ตอนที่ 3
ตอนที่ไม่ได้สนใจ ต่อให้อีกฝ่ายทักทายฉันท์ก็ยังจำไม่ได้ ตอนที่เขาเล่าให้ฟังว่าเคยพบเจอกันตอนไหน เมื่อไหร่ก็ยังนึกไม่ออก แต่เมื่อได้คุยกันสักครั้งหนึ่ง ฉันท์ก็มองเห็นธนวัฒน์ อาจารย์บรรณารักษ์คนนั้นคอยวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ อย่างที่เจ้าตัวบอกไว้
สำหรับฉันท์แล้ว เมื่อทักมาก็ตอบกลับไป และยังมีกำแพงสูงกั้นกลาง
แต่ธนวัฒน์ที่เป็นผู้ใหญ่กว่า ใช้วิธีแวะเวียนมาพบเจอแบบสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความคุ้นเคย จนวันหนึ่งก็เดินเข้ามาหาที่โต๊ะไม้ใต้ตึกเรียนบอกว่าขอยืมโทรศัพท์ ฉันท์ยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อส่งโทรศัพท์ให้ อีกคนก็กดโทรฯ เข้าเครื่องของตัวเอง แล้วบอกว่า เย็นนี้จะโทรหา
มาถึงตอนนี้ ฉันท์ก็จะได้รับข้อความหวานทุกเช้า และได้ยินคำพูดนอนหลับฝันดีก่อนนอนทุกคืน
อาจมีคำถามว่าอาจารย์ธนวัฒน์คนนี้อาจมีคนที่คบหาพูดคุยอยู่อีกคน หรือหลายคน แต่ฉันท์ก็เจตนาเว้นช่องว่างในคำตอบนั้นไว้
ก็เหมือนกับทุกคนที่เข้ามาในชีวิต ที่ฉันท์จะเว้นช่องว่างนี้ไว้เสมอ
รู้จักกันเฉพาะในยามพบเจอกัน ส่วนในเวลาที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกฝ่ายจะทำอะไร ฉันท์ไม่เคยถามถึง
หลายคนถึงบอกว่าฉันท์ไม่มีใจ แต่ธนวัฒน์กลับรู้สึกท้าทาย และต้องการเข้ามาอยู่ในโลกของฉันท์
นับจากวันที่ทักกันที่ห้องสมุดเป็นเวลาเกือบ 2 เดือนฉันท์ก็บอกกับธนวัฒน์ด้วยคำเดิมอีกครั้ง
“อาจารย์ครับ ผมขอบอกกับอาจารย์ตามตรง ว่าผมไม่พร้อม”
ธนวัฒน์ยิ้มกว้าง “ก็คุยกัน ทำความรู้จักกันแบบคนอยู่ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน คนที่ชอบหนังสือเหมือนกันได้ไหม”
“แบบนั้นมันก็ได้ครับ” ฉันท์ย้ำ “แต่ถ้าอาจารย์ต้องการมากกว่านั้น ผมไม่อยากให้เสียเวลา”
“อย่าคิดมากน่า” ชายหนุ่มเข้าใจ “เรายังมีเวลาคุยกันอีกตั้งมาก”
“คุยกันเท่านั้นนะครับ”
“คุยกันเหมือนที่ผ่านมา ได้ใช่ไหม”
ฉันท์พยักหน้า “ก็ได้ครับ”
“งั้นเสาร์นี้ไปดูหนังกับพี่นะ”
เมื่อฉันท์เงียบ ธนวัฒน์ก็รุกต่อ “น้องฉันท์ยังไปดูหนังกับเพื่อนได้เลยใช่ไหม แต่ทำไมถึงได้ปฏิเสธพี่ตลอด”
ในชีวิต มีอยู่หนึ่งคนที่เรียกว่า ‘น้องฉันท์’ แต่ในเวลานี้เขาอยู่ไกลมาก
“ก็ได้ครับ”
ฉันท์ตอบรับไปดูหนังกับธนวัฒน์โดยที่คาดไม่ถึงว่าจะส่งผลต่อเนื่องไปไกล
....
"มึงตกลงที่จะคบกับอาจารย์ธนวัฒน์จริง ๆ หรือวะ" ต้อมถามขึ้นทันทีที่เจอกันในห้องเรียนตอนเช้าวันจันทร์
"แค่คุยกัน" ฉันท์ตอบไปตามตรง ทำให้ต้อมหัวเราะ
"อะไรของมึงเนี่ย เจ้าชายฉันท์ทัต ไปเดทกันมาเมื่อวันเสาร์ไม่ใช่หรือไง"
"รู้ได้ไง"
"โห" ต้อมทำหน้าตาบิดเบี้ยว "มีคนเห็นมึงเดินกับอาจารย์น่ะสิ กูยังคิดว่ามึงเห็นจากทวิตแล้วเสียอีก"
ฉันท์ส่ายหน้า “ไม่หรอก ยังไม่ได้เข้าทวีตเลย"
"ยังมาทำหน้างงใส่กูอีก นี่เขารีทวีตกันกระหน่ำเลยมึง"
ฉันท์ยังคงทำหน้าตาไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ไม่ได้สนใจที่จะตั้งคำถามต่อ ต้อมก็เลยเล่าถึงเรื่องที่ทุกคนวิจารณ์กัน แต่คนที่ตกเป็นเป้าหมายของการวิจารณ์กลับไม่เข้าใจ
"กูเพิ่งไปกับเขาครั้งแรกเองนะ ก็พูดกันไปไกลแล้ว อีกอย่าง....."
เมื่อฉันท์เงียบ ต้อมก็เร่งให้เพื่อนพูดต่อ
"อีกอย่างอะไร"
"อีกอย่างมึงก็รู้ ว่ากูไม่เคยคบกับใครได้นาน พอเขารู้ว่ากูเป็นคนยังไง เดี๋ยวเขาก็ไป คุยกันไปแบบนี้แหละดีแล้ว"
“คุยกันเฉย ๆ จิงดิ”
“จริง” ฉันท์ยืนยัน
ต้อมที่กำลังอยู่ในอารมณ์อยากรู้เรื่องหุบปากเหมือนไล่งับอากาศ แล้วขยับนั่งตัวตรง จากนั้นก็กลับหันมามองหน้าเพื่อนตัวเล็กอีกครั้ง
"งั้นไม่ต้องไปสนใจมนุษย์โซเชี่ยลนั่นก็ได้ เอาที่ตัวตนของมึงกับอาจารย์เนี่ย มีอะไรที่ไม่คลิ๊กกันหรือไง"
"กูจะไปรู้หรือไง เพิ่งคุยกันเอง"
"เออนั่นสินะ" ต้อมนึกได้ ก็ที่ผ่าน ๆ มาเห็นว่าเดินเข้ามาสารภาพรัก วันถัดมาก็ทำตัวติดกันเสียแล้ว แต่คราวนี้ ดูห่าง ๆ ขนาดไปเดทกันแล้ว ต้อมที่ประกาศตัวเป็นเพื่อนสนิทยังมารู้จากไอจีของคนอื่นที่ส่งต่อ ๆ กันมาเลย
"เขาเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่รุ่นพี่รุ่นน้องอย่างคนก่อน ๆ บทสรุปมันคงไม่เหมือนกันหรอกน่า แล้วมึงเองก็ดูเฉย ๆ นี่หว่า จะมาก็มา จะไปก็ไป"
ฉันท์ยิ้มมุมปาก ขนาดเพื่อนกันก็ยังสรุปท่าทีของฉันท์ ว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับการที่ต้องเป็นฝ่ายฟังคำตัดสินของคนที่เข้ามาบอกรัก ว่าไม่ได้ดี และไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคาดหวัง แล้วก็จากไป
ใจคน จะไม่รู้สึกได้อย่างไร
แต่ที่ไม่ฟูมฟาย เพราะรู้ดีเช่นกันว่า มันไม่มีประโยชน์ คนที่เขาจะไป ไม่ว่าจะทำหรือไม่ทำ พูดหรือไม่พูด เขาก็ยังไปอยู่ดี
ขณะที่ 2 หนุ่มกำลังคุยกันอยู่ แป้งเพื่อนสาวแท้ในกลุ่มก็เดินเข้ามาทักทายด้วยเรื่องการไปเดทกับอาจารย์ห้องสมุด ตามมาด้วยเพื่อนอีกหลายคนที่ทยอยเข้าห้องเรียนมา ก็รุมถามคำถามเดียวกันจนทำให้ฉันท์สงสัย
"อะไรกันเนี่ย"
"ไม่ต้องมาอะไรเลย" แป้งตีที่ต้นแขนผอม ๆ ของฉันท์ "นั่งเรียนอยู่ข้างกันแท้ ๆ ฉันกลับไปเห็นจากทวิตเตอร์คนอื่นว่าแกไปเดทกับอาจารย์"
“มีคนดึงไปลงเฟซ ลงบล็อคกอสซิปแล้วด้วย” เพื่อนสาวอีกคนยื่นโทรศัพท์ให้ฉันท์ดู
นี่มันอะไรกัน
“แฟนคลับอาจารย์หรือ”
จากที่อ่านความเห็นสรุปได้แบบนั้น คือวิจารณ์ว่าหนุ่มหน้าสวยคนนี้เปลี่ยนคนควงไปเรื่อย และอาจารย์บรรณารักษ์คือคนล่าสุด
มีสาว ๆ หลายคนไม่ชอบฉันท์เอามาก ๆ
ต้อมอาสา “กูช่วยตอบให้นะ”
“ตอบว่า...” แป้งถาม
“สวยเลือกได้ จบป้ะ”
“อย่าเลย ไม่ต้องไปตอบอะไรเขาหรอก อย่าประชดแบบนั้นด้วย” ฉันท์รีบห้าม “โลกของกูไม่ได้อยู่ในโทรศัพท์ เขาอยากว่าอะไรก็ช่างเขาเหอะ”
“โห พ่อพระ” เพื่อนหนุ่มสาวหลายคนประสานเสียงพร้อมกัน
“ไม่ใช่โว้ย” ฉันท์เถียง “แต่คนที่เขาตัดสินเราไปแล้ว มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปบอกเขาว่าความจริงคืออะไร เสียเวลาเปล่า ไปทำอย่างอื่นดีกว่า”
"เดี๋ยวนะ" กอล์ฟ เพื่อนอีกคนท้วงขึ้นเมื่อนึกได้ "เขาเคยเข้ามาทักฉันท์ตอนที่พวกเรานั่งอยู่หน้าตึกด้วยกันไม่ใช่หรือ"
"ใช่แต่นั่นมันนานเป็นเดือนแล้ว"
"แล้วไอ้ฉันท์ก็แอบไปรับนัดเขา แอบไปเที่ยวกับเขา โดยไม่ผ่านการพิจารณาของพวกเราอีกแล้ว" นิดหน่อยเพื่อนสาวที่รูปร่างอ้วนกลมทำเสียงหนัก ๆ เหมือนเป็นความผิดร้ายแรง
"ก็ แค่คุยกัน มันไม่ใช่อย่างนั้น" ฉันท์อยากเถียง แต่กลับยิ้มให้กับเพื่อนที่ช่างแสดงความเห็นได้ต่อเนื่องกันไม่หยุด
"แต่ถ้าแกจะมีแฟนมันก็ดีนะ แต่เวลาแกโดนทิ้งกลับมาน่ะ เพื่อนเครียดนะ" นิดหน่อยบอก "แล้วนี่ทำไมต้องคุยกันแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ ด้วย"
"ไม่ได้คิดจะหลบซ่อนอะไร” บอกไปหลายครั้งแล้วว่ายังไม่พร้อม
"เออ ใช่" แป้งหันไปหากลุ่มเพื่อนสาวทั้งหลาย "มีระเบียบมหาลัยห้ามอาจารย์กับศิษย์คบกันหรือเปล่า"
“คุยกัน” ฉันท์เถียง
“เออ คุยกัน” แป้งหันมาค้อน
"ไอ้ฉันท์ไม่ได้เรียนวิชาห้องสมุดนี่" กอล์ฟบอก "แล้วเราก็เหลืออีกเดือนเดียวก็จะจบแล้วด้วย" เพื่อนตาตี่หันมาให้กำลังใจ "คุยกับผู้ใหญ่อาจดีกว่าคุยกับคนอายุใกล้กันก็ได้นะ"
ฉันท์มองเพื่อน ๆ แล้วก็ส่ายหน้า ทำให้ต้อมทำหน้าที่บอกกับเพื่อนทุกคน
"ฉันท์มันเชื่อว่า ถ้าเขารู้จักตัวตนของมันแล้วเขาก็จะไป"
"อ้าว" เพื่อนทุกคนส่งเสียงร้องออกมาพร้อมกัน จากนั้นก็ช่วยกันสรุป "ฉันท์แม่งกลายเป็นพวกมองความรักในแง่ลบไปเสียแล้ว"
"ไม่ถึงขนาดนั้น กูก็แค่ยอมรับว่าเป็นพวกหน้าตากับนิสัยไปคนละทาง จนคนอื่นรับไม่ได้"
"ไม่ได้ถึงขนาดนั้นสักหน่อย" แป้งช่วยให้กำลังใจ "อย่าคิดอะไรแบบนั้น อาจารย์ธนวัฒน์อาจไม่ใช่คนที่มาชอบแกเพราะหน้าตาก็ได้"
ฉันท์ยิ้มให้แป้ง ขณะที่นิดหน่อยช่วยเสริมด้วยท่าทางเว่อร์เกินจริง "ก็เวลาที่อีกฝ่ายจะเลิก แกก็ช่วยแสดงท่าทีแบบ ทำไม อะไร ยังไง ผมทำอะไรผิด ผมจะแก้ไข อะไรแบบนั้นไม่ได้หรือไง"
แป้งรีบพยักหน้า "เออใช่ เท่าที่แอบดูมานะ" เพื่อนร่วมห้องพากันร้องแซวเสียงดัง จนแป้งต้องหันไปโวย "พวกแกก็แอบดูอยู่ด้วยกันน่ะแหละ แล้วจะว่ากันเองทำไม" เพื่อนสาวหันมาหาฉันท์อีกที "เขาอาจมาบอกเลิก เพราะหวังให้แกง้อก็ได้ แต่นี่ทุกคนเลยนะ พอเขาบอกว่าจะไป แกก็พยักหน้าตามใจเหมือนตอนที่เขามาขอคบด้วยทุกที"
คำตอบของฉันท์เรื่องนี้เหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยน
"ถ้าเขาจะไป ไม่ว่าจะพูด หรือไม่พูด เขาก็ไปอยู่ดี เพราะฉะนั้นให้มันหยุดแค่คำว่าคุยนี่แหละดีแล้ว"
นิดหน่อยชี้ไปที่โทรศัพท์บนโต๊ะ “แต่ถ้าแค่เริ่มคุยกันแล้วเจอแบบนี้ มันก็ยากที่จะพัฒนาไปมากกว่าคำว่าคุยกันจริง ๆ แหละ”
ฉันท์หันไปมองอาจารย์ที่ปรึกษาที่เดินเข้ามาในห้องเรียน ปัดภาพเก่า ๆ ออกไปจากสายตา ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น
....
เลิกเรียนวันนี้ ฉันท์เดินไปห้องสมุดเพื่อทำรายงาน ธนวัฒน์เดินเข้ามาหาแล้ววางหนังสือเล่มเล็กทางขวามือขณะที่นั่งลง "หนังสือเพิ่งมาใหม่ จะยืมไหม"
ฉันท์มองหน้าปกหนังสือ และมองชื่อคนเขียน เป็นหนังสือคำคมให้กำลังใจ ที่รวบรวมโดยนักธุรกิจชื่อดัง
"ขอบคุณครับ"
แต่ธนวัฒน์กลับชวนคุยต่อ "ที่จริงใกล้สอบแล้ว น้องฉันท์ต้องเร่งทำงานส่งอาจารย์หรือเปล่า"
"ไม่เป็นไรหรอกครับ"
ธนวัฒน์พลอยยิ้มตามไปด้วย "วันนี้ขับรถมาหรือเปล่า"
ฉันท์พยักหน้า ทำให้ชายหนุ่มผิดหวัง "แล้วเมื่อไหร่พี่จะได้ไปส่งน้องฉันท์ที่บ้าน"
"ก็..." ฉันท์อมยิ้ม หันไปเขียนแผนที่ใส่กระดาษแผ่นเล็กแล้วส่งให้ "เลิกงานแล้ว แวะไปกินข้าวที่นี่ก็ได้นะครับ"
เมื่อเห็นว่าคนรับมีท่าทีดีใจฉันท์ก็บอก “อย่าเพิ่งรีบดีใจ กับข้าวธรรมดาอาจไม่ถูกปากพี่ก็ได้”
“ถ้าน้องฉันท์ว่าอร่อย พี่ก็ว่าอร่อยน่ะแหละ”
ฉันท์ยิ้มอ่อนสรุปบทสนทนาด้วยการพูดถึงหนังสืออีกเล่มที่จะเอามาประกอบการทำรายงาน จากนั้นก็ขอตัวลุกไปหาหนังสือ
ธนวัฒน์มองตามแผ่นหลังบางที่เดินห่างออกไป เมื่อหันกลับมาเห็นว่าเพื่อน ๆ ของฉันท์กำลังมองดูอยู่ก็ส่งยิ้มให้กับทุกคนจากนั้นก็ลุกกลับไปประจำที่หลังเค้าน์เตอร์
เมื่อจะออกจากมหาวิทยาลัย ฉันท์โทรศัพท์ไปบอกป้า ว่าเย็นนี้อาจมีสมาชิกไปกินข้าวเย็นด้วยอีกหนึ่งคน จะซื้อกับข้าวสำเร็จรูปจากปากซอยเข้าไป
“เผื่อไว้ ถ้าเขามาเราค่อยเอามาอุ่น แต่ถ้าไม่มาเราก็เก็บไว้วันพรุ่งนี้”
“ขี้เหนียวนะเรา” ป้าพูดขำ ๆ
หลังหกโมงเย็นเพียงเล็กน้อยธนวัฒน์ก็มาจอดรถที่หน้าอพาร์ทเม้นท์ ฉันท์ที่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินออกมารับ
"คิดว่าจะมาไม่ถูกเสียอีก"
ธนวัฒน์ส่งตะกร้าผลไม้ให้ "เข้าซอยมานิดเดียวแบบนี้หาง่าย” ชายหนุ่มลดเสียงลงท่าทางลึกลับ “มีเรื่องเซอร์ไพรซ์จะบอก"
ฉันท์ยิ้มรอฟังคำเซอร์ไพรซ์ของอีกคน
"อพาร์ทเม้นท์ของน้องฉันท์ อยู่ไม่ไกลจากบ้านพี่"
ฉันท์มีสีหน้าประหลาดใจอย่างที่อีกคนบอกไว้ "จริงหรือครับ"
ธนวัฒน์พยักหน้ายืนยัน ฉันท์ก็เบี่ยงตัวให้เดินคู่กันเข้าไปในบ้านหลังเล็กข้างอพาร์ทเม้นท์
“ลุงครับ ป้าครับนี่พี่ทีมครับ”
ลุงกับป้ารับไหว้แล้วถามไถ่เรื่องทั่วไป อย่างบ้านอยู่ที่ไหน รู้จักกับฉันท์ได้อย่างไร ทำงานอยู่ที่ไหน แล้วพอธนวัฒน์บอกว่า เป็นอาจารย์บรรณารักษ์อยู่ที่มหาวิทยาลัยที่ฉันท์เรียนอยู่ป้าก็นิ่งอึ้งไป จากนั้นก็ชวนกินอาหารเย็นพร้อมกัน
“กับข้าวง่าย ๆ นะกินได้ไหม”
“ได้ครับ”
ธนวัฒน์กินง่ายสมกับที่เจ้าตัวบอก ผัดพริกผักบุ้ง กับแกงจืดตำลึงก็อร่อยจนต้องขอเพิ่มข้าวจานที่ 2 ทำให้ป้าหน้าบานยิ้มไม่หุบ
“นี่ไม่เคยมีใครขอเพิ่มข้าวอย่างนี้มานานแล้วนะ”
ธนวัฒน์หันไปมองฉันท์ที่นั่งยิ้มอยู่ข้าง ๆ ก่อนที่จะหันมาตอบเอาใจป้า “แต่กับข้าววันนี้อร่อยมากเลยนะครับ ผมไม่เคยกินที่ไหนอร่อยอย่างนี้มาก่อน ถ้าจะขอมารบกวนมื้อเย็นบ่อย ๆ จะได้ไหมครับ”
“ได้สิ” ป้าตอบทันที “ถ้าทำกับข้าวแล้วมีคนกินเยอะ ๆ อย่างนี้มาทุกวันเลยก็ได้ คนทำกับข้าวชอบ”
“ครับ” ธนวัฒน์หันไปถามฉันท์ “น้องฉันท์อนุญาตไหม”
ฉันท์แค่ยิ้มมุมปาก ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองธนวัฒน์เลยด้วยซ้ำ
อาการแบบนี้ หลายคนตีความว่าฉันท์ไม่ค่อยเต็มใจให้มาทุกวันสักเท่าไหร่ ที่ไม่ได้พูดอะไรเพราะป้าเป็นคนออกปากชวน ซึ่งธนวัฒน์ก็ควรตีความแบบนั้นเหมือนกัน
แต่ธนวัฒน์ตีความไปในทางตรงข้าม
หลังอาหาร ธนวัฒน์ยังอยู่คุยกับป้าจนเกือบ 2 ทุ่มฉันท์ก็บอกอย่างตรงไปตรงมาว่า จะขอกลับบ้าน เพราะมีรายงานที่ต้องทำ
“อ้าว น้องฉันท์ไม่ได้อยู่ที่นี่หรือ”
“ไม่ครับ ผมอยู่กับพ่ออีกหลังหนึ่ง ถ้าพี่จะคุยกับป้าเรื่องการทำอาหาร...”
ฉันท์ต้องการหาเรื่องหนีกลับบ้าน แต่ธนวัฒน์มองว่าหึง
ซึ่งมันตลกมากในสายตาของลุงวินัยคนที่รู้จักหลานชายคนนี้ดีที่สุด
“โธ่ น้องฉันท์ เห็นนิ่ง ๆ ไม่คิดว่าจะหึงเหมือนกันนะเรา”
น้องฉันท์เลิกคิ้วสูงข้างหนึ่ง ทั้งยกยิ้มมุมปาก
ธนวัฒน์หันไปลาลุงกับป้าพร้อมบอกว่าแล้วจะมากินข้าวเย็นด้วยบ่อย ๆ จากนั้นฉันท์ก็เดินไปส่งที่รถ
เมื่อฉันท์เดินกลับมาที่บ้านมองหน้าลุงวินัย ลุงก็พูดทันทีโดยที่ไม่ต้องถาม
“ไอ้คนนี้มันตีความหมายอะไรเข้าข้างตัวเองไปเสียหมด”
“แต่ฉันว่าหน้าตาเขาดูคุ้น ๆนะ” ป้าพูดขึ้นมา แต่พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
ส่วนคนที่นึกออกหันมามองหน้าหลานชายที่ก้มหน้าก้มตาหยิบกุญแจรถ พอหลานจะกลับก็ทำทีเป็นเดินตามมาด้วย
“ที่ว่าเขาเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเดียวกันมันก็ดูไม่ดีอยู่แล้ว จะสอนเราหรือไม่สอนมันก็ไม่เหมาะ รอให้เรียนจบแล้วค่อยคุยกันจะดีกว่า แต่ที่สำคัญคือตัวเราเองที่อย่าเอาเขามาแทนที่คนไกล”
“ผมไม่ได้เอาเขามาแทนที่นะฮะ”
“แล้วเราชอบเขาหรือเปล่า”
ฉันท์ส่ายหน้า ก็เหมือนกับทุกครั้งที่พาใครมาบ้านแล้วลุงถามแบบนี้ ฉันท์ก็จะตอบแบบเดิม
“ไม่ชอบเขา ก็ปฏิเสธเขาให้มันเด็ดขาดไม่ดีกว่าหรือไง ทำแบบนี้สักวันเจอคนเจ้าคิดเจ้าแค้น เราจะเดือดร้อน”
“เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว สักพักเขาก็จะรู้เองแหละฮะ ว่าผมไม่ได้ชอบเขา”
“ไปคิดแทนเขาแบบนั้นมันไม่ถูก” ลุงวินัยย้ำ “ยิ่งกับคนที่ปากหวาน หลงตัวเองแบบนี้ ค่อย ๆ ห่างออกมาก็แล้วกัน”
...
จากมุมบันไดของอาคารที่พักความสูง 5 ชั้น ฐาติที่ยังคงมาทำความสะอาดห้องพักที่ชั้น 5 ให้กับธามันเดือนละครั้ง มองตามหลังคนที่เดินเข้าไปในบ้านแล้วได้แต่ส่ายหน้า
ข้อความจากเมลที่ส่งไปถึงคนไกล ก็ยังเหมือนเดิม คือแนะนำให้คืนห้อง แล้วก็เริ่มต้นกับคนใหม่อย่างจริงจัง
จนถึงวันถัดมา เพื่อนสนิทและญาติสนิท 2 คนนี้ถึงได้คุยกันผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
"แค่ให้ไปดูห้องเดือนละครั้ง เบื่อแล้วหรือไง" ธามันถามกลั้วหัวเราะ
"4 ปีแล้วนะ มึงจะฝังใจอะไรนักหนาวะ เขามีคนใหม่พามาบ้านไม่เคยซ้ำหน้า"
รู้จักกันแค่ 2 เดือน ห่างกันไป 4 ปี ธามันยังอยู่ที่เดิม รักน้องฉันท์ของมันอยู่เหมือนเดิม
ธามันยอมรับว่า ครั้งแรกที่ฐาติเล่าเรื่องคนใหม่ของฉันท์นั้นเขาเสียใจมาก จากนั้นก็คิดว่า เพราะตนเองอยู่ไกลและไม่ได้ให้สัญญา ไม่ได้ขอให้เขาคอย ทั้งตนเองยังเป็นฝ่ายที่ผิดคำพูดเพราะไม่ได้กลับเมืองไทยอีกเลย ดังนั้น แม้จะได้รับรู้ว่าเขาเปลี่ยนไป แต่ก็กลับมามีความหวังอยู่เสมอ
พอเห็นสีหน้าคนที่อยู่ไกลเจื่อนลง ฐาติที่มักจะเปลี่ยนเรื่องชวนคุยกลับพูดย้ำให้ธามันคืนห้อง
"คนนี้มีอะไรพิเศษกว่าคนอื่นหรือไง" ญาติผู้น้องถาม
"คนนี้คือพี่ทีม ธนวัฒน์"
ชื่อที่ทำให้ธามันนิ่งอึ้ง
"กูรู้ว่ามึงเจ็บ ถึงได้ไม่ค่อยอยากบอกว่าเห็นเขาไปไหนมาไหนกับใครบ้าง” บางทีฐาติก็พูดเกินจริง “แต่พอเป็นคนนี้ กูขอบอกกับมึงเลยนะ ว่าประเด็นมันไม่เหมือนเดิม มันไม่ใช่แค่อีกคนที่เขาพามาบ้าน มึงคิดดูกรุงเทพฯ มีคนเกือบ 6 ล้าน 5 แสนคน กลับมาเจอกันได้ กูว่าแม่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก”
“เขาอยู่ที่มหาวิทยาลัยที่น้องเรียนอยู่ไม่ใช่หรือ”
“ใช่ อยู่มาหลายปี แต่พอน้องใกล้จบกลับเข้าถึงตัว มันต้องมีอะไรแน่ ๆ” ฐาติจริงจังมาก “เรื่องหาคำตอบนี้ยกให้เป็นหน้าที่กูเอง แต่ตอนนี้มึงต้องคืนห้องไปก่อน ไม่ให้มีชื่อมึงอยู่ในบันทึกผู้เช่า ขอเวลาไม่เกิน 1 อาทิตย์ กูจะบอกกับมึงทุกอย่าง"
ธามันยังคงนิ่งคิดอีกชั่วครู่แล้วพยักหน้า
นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ธนวัฒน์ไม่ใช่คนอื่น ทั้งฐาติ และธามันรู้จักผู้ชายคนนี้ดีในระดับหนึ่ง จึงรู้สึกหวาดระแวงว่าการที่เขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับฉันท์ในเวลานี้ ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
และในวันที่เขาจะไป ฉันท์อาจต้องเจ็บ
ธามันคาดหวังว่าเขาจะสามารถกลับไปเมืองไทยได้ทันเวลา ก่อนที่ฉันท์ต้องเจ็บ
...
ฐาติพลิกข้อมือดูนาฬิกาด้วยความกระสับกระส่าย จนเมื่อเด็กนักเรียนผมสั้นเกรียนถีบรถจักรยานเลี้ยวเข้ามาในเขตอพาร์ทเม้นท์ก็ยกมือเท้าเอวโดยไม่รู้ตัว
เวลาผ่านไปเป็นปี กวางมีแต่เพียงความสูงกับเค้าโครงหน้าที่เปลี่ยนแปลงไป ขณะที่สีผิวยังคงออกสีน้ำผึ้ง และดวงตาสีอ่อนเต็มไปด้วยความสนุกสนานร่าเริงอยู่เหมือนเดิม
"สายมาก นี่คิดว่าถ้าอีก 5 นาทียังไม่มา กูจะไปแล้ว"
"โห น้าอะ" กวางยกมือไหว้ "หนูก็บอกแล้วไง ว่ามีกิจกรรมที่โรงเรียน นี่ก็รีบที่สุดแล้ว"
"เออ นี่กูคืนห้องแล้วนะ"
กวางดูงง ๆ แต่ก็พยักหน้า "คืนห้องจนได้สินะ" มือเล็กหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงส่งให้ "อะ งั้นหนูคืนโทรศัพท์น้า"
ฐาติซื้อโทรศัพท์เครื่องนี้ให้กวางเพราะเบื่อที่ต้องรอนาน หัวข้อที่สนทนาคือวันนี้จะไปที่หอพักเวลานั้น เวลานี้ แล้วก็วางสายไป ก็อยากชวนคุยเรื่องอื่นอยู่เหมือนกัน แต่ถ้ากวางไม่ชวนคุยต่อฐาติก็ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรดี
"เก็บไว้ เผื่อมีอะไรก็โทรหา"
"มีอะไรล่ะน้า"
"ก็เออแหละ เผื่อไว้" ฐาติอยากมะเหงกไอ้คนทำหน้าตากวน ๆ สักครั้ง "ถึงจะคืนห้อง แต่ยังมีธุระแถวนี้เหมือนเดิม"
"ต้องรายงานเรื่องของพี่ฉันท์ใช่ปะล่ะ"
ฐาติหันไปมองที่บ้านหลังเล็ก "ถ้าเผื่อเขาถาม"
"ถ้าเขาไม่ถามก็ไม่เล่าสินะ"
"ทางนี้เขาเปลี่ยนไปตั้งนานแล้ว เราก็เห็นกันอยู่"
"แล้วพี่ธามเขาไม่คบใครเลยเหรอ"
"เขาก็พยายาม"
แต่พอฐาติโบกมือขณะที่จะเดินไปที่รถ กวางก็ท้วงขึ้น "แล้วนี่ตกลงน้าเร่งให้หนูรีบมาหาทำไมเนี่ย"
"ก็จะบอกว่า คืนห้องแล้ว"
"แบบนั้น น้าโทรบอกก็ได้ไม่ใช่หรือไง เพราะน้าก็ไม่เอาโทรศัพท์คืน"
"กูเป็นมนุษย์โบราณไง ชอบการสื่อสารแบบเห็นหน้า"
กวางเกาหัวแกรกๆ "น้า"
"เออ"
"น้าอยากกินไอติมไหม มีร้านไอติมตรงหัวมุมถนน" กวางยิ้มระรื่น
"ตรงไหนวะ" ฐาติหันไปมองรถที่ตอนนี้มีสมบัติชิ้นสุดท้ายของธามันจากห้องพักอยู่ที่เบาะหลัง "มีที่จอดรถไหม"
"มันจะมีได้ไงเล่า น้าซ้อนรถหนูไปดีกว่า กินเสร็จหนูพามาส่ง"
ที่จริงฐาติสนใจร้านนั้น แต่พอมาคิดอีกทีก็จำเป็นต้องปฏิเสธ
"ไว้วันหน้าดีกว่า ถ้ากูผ่านมาแล้วค่อยไปกิน" มือใหญ่หยิบเงินจากกระเป๋า ส่งให้ 500 บาท "พาเพื่อนไปกินสิ"
ตอนที่ขับรถผ่านร้านไอศกรีมเปิดใหม่ตรงหัวมุมถนน ก็ไม่เห็นว่าจะมีที่จอดรถ
...แล้วมีที่จอดรถตรงไหน ใกล้ ๆ ร้านนี้บ้างวะ...
(มีต่อ)