดปากตัวเองขณะที่ร่างสูงใหญ่ครอบครองเขา  แต่มือหนากลับเอื้อมมาดึงมือเขาออก  ร่างแกร่งเคลื่อนไหวอย่างชั่วร้ายกว่าเดิม

พริบตานั้นพระมาตุลาแคว้นเหลียนรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นกวางตัวหนึ่ง  ถูกพยัคฆ์กลืนกินตั้งแต่หัวจรดเท้า

ออฟไลน์ bluecoco

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
 ลงโทษได้สาสมกับความผิดมากค่ะต้าอ๋อง


แม่ยกปลื้มปริ่มจริงๆ
 :-[ :impress2:

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 63
«ตอบ #182 เมื่อ03-11-2014 22:44:17 »

บทที่ 63 นี่มันชักจะเกินไปแล้ว(2)

เสื้อคลุมสีดำตัวหนึ่งถูกคลุมทับลงมาบนร่างสูงโปร่ง  ในที่สุดเหลียนอันสุ่ยก็รู้สึกได้ว่าอารมณ์ของฉีเซี่ยงหยวนสงบลงแล้ว  ได้ยินเสียงทุ้มต่ำกล่าวขึ้น
“เจ้าไปยกอ่างน้ำกับผ้าสะอาดเข้ามา”
คำสั่งมาถึงโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้หญิงรับใช้โฉมงามผู้นั้นสะดุ้งโหยงอย่างตกใจ  ลนลานออกไป  พริบตาเดียวก็กลับมาพร้อมอ่างทองเหลืองกับผ้าหนึ่งผืน  เดินเข้ามาเห็นสภาพภายในห้องก็รีบหลุบตาต่ำอย่างหวาดกลัว
หากไม่อาจลบภาพที่เพิ่งเห็นออกไปได้  บุรุษที่เป็นประมุขสูงสุดแห่งแคว้นเป่ยชางดุดันน่าเกรงขาม  ส่วนพระมาตุลาอยู่ในอ้อมกอดของเขา  มือที่กำขอบอ่างสั่นระริกเมื่อรู้สึกได้ว่าสายตาน่ากลัวจับจ้องมองมา   ใบหน้าก้มต่ำจนคางแทบจรดอก  เห็นเพียงชายเสื้อสีดำที่คลุมอยู่บนร่างสูงของพระมาตุลาแคว้นเหลียน  ใบหน้างามแดงซ่านขึ้นมาอีกครั้งเมื่อภาพเมื่อครู่ปรากฏซ้ำขึ้นมาในหัว  นางมองได้ไม่ชัดเจนนัก  รู้แต่เหลียนอันสุ่ยในตอนนี้เย้ายวนจนยากบรรยาย  ราวกับตัวตนที่สุภาพอ่อนโยนเป็นเพียงเปลือกนอกที่ห่อหุ้มเสน่ห์อันเย้ายวนสูงศักดิ์ของเขาเอาไว้  ลมหายใจแผ่วๆที่ดังอย่างอ่อนเพลียของเขายิ่งฟังก็ยิ่งทำให้คนฟุ้งซ่าน
มือใหญ่ฉวยอ่างน้ำไปจากมือนาง  ออกคำสั่งว่า
“ไปได้แล้ว...ยังไม่ไปอีก!” ประโยคหลังดุดันกว่าประโยคแรก  หญิงรับใช้ผู้บอบบางหาเท้าตัวเองเจอก็รีบวิ่งหนีจากไป

“นางกลัวท่านแล้ว” เสียงนุ่มนวลของเหลียนอันสุ่ยดังขึ้น
“ข้าสนใจแค่ว่าพรุ่งนี้ท่านต้องกำจัดหญิงรับใช้ที่หน้าตาราวกับเทพธิดาพวกนั้นออกไปให้หมด!” ออกคำสั่งพลางเลิกชายเสื้อสีดำ  เช็ดไปตามผิวเนียนที่ชื้นเหงื่อ  เหลียนอันสุ่ยหลับตาลงรู้สึกไม่มีแรงจะขยับตัว  ปล่อยให้มือคู่นั้นใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆทำความสะอาดร่างกายให้เขา  ได้ยินเสียงทุ้มกำชับว่า
“ห้ามทำแบบนี้อีกเข้าใจหรือไม่  ถ้าครั้งหน้าข้าจับได้รับรองว่าไม่มีการให้ ‘หันหลังไป’ ซ้ำสอง” ฉีเซี่ยงหยวนรู้ดีว่าคนที่ดื้อที่สุดความจริงคือบุรุษในอ้อมกอดเขา  หากไม่บอกกล่าวให้ชัดเจนรับรองต้องมีเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
สำหรับเหลียนอันสุ่ยมีไม่กี่เรื่องที่สามารถทำให้เขาหวาดกลัวไม่กล้าทำ  แต่คำขู่นี้ของฉีเซี่ยงหยวนกลับใช้ได้ผลจริงๆ  มีเสียงยอมรับคำดังมาแผ่วเบา
---------------------
คนต่อไปที่ฉีเซี่ยงหยวนไปคิดบัญชีคือแม่นมตู้  แต่กับแม่นมตู้ฉีเซี่ยงหยวนก็มีวิธีรับมือกับนางในแบบของตัวเอง

“ได้ยินว่าท่านไล่หญิงรับใช้พวกนั้นออกมาจากตำหนักชุนเกอทั้งหมด” พบหน้าตู้ฮูหยินก็เปิดประเด็นอย่างเย็นชา  นางเป็นคนกล้าทำกล้ารับ  อย่าว่าแต่เรื่องนี้นางเห็นว่านางไม่ได้ทำอะไรผิด
“ท่านแม่นม  นี่ท่านตั้งใจจะให้ข้าถูกเหลียนอันสุ่ยเขี่ยทิ้งในเร็ววันใช่หรือไม่”
“ว่าอะไรนะ!” ตู้ฮูหยินหันขวับมาขมวดคิ้ว
“ท่านรู้หรือไม่เขาทิ้งขว้างข้ามากี่ครั้งแล้ว  เขาเคยกระทั่งคิดจากไป  พาลูกของเขาจากไปด้วย”
ตู้ฮูหยินโกรธแล้ว
“เหลวไหลสิ้นดี  ท่านเป็นต้าอ๋อง มีแต่ท่านที่ทิ้งเขา  เขาอาศัยอะไรมาทิ้งขว้างท่าน”
“ข้าก็อยากรู้ว่าเขาอาศัยอะไรมาทิ้งขว้างข้า  เขารักข้าชัดๆ  แต่กลับเหี้ยมโหดพอจะสะบั้นทุกความสัมพันธ์กับข้าอยู่ตลอด  แถมท่านยังจะไปส่งเสริมเขาอีก  เช่นนี้เขาก็หาเรื่องหลบหน้าข้าได้ง่ายกว่าเดิม  ดังนั้นหญิงรับใช้พวกนั้นไม่กำจัดไม่ได้”
“ท่านก็อย่าไปสนใจเขา  ต้าอ๋อง  เชื่อข้า  ท่านยังหาคนที่ดีกว่าเขาได้อีกมาก...”
“ให้ข้าเสาะหาคนอื่นก็คือให้ข้าอยู่กับคนที่ข้าไม่ได้ชอบ  ส่วนเขารู้จักคำว่าหึงหวงเสียที่ไหน  นอกจากจะยอมถอยอย่างเต็มใจแล้ว  อย่างมากก็เจ็บปวด  เห็นเขาเจ็บปวดคนที่เจ็บกว่าก็คือข้า  นี่มันการทรมานตัวเองชัดๆ”

ตู้ฮูหยินอึ้งไป  ไม่ว่าอย่างไรนางก็คิดไม่ถึงว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจะเป็นเช่นนี้  มือเหี่ยวย่นกุมขมับ  รู้สึกปวดหัวอยู่บ้าง  ผู้ส่งมอบหัวใจออกไปก่อนคือผู้ที่ถูกกำหนดให้พ่ายแพ้  ดูๆไปบุรุษที่นางรักยิ่งกว่าลูกในไส้ผู้นี้เสียเปรียบทั้งขึ้นทั้งล่อง  ผู้ใดใช้ให้เขารักอีกฝ่ายมากเกินไป  นางเองก็รู้สึกถึงความพ่ายแพ้ของตัวเองอยู่รำไร  ตอนนี้แม้สามารถแข็งกร้าว  แต่ลึกๆแล้วตู้ฮูหยินรู้ดีว่านางทนเห็นฉีเซี่ยงหยวนเจ็บปวดไม่ได้

เล่นเกมนี้กับเขา  สุดท้ายคนที่พ่ายแพ้ต้องเป็นนางแน่นอน...ผู้ใดใช้ให้นางรักเขามากเกินไป
---------------------
สถานะของฉีเซี่ยงหยวนสูงส่ง  กุมอำนาจมากมายอยู่ในมือ  แม้ฐานอำนาจจะยังไม่มั่นคงแข็งแรง  แต่ย่อมมีคนหวังประจบสอพลออยู่มากมาย  การประจบสอพลอเป็นศาสตร์แห่งการรู้จักปรับเปลี่ยนแผนพลิกแพลงให้เข้ากับยุคสมัยและอุปนิสัยของนายเหนือหัว  ในเมื่อสตรีคนใดล้วนถูกปฏิเสธ  ภายหลังเหล่าขุนนางจึงเริ่มจัดส่งบุรุษมา

ผู้คัดเลือกบ่าวรับใช้รับสินบน  ตำหนักเยี่ยอวิ๋นจึงมักโผล่บ่าวรับใช้หน้าใหม่  ที่ดูแล้วรูปงามจับตาขึ้นมาทีละคนสองคน  เรื่องนี้ทำให้ฉีเซี่ยงหยวนโมโหจนพูดไม่ออก  ขุนนางพวกนั้นไม่ใช่ตู้ฮูหยินไม่สามารถติดต่อกับเหลียนอันสุ่ยหาทางส่งคนเข้าตำหนักเสียงวสันต์ก็จริง แต่ก็หาหนทางไม่หยุด  สุดท้ายสามารถหาหนทางจนเขาหงุดหงิดรำคาญได้
“โบยให้หนัก  แล้วลากตัวออกไป” ไม่ว่าบ่าวรับใช้คนไหนสับเปลี่ยนเข้ามาก็จะบังเอิญ ‘ทำเรื่อง’ ให้เป่ยชางอ๋องไม่พอใจ  ถูกลงโทษไม่เว้นแม้แต่รายเดียว  ทำเช่นนี้สองสามครั้ง  เปลี่ยนผู้คัดเลือกจัดสรรบ่าวรับใช้ใหม่ทั้งกรม ในที่สุดไม่ว่าใครก็อกสั่นขวัญแขวนไม่กล้าพาตัวเองมาพาดเขียง  และไม่กล้ารับสินบนโดยพลการ
เหลียนอันสุ่ยเคยทนดูไม่ได้  แต่ฉีเซี่ยงหยวนไม่เคยยอมให้อีกฝ่ายสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยว 
“คนพวกนี้หนึ่งหวังประจบสอพลอ  สองหวังส่งคนมาสอดแนมข้างกายข้า  ไม่ลงโทษอย่างหนักจะมีคนกล้าเสนอหน้ามาอีก”
เหลียนอันสุ่ยมีชนักปักหลังจึงไม่กล้าพูดมากความ  ได้แต่กำชับให้คนจัดยาให้ตัวหมากที่น่าสงสารกลุ่มนั้น
“ท่านไม่เบื่อบ้างหรือ  ที่นี่มีแต่ข้า  บางทีมันก็ค่อนข้าง...จำเจ”
ฉีเซี่ยงหยวนเลิกคิ้ว  ม้วนฎีกาที่อ่านเสร็จแล้ววางไว้ริมโต๊ะ  เงยหน้าขึ้นมาถามว่า
“ท่านเบื่อข้า ? ”
เหลียนอันสุ่ยรีบส่ายหน้า กล่าว
“ข้ารู้ตัวดี  ข้าใช้ชีวิตเรียบง่ายมาโดยตลอด  ส่วนท่านโลดโผนกว่าข้า  พวกเขาเองไม่ว่าจะบุรุษหรือสตรีก็เข้าใจวิธีปรนนิบัติท่านมากกว่าข้า  ท่านไม่รู้สึกว่าข้า...ค่อนข้างจะไร้รสชาติหรอกหรือ” สีหน้าของเหลียนอันสุ่ยมีแววไม่มั่นใจในตัวเอง
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะ  เอื้อมมือไปจับปลายคางมน  กล่าวว่า
“เหลียนอันสุ่ย ท่านไม่เคยมองตัวเองเวลาอยู่บนเตียงเลยใช่หรือไม่  ที่ข้าไม่อนุญาตให้ใครแตะต้องท่าน  ประการแรกเป็นเพราะว่าข้าหึงหวง  แต่ประการที่สองเป็นเพราะว่าข้าไม่ต้องการตอแยเรื่องยุ่งยาก  ไม่ว่าใครที่มีสัมพันธ์กับท่านรับรองไม่อาจลืมเลือนชั่วชีวิต”
เหลียนอันสุ่ยหน้าแดงซ่าน
“ท่านพูดเหลวไหล...”
“ข้าไม่ได้พูดเหลวไหล  ตั้งแต่ที่ข้ามีท่าน  ที่ข้าไม่ต้องการคนอื่นไม่ใช่เพราะสะกดอดกลั้น  แต่เป็นเพราะไม่ต้องการจริงๆ  ท่านเข้าใจว่าตัวเองไร้เดียงสาเหมือนตอนที่เราเจอกันครั้งแรกจริงๆหรือ”
คำพูดของฉีเซี่ยงหยวนยิ่งมายิ่งสุดจะทนทานรับฟัง  เหลียนอันสุ่ยอายจนแทบจะแทรกเข้าไปในผืนพรม  คิดก้าวหลบออกไป  แต่ใครบางคนกลับลุกจากโต๊ะทำงานมารวบตัวเขาไว้จากทางด้านหลัง
“ความจริงแล้ว  ตอนนั้นข้าก็ว่าท่านมีเสน่ห์ดี  ข้าชอบเวลาตัวเองค่อยๆสอนท่าน...”
“ฉีเซี่ยงหยวน!” เรียกทั้งชื่อและแซ่  เห็นได้ชัดว่าเหลียนอันสุ่ยทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว
ฉีเซี่ยงหยวนมองใบหูที่แดงก่ำ  หัวเราะออกมาอีกครั้ง
---------------------

ออฟไลน์ MeepadA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1069
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
เขินจริงวุ๊ย  :o8:

ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3959
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
พระเอกเราได้ใจเจ๊มากค่ะ 5555

ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
เป็นสำนวนจีนที่คุ้นเคย เพียงแต่ว่าจะชินกับเนื้อเรื่องแนวยุทธจักร รบราฆ่าฟันมากกว่า
เลยเวลาที่ผู้เขียนไม่ได้เจาะจงมากในฉากสงคราม การฆ่า การประหารชีวิต ซดยาพิษ ฉากโหดร้ายทั้งหลายแหล่
ทำให้รู้สึกไม่สะใจ ไปๆ มาๆ อ่านจนทัน ก็เลยคิดได้ เรากำลังอ่านโรแมนซ์-ดราม่า นี่น่า

งั้นก็ขอให้ตอนจบ จบแบบสมหวัง ครองคู่ เลยละกัน ^^
++ ka :L2:

ออฟไลน์ ijuney

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
สนุกมากอะ ต่อๆอีกนะ
ตอนเศร้า นี้เราร้องน้ำตาแตกเลย

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 64
«ตอบ #188 เมื่อ09-11-2014 17:26:20 »

บทที่ 64 ปฏิรูป(1)

เป็นเวลาเกือบสองปีกว่าตู้ฮูหยินจะยอมรามือจากเรื่องอัครชายาและทายาท  เหลียนอันสุ่ยแม้ไม่สามารถให้ความร่วมมือโดยเปิดเผย  แต่กลับไม่เคยขัดขวางมาก่อน  ส่วนฉีเซี่ยงหยวนแม้ทราบดีว่าคนทั้งคู่ต่างหวังดีต่อเขา  แต่กลับไม่เคยให้ความร่วมมือเดินไปในหนทางที่ผู้อื่นจัดแจงให้แก่เขามาก่อน  ระหว่างที่วันเวลาผ่านไปเช่นนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย  นอกจากปัญหาน้อยใหญ่ที่ไม่เคยหมดสิ้นยังมีความรู้สึกผิดหนึ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของฉีเซี่ยงหยวน

“ข้าขอโทษที่ไม่อาจ...ให้ฐานะใดแก่ท่านได้” มิใช่ ‘ไม่สามารถ’  แต่เป็น ‘ไม่อาจ’  ดวงตาคมมองคนที่อยู่เคียงข้างเขาแต่ไม่เคยเรียกร้องอะไรจากเขาอย่างเสียใจ
เหลียนอันสุ่ยที่นั่งชมจันทร์เป็นเพื่อนอีกฝ่ายผินหน้ามา  กล่าวอย่างจริงจังว่า
“เซี่ยงหยวน  ข้าไม่ต้องการ” เพราะข้าเองก็ไม่อาจ...ยืนเคียงข้างท่านในที่สว่างได้  เกียรติของแคว้นเหลียนข้าไม่มีสิทธิ์เอามันมาเหยียบย่ำ
มือใหญ่คว้าข้อมืออีกฝ่ายไว้
“แต่ข้าสมควรให้ท่าน  ไม่อย่างนั้นเรื่องระหว่างเราจะต้องอยู่แค่ในเงามืดตลอดไป  และท่านเองก็จะถูกดูถูก...”
“ฐานะนั้นให้อะไรข้าได้บ้าง  ทำให้ข้าสามารถยืนเคียงข้างท่านได้นานขึ้นหรือ...น่ากลัวจะมิใช่  ทำให้ข้ามีความสุขมากขึ้นหรือ...ก็น่ากลัวจะมิใช่อีก  ทำให้ท่านรักข้ามากขึ้นหรือ...นี่ก็ไม่ใช่เช่นกัน  ฐานะนั้นนำมาแต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่า  ปัญหาที่ยุ่งยากยิ่งกว่า  ข้ารู้ว่าเหตุใดท่านจึง ‘ไม่อาจ’  และข้าก็อยากให้ท่านรู้ว่าข้าเองก็ ‘ไม่อาจ’ และไม่ถือสาด้วย  ต้าอ๋อง ฐานะเป็นแค่เปลือกนอกที่เอาไว้ให้คนมอง  ที่ผู้คนต้องการมันเพราะมันทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขามั่นคงมากขึ้น  แต่สำหรับพวกเราข้าไม่เคยรู้สึกว่ามันจำเป็น  เพราะข้าไม่กลัวเลย  ไม่ว่าจะเกิดอะไรหลังจากนี้ก็ไม่กลัวทั้งนั้น”

มือใหญ่ที่กำรอบมือเรียวกระชับแน่นเข้า  ความรู้สึกหลากหลายรัดพันหัวใจฉีเซี่ยงหยวนจนพูดไม่ออก  สุดท้ายเค้นออกมาเป็นน้ำเสียงแหบพร่าว่า
“...ข้าจะรักท่านตลอดไป  ไม่มีวันทิ้งขว้างท่าน”
เหลียนอันสุ่ยกลับแย้มยิ้มบางๆ กล่าวอย่างจริงจังว่า
“ตลอดไปยาวนานเกินไป  ข้าไม่ต้องการคำว่าตลอดไป  ข้าแค่หวังให้ชั่วขณะนี้ท่านรักข้า”
“...ข้ารักท่าน” ใต้แสงจันทร์สีเงินยวง  บุรุษผู้หนึ่งเอ่ยคำที่อยู่ในหัวใจเขาซ้ำอีกครั้ง
ใต้ฐานะที่เป็นเพียงเปลือกนอก  ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองเป็นเช่นไร  ข้าและท่านทราบกระจ่างแก่ใจก็เพียงพอ
---------------------
ในปัญหาน้อยใหญ่เหล่านั้นพอจะมีปัญหาที่นับว่าโดดเด่นมากอยู่ปัญหาหนึ่ง

เวลาบ่ายแดดจัดจ้า  เหล่าขุนนางที่ทยอยเดินออกมาจากท้องพระโรงพากันเอามือป้องนัยน์ตาขณะก้าวลงบันได
วันนี้ในที่ประชุมต้าอ๋องมีดำริจะ ‘ส่งเสริมการเพาะปลูก’ เพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนอาหารในหน้าแล้ง นอกจากเน้นพัฒนาวิธีการเกษตรแล้ว ผู้หักร้างถางพงเพื่ออยู่อาศัยจะได้รับการประทานที่ดิน ผู้ผลิตข้าวและผ้าทอให้ราชสำนักได้มากจะได้รับการยกเว้นภาษี  แรงจูงใจใหญ่หลวงไม่น้อย  เห็นได้ชัดว่าต้าอ๋องต้องการจะเพิ่มผลผลิตในคลังเสบียง 

บรรดาขุนนางใหญ่ไม่ได้ให้ความสนใจภาษีเล็กน้อยที่จะงดเว้นเหล่านั้น  และยิ่งไม่ได้สนใจที่ดินในเขตห่างไกล  พวกเขาเพียงสนใจว่านโยบายนี้ใช่มีนัยยะแอบแฝงหรือไม่  เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในการเดินทัพ...คือเสบียง

ขณะพวกเขายังรอดูท่าทีเดาไปเดามา นโยบายนี้ก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก  เวลาเพียงไม่กี่เดือนคลังเสบียงก็บรรจุเพียบไปด้วยข้าว  อาณาเขตทางเหนือและตะวันออกของแคว้นเป่ยชางแผ่ขยายออกไป
---------------------
“มีคนบอกว่าท่านจะทำศึก ? ”เหลียนอันสุ่ยถามคำถามนี้ขึ้นมาในเย็นวันหนึ่ง 
ฉีเซี่ยงหยวนที่นั่งร่างความคิดของตัวเองอยู่บนโต๊ะเงยหน้าขึ้นมาอย่างแปลกใจ  นานๆครั้งเหลียนอันสุ่ยจะถามเกี่ยวกับสิ่งที่เขากำลังทำอยู่
“ทำศึก?  เวลานี้อำนาจในแคว้นเป่ยชางยังไม่ลงตัวดีจะรีบร้อนทำศึกไปเพื่ออะไร  เหลียนอันสุ่ย  ท่านวางใจเถอะ  ข้ายังไม่คิดก่อสงครามในเร็วๆนี้”
ได้คำมั่นจากปากฉีเซี่ยงหยวนคนฟังค่อยผ่อนลมหายใจออกมาอย่างวางใจ  ยิ้มบางๆกล่าวว่า
“ข้าแค่ไม่คิดว่าท่านจะให้ความสำคัญกับการเพาะปลูกจริงๆ  ข้าคิดว่าท่านจะชอบเรื่องพวกกองทัพซะอีก” ถึงแม้เหลียนอันสุ่ยจะเคยเห็นกับตาว่าฉีเซี่ยงหยวนให้ความสนใจเกี่ยวกับการเก็บกักน้ำของแคว้นเหลียน  แต่มองอย่างไรพระมาตุลาแคว้นเหลียนก็ยังมีความรู้สึกว่ามันไม่ค่อยเข้ากันอยู่บ้าง

ฉีเซี่ยงหยวนฟังแล้วหัวเราะ  วางพู่กันในมือลง  เล่าสาเหตุให้ฟังว่า
“ข้าแค่เข้าใจความรู้สึกของคนที่ไม่มีข้าวกินเท่านั้น  ตอนปราบพิชิตทางเหนือมีอยู่ครั้งหนึ่งถลำลึกเข้าไปในแดนศัตรู  เส้นทางลำเลียงเสบียงล้วนถูกตัดขาด  ไม่มีกินกันทั้งกองทัพ  ข้ายังจำได้ดีว่าความรู้สึกหิวโหยพอจะกินเนื้อคนมีสภาพเป็นเช่นไร  อากาศหนาวมาก  มองไปทางไหนมีแต่หิมะ  ข้าถึงกับมีความคิดเหลวไหลว่าหากหิมะกลายเป็นข้าวได้ก็คงจะดีไม่น้อย  โชคดีที่พี่ใหญ่มาถึงทันก่อนทั้งหมดจะยืนหยัดต่อไปไม่ไหว  ชนเผ่าทางเหนือชอบเล่นแบบนี้  สภาพแวดล้อมของพวกเขาอันตรายมากพออยู่แล้ว เพียงพอจะทำให้ชนะได้โดยไม่จำเป็นต้องรบให้เหนื่อยเท่าไหร่เลย”
“...แต่สุดท้ายท่านก็ชนะพวกเขา”
“ใช่  สุดท้ายข้าชนะพวกเขา”   
---------------------
นโยบายช่วงแรกประสบความสำเร็จอย่างงดงาม  แต่กองทัพไม่ได้มีความเคลื่อนไหวอะไร  ต้าอ๋องดำริจะดำเนินการต่อไปและเพิ่มการส่งเสริมให้มากขึ้น  โดยจัดสรรที่ดินทำกินให้เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะบุคคล  นั่นคือให้ราษฎรสามารถถือครองที่ดิน  นโยบายขั้นที่สองนี้เองที่ก่อให้เกิดกระแสปั่นป่วนไปขึ้นในราชสำนัก

เมฆขาวลอยเอื่อยอยู่บนฟ้า  ใต้เท้าสามคนมีกำหนดนัดเดินหมาก  ใต้เท้าต้วนนั่งฟังใต้เท้าเฝิงกับใต้เท้าอู่ถกกันไปมา  นิ้วมือไล้ขอบถ้วยชา  สายตามองหมากบนกระดานอย่างครุ่นคิด  พวกเขาทั้งสามต่างเป็นขุนนางใหญ่แห่งราชสำนัก  ติดตามรับใช้มาตั้งแต่รัชกาลก่อน  ขอบเขตอิทธิพลไม่จำเป็นต้องพูดถึง

“ต้าอ๋องจะให้พวกเราส่งรายการที่ดินที่ถือครอง  คิดจะทำอะไรกันแน่  ร้อยวันพันปีราชสำนักไม่เคยสนใจตรวจสอบเรื่องพวกนี้  เหตุใดครั้งนี้จึงดูเป็นจริงเป็นจังยิ่ง” ใต้เท้าเฝิงกล่าวพลางขมวดคิ้วแนบแน่น
“ต้าอ๋องจะจัดสรรที่ดินทำกินให้ราษฎร  ก็ต้องรู้ก่อนว่าที่ตรงไหนเป็นของใคร  ไม่เช่นนั้นจะเกิดความผิดพลาดได้”
“เฒ่าชราแซ่อู่นี่ท่านเชื่อจริงๆหรือหรือว่าต้าอ๋องคนนี้จะทำอะไรตรงไปตรงมาแบบนั้น” ใต้เท้าเฝิงเอ่ยค้านน้ำเสียงไม่วางใจ
คนถูกเรียกเป็นเฒ่าชราหัวเราะ  ไม่ได้ยอมรับหรือกล่าวปฏิเสธ  แค่วางหมากลงไป
ต้วนจื้อผิงที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยช้าๆว่า
“ท่านมีความเห็นอย่างไรกันแน่  พูดตามตรงข้าไม่ค่อยจะวางใจนัก  ต้าอ๋องไม่เชี่ยวชาญบริหาร  แต่ขุนนางใต้บัญชาเขามีหลายคนที่มองข้ามไม่ได้  ไม่รู้คราวนี้จะมาไม้ไหนอีก” กล่าวจบก็วางหมากเพราะวนมาถึงตาของเขา
อู่เส้าเทียนหัวเราะอีกครั้ง  ทวนคำ
“ไม่เชี่ยวชาญบริหาร ?  หรือท่านไม่เคยได้ยินคำว่าปราดเปรื่องทั้งบุ๋นบู๊”
ผู้ดำรงตำแหน่งประมุขตระกูลต้วนแจกแจงอย่างจริงจัง
“ต้าอ๋องเพิ่งกุมอำนาจได้ไม่นาน  ไม่ว่าอย่างไรก็ถือว่าอ่อนประสบการณ์ในการบริหารบ้านเมือง  จึงเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องง่าย  มองความยุ่งยากของปัญหาไม่ออก”
ใต้เท้าเฝิงฟังแล้วผงกศีรษะเห็นพ้อง  แต่อู่เส้าเทียนกลับแย้งว่า
“ข้าไม่คิดเช่นนั้น  พวกท่านไม่รู้สึกหรือว่านโยบายส่งเสริมการเพาะปลูกเป็นแค่ฉากบังหน้า  สิ่งที่ต้าอ๋องตั้งใจจะทำจริงๆคือปฏิรูปที่ดินต่างหาก” …!

เงียบกันไปช่วงใหญ่  ใต้เท้าเฝิงก็แค่นหัวร่อ  กล่าวว่า
“เฮอะ  ปฏิรูปที่ดินอันใด  คิดการใหญ่โตไปหน่อยกระมัง  หากขุนนางทั้งราชสำนักต่างพร้อมใจกันไม่ส่งรายงานการถือครองที่ดิน  ต้าอ๋องยังจะทำอย่างไรพวกเราได้  หรือจะประหารให้หมดราชสำนัก?”
---------------------
ตอนจางจื่อหยูได้ยินนโยบายขั้นที่สองคราแรกก็ยังพยักหน้าคล้อยตาม  แต่เมื่อใคร่ครวญอย่างละเอียดขุนนางชราผู้นี้ก็นั่งไม่ติดที่  แล่นมาขอเข้าเฝ้าเป็นการด่วนถึงตำหนักเยี่ยอวิ๋น

“ต้าอ๋อง  นี่ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่  จะส่งเสริมการเกษตรไม่เห็นต้องสำรวจการถือครองที่ดินเลย  ทำแบบนี้ผลกระทบมันจะไม่ใช่น้อยๆ  ต้องมีขุนนางบางคนไม่ยอมอยู่เฉยแน่”
“ใต้เท้าจาง  เวลาเพาะปลูกมิใช่กระทำกันบนดินหรอกหรือ  ที่ดินยังไม่มีแล้วจะให้ราษฎรหว่านไถจากอะไร  ดังนั้นต้องตั้งต้นจัดการจากที่ดินก่อนจึงสามารถพัฒนาการเพาะปลูก”
“ต้าอ๋อง  สภาพอำนาจในแคว้นเป็นอย่างไร  ท่านสมควรทราบกระจ่างกว่าข้า  องค์ชายห้าแม้ไม่อยู่ในเมืองหลวง  แต่อิทธิพลของอดีตเป่ยชางอ๋องยังไม่หมดไป  ขุนนางในราชสำนักมีไม่น้อยที่ไม่ได้ยืนอยู่ฝ่ายเรา  ท่านยิ่งมีนโยบายแบบนี้ออกมา  พวกเขายิ่งหาพรรคพวกได้ง่ายขึ้น”
“เรื่องแบบนี้ไม่ว่าดำเนินการช่วงไหนก็ต้องเผชิญหน้ากับการคัดค้านทั้งสิ้น  ตอนนี้นโยบายช่วงแรกกำลังประสบความสำเร็จ  คิดสานต่อไม่มีจังหวะใดเหมาะสมไปกว่าตอนนี้อีกแล้ว” เสียงของหลี่กวงเว่ยปรากฏพร้อมเจ้าตัวที่เดินหอบม้วนตำราเข้ามา
จางจื่อหยูยังคงยืนยันว่านี่มิใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม  สมควรรอคอยอีกสองสามปีให้บ้านเมืองมั่นคงกว่านี้จึงค่อยดำเนินการ  หากไม่ว่าพูดอย่างไรนายเหนือหัวกลับไม่คิดจะเปลี่ยนใจ  ก่อนจากไปจางจื่อหยูจึงกล่าวว่า
“ต้าอ๋อง  ตอนนี้สถานการณ์ยังสงบเพราะเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น  หากท่านคิดดำเนินการต่อไป  สมควรเตรียมวิธีรับมือการคัดค้านเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ  เพราะมันจะเกิดขึ้นแน่นอน”

เงาหลังผอมสูงลับหายไป  ฉีเซี่ยงหยวนก็มีรอยยิ้มที่มุมปาก  กล่าวว่า
“ความจริงจางจื่อหยูก็พูดถูกไม่น้อย  นี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น”
หลี่กวงเว่ยที่ยืนอยู่เบื้องหลังร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีดำคุกเข่าลงกับพื้น  เสียงโขกศีรษะทำให้ฉีเซี่ยงหยวนหันกลับมา
“เจ้าโขกศีรษะให้ข้าทำไม”
“สัจจะวาจาของต้าอ๋อง  หลี่กวงเว่ยเลื่อมใสยิ่งนัก  ยินดีเป็นวัวเป็นม้าติดตามรับใช้ท่านไปจนวันตาย”
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะ
“วัวกับม้าข้ามีเยอะแล้ว  ข้าต้องการสมองของเจ้า  และข้าก็ไม่ต้องการความตายของเจ้า  ข้าต้องการความสำเร็จของเจ้า  ไม่ต้องโขกศีรษะให้ข้า  ข้าแค่ทำตามข้อตกลงที่ข้าเคยให้ไว้  เจ้ารู้ว่าข้าอยากเปลี่ยนอะไร  และข้าจะต้องทำให้ได้  แคว้นเป่ยชางมีโฉมหน้าแบบนี้มานานเกินไปแล้ว  หากยังไม่ปรับเปลี่ยนจะไม่มีวันก้าวล้ำกว่าแคว้นหนานเหมินได้เลย”
แววตาของฉีเซี่ยงหยวนเย็นจัดและแน่วแน่  ดุจเดียวกับวันที่พวกเขามีข้อตกลงระหว่างกัน  วันเดียวกับที่หลี่กวงเว่ยตัดสินใจรับใช้นายเหนือหัวผู้นี้

หากความใฝ่ฝันชั่วชีวิตของฝงเป่าคือการเป็นให้ได้อย่างเทพสงครามหยงเซี่ย  ความใฝ่ฝันชั่วชีวิตของหลี่กวงเว่ยก็คือการปฏิรูปแคว้นเป่ยชาง  นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เขามาหาฉีเซี่ยงหยวนด้วยตัวเอง  และเป็นข้อตกลงระหว่างพวกเขานายบ่าว  เป้าหมายของพวกเขาสอดคล้องกัน

คนบางคนรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าในตอนที่ใช้ความสามารถของเขาเพื่อแผ่นดินที่เขาเกิด...หลี่กวงเว่ยเป็นคนประเภทนี้
---------------------
ในราชสำนักเรื่องการจัดสรรที่ดินถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง  กระแสต่อต้านเริ่มมีมากขึ้นเมื่อขุนนางใหญ่ๆต่างไม่ให้ความร่วมมือ 
ขุนนางที่มั่งคั่งเก้าในสิบส่วนล้วนเคยโกงกิน  ที่ดินไม่รู้กี่แปลงต่อกี่แปลงได้มาโดยมิชอบ  หากมีการจดบันทึกขึ้นมาจริงๆภาษีที่ต้องจ่ายย่อมต้องมหาศาลยิ่ง  อีกอย่างการที่ต้าอ๋องจัดสรรที่ดินให้ราษฎรเช่นนี้รายได้จากการให้เช่าที่นาของพวกเขาใยมิใช่หลุดลอยหายไปเปล่าๆ
ฉีเซี่ยงหยวนเดือดดาลจัดเมื่อพบว่าแค่แบ่งแปลงที่ดินให้ชัดเจนยังมีคนก่อกวนขัดขวาง  ขุนนางใหญ่ไม่ส่งรายงาน  ขุนนางเล็กๆล้วนถูกกดดันจนไม่กล้าส่งไปด้วย  กับเรื่องพวกนี้ล่ะพร้อมใจสามัคคีกันดีเหลือเกิน

“เห็นแก่ตัวกันจนเป็นนิสัย  เอารัดเอาเปรียบผู้อื่นมานานถึงเพียงนี้ก็ยังหวังจะใช้วิธีเดิมๆมาเอารัดเอาเปรียบต่อไป  พวกมันให้คนเช่าที่นาจ่ายค่าเช่าเป็นผลผลิตคิดว่าข้าไม่รู้หรือ  เช่นนี้เท่ากับว่าภาษีที่ต้องส่งเป็นข้าวพวกมันนั่งๆนอนๆก็มีคนเก็บเกี่ยวหว่านไถให้  ส่วนราษฎรก็เหมือนต้องจ่ายภาษีสองชั้น  ส่วนหนึ่งจ่ายให้ขุนนางเจ้าของที่ดิน  อีกส่วนจ่ายให้ราชสำนัก  แล้วเช่นนี้จะไม่ยากจนจนต้องขายตัวเป็นข้าทาสได้อย่างไร!”

หลี่กวงเว่ยเหลือบตามองนายเหนือหัว  จากนั้นก็เลื่อนสายตาไปมองตั้งรายงานที่มีอยู่ไม่กี่ฉบับอย่างหนักใจ  ใต้เท้าพวกนั้นเข้าใจว่ายืดเย้อเข้าไว้ก็สามารถหลบรอดได้หรือ  ถ้าคิดเช่นนั้นก็ออกจะตื้นเขินเกินไปแล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ใช่องค์ชายห้าที่แทบไม่เคยย่างเท้าออกจากเมืองหลวง  ก่อนดำรงตำแหน่งเป่ยชางอ๋องการที่องค์ชายสี่ฉีเซี่ยงหยวนไม่อยู่ในเมืองหลวงถือเป็นเรื่องปกติอย่างหนึ่ง
ในช่วงเวลาที่ใช้ไปกับกองทัพไม่ว่าเหนือใต้ออกตกของแคว้นเป่ยชางฉีเซี่ยงหยวนล้วนเคยได้ไปเหยียบไปเห็นมา  สภาพความเป็นอยู่แท้จริงเป็นอย่างไรในองค์ชายทั้งหมดฉีเซี่ยงหยวนคือคนที่ทราบดีที่สุด  เพราะเขาคือคนที่ได้รับการประคบประหงมในฐานะองค์ชายน้อยที่สุด
---------------------
ในท้องพระโรง
ใต้เท้าเฝิงประสานมือกราบทูล
“ทูลต้าอ๋อง  เรื่องจัดสรรที่ดินทำกิน  กระหม่อมมีความเห็นว่าแทนที่จะให้ราชสำนักต้องลงไปยุ่งวุ่นวาย  มิสู้ให้เจ้าเมืองจัดสรรกันเองในเขตรับผิดชอบจะสามารถทำได้ง่ายกว่า  และไม่จำเป็นต้องจัดทำรายงานการถือครองที่ดินที่กระทำได้ยากและจะทำให้นโยบายประสบความล่าช้าด้วย”
ในใจของฉีเซี่ยงหยวนมีรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม  เจ้าเมืองจัดสรรกันเองในเขตรับผิดชอบมิใช่เอื้อประโยชน์ต่อพวกท่านหรือไร  มีเจ้าเมืองกี่คนที่ไม่ใช่คนของขุนนางเหล่านี้  ทีนี้ยิ่งโกงกินง่ายดาย  รายการที่ดินก็ปัดไม่ต้องส่ง

“ในแคว้นเป่ยชางที่ดินแบ่งแปลงไม่ชัดเจน  ความจริงสมควรจัดระเบียบนานแล้ว  นี่เป็นปัญหาใหญ่  การริเริ่มจึงควรเริ่มจากให้ราชสำนักเป็นผู้ดำเนินการ  ในความเห็นกระหม่อมนโยบายนี้นอกจากเพื่อการเกษตร  ยังทำให้การถือครองที่ดินมีแบบแผนมากขึ้น  ดังนั้นรายงายฉบับนี้ไม่จัดทำไม่ได้  ส่วนความล่าช้ากระหม่อมคิดว่าอยู่ที่ความทุ่มเททำงาน  หากเหล่าขุนนางในราชสำนักล้วนให้ความร่วมมือจะต้องสำเร็จลุล่วงในเวลาไม่นาน”
วาจาของหลี่กวงเว่ยส่งผลให้สายตานับสิบคู่หันไปจับจ้อง  ใต้เท้าใหญ่แต่ละคนหรี่ตาลง  ขุนนางเล็กๆผู้นี้คิดว่าต้าอ๋องหนุนหลังก็สามารถวางตัวเป็นปฏิปักษ์กับพวกเขาอย่างนั้นหรือ

“ถ้าเป็นเช่นนั้น  แล้วเหตุใดข้าถึงเห็นรายงานการถือครองที่ดินส่งขึ้นมาแค่ไม่กี่ฉบับ  หมายความว่าพวกท่านล้วนไม่ให้ความร่วมมือใช่หรือไม่  หรือยึดถือบัญชาข้าเป็นแค่ลมพัดผ่านหูที่พวกท่านจะไม่ปฏิบัติตามก็ได้!” คำพูดนี้ของฉีเซี่ยงหยวนทำให้เหล่าขุนนางต่างรีบร้อนคุกเข่าลงกับพื้น
ต้วนจื้อผิงประสานมือกล่าวว่า
“ต้าอ๋องโปรดระงับโทสะ  พวกกระหม่อมไม่ได้มีเจตนาไม่ให้ความร่วมมือ  แต่เพราะรายการที่ดินไม่เคยมีผู้จัดทำมาก่อนจึงต้องใช้เวลา  พวกกระหม่อมยังคงคิดว่าการให้เจ้าเมืองเป็นผู้จัดการเป็นวิธีการที่ได้ผลมากกว่า  ขอต้าอ๋องทรงพิจารณาด้วย”
“ขอต้าอ๋องทรงพิจารณาด้วย” คำประสานเสียงดังออกมาจากปากขุนนางถึงหนึ่งในสาม ฉีเซี่ยงหยวนฟังแล้วหรี่ตาลง  คิดไว้ไม่ผิด  พรรคพวกของขุนนางเก่าพวกนี้มีไม่น้อยเลยจริงๆ

“แคว้นเป่ยชางเป็นแผ่นดินของข้า  ข้าไม่ควรมีสิทธิ์รู้หรือว่าตัวเองมีแผ่นดินที่ปกครองอยู่เท่าไหร่  ตอนนี้แคว้นเป่ยชางขยายออกไปไม่น้อย  หากไม่จดบันทึกแจกแจงให้ชัดเจนมีหรือจะไม่เกิดความสับสน  การที่ข้าคิดทำรายการการถือครองที่ดินก็เพื่อให้พวกท่านแต่ละคนสามารถเป็นเจ้าของที่ดินในมือโดยลายลักษณ์อักษร  ไม่เกิดการซ้อนทับอันจะนำมาซึ่งปัญหา  ที่สำคัญคือการทำเช่นนี้เป็นการวางรากฐานให้แคว้นเป่ยชาง  ไม่ว่าหนานเหมินหรือโหยวเฉิงล้วนมีการจัดการเรื่องแปลงที่ดินทั้งนั้น  หากพวกเรายังชักช้าล้าหลังก็ต้องถูกพวกเขาดูถูกต่อไป  หรือพวกท่านเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่รับได้”

ท้องพระโรงเงียบกริบ

“ใต้เท้าเฝิงบอกว่าการทำรายการถือครองที่ดินเป็นเรื่องยาก  ส่วนใต้เท้าต้วนบอกว่าเพราะพวกท่านไม่เคยจัดทำมาก่อนจึงเกิดความล่าช้า เช่นนี้เถอะ  ข้าจะตั้งหน่วยงานขึ้นมาหน่วยหนึ่งเพื่อให้ความช่วยเหลือในการจัดทำรายการให้เป็นแบบแผนเดียวกัน  ใต้เท้าคนไหนคิดว่าอาศัยความสามารถตัวเองคงไม่อาจส่งรายงานตามเวลาก็สามารถให้ราชสำนักช่วยจัดทำได้”
เมื่อฉีเซี่ยงหยวนเล่นแบบนี้  บรรดาใต้เท้าที่ที่ดินมหาศาลต่างเร่งจัดการมือเป็นระวิงด้วยไม่ต้องการให้ราชสำนักสอดมือเข้ามา ‘ช่วยเหลือ’ จัดการให้ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการควบคุมดูแล

รายการถือครองที่ดินแต่ละฉบับส่งครบถ้วนทันเวลา  กองเป็นตั้งสูงในหน่วยงานจัดสรรที่ดินที่ตั้งขึ้นหมาดๆ  ทว่าเมื่อตรวจสอบดูรายงานพวกนั้นกลับมีไม่ถึงครึ่งที่ตรงตามความเป็นจริง

ฉีเซี่ยงหยวนจึงตัดสินใจคัดเลือกคนส่วนหนึ่งจากหน่วยงานดังกล่าว  แต่งตั้งหลี่กวงเว่ยเป็นผู้ควบคุมดูแล  มอบอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบบันทึกแปลงที่ดินให้ตรงกับที่มีอยู่จริง หากพบว่ามีรายการเท็จให้ปรับตามขนาดผืนที่ดิน  ศักดิ์ศรีเสมอกรมตรวจการ

ครั้งนี้ฉีเซี่ยงหยวนเปิดฉากทำสงครามยืดเย้อกับเหล่าขุนนางของตัวเอง  แผนการสารพัดต่างทุ่มเทออกมาใช้  ฝ่ายหนึ่งพยายามหลีกเลี่ยง  อีกฝ่ายพยายามกระทำให้สำเร็จ  งัดข้อกันครั้งแล้วครั้งเล่า
---------------------
สภาพดังกล่าวทำให้ในที่สุดหานญื่อหลัวต้องเอ่ยปากกับเหลียนอันสุ่ยว่า
“ท่านสมควรเตือนเขา  เขากำลังเล่นกับเรื่องที่อันตรายมาก  และข้าไม่คิดว่ามันจะจบแค่นี้”
“ท่านบอกว่าวันนี้ในท้องพระโรงมีเสียงคัดค้านอีกแล้ว”
“ครั้งนี้ไม่ใช่แค่คัดค้านธรรมดา  แต่ถึงกับดื้อแพ่งไม่ยอมจ่ายค่าปรับตามจำนวน  ข้ากลัวว่าต้าอ๋องจะใช้ไม้แข็ง  เรื่องจะยิ่งไปกันใหญ่”
หลายวันมานี้ฉีเซี่ยงหยวนนอนนับชั่วยามได้  เมื่อมีเวลาว่างต้องเรียกประชุมขุนนางเพื่อร่างแผนการรับมือ  ความตึงเครียดจริงจัง เหลียนอันสุ่ยรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน  ความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าของเขาเหลียนอันสุ่ยทราบกระจ่างกว่าผู้ใด
“ขอบคุณที่บอกเรื่องนี้กับข้า”
หานญื่อหลัวจับจ้องมองอีกฝ่ายอย่างจริงจังพลางถามว่า
“เหตุใดท่านมักถามเรื่องพวกนี้กับข้า  ความจริงคนข้างกายท่านคนนั้นต่างหากที่ทราบสถานการณ์ดีที่สุด  ท่านไม่กลัวเขาถือสาที่ท่านถามข้าแต่ไม่ถามเขาหรือ”
“ปกติชีวิตเขาครึ่งหนึ่งก็จมอยู่ในเรื่องของบ้านเมืองอยู่แล้ว  ข้าไม่อยากให้ช่วงเวลาที่เขาอยู่กับข้าต้องคิดถึงเรื่องน่าปวดหัวพวกนั้นอีก  อีกอย่างการสนทนายากจะหลีกเลี่ยงการออกความเห็น  และยากจะหลีกเลี่ยงการทะเลาะ  ข้าไม่อยากทะเลาะกับเขาเพราะความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องพวกนี้”

“เหลียนอันสุ่ย  ข้าขอพูดตามตรง  ท่านเป็นคนฉลาด  ความจริงต้าอ๋องต้องการความเห็นของท่าน”
“คุณชายหาน  บางครั้งการไม่ออกความเห็นเป็นสิ่งที่ฉลาดกว่า  อย่างน้อยด้วยสถานะของข้าก็ไม่ควรออกความเห็น” เหลียนอันสุ่ยมีกรอบการวางตัวของเขาชัดเจน  ตั้งใจแน่วแน่จะไม่ก้าวก่ายการเมือง
“ท่านอาจกลัวคำครหา  แต่นั่นจะทำให้ความสามารถของท่านสูญเปล่า”
“การรู้จักบทบาทของตัวเองไม่ได้ทำให้ความสามารถของใครสูญเปล่า  ข้าจะทำแบบที่ท่านว่าถ้าข้าเป็นขุนนางของเขา  แต่ข้าไม่ใช่  ข้าเป็นคนรักของเขา  ที่ข้าควรทำคือรักเขาและไม่ให้ความรักของข้าทำลายเขา”
---------------------
เย็นวันนั้นกว่าฉีเซี่ยงหยวนจะสามารถปลีกตัวกลับมาที่ตำหนักเสียงวสันต์ได้ก็เป็นเวลาดึกมาก  ก่อนหน้านี้จึงได้ส่งคนมาบอกให้เหลียนอันสุ่ยเข้านอนโดยไม่ต้องรอเขา  ทว่าเมื่อมาถึงกลับพบคนผู้หนึ่งงีบหลับอยู่บนเก้าอี้  คาดว่าพระมาตุลาแคว้นเหลียนผู้นี้รอคอยเขานานจนตัวเองเผลอหลับไป

สีหน้าเคร่งเครียดของฉีเซี่ยงหยวนอ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัว  ความรู้สึกที่เขาไม่คุ้นเคยเอ่อล้นขึ้นมาในหัวใจ  มันคล้ายกับเป็นความอบอุ่นและความตื้นตัน  รสชาติของการมีคนห่วงใย  และรสชาติของการมีคนที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็รอคอยท่าน  ที่แท้พิเศษถึงเพียงนี้
เหลียนอันสุ่ยงัวเงียตื่นขึ้นมาตอนที่ฉีเซี่ยงหยวนกำลังวางเขาลงบนเตียง
“เหตุใดวันนี้ท่านมาดึกยิ่ง”
ฉีเซี่ยงหยวนไม่ตอบแต่กลับถามว่า
“ข้าบอกให้ท่านเข้านอนไปก่อนเลยมิใช่หรือ”
“ข้าไม่ค่อยง่วงเท่าไหร่เลยคิดจะรอท่าน”
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะเบาๆ พึมพำว่า
“อ้อ  ไม่ค่อยง่วงเท่าไหร่เลยงีบหลับรอข้านี่เอง” เสียงพึมพำไม่เบาเลย  เหลียนอันสุ่ยรับฟังจนกระอักกระอ่วนที่ข้ออ้างดูไม่ค่อยแนบเนียน
ฉีเซี่ยงหยวนซุกใบหน้าลงกับเรือนกายสูงโปร่งในอ้อมกอด  ตักตวงมุมอ่อนหวานเล็กๆที่ผ่านเข้ามาในเส้นทางชีวิตหยาบกร้านของเขา  ชุดสีน้ำเงินอ่อนอันประณีตเรียบร้อยทำให้เหลียนอันสุ่ยดูราวกับผ้าไหมผืนหนึ่งที่เช็ดเอาความเหนื่อยล้าและความหงุดหงิดทั้งหมดออกไป
เหลียนอันสุ่ยจรดจมูกลงกับเรือนผมสีดำสนิท  พึมพำว่า
“ที่แท้ท่านอาบน้ำมาแล้ว” วิธีตรวจสอบเช่นนี้ออกจะพิเศษอยู่บ้างจริงๆ  ทำให้หัวใจของคนร้อนผ่าวขึ้นมา
“เหลียนอันสุ่ย  จูบข้า  ข้าอยากให้ท่านจูบข้า” คำร้องขอเอาดื้อๆของบุรุษชาวเป่ยชางทำให้เหลียนอันสุ่ยชะงักอยู่ครู่หนึ่ง  แต่ก็ค่อยๆยื่นหน้าเข้าไปจูบเบาๆที่ข้างแก้มอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน 
ฉีเซี่ยงหยวนไม่แน่ใจว่าเขาชอบท่าทางตั้งอกตั้งใจในเวลานี้  หรือท่าสัปหงกงีบหลับเมื่อครู่มากกว่ากัน  รู้แต่ว่าคนๆนี้มักทำให้เขารู้สึกถึงการได้เป็นที่รัก  และมันเติมเต็มโลกของเขา
“ดีจริงๆที่มีท่าน” พึมพำพลางถอนหายใจออกมาอย่างผ่อนคลาย

เหลียนอันสุ่ยไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่หานญื่อหลัวให้เขาเตือนฉีเซี่ยงหยวน  พอจะเดาออกว่าฉีเซี่ยงหยวนคิดจะทำอะไร  และเชื่อมั่นอย่างยิ่ง  ไม่ว่าหนทางที่ท่านเลือกจะอันตรายหรือยากลำบากแค่ไหน  ข้าจะอยู่เคียงข้างท่าน  ก้าวเดินไปกับท่าน
---------------------

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 65
«ตอบ #189 เมื่อ09-11-2014 18:10:40 »

บทที่ 65 ปฏิรูป(2)

สุดท้ายหลังยื้อยุดกันอยู่นาน  การจัดระเบียบที่ดินก็สามารถดำเนินการจนสำเร็จลุล่วง  ไม่ว่าขุนนางพวกนั้นจะดื้อด้านเพียรสกัดขัดขวางแค่ไหน  ฉีเซี่ยงหยวนก็จะทำตัวดื้อด้านกัดไม่ปล่อยยิ่งกว่า  เวลาและความยากลำบากทดสอบความอดทนแน่วแน่ของคน  สงครามประสาทที่ยืดเย้อเช่นนี้มีแต่คนที่มีความสามารถและแน่วแน่ไม่ยอมแพ้จึงสามารถเป็นผู้ชนะในขั้นสุดท้าย

การจัดระเบียบจากรากฐานมักยุ่งยากลำบากเสมอ  แต่การจัดระเบียบในครั้งนี้พลิกเปลี่ยนโฉมหน้าของแผ่นดินเป่ยชางไปตลอดกาล  เหล่าขุนนางที่เพียงเคยชินกับความเฉียบแหลมเด็ดขาดของนายเหนือหัว  ในที่สุดก็ได้รู้ซึ้งว่าต่อให้ปัญหาใหญ่เทียมฟ้าหากฉีเซี่ยงหยวนปรารถนาจะสะสางก็ต้องกระทำให้จงได้  ความมุ่งมั่นกับความอดทนของฉีเซี่ยงหยวนทำให้ขุมอำนาจเก่าหนาวเยือกกันไปทั้งแถบ  ผลดีระยะยาวยังไม่ทันปรากฏ  ผลร้ายระยะสั้นจึงแสดงตัวขึ้นก่อน

กระแสต่อต้านนายเหนือหัวถูกปลุกจนเชี่ยวกรากยิ่ง  การปฏิรูปที่ดินส่งผลใหญ่หลวงถึงระบบจัดเก็บภาษี  ที่ดินที่มีบันทึกการถือครองต้องจ่ายภาษีตามอัตรา  ที่ดินที่มีการครอบครองโดยมิชอบถูกเรียกกลับคืนเป็นของราชสำนัก  ไม่ว่าขุนนางคนไหนก็คิดไม่ถึงว่าแค่การส่งเสริมการเกษตรจะมีผลสุดท้ายกลายเป็นเช่นนี้ได้

การจัดสรรที่ดินทำกินยังส่งผลถึงระบบข้าทาส  มีคนจำนวนไม่น้อยกลายเป็นนายของตัวเอง  เพียงขึ้นกับราชสำนัก  ไม่ต้องพึ่งพิงเหล่าขุนนางเจ้าของที่ดินอีกต่อไป  ราชสำนักมั่งคั่ง  แต่ขุนนางกลับยากจนลง  เป้าหมายระบายโทสะแรกย่อมต้องเป็นหลี่กวงเว่ย

ไม่ว่าขุนนางใหญ่คนไหนต่างรู้สึกถึงภัยคุกคามของขุนนางที่ปรึกษาคนนี้   หากไม่มีคนแซ่หลี่คอยเสนอแผนการต่อนายเหนือหัวนโยบายไม่แน่ว่าล้มไปตั้งแต่แรกแล้ว  สิ่งที่อันตรายที่สุดของหลี่กวงเว่ยไม่ได้อยู่ที่ต้าอ๋องเชื่อถือเขา  และไม่ได้อยู่ที่มันสมองอันหลักแหลม  แต่อยู่ที่หลี่กวงเว่ยไม่หวั่นไหวกับสินบน  ไม่หวาดกลัวต่ออิทธิพลอำนาจ  ขนาดอู่เส้าเทียนที่คร่ำหวอดในราชสำนักมานานปียังออกปากว่า
“ที่จัดการยากที่สุด  และข้าเกลียดที่สุด  ก็คือคนที่เงินซื้อไม่ได้แบบมันนี่แหละ!”
หลี่กวงเว่ยเคยหวุดหวิดเฉียดตายอยู่สองสามครั้งในระหว่างที่พยายามดำเนินนโยบายนี้  น่าเสียดายที่เป่ยชางอ๋องปกป้องตัวหมากของตัวเองดีเกินไปหลี่กวงเว่ยจึงยังสามารถมีชีวิตอยู่เพื่อขัดหูขัดตาขัดลาภของพวกเขาต่อไป

นับเป็นโชคร้ายของอู่เส้าเทียนและพรรคพวกเนื่องจากฉีเซี่ยงหยวนยึดถือคติที่ว่า ‘หากคนที่ทำงานให้ท่านท่านล้วนปกป้องเอาไว้ไม่ได้  แล้วสุดท้ายจะเหลือผู้ใดขายชีวิตทำงานให้ท่านอีก’
หลี่กวงเว่ยมีไม้ใหญ่คุ้มครอง  เหล่าขุนนางที่รู้สึกว่าตัวเองทนเสียประโยชน์ต่อไปไม่ได้จึงเริ่มคิดอย่างจริงจังที่จะล้มต้นไม้ใหญ่เสียเลย
---------------------
“เมื่อตอนสายของวันนี้มีขุนนางคิดเข้าเฝ้าอดีตเป่ยชาวอ๋อง  แต่ต้าอ๋ององค์ก่อนอ้างสุขภาพไม่ดีปฏิเสธไม่ให้เข้าพบ” หลิวฉางเฟยรายงาน
ตำหนักของอดีตเป่ยชางอ๋องฉีเซี่ยงหยวนให้คนจับตาดูไว้อยู่ตลอด  ไม่ผิดจากที่คาด  การเสียประโยชน์ทำให้ขุนนางบางส่วนคิดหาที่พึ่งใหม่  ฉีเซี่ยงหยวนฟังคำของคนสนิทแล้วเหยียดยิ้ม
“พระบิดารู้ว่าข้าจับตาดูอยู่  ทำเช่นนี้แสดงว่าเขาไม่คิดจะเสี่ยง  อย่างน้อยตัวหมากตัวนี้ยังไม่มีค่าพอจะให้เขาเสี่ยง  บางทีเขาอาจกำลังรอคอยตัวหมากที่ใหญ่กว่านี้”
“ต้าอ๋อง  ข้าเตือนท่านแล้วว่านโยบายนี้จะทำให้สถานการณ์ยุ่งเหยิง” เสียงจางจื่อหยูแทรกเข้ามาทันที
“ใต้เท้าจาง  ดูเหมือนข้าจะลืมบอกท่านไปว่าเรื่องถัดไปที่ข้าจะทำสถานการณ์มันจะยุ่งเหยิงยิ่งกว่านี้อีก”
หา  จางจื่อหยูหันขวับ  อะไรนะ!
เห็นฉีเซี่ยงหยวนเท้าคางพูดเนิบๆว่า
“ความจริงแล้วจุดประสงค์ข้าไม่ได้ต้องการจัดระเบียบที่ดิน  แต่ข้าจะจัดระเบียบราชสำนัก”
ขุนนางชราฟังแล้วหวิดจะหน้ามืดเป็นลม  ต้องเท้าขอบโต๊ะเพื่อพยุงตัวเอง  สวรรค์ เป็นบ้ากันไปหมดแล้ว  เห็นได้ชัดว่าฉีเซี่ยงหยวนจะท้าทายขุมอำนาจเก่า  ต้องทำจนเกิดกบฏให้ได้ใช่หรือไม่!

...แต่จางจื่อหยูหลงลืมไปอย่างหนึ่ง  อำนาจเหนือกองทัพถูกฉีเซี่ยงหยวนรวบกุมไว้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด  หากขุนนางพวกนั้นคิดกบฏคงต้องใช้ความพยายามมากหน่อย
---------------------
ทว่าฉีเซี่ยงหยวนยังไม่ทันได้ลงมือจัดระเบียบราชสำนัก  ขุนนางที่ตกเป็นเป้าพวกนั้นก็ชิงลงมือก่อน  กล่าวหาว่าฉีเซี่ยงหยวนลุ่มหลงบุรุษจนเลอะเลือน  นโยบายที่ก่อความปั่นป่วนก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเพราะเหลียนอันสุ่ยเป่าหูชักจูงต้าอ๋อง  เชื้อพระวงศ์ชาวเหลียนผู้นี้เจตนาไม่ดีคิดแก้แค้นให้แคว้นเป่ยชางต้องล่มจมดุจเดียวกับแคว้นเหลียน

อำนาจในกองทัพของฉีเซี่ยงหยวนมั่นคงเกินไป  คิดทำลายเขาต้องทำลายความเชื่อมั่นที่ผู้อื่นมีต่อเขาก่อน  เหตุการณ์พลิกเป็นรูปนี้ซ้ำรอยในสิ่งที่เหลียนอันสุ่ยเคยหวาดกลัว  ความเป็นกันเองของเหลียนอันสุ่ยทำให้คนส่วนใหญ่ในโรงหมอเริ่มจะรู้สึกดีกับเขา  แต่พอเกิดปัญหานี้ทุกอย่างก็ดิ่งลงอีกครั้ง  และทำท่าว่าดิ่งลงเหวเลยทีเดียว

เนื่องจากมีเค้ามูลของความเป็นจริง  เสียงในราชสำนักจึงเริ่มคลางแคลง  นโยบายเพื่อการจัดระเบียบราชสำนักปรากฏคนไม่เห็นด้วยมากขึ้นจนไม่สามารถดำเนินการได้  ต้องเลื่อนออกไปโดยไม่มีกำหนด  ขุนนางเริ่มเรียกร้องให้ฉีเซี่ยงหยวนอภิเษกชายาเพื่อปฏิเสธข้อหาดังกล่าว  กำจัดความคลางแคลงให้หมดสิ้นไป  เสียงกดดันหนักข้อขึ้นทุกวันจนดูราวกับหากไม่อภิเษกชายาราชสำนักก็จะไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้
---------------------
สถานการณ์ย่ำแย่แค่ไหน  กระทั่งหลิวฉางเฟยที่ไม่เคยพูดอันใดตลอดมายังออกปากห้ามปรามขอให้ฉีเซี่ยงหยวนไม่พบหน้าพระมาตุลาแคว้นเหลียนเป็นการชั่วคราว  แต่ฉีเซี่ยงหยวนกลับไม่ฟังคำเตือนมาเยือนตำหนักชุนเกอเป็นการลับ
“ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่” ถามเพราะรู้ดีว่าที่เหลียนอันสุ่ยต้องเผชิญไม่มีทางน้อยกว่าเขาเด็ดขาด
“ข้าไม่เป็นไร” เหลียนอันสุ่ยตอบพลางยิ้มบางๆ
ความเงียบครอบครองอยู่หลายชั่วอึดใจ  เหลียนอันสุ่ยก็กล่าวขึ้นช้าๆว่า
“ข้าได้ยินว่าท้องพระโรงเสียงกดดันหนักหน่วงมาก  ดังนั้นช่วงนี้ท่านอย่ามาที่นี่เลย”
ฉีเซี่ยงหยวนไม่ได้รับปาก  แต่กลับกล่าวว่า
“...ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านต้องมาเผชิญกับเรื่องพวกนี้”
“คนที่เลือกจะอยู่ข้างกายท่านคือข้า  ข้าเป็นคนเลือกเอง  ดังนั้นข้าต่างหากที่ต้องขอโทษท่าน  รู้สึกเสียใจแล้วใช่หรือไม่ที่ตอนนั้นออกปากรั้งข้าไว้  หากไม่มีข้า  ท่านก็ไม่ต้องเผชิญกับปัญหาน่าปวดหัวที่แก้ไม่ได้”
“ข้าไม่เสียใจ” มือใหญ่ใช้หลังมือไล้ผิวแก้มเนียน  กล่าวซ้ำอีกครั้งว่า “ไม่เคยเสียใจ”
ได้ยินเช่นนั้นรอยยิ้มบนเรียวปากบางก็ขยายกว้างกว่าเดิม  ในสายตาอ่อนโยนเจือด้วยความห่วงใย
“หลังจากนี้...ท่านคิดทำอย่างไร”
“ข้ากำลังคิด...ว่าบางทีข้าคงต้องพักบ้าง  ข้าทำงานหนักติดต่อกันมาเป็นเวลานาน  ตอนนี้ราชสำนักพอดีอยู่ในช่วงที่ไม่สามารถเดินหน้า  ได้พักบ้างก็ดีเหมือนกัน” พึมพำพลางใช้สองมือโอบรั้งคนเข้ามาไว้ในอ้อมอก  กอดไว้แน่น 
“จนวันนี้ข้าก็ยังรู้สึกเหมือนเดิม  นั่นคือดีจริงๆที่มีท่าน”
เหลียนอันสุ่ยแนบฝ่ามือลงกับเสี้ยวหน้าคมคาย  รับรู้ถึงความเหนื่อยล้าอย่างลึกล้ำของฉีเซี่ยงหยวน  ไม่ทราบสมควรปลอบอย่างไรดี  หัวใจบีบรัดจนรู้สึกทรมาน
 
“เหลียนอันสุ่ย  ข้าทำอะไรผิดไปหรือ  ที่ข้าทำล้วนเพื่อให้แผ่นดินที่พวกเขายืนอยู่ดีกว่าที่มันเป็น  เหตุใดพวกเขาจึงไม่เคยเห็นเลย  สูบเลือดสูบเนื้อจากไม้ใหญ่ที่แท้จริงแล้วพวกเขาล้วนต้องอาศัยพึ่งพิง  เมื่อสูบไปจนหมดสิ้นแล้วแคว้นเป่ยชางจะยืนหยัดอยู่ได้อย่างไร  หากไม้ใหญ่ที่ชื่อว่าเป่ยชางต้นนี้ต้องล้มลงไปจริงๆพวกเขาจะได้ประโยชน์ใด  ข้ากำลังต่อสู้กับอะไรอยู่กันแน่  หรือที่จริงข้าควรจะปล่อยให้มันเป็นอย่างที่มันเป็น  รูปแบบการดำรงอยู่เช่นนี้ดำเนินมาได้เป็นร้อยปี  ข้าจะเหน็ดเหนื่อยปฏิรูปไปทำไม  แส่หาคำประณามก่นด่าใส่ตัวไปเพื่ออะไร”

ปลายนิ้วเรียวยาวของเหลียนอันสุ่ยไล้ไปตามเรียวคิ้วหนา  ดวงตาคู่งามสบกับดวงตาสีดำสนิทราวห้วงมหรรณพที่กำลังปั่นป่วน  รับฟังเงียบๆโดยมิได้เอ่ยวาจา

“บางครั้งข้าถามตัวเองว่ามันคุ้มค่ากันแล้วหรือที่เพื่อจะทำเรื่องนี้ให้ได้  ข้ากลับต้องแลกด้วยความสุขของคนที่ข้ารัก  คนที่อยู่เคียงข้างข้าตลอดมา  ท่านดีต่อข้าถึงเพียงนี้ความจริงข้าสมควรดูแลท่านให้ดี  มอบความสุขที่เรียบง่ายให้กับท่าน  ให้ชีวิตที่สงบสันติกับท่าน  พาท่านออกไปจากกรงขังที่เรียกว่าวังหลวง  มิใช่ดึงท่านเข้ามาอยู่ในกรงขังเช่นเดียวกันกับข้า...”

“คนที่ท่านรักมีแค่ข้าเท่านั้นหรือ  แล้วนโยบายทั้งหมดนั่นท่านทำเพื่อใครกัน” เหลียนอันสุ่ยถามขึ้นช้าๆด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและจริงจัง
ฉีเซี่ยงหยวนเงียบไป
‘ผู้คนของท่าน  บ้านเมืองของท่าน  ท่านรักพวกเขา’
“ความยากลำบากของแผนการระยะยาวคือท่านต้องทำลงไปโดยดูเหมือนท่านไม่ได้อะไรกลับมา  การปฏิรูปที่ดินที่ท่านทำจนสำเร็จแต่ผลดีของมันท่านกลับไม่อาจรู้สึกได้  ข้ารู้ว่าท่านท้อ  แต่เรื่องแบบนี้มีวิธีรับมือแค่สองทาง  คือหยุดแล้วไม่ต้องพูดถึงมันอีก หรือทำมันให้ดีที่สุด”
“...ไม่ว่าข้าจะเลือกทางไหนท่านก็จะอยู่กับข้าใช่หรือไม่”
“อืมม์” เหลียนอันสุ่ยพยักหน้า
“แล้วถ้าข้าจะเป็นต้าอ๋องที่อู้งานเล่า” ฉีเซี่ยงหยวนถามโดยคาดเดาว่าคนที่ให้ความสำคัญกับบ้านเมืองอันดับแรกเช่นเหลียนอันสุ่ยจะต้องคัดค้าน  ทว่าเหลียนอันสุ่ยกลับตอบเขาว่า
“ถ้าอย่างนั้นท่านก็เป็นต้าอ๋องที่อู้งานเถอะ  ท่านจัดการปัญหาของท่าน  ข้าจัดการปัญหาของข้า  ตกลงตามนี้”
---------------------
อันที่จริงฉีเซี่ยงหยวนไม่ค่อยจะรู้สึกตกลงด้วยเท่าไหร่  แต่เหลียนอันสุ่ยกลับไม่ยินยอมให้ฉีเซี่ยงหยวนสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดรอบตัวเขา  ดังนั้นฉีเซี่ยงหยวนจึงได้แต่รอรายงานแต่ละฉบับจากหม่าหลงและต้วนจินอย่างอดทน
 
และแล้วฉีเซี่ยงหยวนก็ได้ค้นพบความจริงที่ว่าการปกป้องของเขาไม่ได้จำเป็นต่อเหลียนอันสุ่ยเลย

“ฉางเฟย  ตู้ฮูหยินฟังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่  เลื่อนขั้นเป็นคนโปรดไวเสียจริง” ฉีเซี่ยงหยวนเอ่ยกับคนสนิทเมื่อในม้วนไม้ไผ่รายงานว่าวันนี้เหลียนอันสุ่ยไปปลอบแม่นมตู้ที่กำลังร้อนใจถึงตำหนัก
อ่านรายงานไปซักพักก็บ่นขึ้นอีกว่า
“ข้าอยากจะเชือดพวกมันทิ้งให้หมดนัก  ไม่เห็นต้องยุ่งยากถึงขนาดนี้เลย” เหลียนอันสุ่ยถนัดวิธีประนีประนอม แต่ฉีเซี่ยงหยวนแค่อ่านก็รู้สึกปวดหัวแทน
“ให้ตายเถอะวิธีแบบนี้ยังจะประสบความสำเร็จด้วย  เหลียนอันสุ่ยไปเอาความอดทนอดกลั้นมากมายขนาดนี้มาจากไหนกัน” อ่านไปก็บ่นไป  ทุกรอบที่มีรายงานฉบับใหม่มาจะต้องบ่น  แต่ก็ยังคงอ่านอย่างสม่ำเสมอ
แสงตะวันหลบไปอยู่หลังเมฆ  ฉีเซี่ยงหยวนปิดรายงานที่ต้วนจินเพิ่งส่งมาให้เขาลง  บิดร่างด้วยความเมื่อยขบ  ดื่มชาที่บ่าวรับใช้ยกมาให้  กล่าวกับหลิวฉางเฟยที่อยู่ข้างกายว่า
“ข้าชอบปกป้องเขา  แต่กลับหลงลืมไปว่าเรื่องการอยู่ร่วมกับความขัดแย้งเหลียนอันสุ่ยต่างหากที่ชำนาญกว่าข้า  ข้าทำให้คนหวาดกลัวได้  แต่เขากลับทำให้คนรักเขา  ไม่ว่าใครที่อยู่ข้างเขาล้วนถูกเขาเปลี่ยนแปลง  มิน่าเหลียนอันสุ่ยจึงไม่เคยยินยอมให้ข้าสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว”

มีเพียงครั้งเดียวที่ฉีเซี่ยงหยวนลงมือ  นั่นเป็นตอนที่อาจารย์ผู้หนึ่งในสำนักศึกษาใจกล้าเหยียดหยามลูกบุญธรรมของเขาเหลียนจิ้งเต๋อต่อหน้าคนทั้งชั้น  ลิ้นไม่รักดีสุดท้ายก็ถูกตัดออกมา  วาจาไร้สาระไม่ถูกกล่าวอีก  รอบตัวเหลียนจิ้งเต๋อเงียบสงบเป็นพิเศษ 
บางทีท่านคงกลัวว่าคนเหล่านั้นจะบังเอิญทำลิ้นตัวเองหายกระมัง  ฉีเซี่ยงหยวนขบคิดพลางหัวเราะเบาๆ
---------------------
นโยบายปฏิรูปอันใหม่ถูกพักไว้ชั่วคราว  ประชุมขุนนางกลับสู่อัตราปกติ  การเรียกประชุมเพิ่มแบบก่อนหน้านี้ไม่ได้เกิดขึ้นอีก กระแสเรียกร้องเรื่องพระชายายังไม่หยุด  แต่ฉีเซี่ยงหยวนดูราวกับตั้งใจจะวางมือจากราชสำนัก  แทนที่จะใช้เวลาไปกับการประชุมขุนนาง  ฉีเซี่ยงหยวนกลับเริ่มออกไปตรวจสอบการปฏิรูปที่ดินถึงนอกวัง  การเดินทางไปมาบ่อยครั้งความจริงสมควรเป็นสภาพที่ล่อแหลม  น่าเสียดายที่ฉีเซี่ยงหยวนระวังตัวตลอดมา  มักไม่เปิดเผยแผนการล่วงหน้า  ทหารคุ้มกันในแต่ละคราวรัดกุมปราศจากช่องโหว่ 

เหล่าขุนนางฝ่ายคัดค้านต้าอ๋ององค์ปัจจุบันเห็นเป็นโอกาสดีที่ฉีเซี่ยงหยวนไม่ค่อยอยู่ในวังหลวง  ทางหนึ่งพยายามหาทางเข้าเฝ้าอดีตเป่ยชางอ๋อง  ทางหนึ่งส่งสาส์นถึงองค์ชายห้าที่หัวเมืองตะวันออก  มีแต่เชื้อพระวงศ์ที่ศักดิ์ฐานะเท่าเทียมจึงสามารถทำให้กองทัพเกิดความเห็นที่แตกแยก  ทางที่ดีที่สุดคือกระตุ้นให้หยงเซี่ยเคลื่อนไหว  หยงเซี่ยเป็นเทพสงคราม  มีแต่เขาที่สามารถทำลายสภาพกุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเหนือกองทัพของฉีเซี่ยงหยวนได้

ทว่าเมื่อลงมือทำจริงๆขุนนางเหล่านั้นกลับพบข้อติดขัดไปทุกทาง  ฉีเซี่ยงหยวนแม้ไม่อยู่วังหลวง  แต่การคุ้มกันในวังหลวงกลับไม่เคยหย่อนยานมาก่อน  ฉีเซี่ยงหยวนเคยเข้าเยี่ยมพระบิดาตัวเองครั้งหนึ่ง  หลังกลับออกมาก็ประกาศว่าอดีตเป่ยชางอ๋องทรงพระประชวรไม่อนุญาตให้ผู้ใดรบกวนทั้งนั้น
ฉีเซี่ยงหยวนเป็นเช่นนี้เอง  เวลาทำอะไรรวบรัดตรงประเด็น  ใช้การเคลื่อนไหวเล็กน้อยตรึงการเคลื่อนไหวทั้งหมด  การคงอยู่ของอดีตเป่ยชางอ๋องตรึงองค์ชายห้าไม่ให้เคลื่อนไหว  ทั้งอดีตเป่ยชางอ๋องและองค์ชายห้าไม่เคลื่อนไหวหยงเซี่ยยิ่งไม่มีเหตุผลที่จะเคลื่อนไหว

ต้วนจื้อผิงยิ่งดำเนินการก็ยิ่งปาดเหงื่อ  ความพยายามของพวกเขาทำไปทำมาเหตุใดไม่มีความคืบหน้า  เหลียวมองออกไปนอกวัง  เห็นฉีเซี่ยงหยวนเพ่นพ่านอยู่ก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ  เป่ยชางอ๋องลงไปด้วยตัวเอง  การจัดสรรที่ดินและการเก็บภาษีก็ยิ่งยากจะคดโกง  เวลาผ่านไปไม่นาน  ขุนนางในราชสำนักเหล่านั้นจึงเริ่มโอดครวญปรารถนาให้ฉีเซี่ยงหยวนกลับมายุ่งวุ่นวายในที่ประชุมตามเดิม

หลังออกจากวังหลายครั้ง  ฉีเซี่ยงหยวนก็เริ่มมองเห็นหนทางปฏิรูปจากรอบนอกสู่ภายใน  กำจัดการโกงกินระดับล่างก่อนแล้วค่อยสาวถึงตัวการใหญ่  รายชื่อขุนนางในบัญชีดำหนาขึ้นทุกวัน  ขุนนางใหญ่ที่นอนเล่นอยู่ในเมืองหลวงยิ่งมาก็ยิ่งนอนไม่หลับ
---------------------
“ข้าไม่อยู่เมืองหลวงสัปดาห์เดียว  ราชสำนักกลับกลายเป็นสนุกสนานถึงเพียงนี้  เคยได้ยินแต่ขุนนางหยุดงานประท้วงเจ้าชีวิต  ไม่เคยได้ยินเจ้าชีวิตหยุดงานประท้วงขุนนางมาก่อน  ช่างมีสีสันนัก ใต้เท้าจาง  ได้ข่าวว่าท่านเป็นคนต้นคิดเรื่องคุกเข่าวิงวอนให้ต้าอ๋องกลับมาสนใจราชสำนัก  ไม่ทราบเป็นความจริงหรือไม่” มู่ซางหันไปสะกิดถามจางจื่อหยู่ที่นั่งหน้าหงิกอยู่ด้านข้าง

จางจื่อหยูแค่นเสียงไม่ตอบคำ  ละครฉากนี้ไม่เล่นได้หรือ  เขาแค่กล่าวเสนอไปคำเดียว  บรรดาขุนนางที่เคยประกาศปาวๆต่อต้านต้าอ๋องก็รีบร้อนให้ความร่วมมืออย่างแข็งขัน  ทนทานกันไม่ไหวแล้วสิ  พวกเขาเองนั่นแหละที่ทำให้ต้าอ๋องออกไปเพ่นพ่านข้างนอก  นายเหนือหัวตัวแสบของเขาก็อีกคน  ทำเป็นวางมือจากราชสำนัก  แต่อำนาจทหารในมือกลับกุมไว้ไม่ยอมปล่อย  คนสติดีคนไหนจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์จากมือเขา  ดังนั้นสุดท้ายนอกจากคุกเข่าวิงวอนก็ไม่เหลือหนทางอื่นให้เดินอีก

สนุกกันพอหรือยัง  ฝ่ายหนึ่งก็ก่อเรื่องวุ่นวายไม่ยอมเสียประโยชน์  อีกฝ่ายก็จะแสดงอำนาจที่เหนือกว่า  ส่วนราชสำนักก็พอดีไม่ต้องเดินไปไหน  ให้ขุนนางที่ห่วงใยบ้านเมืองอย่างพวกเขากระวนกระวายไป  ประสาทชัดๆ

เหตุการณ์ที่ขุนนางทั้งราชสำนักแล่นไปคุกเข่าวิงวอนถึงหน้าพระพักตร์ให้เป่ยชางอ๋องกลับมาทรงงานในครั้งนั้นถูกจดบันทึกเป็นสีสันในหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์  สะท้านสะเทือนไปทั่วสามแคว้น  หลังจากนั้นไม่มีขุนนางคนใดกล้าหยิบยกเรื่องส่วนตัวของต้าอ๋องขึ้นมาวิจารณ์โดยเปิดเผยอีกเลย
---------------------
เสียงวุ่นวายดังมาจากด้านนอก  ต้วนจื้อผิงที่นั่งกุมหัวอย่างเคร่งเครียดหันไปตวาดถามว่า
“คราวนี้มีเรื่องบ้าอะไรอีก”
ใต้เท้าเฝิงที่นั่งอย่างระทดท้ออยู่ด้านข้างพึมพำว่า
“นี่ใกล้ช่วงจ่ายภาษีอีกแล้ว  คนของทางการนอกจากมาตรวจนับแล้วยังจะมีอะไรได้”
“ข้าทนไม่ไหวแล้ว  ข้าจะส่งของกำนัลไปให้องค์ชายห้า  บอกให้เขาหาทางช่วยทำอะไรซักอย่าง  หากยังปล่อยให้ต้าอ๋องรีดไถต่อไปแบบนี้  อีกหน่อยข้าต้วนจื้อผิงคงต้องไปเพาะปลูกเลี้ยงชีพแล้ว”

“ข้าเตือนท่านแล้วว่าภาษีรอบนี้ติดสินบนไม่จ่ายไม่ได้  ช่วงนี้เรื่องการติดสินบนอันตรายมาก  อย่างดีถูกปรับ  อย่างร้ายต้องโทษประหาร  ท่านยังไม่ฟังกันอีก  ท่านคิดว่าองค์ชายห้าจะออกหน้าช่วยท่านหรือ  ข้าจะบอกให้ตอนนี้ตัวเขายังเอาตัวไม่รอด  เชื้อพระวงศ์ที่ไม่มีผลงานจะถูกลดเบี้ยหวัด  รอบนี้ต้าอ๋องกระทั่งเชื้อพระวงศ์ก็ไม่เว้นแล้ว  องค์ชายห้าไม่กล้าเสี่ยงยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องทุจริตของท่านหรอก” อู่เส้าเทียนสั่งสอน  ตัวเขาเองก็ปวดหัวไม่น้อยไปกว่ากัน  พึมพำต่อว่า
“พวกเราไหวตัวกันช้าเกินไป  ความจริงตั้งแต่แรกต้าอ๋องก็มีจุดประสงค์จะรื้อระบบขุนนาง กำจัดขั้วอำนาจเก่า  สะสางการโกงกิน  พวกเราต่างหากที่เป็นเป้าหมายที่เขาต้องการโค่นล้มให้ได้”

“มาพูดตอนนี้มีประโยชน์อะไร  หนึ่งเจ้าชีวิตหนึ่งชุดขุนนาง  หลังจากนี้เขาเดินหน้าก้าวหนึ่ง  พวกเราก็ได้แต่ถอยให้ก้าวหนึ่ง  ถอยได้เท่าไหร่ก็ถอยได้เท่านั้นแล้ว” ใต้เท้าเฝิงพูดพลางถอนหายใจ

การปฏิรูปที่ดินกัดกร่อนระบบข้าทาส  จุดประสงค์ที่แท้จริงคือทอนอำนาจเหล่าขุนนาง  ฉีเซี่ยงหยวนใช้การบริหารโค่นล้มอิทธิพลของขั้วอำนาจเก่าอย่างถาวร  หลังเหตุการณ์คุกเข่าอันเอิกเกริกในครั้งนั้นขุนนางใหญ่กลุ่มนี้ก็ทราบแล้วว่าพวกเขาไม่มีหมากเพียงพอจะต่อกรกับนายเหนือหัว  อำนาจของฉีเซี่ยงหยวนในแคว้นเป่ยชางเวลาผันผ่านยิ่งดุจตะวันกลางฟ้า  ไม่อาจโค่นล้มและไม่มีปัญญาต่อต้าน
 
การปฏิรูปส่งผลให้เห็นในระยะยาว  แผ่นดินแคว้นเป่ยชางเข้าสู่ยุคสงบมั่นคงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

================
ตอนนี้ในเล้ากับเด็กดีตามทันกันแล้วน้า 
ซึ่งนั่นหมายความว่าต้องรอไปพร้อมกันแล้วเน้อ 
อัตราการอัพหลังจากนี้จะเปลี่ยนเป็นสัปดาห์ละตอนนะคะ 


ส่วนใครที่บอกว่าเรื่องนี้มันไม่ค่อยโช้งเช้งเลือดสาด  คือมันเป็นนิยายรักนะฮะ ท่องไว้ๆ555 
ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วจะไม่ให้เรื่องนี้มีวรยุทธ์ 
จะมีพวกเศรษฐกิจการเมืองนิดหน่อยเพราะเยอะไปกลัวคนอ่านเอียน  ของพวกนี้มันค่อนข้างน่าปวดหัว 
จะพยายามเขียนให้เข้าใจง่ายๆ
แต่ถ้าใครอ่านแล้วยังมีงงๆตรงไหนเมนท์ถามได้ค้าบบบ  เดี๋ยวคราวหน้ามาตอบ


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 65
« ตอบ #189 เมื่อ: 09-11-2014 18:10:40 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ SarA_note

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
แรกๆก็สัปดาห์ล่ะหลายๆตอน ต่อมาก็สัปดาห์ล่ะสองตอน คราวนี้เหลือสัปดาห์หนึ่งตอน อีกหน่อยคงเหลือสองสัปดาห์ครึ่งตอนรึเปล่า

ออฟไลน์ ArgèntaR๛

  • "ความสุข" แบ่งปันได้
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +166/-0
    • turelight's Fanpage
อ่านกันตาแตกตาแฉะกันไปข้างหนึ่ง
ต่อไปสัปดาห์ละตอนแล้วมีลงแดงแน่ๆ  :hao5:

เอาเข้าจริงๆ แล้วชอบเรื่องการเมืองและสงครามนะฮับ มันสะใจดียังไงไม่รู้
แต่ก็ชอบอะไรที่เบาๆ เหมือนกัน ชิงไหวชิงพริบกันแบบนี้ก็สนุกไปอีกแบบ

เข้ามาเป็นกำลังใจ ปูเสื่อรอตอนต่อไป...
 :katai5:

ออฟไลน์ ~มือวางอันดับ1~

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7
ชอบน่ะสนุกดี..แนวจีนโบราณ รื่นไหลดี...เริ่มแอบจิ้นลูกพระปิตุลากับองรัชทยาทน่ะนี้ :hao6:

ออฟไลน์ ReiSei

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-5
สนุกมาก อ่านไปลุ้นไป ว่าต้าอ๋องจะจัดการยังไง  ประทับใจเหลียน ๆ เหมือนเคยเรื่องการวางตัว  บาลานซ์เพอร์เฟคมากค่ะ ณ จุดนี้

ออฟไลน์ zazoi

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 970
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-1
บอกได้แค่ว่าชอบเรื่องนี้มากค่ะ :กอด1: :กอด1:

อยากรู้ว่าเหลียนอันสุ่ยจะช่วยเป่ยชางอ๋องได้บ้างหรือไม่ และอยากอ่านเวลาเค้าสวีทกันค่ะ ชอบ อ่านทีเขินตลอด อิอิ :z1: :katai4:

ออฟไลน์ Whatever it is

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3959
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +380/-8
พระเอกเมพมากๆ

ออฟไลน์ bluecoco

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
เข้ามาให้กำลังใจเช่นเคย
เก่งมากที่สามารถรวบทั้งความรักที่มั่นคงกับการเมืองที่หนักและซับซ้อนให้กลมกล่อมลงตัวได้ในตอนเดียว

สมัยอ่านมังกรคู่คือเรื่องการเมืองนี่ก็บรรยายาวมาก กว่าจะได้ฟินได้จิ้นนี่ลำบากสุดๆ แต่เรื่องนี้อ่านที่ไรก็ได้จิกหมอนทุกที มันลงตัวไปหมด ชอบเรื่องนี้มากๆๆๆๆ สู้ๆนะเป็นกำลังใจให้ อาทิตย์ละตอนก็สุดยอดแล้ว เพราะสัมผัสได้ว่าทุกตอนกลั่นกรองมาอย่างดี แถมเรียนหนักด้วยใช่มั้ย สู้ๆนะ ขอบคุณมากๆที่แบ่งเวลามาเขียนนิยายดีๆแบบนี้

ออฟไลน์ AeRoMoZa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 429
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
อ่านถึงตอนนี้ เหมือนทุกอย่างเกือบจะเข้ารูปเข้ารอย
ปัญหาต่อไปที่จะเจอคืออะไรหนอ
ชอบคู่นี้มากๆ แต่ละคนก็มีวิธีจัดการปัญหาของตัวเองไม่เหมือนกัน
แต่ก็ได้ผลดีเป็นที่น่าพอใจ
รออ่านต่อนะคะ ยังไงก็หวังว่าเรื่องนี้จะไม่จบเศร้า

ออฟไลน์ Wereena

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-1
    • facebook
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ อ่านตอนแรกจบปุ๊บ ความรู้สึกนี้เลย
...นี่ฉันไปอยูไหนมาถึงพลาดเรื่องนี้...
เนื้อเรื่องสนุกมาก บีบหัวใจมาก อ่านแล้วลื่นไหลจนต้องอ่านรวดเดียวจนจบ ตั่งแต่เช้าจนตอนนี้เพิ่งจะตามทัน คืออยากบอกว่า คนเขียนเรื่องนี้บรรยายความรู้สึกของตัวละครได้ดีมากๆ อ่านปุ้บ เราจะมองตัวละครนั้นๆเหมือนเป็นคนจริงๆ มีชีวิตจริงๆ จับต้องได้
สรุปคือ ลึกซึ้งมากก ติดตามค่าาา :hao7:

ออฟไลน์ Wordslinger

  • แป้งจี่รีรีข้าวสาร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1180/-5
อ่านตอนแรกก็ติดใจสำนวนแล้วค่ะ เหมือนนิยายจีนที่ชอบอ่าน (นิยายจีนที่ว่านี้มิใช่นิยายกำลังภายในนะคะ แต่เป็นนิยายชายรักชายที่เขาแปลเป็นไทยน่ะค่ะ สำนวนอ่านง่ายดี แล้วก็สวยงามในเวลาเดียวกัน ทำให้ได้บรรยากาศจีนๆ ^_^)

จะค่อยๆ ตามอ่านนะคะ เพราะเมื่อมาเจอเรื่องนี้ก็ได้ลงไปเยอะแล้ว อายุมาก สายตาไม่ค่อยดี ต้องอ่านทีละนิดค่ะ :sad4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Jeyibee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ชอบเรื่องนี้มากกกก คนเขียนเก่งเทพไปเลยค่ะ ลงตัวไปทุกอย่างทั้งการเมืองและความรัก นับถือเลยอ่ะ จะติดตามต่อไปแน่นอนน เห็นด้วยกับหลายๆความเห็นด้านบนนะคะ เป็นนิยานที่อ่านแล้วต้องอุทานว่าเห้ยย นี่เราไปอยู่ที่ไหนมา ทำไมเพิ่งเจอเรื่องนี้ได้เนี่ย แล้วแนวการเขียนก็สนุกรื่นมากอ่านแล้วไม่มีติดขัดเลยแม้แต่น้อย ตัวละครก็มีมิติ คือดีค่ะเป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ เหมือนเขียนมหากาพย์เลย5555+ o13

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
เนื้อหาแน่น น่าติดตาม
อ่านไปหายใจหายคอไม่ออกไป ลุ้นตลอดทุกตอน
 :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
แจ้งข่าวสำคัญ!!!
«ตอบ #202 เมื่อ18-11-2014 20:54:14 »


ประกาศสำคัญ  อยากให้อ่านทุกคนนะคะ

ชี้แจงเรื่องการอัพ

ขอโทษที่ชี้แจงไม่ค่อยละเอียด ไม่ได้บอกเหตุผลเลยมีคนสงสัยว่าทำไมอัตราการอัพมันกลายเป็นแบบนี้
จริงๆเคยบอกไว้ตั้งแต่บทที่ 3 แล้วว่าหลังๆจะอัพได้ช้าลงเพราะยังแต่งไม่ไปไหน

อัตราการอัพปกติของเราคือ สองสัปดาห์หนึ่งตอน <<<ไม่ต้องตกใจ ใครตามในเด็กดีด้วยจะรู้ว่าอัตราเท่านี้จริงๆและเท่านี้มานานมากแล้ว เพราะเรียนหนักโคดดดดค่ะT^T

ก่อนหน้านี้ที่ในเล้าเป็ดลงทีละหลายๆตอนเพราะตั้งใจจะลงตามให้ทันกับที่อัพในเด็กดี 
ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วเช่นกันว่าหลังๆจะค่อยๆอัพถี่น้อยลง เพื่อไม่ให้ท่านผู้อ่านช๊อค ที่เคยอ่านสัปดาห์ละสี่ตอนเหลือสองสัปดาห์ตอนเดียว 
สาเหตุที่ค่อยๆลดนอกจากจะให้ค่อยๆปรับตัวเข้ากับอัตราการอัพปกติของข้าพเจ้าแล้ว
อีกสาเหตุคือคำนวณแล้วว่าถ้าอัพแบบนี้กว่าผู้อ่านในเล้าเป็ดจะต้องเผชิญหน้ากับความจริงอันโหดร้าย(ซึ่งก็คืออัตราการอัพฉบับปกติของเรา)ก็จะพ้นช่วงหลักของเรื่องไปแล้ว  จะเห็นได้ชัดเจนว่าเนื้อหาก่อนหน้านี้ต้องการความต่อเนื่องสูงมากๆ เลยไม่อยากให้ค้าง
 ดังนั้นทุกอย่างที่ทำเป็นความหวังดีจริงๆนะคะ
(ไม่อยากให้ต้องเจอแบบนักอ่านในเด็กดีที่ต้องรอสองสัปดาห์กว่าจะได้รู้ว่าสุดท้ายเหลียนอันสุ่ยเปลี่ยนใจไม่จากไป)

แต่ตอนนี้เนื้อเรื่องทั้งสองที่ทันกันแล้ว ดังนั้นต้องรอไปพร้อมกันแล้วค่ะ
                ปัจจุบันในเล้าเป็ด 2ตอน =เด็กดี1ตอน
                 ดังนั้นที่นี่จะอัพ...สัปดาห์ละ1ตอน
                  ในเด็กดีจะอัพ...สองสัปดาห์1ตอน
เลือกอัตราที่ชอบได้ตามอัธยาศัย ว่าอยากค่อยๆทยอยอ่าน หรืออยากอ่านรวดเดียวยาวๆ

โดยตอนที่ลงในเล้าเป็ดส่วนใหญ่จะผ่านการตรวจทานละเอียดแล้วรอบหนึ่ง 
ส่วนของเด็กดีบางทีจะมาสดๆแบบยังไม่ได้ตรวจทานคำผิด 
(เพราะในเล้าเป็ดหลังอัพแล้วจะไม่ตามแก้คำผิดค่ะ เพราะมันต้องจัดหน้าใหม่หมด ไม่สามารถใช้ฉบับเดียวกับในเวิร์ด)

สำหรับสาเหตุที่ไม่สามารถอัพถี่กว่านี้เป็นเพราะ
1.) เรื่องนี้แต่งยากจริงๆ และไม่อยากแต่งชุ่ยๆ กว่าจะได้แต่ละหน้าคือความตั้งใจนะคะ
2.) ผู้แต่งเรียนหนัก  ปัจจุบันสอบทุกสองสัปดาห์ และทุกตัวที่สอบใหญ่หมด

 ตั้งใจว่าจะแต่งเรื่องนี้ให้จบก่อนขึ้นปีสี่ที่คงยุ่งจนไม่มีปัญญามาแต่งให้แล้ว  รักเรื่องนี้มากจนไม่อยากทิ้ง  สอบตัวใหญ่ที่สุดกำลังใกล้เข้ามาทุกที  สอบตัวนี้ต้องอ่านหนังสือเป็นเดือนเพราะมันกำหนดชีวิตกันเลยทีเดียว  ดังนั้นที่ตั้งใจไว้คือจะพยายามแต่งให้จบก่อนต้องอ่านสอบ  อยากให้รู้ว่าคนที่อยากอัพให้ได้คราวละมากๆที่สุดคือข้าพเจ้าเอง  ถ้าเกิดมีอัพช้าหรืออะไร  นั่นคือสุดๆแล้วจริงๆ  <<ออกตัวล่วงหน้าไว้ก่อนเลยนะคะ ถ้าหลังจากนี้มีอัพช้า อัพน้อย อย่าเพิ่งทวงเพราะนั่นคือข้าพเจ้ากำลังถูกหนังสือทับตายเลยมาอัพให้ไม่ได้

สรุปคือเอาใจช่วยไปด้วยกันเน้อ  ผู้อ่านที่รักทุกท่าน

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 66
«ตอบ #203 เมื่อ18-11-2014 21:09:24 »

บทที่ 66 เมื่อสามแคว้นปั่นป่วน(1)

หลายปีผ่านไป 

ในที่สุดการตรึงอำนาจอย่างสงบของสามแคว้นใหญ่ก็ถูกทำลายลงด้วยการสวรรคตของต้าอ๋องแคว้นโหยวเฉิง  ตั้งแต่สุขภาพของโหยวเฉิงอ๋องเข้าสู่ช่วยป่วยกระเสาะกระแสะของวัยชรา  กระแสแย่งชิงอำนาจของเหล่าองค์ชายที่เป็นคลื่นใต้น้ำมาโดยตลอดก็เริ่มโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ  กระแสคลื่นบิดเกลียวเกรี้ยวกราดขึ้นทุกขณะ  หลังโหยวเฉิงอ๋องสวรรคตเพียงสองวันสภาพในวังหลวงก็เกิดการพลิกผันครั้งใหญ่
 
ผู้คนแบ่งออกเป็นสองฝ่ายนานแล้ว  คือฝ่ายสนับสนุนองค์รัชทายาทกับฝ่ายที่ยืนอยู่ฝั่งองค์ชายสาม  ฝ่ายขององค์ชายสามได้เปรียบเพราะนำกำลังทหารบุกเข้าวังหลวงก่อน  กุมตราอาญาสิทธิ์  แต่ฝ่ายองค์รัชทายาทกลับมีราชโองการแต่งตั้งอย่างถูกต้องของโหยวเฉิงอ๋องอยู่ในมือ  ประกาศฉบับนี้รวบรวมทหารได้มากมาย  แม้ช้าไปหนึ่งก้าวจนสูญเสียวังหลวง  สภาพตกเป็นรองกลับไม่จัดว่าห่างไกลเท่าใดนัก  ฝ่ายหนึ่งซ่องสุมกำลังที่นอกเมือง  อีกฝ่ายยึดกุมเมืองหลวงไว้แน่นหนา แยกเขี้ยวห้ำหั่นกันตลอดเวลา
น่าเสียดายที่องค์ชายผู้มุ่งหวังในบัลลังก์ทั้งสองกลับลืมเหลือบแลระมัดระวังเพื่อนบ้านรอบนอก  หนานเหมินอ๋องไม่เคยประพฤติตัวเป็นเพื่อนบ้านที่ดี  ทั้งยังเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่รู้จักฉกฉวยโอกาสที่สุดตัวหนึ่ง  ขณะที่พี่น้องแยกเขี้ยวใส่กัน  ทหารยี่สิบหมื่นของหนานเหมินอ๋องก็ประชิดหน้าประตูบ้าน!  กองทหารทรงอานุภาพราวน้ำหลากทะลวงผ่านหัวเมืองรอบนอกชั้นแล้วชั้นเล่า  ครั้งนี้หนานเหมินอ๋องออกศึกด้วยตัวเอง  นำแม่ทัพบุกทะลวงคู่ใจไปด้วย  เอ่ยถึงประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการบุกตีกระทั่งเทพสงครามแห่งแคว้นเป่ยชางยังเทียบคนผู้นี้ไม่ได้  แผ่นดินเหนือจรดใต้ของแคว้นหนานเหมินล้วนได้ฝีมือคนผู้นี้ไปฉกฉวยเอามา
องค์ชายที่เอาแต่กัดกันเองของแคว้นโหยวเฉิงมาตาสว่างเอาตอนที่ทัพหนุนอีกยี่สิบหมื่นของแคว้นหนานเหมินบุกถึงหัวเมืองรอบนอก  จำนวนทหารของหนานเหมินอ๋องคราวนี้สร้างความตื่นตระหนกให้ราชนิกูลที่ความเป็นอยู่สุขสบายของแคว้นโหยวเฉิงแล้วจริงๆ  เพิ่งได้รู้ว่าการปะทะกันครั้งก่อนระหว่างแคว้นหนานเหมินและแคว้นโหยวเฉิงสำหรับหนานเหมินอ๋องแล้วเป็นเพียงเรื่องเช่นเด็กเล่นเท่านั้น ครั้งนี้จึงเป็นศึกที่หวังกลืนบ้านกินแคว้นอย่างแท้จริง

องค์ชายสามแคว้นโหยวเฉิงที่ได้รับการสนับสนุนด้านอาวุธยุทโธปกรณ์จากแคว้นเป่ยชางตลอดมาลนลานเขียนสาส์นถึงเป่ยชางอ๋องขอความช่วยเหลือโดยเร่งด่วน

กระทั่งฉีเซี่ยงหยวนที่ทราบอยู่แล้วว่าหนานเหมินอ๋องจะต้องเคลื่อนไหวยังเหลือเชื่อกับความเร็วในการทำลายล้างที่เกิดขึ้น  สมควรบอกว่าแคว้นหนานเหมินฝีมือไม่ตกเลย  หรือสมควรตำหนิแคว้นโหยวเฉิงที่แย่งชิงกันเองจนแนวป้องกันอ่อนปวกเปียกได้ถึงขั้นนี้  แต่ไม่ว่าอย่างไรในตอนที่สาส์นจากองค์ชายสามแคว้นโหยวเฉิงส่งถึงมือฉีเซี่ยงหยวน  ฉีเซี่ยงหยวนก็ยืนอยู่ในแนวป่าติดชายแดนของแคว้นหนานเหมินแล้ว

หากพึ่งพาสาส์นจากองค์ชายสามแคว้นโหยวเฉิงเพียงฝ่ายเดียวก็นับเป็นเรื่องโง่เขลาเกินไป  ความจริงเรื่องหนานเหมินอ๋องยกทัพแคว้นเป่ยชางยังทราบเร็วกว่าแคว้นโหยวเฉิงที่ตกเป็นเป้าหมายเสียอีก  หมากแต่ละตัวที่ฉีเซี่ยงหยวนวางเอาไว้ในแคว้นหนานเหมินล้วนถูกใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า

ฉีเซี่ยงหยวนไม่คิดจะยกทัพไปช่วยที่แคว้นโหยวเฉิง  เพราะนั่นจำเป็นต้องฝ่ากำลังคนของกลุ่มองค์รัชทายาทเข้าไป เกิดความสูญเสียโดยใช่เหตุและได้ประโยชน์เพียงเล็กน้อย  เขาตั้งใจจะโจมตีแคว้นหนานเหมินเพื่อกดดันให้หนานเหมินอ๋องไม่อาจไม่ถอยกลับมาป้องกันแคว้นตัวเอง  ทำแบบนี้ไม่เพียงทำลายแผนการยึดแคว้นโหยวเฉิงของหนานเหมินอ๋อง  ยังสามารถกลืนกินหัวเมืองของแคว้นหนานเหมินมาได้หลายเมือง
ทว่าฉีเซี่ยงหยวนเองก็คาดไม่ถึง...ว่ากระดูกชิ้นที่วางขวางทางเขาอยู่กลับเป็นชิ้นที่เคี้ยวยากที่สุด!

“สายภายในเพิ่งหาหนทางส่งข่าวออกมาได้  คนที่เฝ้าด่านเหวินถงคือเฮ่อสวิน”
ฉีเซี่ยงหยวนฟังแล้วถึงกับสบถว่า
“กระดูกแก่ชราเคี้ยวยากชิ้นนี้หนานเหมินอ๋องถึงกับไม่เอาไปด้วยหรือ”

ตั้งแต่สมัยยังหนุ่มหนานเหมินอ๋องมีแม่ทัพคู่ใจสองคน  คนหนึ่งถนัดบุกตี  อีกคนถนัดตั้งรับ  ฟังว่าเฮ่อสวินเฝ้าด่านต่อให้กำลังคนน้อยก็ยื้อได้เป็นปี  ขุนพลทั้งหมดในสามแคว้นมีเพียงหยงเซี่ยที่สามารถทะลวงฝ่าแนวป้องกันของเขาได้สองครั้ง  ซึ่งสองครั้งนั้นทำให้หยงเซี่ยกลายเป็นเทพสงครามที่สามแคว้นใหญ่ต่างครั่นคร้าม  ในยุคที่สับสนวุ่นวายไม่เคยขาดขุนพลเรืองนาม  แคว้นเป่ยชางเป็นแคว้นนักรบ  ส่วนแคว้นหนานเหมินครองตำแหน่งแคว้นที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรมานานนับสิบปี  ต่างคนต่างมีหมากร้ายกาจให้ใช้สอย
“นี่ขนาดฉากหน้าข้ากับหยงเซี่ยแตกกันให้เขาดู  จิ้งจอกเฒ่านั่นยังรอบคอบขนาดนี้  ขี้ระแวงถึงขั้นสูงสุดจริงๆ  ทั้งยังทราบดีเสียด้วยว่าด่านเหวินถงคือจุดเปราะบางที่สุดในแนวชายแดนระหว่างเรากับหนานเหมิน”

แม้ว่าเมืองชายแดนที่แคว้นเป่ยชางกับแคว้นหนานเหมินตั้งประจันหน้ากันอย่างจริงๆจังๆคือเมืองที่หยงเซี่ยเฝ้ารักษาอยู่  แต่หากตีฝ่าจากจุดนั้นยิ่งเข้าลึกก็ยิ่งเจอกับเมืองที่คูเมืองกว้างกำแพงเมืองสูงชันตีฝ่ายากลำบาก  จุดที่กองทัพของฉีเซี่ยงหยวนวางอยู่ตอนนี้แม้ต้องเลาะป่ามาทั้งผืนแต่บุกฝ่าง่ายกว่ากันมาก  เป็นเส้นทางเดินทัพที่ฉีเซี่ยงหยวนเสาะหาไว้นานปี  เห็นได้ชัดว่าหนานเหมินอ๋องไม่ได้สนใจแต่หยงเซี่ยที่ฉีเซี่ยงหยวนจงใจตั้งไว้ให้ดู  แต่กลับมองจุดแข็งจุดอ่อนของบ้านเมืองตัวเองได้อย่างปรุโปร่ง

“ข้าเชื่อว่ากระดูกชิ้นที่หนานเหมินอ๋องวางไว้ขวางหยงเซี่ยแม้เทียบไม่ได้กับชิ้นที่อยู่ตรงหน้าข้า  แต่ต้องเคี้ยวไม่ง่ายเช่นกัน บวกกับชัยภูมิที่ได้เปรียบต้องยื้อได้ซักพักแน่นอน  รอบนี้หมากในมือมีอยู่เท่าไหร่  หนานเหมินอ๋องนับว่าทุ่มเทออกมาใช้หมดสิ้น  เห็นได้ชัดว่าหากไม่ได้แคว้นโหยวเฉิงรับรองไม่เลิกรา”
“ต้าอ๋องบอกว่าหนานเหมินอ๋องมีหมากในมืออยู่เท่าไหร่ล้วนทุ่มเทออกมาใช้จนหมดสิ้น  หรือต้าอ๋องก็มิใช่เช่นกัน” หลิวฉางเฟยกล่าวพลางมองไปทางมู่ซางกับฝงเป่าที่เปิดศึกทะเลาะกันอยู่ไม่ไกล
ฝงเป่าเพิ่งมาถึงยังไม่ทันลงจากม้าก็ทักด้วยน้ำเสียงอันดัง
“คนแซ่มู่  ไม่ได้เจอกันนาน  ยังดูน่าเหม็นหน้าไม่เปลี่ยน”
มู่ซางไหนเลยจะยอมสงบปากสงบคำ  สวนกลับไปทันที
“ได้ยินว่ายิ่งคนแก่ชรา  วาจาจะยิ่งเลอะเลือน  แต่ก่อนข้าไม่เชื่อ  ตอนนี้กลับพบว่าไม่ผิดจากความเป็นจริง”
ฝงเป่าพลิกตัวลงจากม้าด้วยความรู้สึกอยากแพ่นกบาลเจ้าเด็กปากร้าย  น่าเสียดายที่มู่ซางไม่เปิดโอกาสนั้นให้กับเขา

“ต้าอ๋อง  ข้าไปสำรวจชัยภูมิรอบนอกมาแล้ว  ตำแหน่งนี้ดีที่สุดจริงๆ  รุกได้ถอยได้  ไม่ห่างแหล่งน้ำจนเกินไป  ตรงข้ามยากสอดส่องความเคลื่อนไหว  เหมาะใช้ตั้งค่ายเพื่อซ่อนกำลังคนนับหมื่น” มู่ซางประสานมือรายงานอย่างนอบน้อม
“ระหว่างทางพบเห็นหน่วยสอบแนมลาดตระเวนของข้าศึกบ้างหรือไม่”
“หน่วยสอดแนมไม่พบ  พอแต่การลาดตระเวนตามปกติที่วนเวียนตรวจดูแนวชายป่า  ยังห่างไกลจากตำแหน่งตั้งค่ายของเรามากนัก”
ฉีเซี่ยงหยวนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ  ไม่หน่วยสอดแนมแสดงว่าฝ่ายตรงข้ามยังไม่ไหวตัวว่ามีกองทัพตั้งประจันอยู่เบื้องหน้า  แต่การศึกไม่หน่ายกลลวง  จะอย่างไรระมัดระวังไว้ปลอดภัยกว่า  ฉีเซี่ยงหยวนจึงหันไปสั่งการว่า
“เฮ่อสวินนิสัยรอบคอบ  ตอนนี้สายตาเขาอาจจะมัวเพ่งไปทางหยงเซี่ยที่เริ่มลงมือไปตั้งแต่หลายวันก่อน  แต่เพื่อความไม่ประมาทจัดหน่วยตรวจตราป้องกันเอาไว้ก่อนเป็นดี”

สายตาของเฮ่อสวินเพ่งไปทางหยงเซี่ยจริง  ตอนนี้สายตาของชาวหนานเหมินทุกคนล้วนกำลังเพ่งไปทางหยงเซี่ย  เพราะหยงเซี่ยลงมือได้เฉียบขาดยิ่ง  ตั้งแต่ตอนที่แม่ทัพและกำลังคนจากเมืองหลวงของแคว้นหนานเหมินเดินทางมาถึงเพื่อรับอำนาจในการบัญชาการ  เพิ่งเข้าเมืองในช่วงสาย  ช่วงเย็นหยงเซี่ยก็เปิดฉากโจมตี  ทุกคนที่รู้จักหยงเซี่ยต่างทราบว่าแม่ทัพใหญ่ผู้นี้ไม่ทำศึกที่ไม่ชนะ  ครั้งนี้เล่นงานจุดเปราะบางตอนเปลี่ยนถ่ายอำนาจ  ทัพที่เพิ่งเดินทางมาถึงยังอ่อนล้า  เกาะกุมโอกาสได้แม่นยำจนน่าตกใจ
กำแพงเมืองหลงฉีสมเป็นแนวป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด  แม้ระเบียบทหารในเมืองยังไม่พร้อมสรรพ  แต่กลับยันไว้ได้หลายวัน  แม้ตกอยู่ในสภาพเป็นรอง  แต่กลับยังไม่พังทลาย  เพียงหลายวันมานี้แม่ทัพทุกคนทหารทุกนายที่ประจำอยู่ในเมืองหลงฉีล้วนถูกหยงเซี่ยเคี่ยวกรำจนเหนื่อยสาหัส  ปกติการบุกตีเมืองทำเป็นรอบๆ  แต่การบุกตีของหยงเซี่ยกลับมีทั้งจริงทั้งลวง  ทัพรองและทัพหลัก  บีบบังคับให้ทหารเฝ้ารักษาเมืองต้องเตรียมพร้อมเต็มอัตราศึกอยู่ตลอดเวลา  แม้พยายามผลัดกันไปนอน  แต่ก็เหน็ดเหนื่อยจนแทบจะยืนหยัดต่อไปไม่ไหว
---------------------
ฉีเซี่ยงหยวนที่มองแผ่นหนังที่วาดภาพชัยภูมิและการวางกำลังรบด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก  การประชุมเพื่อวางกลยุทธ์เสร็จสิ้นไปเมื่อครู่  แม่ทัพนายกองทยอยออกไปจนหมดสิ้นแล้ว  ทั้งกระโจมมีเพียงเขา  ฉีเซี่ยงหยวนกำลังรอคอยให้หน่วยทัพของเขามาจนครบ  และรอจังหวะโอกาสที่ศัตรูจะเปิดช่องโหว่ 

ฉีเซี่ยงหยวนรู้ดีว่าเฮ่อสวินต้องรุ่มร้อนใจยิ่งกว่าเขา  เพราะในแนวชัยภูมิของแคว้นหนานเหมินด่านเหวินถงที่เฮ่อสวินเฝ้ารักษาอยู่ไม่ได้ไกลจากเมืองหลงฉี  สามารถโยกทหารไปช่วยเหลือได้  หนานเหมินอ๋องวางเฮ่อสวินเอาไว้ในตำแหน่งนี้เท่ากับวางใจให้อำนาจในการบัญชาภาพรวมของการป้องกันในแนวชายแดนแถบนี้ทั้งหมด  ให้เฮ่อสวินสามารถโยกย้ายถ่ายเททหารได้โดยอิสระ

ซึ่งต่างกับแนวชัยภูมิทางฝั่งเป่ยชางที่แม้ระยะทางจะเท่ากัน  แต่ระหว่างหยงเซี่ยกับฉีเซี่ยงหยวนกั้นกลางด้วยผืนป่าแน่นขนัด  ไม่อาจยกทัพไปช่วยเหลือกันได้โดยสะดวก  ฉีเซี่ยงหยวนแม้ทราบดีว่าฝั่งของเขาดำรงอยู่ในตำแหน่งที่อันตรายกว่า  แต่คิดช่วงชิงความมีเปรียบไม่อาจไม่เสี่ยงอันตราย  อย่าว่าแต่สำหรับเขากับหยงเซี่ยนี่ไม่ใช่การเสี่ยงอันตรายเท่าไหร่  เพราะพวกเขาต่างสามารถกำหนดการรุกถอยของตัวเองและป้องกันตัวเองได้  เพียงแต่การติดต่ออาจยากลำบากอยู่สักหน่อยเพราะต้องหาคนคุ้นชินพื้นที่ที่เชี่ยวชาญในการเดินป่า

“ต้าอ๋อง  สายที่ท่านส่งไปให้ลอบติดต่อกับสายที่วางไว้ในเมือง  ตอนนี้กลับมาแล้ว” เสียงรายงานเข้ามา
“นำตัวมาพบข้า” คำสั่งของฉีเซี่ยงหยวนเรียบเฉย  สายลับทุกคนล้วนต้องรายงานเขาโดยตรง  นี่เป็นข้อปฏิบัติที่ฉีเซี่ยงหยวนยึดถือตลอดมาตั้งแต่เป็นแม่ทัพ  กฎข้อนี้เป็นหยงเซี่ยปลูกฝังให้กับเขา  การทราบสภาพศัตรูเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
หวังว่าเฮ่อสวินจะคิดแบ่งกำลังพลไปช่วยเหลือเสียที  ทางที่ดีก็โยกตัวเองไปเสียด้วยเลยจะได้ไม่เกะกะขวางทาง 
แต่ฉีเซี่ยงหยวนก็ทราบว่าเฮ่อสวินเป็นคนที่อดทนยิ่งคนหนึ่ง  และมีความรับผิดชอบยิ่งคนหนึ่ง  แม้การเฝ้าด่านอยู่เฉยๆจะเป็นการดูถูกความสามารถของเขา  ในขณะที่ห่างออกไปไม่ไกลมีศัตรูที่คู่ควรให้เขารับมืออยู่  เฮ่อสวินก็ไม่มีทางทอดทิ้งด่านเหวินถงไปโดยพลการ 
เพียงแต่หากกำลังศัตรูลดลงไปได้ส่วนหนึ่งก็ถือเป็นเรื่องดี  ศัตรูทุ่มเทความสนใจไปทางอื่นยิ่งเป็นเรื่องดีใหญ่  ฉีเซี่ยงหยวนหวังว่าข่าวคราวที่เขาจะได้รับรู้ในครั้งนี้จะเป็นไปในทางที่มันควรจะเป็น
---------------------
ใต้ฟ้าพร่างดาว  ทว่าในป่ายากจะเห็นแสงดาว  แสงที่เด่นชัดมีเพียงกองไฟที่จุดเพื่อให้ความอบอุ่นและไล่สัตว์ร้าย  ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกเหมือนตัวเองได้กลับบ้านอีกครั้ง  ก่อนจะมีเหลียนอันสุ่ยบ้านของฉีเซี่ยงหยวนไม่ใช่วังหลวง  แต่เป็นมิตรภาพที่อบอุ่นในกองทัพ
แม่ทัพนายกองที่คุ้นหน้าคุ้นตานั่งล้อมรอบกองไฟ  ย่างเนื้อและพูดจาสนทนากัน  เปลวไฟแลบเลีย  กลิ่นเนื้อหอมฉุย  ฉีเซี่ยงหยวนทรุดกายลงนั่งข้างแม่ทัพผิวคล้ำผู้หนึ่ง
“เนื้อสักหน่อย...” จานเนื้อยื่นเข้ามาก่อน  พอคนถือจานมองเห็นชัดๆว่ากำลังยื่นเนื้อไปตรงหน้าใครก็สะดุ้งโหยง  ลนลานคุกเข่าคำนับ
“ไม่ทราบว่าเป็นต้าอ๋อง  กระหม่อม...กระหม่อมเสียมารยาทแล้ว”
วงสนทนาเงียบกริบในทันที  ต่างคนต่างทำความเคารพโดยพร้อมเพรียง 
ฉีเซี่ยงหยวนกลับไม่สนใจคนที่พากันคุกเข่าให้กับเขา หยิบเนื้อในจานขึ้นมากัด กัดไปสองคำก็เอ่ยถามว่า
“เฒ่าเฉา  ท่านเป็นคนปรุงใช่หรือไม่  ตกลงนี่ท่านคิดเอาดีด้านกองทัพหรือตั้งใจจะเปิดร้านอาหารกันแน่”
ชายชราที่สวมเกราะอ่อนที่อยู่ห่างออกไม่ไกลไม่ทราบสมควรตอบอย่างไรดี
มีเสียงหัวเราะดังมา  พร้อมกับคำกล่าวว่า
“พวกเขาล้วนประจำตามหัวเมืองมานาน  ไม่ค่อยคุ้นชินกับบารมีต้าอ๋องของท่าน  ถ้าท่านอยากรับประทานเนื้อให้อร่อย  ก็บอกให้พวกเขาลุกขึ้นเถิด” คนกล่าววาจาเป็นชายไว้เคราที่ยังดูหนุ่มฉกรรจ์ผู้หนึ่ง
“ยังคงเป็นแม่ทัพกู่ที่เข้าใจต้าอ๋อง  นี่พวกท่านลุกขึ้นมาเถอะ  คุกเข่าอยู่แบบนั้นต้าอ๋องจะทรงอารมณ์เสียได้” ประโยคนี้เป็นของมู่ซาง  ขณะกล่าวมือก็พลิกหาเนื้อตำแหน่งที่ดีที่สุด  เพื่อเฉือนให้แก่ตัวเอง
ความจริงเรื่องนี้มิใช่แม่ทัพเหล่านี้ลนลานเกินกว่าเหตุ  ก่อนหน้านี้ที่พวกเขารู้จักเป็นเพียงองค์ชายสี่ผู้ไม่ถือตัวผู้หนึ่ง  พบหน้าอีกคราคนกลับมีศักดิ์ฐานะเป็นถึงต้าอ๋อง  ย่อมต้องเกิดอาการทำตัวไม่ถูก  ไม่ทราบต้องทำตัวเช่นไรจึงจะเหมาะสม

พอคนที่คุกเข่าเปลี่ยนเป็นนั่งแบบเดิมจนหมด  ฝงเป่าที่นั่งอยู่อีกฝั่งของกองไฟก็เอ่ยขึ้นว่า
“คิดไม่ถึงครั้งนี้ท่านจะเรียกระดมมาจนหมด  แต่เช่นนี้ก็ดี  พี่น้องได้กลับมาเจอหน้ากันอีกคราถือเป็นเรื่องดี เสียดายมีกฎห้ามดื่มเหล้า  ไม่เช่นนั้นโอกาสพบหน้าเช่นนี้สมควรดื่มสักหลายไห” ฝงเป่าพูดไปก็เหลือบมองมาทางฉีเซี่ยงหยวน

แต่ฉีเซี่ยงหยวนทำเฉยเสียราวกับไม่ทราบว่าอีกฝ่ายคาดหวังสิ่งใดจากเขา  กลับเป็นมู่ซางที่ไม่ปล่อยปละละเว้น
“เปิดปากก็คิดจะให้ต้าอ๋องยอมแหกกฎกองทัพ  คิดอะไรให้มันสร้างสรรค์กว่านี้หน่อยไม่ดีหรือ”
ฝงเป่าเลยจัดการเอาเนื้อยัดปากมู่ซางเพื่อให้เจ้าเด็กนี่หุบๆปากไปเสียที  คนอื่นหัวเราะครืน  คู่ปรับที่อายุห่างกันเกือบสิบปีคู่นี้นิสัยที่เข้ากันไม่ได้อย่างไรก็เข้ากันไม่ได้อยู่อย่างนั้น
ฉีเซี่ยงหยวนหันไปถามชายหนุ่มผิวคล้ำที่นั่งอยู่ข้างเขา
 “พี่ฟ่าน  เมียท่านคลอดหรือยัง  พอดีข้างานยุ่งเลยลืมให้คนส่งของบำรุงไปให้”
คนผู้นั้นย่อมไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยังเรียกหาเช่นนี้  อึ้งไปพักหนึ่งจึงตอบว่า
“คลอด...คลอดแล้ว...”
“ไม่เพียงคลอดแล้ว  ยังเป็นลูกชายเสียด้วย  ถ้ามีเหล้าข้าจะดื่มแสดงความยินดีให้ท่านซักจอก” บุรุษไว้เคราที่แซ่กู่กล่าว  ฝงเป่าได้ยินก็หัวเราะ  ตบบ่าอีกฝ่ายอย่างถูกใจ  พึมพำว่า 'นี่สิถึงจะเป็นเพื่อนแท้ '
ทว่าอีกคนกลับกล่าวสวนขึ้น
“ความจริงแล้วเมียคลอดลูกไม่แน่ว่าเป็นเรื่องดี  ตั้งแต่เมียข้าคลอดลูกวันๆก็เอาแต่กังวลว่าจะไม่สวยเหมือนเดิม  วิตกกังวลยังพอว่า  แต่ขี้หึงหวงนี่สิเรื่องใหญ่  ปกตินางก็ขี้หึงหวงจะแย่อยู่แล้ว  ตอนนี้เป็นมากกว่าเดิมจะให้ผู้คนทนทานได้อย่างไร  งานในกองทัพทำให้บางทีข้าก็ต้องอยู่นอกบ้านถึงดึกดื่น  แต่นางกลับเอาแต่หาว่าข้าเอางานมาบังหน้าที่จริงไปหาหญิงอื่น”
คนอื่นต่างหัวเราะ  กล่าวว่า 
“แต่งมาแล้ว  เลือกมาแล้ว  ก็ทนๆไปเถอะน่า  มีภรรยาใครบ้างไม่ขี้หึง”
มู่ซางที่เดินมาเติมน้ำ  ขณะเดินผ่านฉีเซี่ยงหยวนก็พึมพำให้ได้ยินกันสองคนว่า
“ต้าอ๋อง  อย่างน้อยท่านก็ไม่ต้องกังวลแบบพวกเขา  เพราะที่ท่านมีมิใช่ภรรยา” คนกล่าววาจาหัวเราะแล้วเดินจากไป  มีแต่ฉีเซี่ยงหยวนที่รู้ดีว่าสิ่งที่ตอนนี้เขารู้สึกคือคำว่าหัวร่อไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
ผู้อื่นเพียงกลัวภรรยาจะขี้หึงเกินไป  แต่ตัวเขากลับต้องดำรงชีวิตอยู่ด้วยความหวาดหวั่นว่าตัวเองจะถูกเอาไปยกให้กับผู้อื่นเมื่อไหร่ !
---------------------
เวลายิ่งดึก พวกเขาก็ยิ่งดูราวกับย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน  วันที่ต่างฝ่ายต่างยืนหยัดร่วมเป็นร่วมตายโดยไม่ตัดพ้อตำหนิ  ดั่งครอบครัว  และดั่งพี่น้อง  คนนอกบางทีไม่อาจเข้าใจ  ก็แค่คนไม่รู้จักที่อยู่ร่วมกันชั่วเวลาหนึ่งจะนับเป็นอย่างไรได้  แต่หากท่านเคยผ่านความเป็นความตาย  ยินยอมฝากชีวิตไว้ในกำมือผู้อื่น  และยินยอมเป็นฝ่ายช่วยเหลือในยามยากลำบากโดยไม่มีเงื่อนไข  มิตรภาพและช่วงเวลาที่หลอมสร้างขึ้นเช่นนี้ไม่อาจลืมเลือนโดยง่ายดาย  ฉีเซี่ยงหยวนดีใจที่เขายังไม่ได้สูญเสียมันไป

‘ข้ารู้ว่าที่นั่นเป็นที่ของท่าน  ไปทำในสิ่งที่ท่านอยากทำเถอะ  ทำให้เต็มที่  ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่  ขอแค่ย้อนคิดดูแล้วไม่สำนึกเสียใจก็เพียงพอ’ นี่เป็นคำอวยพรของเหลียนอันสุ่ย 
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะเบาๆ  ผู้อื่นมีแต่อวยพรให้สำเร็จดังหวัง  พระมาตุลาที่ชอบอยู่กับความเป็นจริงของเขากลับอวยพรมาเช่นนี้  แต่มันก็รู้สึกไม่ดาษดื่นดี  และไม่ต้องกดดันตัวเองจนเกินไป

ฉีเซี่ยงหยวนเลิกกระโจมเพื่อเดินเข้าไป  ในใจครุ่นคิด  ไม่ทราบตอนนี้เหลียนอันสุ่ยกำลังทำอะไร  คิดถึงเขาบ้างหรือไม่
---------------------
เงาบนพื้นทอดยาวตามโมงยามที่ผ่านไป  รถขนถ่ายเสบียงรอบสุดท้ายถูกคุ้มกันอย่างหนาแน่น  ในขบวนยังมีหมอประจำกองทัพชุดสุดท้ายที่จะตามไปสมทบกับชุดก่อนที่ออกเดินทางมาพร้อมกับทัพหน้า  ในจำนวนทั้งหมดนี้  กลับมีสามคนที่จริงๆไม่สมควรปรากฏตัวที่นี่

หม่าหลงกับต้วนจินในชุดเกราะเต็มยศหันไปมองหน้ากัน  แล้วก็ได้แต่ทอดสายตามองร่างสูงโปร่งเบื้องหน้าอย่างจนใจ

 
=============
เงาหลังของใครหว่า?
5555 เดาไม่ออกเลยนะเนี่ย
 
ปล.คือพระเอกไม่ให้ไปแหละ  แต่แน่นอนว่าคนว่านอนสอนง่ายแบบเหลียนเหลียนก็ต้อง...ไม่ฟัง 
จริงๆเหลียนอันสุ่ยนี่ดื้อติดอันดับทีเดียว  ตัดสินใจอะไรไปแล้วเคยสนที่ไหนว่าใครจะว่าอย่างไรบ้าง = = 

ออฟไลน์ MaiSwifties

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
หวายยย นิยายสนุกมาก แอบหวังให้คนเขียนเคยแต่งนิยายไว้หลายๆเรื่อง จะได้ไปตามเก็บ

แต่ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องนี้เหมือนเคยอ่านไปแล้วรอบนึง แต่อย่างไรไม่ทราบ เลิกไปก่อน

กลับมาอ่านใหม่ก็ได้แต่คิดว่า ทิ้งเรื่องดีๆอย่างนี้ไปได้ยังไง

ด้วยเป็นคนที่ ค่อนข้างจะติ่งจีน หนังจีน เพลงจีน นิยายจีนชอบหมด

พอได้มาอ่านนิยายที่กลิ่นอายความเป็นจีนชัดขนาดนี้ (หายาก)  ยิ่งรู้สึกปริ่ม :hao5:

อ่านแล้วเหมือนกำลังดูซีรีย์จีนสักเรื่องเลย ที่สำคัญคือ ภาษางามมาก ไม่มีติดขัด ประทับใจจริงๆ
 :mew6:
ติดตามผลงานต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
มาให้กำลังใจถึงกองทัพเลยน๊าาาา
หุหุ

ออฟไลน์ Alone Alone

  • ขอตายในอ้อมกอดฮยอกแจ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
กำลังใจเขาดีจริงๆ

ต้าอ๋องจะว่ายังไงหล่ะนั่น

ออฟไลน์ Jeyibee

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 32
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เราโอเคค่ะ เรื่องนานๆอัพไม่ใช่ปัญหาตราบใดที่ยังมาแต่งอยู่อย่างแน่นอน ส่วนตัวเชื่อว่าผู้เขียนจะไม่ทิ้งเรื่องนี้เพราะเห็นแต่งมานานมากกกก (เราเข้าไปตามอ่านในเด็กดีมาด้วยค่ะ><) ส่วนที่แต่งนานเราเห็นด้วยนะคะ ดีกว่าแต่งเร็วแต่เรื่องออกมาไม่ดีอยู่แล้ว เอาใจช่วยค่ะ ตอนนี้เอาใจช่วยทั้งผู้เขียนแล้วก็เหลียนเหลียนด้วยค่ะ 555+ พระเอกเรากลัวโดนยกให้คนอื่นแต่เราว่าเหลียนเหลียนเองก็รักนางมากอยู่นะคะ ถึงกับแอบตามมา  น่าสงสารท่านต้าอ๋องจริงๆเลย 555+

ออฟไลน์ wind of autumn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 88
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +93/-0
Re: <<พันธนาการแห่งสายนำ้>> บทที่ 67
«ตอบ #208 เมื่อ23-11-2014 21:12:58 »

บทที่ 67 เมื่อสามแคว้นปั่นป่วน(2)

การขนถ่ายเสบียงรอบสุดท้ายนี้เดินทางทั้งวันทั้งคืนเพื่อเร่งให้ทันทัพหลัก  หลังได้เสบียงส่วนนี้ฉีเซี่ยงหยวนจะเปิดฉากโจมตีหลังรอเวลาสุกงอมมานาน  เพราะในที่สุดเฮ่อสวินก็ตัดสินใจส่งบางหน่วยทัพยกไปช่วยเหลือเมืองหลงฉีแล้ว  ตัวเฮ่อสวินเองยังคงไม่ได้ไปจากด่านเหวินถงตามคาด  แต่กำลังหนุนที่เดินทางมาสมทบหยงเซี่ยไม่ขาดสายซึ่งเป็นภาพที่หยงเซี่ยจงใจสร้างขึ้น  ทำให้เฮ่อสวินเข้าใจว่าแคว้นเป่ยชางวางแผนจะตีหักจากทางเมืองหลงฉี  หาคาดไม่ว่าศัตรูสำคัญกลับตั้งประจันอยู่เบื้องหน้าเขา  รอคอยมาครึ่งเดือนกว่า !
---------------------
ในตอนที่ขบวนเสบียงมาถึง  ฉีเซี่ยงหยวนกำลังนั่งใคร่ครวญแผนการอย่างละเอียดอีกรอบ
ในตอนที่หลิวฉางเฟยรายงานว่ามีคนพบเห็นหม่าหลงกับต้วนจินติดตามมากับขบวนเสบียง  ฉีเซี่ยงหยวนก็ชะงักไป  สายตาเยือกเย็นลง  เอ่ยเสียงราบเรียบว่า
“ไปตามเหลียนอันสุ่ยมาพบข้า”

พระมาตุลาแคว้นเหลียนที่มาโดยพลการผู้นี้เดินยิ้มบางๆเข้ามาด้วยท่าทีปลอดโปร่งสง่างามตามปกติ  ฉีเซี่ยงหยวนรู้สึกว่าตัวเองกำลังโกรธอีกฝ่าย  แต่เมื่อเห็นหน้าเหลียนอันสุ่ยจริงๆความโกรธเคืองที่อีกฝ่ายติดตามมาเองโดยไม่บอกกล่าวกลับถูกความคิดถึงหลอมกลืน
“เหตุใดจึงไมส่งข่าวซักคำว่าจะติดตามมา” ฉีเซี่ยงหยวนเพ่งมองคนตรงหน้า  ถามด้วยน้ำเสียงทุ้มหนัก
“ถ้าส่งข่าวมาก่อน  เกรงว่าคงไม่ได้มาถึงที่นี่”
“ท่านเข้าใจว่าข้าจะไม่อนุญาต”
“ท่านจะขัดขวาง” น่ากลัวว่าตั้งแต่เริ่มเก็บของก็ถูกขัดขวางแล้ว  ฉีเซี่ยงหยวนไม่ค่อยอยากให้เขามา  ย่อมต้องมีวิธีทำให้เขามาไม่ถึงที่นี่  ลูกไม้สารพัดของบุรุษผู้นี้เหลียนอันสุ่ยคุ้นชินแต่แรก
“ในค่ายอันตราย  ความเป็นอยู่ลำบาก  ข้าไม่ค่อยอยากให้ท่านอยู่ที่นี่” ฉีเซี่ยงหยวนกล่าวตามตรง
“แต่ตอนนี้ข้ามาแล้ว”
“ท่านเข้าใจว่าข้าส่งท่านกลับไปไม่ได้? ” ฉีเซี่ยงหยวนถามเสียงเฉียบ
“ส่งหมอคนหนึ่งกลับไปท่านจะใช้คนคุ้มกันกี่คน  สู้มีหมอในกองทัพเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่งไม่ดีกว่าหรือ” คนคุ้มกันมากเกินไปไม่ดี  น้อยเกินไปท่านก็ไม่วางใจ
อ้อ  คำนวณมาละเอียดรอบคอบ  ความรู้สึกว่าตัวเองทำผิดเล็กน้อยก็ไม่มี
“เดินทางมาเองเช่นนี้เสี่ยงแค่ไหน  ท่านไม่คิดบ้างหรือว่าข้าจะเป็นห่วง!” เสียงเข้มหนักอย่างไม่พอใจ
“ข้าคิดแล้วว่าถ้าให้ท่านรู้ว่าข้าเดินทางมาท่านก็จะเป็นห่วง”
สวรรค์  ฉีเซี่ยงหยวนอยากกุมขมับยิ่งนัก  และอยากบีบคอคนตรงหน้ายิ่งนัก  แต่ที่เขาทำจริงๆคือคว้าคนตรงหน้ามาจูบให้หนักๆ  แค่นเสียงลอดไรฟัน
“ท่านนี่มัน...” น่านัก !
เหลียนอันสุ่ยไม่ได้ขัดขืนอะไร  แค่รออีกผ่ายสงบลง  แล้วจึงบอกว่า
“เซี่ยงหยวน  ข้าคุ้มครองตัวเองได้  อีกอย่างที่นี่มีงานให้ข้าทำ  ข้าอยากทำในสิ่งที่ข้าทำได้”
ยอมอยู่ในอ้อมกอดฉีเซี่ยงหยวนไปอีกพักหนึ่ง  เหลียนอันสุ่ยก็ใช้มือดันร่างหนาออก
“ท่านปล่อยข้าได้แล้ว  อยู่ในค่ายทำตัวเรียบร้อยหน่อย  ไม่ต้องเป็นห่วงข้า  ข้าเคยเป็นหมอในกองทัพมาแล้ว  ทราบดีว่าต้องทำอย่างไรบ้าง”
ฉีเซี่ยงหยวนหรี่ตามองคนในอ้อมกอด 
ไม่ตามตัวมาก็ไม่คิดจะมารายงานตัว  ทำเรื่องให้คนอื่นเป็นห่วงก็ไม่รู้สึกผิด  เจอหน้ากันหน่อยเดียวก็จะหลบไปทำงานอีกแล้ว!  ...ฉีเซี่ยงหยวนเคยทำให้คนมากมายรู้สึกอยากโอดครวญกับสวรรค์  แต่ตอนนี้เป็นตัวเขาเองที่นึกอยากโอดครวญกับสวรรค์

ถึงแม้ฉีเซี่ยงหยวนจะทราบว่าเหลียนอันสุ่ยดีใจที่ได้เห็นหน้าเขา  แต่ก็ทราบเช่นกันว่าที่ถ่อเดินทางมาถึงแนวหน้านี่ไม่ได้ตั้งใจจะมาหาเขาเท่าไหร่  เหลียนอันสุ่ยตั้งใจจะมาทำงาน  วันมะรืนฉีเซี่ยงหยวนจะเปิดฉากฆ่าคน  ส่วนเหลียนอันสุ่ยตั้งใจจะมาช่วยคน

ขณะกำลังรู้สึกไม่ยินยอมพร้อมใจ  เหลียนอันสุ่ยก็ฉวยโอกาสจุมพิตลงบนเรียวปาก  เสียงใสกระจ่างกล่าวเบาๆว่า
“ข้าคิดถึงท่านนะ  ข้าอาจจะอยู่ข้างท่านไม่ได้  แต่ข้าอยู่กับท่านเสมอ  ข้าเคยสัญญากับตัวเองว่าจะก้าวเดินไปกับท่าน  ตอนนี้ท่านต้องสัญญากับข้าว่าสุดท้ายเราจะกลับไปด้วยกัน”

ฉีเซี่ยงหยวนนิ่งอึ้ง  ข้าไม่ต้องการให้ท่านมาเสี่ยง  เพราะทั้งข้าและท่านต่างรู้ดีว่าถ้าเกิดอะไรที่สาหัสขึ้นมาจริงๆข้าเลือกท่านไม่ได้  แต่ข้ากลับลืมนึกไปว่าข้าต่างหากที่เสี่ยงกว่าท่าน  ซึ่งมันไม่ยุติธรรมกับท่านเลย 
ข้ายินดีเสี่ยงเพื่อความฝันของข้า  ส่วนท่านยินดีเสี่ยงเพื่อทำในสิ่งที่ท่านปรารถนา  ทั้งข้าและท่านล้วนเลือกแล้ว และเราจะไม่เปลี่ยนใจ  เพราะเราต่างรู้ดีว่าเราทำเพื่ออะไร
“ตกลง  ข้าจะพาท่านกลับไปแน่นอน”
---------------------
ที่พักในค่ายของเหลียนอันสุ่ยมีปัญหานิดหน่อย  ความจริงฉีเซี่ยงหยวนไม่วางใจอยากให้เหลียนอันสุ่ยพักที่กระโจมหลักของเขา  ทว่าแม่ทัพที่ไม่รักษากฎเกณฑ์  ไม่อาจทำให้ทหารเคารพกฎระเบียบ  ประเมินตามความเหมาะสมแล้วสรุปเหลียนอันสุ่ยก็ได้พักที่เดียวกับแพทย์ประจำกองทัพคนอื่นๆ
แต่ฉีเซี่ยงหยวนยื่นคำขาด  ต่อให้พักบริเวณเดียวกันก็ต้องเป็นกระโจมแยก  ประการแรกคือเหตุผลเรื่องความปลอดภัย  ประการที่สองคือเหตุผลเรื่องความหึงหวงไม่วางใจ  สุดท้ายแล้วเหลียนอันสุ่ยจึงเป็นหมอประจำกองทัพคนเดียวที่มีประโจมเป็นของตัวเอง  ทั้งยังเป็นหมอประจำกองทัพเพียงคนเดียวที่มีทหารตามประกบให้การอารักขาตลอดเวลา
---------------------
ชายป่าสงบเงียบ  ราวป่าทั้งป่ากำลังกลั้นหายใจ
กำลังพลกำลังค่อยๆจัดเรียงตามระบบระเบียบ  แผ่กระจายออกไปทั้งสองปีก  ฉีเซี่ยงหยวนบนหลังอาชาสีดำเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีทึมเทา 
หลิวฉางเฟยควบม้าตรวจตราเป็นรอบสุดท้าย  เหลือบมองไปทางมู่ซางกับฝงเป่าที่เป็นทัพหน้าซึ่งจัดทัพเสร็จสิ้นแล้ว  คู่กัดที่กัดกันทุกครั้งที่พบหน้าเช้านี้กลับสงบเป็นพิเศษ หลิวฉางเฟยรั้งสายตากลับมา  ไม่นึกแปลกใจที่ต้าอ๋องมอบหมายให้มู่ซางกับฝงเป่าทำงานร่วมกัน  คู่ปรับคู่นี้ความจริงมีอีกชื่อคือ ‘คู่ปราบพิชิต’  ทั้งๆที่ก่นด่ากันเป็นประจำแต่กลับเป็นคู่ที่ทำงานประสานกันได้อย่างไร้ที่ติที่สุด
บรรยากาศโดยรอบในความสงบมีความฮึกเหิมอยู่เต็มเปี่ยม  ในความตึงเครียดมีความแน่วแน่  ท่าทีของฉีเซี่ยงหยวนสงบเยือกเย็น  มีเพียงตัวฉีเซี่ยงหยวนเองที่ทราบว่าชั่วขณะนั้นความรู้สึกที่อัดแน่นในใจมากมายจนบ่งบรรยายไม่ถูก  เพื่อก้าวๆนี้เขาทุ่มเทไปมากเหลือเกิน  วางแผนมาเป็นแรมปี  ใตร่ตรองใคร่ครวญมาเป็นพันหน
 
อำนาจในแคว้นไม่มั่นคงก่อสงครามไม่ได้  คลังเสบียงร่อยหรอก่อสงครามไม่ได้  เงินในท้องพระคลังว่างเปล่ายิ่งก่อสงครามไม่ได้  ทหารฝึกฝนไม่ดีไม่อาจนำชัยชนะ  ชาวนาไม่เพาะปลูกสุดท้ายจะไม่มีเสบียงเลี้ยงแนวหน้า  สถานการณ์สามแคว้นไม่พร้อมสรรพก่อศึกคือดันทุรัง  ปัญหาทีละจุดค่อยๆปรับแก้  สะสมหมากในมือทีละน้อย  เพื่อเตรียมรับมือกับกงล้อแห่งอำนาจที่สุดท้ายต้องวนมาถึงความแตกแยก  เพื่อให้เมื่อสงครามปะทุขึ้นแคว้นเป่ยชางจะมีทุนรอนเพียงพอจะต่อกรกับแคว้นอื่น 

การศึกเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน  สงครามเป็นเรื่องที่ต้องลงทุนมหาศาล  ทั้งชีวิตและทรัพย์สินสิ้นเปลืองอย่างยิ่ง  ดังนั้นสิ่งที่มันแลกมาจะต้องคุ้มค่า  ศึกนี้ต้องชนะไม่อาจพ่ายแพ้ !

ความกดดันไหลบ่าถาโถมเข้ามา  ผลจากสิ่งที่เขาทำมาทั้งหมดกำลังจะปรากฏขึ้นตรงหน้า  น่าแปลกที่เมื่อแสงอาทิตย์แตะขอบฟ้าใจของฉีเซี่ยงหยวนกลับรู้สึกปลอดโปร่ง  เนื่องจากไม่จำเป็นต้องห่วงพะวงถึงสิ่งใดอีกต่อไป  สิ่งที่เขาต้องเผชิญหน้าในที่สุดก็ต้องเผชิญหน้าแล้ว

เสียงเป่าเขาสัตว์ดังยาว  สะท้อนไปทั่วชายป่า

แสงอรุณเบิกฟ้า  นำพาความตายมาเยือน

ตอนทหารรักษาด่านเหวินถงสะท้านตื่นก็เห็นทัพเป็นแผ่นผืนคุกคามมาจากแนวป่า  ราวกองทัพผีสางที่กำเนิดขึ้นเองจากหมอกควัน  ธงทิวปลิวสะบัดทัพหน้าสองปีกเคลื่อนไหวโดยพร้อมเพรียง  มือธนูของด่านเหวินถงยังไม่ทันพร้อม  ทัพหน้าข้าศึกก็ก็ล้ำเข้ามาในรัศมีที่เป็นอันตรายแล้ว 
ทหารหนานเหมินแตกตื่นขวัญเสีย  เฮ่อสวินที่เพิ่งมาถึงมีมีหน้าเคร่งเครียดเมื่อเห็นเครื่องมือบุกตีเมืองพร้อมสรรพถูกลำเลียงมา  ทราบดีว่าประตูและกำแพงของด่านเหวินถงไม่แข็งแกร่งพอจะต้านไว้ได้นาน  ตัดสินใจสั่งให้เปิดประตูเมือง  ส่งหน่วยทัพที่เพิ่งจัดเสร็จอย่างรีบร้อนออกไปรับมือ  กดดันให้ข้าศึกถอยร่นห่างออกจากแนวกำแพง
“ท่าน...ท่านแม่ทัพ  ทัพหนุนข้าศึก  ทัพหนุนข้าศึก จะ เจ็ดหมื่น!” นายทหารคนสนิทวิ่งมารายงาน  เฮ่อสวินเพ่งสายตามองออกไปอย่างตื่นตระหนก  เพราะโยกคนไปช่วยเมืองหลงฉีรับมือหยงเซี่ย ทหารที่ประจำในด่านเหวินถงจึงน้อยกว่าจำนวนข้าศึกอย่างไม่ต้องสงสัย  แต่ที่ทำให้เฮ่อสวินหนักใจคือขวัญทหารไม่เหลือแล้ว  กระทั่งทหารคนสนิทที่ปกติเยือกเย็นยังรีบร้อนจนกล่าววาจาไม่เป็นคำ  สภาพเช่นนี้รับมือทหารข้าศึกอีกเจ็ดหมื่นจะไหวหรือ...
“ไม่ไหวก็ต้องไหว  ทัพชุดที่สองจัดเสร็จรึยัง  คราวนี้ข้าจะนำทัพออกไปเอง” ต้องเรียกขวัญทหารกลับคืนมา จำนวนคนมิใช่ยื้อไม่ได้โดยสิ้นเชิง  แต่กำลังขวัญแบบนี้ต่อให้มีจำนวนมากกว่าข้าศึกสองเท่าก็ต้านไม่อยู่ !

น่าเสียดายที่ฉีเซี่ยงหยวนก็ทราบเช่นกันว่าถ้าเฮ่อสวินเรียกขวัญทหารกลับคืนมาได้ความได้เปรียบที่สร้างขึ้นจะสูญเสียไป  ดังนั้นคำสั่งที่มู่ซางได้รับก่อนเคลื่อนทัพจึงมีประโยคเดียว
‘ทุกหน่วยทัพที่ข้าศึกยกออกมาต้องตีให้แตก’
ทัพมู่ซางกับฝงเป่าในเวลานี้จึงมีสภาพเป็นเหมือนดาบสองเล่ม  ศัตรูยกออกมาเท่าไหร่ก็ถูกเฉือนแบ่งเป็นชิ้นๆ  โดยไม่ทันรู้ตัวทัพด้านหน้าและด้านหลังต่างกลายเป็นมิใช่พวกเดียวกัน  ทหารหนานเหมินกำลังใจย่ำแย่อยู่แล้ว  เจอแบบนี้ยิ่งกำลังใจหดหายความฮึกเหิมไม่มีเหลือ  รวมตัวกันอย่างสะเปะสะปะ  ถูกทหารเป่ยชางล้อมกำจัดสิ้น

สมาธิที่แน่วแน่เป็นทั้งหอกที่คมที่สุดและเป็นทั้งโล่ที่แข็งแกร่งที่สุด  น่าเสียดายที่หอกแคว้นเป่ยชางถูกลับจนคมกริบ  แต่โล่ของแคว้นหนานเหมินกลับเป็นโล่ชั้นเลว  ไม่อาจปิดป้องต้านรับ

ทว่าเมื่อเฮ่อสวินปรากฎตัวสถานการณ์ก็พลิกกลับกลาย  เฮ่อสวินระวังการเฉือนแบ่งของศัตรูอยู่ก่อนแล้ว  จึงสั่งให้ทหารรวมตัวกันเหนียวแน่น  ฝงเป่าเฉือนไม่สำเร็จ  ส่วนมู่ซางเริ่มยุ่งยากใจเมื่อพบว่าขวัญทหารฝ่ายตรงข้ามเริ่มกลับคืนมา  ในขณะที่ความฮึกเหิมของฝ่ายตัวเองกลับถูกลดทอนลง  นี่ต้องโทษเฮ่อสวินชื่อเสียงโด่งดังเกินไป  ภาพลักษณ์ของด่านที่เฮ่อสวินเฝ้ารักษาจึงดูราวกับไม่มีวันตีแตก  อย่างน้อยในใจชาวหนานเหมินก็รู้สึกเช่นนั้น

กำลังคนถูกเฮ่อสวินทะลวงเป็นช่องใหญ่  มู่ซางจึงสั่งให้คนโบกธงส่งสัญญาณให้ฝงเป่าซึ่งอยู่ใกล้กว่าเข้าไปอุด  ส่วนตัวเองสั่งให้ทหารจัดรูปขบวนที่สูญเสียไปเพราะเข่นฆ่าข้าศึกใหม่ 
เมื่อเจอกับด้านที่เป็นหัวหอกของกองทัพฝงเป่า  เฮ่อสวินก็ไม่สามารถทะลวงฝ่าได้ดั่งใจนึก จำเป็นต้องเปิดศึกติดพัน  ส่วนมู่ซางที่จัดรูปขบวนเสร็จสิ้นหรี่ตามองสภาพที่เกิด  เหนี่ยวธนูขึ้นสายช้าๆ  เขาย่อมหาจังหวะและหาโอกาสมานาน  ที่จะยิงธนูนัดเดียว  สอยร่วงทั้งทัพ
ในเสียงอุทาน ธนูดอกหนึ่งปักเข้าที่หัวไหล่ของเฮ่อสวิน !

มู่ซางเจ็บใจเสียดาย  ธนูดอกนั้นจริงๆควรเสียบทะลุลำคอ  แต่เฮ่อสวินเบี่ยงตัวหลบพอดีจึงไปโดนจุดไม่สำคัญ  เหนี่ยวธนูขึ้นสายอีกครั้ง
“ท่านแม่ทัพระวัง!” มีเสียงร้องเตือน  ธนูดอกที่สองจึงถูกเฮ่อสวินปัดได้  ทหารหนานเหมินเริ่มรุมล้อมเพื่อป้องกันแม่ทัพของตน
ฝงเป่าที่รู้จังหวะกันดีตะโกนเสียงก้อง
“เฮ่อสวินบาดเจ็บแล้ว !” มีเสียงทหารเป่ยชางรับต่อกันเป็นทอดๆ  กระจายไปยังทหารหนานเหมินที่อยู่ห่างออกไป  กำลังใจที่เพิ่งจะรวบรวมกลับมาได้อย่างยากลำบากสูญหายไปอีกครา  ร่ำร้องว่า
“คุ้มกันท่านแม่ทัพ”
ในความสับสนวุ่นวาย  มู่ซางฆ่าเฮ่อสวินไม่สำเร็จ  แต่ก็สอยรองแม่ทัพของเฮ่อสวินคนหนึ่งร่วงตกหลังม้า  ทัพหลักของฉีเซี่ยงหยวนตีกรอบเข้ามาถึง  ทหารแคว้นเป่ยชางยิ่งฮึกเหิม  แม้จะล้มตายไปบางส่วน  แต่ก็ฉุดลากศัตรูลงหลุมไปด้วยนับไม่ถ้วน  ทหารในสังกัดเฮ่อสวินโดยตรงต่อสู้อย่างห้าวหาญแต่ก็ตรึงสถานการณ์โดยรวมที่ระส่ำระสายถึงขีดสุดไว้ไม่อยู่

เฮ่อสวินมิใช่คนไม่รู้จักประเมินสถานการณ์  เดิมทีฝ่ายเขาก็เสียเปรียบมาตั้งแต่ต้นเพราะศัตรูปรากฏขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว  ตอนนี้ขวัญทหารยากกอบกู้กลับคืนมาแล้ว  ซ้ำจำนวนคนยังน้อยกว่า  ตัดสินใจถอยกลับเข้าด่าน  คิดอาศัยความได้เปรียบที่การตั้งรับง่ายกว่าบุกตียื้อสถานการณ์กลับมา  แต่ฝงเป่ากลับเกาะติดเขาไม่ปล่อย  เพราะฝงเป่าเองก็ทราบดีว่าการเข้าเมืองไม่มีอะไรสะดวกไปกว่าการเข้าทางประตูที่เปิดอยู่

ทหารหนานเหมินในด่านพยายามยิงธนูลงมาคุ้มกันให้ฝั่งตัวเองถอยกลับโดยราบรื่น  แต่การถอยกลับครั้งนี้ฉุกละหุกยิ่ง  ระยะทางจากนอกด่านถึงในด่านมีร่างทหารของฝ่ายศัตรูและฝ่ายตัวเองล้มตายเป็นเบือ
 
ในที่สุดประตูด่านก็สามารถปิดลง  ทว่าปิดได้ไม่นานก็ถูกกระทุ้งให้เปิดออกด้วยท่อนซุงใหญ่  อุปกรณ์บุกตีเมืองทำงานเต็มอัตรา
ในตอนที่เห็นทหารม้านับพันหลั่งไหลเข้ามาเฮ่อสวินก็ทราบแล้วว่าสถานการณ์สุดจะแก้ไข ต้องถอยร่นสถานเดียว  ในที่สุดจึงออกคำสั่งให้ถอยทัพ 
ทัพหน้ากับทัพหลักของข้าศึกรวมเป็นจำนวนมหาศาล  ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้การประสานงานแต่ละส่วนของฝ่ายศัตรูสอดคล้องลื่นไหลเป็นหนึ่งเดียว  เห็นได้ชัดว่านี่เป็นทัพที่ฝึกมาอย่างดี  ทั้งยังอยู่ในสภาพขวัญทหารถูกลับจนแหลมคมถึงขีดสุด  ทัพเช่นนี้ต้านไม่ได้  การไม่ยอมถอยมีแต่จะสูญเสียมากขึ้น  อย่าว่าแต่ทหารหนานเหมินมีกำลังแต่ไม่มีใจต่อสู้  เอาสภาพอ่อนแอของตัวเองไปปะทะกับความเข็มแข็งของข้าศึกเป็นเรื่องที่โง่เขลาชัดๆ  ตอนนี้หนึ่งเดียวที่เฮ่อสวินหวังคือทหารฝ่ายเขาจะสามารถถอนตัวไปตั้งหลักใหม่โดยไม่สะบักสะบอมมากนัก

เสียงเป่าเขาสัตว์  ข้าศึกแปรรูปขบวนอีกครั้ง

เฮ่อสวินไม่อาจรีบหลบหนีจากไปก่อน  ไม่เช่นนั้นทหารเฝ้าด่านทั้งสี่หมื่นจะต้องถูกสังเวยให้ศึกครั้งนี้จนหมดสิ้น  จำต้องกัดฟันรั้งท้ายเพื่อควบคุมการถอยทัพให้กำลังพลฝ่ายตัวเอง  การทำเช่นนี้ทำให้เขาได้เห็นอานุภาพของทัพเป่ยชางชัดถนัดตา  ความหนาวเยือกแผ่คุกคามมาตามแนวสันหลัง  หรือว่าผู้บัญชาทัพจะเป็นหยงเซี่ย  ทว่าเฮ่อสวินรับมือกับหยงเซี่ยมานับครั้งไม่ถ้วนทราบดีว่านี่มิใช่รูปแบบการบุกตีของหยงเซี่ย  สายตาของแม่ทัพชราเงยขึ้นเสาะหาธงบนผืนฟ้า ...เป่ยชางอ๋อง

ที่แท้คนนำทัพหลักคือเป่ยชางอ๋อง  ต้าอ๋องแคว้นเป่ยชางมาถึงชายแดนแคว้นหนานเหมินแล้ว

ศึกที่แท้จริงระหว่างแคว้นเป่ยชางกับแคว้นหนานเหมินเปิดฉากขึ้นในลักษณะนี้  ชื่อเสียงการเฝ้าด่านของเฮ่อสวินถูกทำลายลงเป็นครั้งที่สาม  และเป็นครั้งที่ยับเยินที่สุดในชีวิตของเขา
---------------------
ชัยชนะครั้งแรกได้มาโดยไม่เกินความคาดหมาย  เนื่องจากมันเกิดจากความรอบคอบและการวางแผนมาอย่างยาวนาน  ทว่าชัยชนะเพียงครั้งเดียวมิได้กำหนดผู้ชนะหรือพ่ายแพ้ที่แท้จริงในสงคราม  ด่านเหวินถงแตกได้ไม่นาน  เมืองหลงฉีก็ถูกกลุ้มรุมกระหนาบ  จนไม่อาจยันหยงเซี่ยไว้ได้อีกต่อไป   แนวป้องกันของแคว้นหนานเหมินถอยร่นเข้าสู่เมืองชั้นที่ไม่ได้ติดชายแดน  กำลังหลักแคว้นเป่ยชางก้าวล้ำเข้าสู่แคว้นหนานเหมินโดยสมบูรณ์  และเป็นก้าวแรกสู่อันตราย

การบุกลึกเข้ามาในเมืองข้าศึกความจริงเป็นเรื่องอันตรายเสมอ

การเคลื่อนไหวของแคว้นเป่ยชาง  ทำให้หนานเหมินอ๋องที่บุกลึกเข้าไปในแคว้นโหยวเฉิงเร่งบุกตียึดเมืองสำคัญ  หวังจบศึกโดยเร็วที่สุด
“ต้าอ๋อง  ทัพเป่ยชางรวมกำลังคนทั้งหมดเกือบสามสิบหมื่น  ปล่อยไว้เช่นนี้จะดีหรือ”
ทว่าหนานเหมินอ๋องกลับตอบแม่ทัพใต้บังคับบัญชาเขาด้วยเสียงแหบพร่าเยือกเย็นว่า
“คิดยึดแคว้นโหยวเฉิง  นี่เป็นโอกาสที่สุกงอมที่สุด  พวกเราก้าวมาได้ครึ่งทางแล้ว  หากถอยทัพกลางคันศึกนี้จะได้ไม่คุ้มเสีย  อีกอย่างพื้นที่ในเขตแผ่นดินแคว้นหนานเหมิน  เฮ่อสวินรู้จักดีกว่าฉีเซี่ยงหยวนมากนัก  แม้ศึกแรกศัตรูจะเดินอุบายจนชิงเป็นฝ่ายมีเปรียบ  แต่ความได้เปรียบนี้หลังเปิดเผยร่องรอยฉีเซี่ยงหยวนก็สูญเสียมันไปแล้ว”
---------------------
“หนานเหมินอ๋องไม่มีทางยอมถอยกลับมาโดยง่ายดาย  เพราะนี่เป็นศึกใหญ่ครั้งสุดท้ายในชีวิตเขา  ตาแก่นั่นหลับตาเป็นอยากได้แผ่นดินแคว้นโหยวเฉิง  คิดช่วยแคว้นโหยวเฉิงมีหนทางเดียวคือบุกลึกต่อไปให้สุดท้ายแล้วหนานเหมินอ๋องไม่อาจไม่ถอยกลับมา” นี่คือคำวิจารณ์ที่ฉีเซี่ยงหยวนมีต่อหนานเหมินอ๋อง

โชคชะตาคล้ายกำลังยื้อยุดกันอย่างสุดกำลัง  ว่าสรุปแล้วความปั่นป่วนนี้จะนำพาแคว้นเป่ยชางไปสู่ความยิ่งใหญ่  หรือนำพาแคว้นหนานเหมินไปสู่ตำแหน่งที่ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมได้  หากหนานเหมินอ๋องรวบกลืนแคว้นโหยวเฉิงได้ก่อน  รวมกำลังสองแคว้นเข้าด้วยกัน  จุดจบของแคว้นเป่ยชางจะอยู่อีกไม่ไกล  แต่หากแคว้นเป่ยชางบุกลึกจนกดดันให้หนานเหมินอ๋องต้องถอยทัพกลับมาก่อน  เมื่อเทียบความสูญเสียกับแคว้นอื่น  แคว้นเป่ยชางจะเป็นแคว้นที่ได้เปรียบที่สุด

ต้าอ๋องหนุ่มฉกรรจ์กับต้าอ๋องวัยแก่ชราคู่นี้  ในที่สุดก็เดินทางมาจนถึงตำแหน่งตั้งประจันหน้ากันอย่างเต็มรูปแบบ  แม้ไม่ได้ปะทะกันกลางสนามรบ  แต่ล้มหมากหนึ่งตัวส่งผลทั้งกระดาน  ทุกก้าวล้วนเป็นการช่วงชิงกันของไหวพริบและสติปัญญา 
หมากกระดานใหญ่ขีดช่องแบ่งตารางบนแผ่นดินของทั้งสามแคว้น  แข่งกับขีดความสามารถของตัวเอง  แข่งกับกันและกัน  และแข่งกับเวลา
---------------------


อาทิตย์หน้าติดสอบอัพให้ไม่ได้นะคะ  ตอนต่อไปน่าจะลงให้ได้ประมาณวันที่6 ธ.ค. ดึกๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-11-2014 16:26:50 โดย wind of autumn »

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ตื่นเต้น ไม่รู้ผลจะเป็นยังไง
ใจนึงก็เป็นห่วงเหลียนอันสุ่ยด้วยกลัวจะไม่ปลอดภัย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด