◑
คุ ณ ไ ม่ ต ร ง ป ก
ตอนที่ 6 : ภูเก็ต
_________
การจราจรช่วงเย็นวันศุกร์เป็นที่เลื่องลือว่าค่อนข้างจะหนาแน่น
เสียงเพลงบนรถที่จอดนิ่งสนิทบนถนนสายหนึ่งในเมืองใหญ่ทำให้บรรยากาศระหว่างคนสองคนดูไม่น่าอึดอัดจนเกินไป คนที่นั่งด้านหลังพวงมาลัยใช้มือขวาเท้ากับกรอบประตูแล้วมองออกไปยังด้านนอก แสงไฟท้ายรถสีแดงยังแน่นขนัดไปทั่วทุกพื้นที่
“หนาวไหมครับ” เจ้าของรถเอ่ยถาม ใช้มือกดหน้าจอเพื่อลดอุณหภูมิให้ อีกฝ่ายส่ายหน้าแล้วตอบกลับ
“ไม่ครับ”
มือข้างขวาถูกเจ้าของมันเลื่อนขึ้นมาปลดกระดุมเม็ดบนให้หลุดออกด้วยมือเดียว ตามด้วยการดึงเนกไทลงต่ำเพื่อความสบาย ภัทรแอบมองท่าทางเหล่านั้นด้วยหางตาและจู่ๆ คนด้านข้างก็เอื้อมตัวไปด้านหลัง นั่นทำให้ร่างกายของคีรติเข้ามาใกล้มากกว่าเก่า กลิ่นน้ำหอมจากเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ปราศจากเสื้อสูทคลุมทับทำให้มันโชยระเรื่อได้เป็นอย่างดี ภัทรแอบสูดมันเล็กน้อย ก่อนที่เสื้อคลุมจะถูกส่งมาให้วางไว้บนตัก
“เอาเสื้อไปคลุมก่อน คุณเปียกตั้งแต่ที่ร้านแล้วมาเจอลมแอร์เข้า ผมเกรงว่าจะไม่สบาย”
คำพูดแสดงความเป็นห่วงทำเอาคนเจ้าแผนการรู้สึกผิดในใจ การเล่นกับความรู้สึกของคนอื่นมันเป็นเรื่องที่ไม่สมควรแต่เขาก็ได้ทำลงไปแล้ว
เพราะเหตุผลเพียงข้อเดียวของตัวเองแท้ๆ
“ขอบคุณครับ”
ภัทรหยิบเสื้อขึ้นมาคลุมเงียบๆ ความเป็นจริงแล้วเขาก็รู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่นัก ถึงแม้เสื้อผ้าตัวใหม่ที่ได้มาเปลี่ยนจะใส่สบายแต่ร่างกายที่มันไม่ปกติทำให้เจ้าตัวรู้สึกกังวลอยู่ตลอด
หรือเขาจะเป็นไข้เข้าแล้วจริงๆ
จากการนอนดึกติดต่อกันหลายวันแถมอาทิตย์นี้ก็มีฝนตกเสียด้วย ถึงแม้จะไม่ต้องตากฝนจากการที่มีรถยนต์ขับแต่ในชีวิตประจำวันบางครั้งมันก็เลี่ยงไม่ได้
“ครับ?”
คนที่นั่งเบาะด้านข้างอุทานเมื่ออีกคนใช้หลังมืออิงเข้ากับหน้าผากของเขา สัมผัสอ่อนโยนทำให้ภัทรหลับตาลงช้าๆ คีรติค้างมันไว้เนิ่นนานก่อนที่จะหันมาหา
“คุณดูไม่ค่อยโอเคเลยนะวันนี้” ร่างสูงมีสีหน้าจริงจัง คิ้วขมวดกันเป็นปม
“อืมม ภัทรแค่นอนน้อยจริงๆแหละมั้ง”
“กลับไปก็รีบพักผ่อน ถ้าไม่ไหวพรุ่งนี้ไม่ต้องเข้าออฟฟิศก็ได้”
“แต่ว่ายังมีงานอีกหลายอย่างของคุณที่ภัทรยังไม่ไ—”
“อย่าดื้อ”อีกฝ่ายดุโดยพูดเสียงแข็ง เขานั่งนิ่ง แอบเหลือบมองคนข้างกายด้วยหางตา
“ครับ” เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เสียงแหบแห้งจึงต้องตอบรับแต่โดยดี มือเขากระชับเสื้อคลุมให้แนบร่างกายมากกว่าเก่า ก่อนจะย้อนคิดไปถึงช่วงชีวิตตลอดสามเดือนที่ผ่านมา
ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ที่ตัวเองทุ่มเทให้กับหน้าที่การงานมากขนาดนี้ทั้งๆที่เมื่อก่อนแทบไม่เคยเข้าใกล้ ผู้ชายที่วันๆเอาแต่เล่นและมีความสุขไปกับแสงสีได้หายไปโดยที่ไม่ทันได้คาดคิด จากนิสัยที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเปลี่ยนได้ก็ต่างไปอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้มันจะลำบากหน่อยในตอนแรก แต่ภัทรก็พิสูจน์มาแล้วว่าไม่มีอะไรยากเกินไปถ้าเราตั้งใจที่จะทำ
เพื่อคนคนเดียว...ที่เริ่มต้นจากคำว่า ‘ชอบ’
และไม่รู้ว่ามันมากกว่าคำว่า ‘ชอบ’ ไปแล้วตอนไหน
“งั้นถ้าคุณคีต้องการอะไร โทรหาภัทรได้ตลอดเลยนะครับ” เขาย้ำ กลัวว่าจะบกพร่องในหน้าที่ของเลขา
“จริงๆเลย”
รอยยิ้มหวานปรากฏเมื่อรับรู้ถึงความเป็นห่วงผ่านทางสีหน้าและน้ำเสียง รถเคลื่อนตัวเข้าใกล้ปลายทางเพิ่มอีกนิดจากสัญญาณไฟเขียวที่สว่างวาบแต่ไม่ถึงนาทีก็ดับลง คนข้างกายยังนั่งเงียบแบบที่เป็นอยู่ประจำ เขาเองก็เงียบ ปล่อยให้กาลเวลาล่วงผ่านและทำหน้าที่ของมันเมื่อยามที่เราไม่มีบทสนทนาใดๆ
“ปกติรถติดแบบนี้ไหม” อีกคนชี้ไปยังถนนด้านหน้า คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อหันมาถาม
“ก็...แบบนี้แหละครับ” เขาหัวเราะ อาจเป็นเพราะถนนเส้นนี้เชื่อมกับเส้นหลักที่มีรถไฟฟ้าวิ่งผ่านเลยทำให้การจราจรติดขัดลากยาวเป็นลูกโซ่
“แล้วตอนเช้าคุณไปทำงานยังไง” คำถามที่ถูกส่งให้ทำเอาคนถูกถามชะงัก อาจเพราะความจริงที่ไม่สามารถบอกได้สมองเลยต้องประมวลผลอย่างหนักเพื่อตอบกลับอย่างแนบเนียน
“เอ่อ...” ภัทรลังเล “ภัทรขับรถไปเองครับ”
เขาเลือกหนทางที่ดีที่สุดถึงแม้จะไม่ใช่ความจริงไปเสียหมด เพราะโดยปกติแล้วจะมีคนขับรถที่เป็นลูกน้องของป๊าคอยรับส่งอยู่ตลอด การบอกว่าขับรถไปเองน่าจะใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุดที่พอจะเป็นไปได้ ลองนึกว่าเขาตอบว่าขึ้นรถเมล์ดูสิ ความฉิบหายต้องเกิดขึ้นแน่นอนถ้าต้องโดนซักต่อจากนั้น
ก็ชีวิตนี้คนแบบภัทรเคยขึ้นซะที่ไหน
“ใช้เวลานานเลยสิกว่าจะถึงออฟฟิศ?”
“ก็..ครับ” เสียงหัวเราะเขาดูเจื่อนแต่ก็ภาวนาให้อีกคนไม่ทันได้สังเกต
“เลี้ยวซ้ายแยกหน้าแล้วใช่ไหม”
“ใช่ครับ ซอยที่มีเซเว่น”
ดูเหมือนรถจะเคลื่อนตัวได้ไวกว่าหลายนาทีที่ผ่านมา ไม่นานสองข้างทางก็เป็นสถานที่ที่คุ้นเคย รอบข้างเต็มไปด้วยร้านอาหารตั้งเรียงรายก่อนจะกลายเป็นตึกและอาคารสำหรับที่พัก ถนนกว้างมีแสงไฟส่องตลอดเป็นทางยาว มีผู้คนบ้างประปรายตามประสาเมืองใหญ่
“กลับไปก็พักผ่อนตามที่บอกด้วยนะครับ” คีรติรีบพูดเมื่อเราใกล้ลาจาก ก่อนประโยคถัดมาจะทำให้ภัทรใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่
“ผมเป็นห่วง”เพราะคำหวานจากปากของอีกฝ่ายทำให้ร่างโปร่งเอาแต่ตกอยู่ในภวังค์อยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเสียงของคีรติที่ถามออกมาจะทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมาและพบว่าตัวเองนั้นลืมบางอย่างที่สำคัญไปเสียสนิท
“ให้ผมจอดตรงไหน”
คอนโดราคาแพงของเขา...ไม่ใช่ที่ที่เหมาะสมกับเงินเดือนในตำแหน่งเลขามากเท่าไหร่…
ใจที่เต้นกระหน่ำบนอกด้านซ้ายกลัวว่าอีกฝ่ายจะเกิดความสงสัย เขารีบมองซ้ายมองขวา พยายามหาทางหนีทีไล่ที่ทำให้ตัวเองหลุดจากสถานการณ์ฉุกเฉินนี้อย่างดีที่สุด พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นชื่อคอนโดที่พอจะรู้จักและเมื่อคำนวณแล้วก็อยู่ในวงเงินที่สามารถซื้อได้
“จอดตรงนี้เลยครับ!” เขารีบตะโกนบอก ไม่รู้ว่าจะมีพิรุธไหมจากน้ำเสียง ตัวรถชะลอความเร็วลงข้างทางก่อนที่คนด้านข้างจะก้มมองมายังฝั่งที่เขานั่งอยู่เพื่อพิจารณา
“คุณพักที่นี่สินะครับ”
ภัทรพยักหน้าเป็นการตอบคำถาม รีบวางเสื้อคลุมไว้อย่างดีที่เบาะด้านหลังแล้วรีบบอกลา
“ขอบคุณที่ชวนภัทรไปทานมื้อค่ำ ขับรถกลับดีๆนะครับ”
อีกฝ่ายก้มหน้าให้ก่อนจะขับรถออกไปทิ้งไว้เพียงคนที่ยืนมองตึกสูงด้านข้างด้วยหลากหลายความรู้สึก เสียงถอนหายใจดังตามมากับการตัดสินใจของตัวเองที่ไม่ทันคิดให้รอบคอบ
ไอ้ภัทรนะไอ้ภัทร งามไส้เลยไหมล่ะทีนี้!
มือเล็กหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นกดหารายชื่อของคนที่ไม่ค่อยได้ติดต่อบ่อยนัก รอคอยไม่นาน ปลายสายก็ตอบกลับมาพร้อมกับน้ำเสียงสดใสที่มักจะได้ยินเป็นประจำ
“ว่าไงหึ?” เสียงกุกกักดังตามมาแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด
“มีปัญหาอีกแล้ว”
“คราวนี้อะไรอีกล่ะ” อีกคนถาม ภัทรทำสีหน้าจะร้องไห้แล้วเอ่ยคำขอออกไปทั้งๆที่ยืนอยู่ที่เดิม
โชคดีที่รวย ไม่งั้นเขาซวยไปมากกว่านี้แน่ๆ
“ป๊าาาาา ซื้อคอนโดใหม่ให้หน่อย”
/
ในที่สุดวันที่ภัทรเฝ้ารอก็เดินทางมาถึง
กว่าจะจัดการเรื่องที่พักพิงแห่งใหม่เสร็จสิ้นก็ปาไปตีสามของวัน ร่างกายที่เหนื่อยล้าสะสมได้แต่นอนอยู่ที่ห้องกับวันหยุดที่เจ้านายให้ วันที่ไม่ได้ทำอะไรช่างผ่านไปแสนไวจนเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น เขาลืมตามาอีกที โต๊ะของคีรติก็ตั้งอยู่ตรงหน้าพร้อมกับเจ้าของมันในชุดเต็มยศเช่นเคย
เวลาบ่ายกว่าหมดไปกับการจัดการเอกสารและตอบอีเมลตามหน้าที่ของเลขาเช่นเคย เมื่อทำทุกอย่างแล้วเสร็จ เขาและคีรติก็เดินทางมายังสนามบินก่อนเวลาเดินทางเกือบชั่วโมง พอจะมีเวลาทานข้าวและเดินเล่นสักหน่อย ภัทรซื้อกาแฟยี่ห้อดังไปให้เจ้านายและได้รับรอยยิ้มเป็นการขอบคุณ เรานั่งรออยู่ไม่นานก็ได้ขึ้นเครื่องตามเวลาที่กำหนด
ใช้เวลาชั่วโมงกว่าจะถึงภูเก็ต พนักงานของโรงแรมมารอรับและช่วยขนสัมภาระทั้งหมดขึ้นรถโดยที่เขาไม่ต้องออกแรง เราสองคนเงียบตลอดทางที่รถแล่นผ่าน ไม่นาน พวกเขาทั้งคู่ก็ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ
“คุณคีนั่งรอสักครู่นะครับ เดี๋ยวภัทรเข้าไปเช็คอินก่อน” ภัทรบอกเมื่อเดินเข้ามาในห้องโถงโอ่อ่า ผนังรอบด้านประดับด้วยสีทองเป็นประกาย มีโคมไฟขนาดใหญ่ระย้าลงมาสดสวย โซฟาสีดำจัดไว้เข้าชุดกันเป็นระเบียบเข้ากับลานที่เป็นน้ำตกด้านข้าง
“สวัสดีค่ะ สอบถามเรื่องอะไรคะ” พนักงานผู้หญิงหน้าตาสวยสวมชุดฟอร์มยกมือไหว้พร้อมกับยิ้มหวาน ภัทรยิ้มตอบก่อนจะรีบบอกจุดประสงค์ของตัวเอง
“เช็คอินครับ”
รอยยิ้มที่มียังไม่จางหายเมื่อเขาเดินกลับมาหาคนที่นั่งรอเป็นเวลานาน ของที่ควงอยู่ในมือถูกกำแน่นด้วยมือซ้ายเพียงมือเดียว เจ้าตัวรีบปรับเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งเครียดเมื่อเข้าใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ
“คุณคีครับ” เขาเรียก คิ้วขมวดเป็นปมจากการแสดง
“ครับ”
คีรติตอบกลับมา และแผนการ
ครั้งใหม่ก็ได้เริ่มต้นขึ้น
“พอดีว่าทางโรงแรมเขาเพิ่งพบว่ามีปัญหาการจองจากทางระบบ เลยทำให้ห้องของภัทรถูกยกเลิกครับ” เขาเว้นช่วง ทำสีหน้ารู้สึกผิดสุดชีวิต “คุณคีเข้าพักก่อนได้เลยนะครับ เดี๋ยวภัทรติดต่อหาโรงแรมแถวนี้แล้วจะบอกคุณอีกที”
อีกคนยังนิ่ง ยกนาฬิกาข้อมือออกมาดูเวลา
“มันมืดแล้ว ไม่ต้องไปหรอก”
“แต่ว่า—”
ภัทรเอ่ยเสียงค่อย และอีกคนก็ไม่เคยทำให้เขาผิดหวังเมื่อความใจดียังมีให้ตลอด
“ถ้าไม่รังเกียจ ภัทรมานอนห้องผมก็ได้”
ก็บอกแล้วไง
ว่าผู้ชายอย่างภัทรไม่มีทางที่จะขัดใจอีกฝ่ายได้หรอก
“จะดีหรอครับ”
“ผมยินดี”
และแผนการของเขา...ก็สำเร็จจริงๆเสียด้วย
ในเมื่อมีโอกาส ใครกันจะไม่ใช้มันให้เกิดประโยชน์
ก็เพราะการจองสองห้องมันยุ่งยากเกินไป..เลขาคนใหม่อย่างเขาถึงได้ทำไม่เป็นสักทีเฮ้อ
:-( #คุณไม่ตรงปก
อย่างภัทรน่ะหรอจะจองสองห้องตั้งแต่แรก
ไม่มีทางหรอกค่ะ หึหึ
111118
before30october