15
จอง
รถสีขาววิ่งเข้ามาจอดข้างกับรถพีพีวีสีดำคันหนึ่งที่จอดอยู่ก่อนแล้วในบ้าน บ่งบอกว่าแม่ของเขาอยู่บ้านตอนนี้ เมื่อรถจอดสนิท เมื่อเครื่องยนต์ที่กำลังทำงานดับลง ชายหนุ่มร่างสูงผู้เป็นลูกชายคนเดียวของเจ้าของบ้านก็ก้าวลงมา
ธันวาเดินเข้าไปในบ้านด้วยใบหน้าอมพะนำอะไรไว้มากมายในหัว เสียงน้ำไหลสลับกับจานชามกระทบกันบอกคนที่กำลังเดินเข้ามาให้รู้ว่าผู้เป็นแม่อยู่ส่วนใดของบ้าน ร่างสูงเดินเข้าไปในครัวขณะที่แม่ของเขากำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงานครัวของเธออยู่ ก่อนสองแขนหนาจะสวมกอดเธอจากทางด้านหลัง
เกสรรู้อยู่แล้วว่าลูกชายของเธอกลับมาบ้าน เพราะได้ยินเสียงรถ
“หนีแม่ไปเที่ยวสงกรานต์มาเป็นไงบ้างจ๊ะพ่อยอดขมองอิ่ม หืม”
“ก็...” มันมีเรื่องมากมายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น “...หนุกดีครับ” เสียงทุ้มราบเรียบดังขึ้นข้างหู ลูกชายเอาหน้าหนุนบ่าผู้เป็นแม่ สายตาเหม่อมองครุ่นคิด
“แล้วนี่คืนนี้จะค้างที่บ้านหรือเปล่า หรือกลับคอนโด”
“ค้างครับ”
“แปลกๆ นะเราน่ะ ร้อยวันพันปีไม่เคยคิดอยากจะกลับมานอนบ้าน ถ้าแม่ไม่บังคับเสียละก็”
“ก็แค่คิดถึงเตียงนอนที่บ้าน” เขาผละออก ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นที่มันล้นไปด้วยของกิน ข้อดีของการกลับมาบ้าน
น้ำเสียงและท่าทางทำให้เธอรู้ดีว่าผู้เป็นลูกชายไม่ได้เป็นแบบที่กำลังพูด เธอเลี้ยงเขามาคนเดียวเกือบยี่สิบปีนับตั้งแต่สามีจากไป แค่มองปราดเดียวเธอก็รู้ว่าลูกชายมีอะไรอยู่ในใจ
สองแม่ลูกนั่งกินข้าวกันเช่นทุกครั้งที่ได้อยู่ด้วยกัน เพียงแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งอื่นๆ เธอมองลูกชายกำลังเขี่ยข้าวในจานไปมา จ้องมองจานประหนึ่งกำลังนับข้าวทีละเม็ด แกงส้มที่เธอตักใส่ไว้ให้ก็ยังคงชืดอยู่เหมือนเดิมตรงขอบจานนั้น
เธอจึงตัดสินใจถามให้รู้แล้วรู้รอด
“มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า”
คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามหยุดเขี่ย แต่ยังคงก้มมองต่ำอยู่อย่างนั้น
“แม่”
“หืม”
น้ำเสียงนั้นทำให้คนเป็นแม่รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างบอกไม่ถูก แต่อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เธอพยายามใจแข็งตั้งใจฟังสิ่งที่ผู้เป็นลูกชายกำลังจะพูด
“ผมอยากหมั้น”
!!!!!หากตะโกนกรีดร้องออกมาได้ เธอคงทำไปแล้ว สิ่งที่เธอได้ยินทำเอาหัวใจแทบหยุดเต้น แม้ภายนอกจะยังคงนิ่งเฉย แต่ภายในนั้นยังคงมีเสียงกรีดร้องระงม
ที่ผ่านมาอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอบ้าง ทำไมเธอไม่เคยได้รับรู้เลย มารู้ทีเดียวจนเรื่องมันเลยเถิดมาถึงขนาดนี้แล้วหรือ
“ไวไปไหมลูก จะหมั้นกับใคร ทำไมแม่ไม่ยักรู้เลยว่าธันมีแฟน หน้าแฟนธันเป็นยังไงแม่ก็ไม่เคยเห็น อีกอย่างเรียนลูกก็ยังเรียนไม่จบ”
“คือผม...” เขาอ้ำอึ้ง “ผมมีอะไรกับเขาแล้ว”
“คุณพระคุณเจ้าช่วย อกอีแป้นจะแตก” เธอวางช้อนที่อยู่ในมือลง ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จากที่หิวจนตัวสั่นก็อิ่มเอาเสียดื้อๆ “แล้วไง คือเขาท้องหรอ หรือยังไง”
“คือ...”
“ทำไมไม่รู้จักป้องกันบ้างล่ะลูก”
“เขาเป็นผู้ชายครับ”
หากยืนอยู่เธอคงทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว นี่สินะธันวาถึงไม่เคยพาตัวแฟนมาเปิดตัวเลย
“ขอยาดมแม่หน่อย” หญิงวัยกลางคนพูดพลางก้มหน้าซบฝ่ามือ สีหน้าซีดเผือด ชายหนุ่มเมื่อได้ยินดังนั้นก็ไม่รีรอ รีบหาหยูกหายามาให้ผู้เป็นแม่ตามคำขอ
เกสรนั่งดมยาดมอย่างอ่อนแรง โดยที่มีธันวาคอยมองอยู่ใกล้ๆ อย่างเฝ้ารอ ในใจกล่าวโทษตัวเองที่ทำให้แม่เสียใจ แต่นั่นก็เป็นทางเดียวที่เขาจะคิดออก ทางเดียวที่เขาจะแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นให้ฝ่ายนั้นเห็นได้
“ธันชอบผู้ชายเหรอ” เธอถาม สายตาก้มต่ำ ไม่มองหน้าเขา
ตั้งแต่เลี้ยงดูมาแต่อ้อนแต่ออก ลูกชายคนนี้ก็ไม่มีทีท่าจะสนใจในเพศเดียวกันเลยสักน้อย ก็ยังคงใช้ชีวิตโลดโผนโจนทะยานเหมือนเด็กผู้ชายทั่วไป ชอบความรุนแรงจนผู้เป็นน้าต้องช้ำเขียวไปทุกคราที่หยอกล้อกัน
“ผมก็ไม่รู้ครับ ที่ผ่านมาผมคิดมาตลอดว่าผมชอบผู้หญิง และไม่เคยรู้สึกชอบผู้ชายคนไหนเลยด้วย จนผมได้เจอคนๆ นี้ ผมไม่รู้ตัวว่าผมชอบเขาไปตั้งแต่เมื่อไหร่ จนเมื่อสงกรานต์ที่ผ่านมา ผมเผลอปล้ำเขา”
“โอย ตายๆ” เธอสูดยาดมอีกปื้ดใหญ่ เมื่อได้ยินคำว่าปล้ำ มีอะไรชวนให้ลมจับกว่าการที่ลูกชายของเธอปล้ำผู้ชายด้วยกันทั้งแท่งอีกหรือ “งั้นก็แสดงว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดอะไรกับลูกน่ะสิ”
“ก็คงงั้น แต่ผมแค่อยากจะแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ผมทำลงไป”
“แต่ก็เป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ แม่ว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะลูก”
“มันจะไม่ดูเห็นแก่ตัวไปเหรอครับ แม่เองที่ชอบสอนผมตลอดว่า ทำอะไรผิดก็ต้องรับผิดชอบ”
คนฟังถอนหายใจอย่างหมดอาลัยตายยาก อันที่จริงเกสรรักธันวามาก ลูกชายคนเดียวที่เหมือนไข่ในหิน เลี้ยงแบบตามใจมาตลอด ชนิดที่ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ไม่ก้าวก่ายชีวิต ปล่อยให้ลูกชายได้เดินในทางที่ตัวเองเลือก ได้ทำในสิ่งที่ต้องการ
อนึ่ง หรืออาจเป็นเพราะการเสียพ่อไปตั้งแต่ยังเด็ก เลยทำให้ลึกๆ แล้วธันวาอาจจะโหยหาความรักที่จะมาแทนความรักจากผู้เป็นพ่อที่เคยขาดหายไป
เธอต้องเลือก เกสรถอนหายใจอย่างปลงตก
“แล้วฝ่ายนั้นเขาว่ายังไงบ้างล่ะลูก” น้ำเสียงเริ่มเย็นลง
“เขายังไม่รู้ครับ”
“เวรกรรม” เธอพูดพลางหลุบตานิ่งคิด มือหนึ่งค้ำหน้าผาก “เอาอย่างนี้ดีไหม พาเขามาหาแม่ก่อนดีไหม อย่างน้อยก็ให้แม่ได้เห็นหน้าค่าตาเขาก่อน ให้เขาได้รู้จักกับแม่ จะยังไงต่อไปก็ค่อยว่ากัน”
ธันวารู้ดีว่าแม่ของเขามีความเป็นไปได้ที่จะเห็นพ้องต้องกันกับเขาสูง เนื่องจากเธอเป็นคนที่ตามใจเขามาแต่ไหนแต่ไร
“จริงนะครับ” หน้าตาลิงโลดปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง
เธอพยักหน้าเนิบ
“อันที่จริงแม่อาจจะเคยเจอหน้าเขาแล้ว”
...................................
“ว่ายังไง จะให้พ่อกับแม่รอคำตอบอีกนานไหม” เสียงของปารณี คุณหญิงเจ้าของบ้านอรุโณโรจน์ผู้ร่ำรวยกล่าวขึ้นในมื้ออาหารค่ำที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า
นับตั้งแต่เมื่อตอนเย็นที่แม่ของเขาส่งคนขับรถไปดักรอที่คอนโด เพื่อให้มาทานอาหารค่ำที่บ้าน เพราะพ่อเขาเพิ่งกลับจากต่างประเทศในรอบหลายเดือน จนตอนนี้ธันธเนศยังคงนับทุกเข็มวินาทีเพื่อให้หลุดพ้นจากที่ตรงนี้เสียที
“ผมยังยืนยันคำเดิมครับ ว่าผมยังไม่พร้อม”
“แล้วเมื่อไหร่แกจะพร้อม รอให้ฉันตายก่อนหรือไง” เสียงดุดันของผู้เป็นพ่อเอ่ยแทรกขึ้นกลางวงสนทนา
เขาได้แต่นิ่งเงียบ ไม่สบตาใครบนโต๊ะนั้น โดยเฉพาะผู้เป็นพี่เขยที่นั่งเยื้องกับเขา ข้างคุณหญิงปารณี
“ธัน แกจะทนใช้ชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ ของแกไปทำไมกันวะ ทั้งที่ที่บ้านก็มีทุกอย่างไว้ให้อยู่แล้ว โรงแรมที่สมุยนั่นฉันก็ไม่เอาหรอก แกทำแกก็ได้เอง” มีนาออกความเห็นบ้าง
เขาก็คงไม่เถียง ถ้าไม่บังเอิญรู้มาว่าผู้ถือหุ้นครึ่งหนึ่งในโรงแรมนั้นคือมีนาและสามีของเธอ และที่อื่นๆ ก็ถูกโอนเป็นชื่อของเธอหมดแล้วด้วยซ้ำ
“ไม่พร้อมแกก็ต้องไป ฉันเตรียมที่เตรียมทางไว้ให้แล้ว ไปเรียนเอาความรู้มาช่วยงานพ่อ สองปีแค่นั้นเอง ไม่เกินความสารถคนเก่งๆ ฉลาดๆ อย่างแกได้หรอก”
เขารู้ดีว่าคำพูดต่อท้ายไม่ใช่การชม แต่มันคือการประชดประชันถากถางเช่นครั้งก่อนๆ ของผู้เป็นพ่อ สายตาดุดันไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำในครั้งนี้
“ผมอิ่มแล้ว” เขาพูดพร้อมกับลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะอาหาร โดยที่ข้าวยังไม่เข้าปากเลยสักคำเดียว
“ไอ้ธัน” พ่อเขาปรามเสียงดัง ทำให้เขาหยุดขณะกำลังจะหันหลังออกไป แต่ความอึดอัดทำให้เขาไม่อาจจะทนอยู่ต่อไปได้แล้วจริงๆ เขาตัดสินใจก้าวออกไป
“ถ้าแกก้าวออกไปแม้แต่ก้าวเดียว แกก็ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีกเลยนับแต่นี้ต่อไป ฉันกับแกขาดกัน” เสกสรรชี้หน้ายื่นคำขาดด้วยอาการโมโหสุดขีด
“ไม่เอาน่าพ่อ” เสียงปารณีแม่ของเขาห้ามไม่ให้ผู้เป็นสามีวู่วามดังขึ้นเบาๆ
ธันธเนศรู้สึกชาไปทั้งตัว การที่ได้ยินแบบนี้มันทำให้เขารู้แล้วว่า เขาไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับคนในบ้านหลังนี้มากนักนอกจากผลประโยชน์ในตัวเขา เพียงเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ก็ทำให้เขาได้ยินสิ่งนี้ออกมาจากปากผู้เป็นพ่อแท้ๆ แล้ว
ชายหนุ่มกำหมัดแน่น แต่แล้วก็คลายมันออก น้ำตาที่ขมอยู่ในอกเขาพยายามสกัดกั้นมันไว้ก่อนจะพ้นจากตรงนี้ ธันธเนศก้าวออกไปในทันทีเมื่อแรงหวนกลับ
“ธัน” กษิษณ์ผู้เป็นพี่เขยเรียกเขา ก่อนจะลุกขึ้นหมายวิ่งตามออกไป แต่มีนาผู้เป็นภรรยาก็รั้งไว้
“ปล่อยมันไปพี่กล้า” เธอพูด
จรัญรู้สึกร้าวอยู่ในอกเมื่อได้ยินบทสนทนานั้น เขาได้แต่ภาวนาว่าชายคนที่หลานชายเขาพูดถึงจะไม่ใช่ธันธเนศ คนที่เขารัก แต่จากภาพติดตาที่เขาเห็นเมื่อวันก่อน มันมีความเป็นไปได้สูงมาก
แต่ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น ในเมื่อเขาก็บอกเรื่องนี้ให้แก่ธันวารู้แล้วถึงประสงค์ของเขา ถึงความรู้สึกจริงๆ ที่เขามีต่อธันธเนศ แล้วธันวาจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร
แต่อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด หากหลานชายคนเดียวของเขาต้องการแบบนั้นจริงๆ เขาก็พร้อมที่จะหลีกทางให้ คงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าสายใยในครอบครัว
“อ้าว มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง” เกสรกล่าวทัก เมื่อเก้าอี้ตัวข้างๆ คนที่นั่งตรงข้ามเธอถูกเลื่อนออกโดยผู้เป็นน้องชาย
“รถเสียน่ะ เลยนั่งแท็กซี่มา” ผู้เป็นน้าพูดพลางเหลือบมองหลานชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ธันวาพยายามหลบสายตา อาการที่แปลกไปของอีกฝ่าย ทำให้เขาพอจะเดาออกแล้วว่าสิ่งที่เขากลัว มันกำลังจะเป็นความจริง
“อ่ะ แวะซื้อผลไม้ที่ตลาดมาให้”
“โห ดูสดน่ากินเชียว เออนี่ รู้ยังว่าหลานชายแกกำลังจะไปขอ- เอ่อ... ” เธออ้ำอึ้งต่อสรรพนามที่จะใช้เรียก
“หึ ได้ยินแล้ว” เขาพูดเสียงราบเรียบ รอยยิ้มจางๆ กลบเกลื่อนความรู้สึกข้างใน
“แกไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ” ผู้เป็นพี่สาวถาม
“ยุคนี้มันไปถึงไหนแล้ว เด็กมันจะรักกัน เราเป็นผู้ใหญ่คงพูดอะไรไม่ได้มากนอกจากคำว่า
ยินดี”
แม้ธันวาจะรู้อยู่แล้วว่าแท้จริงผู้เป็นน้าคิดยังไงธันธเนศ และก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จรัญจะไม่รู้ว่าคนๆ นั้นที่เขาพูดถึงคือใคร แต่เพราะความเป็นน้าชายที่ต้องคอยเสียสละให้หลานเหมือนตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเขา ทำให้จรัญไม่อาจจะแสดงข้อโต้แย้งหรือสิ่งอื่นใดได้มากกว่าที่ทำอยู่
ส่วนธันวาเอง แม้ลึกๆ แล้ว เขาอาจจะถูกมองว่าเห็นแก่ตัวหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ในเมื่อเขาเดินมาถึงจุดนี้แล้ว เขาก็ต้องยืนหยัดมันต่อไป ในสิ่งที่เขาได้เลือกแล้ว
ธันวายืนมองจรัญที่ยังคงนั่งคนเดียวเงียบอยู่ในความมืดของศาลาที่สวนหน้าบ้าน ก่อนที่เขาจะเดินออกไปยังที่ตรงนั้น
“ขอนั่งด้วยคนนะ” เขาเอ่ยถามเสียงเบา
สายตาเหม่อลอยของคนที่นั่งนิ่งไม่ไหวติงหันกลับมาที่เขา ก่อนจะยิ้มรับจางๆ แล้วขยับตัวถอยเชิงอนุญาต
ธันวาเดินไปหย่อนตัวนั่งข้างผู้เป็นน้าชายช้าๆ ต่างฝ่ายต่างก็นิ่งเงียบภายใต้ความมืดสลัวนั้น ก่อนที่เขาจะตัดสินใจพูดบางอย่างขึ้น
“น้ารู้อยู่แล้วใช่ไหมครับว่าคนๆ นั้นคือใคร”
“เออ นั่นสิ แกยังไม่บอกข้าเลยนะไอ้หลานรัก” เสียงร่าเริงกลบเกลื่อน
“น้าไม่ต้องฝืนความรู้สึกตัวเองหรอก ผมรู้ว่าน้ารู้ว่าคนๆ นั้นคือใคร”
รอยยิ้มที่ดูฝืนๆ ของคนฟังหุบลง
ผู้ถูกจับไต๋ได้นิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาอย่างปลงตก
“รู้แล้วก็จะทำไงได้ ในเมื่อความสัมพันธ์ของเขากับแกมันมาถึงขนาดนี้แล้ว น้าทำได้ดีที่สุดก็แค่หลีกทาง”
ธันวาได้แต่ก้มหน้านิ่งฟังเงียบๆ อย่างรู้สึกผิด ไม่มีสิ่งไหนได้มาง่ายๆ ความรักก็ต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดและความเสียสละเสมอ แต่ครั้งนี้คนที่เจ็บปวดอาจจะไม่ใช่แค่คนๆ เดียว และเขาก็เลือกที่จะเป็นคนเห็นแก่ตัวเพื่อให้ได้ความรักนั้นมา
“ผมขอโทษนะครับ”
“ไม่เอาน่า แกไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก ระหว่างน้ากับธันธเนศน่ะ ก็เหมือนแอบรักเขาอยู่ฝ่ายเดียวก็แค่นั้นแหละ อีกฝ่ายเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับน้าหรอก อย่างนี้ก็เท่ากับว่าระหว่างเขากับน้าไม่มีอะไรในกอไผ่ เป็นแค่อดีตเจ้านายกับลูกน้อง” เขาพูดปลอบใจธันวา ที่ฟังดูยังไงก็รู้ว่าเป็นการปลอบใจตัวเองเสียมากกว่า
ทั้งคูนิ่งเงียบกันอยู่อย่างนั้น แม้ความคิดมากมายจะโลดแล่นวนเวียนอยู่ในหัวไม่ต่างกัน แต่ภายนอกกลับเงียบงันเหมือนมีน้ำท่วมปาก
“น้ากลับล่ะ” จรัญพูดพลางลุกขึ้นปัดก้น เดินตรงออกไปหน้าบ้าน ธันวาเดินตามออกไป
“ไม่ต้องมาส่งหรอก แค่นี้เอง” เขาหันกลับมาบอกผู้เป็นหลาน ในสายตาเขา ธันวาก็ยังคงเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ที่คอยเดินตามเขาไปไหนมาไหนต้อยๆ ตลอดเวลา
ก่อนขึ้นแท็กซี่ หนุ่มใหญ่ก็ไม่ลืมจะหันมาหาหลานชายที่ยังคงยืนอยู่ข้างๆ
“ธันธเนศไม่ได้เหมือนคนอื่นๆ นะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สัญญากับน้าได้ไหมว่าจะดูแลเขาให้ดีๆ”
“ผมสัญญา”
หนุ่มใหญ่อ้าแขนรอ ก่อนที่ธันวาจะเดินเข้าไปสวมกอดอกอุ่นๆ ของผู้เป็นน้าชาย ความอบอุ่นนั้นมันยังให้ความรู้สึกเหมือนเดิมเสมอมา
..................................
เขาร้องไห้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ไม่อาจจำได้ เช่นครั้งนี้ แม้เขาอยากจะร้องออกมาแค่ไหนก็ตาม แต่น้ำตามันกลับแห้งเผือด ความเจ็บปวดและความสับสนวุ่นวายมันยังคงกระอักกระอ่วนสะสมอยู่ในนั้น ไม่เคยถูกปลดปล่อยออกมา
ธันธเนศนั่งนิ่งอยู่ในมุมหนึ่งของห้องเงียบๆ ตั้งแต่เมื่อคืน จนตอนนี้ที่ฟ้าสว่างโล่ แต่ในใจกลับยังคงมืดมน
ทำไมชีวิตเขามันไม่เคยง่ายเหมือนคนอื่นบ้างนะ บางทีเขาก็อยากหนี หนีไปให้ไกลในที่ๆ ไม่มีใครหาเจอ ไม่มีคนคอยมากวนใจเขาได้อีก เสียงเคาะประตูห้องเบาๆ ดังขึ้นทำลายความเงียบ พร้อมกับความคิดมากมายในหัวได้หยุดลง เจ้าของห้องค่อยๆ ยืดเหยียดกายเดินตรงไปที่ประตูอย่างเชื่องช้า
“ขอเข้าไปข้างในได้ไหม” ร่างสูงเจ้าของเสียงเคาะที่ยืนรออยู่ด้านนอกเอ่ยขึ้น คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวทันทีเมื่อเห็นสภาพของคนที่อยู่ตรงหน้า แววตาเศร้าหมองและอ่อนเพลีย
ธันธเนศพยักหน้ารับ โดยที่ไม่ได้พูดอะไร เขาทิ้งประตูให้เปิดไว้อย่างนั้น ก่อนจะเดินกลับมานั่งซึมกะทืออยู่ที่เดิม ในเก้าอี้ข้างโต๊ะทานอาหารที่มุมห้อง ประตูปิดลงก่อนที่ร่างสูงจะเดินมาหย่อนตัวลงนั่งที่โซฟา
สายตาเป็นห่วงเป็นใยจ้องมองคนที่นั่งอมทุกข์อยู่
“เป็นอะไรหรือเปล่า” ธันวาถาม
ร่างสูงลุกขึ้นเดินตรงไปที่คนที่นั่งอยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง “ไม่สบายหรอ” น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยพูดพลางยกมือขึ้นมาหมายจะแนบที่หน้าผาก แต่คนที่นั่งอยู่เอียงหลบ
ธันวาที่เคยกระโชกโหกหากปากไม่ดี ดูแข็งกระด้างเอาแต่ใจ ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น แต่ ณ ขณะนี้กลับมีแววตาที่แฝงไปด้วยความอ่อนโยน เป็นห่วงเป็นใย คำพูดที่แผ่วเบามันทำให้เขาน้ำตารื้นขึ้นมาดื้อๆ
“มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า ผู้ชายคนนั้นกลับมากวนใจคุณอีกแล้วเหรอ” ชายหนุ่มยังคงถามต่อ พยายามสบสายตาของเขา
“เปล่าหรอก”
“ถึงผมจะไม่ได้สำคัญอะไรกับชีวิตคุณนัก แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมก็พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างคุณเสมอนะ ขอแค่คุณเอ่ยปาก”
“ถ้าวันหนึ่งคุณรู้ความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับตัวผม คุณอาจจะไม่พูดแบบนี้แล้วก็ได้”
“ทำไมคิดอย่างนั้น”
“ชีวิตผมไม่ได้เป็นแบบที่คุณเห็นหรอกนะ”
“ก็บอกผมสิ ให้ผมเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคุณ ตอนนี้ผมกับคุณเป็นมากกว่าแค่คนรู้จักแล้วนะ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิตคุณก็เหมือนเกิดขึ้นกับชีวิตผมด้วย ผมจะอยู่เคียงข้างคุณเอง”
ธันธเนศหันไปสบตาคู่นั้น น้ำเสียงที่ได้ยินมันบอกอะไรได้หลายๆ อย่าง ธันวาในตอนนี้กับธันวาคนก่อนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มีเพียงชายหนุ่มที่ดูอบอุ่นและจริงใจ ความเป็นผู้ใหญ่ที่เขาไม่เคยมองเห็นในตัวอีกฝ่าย ตอนนี้ฉายแววออกมาอย่างชัดเจน
หรือเป็นเพียงเพราะความอ้างว้างเดียวดายในใจเขากำลังต้องการใครสักคนมาเป็นที่พึ่งกันแน่
ธันธเนศค่อยๆ เอนตัวลงไปหนุนหน้าท้องอุ่นๆ ของคนตัวสูงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ธันวาโอบไหล่ของคนที่กำลังอ่อนแอไว้แล้วลูบมันเบาๆ เพื่อปลอบปะโลม
“อยากจริงจังกับผมจริงๆ เหรอ” ธันธเนศถามเสียงเบา
“ไม่รู้สิ หลังจากเรื่องคืนนั้น ผมก็รู้แค่ว่าชีวิตนี้ผมไม่ต้องการใครอีกแล้วนอกจากคุณ”
ธันธเนศนิ่งเงียบ สองตากระพริบช้า
“คุณยังจำผู้ชายคนนั้นได้ไหม”
“อืม”
“นั่นแหละคือรักแรกของผม”
คนฟังนิ่งเงียบ
“เขาคือนักเรียนคาราเต้รุ่นเดียวกับผม แต่เขาอายุมากกว่า เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ ทั้งที่เขาและผมต่างก็เป็นผู้ชายแท้ๆ ด้วยกันทั้งคู่ เขาคือเสือผู้หญิงตัวยงมาแต่ไหนแต่ไร เพราะหน้าตาและฐานะทำให้ผู้หญิงต่างก็จับจ้องเขา ส่วนผมเองก็ไม่เคยรู้สึกว่าชอบผู้ชายคนไหนด้วยซ้ำ แต่ความใกล้ชิดสนิทสนม ทำให้วันหนึ่งความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนแปรเปลี่ยนไปมากกว่านั้น จนเราทั้งสองแน่ใจแล้วว่ามันคือรัก รักแรกของผมคือผู้ชาย แล้วรู้ไหมมันจบลงยังไง”
คนฟังยังคงนิ่งเงียบ บ่งบอกว่าต้องการฟังต่อ
“เขาไปมีอะไรกับพี่สาวฝาแฝดของผมโดยที่ผมไม่รู้ ทั้งที่ปากเขายังบอกว่ารักผม จนในทีสุดพี่สาวผมก็ท้อง พอเรื่องทุกอย่างมันแดงขึ้นมา ที่บ้านผมรู้เข้า นอกจากเขาจะรับไม่ได้ที่ผมเป็นแบบนี้ และใครที่ทำผิดก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ จากคนรักก็กลายมาเป็นพี่เขย แต่เขาก็ยังตามราวีผมไม่เลิก จากนั้นความรักได้แปรเปลี่ยนเป็นความรังเกียจ ขยะแขยง แค่มองหน้าเขาผมยังทำไม่ได้เลย เรื่องทุกอย่างมันยังไม่จบ เพราะพ่อกับแม่ผมกลัวว่าผมจะเป็นต้นเหตุไปทำให้ครอบครัวที่สมบูรณ์ของพี่สาวพังลง เขาเลยพยายามจะผลักไสผมไปให้ไกล จะส่งผมไปเรียนต่อเมืองนอก แล้วให้กลับไปดูแลโรงแรมที่สมุย ไม่ให้กลับมาที่กรุงเทพฯ นี้อีก แม้ผมจะพยายามแสดงให้พวกเขาเห็นแล้วว่าไม่ได้อยากยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นอีก ผมแค่ต้องการเดินในเส้นทางที่ผมเลือก แต่พวกเขาก็ไม่เคยเชื่อ ล่าสุดเลยจบไม่สวยนัก”
คนฟังผ่อนลมหายใจเบา ก่อนจะโอบกอดเขาแน่นขึ้น
“ได้ยินแบบนี้แล้วยังอยากจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเน่าๆ ของผมไหม” เขาแหงนมองใบหน้าหล่อเหลาก้มลงมองเขาเช่นกัน ดวงตาทั้งสองสองคู่สบกัน
“แล้วทำไมผมถึงต้องไม่ล่ะ”
ธันธเนศผละออก ยืดตัวนั่งตรง
“ผมนี่แหละที่จะมาทำให้คุณเห็นว่าเรื่องร้ายๆ ในชีวิตคุณมันก็แค่เรื่องในอดีต หากพ่อแม่คุณไม่ยอมรับเรื่องของเรา ผมจะพิสูจน์ให้เขาเหล่านั้นเห็นเอง”
สิ่งที่อีกฝ่ายพูด แม้จะมั่นเหมาะแค่ไหน แต่มันก็เป็นแค่เรื่องของอนาคต ที่ไม่แน่นอนเลย
“ขอบใจนะที่ แต่เอาเถอะ ผมต้องไปทำงานแล้ว”
ธันธเนศพูดพลางลุกขึ้น แต่คนที่ยืนอยู่ใช้เรียวแขนทรงพลังดึงเอวบางเข้ามาสวมกอดไว้ คางหนาเกยไหล่ของเขาไว้ วัตถุเล็กจิ๋วสีเงินแวววาวในมือของคนที่โอบกอดเอวเขาไว้เผยออกมา ก่อนจะถูกสวมเข้าไปที่นิ้วนางข้างซ้ายของเขาในทันที
“ธันวา” ธันธเนศถามเสียงสั่น ด้วยความตกตะลึงต่อสิ่งที่เย็นวาบในนิ้วมือของเขาขณะนี้
“ผมขอจองคุณไว้ก่อน ต่อไปนี้คุณคือคนของผมแล้วนะ”
“จะบ้าเหรอธันวา นี่มันแหวนนะ”
“ใช่ไง คุณเห็นเป็นอะไร”
“มะ-หมายความว่ายังไง”
“ก็หมายความว่าผมจะแต่งงานกับคุณทันทีที่คุณพร้อม ตอนนี้ผมหมั้นคุณไว้ก่อน”
“ตะ-แต่งงาน มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ อีกอย่าง...”
“ไม่มีข้อแม้อะไรใดๆ ทั้งสิ้น ผมคิดดีแล้ว แม่ผมเขาก็รู้แล้ว และอนุญาตแล้วด้วย เหลือก็แต่ที่บ้านคุณ ฟังดูอาจจะเป็นด่านที่ยากหน่อย แต่ก็คงไม่เกินความสามารถ”
“คุณยังไม่รู้จักพ่อแม่ผมดีพอ”
“ทำไมผมจะไม่รู้จัก ตระกูลอรุโณโรจน์ นักธุรกิจอสังหาฯ ผู้โด่งดัง ผมเก็บข้อมูลมานานแล้ว”
แม้จะรู้ดีว่าเป็นตายร้ายดียังไง พ่อและแม่ของเขาก็ไม่มีวันยอมให้ลูกชายคนเดียวของบ้านแต่งงานกับผู้ชายด้วยกันแน่ๆ แต่เหตุการณ์เมื่อคืนก็กลับมาย้ำเตือนเขาอีกครั้ง จริงๆ แล้วเขาอาจจะไม่ได้มีความสำคัญกับบ้านนั้นอีกต่อไปแล้วก็ได้ ไม่ว่าชีวิตเขาจะเป็นไปในทิศทางไหนก็คงไม่สำคัญอะไรนักหรอก
“แต่จะยังไงคุณก็ยังไม่ได้รับอนุญาตจากผมเลยนะ คุณจะมามัดมือชกผมแบบนี้ไม่ได้”
“แหวนก็สวมไปแล้ว คุณจะใจร้ายถอดมันออกมาเหรอ” น้ำเสียงอ้อนวอนพูดขึ้น “แต่งงานกับผมนะครับ นะครับ”
“ถ้าผมบอกว่าผมจะถอดมันออกล่ะ”
“ไม่ให้ถอด” เสียงแข็งเปลี่ยนมาเป็นอ้อนวอน “น๊า นะครับ คุณจะไม่ให้โอกาสผมได้พิสูจน์ตัวเองหน่อยหรอ” สายตาเว้าวอนไม่ได้สนใจข้อแม้ที่ธันธเนศกำลังหยิบยกขึ้นมาแม้แต่น้อย
“นะครับๆ”
เสียงอ้อนเหมือนเด็กพร้อมกับตาแป๋วร้องขอในสิ่งที่อยากได้ สองมือยังคงรัดแน่นอยู่ที่เอวของคนที่เหมือนถูกจองจำไว้
“แต่งงานไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ที่นึกอยากจะทำก็ทำได้นะธัน คิดให้ดีๆ นะ”
“ก็ยังไม่ได้แต่งสักหน่อยแค่จองไว้ ผมจะรอจนกว่าคุณจะพร้อม นะ”
ความขี้ตื้อนี้มันทำให้ธันธเนศจนปัญญาจะมองหาข้อต่อรองมาค้านได้อีก มือข้างขวาที่จะเอื้อมมาถอดแหวนครั้งใดก็ถูกมือทรงพลังกว่าของคนที่กอดอยู่ขวางเอาไว้ และก่อนที่วันนี้เขาจะไปทำงานสายเอา
“อายุเท่าไหร่เองเราน่ะ มาขอเขาแต่งงาน แก่แดดว่ะ ปล่อย” คนที่รั้งไว้พยายามยื้อยุด
“ไม่ ตอบตกลงก่อนดิ” แต่แรงของคนที่ตัวโตกว่าก็ยังคงรั้งไว้ได้ต่ออย่างง่ายดาย
ธันธเนศถอนหายใจ “อือๆ” เสียงในลำคอหลุดรอดออกมา
“อะไรนะ ไม่ได้ยินเลย” คนที่กอดไว้อยู่ทำท่าเอียงหูเข้าใกล้ปากเขา
“ก็ อือ”
คนฟังยิ้มกว้าง “
เยส! มีเมียแล้วโว้ย”
“เอ๊ย พูดอะไรเกรงใจฟ้าบ้าง เดี๋ยวมันก็ผ่าเปรี้ยงปร้างลงมา” เขาปราม “อีกอย่างแค่ยอมรับแหวนไว้ก่อน ไม่ได้หมายความว่าอนาคตจะแต่งนะ ต้องดูสถานการณ์กับพฤติกรรม”
“โห่ งั้นขอจุ๊บทีนึงก่อน แล้วจะปล่อย” คนพูดทำปากยืดปากยาว
“ทะลึ่งไปกันใหญ่แล้วไอ้เด็กนี่” ธันธเนศใช้ศอกกระทุ้งไปข้างหลัง จนคนข้างหลังตัวงอ
สำหรับธันธเนศแล้ว แหวนนั่นไม่ได้เป็นตัวการันตีความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน หรือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นว่าต้องเกิดขึ้นแน่ๆ แต่ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับปัจจัยอะไรหลายๆ อย่างที่รอเขากับธันวาอยู่ข้างหน้านี้ ต่างหาก
เพราะความสัมพันธ์ในครั้งแรกที่จบลงอย่างเละเทะ มันทิ้งรอยบาดแผลอย่างดีไว้ให้เขา ให้เขาระมัดระวังตัวมากขึ้น และพึงระลึกอยู่เสมอว่า ไม่มีความแน่นอนอยู่ในความสัมพันธ์ที่เรียกว่า ความรัก
และตอนนี้ เพราะบางอย่างอาจจะทำให้ธันวารักเขาเข้าแล้วก็จริงอย่างปากว่า แต่สำหรับเขาแล้ว เขาแค่เริ่มรู้สึกอะไรบางอย่างกับธันวาก็แค่นั้น นั่นอาจจะเกิดจากการที่อีกฝ่ายเข้ามาในชีวิตเขา ในช่วงที่เขากำลังอ่อนแอและต้องการที่พึ่งทางใจ แค่นั้นเอง
¨¨¨¨¨¨¨¨¨¨¨¨¨¨
ไรเตอร์ทอล์ค : "มาแล้วจ้าาาา มาแล้ว ตอนใหม่มาแล้ว!!!!!
สำหรับตอนนี้ขอบอกเลยว่าหมั่นไส้อีธันวามากกก เป็นมนุษย์จำเภทที่อะไรก็ไวไฟไปหมด เพิ่งจะตีกันอยู่หลัดๆ มาตอนนี้ก็ขอจองเขาซะงั้น คนอารั้ยย ไรต์ว่าน่าจะเป็นอาการเริ่มต้นของคนเป็นไบโพล่าว่าแม่ะ ฮ่าๆๆๆๆ
อ่านแล้วช่วยเม้นติชมให้กำลังเค้าหน่อยน่าาาา รักคนอ่าน ด่าธันวาได้ อนุญาต แรงๆ เลยยิ่งดี"
ปล. ที่เนื้อเรื่องดำเนินเร็ว แม้จะเพิ่งเลยครึ่งเรื่องมานิดเดียวก็เหมือนพระเอกกับนายเอกจะแฮปปี้เอนดิ้งแล้ว นั่นเป็นเพราะว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นของความหน่วง เนื้อหากำลังจะหนักขึ้นในตอนท้ายๆ นาจา และเช่นเดิม รักไรต์ชอบไรต์ กดติดตามเค้าด้วย จุฟๆ
เฟสบุ๊คก่อนเหมันต์... ก่อนเหมันต์ ...