Hear, Me
=======
If I could, I would
======
ตอนที่ 22
ยามที่ไม่อยู่ใกล้ๆ คนที่รัก หรือช่วงเวลาที่รอบกายไม่ได้โอ่ล้อมไปด้วยคนที่คุ้นเคยมันไม่มีความสุขหรอกครับ
ผมยอมรับว่าปรับตัวได้ช้า ไม่เหมือนไอ้แอม ตัวนั้นมันกินง่ายนอนง่าย ชอบง่าย ประทับใจก็ง่าย
ส่วนผมก็ได้แต่หืออือไปตามเรื่องตามราว ใครว่าดีก็ยิ้ม ใครติฉินก็เฉยซะ เพื่อจะได้อยู่ในโลกเงียบๆ ของผมต่อไป
มาอยู่ในลอนดอน ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กม.ต้นคนนึงที่เข้าถึงยาก ไม่ค่อยสนใจอะไรที่นอกเหนือจากสิ่งที่ชอบมากนัก 2 เดือนมานี้ ผมหงอยมากถึงขั้นไอ้แอมก็เข้าหน้าไม่ติด
ยาขนานดีถูกส่งตรงมาจากกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร เมื่อเดือนก่อน ผ่านทางสายใยแก้วหรือห่าเหวอะไรทั้งหลายแหล่ที่เรียกรวมๆ กันว่านวัตกรรม
นายคฤณนสไกป์มาหาผมหลังจากผมจัดการเรื่องต่างๆ ได้ลงตัวดีแล้ว
ตอนสัญญานเรียกเข้ามาผมโคตรตื่นเต้นๆ จู่ๆก็เขินหน้าจอไอแพด พอกดรับแล้วหน้าเขาเด้งขึ้นเท่านั้นแหล่ะ ผมแทบจะเกลือกร่างกายบนไอแพดเลยทีเดียว
เขาส่งเสียงหัวเราะมาก่อนเลย แต่ผมร้องไห้แล้ว ผมคิดถึงเขามาก คิดถึงเสียง คิดถึงมือ คิดถึงอก กลิ่นน้ำหอม ลมหายใจ คิดถึงกระทั่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รอบตัวเขา
พอเขาถามว่า "หมาเจมเป็นอะไรครับ? คิดถึงพี่หนึ่งมั้ยครับ?" ผมก็ร้องไห้อีก ไอ้เชี่ย ถามสะกิดต่อมอ่อนแอกูเพื่อ!!!
สไกป์ครั้งแรกไม่ค่อยมีอะไรได้คุยกันหรอก ส่วนมากเขาจะบอก จะสั่ง จะห่วงจะหวงมากมาย ผมก็ได้แต่พยักหน้าลูกเดียว พอผมหาว เขาก็ปล่อยไปนอน
เพิ่งเรียนรู้การบอกรักทางไกลเมื่อคุยกันครั้งที่ 3-4 นั่นแหล่ะ นายคฤณอ้ำอึ้งแล้วก็ทำหน้าดำ (คิดว่าหน้าจอคงมีปัญหาแล้วแหล่ะ) จากนั้นก็บอกผมว่า "พี่คิดถึงเจมมากนะครับ"
ผมก็หน้าแดง แต่เสือกกดปิดสัญญานไป แล้วค่อยดัดจริตส่งอีเมลล์ไปบอกว่า เจมคิดถึงพี่หนึ่งมากกว่า ฮ่าๆๆ รู้สึกชนะยังไงไม่รู้
ก๊อกๆ
ไอ้แอมแหงๆ จะมีใครอีกล่ะ ก็ผมอยู่บ้านนี่กับมัน 2 คนนี่นา
"อือ เอาไร?"
"เอามึงอ่ะ"
"สันขวาน!" ผมด่าใส่พลางพับโน้ตบุ้คปิดแล้วพุ่งไปเตะแข้งมันอย่างหมั่นไส้
"เอาไร เร็วๆ จะอีเมลล์ต่อ"
"พรุ่งนี้มีนัดไปกับกรุ๊ปสื่อเอเชียนะมึง"
"อือ กูไม่ลืม"
"กูไม่ได้มาเตือน มาบอกว่าปลุกกูด้วยนะ" บอกจบก็ออกจากบ้านไป ครับ มันไปติสแตกเก็บภาพแสงสีบ้าบอของมันนั่นแหล่ะ แต่ว่าเวบบล็อกของมันได้รับความนิยมมาก(จ้างหน้าม้าล่ะสิ) สืบเนื่องจากพี่ปูผู้ใช้ทุกโอกาสโยนวิกฤตใส่หัวคนอื่น เธอสั่งให้ผมกับมันทำงานส่งด้วยระหว่างที่มาอบรมหลักสูตรที่นี่
ไอ้แอมต้องทำบล็อกของตัวเองเพื่อนำเสนอมุมกล้องที่เปิดมุมมองใหม่ๆ ของโลก
เข้าทางมันเลยแหล่ะครับ
ส่วนงานผมหรอ? เขียนครับ เขียนบทวิพากษ์การนำเสนอของสื่อที่ต่างวัฒนธรรม เหมือนยากเนอะ แต่ไม่ยากหรอก ผมก็เขียนขึ้นต้นว่า "ไม่เข้าใจว่าทำไมคน.....ถึงได้....." จากนั้นผมก็เอาเรื่องที่ผมคุยกับนักข่าวต่างแดนที่มาเข้าโครงการอบรมรอบนี้เหมือนกันมาชำแหละ แล้วหาข้อสรุปให้คนอ่านเข้าใจว่า ทำไม คนต่างชาติ ต่างเผ่าพันธุ์จึงได้คิดเห็นต่างกันถึงเพียงนี้
เดือนละเรื่องเท่านั้น เบากว่างานไอ้แอมเยอะ หึ!
นี่เขียนของเพื่อนมาเลเซียไปแล้ว อินโดนีเซียแล้ว กำลังยำยัยพี่พม่าอยู่ เนื่องจากเธอมีความคิดซับซ้อน ผมต้องเอาอีโก้เธอออกก้อยบอกเล่ามุมมอง ฮื้อออ! เหนื่อย
กว่ามันจะกลับมาก็เที่ยงคืน ตอนนี้ทุ่มกว่าของที่นี่ ที่ไทยก็ราวตีหนึ่งกว่าๆ เวลาที่นายคฤณมักจะติดต่อมาก็ราว 2 ทุ่มของที่นี่ ก็เท่ากับว่าเขาต้องถ่างตาจนถึงตีสองค่อยติดต่อผม อืมม รู้สึกเป็นภาระของเขาขึ้นทุกวี่ทุกวันแฮะ
เอาวะ ไหนๆ ก็เขียนงานไม่ออกแล้ว ไอ้แอมก็ไม่อยู่ให้ชวนคุย เรียกเขาก่อนก็ได้
ทันทีที่ผมสไกป์ไปหา หน้าเขาก็เด้งขึ้นมาทันที เฮ้ย! ให้ผมได้รอบ้างไรบ้างดิ หมดมู้ดนะเนี่ย
“อ๊ะ! พี่หนึ่ง!” ผมทักอย่างตื่นเต้นแล้วโบกมือด้วย เอ่อ...ควรทำมั้ยวะ? จำไม่ได้แล้วด้วยว่าตอนที่เขาทักมานั้นเขาโบกมือหงอยๆ แบบนี้รึเปล่า นายคฤณหัวเราะใส่ผมแล้วโบกมือตอบ แม่งก็ทำตามกูเนอะ โตแล้วไรแล้วป่ะเนี่ย?
“มีอะไรด่วนรึเปล่าครับ?”
“ทำไมอ่ะ ไม่ด่วนเจมเรียกมาไม่ได้หรอ?”
“เปล่านะ! เฮ้ย! ทำไมคิดงั้น ก็ปกติเจมรอให้พี่เรียกไปก่อนนี่นา” เขาเถียงแล้วก็หันซ้ายหันขวา อะไรหว่า? สงสัยแฮะ
“พี่หนึ่งยุ่งอยู่รึเปล่าครับ? เท่านี้ก่อนก็ได้นะครับ” ผมบอกอย่างเกรงใจ ก็หน้าเขาเลิ่กลั่กนี่หว่า ไม่อยากกวนแล้ว หงุ่ยยยยย
“ไม่ยุ่งครับ แป๊บนึงนะ พี่แต่งตัวก่อน เพิ่งอาบน้ำเสร็จ” คนที่หน้าเหวอไปก็คือผมนี่แหล่ะ อายว่ะ แว๊กกก กูคุยกับชีเปลือย! ผมพยักหน้าหงึกๆ แล้วหันไปทางอื่น เพิ่งสำเหนียกว่ากูจะอายทำเต้าหู้อะไรก็ตอนที่เขาส่งเสียงเรียกนั่นแหล่ะ
และการเรียกของเขา ถ้าจะให้มันปกติกว่านี้หน่อยก็ดีนะ
“เจมครับ หูแดงหมดแล้ว หันมามองพี่เร็วสิ”
“เจมครับ ลูกหมาเจม เจมคร้าบบบ” เชี่ยยยยยยยย กูเขินตัวขึ้นผื่นแล้วเหอะ
“อาราย!” ผมทำเสียงยืดๆ ถ้าไอ้จิวได้เห็นต้องเตะผมตัวลอยแน่เลยอ่ะ ฮ่าๆๆ กูก็ทำไปได้เนอะ
“เสร็จยัง?”
“ถ้ายังไม่เสร็จ เจมช่วยได้มั้ยครับ” เลววววววววววว!! สัปดนตลอดเหอะ! ใครเอานายคฤณผู้เงียบขรึมเป็นผู้ใหญ่ใจดีกับลูกหมาลูกแมวไปฆ่าวะเนี่ย!
ผมหันไปทำหน้าหยิ่งใส่ นายคฤณหัวเราะต่ออีกนิดก็กลับมามีสติเหมือนเดิม สังเกตได้ว่าตอนนี้เขามีเสื้อสวมให้เห็นปกเสื้อนอนแล้ว โอ้เย่!
“เจมทานข้าวรึยังครับ?”
“แล้ว”
“กินอะไร?”
“ก็อบขนมปังกับหมูหมักไปพร้อมๆ กันอ่ะ คิดว่าสุกนะ แต่กินหมดแล้วครับ ถ้าไม่สุกก็ไม่เป็นไร ไอ้แอมก็กินด้วย ตายก็ตายพร้อมกัน”
“ใครอนุญาตให้เจมตายกับคนอื่นครับ? หืม?” คือ...ผมไม่รู้ว่าเขาต่อว่าหรือออดอ้อนกันแน่ น้ำคำกับน้ำเสียงนี่คนละเรื่องเดียวกันเลยเถอะ ผมขมวดคิ้วนิดหน่อยแล้วก็เปลี่ยนเรื่อง
“พรุ่งนี้พี่หนึ่งทำงานเช้ารึเปล่า? เอางี้ดีกว่า ต่อไปเดี๋ยวเจมติดต่อไปเองดีกว่า เดี๋ยวเจมเลือกเวลาเอง นะครับ จะได้ไม่ต้องนอนดึก”
“เวลานี้แหล่ะ คุยกันก่อนนอนพอดี พี่นอนดึกอยู่แล้ว”
“แต่พี่หนึ่งแก่แล้วนะ ต้องนอนให้พอ” ฮ่าๆๆ หนวดเสือกระตุกยิกๆ เลยครับ นายคฤณมองผมเหวี่ยงๆ แล้วก็ยกคาง เอียงแก้มซ้าย-ขวา แล้วก็กดหน้าตรงสบตากับผมพอดี
“พี่แก่ตรงไหนครับ?”
“เจมล้อเล่น” ผมยิ้มแก้ตัว แล้วก็ทำตาโตใส่เขาก่อนเปลี่ยนเรื่อง “วันนี้เหนื่อยมั้ยครับคุณคฤณ”
“ไม่เหนื่อยครับคุณชานนท์ ทำงานตามปกติครับ เก่งเป็นปกติ นี่เพิ่งบิดงานมาได้เพิ่ม ต้องไปต่างประเทศไกลมากด้วยครับ” ครับไปก็ครับกลับ นายคฤณก็เป็นแบบนี้แหล่ะครับ
“งานที่ไหนหรอครับ?”
“พม่าครับ ตอนนี้ต้องเอางานในอาเซียนไว้ก่อนครับ เออีซีครับ”
“อ่ออ ไม่มาบิดงานแถวลอนดอนหรอครับ?”
“อยากไปเหมือนกันครับ”
“ไหนว่าจะไม่มาไงครับ”
“ไม่ได้ไปหาใครเพราะคิดถึงจนทนไม่ไหวนี่ครับ ไปทำงาน ไม่นับครับ”
“ขี้โกงนะครับ”
“ไม่รับรู้ครับ ไม่โกงครับ กติกาคือผมครับ” ยกหางตัวเองแล้วก็หัวเราะ ผมฟังเขาหัวเราะเสียเพลิน รู้สึกดีมากที่ได้เห็นหน้ากัน รู้สึกเหมือนอยู่ใกล้กันแบบนี้ ฮือออ อยากกลับแล้วอ่ะ แต่ไม่ได้! ผมยังมีเรื่องต้องเรียนรู้อีกมาก อย่างน้อยๆ ก็ต้องเก่งกล้าให้เท่าทันนายคฤณนั่นแหล่ะ ผมต้องโตให้ทันเขา ทั้งความคิด และการกระทำ เอาสิ กูท้าตัวเองนี่แหล่ะ!
“คุณชานนท์อาบน้ำรึยังครับ”
“อาบแห้งครับ” ผมตอบหน้าด้านๆ นายคฤณทำสีหน้าตกใจแล้วก็หัวเราะ แล้วเขาก็บอกให้ผมเขินก่อนจะสั่งให้ผมไปอาบน้ำ
“ไปอาบเลยครับ เมื่อวานก็อาบแห้งแล้ว พี่หนึ่งชอบให้เจมตัวหอมๆ นะครับ”
“ดมถึงหรอครับ?”
“ยิ่งกว่าถึงอีกครับ เห็นหน้าก็รู้กลิ่น รู้อุณหภูมิแก้ม อยากจูบเจมจังเลย!!”
“ไอ้บ้าพี่หนึ่ง!”
“ไปอาบน้ำแล้วเตรียมนอนได้แล้วครับเด็กดี แล้วเจอกันครับ” เขาทิ้งท้ายแล้วก็ตัดสัญญาณไป ปล่อยให้ผมเหวอนิดๆ ก็ปกติเขาไม่เคยตัดสัญญาณไปก่อนเลยนี่หว่า อืมมม สงสัยคืนนี้จะง่วงจัดล่ะมั้ง
อาทิตย์นึงผ่านไปไวมากกกก
ไม่ใช่เพราะผมมีความสุขอะไรหรอก แต่เพราะวันๆ นึงมีเรื่องให้ทำมากมาย จน 24 ชั่วโมงไม่เคยเพียงพอสำหรับผม ไอ้แอมก็เหมือนกัน ตอนนี้มันนั่งพิงตัวผมอยู่ที่ห้องอาหารของสมาคม เวลาบ่ายโมงตรงวันนี้พวกผมมีนัดอบรมร่วมกับสื่อท้องถิ่นครับ แว่วว่าเป็นพวกสายทูตอะไรนี่แหล่ะ
“ง่วงว่ะเจม กลับไปนอนก่อนได้มั้ยวะ”
“ไม่ทันว่ะ อีกครึ่งชั่วโมงเอง มึงฟุบหลับไปดิ ยังไม่เห็นใครมาเลย” ผมมองไปโดยรอบ หวังว่าจะเริ่มเห็นพวกนักข่าวที่มาอบรมในโปรแกรมเดียวกัน
ในกรุ๊ปที่มาอบรมนี่มาจากทั่วโลกครับ ฮ่าๆ พูดให้เวอร์ แต่ประเทศที่เข้าร่วมก็เหมือนตัวแทนแข่งโอลิมปิคนั่นแหล่ะ มีคนเกเรเหมือนกัน แต่ผมกับไอ้แอมพยายามบังคับตัวเองให้เข้าอบรมทุกหัวข้อ ไม่อยากให้เสียชื่อประเทศไทย
“เกาหลีมายังวะเจม”
“มึงจะถามถึงเจนนี่ก็บอกมาเถอะ”
“เออ มายังวะรายนั้น” เจนนี่คือนักข่าวสาวชาวเกาหลีครับ เธอเป็นลูกครึ่งรึเปล่าก็ไม่แน่ใจ หน้าตาเกาหลีมากแต่พูดอังกฤษปร๋อเลย ผมสอดสายตามอง แล้วก็เห็นเป้าหมาย
“มาแล้วว่ะ”
“อย่ามีพิรุธนะเจม กูเอือมเขาจริงๆ ว่ะ ไม่ไหว” มันบอกแล้วก้มหน้าฟุบลงกับกระเป๋า มีการดึงตัวผมไปนั่งชิดกับมันเพิ่งบังไว้ แต่ผมก็เป็นกันชนที่ดีมาก ผมยกมือโบกไปโบกมาอย่างร่าเริงให้เจนนี่เห็น แล้วเธอก็พุ่งมาหาไอ้แอมทันที
ฮี่ๆ กูไปก่อนนะอ๋อมแอ๋ม
ผมย่องหนีจากมันไปนั่งที่อื่น ระหว่างนั้นก็ลอบมองไอ้แอมมันสะดุ้งจากแรงกระแทกแล้วก็หน้าเหวอถดตัวหนีเจนนี่ที่โอบล้อมมันทุกทิศทาง เออ สนุกดีเหมือนกันว่ะ
แล้วมาร์คก็มาถึง
มาร์คเป็นเจ้าหน้าที่ของสมาคมสื่ออังกฤษที่ดูแลกรุ๊ปสื่อต่างประเทศอย่างพวกผมครับ พอเห็นผมก็หันหาไอ้แอม เจอไอ้แอมก็เจอเจนนี่ เพื่อนเจนนี่ที่เป็นแกงค์รวมสาวเกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน ฮ่องกง สาวๆ ส่งเสียงเซ็งแซ่บอกพิกัดกันดีมากๆ
การอบรมวันนี้ทำให้ผมตกใจนิดๆ เพราะผู้อบรมคือท่านทูตไทยกับนักข่าวสายการทูตครับ มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การสื่อสารที่ผิด และที่ถูกต้อง ฟังให้เป็นโจ๊กก็จะขำ แต่หากจับความหมายในน้ำเสียงได้ก็จะรู้ว่าวิชาชีพกำลังถูกเหน็บแนมเบาๆ
บรรยายจบ ท่านทูตหันหาสื่อจากไทย ผมกับไอ้แอมก็เลยโดนหมายตัว ท่านซักประวัตินิดหน่อยแล้วก็กระซิบบอกให้พวกผมอยู่ร่วมงานเลี้ยงคืนนี้ด้วย
“มีโรดโชว์บริษัทในตลาดหุ้นไทยมาน่ะ ผมก็เลี้ยงต้อนรับเป็นประจำอยู่แล้ว เชิญพวกคุณด้วยนะ”
โรดโชว์บริษัทในตลาดหุ้น...หรอ?
ใครมั่งวะ?
จบการแชร์ประสบการณ์ เราก็มีการสุมหัววิพากษ์ประสบการณ์ดีและไม่ดี มีการระดมสมองกันคิดว่า การนำเสนอข้อมูลของสื่อในสถานการณ์แบบนั้นๆ ควรทำอย่างไร โน่นนี่นั่นเรื่อยไป
จบการเค้นสมองกันก็สี่โมงกว่าๆ มาร์คมากำชับพวกผมอีกที่ว่า “อย่าลืมนัดกับท่านทูตเย็นนี้นะ พลีส” พลีสนี่ใส่ให้ไอ้แอมเป็นพิเศษครับ เพราะมันขึ้นชื่อมากเรื่องการชิ่งงานสังคมที่นอกเหนือจากการอบรม
ผมพนักหน้ารับปาก และเริ่มหน้าเสีย เพราะว่า.... “ต้องแต่งตัวไงวะเจม” มึงถามกู แล้วกูถามรักยมที่ไหนล่ะ?
ปัญหามีไว้แก้ เช่าเท่านั้นครับ เช่า พวกผมเช่าชุดสูทอย่างเป็นทางการ ผ้าเนื้อเรียบสวบ สาบเสื้อ มุมไหล่ เป้ากางเกงพอดีตัวเป๊ะๆ ลองชุดกันแล้วยังหลงรักตัวเองเลยขอบอก
รอเวลาจนใกล้แล้วค่อยจรลีไปยังโรงแรมที่ท่านทูตบอก
ตัวผมไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่ มันก็เหมือนไปงานประกาศรางวัลสมาคมต่างๆ ที่จัดในโรงแรมแสนหรูหรานั่นแหล่ะ แต่ไอ้แอมเนี่ยสิ ก็ไอ้ตัวนี้มันไม่ถูกกับงานทางการเสียเท่าไหร่
แล้วไอ้ห่านี่ก็ขาอ่อนขึ้นมาจริงจังเมื่อถึงหน้าโรงแรมที่หรูชิบหาย
“เข้าได้หรอวะเจม”
“เข้าได้ดิวะ!” ผมส่ายหน้าใส่แล้วก็ลากตัวมาเข้าโรงแรม พนักงานต้อนรับมองเรานิดหน่อย แต่ผมมันหน้าตามีระดับพอ ฮ่าๆ ถึงกระเป๋าจะแห้งเพราะเสียเงินเช่าชุดก็เถอะ
เดาๆ ดมๆ ทางกันไม่นานก็เจอห้อง มีแขกทยอยกันมาแล้วด้วย โอ้เย่! กูได้ยินภาษาไทยแล้วโว้ยยย กะเหรี่ยงปลาบปลื้มชิบหาย
ผมยืนจดๆ จ้องๆ หวังจะเจอแหล่งข่าวที่พอจะรู้จัก เพราะตอนทำงานที่ไทย ผมก็คลุกคลีกับแหล่งข่าวในตลาดหุ้นอยู่หลายคน
“เฮ้ย! คุณนนท์” ผมเอ่ยชื่อเป้าหมายแล้วสะกิดให้ไอ้แอมดูทันที มันเองก็รู้จักครับ ก็รายนั้นเขาเป็นซีอีโอโบรกเกอร์ที่ฐานลูกค้าสถาบันหัวทองมากสุดในอุตสาหกรรมนี่หว่า
“เออๆ คุณนนท์ ไปทักเขากัน”
“ไปดิ” ผมเห็นด้วยทันที ไอ้แอมเดินนำหน้าผมไป แต่ผมยังไม่ทันได้ไปไหนก็โดนลากให้เดินถอยหลังแล้วจับยัดใส่ห้องน้ำทันที!
ไอ้เหี้ยบ๋อยที่ไหนลากกูวะเนี่ย!
“เฮ้ย!” ผมสะดุ้งตกใจเพราะจู่ๆ ไอ้คนที่ลากผมก็โถมมากอด ตั้งสติแป๊บเดียวก็ดันไอ้ห่านี่ออกแล้วจ้องหน้า
“พี่หนึ่ง”
“คิดถึงแทบตาย นี่ก็เดินตามผู้ชายต้อยๆ” คำแรกก็ด่ากูแร่ดเลยนะ คิดถึงกูแน่หรอวะ?
ผมขมวดคิ้วมองเขา พอเห็นว่าผมไม่มีอารมณ์ซาบซึ้งด้วยเขาก็ปล่อยตัวผม โอยย อยากจะกราบ เกร็งตัวเพราะกลัวสูทยับจนตะคริวจะกินอยู่แล้ว
“มายังไงครับเนี่ย พี่หนึ่งมางานนี้หรอ? มางานโรดโชว์หรอ?”
“ครับ ไม่เซอร์ไพรส์หรอ?”
“เซอร์ไพรส์สิ!”
“แล้วทำไมทำหน้าไม่ปลื้ม”
“ก็พี่หนึ่งด่าเจมนี่”
“ด่าตอนไหน เจมหูหาเรื่อง”
“ด่าเจมว่าเดินตามผู้ชายต้อยๆ”
“พี่ก็ล้อเล่น” แก้ตัวแล้วก็ทำหน้างอมาดึงผมไปกอดใหม่ อืมมมม คิดถึงจังเลยกอดอุ่นๆ แบบนี้
“คิดถึงเจมมากเลย รู้ตัวรึเปล่าครับ”
“เริ่มรู้แล้วครับ” ผมตอบแล้วหัวเราะขำ มองหน้ากันอีกสักแป๊บนึงเขาก็นัดแนะกับผมว่า “พี่อยู่ต่ออีก 2 วัน กลับกรุงเทพมะรืน เดทกันนะ” พอผมพยักหน้ารับ เขาก็บอกเพิ่ม “สักทุ่มกว่าพี่จะมารอที่ล้อบบี้ ป๋าคฤณจะพาน้องเจมหนี กล้ามั้ยครับ?”
“กล้าครับ” ผมรับคำแล้วเอาหน้าผากโขกหน้าอกเขาเบาๆ ก่อนจะเดินตามเขาออกจากห้องน้ำ เออว่ะ กูนี่เป็นพวกชอบเดินตามผู้ชายต้อยๆ จริงๆ
ทุ่มกว่าผมก็ออกจากห้องจัดเลี้ยงมาที่ล้อบบี้ ชะเง้อมองอยู่นานก็ไม่เจอคนที่ชวนผมเดท หรือว่าโม้ใส่กันหว่า? ไม่นะ อย่ามาทำนิสัยแบบนี้ ไอ้เรารึใจเต้นไปแล้วเรียบร้อย
“ใจลอยหาใครครับ?” สะดุ้งเลยทีเดียว ผมหันมองแล้วเจอหน้าที่โน้มลงมาจนขนตาแทบผูกกัน เขินเว้ยเฮ้ย แต่ไงก็ต้องยิ้มสู้สินะ
“ไม่ได้ใจลอยซะหน่อย แค่คิดอยู่ว่าพี่หนึ่งโม้เท่านั้นเอง”
“ใครจะใจร้ายแบบนั้น ไปกันเถอะ หิวข้าวมั้ย พี่หิวมากเลย”
“เจมไม่หิวหรอก พี่หนึ่งจะกินอะไรล่ะครับ”
“เดี๋ยวพาไปร้านอาหารไทย อร่อยสุดๆ” เขาชักชวนแล้วดึงมือผมไปจับประสานไว้เพื่อพาเดินออกจากโรงแรม ไอ้ห่าพนักงานโรงแรมก็มองพวกผมจนคอบิดกันเลย