บทที่ 64 ปฏิรูป(1)
เป็นเวลาเกือบสองปีกว่าตู้ฮูหยินจะยอมรามือจากเรื่องอัครชายาและทายาท เหลียนอันสุ่ยแม้ไม่สามารถให้ความร่วมมือโดยเปิดเผย แต่กลับไม่เคยขัดขวางมาก่อน ส่วนฉีเซี่ยงหยวนแม้ทราบดีว่าคนทั้งคู่ต่างหวังดีต่อเขา แต่กลับไม่เคยให้ความร่วมมือเดินไปในหนทางที่ผู้อื่นจัดแจงให้แก่เขามาก่อน ระหว่างที่วันเวลาผ่านไปเช่นนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย นอกจากปัญหาน้อยใหญ่ที่ไม่เคยหมดสิ้นยังมีความรู้สึกผิดหนึ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของฉีเซี่ยงหยวน
“ข้าขอโทษที่ไม่อาจ...ให้ฐานะใดแก่ท่านได้” มิใช่ ‘ไม่สามารถ’ แต่เป็น ‘ไม่อาจ’ ดวงตาคมมองคนที่อยู่เคียงข้างเขาแต่ไม่เคยเรียกร้องอะไรจากเขาอย่างเสียใจ
เหลียนอันสุ่ยที่นั่งชมจันทร์เป็นเพื่อนอีกฝ่ายผินหน้ามา กล่าวอย่างจริงจังว่า
“เซี่ยงหยวน ข้าไม่ต้องการ” เพราะข้าเองก็ไม่อาจ...ยืนเคียงข้างท่านในที่สว่างได้ เกียรติของแคว้นเหลียนข้าไม่มีสิทธิ์เอามันมาเหยียบย่ำ
มือใหญ่คว้าข้อมืออีกฝ่ายไว้
“แต่ข้าสมควรให้ท่าน ไม่อย่างนั้นเรื่องระหว่างเราจะต้องอยู่แค่ในเงามืดตลอดไป และท่านเองก็จะถูกดูถูก...”
“ฐานะนั้นให้อะไรข้าได้บ้าง ทำให้ข้าสามารถยืนเคียงข้างท่านได้นานขึ้นหรือ...น่ากลัวจะมิใช่ ทำให้ข้ามีความสุขมากขึ้นหรือ...ก็น่ากลัวจะมิใช่อีก ทำให้ท่านรักข้ามากขึ้นหรือ...นี่ก็ไม่ใช่เช่นกัน ฐานะนั้นนำมาแต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่า ปัญหาที่ยุ่งยากยิ่งกว่า ข้ารู้ว่าเหตุใดท่านจึง ‘ไม่อาจ’ และข้าก็อยากให้ท่านรู้ว่าข้าเองก็ ‘ไม่อาจ’ และไม่ถือสาด้วย ต้าอ๋อง ฐานะเป็นแค่เปลือกนอกที่เอาไว้ให้คนมอง ที่ผู้คนต้องการมันเพราะมันทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขามั่นคงมากขึ้น แต่สำหรับพวกเราข้าไม่เคยรู้สึกว่ามันจำเป็น เพราะข้าไม่กลัวเลย ไม่ว่าจะเกิดอะไรหลังจากนี้ก็ไม่กลัวทั้งนั้น”
มือใหญ่ที่กำรอบมือเรียวกระชับแน่นเข้า ความรู้สึกหลากหลายรัดพันหัวใจฉีเซี่ยงหยวนจนพูดไม่ออก สุดท้ายเค้นออกมาเป็นน้ำเสียงแหบพร่าว่า
“...ข้าจะรักท่านตลอดไป ไม่มีวันทิ้งขว้างท่าน”
เหลียนอันสุ่ยกลับแย้มยิ้มบางๆ กล่าวอย่างจริงจังว่า
“ตลอดไปยาวนานเกินไป ข้าไม่ต้องการคำว่าตลอดไป ข้าแค่หวังให้ชั่วขณะนี้ท่านรักข้า”
“...ข้ารักท่าน” ใต้แสงจันทร์สีเงินยวง บุรุษผู้หนึ่งเอ่ยคำที่อยู่ในหัวใจเขาซ้ำอีกครั้ง
ใต้ฐานะที่เป็นเพียงเปลือกนอก ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองเป็นเช่นไร ข้าและท่านทราบกระจ่างแก่ใจก็เพียงพอ
---------------------
ในปัญหาน้อยใหญ่เหล่านั้นพอจะมีปัญหาที่นับว่าโดดเด่นมากอยู่ปัญหาหนึ่ง
เวลาบ่ายแดดจัดจ้า เหล่าขุนนางที่ทยอยเดินออกมาจากท้องพระโรงพากันเอามือป้องนัยน์ตาขณะก้าวลงบันได
วันนี้ในที่ประชุมต้าอ๋องมีดำริจะ ‘ส่งเสริมการเพาะปลูก’ เพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนอาหารในหน้าแล้ง นอกจากเน้นพัฒนาวิธีการเกษตรแล้ว ผู้หักร้างถางพงเพื่ออยู่อาศัยจะได้รับการประทานที่ดิน ผู้ผลิตข้าวและผ้าทอให้ราชสำนักได้มากจะได้รับการยกเว้นภาษี แรงจูงใจใหญ่หลวงไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าต้าอ๋องต้องการจะเพิ่มผลผลิตในคลังเสบียง
บรรดาขุนนางใหญ่ไม่ได้ให้ความสนใจภาษีเล็กน้อยที่จะงดเว้นเหล่านั้น และยิ่งไม่ได้สนใจที่ดินในเขตห่างไกล พวกเขาเพียงสนใจว่านโยบายนี้ใช่มีนัยยะแอบแฝงหรือไม่ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดในการเดินทัพ...คือเสบียง
ขณะพวกเขายังรอดูท่าทีเดาไปเดามา นโยบายนี้ก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เวลาเพียงไม่กี่เดือนคลังเสบียงก็บรรจุเพียบไปด้วยข้าว อาณาเขตทางเหนือและตะวันออกของแคว้นเป่ยชางแผ่ขยายออกไป
---------------------
“มีคนบอกว่าท่านจะทำศึก ? ”เหลียนอันสุ่ยถามคำถามนี้ขึ้นมาในเย็นวันหนึ่ง
ฉีเซี่ยงหยวนที่นั่งร่างความคิดของตัวเองอยู่บนโต๊ะเงยหน้าขึ้นมาอย่างแปลกใจ นานๆครั้งเหลียนอันสุ่ยจะถามเกี่ยวกับสิ่งที่เขากำลังทำอยู่
“ทำศึก? เวลานี้อำนาจในแคว้นเป่ยชางยังไม่ลงตัวดีจะรีบร้อนทำศึกไปเพื่ออะไร เหลียนอันสุ่ย ท่านวางใจเถอะ ข้ายังไม่คิดก่อสงครามในเร็วๆนี้”
ได้คำมั่นจากปากฉีเซี่ยงหยวนคนฟังค่อยผ่อนลมหายใจออกมาอย่างวางใจ ยิ้มบางๆกล่าวว่า
“ข้าแค่ไม่คิดว่าท่านจะให้ความสำคัญกับการเพาะปลูกจริงๆ ข้าคิดว่าท่านจะชอบเรื่องพวกกองทัพซะอีก” ถึงแม้เหลียนอันสุ่ยจะเคยเห็นกับตาว่าฉีเซี่ยงหยวนให้ความสนใจเกี่ยวกับการเก็บกักน้ำของแคว้นเหลียน แต่มองอย่างไรพระมาตุลาแคว้นเหลียนก็ยังมีความรู้สึกว่ามันไม่ค่อยเข้ากันอยู่บ้าง
ฉีเซี่ยงหยวนฟังแล้วหัวเราะ วางพู่กันในมือลง เล่าสาเหตุให้ฟังว่า
“ข้าแค่เข้าใจความรู้สึกของคนที่ไม่มีข้าวกินเท่านั้น ตอนปราบพิชิตทางเหนือมีอยู่ครั้งหนึ่งถลำลึกเข้าไปในแดนศัตรู เส้นทางลำเลียงเสบียงล้วนถูกตัดขาด ไม่มีกินกันทั้งกองทัพ ข้ายังจำได้ดีว่าความรู้สึกหิวโหยพอจะกินเนื้อคนมีสภาพเป็นเช่นไร อากาศหนาวมาก มองไปทางไหนมีแต่หิมะ ข้าถึงกับมีความคิดเหลวไหลว่าหากหิมะกลายเป็นข้าวได้ก็คงจะดีไม่น้อย โชคดีที่พี่ใหญ่มาถึงทันก่อนทั้งหมดจะยืนหยัดต่อไปไม่ไหว ชนเผ่าทางเหนือชอบเล่นแบบนี้ สภาพแวดล้อมของพวกเขาอันตรายมากพออยู่แล้ว เพียงพอจะทำให้ชนะได้โดยไม่จำเป็นต้องรบให้เหนื่อยเท่าไหร่เลย”
“...แต่สุดท้ายท่านก็ชนะพวกเขา”
“ใช่ สุดท้ายข้าชนะพวกเขา”
---------------------
นโยบายช่วงแรกประสบความสำเร็จอย่างงดงาม แต่กองทัพไม่ได้มีความเคลื่อนไหวอะไร ต้าอ๋องดำริจะดำเนินการต่อไปและเพิ่มการส่งเสริมให้มากขึ้น โดยจัดสรรที่ดินทำกินให้เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะบุคคล นั่นคือให้ราษฎรสามารถถือครองที่ดิน นโยบายขั้นที่สองนี้เองที่ก่อให้เกิดกระแสปั่นป่วนไปขึ้นในราชสำนัก
เมฆขาวลอยเอื่อยอยู่บนฟ้า ใต้เท้าสามคนมีกำหนดนัดเดินหมาก ใต้เท้าต้วนนั่งฟังใต้เท้าเฝิงกับใต้เท้าอู่ถกกันไปมา นิ้วมือไล้ขอบถ้วยชา สายตามองหมากบนกระดานอย่างครุ่นคิด พวกเขาทั้งสามต่างเป็นขุนนางใหญ่แห่งราชสำนัก ติดตามรับใช้มาตั้งแต่รัชกาลก่อน ขอบเขตอิทธิพลไม่จำเป็นต้องพูดถึง
“ต้าอ๋องจะให้พวกเราส่งรายการที่ดินที่ถือครอง คิดจะทำอะไรกันแน่ ร้อยวันพันปีราชสำนักไม่เคยสนใจตรวจสอบเรื่องพวกนี้ เหตุใดครั้งนี้จึงดูเป็นจริงเป็นจังยิ่ง” ใต้เท้าเฝิงกล่าวพลางขมวดคิ้วแนบแน่น
“ต้าอ๋องจะจัดสรรที่ดินทำกินให้ราษฎร ก็ต้องรู้ก่อนว่าที่ตรงไหนเป็นของใคร ไม่เช่นนั้นจะเกิดความผิดพลาดได้”
“เฒ่าชราแซ่อู่นี่ท่านเชื่อจริงๆหรือหรือว่าต้าอ๋องคนนี้จะทำอะไรตรงไปตรงมาแบบนั้น” ใต้เท้าเฝิงเอ่ยค้านน้ำเสียงไม่วางใจ
คนถูกเรียกเป็นเฒ่าชราหัวเราะ ไม่ได้ยอมรับหรือกล่าวปฏิเสธ แค่วางหมากลงไป
ต้วนจื้อผิงที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยช้าๆว่า
“ท่านมีความเห็นอย่างไรกันแน่ พูดตามตรงข้าไม่ค่อยจะวางใจนัก ต้าอ๋องไม่เชี่ยวชาญบริหาร แต่ขุนนางใต้บัญชาเขามีหลายคนที่มองข้ามไม่ได้ ไม่รู้คราวนี้จะมาไม้ไหนอีก” กล่าวจบก็วางหมากเพราะวนมาถึงตาของเขา
อู่เส้าเทียนหัวเราะอีกครั้ง ทวนคำ
“ไม่เชี่ยวชาญบริหาร ? หรือท่านไม่เคยได้ยินคำว่าปราดเปรื่องทั้งบุ๋นบู๊”
ผู้ดำรงตำแหน่งประมุขตระกูลต้วนแจกแจงอย่างจริงจัง
“ต้าอ๋องเพิ่งกุมอำนาจได้ไม่นาน ไม่ว่าอย่างไรก็ถือว่าอ่อนประสบการณ์ในการบริหารบ้านเมือง จึงเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องง่าย มองความยุ่งยากของปัญหาไม่ออก”
ใต้เท้าเฝิงฟังแล้วผงกศีรษะเห็นพ้อง แต่อู่เส้าเทียนกลับแย้งว่า
“ข้าไม่คิดเช่นนั้น พวกท่านไม่รู้สึกหรือว่านโยบายส่งเสริมการเพาะปลูกเป็นแค่ฉากบังหน้า สิ่งที่ต้าอ๋องตั้งใจจะทำจริงๆคือปฏิรูปที่ดินต่างหาก” …!
เงียบกันไปช่วงใหญ่ ใต้เท้าเฝิงก็แค่นหัวร่อ กล่าวว่า
“เฮอะ ปฏิรูปที่ดินอันใด คิดการใหญ่โตไปหน่อยกระมัง หากขุนนางทั้งราชสำนักต่างพร้อมใจกันไม่ส่งรายงานการถือครองที่ดิน ต้าอ๋องยังจะทำอย่างไรพวกเราได้ หรือจะประหารให้หมดราชสำนัก?”
---------------------
ตอนจางจื่อหยูได้ยินนโยบายขั้นที่สองคราแรกก็ยังพยักหน้าคล้อยตาม แต่เมื่อใคร่ครวญอย่างละเอียดขุนนางชราผู้นี้ก็นั่งไม่ติดที่ แล่นมาขอเข้าเฝ้าเป็นการด่วนถึงตำหนักเยี่ยอวิ๋น
“ต้าอ๋อง นี่ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่ จะส่งเสริมการเกษตรไม่เห็นต้องสำรวจการถือครองที่ดินเลย ทำแบบนี้ผลกระทบมันจะไม่ใช่น้อยๆ ต้องมีขุนนางบางคนไม่ยอมอยู่เฉยแน่”
“ใต้เท้าจาง เวลาเพาะปลูกมิใช่กระทำกันบนดินหรอกหรือ ที่ดินยังไม่มีแล้วจะให้ราษฎรหว่านไถจากอะไร ดังนั้นต้องตั้งต้นจัดการจากที่ดินก่อนจึงสามารถพัฒนาการเพาะปลูก”
“ต้าอ๋อง สภาพอำนาจในแคว้นเป็นอย่างไร ท่านสมควรทราบกระจ่างกว่าข้า องค์ชายห้าแม้ไม่อยู่ในเมืองหลวง แต่อิทธิพลของอดีตเป่ยชางอ๋องยังไม่หมดไป ขุนนางในราชสำนักมีไม่น้อยที่ไม่ได้ยืนอยู่ฝ่ายเรา ท่านยิ่งมีนโยบายแบบนี้ออกมา พวกเขายิ่งหาพรรคพวกได้ง่ายขึ้น”
“เรื่องแบบนี้ไม่ว่าดำเนินการช่วงไหนก็ต้องเผชิญหน้ากับการคัดค้านทั้งสิ้น ตอนนี้นโยบายช่วงแรกกำลังประสบความสำเร็จ คิดสานต่อไม่มีจังหวะใดเหมาะสมไปกว่าตอนนี้อีกแล้ว” เสียงของหลี่กวงเว่ยปรากฏพร้อมเจ้าตัวที่เดินหอบม้วนตำราเข้ามา
จางจื่อหยูยังคงยืนยันว่านี่มิใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม สมควรรอคอยอีกสองสามปีให้บ้านเมืองมั่นคงกว่านี้จึงค่อยดำเนินการ หากไม่ว่าพูดอย่างไรนายเหนือหัวกลับไม่คิดจะเปลี่ยนใจ ก่อนจากไปจางจื่อหยูจึงกล่าวว่า
“ต้าอ๋อง ตอนนี้สถานการณ์ยังสงบเพราะเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น หากท่านคิดดำเนินการต่อไป สมควรเตรียมวิธีรับมือการคัดค้านเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะมันจะเกิดขึ้นแน่นอน”
เงาหลังผอมสูงลับหายไป ฉีเซี่ยงหยวนก็มีรอยยิ้มที่มุมปาก กล่าวว่า
“ความจริงจางจื่อหยูก็พูดถูกไม่น้อย นี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น”
หลี่กวงเว่ยที่ยืนอยู่เบื้องหลังร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์สีดำคุกเข่าลงกับพื้น เสียงโขกศีรษะทำให้ฉีเซี่ยงหยวนหันกลับมา
“เจ้าโขกศีรษะให้ข้าทำไม”
“สัจจะวาจาของต้าอ๋อง หลี่กวงเว่ยเลื่อมใสยิ่งนัก ยินดีเป็นวัวเป็นม้าติดตามรับใช้ท่านไปจนวันตาย”
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะ
“วัวกับม้าข้ามีเยอะแล้ว ข้าต้องการสมองของเจ้า และข้าก็ไม่ต้องการความตายของเจ้า ข้าต้องการความสำเร็จของเจ้า ไม่ต้องโขกศีรษะให้ข้า ข้าแค่ทำตามข้อตกลงที่ข้าเคยให้ไว้ เจ้ารู้ว่าข้าอยากเปลี่ยนอะไร และข้าจะต้องทำให้ได้ แคว้นเป่ยชางมีโฉมหน้าแบบนี้มานานเกินไปแล้ว หากยังไม่ปรับเปลี่ยนจะไม่มีวันก้าวล้ำกว่าแคว้นหนานเหมินได้เลย”
แววตาของฉีเซี่ยงหยวนเย็นจัดและแน่วแน่ ดุจเดียวกับวันที่พวกเขามีข้อตกลงระหว่างกัน วันเดียวกับที่หลี่กวงเว่ยตัดสินใจรับใช้นายเหนือหัวผู้นี้
หากความใฝ่ฝันชั่วชีวิตของฝงเป่าคือการเป็นให้ได้อย่างเทพสงครามหยงเซี่ย ความใฝ่ฝันชั่วชีวิตของหลี่กวงเว่ยก็คือการปฏิรูปแคว้นเป่ยชาง นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เขามาหาฉีเซี่ยงหยวนด้วยตัวเอง และเป็นข้อตกลงระหว่างพวกเขานายบ่าว เป้าหมายของพวกเขาสอดคล้องกัน
คนบางคนรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าในตอนที่ใช้ความสามารถของเขาเพื่อแผ่นดินที่เขาเกิด...หลี่กวงเว่ยเป็นคนประเภทนี้
---------------------
ในราชสำนักเรื่องการจัดสรรที่ดินถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง กระแสต่อต้านเริ่มมีมากขึ้นเมื่อขุนนางใหญ่ๆต่างไม่ให้ความร่วมมือ
ขุนนางที่มั่งคั่งเก้าในสิบส่วนล้วนเคยโกงกิน ที่ดินไม่รู้กี่แปลงต่อกี่แปลงได้มาโดยมิชอบ หากมีการจดบันทึกขึ้นมาจริงๆภาษีที่ต้องจ่ายย่อมต้องมหาศาลยิ่ง อีกอย่างการที่ต้าอ๋องจัดสรรที่ดินให้ราษฎรเช่นนี้รายได้จากการให้เช่าที่นาของพวกเขาใยมิใช่หลุดลอยหายไปเปล่าๆ
ฉีเซี่ยงหยวนเดือดดาลจัดเมื่อพบว่าแค่แบ่งแปลงที่ดินให้ชัดเจนยังมีคนก่อกวนขัดขวาง ขุนนางใหญ่ไม่ส่งรายงาน ขุนนางเล็กๆล้วนถูกกดดันจนไม่กล้าส่งไปด้วย กับเรื่องพวกนี้ล่ะพร้อมใจสามัคคีกันดีเหลือเกิน
“เห็นแก่ตัวกันจนเป็นนิสัย เอารัดเอาเปรียบผู้อื่นมานานถึงเพียงนี้ก็ยังหวังจะใช้วิธีเดิมๆมาเอารัดเอาเปรียบต่อไป พวกมันให้คนเช่าที่นาจ่ายค่าเช่าเป็นผลผลิตคิดว่าข้าไม่รู้หรือ เช่นนี้เท่ากับว่าภาษีที่ต้องส่งเป็นข้าวพวกมันนั่งๆนอนๆก็มีคนเก็บเกี่ยวหว่านไถให้ ส่วนราษฎรก็เหมือนต้องจ่ายภาษีสองชั้น ส่วนหนึ่งจ่ายให้ขุนนางเจ้าของที่ดิน อีกส่วนจ่ายให้ราชสำนัก แล้วเช่นนี้จะไม่ยากจนจนต้องขายตัวเป็นข้าทาสได้อย่างไร!”
หลี่กวงเว่ยเหลือบตามองนายเหนือหัว จากนั้นก็เลื่อนสายตาไปมองตั้งรายงานที่มีอยู่ไม่กี่ฉบับอย่างหนักใจ ใต้เท้าพวกนั้นเข้าใจว่ายืดเย้อเข้าไว้ก็สามารถหลบรอดได้หรือ ถ้าคิดเช่นนั้นก็ออกจะตื้นเขินเกินไปแล้ว ฉีเซี่ยงหยวนไม่ใช่องค์ชายห้าที่แทบไม่เคยย่างเท้าออกจากเมืองหลวง ก่อนดำรงตำแหน่งเป่ยชางอ๋องการที่องค์ชายสี่ฉีเซี่ยงหยวนไม่อยู่ในเมืองหลวงถือเป็นเรื่องปกติอย่างหนึ่ง
ในช่วงเวลาที่ใช้ไปกับกองทัพไม่ว่าเหนือใต้ออกตกของแคว้นเป่ยชางฉีเซี่ยงหยวนล้วนเคยได้ไปเหยียบไปเห็นมา สภาพความเป็นอยู่แท้จริงเป็นอย่างไรในองค์ชายทั้งหมดฉีเซี่ยงหยวนคือคนที่ทราบดีที่สุด เพราะเขาคือคนที่ได้รับการประคบประหงมในฐานะองค์ชายน้อยที่สุด
---------------------
ในท้องพระโรง
ใต้เท้าเฝิงประสานมือกราบทูล
“ทูลต้าอ๋อง เรื่องจัดสรรที่ดินทำกิน กระหม่อมมีความเห็นว่าแทนที่จะให้ราชสำนักต้องลงไปยุ่งวุ่นวาย มิสู้ให้เจ้าเมืองจัดสรรกันเองในเขตรับผิดชอบจะสามารถทำได้ง่ายกว่า และไม่จำเป็นต้องจัดทำรายงานการถือครองที่ดินที่กระทำได้ยากและจะทำให้นโยบายประสบความล่าช้าด้วย”
ในใจของฉีเซี่ยงหยวนมีรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม เจ้าเมืองจัดสรรกันเองในเขตรับผิดชอบมิใช่เอื้อประโยชน์ต่อพวกท่านหรือไร มีเจ้าเมืองกี่คนที่ไม่ใช่คนของขุนนางเหล่านี้ ทีนี้ยิ่งโกงกินง่ายดาย รายการที่ดินก็ปัดไม่ต้องส่ง
“ในแคว้นเป่ยชางที่ดินแบ่งแปลงไม่ชัดเจน ความจริงสมควรจัดระเบียบนานแล้ว นี่เป็นปัญหาใหญ่ การริเริ่มจึงควรเริ่มจากให้ราชสำนักเป็นผู้ดำเนินการ ในความเห็นกระหม่อมนโยบายนี้นอกจากเพื่อการเกษตร ยังทำให้การถือครองที่ดินมีแบบแผนมากขึ้น ดังนั้นรายงายฉบับนี้ไม่จัดทำไม่ได้ ส่วนความล่าช้ากระหม่อมคิดว่าอยู่ที่ความทุ่มเททำงาน หากเหล่าขุนนางในราชสำนักล้วนให้ความร่วมมือจะต้องสำเร็จลุล่วงในเวลาไม่นาน”
วาจาของหลี่กวงเว่ยส่งผลให้สายตานับสิบคู่หันไปจับจ้อง ใต้เท้าใหญ่แต่ละคนหรี่ตาลง ขุนนางเล็กๆผู้นี้คิดว่าต้าอ๋องหนุนหลังก็สามารถวางตัวเป็นปฏิปักษ์กับพวกเขาอย่างนั้นหรือ
“ถ้าเป็นเช่นนั้น แล้วเหตุใดข้าถึงเห็นรายงานการถือครองที่ดินส่งขึ้นมาแค่ไม่กี่ฉบับ หมายความว่าพวกท่านล้วนไม่ให้ความร่วมมือใช่หรือไม่ หรือยึดถือบัญชาข้าเป็นแค่ลมพัดผ่านหูที่พวกท่านจะไม่ปฏิบัติตามก็ได้!” คำพูดนี้ของฉีเซี่ยงหยวนทำให้เหล่าขุนนางต่างรีบร้อนคุกเข่าลงกับพื้น
ต้วนจื้อผิงประสานมือกล่าวว่า
“ต้าอ๋องโปรดระงับโทสะ พวกกระหม่อมไม่ได้มีเจตนาไม่ให้ความร่วมมือ แต่เพราะรายการที่ดินไม่เคยมีผู้จัดทำมาก่อนจึงต้องใช้เวลา พวกกระหม่อมยังคงคิดว่าการให้เจ้าเมืองเป็นผู้จัดการเป็นวิธีการที่ได้ผลมากกว่า ขอต้าอ๋องทรงพิจารณาด้วย”
“ขอต้าอ๋องทรงพิจารณาด้วย” คำประสานเสียงดังออกมาจากปากขุนนางถึงหนึ่งในสาม ฉีเซี่ยงหยวนฟังแล้วหรี่ตาลง คิดไว้ไม่ผิด พรรคพวกของขุนนางเก่าพวกนี้มีไม่น้อยเลยจริงๆ
“แคว้นเป่ยชางเป็นแผ่นดินของข้า ข้าไม่ควรมีสิทธิ์รู้หรือว่าตัวเองมีแผ่นดินที่ปกครองอยู่เท่าไหร่ ตอนนี้แคว้นเป่ยชางขยายออกไปไม่น้อย หากไม่จดบันทึกแจกแจงให้ชัดเจนมีหรือจะไม่เกิดความสับสน การที่ข้าคิดทำรายการการถือครองที่ดินก็เพื่อให้พวกท่านแต่ละคนสามารถเป็นเจ้าของที่ดินในมือโดยลายลักษณ์อักษร ไม่เกิดการซ้อนทับอันจะนำมาซึ่งปัญหา ที่สำคัญคือการทำเช่นนี้เป็นการวางรากฐานให้แคว้นเป่ยชาง ไม่ว่าหนานเหมินหรือโหยวเฉิงล้วนมีการจัดการเรื่องแปลงที่ดินทั้งนั้น หากพวกเรายังชักช้าล้าหลังก็ต้องถูกพวกเขาดูถูกต่อไป หรือพวกท่านเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่รับได้”
ท้องพระโรงเงียบกริบ
“ใต้เท้าเฝิงบอกว่าการทำรายการถือครองที่ดินเป็นเรื่องยาก ส่วนใต้เท้าต้วนบอกว่าเพราะพวกท่านไม่เคยจัดทำมาก่อนจึงเกิดความล่าช้า เช่นนี้เถอะ ข้าจะตั้งหน่วยงานขึ้นมาหน่วยหนึ่งเพื่อให้ความช่วยเหลือในการจัดทำรายการให้เป็นแบบแผนเดียวกัน ใต้เท้าคนไหนคิดว่าอาศัยความสามารถตัวเองคงไม่อาจส่งรายงานตามเวลาก็สามารถให้ราชสำนักช่วยจัดทำได้”
เมื่อฉีเซี่ยงหยวนเล่นแบบนี้ บรรดาใต้เท้าที่ที่ดินมหาศาลต่างเร่งจัดการมือเป็นระวิงด้วยไม่ต้องการให้ราชสำนักสอดมือเข้ามา ‘ช่วยเหลือ’ จัดการให้ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการควบคุมดูแล
รายการถือครองที่ดินแต่ละฉบับส่งครบถ้วนทันเวลา กองเป็นตั้งสูงในหน่วยงานจัดสรรที่ดินที่ตั้งขึ้นหมาดๆ ทว่าเมื่อตรวจสอบดูรายงานพวกนั้นกลับมีไม่ถึงครึ่งที่ตรงตามความเป็นจริง
ฉีเซี่ยงหยวนจึงตัดสินใจคัดเลือกคนส่วนหนึ่งจากหน่วยงานดังกล่าว แต่งตั้งหลี่กวงเว่ยเป็นผู้ควบคุมดูแล มอบอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบบันทึกแปลงที่ดินให้ตรงกับที่มีอยู่จริง หากพบว่ามีรายการเท็จให้ปรับตามขนาดผืนที่ดิน ศักดิ์ศรีเสมอกรมตรวจการ
ครั้งนี้ฉีเซี่ยงหยวนเปิดฉากทำสงครามยืดเย้อกับเหล่าขุนนางของตัวเอง แผนการสารพัดต่างทุ่มเทออกมาใช้ ฝ่ายหนึ่งพยายามหลีกเลี่ยง อีกฝ่ายพยายามกระทำให้สำเร็จ งัดข้อกันครั้งแล้วครั้งเล่า
---------------------
สภาพดังกล่าวทำให้ในที่สุดหานญื่อหลัวต้องเอ่ยปากกับเหลียนอันสุ่ยว่า
“ท่านสมควรเตือนเขา เขากำลังเล่นกับเรื่องที่อันตรายมาก และข้าไม่คิดว่ามันจะจบแค่นี้”
“ท่านบอกว่าวันนี้ในท้องพระโรงมีเสียงคัดค้านอีกแล้ว”
“ครั้งนี้ไม่ใช่แค่คัดค้านธรรมดา แต่ถึงกับดื้อแพ่งไม่ยอมจ่ายค่าปรับตามจำนวน ข้ากลัวว่าต้าอ๋องจะใช้ไม้แข็ง เรื่องจะยิ่งไปกันใหญ่”
หลายวันมานี้ฉีเซี่ยงหยวนนอนนับชั่วยามได้ เมื่อมีเวลาว่างต้องเรียกประชุมขุนนางเพื่อร่างแผนการรับมือ ความตึงเครียดจริงจัง เหลียนอันสุ่ยรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน ความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าของเขาเหลียนอันสุ่ยทราบกระจ่างกว่าผู้ใด
“ขอบคุณที่บอกเรื่องนี้กับข้า”
หานญื่อหลัวจับจ้องมองอีกฝ่ายอย่างจริงจังพลางถามว่า
“เหตุใดท่านมักถามเรื่องพวกนี้กับข้า ความจริงคนข้างกายท่านคนนั้นต่างหากที่ทราบสถานการณ์ดีที่สุด ท่านไม่กลัวเขาถือสาที่ท่านถามข้าแต่ไม่ถามเขาหรือ”
“ปกติชีวิตเขาครึ่งหนึ่งก็จมอยู่ในเรื่องของบ้านเมืองอยู่แล้ว ข้าไม่อยากให้ช่วงเวลาที่เขาอยู่กับข้าต้องคิดถึงเรื่องน่าปวดหัวพวกนั้นอีก อีกอย่างการสนทนายากจะหลีกเลี่ยงการออกความเห็น และยากจะหลีกเลี่ยงการทะเลาะ ข้าไม่อยากทะเลาะกับเขาเพราะความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องพวกนี้”
“เหลียนอันสุ่ย ข้าขอพูดตามตรง ท่านเป็นคนฉลาด ความจริงต้าอ๋องต้องการความเห็นของท่าน”
“คุณชายหาน บางครั้งการไม่ออกความเห็นเป็นสิ่งที่ฉลาดกว่า อย่างน้อยด้วยสถานะของข้าก็ไม่ควรออกความเห็น” เหลียนอันสุ่ยมีกรอบการวางตัวของเขาชัดเจน ตั้งใจแน่วแน่จะไม่ก้าวก่ายการเมือง
“ท่านอาจกลัวคำครหา แต่นั่นจะทำให้ความสามารถของท่านสูญเปล่า”
“การรู้จักบทบาทของตัวเองไม่ได้ทำให้ความสามารถของใครสูญเปล่า ข้าจะทำแบบที่ท่านว่าถ้าข้าเป็นขุนนางของเขา แต่ข้าไม่ใช่ ข้าเป็นคนรักของเขา ที่ข้าควรทำคือรักเขาและไม่ให้ความรักของข้าทำลายเขา”
---------------------
เย็นวันนั้นกว่าฉีเซี่ยงหยวนจะสามารถปลีกตัวกลับมาที่ตำหนักเสียงวสันต์ได้ก็เป็นเวลาดึกมาก ก่อนหน้านี้จึงได้ส่งคนมาบอกให้เหลียนอันสุ่ยเข้านอนโดยไม่ต้องรอเขา ทว่าเมื่อมาถึงกลับพบคนผู้หนึ่งงีบหลับอยู่บนเก้าอี้ คาดว่าพระมาตุลาแคว้นเหลียนผู้นี้รอคอยเขานานจนตัวเองเผลอหลับไป
สีหน้าเคร่งเครียดของฉีเซี่ยงหยวนอ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกที่เขาไม่คุ้นเคยเอ่อล้นขึ้นมาในหัวใจ มันคล้ายกับเป็นความอบอุ่นและความตื้นตัน รสชาติของการมีคนห่วงใย และรสชาติของการมีคนที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็รอคอยท่าน ที่แท้พิเศษถึงเพียงนี้
เหลียนอันสุ่ยงัวเงียตื่นขึ้นมาตอนที่ฉีเซี่ยงหยวนกำลังวางเขาลงบนเตียง
“เหตุใดวันนี้ท่านมาดึกยิ่ง”
ฉีเซี่ยงหยวนไม่ตอบแต่กลับถามว่า
“ข้าบอกให้ท่านเข้านอนไปก่อนเลยมิใช่หรือ”
“ข้าไม่ค่อยง่วงเท่าไหร่เลยคิดจะรอท่าน”
ฉีเซี่ยงหยวนหัวเราะเบาๆ พึมพำว่า
“อ้อ ไม่ค่อยง่วงเท่าไหร่เลยงีบหลับรอข้านี่เอง” เสียงพึมพำไม่เบาเลย เหลียนอันสุ่ยรับฟังจนกระอักกระอ่วนที่ข้ออ้างดูไม่ค่อยแนบเนียน
ฉีเซี่ยงหยวนซุกใบหน้าลงกับเรือนกายสูงโปร่งในอ้อมกอด ตักตวงมุมอ่อนหวานเล็กๆที่ผ่านเข้ามาในเส้นทางชีวิตหยาบกร้านของเขา ชุดสีน้ำเงินอ่อนอันประณีตเรียบร้อยทำให้เหลียนอันสุ่ยดูราวกับผ้าไหมผืนหนึ่งที่เช็ดเอาความเหนื่อยล้าและความหงุดหงิดทั้งหมดออกไป
เหลียนอันสุ่ยจรดจมูกลงกับเรือนผมสีดำสนิท พึมพำว่า
“ที่แท้ท่านอาบน้ำมาแล้ว” วิธีตรวจสอบเช่นนี้ออกจะพิเศษอยู่บ้างจริงๆ ทำให้หัวใจของคนร้อนผ่าวขึ้นมา
“เหลียนอันสุ่ย จูบข้า ข้าอยากให้ท่านจูบข้า” คำร้องขอเอาดื้อๆของบุรุษชาวเป่ยชางทำให้เหลียนอันสุ่ยชะงักอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ค่อยๆยื่นหน้าเข้าไปจูบเบาๆที่ข้างแก้มอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน
ฉีเซี่ยงหยวนไม่แน่ใจว่าเขาชอบท่าทางตั้งอกตั้งใจในเวลานี้ หรือท่าสัปหงกงีบหลับเมื่อครู่มากกว่ากัน รู้แต่ว่าคนๆนี้มักทำให้เขารู้สึกถึงการได้เป็นที่รัก และมันเติมเต็มโลกของเขา
“ดีจริงๆที่มีท่าน” พึมพำพลางถอนหายใจออกมาอย่างผ่อนคลาย
เหลียนอันสุ่ยไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่หานญื่อหลัวให้เขาเตือนฉีเซี่ยงหยวน พอจะเดาออกว่าฉีเซี่ยงหยวนคิดจะทำอะไร และเชื่อมั่นอย่างยิ่ง ไม่ว่าหนทางที่ท่านเลือกจะอันตรายหรือยากลำบากแค่ไหน ข้าจะอยู่เคียงข้างท่าน ก้าวเดินไปกับท่าน
---------------------