ตอนที่ 11
ณัฐวีร์รู้สึกตัวตื่นอีกครั้งจากเสียงโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งเอาไว้.. ข้างนอกยังมีแสงสว่างรอดเข้ามาบ้าง แต่แสงนั้นเป็นสีส้มจางเต็มทีแล้ว
แผ่นหลังรับรู้ได้ถึงอกกว้างของใครอีกคน ศีรษะหนุนอยู่กับแขนล่ำ เอวได้รับการกอดกระชับจากคนเบื้องหลัง ขาถูกก่ายไว้ ส่วนหน้าก็หันเข้าหาพนักโซฟา.. แม้ร่างเปลือยเปล่าของเขาจะไม่มีอาภรณ์ใดปกคลุมแต่เพราะถูกห่อหุ้มด้วยกายเนื้อเช่นนี้เองถึงไม่รู้สึกหนาวจากอุณหภูมิเย็นเลย
เด็กหนุ่มขยับตัวอย่างเมื่อยล้า การมีสัมพันธ์อย่างหักโหมติดต่อกันหลายชั่วโมงแบบนี้ทำให้เขารู้สึกเคล็ด และอาจต้องใช้ยาคลายกล้ามเนื้อเพื่อให้ร่างกายคลายความร้าวระบมลง
“อูย..”
คนตัวเล็กร้องครางเมื่อขยับแล้วรู้สึกว่าหลังจะยอกมากกว่าส่วนอื่น เขายกมืออีกฝ่ายออกจากเอวและขยับขาหนี หวังให้การขยับลุกของตนเองทำให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นมาเช่นกัน เพราะตอนนี้เขาหิวจนแสบท้องไปหมดแล้ว
แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น.. คุณชายยังนอนไม่ลุกอยู่เลย
ความรู้สึกถึงของเหลวบางอย่างที่กำลังจะไหลออกจากตัวทำให้ณัฐวีร์ไม่ได้หยุดอยู่กับท่าเดิมเนิ่นนานนัก เขารีบลุกออกจากโซฟานั้นแล้วมุ่งตรงไปสู่ห้องน้ำเพื่อจัดการกับตัวเอง การอาบน้ำจากฝักบัวเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดตอนนี้ แล้วไว้พรุ่งนี้ค่อยเปิดอ่างแช่น้ำอุ่นให้สมกับที่ได้มาพักในวิลล่าที่มีจากุชชี่
ความหิวทำให้เด็กหนุ่มไม่ได้อาบนานนัก เขาออกจากห้องน้ำมาพร้อมชุดคลุมที่ทำให้ร่างกายอบอุ่นพอ เมื่อมองไปเห็นว่าคุณชายมกรยังไม่ลุกจากโซฟายาว เขาก็เลยเดินขึ้นด้านบนเพื่อไปหากระเป๋าสัมภาระ และหยิบเสื้อผ้ามาแต่งตัว
แสงสุดท้ายของวันหมดไปแล้วเมื่อเขาดูแลตัวเองเรียบร้อยและเดินลงมาด้านล่าง เด็กหนุ่มมุ่งไปที่เคาท์เตอร์แล้วเปิดตู้เย็นหยิบน้ำมาดื่มก่อนจะเทอีกแก้วเพื่อเดินไปให้คนที่ยังนอนอุตุไม่ยอมลุก
“พี่แมน ตื่นได้แล้วครับ.. เย็นมากแล้วนะ นัทหิวข้าว” ณัฐวีร์เดินไปนั่งลงใกล้ๆที่อีกฝ่ายนอนอยู่..
มาถึงตรงนี้เขาถึงเพิ่งจะได้สังเกตว่าร่างสูงใหญ่นั้นคู้ตัวขดเข้าหากันเหมือนจะหนาว คิ้วของเด็กหนุ่มขมวดเข้าหากันทันที อย่าบอกนะว่าจะมาไม่สบายเอาตอนนี้ มาเที่ยวนะไม่ใช่มาพยาบาลคนป่วย.. เขาขยับใกล้เข้าไปแล้วสัมผัสลงบนตัวอีกฝ่าย กายนั้นร้อนผ่าวจนถึงขนาดที่ว่าคนจับเองยังตกใจ
“พี่แมน..พี่แมนครับ”
ณัฐวีร์วางแก้วน้ำลงพร้อมกับขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น เขาใช้สองมือพลิกไหล่กว้างให้หันมาหาแล้วจึงเห็นว่าใบหน้าของอีกฝ่ายแดงก่ำ คิ้วเข้มขมวดมุ่น และดวงตาที่ปรือขึ้นมองมายังเขาก็แดงไปหมด
“พี่แมน ไหวไหมเนี่ย”
เด็กหนุ่มร้องถามพลางใช้หลังมือสัมผัสไปที่หน้าผาก.. เมื่อครู่ที่เขาไม่ได้รู้สึกถึงความร้อนของอีกฝ่าย คงเพราะอากาศจากภายนอกเย็นฉ่ำเกินไปแน่ๆ
“หนาว..”
เสียงแหบพร่านั่นตอบกลับมาพลางดวงตาแดงก่ำก็ปิดลง
“เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งนอน ..ลุกไหวไหม ไปนอนข้างบนจะได้สบายกว่านี้”
คนตัวโตทำเสียงในคอพลางส่ายหน้าแล้วพลิกตัวหนี เดือดร้อนณัฐวีร์ทันที
การพยาบาลคนป่วยไม่ใช่ทางที่เขาถนัดนัก อย่างดีก็รู้ว่าต้องหาผ้าห่มมาให้ ปล่อยนอนแบบนี้มีหวังแข็งตายแน่..อ้อ ไม่ใช่แข็งแบบนั้นนะ.. แบบเป็นศพแข็งน่ะ
เด็กหนุ่มคิดลามกอยู่คนเดียวแล้วก็ส่ายหน้าพรืด ..สงสัยจะติดนิสัยเสียมาจากเจ้ามกรเนี่ยแหละ.. ตอนหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ยังคิดไปโน่นได้ก็ไม่ธรรมดาแล้วเนี่ย
เด็กหนุ่มลุกขึ้นไปชั้นบน ดึงเอาผ้าห่มสำรองออกมาจากตู้ แล้วโยนจากชั้นบนลงมาชั้นล่าง วิ่งไปหยิบกระเป๋าตัวเองหยิบเอาแผงยาพาราที่มักจะพกไว้เสมอเมื่อยามมาไกลบ้าน แล้วจึงหันไปเปิดกระเป๋าของมกรเอาเสื้อผ้าที่ใส่สบายออกมาหนึ่งชุด
พอวิ่งลงมาข้างล่าง เขาก็เอาผ้าห่มไปคลุมตัวมกรไว้ ลดแอร์ลง แล้วผลุบหายเข้าไปในห้องน้ำเอาผ้าเช็ดตัวผืนเล็กชุบน้ำออกมาเพื่อจะเช็ดตัวให้ โทรสั่งข้าวต้มสำหรับคนป่วย และปลุกอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นมากินยา โดยที่เขาเองก็ไม่ลืมหยอดยาให้ตัวเองไปด้วยเช่นกัน
โชคดีที่เขามาพักในวิลล่าส่วนตัวแยกจากตึกแบบนี้ ทำให้แอร์ที่ติดตั้งไว้เป็นแอร์เครื่องไม่ใช่แอร์ท่อ จึงลดอุณหภูมิได้
ณัฐวีร์วิ่งวุ่นอยู่คนเดียว ทั้งเช็ดตัว ใส่เสื้อผ้าให้ กระทั่งต้องไปรับอาหารจากพนักงานที่นำมาเสิร์ฟ แล้วยังต้องป้อนให้กินอีก หยอดยาเรียบร้อย จนดูแลอีกฝ่ายให้หลับไปได้นั่นแหละถึงมีเวลามาจัดการอาหารของตนเองบ้าง และพอได้นั่งพักก็ปาเข้าไปเกือบได้เวลานอนอีกแล้ว..
เด็กหนุ่มนั่งมองร่างสูงที่หลับสนิทเหมือนเด็กๆ ที่หน้าผากมีแผ่นคูลฟีเวอร์ช่วยลดอุณหภูมิให้ ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการโทรสั่งข้าวต้มแล้วทางโรงแรมถามว่ามีคนป่วยหรือไม่ คูลฟีเวอร์นั้นมาจากห้องพยาบาลของโรงแรมเองจึงเป็นความโชคดีของคนตัวโตที่อย่างน้อยก็มียากิน มีแผ่นลดความร้อนในร่างกายไม่ให้ฮีทมากจนอาจจะชักได้
พอได้อยู่นิ่งๆเขาถึงได้มาพิจารณาดู.. ตั้งแต่เช้า มกรใส่เสื้อกล้ามตัวเดียวบนเครื่อง แล้วก็มาเจออากาศเปลี่ยนเป็นร้อนมากที่ภายนอกอาคาร ก่อนสงกรานต์แบบนี้ ต่อให้เป็นที่ไหนของประเทศไทย อากาศก็เหยียบ 40 องศาอยู่ดี พอเข้าที่พักก็กระโจนไปเล่นน้ำ แถมพอขึ้นมาหัวเปียกๆก็มาเล่นกิจกรรมในร่มที่แอร์เย็นเจี้ยบ.. ไม่ป่วยก็คงแปลกล่ะ
ณัฐวีร์หัวเราะเบาๆอย่างรู้สึกสมน้ำหน้า เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว จะได้เลิกมาออกคำสั่งกับเขาสักช่วงหนึ่ง ละเรื่องบนเตียงเสียบ้าง เขาจะได้คลายอาการขัดยอกลงหน่อย ไม่งั้นก็แทบจะวันเว้นวันเลย
เด็กหนุ่มมองใบหน้ายามหลับของอีกฝ่ายพลางใช้นิ้วจิ้มลงไปเบาๆที่แก้ม.. หึ! หมดฤทธิ์แบบนี้ค่อยแกล้งสนุกหน่อย
ปลายนิ้วขาวดันจมูกโด่งรั้นของอีกฝ่ายขึ้น อีกมือก็ดึงมุมปากลงแล้วหัวเราะร่าเริงอยู่คนเดียวเบาๆ
“ไอ้แม้นศรีเอ้ย..สมน้ำหน้า”
+++++
ช่วงตีสองกว่าๆเกือบจะตีสาม มกรตื่นขึ้นมาด้วยอาการอยากเข้าห้องน้ำ ร่างกายหนักๆเมื่อช่วงหัวค่ำรู้สึกดีขึ้นมากแต่ก็ยังอ่อนเพลียอยู่บ้าง
ชายหนุ่มขยับตัวอยู่บนโซฟาและใช้สายตากวาดไปโดยรอบห้องที่ไม่คุ้นเคย เขานิ่งคิดอยู่ชั่วครู่จึงบอกตัวเองได้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน แม้จะไม่คุ้นเคย แต่ความไม่คุ้นเคยเป็นเรื่องปกติแล้วสำหรับคนอย่างเขา
ไม่มีอะไรให้ต้องคุ้นเคยเพราะไม่มีสิ่งไหน หรือใครรอให้เขาคุ้นเคย..
“...”
ชายหนุ่มครางอยู่ในคอเล็กน้อยเมื่อขยับตัวไม่ได้สะดวกเหมือนเดิม เหมือนว่ากระดูกจะร่ำร้องไปทั้งร่างในยามที่เขาเปลี่ยนอิริยาบถ
แต่.. เมื่อก่อนเป็นอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็เป็นแบบนั้น..
ไม่จำเป็นต้องมีใครมาดูแล เขาดูแลตัวเองได้..
มือตวัดผ้าห่มออกจากตัว ตามองหาทิศทางไปห้องน้ำแล้วเท้าก็ก้าวลง
“อื้อ!”
เสียงร้องเบาๆดังขึ้นเมื่อเท้าแตะลงไปเหยียบเอาร่างที่นอนอยู่ข้างใต้ มกรรีบชักขากลับขึ้นมาทันที
“เฮ้ย!..”
“จะไปไหนเนี่ย”
คนถามลุกขึ้นนั่งหน้าตายังดูงัวเงีย
คนป่วยกลับทำตาปริบๆ มองอีกฝ่ายอย่างงงงัน คำถามที่ไม่น่าจะถามก็เลยหลุดออกมา “ลงไปนอนข้างล่างทำไม”
คนพูดหาวหวอดพร้อมกับขยับตัวลุกขึ้น “แล้วจะให้นัทไปนอนบนโซฟากับพี่หรือไง”
“ก็ไปนอนข้างบนสิ”
“แล้วทิ้งพี่ไว้แบบนี้อ่ะนะ.. ตื่นมานัทคงโดนพี่ไล่เตะ” เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้ว “นี่จะไปไหนล่ะ หิวน้ำหรือปวดหัวไข้ขึ้น นัทจะได้เอายาให้ถูก”
“เปล่า..” มกรส่ายหน้าพลางขยับตัว “อยากเข้าห้องน้ำ”
“งั้นก็ไป เดี๋ยวพาไป” ณัฐวีร์คว้าแขนกำยำพยุงขึ้น แต่พอยืนได้เต็มความสูงเจ้าตัวก็ดึงแขนออก
“ไม่เป็นไร..ไปเอง”
มกรเดินมุ่งหน้าไปทางห้องน้ำด้วยความเร็ว ครั้นพอจะเข้าประตูเขาก็ชะงักตัวเล็กน้อยแล้วใช้หางตาเหลือบมองร่างเล็กๆที่ทิ้งตัวลงนั่งหาวอยู่บนโซฟา
ใจนี้...เป็นอะไรนะ?
เต้นแรงขนาดนี้.. เพราะอะไร?
****
ทั้งคู่ตื่นมารับมื้อเช้ากันอีกทีตอนเกือบจะสิบโมง ไลน์อาหารใกล้ปิดแล้ว มกรมีอาการดีขึ้นมาก ได้ยาเข้าไปอีกโด๊สกับได้นอนพักอีกเล็กน้อยก็สามารถมานั่งรับลมนอกห้องได้
พวกเขามีเวลาพักที่นี่กันแค่สามวัน หมดไปแล้วหนึ่งวันกับการนอนไข้ขึ้นทำให้พอบ่ายแดดร่มลมตก มกรจึงชวนณัฐวีร์เดินออกมาจากห้องพักเพื่อมาดูสิ่งปลูกสร้างและเครื่องอำนวยความสะดวกของโรงแรมบ้าง
โรงแรมนี้มีความเป็นส่วนตัวสูงมากเพราะอยู่เลยตัวเมืองขึ้นไปเกือบห้ากิโล มีรั้วรอบขอบชิด พื้นที่เป็นสีเขียวกว้างขวางที่มีต้นไม้ครึ้มและวิวสวยงามเมื่อยามทอดตามองออกไปไกล ภาพในมือถือส่วนใหญ่จึงเป็นภาพวิวที่สีสันเขียวขจี ยิ่งแสงนวลตาสีเหลืองอ่อนเช่นนี้ยิ่งขับให้ภาพวิวที่ถ่ายไว้ดูละมุนละไมไม่บาดคม
ณัฐวีร์ก้มมองภาพถ่ายในมือถือตัวเองแล้วก็ยิ้มอย่างถูกใจ เขาอัพขึ้นเฟสบุ้คหลายภาพแล้ว และได้คำชื่นชมจากเพื่อนฝูงเยอะมากจนตอบแทบไม่ไหว
“ยิ้มอะไร..”
คนที่มายืนอยู่ข้างๆ กันตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้เป็นผู้เอ่ยถามขึ้น และโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว มือใหญ่ก็เลื่อนมาโอบเข้าที่ส่วนเอวและรั้งเอาร่างของเด็กหนุ่มให้เข้ามาใกล้
“ไหนดูสิ.. คุยอะไรกับใครถึงได้ยิ้มกว้างขนาดนี้”
“เปล่านะครับ..” เด็กหนุ่มส่ายหน้าน้อยๆทำท่าทางปกติไม่เกร็งร่างจนเกินไปนักแต่ก็ไม่ได้โอนอ่อนตามแรงดึง
อีกฝ่ายดูเหมือนจะอยากรู้จริงๆถึงได้ขยับตัวเข้ามาใกล้มากขึ้นจนแผ่นหลังของณัฐวีร์สัมผัสเข้ากับอกกว้าง และมือที่โอบรั้งเลื้อยมาเป็นกอดไว้
ก็ออกจะเป็นท่าทางที่ไม่เหมาะควรหรอกนะ แต่เท่าที่สอดส่ายสายตามองไปรอบๆ ณัฐวีร์ไม่เห็นมีพนักงานหรือใครอยู่ในบริเวณนี้ และเขาเองก็ไม่อยากจะขัดใจให้ตัวเองต้องมาผิดใจกับอีกฝ่ายอีก เขาจึงแค่ขมวดคิ้วนิดหน่อยอย่างไม่ชอบใจ แต่ก็ยอมเอนร่างเข้าหาอีกฝ่ายตามแรงกอดรัด
“ไหนเอามาดูสิ”
เด็กหนุ่มส่งมือถือยื่นให้แต่อีกฝ่ายไม่รับ “ไม่เอาไปล่ะครับ”
“มือไม่ว่าง.. เปิดให้ดูหน่อย”
คนฟังถึงกับขมวดคิ้วหนักขึ้นทันที แต่ด้วยความที่ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด เขาเลยรีบๆเปิดอัลบั้มภาพให้อีกฝ่ายดู ปลายนิ้วขาวตวัดสไลด์รูปไปเรื่อย
“อ้ะ นี่ๆ รูปนี้..”
คนข้างหลังที่ยืนตัวติดเป็นแฝดสยามร้องพร้อมกับใช้นิ้วตัวเองมาสไลด์ภาพกลับ มันเป็นภาพสระว่ายน้ำที่เพิ่งเดินผ่านกันมาเมื่อครู่
“อันนี้ใช้แอพอะไร”
ณัฐวีร์ส่ายหน้า “ไม่แอพครับ โนฟิลเตอร์.. นัทไม่ชอบใส่แอพ”
“รูปนี้ถ้าถ่ายมุมพี่ เพิ่มแสงเข้าไปหน่อยจะสวยมากนะ ดูนี่สิ”
ว่าแล้วเจ้าตัวก็เปิดมือถือด้วยมือเพียงข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างน่ะรึ กอดเอวไว้ไม่ปล่อยเลย
“นี่ รูปนี้..”
ณัฐวีร์ไม่ต้องขยับไปไหนทั้งสิ้นเพราะอีกฝ่ายเอามาให้เห็นได้สะดวกขึ้นด้วยการจ่อเข้ามาตรงหน้า
ภาพนั้นเป็นภาพสระน้ำที่เขาก็ถ่ายไว้ แต่พอผ่านแอพแต่งรูปแล้วภาพดูมีเสน่ห์ขึ้น สวยมากขึ้น.. ที่สำคัญ..ภาพนั้นมีสิ่งที่แตกต่างไปจากภาพของเขามากขึ้น เพราะด้านซ้ายของรูปติดเอาร่างผอมแกรนของเด็กผู้ชายธรรมดาแบบเขาลงไปด้วย
“ดูสิ..สวยไหมล่ะ ภาพที่ผ่านแอพน่ะบางภาพจะสวยกว่าของจริงมากเลยนะ”
ว่าแล้วเจ้าตัวก็สไลด์ภาพไปเรื่อย.. ส่วนใหญ่เป็นภาพวิวที่มักจะเหมือนของเขานั่นแหละ แต่งภาพด้วยแสงสวยงามบ้าง หรือซอฟท์กว่าของเขาบ้าง.. บางรูป.. ก็มีเขาติดอยู่ในรูป..บ้าง
“เนี่ย พี่ชอบรูปนี้ที่สุดเลย..”
มกรสไลด์มาถึงภาพหนึ่งที่เป็นภาพด้านข้างของเด็กหนุ่ม ดวงตาจับจ้องมือถือตนเอง ริมฝีปากนั้นยิ้มพราย ดวงหน้าเมื่อต้องแสงยามพระอาทิตย์ใกล้ตกดินดูขาวสะอ้านและนวลตา
ณัฐวีร์เห็นรูปตัวเองแล้วก็รู้สึกได้ว่ามันออกจะแปลกตาอยู่ไม่น้อย เขาจะยิ้มก็ไม่กล้า จะบึ้งก็ไม่ใช่ ทำได้แต่หัวเราะเขินๆให้กับภาพนั้น แล้วก็ต้องสะดุ้งขึ้นอีกเมื่ออีกฝ่ายโน้มใบหน้าลงมาแนบใกล้
“มานี่เรายังไม่ได้ถ่ายรูปด้วยกันเลย.. มาถ่ายด้วยกันดีกว่า”
“โห.. ถ่ายกับคนหล่อๆแบบพี่นัทก็ดับหมดสิ..” เด็กหนุ่มร้องท้วงแต่มือก็เริ่มลูบผมตัวเองไปมาให้เข้าทรง
“พี่สิต้องดับ..เราหน้าขาวซะขนาดนี้”
พูดไม่พูดเปล่า มกรกดปลายจมูกลงไปบนแก้มใสนั่นจนเจ้าตัวสะดุ้ง เบิกตาโต
“เอ้า ยิ้มหน่อย พี่จะถ่ายรูปแล้ว..”
ว่าแล้วก็มีเสียงแชะของชัตเตอร์ดังขึ้นสามสี่หน ภาพที่ออกมาคงเป็นภาพที่ณัฐวีร์ไม่กล้ามองเป็นอย่างยิ่ง เพราะใบหน้าที่ร้อนผ่าวของเขาคงเป็นใบหน้าที่แดงจัดแน่ๆ
พอได้รูปสมใจอีกฝ่ายก็ปล่อยตัวแล้วมายืนเช็กรูปไปหัวเราะไป ณัฐวีร์จึงได้แต่เดินหนีเสียงหัวเราะนั่นอย่างฉุนๆ
TBC.