"Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19  (อ่าน 248942 ครั้ง)

ออฟไลน์ why yyy

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +309/-8
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 20 [21.04.14] P.8
«ตอบ #240 เมื่อ21-04-2014 23:22:34 »

ติดตามจ้าาาา


:)

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 20 [21.04.14] P.8
«ตอบ #241 เมื่อ22-04-2014 10:17:52 »

ถึงเวลานัทเอาคืนแล้ว

ออฟไลน์ wi_OoO_wi

  • payaaa payaaa padazz taa
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-1
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 20 [21.04.14] P.8
«ตอบ #242 เมื่อ22-04-2014 11:12:02 »

ดันๆ o13 o13

น้องนัทน่ารักขึ้นขนาดนี้ ไม่มีใครมาจีบเลยเหรอ?  :-[ :-[

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 20 [21.04.14] P.8
«ตอบ #243 เมื่อ22-04-2014 12:51:11 »

กลัวจะได้ซัดมาม่าอีกจริงๆ
งือออออ

ออฟไลน์ pae666

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 506
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21 [25.04.14] P.9
«ตอบ #244 เมื่อ25-04-2014 23:13:34 »

มาต่อตอนใหม่จ้า าาา







ตอนที่ 21




วันนี้เป็นวันเริ่มงานที่บริษัทคุณมนธิชาอย่างเป็นทางการ

“เชิญทางนี้ค่ะ” เลขาสาวรอรับณัฐวีร์อยู่ที่ล็อบบี้ของตึก เด็กหนุ่มถูกพาขึ้นไปสู่ชั้นผู้บริหารซึ่งเป็นชั้นเกือบบนสุดของตึกทำการ เมื่อลิฟต์เปิดออกโถงกว้างที่มีพื้นพรมลวดลายเรียบขรึมก็ปูลาดไปจนสุดมุมตึกที่เป็นกระจกสูงเกือบสามเมตรยาวจากพื้นจรดเพดาน ด้านขวามือมีโต๊ะตัวหนึ่งตั้งอยู่พร้อมมีตู้เอกสารและสิ่งอำนวยความสะดวกอาทิเครื่องใช้สำนักงานประเภทเครื่องถ่ายเอกสารตั้งอยู่ด้วย คาดว่าน่าจะเป็นโต๊ะของคุณเลขา ถัดไปเป็นประตูห้องทำงานที่เปิดกว้างอยู่ แต่จากมุมนี้ณัฐวีร์ยังมองไม่เห็นว่าเป็นห้องของใคร

“ด้านขวานี้เป็นห้องของท่านประธานค่ะ เดี๋ยวคุณณัฐวีร์จะได้ฝึกงานที่ห้องด้านซ้าย”
การเฉลยของคุณเลขาแอมทำให้คนฟังยิ้มรับ เขาเหลือบมองประตูห้องด้านซ้ายที่ปิดอยู่แล้วจึงหันกลับมาให้ความสนใจเลขาสาวอีกครั้ง “เรียกนัทเฉยๆ ก็ได้ครับพี่แอม ผมยังต้องรบกวนพี่อีกเยอะเลย มีอะไรก็แนะนำผมได้นะครับ”

หญิงสาวถึงกับยิ้มกว้างเลยทีเดียว “ขอบคุณนะคะ ..เราเข้าไปหาท่านประธานกันเถอะค่ะ ท่านรอคุณอยู่แล้ว”
แอมเดินนำเข้าไปในห้องคุณมนธิชา ก่อน หญิงทำงานเก่งคนนั้นละสายตาจากคอมพิวเตอร์เมื่อมีเสียงขออนุญาต

“นัท มาแล้วหรือ..เข้ามาสิ ป้ากำลังรออยู่เลย” เธอพูดพลางรวบเอาเอกสารบางอย่างเข้าแฟ้มแล้ววางแอบไว้ด้านหนึ่ง “แอมฝากเอาน้ำมาให้นัทหน่อย แล้วแมนมาหรือยัง?”

“มาแล้วค่ะ ให้เชิญมาเลยไหมคะ”

“โอเค.. มาพร้อมกันเลยทีเดียว เดี๋ยวเราต้องออกไปที่สวิสโฮเต็ลใช่ไหม”
เลขาสาวตอบรับก่อนจะถอยออกไปเชิญคนอีกห้องหนึ่งมา

“นัทมาที่นี่ลำบากไหม” คุณมนธิชาเอ่ยถาม

“ไม่ครับ เสียแต่รถเยอะไปหน่อย” ณัฐวีร์ตอบพร้อมรอยยิ้ม

“ถ้ามาเช้าจะไม่ค่อยติด แถวนี้โรงเรียนเยอะผู้ปกครองยิ่งเยอะกว่า แล้วพอจะขับรถไหวไหมล่ะคะ ถ้าไม่ไหวป้าจะให้คนไปรับ”

“ไม่เป็นไรครับ นัทว่าจะเปลี่ยนมาเป็นรถไฟฟ้าแล้วครับ มาแบบนั้นสะดวกกว่า แล้วก็เร็วกว่าเยอะ”

“อ้าว แล้วมาจากบ้านเรายังไง”

“เรียกรถมาเองก็ได้ครับ นิดเดียวเอง”

“จะเอาแบบนั้นก็ตามใจนะ แต่ถ้าไม่ไหวนัทบอกพี่แมนเขาได้ ให้เขาไปรับ”

ณัฐวีร์ได้แต่ยิ้มพร้อมตอบในใจว่า ..นั่นยิ่งไม่เอาใหญ่เลยครับ ยอมเสียเงินนั่งแท็กซี่ดีกว่าอีก
ความรู้สึกตะขิดตะขวงใจแปลกๆ ที่ยังไม่เลือนหายไปทำให้ณัฐวีร์อยากจะอยู่ให้ห่างอีกฝ่ายไว้ แม้ว่าแม่ไก่จะอธิบายแล้วว่าครอบครัวเราเคยสนิทกันก่อนที่คุณมกรจะไปอเมริกา แต่ณัฐวีร์กลับไม่รู้สึกเลยสักนิด ทุกครั้งที่เห็นหน้า เขากลับไม่สนิทใจ

แต่บางที..เขาอาจจะคิดมากเกินไปก็เป็นได้ เพราะตั้งแต่ครั้งนั้น คุณมกรก็ไม่เคยโทรมา หรือมาปรากฏตัวให้เห็นอีกเลย

ความเคลื่อนไหวใกล้ตัวทำให้ณัฐวีร์เกร็งร่างขึ้นเล็กน้อย เขาหันไปมองคนมาใหม่แล้วก็พบว่าฝ่ายนั้นดูตัวหนาขึ้นกว่าล่าสุดที่เคยพบกัน อาจเพราะอยู่ในสูทภูมิฐานสีควันบุหรี่นั่นจึงทำให้ร่างสูงใหญ่กว่าทุกครั้งที่เจอกัน ใบหน้าคมคายเห็นไรเขียวของหนวดตามแนวคางยาวไปตลอดสันกราม ทรงผมก็เปลี่ยนไปด้วย เมื่อก่อนเคยยาวกว่านี้ตอนนี้สั้นแถมเซ็ทมาอย่างดีเสียด้วย

ฝ่ายนั้นหันมายิ้มให้ณัฐวีร์เล็กน้อยแล้วถึงหันกลับไปมองมารดาตนเอง ทำให้คนที่เผลอมองอยู่ต้องรีบกะพริบตาแก้เก้อแล้วหันไปให้ความสนใจกับคุณมนธิชาบ้าง

“มาครบกันแล้วก็คุยเรื่องงานกันเลยนะ..”
รายละเอียดงานที่ได้รับมอบหมายนั้น พวกเขาต้องทำงานร่วมกันเพื่อเรียนรู้งานของบริษัททั้งหมดโดยการศึกษาจากแฟ้มงาน สอบถามคุณแอม และการเดินทางไปดูงานตามที่ต่างๆ ทั้งในต่างจังหวัดและอาจรวมถึงต่างประเทศ

“เรื่องแฟ้มงาน แมนคงเห็นที่แอมเตรียมไว้ให้ในห้องแล้ว เดี๋ยวก็ผลัดกับน้องอ่านกันไปนะ เวลาสงสัยอะไรหรืออยากได้อะไรให้สองคนปรึกษากันก่อนมาถามกับแอม แม่อยากให้รู้จักหาข้อมูลและพูดคุยถามกันเองก่อนมายืมกำลังของคนอื่น ทุกอย่างที่เตรียมไว้ให้เป็นข้อมูลทั้งหมดของบริษัทแล้ว”
หนุ่มสองคนตอบรับคำแล้วนิ่งฟังรายละเอียดต่อ
“อาทิตย์หน้า แม่อยากให้เราสองคนเตรียมไปฮ่องกงกับแม่ นัทมีพาสปอร์ตใช่ไหมคะ?”

ณัฐวีร์ทำตาโตพร้อมกับตอบรับ “มีครับ แต่จะให้ผมไปด้วยหรือครับ”

“ใช่ค่ะ แม่ต้องไปประชุมงานที่โน่น ก็เลยอยากให้ไปด้วยกัน”

“เรื่องนี้ที่บ้านผม..”

“ไม่ต้องห่วงค่ะ น้องไก่รู้เรื่องแล้ว”
ณัฐวีร์ยิ้มแหยๆ เขาไม่ได้คิดว่าการมาทำงานครั้งนี้จะได้มีโอกาสออกต่างประเทศด้วย เพราะปกติ ถ้าให้พูดกันตรงๆ เขาก็แค่เด็กฝึกงานคนหนึ่ง การที่บริษัทจะมาลงทุนพาไปดูงานต่างประเทศก็ออกจะเป็นการลงทุนที่หนักมากเกินไปหน่อย

“ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เรื่องนี้แม่จัดการได้” คุณมนธิชาเห็นเด็กลำบากใจก็เลยยิ้มปลอบใจมากขึ้น และพูดคุยรายละเอียดงานจนณัฐวีร์คลายกังวลลง

ไปฮ่องกงครั้งนี้ เขามีหน้าที่ติดตามคุณมนธิชาไปทุกที่ เริ่มจากวันแรกต้องไปประชุมกับคณะกรรมการบริหาร วันที่สองไปประชุมกับคู่ค้า 3 ที่  วันที่สามไปเดินงานแฟร์ และวันที่สี่ฟรีหนึ่งวันก่อนวันที่ห้าจะเดินทางกลับ เป็นตารางงานที่ออกจะสบายมากเพราะในการประชุมอะไรนั่น เขาก็แค่ไปนั่งฟังเฉยๆเท่านั้น เป็นการไปศึกษาดูงานจริงๆ

“รายละเอียดของงานที่จะไปฮ่องกงกันในอาทิตย์หน้า แอมเขาเตรียมไว้ให้แล้ว ช่วงอาทิตย์นี้แม่อยากให้เราสองคนอ่านข้อมูลให้ครบ โอเคนะ”

“ครับ..”
คำตอบจากคุณมกรทำให้ณัฐวีร์พยักหน้ารับตามไปด้วย เมื่อได้รับมอบหมายงานทุกอย่างเรียบร้อย

“อ้อ แล้วเดี๋ยวยังไงเย็นนี้ไปทานข้าวกับแม่นะ แม่จะเลี้ยงเด็กฝึกงานใหม่สองคนเสียหน่อย” คุณมนธิชาว่าแล้วโบกมือบอกว่าเสร็จธุระกับทั้งสองคนแล้ว พวกเขาจึงเดินออกจากห้องนั้นมุ่งกลับมาที่ห้องทำงานของตนเอง

ทันทีที่ก้าวพ้นเข้ามายังห้องทำงาน ร่างสูงใหญ่ของฝ่ายนั้นก็หันกลับมารวบตัวณัฐวีร์เข้าไปกอดไว้ทันที
ความที่ยังไม่ทันตั้งเนื้อตั้งตัว คนตัวเล็กกว่าเลยได้แต่แนบหน้ากับแนวไหล่กว้างและปล่อยให้อีกฝ่ายลูบหลังลูบไหล่เขาอยู่พักใหญ่ๆ กระทั่งสติกลับมาดีแล้วนั่นแหละเจ้าตัวถึงเริ่มร้องออกมา
“เอ่อ เดี๋ยวนะครับ..” มือสองข้างเริ่มยกขึ้นมาดึงเสื้อบริเวณเอวของอีกฝ่าย ดึงได้สูงที่สุดแค่นั้นจริงๆ เพราะแขนถูกล็อคไว้ด้วยอ้อมแขนอุ่นๆ เอ้ย แขนแข็งๆ นั่น

“อ้ะ ขอโทษด้วย.. พี่ดีใจที่ได้เจอกันมากไปหน่อย..” คนตัวโตกว่าละอ้อมแขนออกแต่ยังไม่ปล่อยมือจากหัวไหล่คนตัวเล็กกว่า “นัทโตขึ้นนะ ดูสูงขึ้นแล้วก็ไหล่กว้างขึ้น..ว่าแต่สูทนี่มันไม่พอดีตัวหรือเปล่า”

อีกฝ่ายว่าแล้วก็ขยับปลดกระดุมเสื้อสูทให้แล้วก็จับแขนขึ้นพับปลายแขนเสื้อให้ทั้งสองข้างก่อนจะดันให้มันร่นขึ้นมาจนเกือบถึงข้อศอก

“แบบนี้ดูหล่อขึ้นอีกเยอะเลย..”
ณัฐวีร์ยืนอึ้งอย่างไม่ทันตั้งตัวเขาก้มมองแขนของตัวเอง เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนที่แม่เลือกให้ใส่กับสูทสีดำที่เป็นแพทเทิร์นทางการ กลายเป็นชุดลำลองไปทันทีที่ปลดกระดุมและพับแขนแบบนี้

“เดี๋ยวคุณป้ามนว่าเอานะครับ” ณัฐวีร์ร้องบอกอย่างเกรงใจ

“ไม่ว่าหรอก..แบบนี้ดูดี นัทชอบไหม”
ณัฐวีร์ก้มมองตัวเองอีกครั้งก่อนจะพยักหน้ารับแล้วยิ้มให้อีกฝ่าย “ครับ..”

มกรเองก็ยิ้มกว้างตอบรับเช่นกัน เขาเอื้อมมือมาคว้ามืออีกฝ่ายไปแล้วดึงร่างนั้นให้เดินตาม “เดี๋ยวนัทนั่งโต๊ะนี้นะ พี่นั่งโน่น”
โน่นของคุณมกรคือห่างออกไปประมาณห้าก้าวได้

“แล้วเดี๋ยวพี่เอาแฟ้มมาให้”
ร่างสูงใหญ่ผละไปทำให้ณัฐวีร์หย่อนตัวลงนั่งกับโต๊ะทำงาน.. แล้วก็เพิ่งรู้สึกว่าเขาถูกบรรยากาศนั้นทำให้ไขว้เขวจนลืมตกใจเรื่องถูกกอดไปเลย..








(ต่อด้านล่าง)

ออฟไลน์ pae666

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 506
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21 [25.04.14] P.9
«ตอบ #245 เมื่อ25-04-2014 23:14:41 »

+++++++



สำหรับมื้ออาหารกลางวัน
คุณแอมเลขาถามพวกเขาก่อนออกไปกับคุณมนธิชาแล้วว่าจะให้สั่งขึ้นมาทานข้างบนหรือจะลงไปทานที่ห้องอาหารด้านล่าง แล้วสองหนุ่มก็ตัดสินใจกันง่ายๆ ว่าอยากลงไปด้านล่างมากกว่าเพราะอยากเดินสำรวจพื้นที่ และจะได้ไม่ต้องยุ่งยากกับแม่บ้านด้วย
ทำให้เมื่อถึงเวลาพักเที่ยง คนทั้งคู่จึงเดินมาเข้าลิฟต์ผู้บริหารลงไปยังชั้นที่เป็นแคนทีนของตึก แต่ตอนเที่ยงแบบนี้ พนักงานทุกคนก็ต่างมุ่งมาทานอาหารกันที่นี่ทั้งนั้นคนจึงพลุกพล่านและแทบไม่มีโต๊ะว่างเลย

ชายหนุ่มแปลกหน้าที่เดินเคียงกันมาสองคนกลายเป็นเป้าสายตาของพนักงานเหล่านั้นทันที ทั้งด้วยหน้าตาและการแต่งกาย เพราะพนักงานนั้นน้อยคนนักจะใส่สูทลงมาทานข้าวที่แคนทีน
คนทั้งคู่เดินวนหาที่นั่งว่าง คนตัวสูงกว่าเดินตามคนตัวเล็ก บางครั้งก็โน้มตัวลงไปฟังที่อีกฝ่ายพูดและบางครั้งก็สะกิดให้อีกฝ่ายหันมาตามทิศที่ตัวเองต้องการ และต่างก็ไม่ได้สนใจผู้คนที่อยู่รอบตัว เพียงพูดคุยกันเบาๆ สองคน

มกรนั้น โดยส่วนตัวแล้วค่อนข้างมั่นใจว่าตนเองเป็นเป้าสายตาคนง่าย เพราะรูปร่างสูงใหญ่ และบุคลิกโดดเด่น แต่กับณัฐวีร์ เขาเพิ่งจะมาชินสายตาผู้คนเมื่อไม่นานมานี้เอง เพิ่งจะรู้สึกชินก็ตอนที่ได้เดินไปไหนมาไหนกับแพรวที่เป็นลีดและดาวประจำมหาวิทยาลัยนั่นแหละ

“เอาไงดีเรา..” มกรเอี้ยวตัวหมุนไปมาแต่ก็ยังไม่เห็นพิกัดที่พวกเขาจะนั่งกันได้

“ออกไปข้างนอกไหมครับ?”

“หืม?..” มกรเอียงตัวลงมาฟัง แคนทีนนั้นเสียงดังมาก เพดานต่ำทำให้เสียงยิ่งก้อง เขาจึงต้องโน้มหน้าเข้ามาใกล้ๆ ทุกครั้งที่อีกฝ่ายพูด

“ผมว่าเราออกไปข้างนอกกันดีกว่าไหมครับ”

“อืม.. ก็ดีนะ พี่ตามใจเรา” ว่าแล้วฝ่ายนั้นก็โอบมือผ่านไหล่รั้งเอาร่างของณัฐวีร์ให้เดินตามไปที่ลิฟต์

หลังจากทานอาหารง่ายๆ กันที่ร้านอาหารติดแอร์ใต้ตึกสำนักงาน พวกเขาก็กลับขึ้นมาอ่านงานกันเงียบๆ
เอกสารที่ได้อ่านมีทั้งที่เป็นภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ที่เป็นไทยก็ทำความเข้าใจง่ายหน่อย แต่ที่เป็นอังกฤษนั้น ศัพท์ทางการทางด้านธุรกิจมีเยอะมาก บางครั้งที่ณัฐวีร์ไม่เข้าใจคำศัพท์บางคำ จึงเป็นหน้าที่ของมกรต้องอธิบายจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยให้เขาฟัง

ตกบ่าย เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในห้องที่มีเพียงเสียงพลิกหน้ากระดาษไปมา มันเป็นเสียงจากโทรศัพท์ของมกร ฝ่ายนั้นกลอกเสียงนิ่งๆ ลงไปอยู่ชั่วครู่ ครั้นพอวางสายริมฝีปากได้รูปนั้นก็ยกยิ้มบางๆ ขึ้น
ณัฐวีร์ไม่ได้ตั้งใจจะสังเกตพฤติกรรมของใคร แต่เพราะโต๊ะทำงานมันอยู่ตรงข้ามกันเยื้องกันแค่เล็กน้อย ห่างกันแค่ 5 ก้าว จะไม่ให้มองเสียเลยก็ไม่ได้

มกรลุกจากโต๊ะมาหา “แม่บอกว่าวันนี้คงไปด้วยไม่ได้แล้ว ลูกค้าติดต่อเข้ามา แต่จองโต๊ะไว้ให้เรียบร้อย อยากให้เราสองคนไปทานมื้อเย็นด้วยกัน”

ณัฐวีร์เงยหน้าขึ้นมองคนพูดที่ยืนอยู่ชิดเก้าอี้ “หรือเราจะเลื่อนไปก่อนไหมครับ”

“อย่าเลย... แม่ไม่ค่อยว่างหรอก ถ้าเราสะดวกเราก็ไปกันเอง” คนพูดว่าแล้วก็จับเอามืออีกฝ่ายมากุมไว้กระชับบีบเบาๆ “หรือนัทไม่สะดวกจะไปกับพี่แค่สองคน?”

ณัฐวีร์มองตาคนพูดแล้วรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายกำลังตัดพ้อเขาอย่างไรบอกไม่ถูกเหมือนกัน ณัฐวีร์อึกอัก เขาหลบสายตาอีกฝ่ายมามองเอกสารตรงหน้า แต่ยังคงปล่อยมือตนเองให้อยู่ในการเกาะกุมของอีกฝ่าย ไม่ใช่ว่าไม่อยากเอามือออก.. แต่มือนั่นอุ่นมาก ห้องนี้ก็เย็นมากจนถึงขั้นหนาวเลยทีเดียว

“ไม่ใช่ไม่อยากไปกับพี่ครับ ผมแค่อยากรอคุณป้า ไปทานพร้อมกันจะได้อร่อย คนเยอะๆ สนุกดี”

“ไม่เห็นต้องรอเลย..” มือใหญ่ที่กุมอยู่บีบเบาๆ มกรสัมผัสได้ถึงปลายนิ้วเย็นของณัฐวีร์ที่ค่อยๆ อุ่นขึ้น

“งั้นไปทานด้วยกันก็ได้ครับ”

“ดีจัง”
เสียงมกรที่ตอบรับนั้นดังอยู่ใกล้มากจนณัฐวีร์ต้องเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็พบว่าสายตาตัวเองโฟกัสได้แต่เสื้อสูทสีควันบุหรี่ที่เคลื่อนใกล้สายตาเข้ามาเรื่อยๆ กระทั่งความอบอุ่นจากอ้อมแขนคนคนหนึ่งโอบล้อมกระชับเข้ามาที่รอบๆ อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

“...อึก”
ณัฐวีร์ต้องตกใจอีกครั้ง นี่เป็นการกอดครั้งที่สองแล้วตั้งแต่เจอหน้ากันไม่ถึงแปดชั่วโมง แม้ว่าครั้งนี้อีกฝ่ายจะผละออกเองไม่ใช่การขืนตัวจากทางเขา แต่..นี่เป็นการลวนลามกันในสถานที่ทำงานหรือเปล่าเนี่ย?

ณัฐวีร์ทำตาปริบๆ เมื่ออีกฝ่ายยิ้มใส่ตาเขาแต่ก็ไม่ยอมละมือออกจากไหล่

 “ผมไปด้วยก็ได้ครับ ไม่ได้ติดธุระอะไร” ณัฐวีร์พูดแล้วเหลือบมองใบหน้ายิ้มกว้างของอีกฝ่าย “อย่าให้ดึกแล้วกันนะครับ พรุ่งนี้ต้องมาทำงานอีก”
“ได้อยู่แล้ว..” มกรว่าแล้วก็โน้มตัวลงมาหาอีกครั้งเล่นเอาอีกฝ่ายถึงกับผงะอย่างระวังตัว แต่แล้วก็ต้องผงะเก้อเมื่อมกรแค่โน้มตัวลงมาดูเอกสารที่กางอยู่ตรงหน้าแล้วถามว่า “ไหน อ่านอะไรอยู่ สงสัยตรงไหนหรือเปล่า”

ณัฐวีร์นั้นขี้เกียจจะเบี่ยงตัวหลบมือปลาหมึกแล้ว ก็เลยได้แต่ปลงและชี้จุดในเอกสารให้อีกฝ่ายดู “ผมไม่เข้าใจตรงนี้ตามหลักเกณฑ์ทั่วไปบริษัทควรจะต้องตั้งกรรมการสอบวินัยไม่ใช่หรือครับ”

“เคสแผนกบัญชีหรือ..” มกรเอียงหน้าลงมาดู “เคสนี้ได้ยินว่าคนทำรู้ตัวเสียก่อนแล้วเลยทำลายหลักฐานแล้วหนีไป.. แม่เขาให้ฝ่ายตรวจสอบรวบรวมข้อมูลที่เหลือมาได้ แต่มันก็ยังขายข้อมูลบางส่วนที่จะสาวไปถึงตัวการ จนตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าใครอยู่เบื้องหลังทั้งหมด เพราะเราตามตัวพนักงานคนนั้นไม่เจอ ได้แต่ต้องระวังตัวกัน”

“ลำบากเลยนะครับ”

“ใช่.. ก็เลยเป็นเรื่องค้างอยู่เพราะยังตามตัวกันไม่ได้ แต่เรื่องคดีความก็มอบหมายให้ทางฝ่ายกฎหมายเขาไปดำเนินการแล้วล่ะนะ พวกเราก็อ่านเอาข้อมูลไว้ผ่านๆ ตาก็พอ”

“ครับ” ณัฐวีร์พยักหน้าแล้วรับรู้อาการบีบกระชับที่หัวไหล่เล็กน้อยก่อนฝ่ายนั้นจะผละมือออกไป “แล้วเดี๋ยวเย็นๆไปทานข้าวกันนะ..อ้อ ถ้าหนาวเอาชาร้อนหน่อยไหม?”

คนถูกถามได้แต่ทำตาปริบๆ แล้วส่ายหน้า  “ไม่ครับ..ขอบคุณ”
ตอนนี้กลายเป็นว่าตัวเขาเห่อร้อนขึ้นมาจนไม่ต้องพึ่งพาน้ำร้อนใดๆ เลย





****
อาหารเย็นมื้อนั้นเป็นไปอย่างเรียบร้อยดี ณัฐวีร์ได้รับการดูแลจาก “เจ้าภาพ” เหมือนว่าเขาเป็นเด็กน้อยที่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด ขนาดโต๊ะสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ถูกเปลี่ยนมาจากโต๊ะใหญ่เพราะลดจำนวนคน พวกเขายังไม่ได้นั่งอยู่ตรงข้ามกันเลย แล้วผู้ชายสองคน คนนึงแขนขายาวเก้งก้าง ต้องมานั่งเบียดมุมฉากอยู่กับผู้ชายอีกคนที่ก็ไม่ได้เตี้ยกว่ามาตรฐานผู้ชายไทยทำให้อวัยวะร่างกายเกยและชนกันอย่างช่วยไม่ได้

พอเผลอตัวหน่อย ขาของณัฐวีร์ก็ไปโดน พอกำลังเพลินกับรสชาติอาหารที่อีกฝ่ายตักให้ มือที่คอยป้วนเปี้ยนไม่พ้นจานไปสักทีก็ชนกับหลังมือที่ถือส้อมของเขาเข้าให้ ใช่เลย.. มกรนั่งอยู่ทางซ้ายเป็นมุมฉากกันกับเขา มองออกไปด้านหน้าเป็นวิวของสวนลุมพินียามค่ำ แสงไฟจากตึกในถนนวิทยุและตึกที่มองออกไปได้ลิบๆ สายตาทำให้ท้องฟ้ามีแสงสวยงามและน่ามอง.. แต่คงจะดีกว่านี้ถ้าหัวใจของณัฐวีร์จะไม่ต้องตุ้มๆ ต่อมๆ กับความระทึกเมื่อต้องได้รับการสกินชิพจากคนที่เพิ่งเจอหน้าและได้คุยกันอย่างจริงๆ จังๆ แค่วันนี้เท่านั้น

และนี่ขนาดเจอกันวันแรกยังขนาดนี้.. ณัฐวีร์คิดว่าเขาควรต้องปรามฝ่ายนั้นบ้างแล้ว

“แหม...เดี๋ยวนี้เพื่อนฝูงไม่สนใจ ไลน์ไปไม่มีเวลาตอบ เราก็นึกว่างานยุ่งตั้งแต่วันแรก ที่ไหนได้...”
เสียงร้องทักดังมาตั้งแต่ณัฐวีร์ยังไม่ทันได้ปิดประตูร้านดีเลย เขายกมือไหว้บิดาและมารดาก่อนจะบ่ายหน้าตรงมาที่ต้นเสียง

“ตอบแล้ว.. อันที่ยังไม่ตอบน่ะคืออันล่าสุด เพราะกำลังจะลงรถ” ณัฐวีร์เถียงเพื่อนสาวก่อนจะเดินมานั่งลงข้างกันแล้วหันไปยิ้มให้แชร์ที่นั่งอยู่ในโต๊ะด้วย

“ตอบช้า ส่งไปเกือบชั่วโมงค่อยตอบ มัวทำอะไรอยู่”

“ทำงานสิคะ..” ณัฐวีร์หัวเราะใส่เพื่อนก่อนจะเอื้อมมือไปบีบจมูกอีกฝ่ายเล่นเบาๆ
แพรวนั้นรู้จักเพื่อนดี แล้วก็เล่นกันมาแบบนี้ตั้งนานแล้ว เธอจึงแค่ย่นจมูกใส่และร้องโอดโอยฟ้องแม่ไปตามเรื่อง ทว่า คนที่นั่งร่วมโต๊ะกลับมองด้วยรอยยิ้มแปลกๆ

“อะไรครับ ยังไม่ชินหรือไง” พอหันไปเห็นเข้าณัฐวีร์จึงได้ถามขึ้น

“ก็ไม่เชิงว่าไม่ชิน.. แค่เห็นทุกครั้งก็..” แชร์พูดพร้อมรอยยิ้มปุเลี่ยน “แค่ไม่คิดว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน”

“อ้าว..” เสียงหญิงสาวร้องขึ้นมาเบาๆ พร้อมกับที่เธอคล้องแขนณัฐวีร์หมับ “แพรวรักของแพรวจะตาย”

สถานะของแพรวในมุมมองคนนอก คือแฟนที่ณัฐวีร์ทั้งรักทั้งหวง เขาคอยไปรับไปส่ง คอยเทคแคร์เธอประคบประหงมยิ่งกว่าไข่ในหิน เธอเองก็ดูแลเขาแบบเช้าถึงเย็นถึง ซึ่งสำหรับแชร์ที่ตามดูแลณัฐวีร์และรู้เรื่องราวต่างๆ มาตลอดจึงยังออกจะรู้สึกแปลกๆ ทุกครั้งที่สองคนนี้หยอกล้อกันตามประสาคนรัก

ที่จริงแล้ว สองคนนี้ก็แค่ตกลงกันว่าจะเป็นไม้กันหมาให้แก่กันและกันเท่านั้น พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายก็รู้ดี จะมีก็แค่คนนอกครอบครัวเท่านั้นที่ไม่รู้.. แพรวดูแลณัฐวีร์ และณัฐวีร์ก็คอยดูแลแพรวจากหนุ่มๆ ที่มหาวิทยาลัย

สำหรับตัวแพรวเอง เธอรู้สึกผิดต่อณัฐวีร์มาก.. เพราะในเพื่อนกลุ่มมัธยมนั้น เธอเป็นคนสุดท้ายที่ได้คุยกับณัฐวีร์ก่อนที่ความจำจะหายไป..เธอได้ฟังเขาร้องไห้ ได้รับรู้ภาวะจิตใจอ่อนแอของเพื่อนซึ่งเธอไม่อาจช่วยได้ มาวันนี้เธอจึงทุ่มเทดูแลเพื่อนของเธออย่างดีที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้เพื่อไม่ให้เสียใจภายหลังเหมือนเหตุการณ์ที่เชียงใหม่อีก
ส่วนแชร์เขาเองก็รู้สึกผิดที่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น.. น้องอยู่ในมือเขาแท้ๆ เขากอดเอาไว้กับตัวแต่ก็ยังปล่อยมือน้องหลุดไปจนเกิดอุบัติเหตุได้.. เขาจึงตามดูแลณัฐวีร์ตั้งแต่นั้น..ทว่าเขาไม่ใช่คนในครอบครัว.. เขาจึงไม่รู้ข้อตกลงระหว่างคนในครอบครัวนี้

แต่การที่ผู้ชายคนหนึ่ง ตามดูแลผู้ชายอีกคน เป็นเรื่องประหลาดสำหรับณัฐวีร์ แม้ว่าจะมีการแนะนำแล้วว่าคนๆ นี้คือเพื่อนที่รู้จักกันตอนที่ความจำเสื่อมไป แต่..ให้อย่างไรก็ไม่อิน ความรู้สึกที่เขารับได้จากแชร์นั้น..ไม่ใช่ความปลอดภัย ดังนั้นแพรวจึงกลายเป็นตะเข้ขวางคลอง คอยกันไม่ให้แชร์เข้าใกล้ณัฐวีร์มากนัก

อย่างไรเสีย การได้มาสนิทสนมของแชร์ก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์เสียเลย อย่างน้อยก็ได้รู้ข้อมูลและส่งต่อข้อมูลบางอย่างให้กับมกรที่อยู่ต่างประเทศบ้าง.. ขาดก็แต่ข้อมูลของแพรวนี่แหละที่ยังไม่มีใครกล้าบอกให้มกรรู้

เพราะฝั่งนั้น..ก็ผ่านช่วงเวลาเลวร้ายมาไม่น้อย..
ตลอดหนึ่งปีในต่างบ้านต่างเมือง นอกจากจะต้องทำงานพาร์ทไทม์ เรียนคอร์สบริหาร.. ยังต้องพบแพทย์จิตเวทเป็นประจำอีกด้วย.. บางครั้งจึงไม่ใช่เรื่องง่ายในการบอกเล่าเรื่องของคนไกลทางนี้ให้มกรรู้..

คนไกลที่มกรแสดงออกชัดเจนว่า..จะไม่มีวันปล่อยมือ..
ขนาดยอมปรับปรุงตัว ยอมเข้ารับการบำบัด..ก็น่าจะเพียงพอแล้วที่ครอบครัวของณัฐวีร์จะยอมรับความพยายามของทางนั้น

แต่..

“ในเมื่อลืมแล้วจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์ขึ้นมาอีกทำไม?” คุณวีรชาติตั้งคำถามใส่คุณมนธิชา เมื่อเธอมาปรึกษาว่าอยากให้เด็กๆ ได้ใกล้ชิดกันอีกครั้ง

“เพราะฉันคิดว่าเราควรให้เรื่องนี้เป็นการตัดสินใจของพวกเด็กๆ  ไม่ใช่การตัดสินใจโดยพวกเรากันเองค่ะ” เธอพูดพร้อมกับจ้องตรงมายังคุณวีรชาติอย่างแสดงความจริงใจ “เพราะนัทลืมว่าเคยมีแมน.. เขาถึงได้ยังไม่ได้คุยกันเหมือนเดิม ถ้าเราปิดโอกาสให้เขาได้รู้จักกัน ให้เขาได้เลือกที่จะคบหากันอีกครั้ง มันก็ดูจะเป็นการทำร้ายคนคู่นี้มากเกินไป คุณวีอาจไม่ทราบว่านัทรักแมนมากแค่ไหน.. แต่ฉันทราบค่ะว่าลูกชายรักน้องมากแค่ไหน”

“ผมเห็นว่าเขาลืมกันไปแล้ว.. ต่างฝ่ายก็น่าจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่” คุณวีรชาติมีใบหน้าที่แดงขึ้น “และตอนนี้นัทก็มีแพรวอยู่แล้ว”
คำพูดที่หลุดจากปากทำให้คนในวงสนทนาตรงนั้นต่างนิ่งงันไป มีก็แต่คุณมนธิชาที่ยิ้มรับ “ฉันทราบข้อมูลนี้มาก่อนแล้วค่ะ ฉันถึงขอโอกาสแค่ให้ได้รู้จักกัน ไม่ได้ขอให้กลับไปคบกันเหมือนเดิม.. เป็นพี่น้อง เป็นเพื่อนกัน ถึงจะจำความสัมพันธ์เก่าๆนั่นไม่ได้ แต่ก็เริ่มคบหาดูแลกันได้..ไม่ใช่หรือคะ?”

 คุณมนธิชาเผยรอยยิ้มออกมาน้อยๆ  แต่ดวงตาของเธอนั้นมุ่งมั่นเหลือเกิน “คุณวี ฉันเข้าใจนะคะ คุณก็แค่อยากให้เขาคบหาและแต่งงานกับผู้หญิงสักคนใช่ไหม”

จบประโยคนั้นคุณวีรชาติก็ชำเลืองมองหน้าณฐกาทันที เขารู้ว่ามันผิดที่อยากผลักดันให้ลูกชายเดินไปตามที่สังคมปกติกำหนดไว้ ทั้งสองคนจึงได้แต่อึกอักไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา

“เรียนตามตรงว่าฉันคงบังคับอะไรคุณไม่ได้ มาวันนี้ฉันแค่มาขอโอกาสให้เขาได้ทำความรู้จักกัน ถ้าสุดท้ายแล้วเขาสองคนจะไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิม ฉันซึ่งเป็นผู้ปกครองของแมนก็ถือว่าได้ทำดีที่สุดแล้วเพื่อลูกของฉัน.. แต่หากคุณวีที่เป็นผู้ปกครองของนัทเห็นว่าอยากให้นัทอยู่ในกรอบสังคมโดยไม่รู้จักตัวตนของเขาเอง ฉันก็คงต้องยอมรับฟังความเห็นของคุณค่ะ..” คุณมนธิชาลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารที่นั่งกันอยู่แล้วหยิบกระเป๋าถือขึ้นมาตั้งท่าจะขอตัวออกจากวงสนทนา

ทว่า เธอไม่ได้ทำเช่นนั้น เธอมองตรงมายังคนทั้งคู่แล้วพูดอย่างหนักแน่น “อาจจะฟังดูเห็นแก่ตัวเกินไปเพราะฉันพูดเพื่อประโยชน์ของลูกชายตัวเอง.. คนที่ยังไม่ลืมคือแมน และตอนนี้เขาก็น่าสงสารและกำลังพยายามอย่างที่สุดแล้ว เขายังไม่รับรู้ว่าแพรวคือแฟนของณัฐวีร์ เพราะมันยังไม่ถึงเวลานั้น เราปรึกษากับหมออยู่ตลอดเวลา คุณปฏิบัติกับณัฐวีร์อย่างไร เชื่อฟังหมออย่างไร ฉันเองก็ได้รับคำแนะนำมาจากหมอของแมนเช่นกัน..”

“..ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณ..ฉันไม่สามารถบังคับคุณได้..แต่อยากฝากไว้เรื่องหนึ่ง เกย์ไม่ใช่คนป่วยที่พอฉีดยาให้ยาก็จะหายได้ ต่อให้คุณปิดโอกาสพวกเขา ไม่ให้ได้ทำความรู้จักกัน ต่างคนต่างเริ่มใช้ชีวิตใหม่ แต่จะมั่นใจได้อย่างไรว่านัทจะไม่กลับไปในทางเดิมที่เขาเคยเดิน..อีกสิบปียี่สิบปีเขาอาจจะเจอใครสักคน และอาจจะทำร้ายความรู้สึกตัวเองจนไร้ทางแก้ไขก็ได้ ตอนนี้คนที่เจ็บจะไม่มีแค่แพรวนะคะ แต่นัทก็อาจเจ็บไปด้วยเมื่อมารู้ทีหลังว่ารสนิยมของตัวเองเป็นแบบไหน”

คุณมนธิชาเบือนสายตามายังณฐกา เธอยิ้มให้กับรุ่นน้องอย่างเข้าใจในครอบครัวนี้เป็นอย่างดี ถ้าเป็นเธอ..ลูกชายมีโอกาสเดินในเส้นทางปกติ เธอก็จะใช้โอกาสนั้นเพื่อทำให้ลูกเธอมีความสุขที่สุด แต่เพราะเธอคือแม่ของคนที่ยังมีความทรงจำครบถ้วนสมบูรณ์ และเธอยังเป็นนักบริหารที่ดี.. การโน้มน้าวคนให้ทำตามที่เธอต้องการจึงเป็นหน้าที่ของเธอเช่นกัน..

“พี่คิดว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิดกับน้องแพรวนะคะ พี่จะไม่ยัดเยียดความสัมพันธ์ที่นัทไม่ชอบถ้าไม่อยากทำอะไรก็บอกได้ค่ะ..วันนี้..พวกเราแค่เปิดโอกาสให้เขาเลือกเท่านั้น.. ไม่ดีหรือคะน้องไก่”
เหตุการณ์นั้น มีแชร์อยู่ในวงสนทนาด้วย เขามาเป็นตัวแทนของมกร ดังนั้น เมื่อรู้ผลว่าทางครอบครัวนี้ยอมให้ณัฐวีร์ไปทำงานกับคุณมนธิชา จึงพอสรุปได้ว่าคุณวีรชาติเองก็ให้ความสำคัญกับความสุขของลูกชายมากกว่าหน้าตาทางสังคมเช่นกัน

“แล้วทำงานวันแรกเป็นไงบ้าง” เสียงของแพรวเอ่ยถามทำให้แชร์หลุดออกจากภวังค์อดีตนั้น
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาว เธอมีรอยยิ้มเก๋ ใบหน้าเรียบเนียนสวย การแต่งแต้มเครื่องสำอางอ่อนๆ ทำให้เธอดูสดใสไม่แตกต่างจากทุกครั้งที่พบเจอ แต่จากการพูดคุยกันขณะนั่งรอณัฐวีร์หลายครั้ง เธอดูจะเกรียนกว่ารูปลักษณ์ภายนอกเยอะ

“วันนี้เฉยๆ อ่านเอกสารอย่างเดียวเลย”

“ไม่โดนทำอะไรแปลกๆ ใช่ไหม?” แพรวเกาะแขนอีกฝ่ายที่นั่งลงไม่ห่างกัน

“หมายความว่าไง..?” ณัฐวีร์เอียงคอถามอย่างสงสัย

“ก็..” แพรวอึกอักพลางชำเลืองตามองมาทางแชร์อย่างต้องการหาตัวช่วย บางทีเธอก็ลืมไปว่าเพื่อนความจำเสื่อม

“คงหมายถึงคนที่ทำงานไม่ได้ต่อต้านเด็กเส้นอย่างนัทใช่ไหมล่ะมั้ง” แชร์ช่วยอย่างเสียไม่ได้

“ใช่ๆ เขาไม่ได้ทำอะไรนัทของแพรวใช่ไหม?”
คนถูกถามหัวเราะเบาๆ “ใครจะกล้าทำอะไรนัท.. นี่เด็กเส้นเลยนะ เส้นใหญ่มากด้วย..เลยได้อยู่แต่บนหอคอย ไม่ได้ลงไปไหนเลย”

“อ้าว..” สองคนฟังร้องขึ้นมาพร้อมกัน

“ก็วันนี้คุณป้ากับพี่แอมไม่อยู่เลยยังไม่ได้พาตัวไปแนะนำกับผู้บริหารหรือเดินดูในบริษัทเลย ได้แต่นั่งอ่านเอกสารอยู่ในหอคอยข้างห้องประธานบริษัทน่ะ เลยยังไม่เจอใครจะมาต่อต้านหรือทำมิดีมิร้ายเลย”

แพรวกะพริบตาปริบๆ “ไม่มีเลย..”

“ใช่ไม่มีเลย..ถามแบบนี้อยากให้มีหรือไง” ณัฐวีร์หัวเราะแล้วเอามือดึงแก้มหญิงสาวเบาๆ

“เปล่านะ.. แพรวเป็นห่วงกลัวที่รักจะไม่สบายใจเฉยๆ” เธอปัดมือแล้วหันไปถลึงตาใส่คนที่แกล้งดึงแก้มเธออยู่.. หนอย แฟนก็ไม่จริงมาดึงหน้าฉันให้ย้วยเดี๋ยวแม่ข่วนตาแหก
ณัฐวีร์เลยยอมลามือแล้วหันมาหาแชร์ “ดึกแล้วเดี๋ยวผมไปส่งแพรวก่อนนะครับ พี่เองถ้าจะกลับก็กลับเลยไหมครับจะได้เดินออกไปพร้อมกัน”

ณัฐวีร์พูดตรงๆ กับแชร์แบบนี้เสมอ ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่แชร์ก็ยอมพยักหน้า สองปีมานี่ไม่เคยพูดกันได้ดีๆหรอก ชินเสียแล้ว

“กลับเลยครับ เดินออกไปด้วยกันก็ได้ แต่ให้พี่ไปส่งแพรวไหม แล้วนัทจะได้ไม่ต้องเดินไปเดินมา”

“ไม่เป็นไร..” ณัฐวีร์พยักหน้ากับหญิงสาว “นี่แฟนผม ผมเดินไปส่งเขาได้สบาย”

“งั้นก็ตามใจ..” แชร์ตอบตกลงแล้วเดินออกมาพร้อมกันกับคนทั้งคู่
พวกเขาแยกกันตรงหน้าประตูร้านอาหาร ณัฐวีร์เดินริมนอกใกล้ถนนให้แพรวเดินริมใน

“หูย.. โหดกับพี่เขาอีกแล้วอ่ะนัท” แพรวกระซิบเบาๆ เมื่อเห็นแชร์หันไปทางด้านลานจอดรถ

“ก็มันน่ารำคาญ มาหาได้ทุกวัน บ้านช่องไม่กลับ”

“ดูเหมือนเขาจะติดใจนัทน่าดูนะ..”

“ติดใจอะไรกัน.. เราไม่เห็นอยากได้ผู้ชายมาติดใจเลย”

แพรวเหลือบมองหน้าเพื่อนที่เดินเคียงกัน.. “นั่นสินะ.. นัทเป็นแบบนี้ เป็นอย่างที่นัทอยากเป็นก็ดีแล้ว ถ้านัทสบายใจจะทำอะไรเราก็อยากให้นัททำนะ”

เธอพูดออกมาจากใจ ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมแชร์ต้องมาตามดูแลณัฐวีร์ตลอดระยะเวลา 2 ปี ทำไมณัฐวีร์ถึงไม่สนิทใจกับคนๆ นี้ ที่ดูท่าทางไม่มีพิษภัย  ทำไมต้องยอมทนให้โขกสับไล่กันดื้อๆ  ถึงจะไม่รู้เหตุผลเหล่านั้น ทว่า เธอจะไม่ถาม จะไม่ยอมเอ่ยปากรื้อฟื้นเรื่องที่ทำให้เพื่อนร้องไห้อย่างหนักขึ้นมาอีกแน่

เธอเชื่อว่ามีอะไรก่อนเกิดอุบัติเหตุ แต่ถ้าเพื่อนลืมมันไปแล้ว เธอก็จะไม่กระตุ้นให้เพื่อนกลับมาจำได้ ส่วนผู้ชายคนนั้น แม้จะมีแนวโน้มรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ..แต่เธอก็จะไม่ถามเขาเช่นกัน..

ปิ๊น!

เสียงแตรรถดังมาก่อนที่รถของแชร์จะจอดลง เขาลดกระจกทำให้คนเดินริมนอกอย่างณัฐวีร์ต้องโน้มตัวลง

“แน่ใจนะไม่ให้พี่ไปส่ง”
คนถูกถามส่ายหน้า พูดอะไรกันอีกสองสามคำแล้วจึงได้เห็นแชร์ขับรถออกไป

“น่าเบื่อจริงๆ ถามทุกวันต้องให้ปฏิเสธทุกวันหรือไง” ณัฐวีร์บ่นแต่ขาก็ยังก้าวอยู่

ไม่นานทั้งคู่ก็เดินมาถึงหน้าบ้านของแพรวที่อยู่ห่างไปไม่มาก “นี่ถ้ามีคนมาเทียวไล้เทียวขื่อแจกขนมจีบกับแพรวแบบนี้ มีหวังแพรวตกลงปลงใจกับเขาไปนานแล้ว”

“เอาผู้หญิงมาเทียวไล้เทียวขื่อไหมล่ะแพรว”
หญิงสาวกลอกตาไปมา.. “นั่นสินะ.. ถ้ามาจริงขอแบบสวยกว่าแพรวนะ เอาให้ตาค้างไปเลยยิ่งดี”

“งั้นต้องนางงามระดับโลกแล้วเธอ ..ว่าแต่จะทิ้งแฟนคนนี้แล้วหรือไงคนสวย” ณัฐวีร์หัวเราะร่วน

“เปล่านะ แพรวมีใครก็ได้ แต่นัทที่รักคือที่หนึ่งของแพรว”

“หวานมาก..” ณัฐวีร์หัวเราะแล้วลูบศีรษะหญิงสาวเล่นโดยไม่รู้เลยว่ามีใครอีกคนยืนแอบมองเขาทั้งคู่ในที่ห่างออกไป

ณัฐวีร์เอ่ยล่ำลาแพรวอีกไม่นานแล้วก็เดินกลับไปที่บ้านตัวเอง ส่วนหญิงสาวก็เข้าบ้านไปแล้ว แต่คนที่หลบอยู่กับยืนตัวสั่นอยู่ตรงนั้นไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้เลย




............


TBC.

ออฟไลน์ Pawaree

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-2
    • FANPAGE
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21 [25.04.14] P.9
«ตอบ #246 เมื่อ25-04-2014 23:57:25 »

 :hao5:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21 [25.04.14] P.9
«ตอบ #247 เมื่อ26-04-2014 00:21:48 »

ไม่รู้จะพูดยังไงดี

ออฟไลน์ AMINOKOONG

  • ฝากติดตามนิยายด้วยนะคราฟฟฟฟ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 860
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +183/-12
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21 [25.04.14] P.9
«ตอบ #248 เมื่อ26-04-2014 00:25:45 »

ทำไมมีแต่คนคอยช่วยเหลือแมนมันกันจังทั้งๆที่มันทำเรื่องเลวระยำกับนัทตั้งมากมาย
ถ้าจะดราม่าทั้งเรื่องเราอยากให้แมนมันเจ็บและเป็นผู้ถูกกระทำบ้างจะได้เท่าเทียมกัน
นัทน่าสงสารมามากพอแล้ว จะโชคดีหน่อยก็ไอตรงที่ความจำเสื่อมนี่แหละนัทจะได้ลืมคนเลวๆ
กับเรื่องเลวๆในอดีตที่ผ่านมาซักที พอเถอะ กับการที่ให้นัทต้องมาโดนกระทำซ้ำซากแบบเดิมๆ

ปล.กลัวว่าคนที่แอบดูนัทกับแพรวจะเป็นแมนแล้วเกิดหึงแล้วลงมือทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจของนัทอีก
ไม่อยากอ่านแบบนั้นแล้วมันหน่วง แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นให้แมนมันไดลิ้มรสความเจ็บปวดบ้างก็คงจะสะใจดี
และจะกลายเป็นนิยายดราม่าที่แซ่บครบรส ไม่ใช่เศร้าสลดอย่างเดียว

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21 [25.04.14] P.9
«ตอบ #249 เมื่อ26-04-2014 09:20:01 »

เห้อออออ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21 [25.04.14] P.9
« ตอบ #249 เมื่อ: 26-04-2014 09:20:01 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ why yyy

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +309/-8
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21 [25.04.14] P.9
«ตอบ #250 เมื่อ26-04-2014 14:41:31 »

หวังว่าใครคนนั้นคงไม่ใช่แมนนะ


ขอบคุณ :)

ออฟไลน์ pae666

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 506
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21 [25.04.14] P.9
«ตอบ #251 เมื่อ28-04-2014 11:25:44 »

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์แต่ละท่านนะคะ ท่าทางจะรักแม้นศรีกันทุกคน 55555

คนแต่งฝากข้อความมาบอกว่า  ...เรามีเรื่องให้ท่านสะใจพี่แม้นอีกเยอะ.. นางจะน่าสงสารจนท่านอดอุทานไม่ได้เลยทีเดียว

ปล.ในแฟนเพจมีคนสงสารนางมาแล้ว



 :katai4:  ..โปรดรอตอนต่อปายยยยยยย

ออฟไลน์ sakuraaom12

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21 [25.04.14] P.9
«ตอบ #252 เมื่อ28-04-2014 20:51:09 »

เพิ่งตามอ่านทันคะ ความจริงชอบแนวนายเอกโดนข่มขืนแบบนี้   :m25:  :m25:
เเต่เรื่องนี้ชอบมากๆคะ ชอบตอนที่น้องนัทยอมพี่แมน
ตอนนี้สงสารน้องนัท แต่คิดว่าถ้ารู้อดีตของเเมนคงจะน่าสงสารพอกัน
 :hao5:  :hao5:  :hao5:

ออฟไลน์ pae666

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 506
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21.1 [30.04.14] P.9
«ตอบ #253 เมื่อ30-04-2014 10:01:46 »

ตอนที่ 21.1



เสียงรถแล่นเข้ามาจอดทำให้คุณมนธิชาเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือที่ตัวเองอ่าน เธอเหลือบมองนาฬิกาแล้วเห็นว่าเป็นเวลาเกือบจะเที่ยงคืน แล้วเธอก็สะดุ้งโหยงเมื่อประตูรถถูกแรงกระแทกปิดลงมาเปรื่องใหญ่พร้อมเสียงเอ็ดตะโรของลูกชายคนเดียวก็ดังลั่นขึ้นจนเธอต้องลุกเดินออกไปดู

ภาพที่เห็นคือมกรยืนพิงประตูรถด้วยอาการทรงตัวไม่อยู่ มีคนรับใช้สองคนยืนไม่ห่างเพื่อช่วยพยุงแต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่อยากให้ใครมาแตะถึงได้สะบัดมือหนีอยู่ตลอด

“แมน..” เสียงคุณมนธิชาทำให้ชายหนุ่มหันขวับมา เขาพยายามทรงตัวขึ้นดวงตาก็หรี่เขม้นมองมารดาอย่างเอาเรื่อง
“ทำไมเมากลับมาแบบนี้ ไปทานข้าวกับน้องไม่ใช่หรือ”
“แม่จะไปรู้อะไร!” ชายหนุ่มย่างสามขุมเข้าใส่มารดา “แม่..จะไป..รู้อะไร!!”
“ทำไม เกิดอะไรขึ้น” เธอถามด้วยความงงงัน ยิ่งลูกชายก้าวเข้ามาใกล้เธอยิ่งได้กลิ่นแอลกอฮอล์หนัก
“เขามีแฟนแล้ว! นัทมีแฟนแล้ว!!” ชายหนุ่มตะคอกอย่างหัวเสีย ร่างนั้นโงนเงนอย่างคนที่ไม่สามารถควบคุมการทรงตัวได้
“โธ่แมน..”
“ถ้าผมไม่เชื่อแม่ ถ้าผมอยู่กับเขา..มันจะไม่เป็นแบบนี้” เขากำมือแน่น
“แมน..ใจเย็นๆ” คุณมนธิชาเดินเข้าไปโอบร่างที่สั่นเทานั้นไว้
“แม่..ถ้าผมไม่ไปล่ะ ถ้าผมไม่ได้ไปอเมริกา..เขาจะมีแฟนไหม จะมีไหม” เสียงตอนท้ายสั่นเครือ มือที่กำแน่นนั้นค่อยคลายออกโอบกอดร่างของมารดาไว้
“แมน..ฟังแม่นะ แมนไปรักษาตัว แมนไปเพื่อตัวแมนเอง เพื่อกลับมายืนอยู่ให้ได้ เพื่อจะไม่ต้องทำร้ายใครอีก เพราะแมนไม่อยากทำร้ายน้องอีก..แมนถึงต้องไป” เธอพยายามปลอบลูกชายแล้วพาเขาเดินเข้าไปที่ห้องนั่งเล่นซึ่งเธอเพิ่งลุกเดินออกมา “แมนจำก่อนที่แมนจะไปได้ไหม แมนเคยพูดอย่างไรไว้บ้าง แมนบอกว่าแมนอยากกลับตัวเป็นคนดี คนที่จะดีพอให้ยืนเคียงข้องน้องใช่ไหม”
“ใช่..แต่ตอนนี้ที่ข้างๆ เขาไม่มีอีกแล้ว..” มกรสะอื้นตัวโยน “เขามีคนอื่นไปแล้ว”
“เปล่าเลยจ้ะลูกแม่..” คุณมนธิชาประคองร่างสูงใหญ่นั่นให้นั่งลงแล้วเธอก็กอดคนที่ยังไม่มั่นคงในอารมณ์ไว้ “ที่ยืนของแต่ละคน..ไม่มีใครสามารถแทนที่นั้นได้.. ไม่ว่าแมนจะยืนอยู่ข้างๆน้องในฐานะอะไร แมนก็อยากจะอยู่กับใครใช่ไหม อยากดูแลเขาตลอดไปใช่ไหม”

มกรพยักหน้ารับทั้งน้ำตา
“แล้วตอนนี้จะต่างอะไรกัน.. แมนก็ยังอยู่ข้างๆน้อง แมนได้ทำงานกับน้อง ได้ทานข้าว ได้พูดคุยกัน เดี๋ยวก็จะได้ไปไหนมาไหนด้วยกัน แมนไม่ได้อยู่ข้างน้องตรงไหน”
“แต่เขา..”
“ไม่..ไม่.. แม้เขาจะมีใครเขายังเป็นณัฐวีร์คนเดิม.. คนที่แมนจะต้องดูแล ใช่ไหมลูก”
“ผมอยากกอดเขาไว้ อยากกอดเขา..” ชายหนุ่มกระซิบด้วยน้ำตาที่ร่วงลงมาบนแก้มอีกระลอก
“ใช่จ้ะ..” คุณมนธิชายิ้มรับแล้วดึงร่างของลูกชายเข้าหาตัว “แม่ก็อยากกอดแมนไว้แบบนี้เหมือนกัน”
เธอโอบกอดร่างนั้นเนิ่นนานจนลูกชายของเธอหายสะอื้น และกอดตอบเธอนั่นแหละเธอจึงพูดขึ้น
“ดีมาก.. แมนเป็นคนเก่ง แม่เชื่อว่าน้องเองก็จะไม่ยอมรับการดูแลของแมนในวันหนึ่ง.. ถ้าแมนทำดีกับน้อง ไม่กดดันน้อง ไม่ยัดเยียดฐานะที่น้องไม่อยากได้ น้องก็จะอยู่กับแมน..ไม่ว่าจะฐานะไหน แมนก็จะได้อยู่กับน้องแน่ๆ ค่ะ เชื่อแม่นะ”
การขยับไหวพยักใบหน้าที่อยู่ตรงไหล่ทำให้เธอลูบแผ่นหลังกว้างนั้นเบาๆ แล้วคลายอ้อมแขนออก
“ไปพักเสีย พรุ่งนี้เราจะได้ไปเจอน้องด้วยใบหน้าหล่อๆ สดใสของเรา เมาโทรมไปเดี๋ยวน้องไม่ให้เข้าใกล้นะ”
มกรใช้ฝ่ามือปาดเช็ดน้ำตาแล้วลุกเดินขึ้นไปชั้นบน พอลับหลังเขาแล้วคุณมนธิชาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรไปยังอเมริกา
“หมอ..เขารู้แล้ว..ใช่ค่ะฉันทำตามที่หมอแนะนำ แต่ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร... ได้ค่ะ ฉันจะยกเลิกนัดพรุ่งนี้ทั้งหมดแล้วให้เวลากับเขามากๆ”
เธอนิ่งฟังคำอธิบายของนายแพทย์จิตเวท ก่อนจะเอ่ยขอบคุณเขาแล้วกล่าวลาไป ดวงตาเหน็ดเหนื่อยนั้นมองไปยังชั้นบนอย่างเป็นกังวล
พรุ่งนี้จะเป็นยังไง..มีเธอที่ต้องประคับประคองเขาเท่านั้น..

.
.
.
.
.
.
.
.
.
.



ที่โต๊ะอาหารในเช้าวันใหม่
ผู้สูงอายุคนเดียวในบ้านนั่งอ่านหนังสือพร้อมกับดื่มนมอุ่นๆขณะรอการเสิร์ฟอาหาร แล้วคุณมนธิชาก้าวเข้ามาในห้องอาหารนั้น
“สวัสดีค่ะคุณพ่อ เมื่อคืนนอนหลับสบายดีไหมคะ”
ผู้ถูกเอ่ยทักเหลือบสายตาขึ้นมามองแล้วขยับมือเปิดหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษเสียงดังคว้ากแคว้กคล้ายไม่สนใจคนถาม หากแต่คำพูดกลับไม่ใช่เช่นนั้น
“เสียงโหวกเหวกตอนเที่ยงคืนมันทำให้ฉันนอนไม่หลับ..คนแก่อายุ 76 อย่างฉันลองได้ตื่นแล้วมันก็จะนอนยากเป็นเรื่องธรรมดา”
มนธิชาสะดุดไปเล็กน้อยก่อนจะทรุดนั่งลงพร้อมพูด “ขอโทษด้วยค่ะคุณพ่อ”
“ไม่เป็นไร... แม่มันเคยทำให้หนักใจยังไง.. ลูกมันก็ไม่ต่างกันนักหรอก”

แกร้ก!
มนธิชาวางช้อนคนกาแฟลงกับจานรอง เธอนั่งตัวตรงพร้อมกับหยิบเอาแก้วขึ้นจิบอย่างไม่กลัวร้อน “มนว่าเราคุยกันแล้วนะคะ”
“หึ!” เสียงขึ้นจมูกนั้นทำให้เธอสูดลมหายใจยาวลึก..
ครอบครัวเธอเป็นแบบนี้มานานหลายสิบปีแล้ว.. พูดกันดีๆแทบจะนับคำได้
“อ้าว..แมน.. ไม่ทานข้าวเช้าหรือ” เธอหันไปเห็นลูกชายกำลังจะเดินผ่านห้องอาหารไปก็เลยเรียกขึ้น
มกรหยุดขาเหมือนจะชั่งใจชั่วครู่ แล้วก็ก้าวหันกลับมาพร้อมกับบอกว่า “ไม่ดีกว่า ผมจะรีบไปบริษัท”
สายตาคู่นั้นหลุบต่ำลงมองพื้นแล้วจึงหันหนีเดินออกไปเลย


.
.
.
.
.
.
.


พอณัฐวีร์มาถึงที่ทำงานก็เห็นว่าใครอีกคนนั่งอ่านแฟ้มอยู่ในห้องเสียแล้ว
“มาเช้าจัง..” เขาเอ่ยกับตัวเองขณะเดินเข้าไปในห้องแล้วเอ่ยทักอีกฝ่าย “สวัสดีครับ”
มกรเงยหน้าบูดขึ้นมาจากเอกสาร พยักหน้ารับนิดหน่อยแล้วก้มอ่านเอกสารต่อ ทำเอาคนที่เพิ่งมาขมวดคิ้วอย่างงงๆ เมื่อวานยังยิ้มทักทายกว้างขวาง มาวันนี้หน้าหงิกเป็นมะเหงกไปอีกแล้ว สงสัยจะไม่ได้เข้าห้องน้ำ
ณัฐวีร์ยักไหล่แล้วเก็บกระเป๋าเข้าลิ้นชักโต๊ะ ยังไม่ทันได้ทำอะไร ก้นเพิ่งจะแตะเก้าอี้ คุณเลขาคนสวยก็เดินถือถาดอาหารนำประธานบริษัทเข้ามาเสียแล้ว
“ว่าไงเด็กๆ ยังไม่ทานข้าวเช้ากันทั้งคู่ใช่ไหม” มนธิชาเอ่ยถามขึ้นก่อนจะเดินมุ่งตรงมาทางโต๊ะที่ยังไม่มีเอกสารของณัฐวีร์ เธอให้แอมเอาถาดอาหารวางลงแล้วหันไปเรียกลูกชาย “แมนมาทานกับแม่กับน้องมา”
“ผมไม่หิว..” มกรตอบแล้วก้มหน้าอ่านเอกสาร
ณัฐวีร์เองก็ทานข้าวเช้ามาแล้วจากบ้าน แต่ติดที่ผู้ใหญ่มานั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะพร้อมอาหารสำหรับเขาด้วย จึงไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
“แล้วนัทล่ะ” มนธิชาหันมาถาม
“ผมทานมาแล้วครับ แม่ไก่ทำแซนวิชให้ทานแต่เช้า”
มนธิชาเลยได้แต่มองถาดอาหารอย่างเสียดาย “แบบนี้แม่ก็ทานคนเดียวสิ นัทอิ่มแล้วหรือ ช่วยกันหน่อยได้ไหม แมนน่ะยังไม่ได้ทานข้าวเช้าเลย พอมาบอกไม่หิวแบบนี้ที่แม่มนเตรียมมาก็หมดกัน เสียดายแย่”
ณัฐวีร์มองครัวซองแฮมชีท 3 ชิ้น กับผลไม้อีกจานใหญ่ และแก้วโกโก้ควันกรุ่นแล้วรู้สึกอิ่มทั้งที่ยังไม่ได้พาเข้าปากเลย เขาเหลือบมองฝ่ายนั้นก็เห็นก้มหน้าก้มตาไม่สนใจใคร แล้วก็ได้แต่สงสัยว่าเป็นอะไรกันแน่
“ถ้าให้ผมทานหมดชิ้นก็คงไม่ไหวครับ พี่แมนช่วยคุณป้าหน่อยสิครับ..”
คนถูกเรียกเหมือนจะกระตุกตัวขึ้นเล็กน้อยแล้วก็เหลือบตาขึ้นมองมาทางเจ้าของเสียง
“นะครับ..ผมทานมาแล้ว ผมขอครึ่งชิ้น คุณป้าหนึ่งชิ้น แล้วก็พี่แมนชิ้นครึ่ง พอดีเลย” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้ปฏิเสธ เขาหยิบมีดขึ้นมาหั่นแบ่งใส่จานตามที่บอกแล้วเดินถือมาให้อีกฝ่ายถึงโต๊ะ
“ช่วยหน่อยนะครับ” คนตัวเล็กยกมือขึ้นไหว้ปลกๆ เห็นอีกฝ่ายนิ่งๆก็เลยฉีกยิ้มให้อีกเล็กน้อยแล้วเดินกลับมา “คุณป้าทานเถอะครับ เดี๋ยวผมจัดการครึ่งนี้เอง”

มนธิชานั่งมองลูกชายตัวเองหยิบมีดและส้อมขึ้นมาจิ้มชิ้นครัวซองเข้าปากแล้วก็ค่อยเบาใจ อย่างน้อยช่วงเช้านี่ก็น่าจะผ่านไปด้วยดีระดับหนึ่งล่ะ
พอเสร็จมื้ออาหาร นั่งพักพูดคุยกันชั่วครู่ คุณมนธิชาก็ให้เลขามาเตรียมการพาเด็กใหม่ไปแนะนำตัวกับคณะผู้บริหาร
“เดี๋ยวป้ามนพาไปหารองป้ามนก่อน วันนี้คุณประคองเขาต้องออกไปประชุมแทนป้ามน” คุณมนธิชาพูดกับณัฐวีร์แล้วหันมาหาลูกชายที่เดินอีกข้าง “แมนจำคุณประคองได้ไหม ที่เคยเจอกันตามงานบ่อยๆ”
“จำได้ครับ เคยเจอสามหน”
ประคองคือชายที่ทำงานกับบริษัทนี้มาตั้งแต่รุ่นคุณตายังไม่เกษียณ เป็นคนเก่าคนแก่ที่ตาไว้ใจให้บริหารงานบริษัทเพื่อช่วยแม่ของเขา
“นั่นล่ะ เดี๋ยวเจอเขาต้องสวัสดีด้วยนะคะ”
ห้องของประคองอยู่ในชั้นถัดลงมาหนึ่งชั้น ภายในห้องไม่ต่างกันกับห้องของมนธิชาเลย มีเลขาหน้าห้องเหมือนกันอีกด้วย
เมื่อเข้าไปด้านใน จะเห็นชายวัยห้าสิบกว่าที่มีผมสีดอกเลานั่งอยู่หลังคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นท่าทางการทำงานที่น่านับถือ
“สวัสดีค่ะคุณประคอง พาลูกชายกับเพื่อนรุ่นน้องมาหาค่ะ” คุณมนธิชาเอ่ยก่อนทางนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมายิ้มทักทายและรับไหว้เด็กทั้งสองคน ประคองเดินออกมาจากหลังโต๊ะเพื่อพูดคุยให้ถนัดขึ้น
“ได้ยินว่ามาตั้งแต่เมื่อวาน เสียดายไม่ได้เจอกันเมื่อวานผมว่างอยู่”
“เมื่อวานฉันออกไปประชุมทั้งวันก็เลยไม่ทันได้พามาแนะนำน่ะค่ะ” มนธิชาเปรยขึ้น
“ครับวันนี้ผมก็ต้องออกไปประชุม ไว้วันไหนว่างมาทานข้าวด้วยกันนะเด็กๆ” ประคองพูดแล้วยิ้มให้เด็กสองคน
ทักทายกันเพียงเล็กน้อยคุณมนธิชาก็เรียกแอมเข้ามาแล้วสั่งงาน “พาสองคนนี้ไปแนะนำผู้บริหารนะ เดี๋ยวฉันจะคุยกับคุณประคองเสียหน่อย”

สุดท้ายแล้วมกรกับณัฐวีร์จึงเดินออกมาด้วยกันเท่านั้น และคุณมนธิชานั่งคุยงานกับประคองอยู่ในห้องของเขา
การเดินแนะนำตัวกับผู้บริหาร ก็เหมือนการเดินสำรวจพื้นที่ พวกเขาต้องไปแทบทุกแผนกของบริษัท ออกจากที่นั่นเข้าไปที่นี่ ผ่านห้องนั้นเข้าห้องนี้ กระทั่งล็อบบี้ตึกก็ต้องลงไป เพราะประชาสัมพันธ์อยู่ที่นั่น ต้องให้คนทั้งบริษัทรับทราบการเข้ามาทำงานของลูกชายประธานบริษัทด้วย
การเดินทักทายคนทั้งบริษัทในครั้งนี้กินเวลาไปเกือบชั่วโมง  เพราะผู้บริหารแต่ละคนก็อยากจะพูดคุยถึงนโยบายบริหารกับลูกชายท่านประธานทั้งนั้น ถึงจะยังไม่มีอำนาจใดๆในบริษัท แต่สังคมการทำงานที่ว่าด้วยการใส่หน้ากากเข้าหากัน..ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนที่มีอำนาจในมือกับคนที่อยากใช้อำนาจนั้นเพื่อให้ตนเองได้ในสิ่งที่ต้องการอยู่แล้ว
แต่มันก็ดีที่ว่า พอได้เดินด้วยกันนานๆเข้า อาการมึนตึงเมื่อเช้าก็ลดน้อยลง มกรยิ้มได้มากขึ้น และกลับมาให้ความสนใจกับณัฐวีร์เหมือนเดิมดังที่ตั้งเป้าหมายไว้
เขาเพียงแค่อยากอยู่ข้างๆ คนๆ นี้.. ต่อให้จะมีใครแล้วก็ตาม







TBC.




เริ่มสงสารแม้นศรียังคะทุกคนนนนนน (หรือยังไม่สะใจ!!)  :hao3:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21.1 [30.04.14] P.9
«ตอบ #254 เมื่อ30-04-2014 10:58:45 »

เห้ออออ แม้นศรีสู้เค้านะ

ออฟไลน์ wi_OoO_wi

  • payaaa payaaa padazz taa
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-1
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21.1 [30.04.14] P.9
«ตอบ #255 เมื่อ30-04-2014 10:59:42 »

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:เหมือนกำลังอ่านนิยายจิตๆยังไงไม่รู้อ้ะ หมดจากมาม่าก็ก็ฆาตกรรมสินะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21.1 [30.04.14] P.9
«ตอบ #256 เมื่อ30-04-2014 11:22:36 »

อ้าว แล้วพ่อแมนเขาไปไหนเสียล่ะ  ตั้งแต่มายังไม่เห็นพูดถึงเลย

ออฟไลน์ pae666

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 506
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21.1 [30.04.14] P.9
«ตอบ #257 เมื่อ30-04-2014 13:20:38 »

อ้าว แล้วพ่อแมนเขาไปไหนเสียล่ะ  ตั้งแต่มายังไม่เห็นพูดถึงเลย

คนแต่งบอกว่า พ่อแมนเป็นตำรวจ ...และตำรวจมักมาปิดท้ายเสมอ

ฝากให้ติดตามต่อไปจ้าา าา

ออฟไลน์ why yyy

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +309/-8
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21.1 [30.04.14] P.9
«ตอบ #258 เมื่อ30-04-2014 15:41:08 »

แค่นั้นก็ร้องให้ซะแล้วนะแมน


ขอบคุณ :)

ออฟไลน์ AMINOKOONG

  • ฝากติดตามนิยายด้วยนะคราฟฟฟฟ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 860
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +183/-12
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21.1 [30.04.14] P.9
«ตอบ #259 เมื่อ30-04-2014 19:53:13 »

แหม!!! คนแต่งก็ แมนมันทำเลวระยำอะไรกับนัทไว้ตั้งมากมายเลยนะ
เจอแค่นี้มันเทียบไม่ได้หรอก ยังไม่สะใจเลยเหอะ คนแต่งอย่าเพิ่งลำเอียง
มาสงสารแมนนะ แค่นี้ยังไม่พอขอหนักๆกว่านี้หน่อย เอาอีกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21.1 [30.04.14] P.9
« ตอบ #259 เมื่อ: 30-04-2014 19:53:13 »





ออฟไลน์ sakuraaom12

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21.1 [30.04.14] P.9
«ตอบ #260 เมื่อ30-04-2014 20:21:50 »

ไม่สงสารนัทคะ
เค้าสงสารแมน แต่ก็ยังไม่สะใจแมน
ทำกับนัทไว้เยอะ ขออีกๆ                 
 :z6:  :z6:

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21.1 [30.04.14] P.9
«ตอบ #261 เมื่อ01-05-2014 00:03:18 »

เจออุปสรรคแค่นี้แมนยังท้อ
ไม่นึกถึงน้องบ้างว่าเจอกับอะไรบ้าง ถึงขนาดเฉียดตายเลยทีเดียว

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21.1 [30.04.14] P.9
«ตอบ #262 เมื่อ01-05-2014 21:11:45 »

เข้มข้นตลอด เรื่องนี้

ออฟไลน์ YounIn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-8
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21.1 [30.04.14] P.9
«ตอบ #263 เมื่อ05-05-2014 14:31:21 »

ตอนล่าสุดช่วงแรกๆ ที่เข้าห้องทำงานอ่ะ เหมือนพิมพ์ชื่อสลับกันรึเปล่า


ต่อๆๆๆ สนุกดี ติดแล้วเนี่ย

ออฟไลน์ zombi

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-5
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21.1 [30.04.14] P.9
«ตอบ #264 เมื่อ05-05-2014 21:20:56 »

เริ่มเห็นใจเพราะ แม้นศรียอมไปรักษาตัวที่ต่างประเทศเพื่อน้อง
เราเข้าใจดี คนที่ต้องการความรักแล้วพยายามเรียกร้องความสนใจ
ทั้งชีวิตจะทำเพื่อตัวเอง ขอให้มีใครรัก หันมาสนใจบ้าง
แต่ครั้งนี้แม้นศรีทำเพื่อน้อง ได้ใจไปนิดนึง
สงสารที่โตมาในครอบครับแบบนี้

ออฟไลน์ pae666

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 506
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 22 [06.05.14] P.9
«ตอบ #265 เมื่อ06-05-2014 09:29:45 »

ตอนที่ 22





“นี่กลับวันไหนเหรอ..??” คำถามของแพรวทำให้ณัฐวีร์เงยหน้าขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อผ้าที่เขากำลังจัดแจงอุปกรณ์
“อาทิตย์หน้า” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “นั่งก่อนสิแพรว”
ไม่ต้องเอ่ยปากบอกว่าต้องไปนั่งลงตรงไหน แพรวก็เดินไปหย่อนตัวลงบนเตียงของณัฐวีร์เรียบร้อย เธอมองเสื้อผ้าที่กองอยู่บนเตียงแล้วหันไปถาม
“ทำไมเอาออกมาเยอะขนาดนี้ล่ะ”
กองเสื้อผ้าที่ไม่ได้ถูกพับลงกระเป๋าเกือบสิบกว่าชิ้นยังสุมกันอยู่บนเตียง
“เราเลือกไม่ถูกระหว่างชุดทำงานกับชุดไปเที่ยวน่ะสิ ตามตารางเราต้องไปดูงานแฟร์เพื่อพบผู้ผลิต กับไปประชุมกับคุณแม่..”
“หืม??..คุณแม่” แพรวเลิกคิ้วขึ้นทำหน้าล้อเลียน
“ก็คุณป้ามนให้เรียกแบบนี้ อยู่ด้วยกันมาอาทิตย์นึง เดี๋ยวป้ากับเรา เดี๋ยวแม่กับพี่แมนก็จะแลดูงงๆ เลยให้เรียกแม่ให้เหมือนๆ กัน”

แพรวมองคนพูดที่กำลังหยิบอุปกรณ์อาบน้ำจัดใส่ลงกระเป๋าเล็กแล้วก็คิด.. พี่แมนก็คืออดีตแฟนนัท.. แต่ตอนนี้เธอคือแฟนคนปัจจุบัน ถึงจะเป็นแฟนกันแต่ในนาม หากแต่คำขอร้องของคุณวีรชาติก็ยังสะท้อนอยู่ในห้วงคำนึง
“ลุงฝากนัทด้วย เขาผ่านอะไรมาเยอะแล้ว ลุงอยากให้เขาใช้ชีวิตอย่างปกติ”
คำพูดนั้นทำให้เธอตัดสินใจรับดูแล “เพื่อน” ในฐานะ “แฟน” ถึงจะรู้ว่าพี่แมนแฟนตัวจริงอยากกลับมาดูแลณัฐวีร์แล้ว.. ถึงจะรู้ว่าช่วงที่หายไปเพราะพี่แมนต้องไปรักษาตัว ..แต่คำสัญญาที่เคยให้ไว้กับผู้ใหญ่ ทำให้เธอไม่สามารถปล่อยมือเพื่อนคนนี้ได้ นอกจากเพื่อนจะเดินมาบอกเองว่า “ไม่เป็นไร.. เราโอเคกับพี่แมน”
ในอดีต ตอนที่ณัฐวีร์คบหากับมกร แพรวไม่ค่อยได้รับรู้เรื่องราวของเพื่อนเท่าไร รู้เพียงว่ามกรมาจีบ พบมกรอีกทีก็วันที่ณัฐวีร์แขนหักอยู่โรงพยาบาล พอณัฐวีร์ย้ายไปอยู่คอนโดของมกรก็ได้แต่คุยกันทางโทรศัพท์ แล้วก็มารับสายจากเชียงใหม่ จนได้เจอกันอีกทีตอนที่คุณมนธิชาย้ายณัฐวีร์จากเชียงใหม่ลงมาเข้าโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯนั่นแหละ

เธอเจอมกรบ่อยครั้งแต่ไม่ค่อยได้คุยกัน เพราะฝ่ายนั้นดูเหมือนจะจดจ่ออยู่กับณัฐวีร์เหลือเกิน เท่าที่ดูจากมุมมองในฐานะคนนอก.. มกรก็ไม่ได้แย่อะไร หล่อ รวย และเท่าที่รู้มาก็คือดูเหมือนจะรักณัฐวีร์มากจนยอมเข้ารับการรักษาทางจิต ถึงจะยื้อรออยู่เป็นปีเพื่อให้ณัฐวีร์อาการดีขึ้น แต่สุดท้ายก็ยอมไป
และเมื่อฝ่ายนั้นจากไป..การยื้อ “ความเป็นปกติ” ของณัฐวีร์ก็เริ่มขึ้น ลูกใครๆก็รักเห็นหนทางที่ลูกจะชีวิตอยู่ในสังคมได้ พ่อแม่ก็อยากจะทำ แต่ที่ยอมให้กลับมาเจอมกรอีกหน.. ก็เพราะ “ความปกติ” อาจไม่ใช่ “ความสุข” ที่ลูกจะได้รับ คุณวีรชาติจึงตกลงปลงใจยอมให้กลับมาเจอกับมกร โดยยังไม่ยกเลิกพันธะกับแพรว เพื่อวัดดูว่าลูกจะชอบแบบไหนมากกว่ากัน

เสียงปิดกระเป๋าเดินทางทำให้แพรวหยุดคิดแล้วมีสติมองณัฐวีร์มากขึ้น “พรุ่งนี้เดินทางกี่โมง?”
ชายหนุ่มในเสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นหันมานั่งขัดสมาธิประจันหน้าเธอ “ไปเช้าเครื่องออกราว 8 โมงได้ เราต้องไปถึงสนามบิน 6 โมง”
“โหเช้าจัง..”
“ก็ไปถึงนั่นเกือบเที่ยง กว่าจะผ่านตม.ออกไปโรงแรมเห็นพี่แอมบอกว่าบ่ายกว่าๆ คุณแม่มีประชุมตอนบ่ายสองครึ่ง ก็คงพอดีกัน”
“แล้วไปยังไง ให้เราขับรถไปส่งนะ”
“ตอนแรกป๊าบอกว่าจะไปส่ง แต่เมื่อกี้เพิ่งคุยไลน์กับพี่แมน เขาบอกว่าจะมารับไปพร้อมกัน นี่เลยว่าจัดกระเป๋าเสร็จจะไปบอกป๊า”
แพรวสะดุดชื่อนั้นอีกแล้ว “พี่แมนจะมารับเหรอ”
“ใช่ แพรวอยากได้อะไรไหม เราจะซื้อมาฝาก”
หญิงสาวส่ายหน้า.. “ไม่เอาหรอก นัทไปทำงานเราไม่อยากให้แบกของพะรุงพะรัง..ว่าแต่นัทอ่ะยังไงเนี่ยกับพี่แมนน่ะ..ช่วงนี้พูดถึงบ่อยจัง..เราหึงนะ”
ณัฐวีร์รับลูกทันที “เราเปล่ามีกิ๊กนะ แค่เจอกันทุกวัน มีเรื่องงานต้องคุยกันบ้าง”
“ไหนเอาไลน์มาดูสิ” เธอแบมือ
“เฮ้ย ต้องตรวจกันเลยเหรอ” ณัฐวีร์หัวเราะแต่ก็ยอมเปิดหน้าจอไลน์ของมกรให้อีกฝ่ายดู
“อะไรกัน... ให้ง่ายๆแบบนี้ไม่สนุกเลย อิดออดหน่อยเสร้”
“เล่นตัวทำไม เราบริสุทธิ์ใจ” ณัฐวีร์เห็นอีกฝ่ายรับไปเปิดดูก็เฝ้าสังเกตสีหน้าของแพรว บางทีเธอก็ทำตาโต บางทีเธอก็หัวเราะคิกคัก
“พี่ถึงบ้านแล้วครับ ขอบคุณที่วันนี้ไปทานข้าวเย็นด้วยกัน.. อะไรจะสุภาพขนาดนี้.. แล้วดูเธอตอบพี่เขา ...ไม่เป็นไรครับ วิวดี ของฟรีด้วย ผมชอบ... แล้วนี่อะไรยะ สติ้กเกอร์ตัวนี้ชั้นยังไม่เคยได้โหลดเลย เธอซื้อแล้วเหรอ”
“ไหน... อ๋อ อันนี้พี่เขาซื้อให้”
“ยังไง? ก็เดี๋ยวนี้ไลน์มันส่งกิ้ฟต์ไม่ได้แล้วนี่นา”
“ก็ พี่เขาเอาเครื่องเราไปใส่บัตรเครดิตให้ แล้วก็ทำซื้อของให้ด้วย”
“โถ...พ่อบุญทุ่ม แบบนี้รูดออพชั่นเกมได้เลยสิ เธอจะได้รันยาวๆ เจ็ดล้านแปดล้านก็ว่ากันไป” แพรวยิ้มแซวแล้วสไลด์ต่อไป “นี่คุยอะไรกันเยอะแยะ... แล้วนี่ ..เวลาทำงานด้วยนะ ส่งไปส่งมาเนี่ย”
“ก็บางทีอยู่ในห้องทำงานแล้วนั่งห่างกัน..” ณัฐวีร์เริ่มอ้อมแอ้ม ก็ไม่นึกว่าแพรวจะสังเกตไปถึงขนาดนี้ ส่วนใหญ่เขาไม่ค่อยตอบ มีแต่ฝ่ายนั้นที่ส่งสติ้กเกอร์มา เขาจะมีตอบบ้างก็แค่รูปอีโมชั่นแทนอารมณ์เท่านั้น
“ห่างกันแล้วยังไง ต้องส่งติ้กเกอร์ให้กันเหรอ.. แล้วดูอันนี้ ถามอะไรเนี่ยติงต๊องมากเลย”
“ไหน..?” ณัฐวีร์ลุกขึ้นมานั่งข้างแพรวบนเตียง
“เมื่อคืนฝันถึงพี่หรือเปล่าครับ... ห้องน้ำอยู่ไหนเนี่ยไปอ้วกแป้บ” แพรวอ่านแล้วขำกลิ้ง
“อันนี้นัทไม่ได้ตอบนะดูดีๆ” ทางนี้เริ่มร้อนตัว
“นัทน่ะดูจะไม่มีอะไร แต่ทางนั้นท่าทางจะมีอะไร” เธอว่าแล้วไถลงไปล่างสุด “เอ เราว่าเขาพูดเรื่องนี้กับนัทสองหนนะเนี่ย จะให้เปลี่ยนเป็นเรียกนัทแทนผมเนี่ย”
ณัฐวีร์ก้มเมียงมอง “ก็ แพรวรู้นี่นา..ถ้าไม่สนิทเราก็แบบนี้”
“จ้ะ พ่อคนเย็นชา..” เธอส่งโทรศัพท์คืน “ทำไมเราจะไม่รู้.. ถ้านัทโกรธล่ะก็ แม้แต่หน้านัทก็จะไม่มอง.. ไม่พูดด้วย ไม่คุยด้วย กลายเป็นอากาศไปเลย”
“นั่นต้องสุดๆจริงๆนะ”
ขณะที่ณัฐวีร์กำลังจะเก็บเครื่องเข้ากระเป๋ากางเกงเสียงไลน์ก็ดังขึ้น
“สงสัยจะคนเดิมหรือเปล่านะ..เอามาดูเร็วๆ” แพรวเอ่ยแซวพร้อมเอาศอกมาตีแขนณัฐวีร์จนเขาต้องหยิบขึ้นมาเปิดดู
ข้อความนั้นมาจากมกรจริงๆ
“อะไรไหน..จัดกระเป๋าเสร็จหรือยังครับ..” แพรวอ่านแล้วหน้าบู้
ณัฐวีร์เลยหัวเราะแล้วตอบข้อความไปเป็นสติ้กเกอร์ “Yes”
ฝ่ายนั้นส่งรูปยกนิ้วโป้งกลับมา แล้วต่อด้วยประโยคว่า “นี่ทำอะไรอยู่”
ณัฐวีร์หัวเราะเมื่อแพรวยื่นหน้ามายิ้มให้ “จะตอบยังไงดีล่ะยะ”
“แพรวว่าไงล่ะ”
“ก็ไม่รู้สินะ..” หญิงสาวยักไหล่แบมือทำท่าเชิด “ถ้าเป็นเราก็ตอบตามจริง”
“นั่งเม้าท์พี่อยู่ครับ?”
“เฮ้ย ไม่ใช่สิ!!” แพรวร้องจ้าก “ก็บอกไปว่าอยู่กับแฟน”
พวกเขาทิ้งข้อความไว้นานเกินไป ทางโน้นคงขึ้นว่าอ่านแล้วแต่รอเท่าไรก็ไม่ตอบไปเสียที ทำให้มกรส่งมาอีกครั้งด้วยคำถามที่แพรวเห็นแล้วหมั่นไส้สุดๆ
“คิดถึงพี่อยู่หรือเปล่าครับ..”
ถึงจะรู้ว่าฝ่ายนั้นเพิ่งไปบำบัดทางจิตมา แต่หญิงสาวก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยอยากปรานีคนป่วยนัก
“เอามานี่ เราตอบให้”
“เดี๋ยวสิๆ เรากำลังจะคีย์อยู่นี่” ณัฐวีร์ไม่ยอมให้โทรศัพท์ เขาส่งสติ้กเกอร์ “No” ไปให้ แล้วตามด้วยประโยคที่ว่า “คุยเรื่องของฝากกับแฟนอยู่ครับ..”
พอกดส่ง ข้อความของเขาก็ถูกอ่านทันที เหมือนว่าทางนั้นรอการตอบกลับอยู่แล้ว
“เฮ้ย กล้าว่ะ..” แพรวหัวเราะร่วน “แบบนี้สิถึงจะเป็นแฟนที่ดี ให้เกียรติผู้หญิง น่ารักมาก” หญิงสาวยื่นมือมาดึงแก้มณัฐวีร์ยืดเล่นเหมือนที่เคยทำเป็นประจำ
“อ้าว ไม่งั้นเดี๋ยวแพรวเลิกเป็นแฟนเรา เราก็แย่สิ ถูกผู้หญิงทิ้งเท่ที่ไหนล่ะ”
“ทำไม แกจะทิ้งผู้หญิงก่อนหรือไง หนอย” ว่าแล้วเธอก็หักมือกร็อบแกร็บแล้วยีหัวณัฐวีร์เล่นจนพากันหัวเราะร่วนไปทั้งคู่ กระทั่งหายเหนื่อยนั่นแหละถึงได้กลับมาดูไลน์กันอีกทีแล้วก็พบข้อความเพียงว่า
“พี่ไม่กวนแล้ว เจอกันพรุ่งนี้ 6 โมงเช้านะครับ”
ซึ่งเป็นข้อความที่ส่งมาหลังจากอ่านข้อความของณัฐวีร์ไป 5 นาที
.
.
.
.
.

มือถือรุ่นใหม่ถูกกำแน่นจนมือที่กำอยู่ขึ้นข้อขาว ชายหนุ่มเงื้อมันขึ้นสูงทำท่าจะคว้างเข้าผนังห้องแต่ก็ยั้งไว้.. ในเครื่องนี้มีข้อความที่สำคัญกับเขา มีรูปถ่าย มีความทรงจำมากมายที่เขายังไม่ได้เก็บข้อมูลไว้
มือนั้นค่อยๆคลายออกปล่อยให้โทรศัพท์หลุดร่วงแล้วหันไปหยิบสมุดเล่มเล็กที่วางอยู่ตรงหัวเตียงออกมากาง เขากำปากกาหนึ่งแท่งที่อยู่ตรงนั้นแล้วขีดเส้นเขียนรูประบายอารมณ์ที่คลุ้มคลั่งของตนเองออกมา
“คุยอยู่กับแฟน..คุยอยู่กับแฟน!”
เสียงกระแทกตอนท้ายมาพร้อมกับการกดปากกาในมือลงไปบนสมุด กดจนมันลึกทะลุไปอีกหน้าขาดจนทะลุเลยไปหลายหน้า ระบายความอึดอัดที่อยู่ข้างในออกมาอยู่อย่างนั้นนานเกือบสิบนาที
“คุยอยู่..กับ..”
ช่วงท้ายประโยคนั้นมีเสียงสั่นเครือและหายเข้าไปในคอ น้ำตาหยดหนึ่งตกลงต้องหลังมือที่กำปากกาแน่น..แล้วมันก็หยดไหลลงมาเรื่อยๆอยู่อย่างนั้นเกือบครึ่งชั่วโมง..ก่อนที่ชายหนุ่มจะพลิกกระดาษเปล่าหน้าถัดไปแล้วเริ่มเขียนในสิ่งที่ต้องการออกมา
“มะม่วง.. วันนี้พ่อแมนหงุดหงิดมากครับ..”
แล้วชายหนุ่มก็จมอยู่กับการเขียนในสมุดที่มีรอยฉีกขาดนานเป็นชั่วโมง
.
.
.
.
.

ท้องฟ้าของเวลาตีห้ายังครึ้มเมื่อรถอัลพาร์ดคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดที่หน้าร้าน ณัฐวีร์ชะเง้อดูคนที่ก้าวลงมาจากรถแล้วตะโกนบอก
“ป๊า รถมาแล้วนัทไปแล้วนะ” เขาหันมาหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นสะพาย แล้วจัดการกระเป๋าลากเตรียมพร้อม
มกรที่ก้าวลงมายืนอยู่ข้างรถใส่กางเกงยีนส์สีเข้ม เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอมเขียวลวดลายกราฟฟิกสวยปล่อยชายเสื้อและพับแขนขึ้นเกือบถึงข้อศอก ผมถูกเซ็ทไว้อย่างดี ที่ใบหน้านั้นมีแว่นสีควันบุหรี่บดบังดวงตา..เพื่อปกปิดอาการบวมของดวงตาไว้
คุณวีรชาติเดินตามลูกชายมาด้านหลัง ส่วนณฐกายังไม่ตื่นเพราะส่วนใหญ่ร้านจะเปิด 11 โมง และปิดเกือบ 5 ทุ่มกว่าจะเคลียร์บัญชีและจิปาถะเรียบร้อยก็ตี 2 เธอจึงจะนอนพักถึง 8 โมงเช้าแล้วค่อยตื่นมาเตรียมร้าน
แต่ก็ออกจะแปลกสักหน่อยที่เธอไม่ได้ตื่นมาส่งเขาวันนี้ มีป๊าคนเดียวที่ลุกมาส่งถึงรถ ณัฐวีร์คิดอย่างเป็นกังวล เขากลัวว่าแม่จะไม่สบายไปเพราะช่วงนี้ดูแม่เพลียๆ
“แม่เขาฝากบอกว่าไปดีๆ เดี๋ยวกลับมาจะทำอาหารอร่อยๆให้กิน”
“ครับไม่เป็นไร ฝากป๊าดูแม่ด้วยนะครับแม่เขาดูเพลียๆ แล้วนัทจะโทรมาหาบ่อยๆ” ณัฐวีร์ยกมือไหว้ลาบิดา คุณวีรชาติพยักหน้ารับตบไหล่ลูกชายเบาๆ ก่อนจะหันไปรับไหว้มกร “ฝากนัทด้วยนะ ไม่ค่อยได้ไปไหนไกลๆ นี่เพิ่งจะหนที่สองที่ออกนอกประเทศ”
“ไม่ต้องห่วงครับ ไปกันหลายคน ผมเองก็คงไม่ได้แยกกับน้องไปดูงานที่อื่น..จะดูแลให้อย่างดีครับ..” มกรตอบแล้วหันมายิ้มให้ณัฐวีร์
พวกเขาเอ่ยลากันอีกเล็กน้อยเพื่อรอให้คนขับรถเอากระเป๋าของณัฐวีร์ขึ้นเก็บ แล้วมกรก็วางมือตรงส่วนหลังณัฐวีร์เพื่อส่งสัญญาณว่าถึงเวลาแล้ว
“เดี๋ยวก่อน!” เสียงตะโกนมาแต่ไกลเป็นเสียงหญิงสาวที่วิ่งมาจากอีกฟากของซอย “นัทรอแพรวก่อน”
คนถูกเรียกชะงักเท้าที่จะก้าวขึ้นรถแล้วก็เลยหันมายิ้มให้เพื่อนที่วิ่งถือถุงกระดาษใบย่อมเข้ามาหา
“โหยนึกว่าไม่ทันแล้ว” แพรวยืนหอบอยู่ข้างๆมีณัฐวีร์หัวเราะไปลูบหลังเพื่อนไป
“ไม่บอกว่าจะตื่นมาส่ง เราจะได้โทรปลุก”
“จุ๊ๆๆ เด็กน้อย..” แพรวส่ายนิ้วตรงหน้า “ไม่ใช่แค่ตื่นมาส่งนะคะ นี่มีแซนวิชแฮมเอ็กซ์ตร้าชีสที่เธอชอบมาให้ด้วย”
ว่าแล้วหญิงสาวก็ยื่นถุงกระดาษส่งมาให้
“ขอบคุณมากเลย ดีใจนะเนี่ย..” ณัฐวีร์รับถุงมาเปิดส่องดู พอเห็นว่าในถุงมีอยู่หลายชิ้นก็เงยหน้าขึ้นมอง
“ก็จะได้แบ่งๆ คนอื่นด้วยไง..” เธอส่งสายตาเป็นอันรู้กันว่าจะให้แบ่งเพื่อนร่วมทริปด้วย
“อ้อ.. ทำชดเชยความผิดเมื่อวานหรือเปล่าเนี่ย” อันนี้ณัฐวีร์กระซิบถาม อีกฝ่ายเลยหัวเราะ
“เบื่อคนรู้ทัน..” ว่าแล้วหญิงสาวก็ดึงแก้มนุ่มของณัฐวีร์เสียเลย
“นัท เดี๋ยวจะไม่ทันนะครับ..” มกรร้องเรียกแล้วผลุบเข้ารถไปก่อนเลย
พอเห็นแบบนั้นแพรวก็หันมากลอกตาใส่ณัฐวีร์ “รีบไปเถอะเธอ ฉันไม่ได้อยากมาสร้างศัตรูตอนนี้”
ณัฐวีร์หัวเราะ “แล้วแกมาเสนอหน้าทำไมวะเนี่ย” ว่าแล้วเจ้าตัวก็โยกหัวอีกฝ่ายเล่นเบาๆ “เอาล่ะ เดี๋ยวจะซื้อของมาปลอบใจนะ ไม่ต้องกังวลไป”
“ขอบใจ โคลอนมะม่วง กับทาร์ตไข่นะเธอ”
“ไหนเมื่อวานใครบอกไม่เอาของฝากไง”
“ชิ..แลกกับแซนวิช” หญิงสาวรุนหลังเพื่อนแล้วเดินมาส่งถึงรถ เธอยกมือไหว้คุณมนธิชาที่นั่งอยู่ในรถ และเลยไปถึงมกรด้วย ก่อนจะถอยออกให้คนขับปิดประตูอัตโนมัติเสีย
“ขอบใจนะน้องแพรว” คุณวีรชาติเอ่ยขึ้นขณะมองตามรถไป
หญิงสาวเองก็ยิ้มกว้างขึ้น “ด้วยความยินดีค่ะคุณลุง.. เพื่อนหนู หนูก็หวง จะมาจีบเอาไปง่ายๆเหมือนครั้งแรกนี่อย่าได้หวัง ต้องผ่านด่านอรหันต์ของแพรวก่อนล่ะ”
แล้วเธอก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
.
.
.
.
.

ถึงสุวรรณภูมิจนพบกับทีมงานเรียบร้อยแล้ว ณัฐวีร์ก็ยังไม่เห็นว่ามกรจะพูดอะไรสักแอะ ชายหนุ่มนั่งเมินมองออกไปนอกกระจกตลอดเวลาแม้ว่าเบาะนั่งจะไม่ได้ติดกัน แต่ก็นั่งอยู่ในแนวเดียวกัน น่าจะหันมาคุยกันบ้าง นี่เล่นทำตัวอึมครึมตั้งแต่ยังไม่ได้ออกนอกประเทศแบบนี้มีหวังจะน่าเบื่อทั้งทริปแน่ๆ
“นัท..” คุณมนธิชาเรียกขณะที่กำลังรอทีมงานเอาเอกสารและกระเป๋าไปเช็กอิน
“ครับคุณแม่..”
“นัทไปดูพี่แมนให้แม่มนหน่อย เมื่อเช้าเห็นบ่นว่าปวดหัวเจ็บตา ถามให้ทีว่าเขาอยากได้ยาไหม...”
อ๋อ.. ไม่สบายนี่เอง ถึงว่าเงียบๆ ณัฐวีร์คิดพลางยิ้มตอบ “ได้ครับ”
เขาหมุนมองแล้วก็พบว่าฝ่ายนั้นยืนดูโทรศัพท์อยู่ไม่ห่างไปมากนัก แต่พอจะก้าวไปมือนุ่มๆของคุณมนธิชาก็คว้าถุงกระดาษที่มีแซนวิชเอาไว้ “เดี๋ยวอันนี้แม่ให้แอมเขาถือไปให้ เราจะได้ไม่ต้องห่วง”
“ครับ..” ณัฐวีร์ปล่อยถุงไปอย่างงงๆ แต่ก็ไม่ทันได้คิดอะไรหรอก เขาเดินไปหามกร พอหยุดตรงหน้าฝ่ายนั้นแล้วก็เอ่ยถามขึ้น “พี่แมนไม่สบายหรือ?”
คนตัวสูงเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์ พอเห็นว่าเป็นใครถามก็เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกง
“นิดหน่อย ปวดหัวกับตา..”
“ไปทำอะไรมา มีไข้หรือเปล่าครับ” ณัฐวีร์ถามแล้วกระชับสายเป้หลังอย่างไม่รู้จะเอามือไปวางไว้ที่ไหน
จริงๆเขาก็รู้สึกแปลกๆทุกครั้งที่อยู่กันลำพังกับมกร.. มันเป็นความรู้สึกเคอะเขินและตะขิดตะขวงใจอย่างไรบอกไม่ถูก  จนบางทีเหมือนว่าจะวางตัว วางแขนวางขาได้ไม่ถนัดเลยด้วยซ้ำ
พอไม่ได้คำตอบจากที่ถามเมื่อครู่ ณัฐวีร์เลยตั้งคำถามใหม่ “นี่จัดการยาไปบ้างหรือยังล่ะครับ”
“ไม่ค่อยอยากกินยาเท่าไหร่ เดี๋ยวมันจะเคยชิน.. มีไข้ไหมก็ไม่รู้ตัวหรอก รู้แต่ว่ามันเหนื่อยๆเพลียๆ”
“แบบนี้จะไปทำงานไหวเหรอ”
“ไม่รู้สิ.. ไปถึงวันนี้บ่ายก็มีประชุมเลยนี่นะ” ชายหนุ่มพึมพำ
“ผมว่าเสื้อพี่มันบางไปนะ เอาตัวนี้คลุมไหล่ไว้หน่อยดีกว่า แล้วเดี๋ยวเข้าไปด้านในค่อยหาอะไรอุ่นๆดื่ม ผมไม่รู้ว่าข้างในมีร้านยาไหม”
ชายหนุ่มรับเอาเสื้อแขนยาวที่ณัฐวีร์พาดไหล่อยู่มาคลุมบนไหล่ตัวเองแล้วใบหน้านั้นก็เริ่มมีรอยยิ้มบางๆ “ข้างล่างมีร้านยา.. ถ้านัทสะดวก..พาพี่ลงไปซื้อยาหน่อยได้ไหม”
พออีกฝ่ายขอร้องมาแบบนี้ ณัฐวีร์เลยได้แต่พยักหน้ารับ
“เดี๋ยวไปบอกแม่ก่อน” มกรรีบเดินไปบอกมารดาตัวเองทำให้คนที่มองตามถึงกับรู้สึกสงสารในใจ นี่คงจะปวดหัวมากสินะ รีบจนจะเป็นวิ่งแบบนั้นน่ะ..
.
.
.
.
.

การผ่านกระบวนการตรวจหนังสือเดินทางเข้ามาสู่ด้านในท่าอากาศยานเป็นเรื่องง่ายขึ้นเมื่อมีออโต้เกทสำหรับคนไทย ดังนั้นทั้งกลุ่มที่มีกัน 7 คนจึงใช้เวลาน้อยมาก และมีเวลาเหลือเฟือมากที่จะไปเดินซื้อสินค้าในร้านปลอดภาษี บางคนที่ไม่รู้จะซื้ออะไรดี ก็เลยแยกไปหาที่นั่งทานอาหารเช้า หรือกาแฟรองท้องก่อนขึ้นเครื่อง
“อืม.. คนน้อยดี” คุณมนธิชาหันมาบอกลูกสองคนแล้วพาเดินเข้าไปยังภายในเล้าจน์ เบาะหนังสีม่วงจัดวางไว้แยกเป็นสัดส่วนด้วยผนังกั้น จอโทรทัศน์กำลังมีข่าวเช้า โชคดีว่าช่วงที่เข้าไปคนยังน้อย จึงสามารถเลือกที่นั่งได้ตามสะดวก
ณัฐวีร์เดินตามคุณมนธิชาเข้าไป แล้วปิดท้ายขบวนด้วยมกร และเพราะทั้งสามคนได้รับการอัพเกรดที่นั่งเป็นชั้นธุรกิจ จึงเป็นเรื่องสะดวกสบายแค่โชว์บอร์ดดิ้งพาสเท่านั้น
แต่ด้วยความที่ณัฐวีร์ยังไม่เคยเข้ามาที่เล้าจน์ของการบินไทย เขาจึงดูตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เห็นอยู่นี่ไม่น้อย
“หิวไหม?”
เสียงกระซิบข้างหูทำให้เขาตัวเกร็งขึ้นมาทันที สายตาเหลือบดูนาฬิกาดิจิตอลที่อยู่ตรงข้างฝา..เพิ่งจะ 6.45 น. ซึ่งน่าจะง่วงมากกว่าหิว
ณัฐวีร์ส่ายหน้าแล้วทรุดนั่งลงฝั่งตรงข้ามมนธิชา ไม่มองซ้ายมองขวาอีก
“เอ๊ะ หรืออยากเข้าไปตรงส่วนที่มีของเล่น” มกรเย้าพลางก้าวมานั่งลงข้างๆกันทำให้คุณมนธิชาถึงกับเอ่ยปราม
“ไปแกล้งน้อง..” เธอยิ้มให้กับณัฐวีร์ “ไปหาอะไรทานรองท้องเสียหน่อยก็ดีนะนัท กาแฟ หรือน้ำผลไม้ตรงโน้นก็มี แมนนั่นแหละพาน้องไป”
“ไปกัน..” ไม่พูดเปล่า มกรยังคว้าเอามือของณัฐวีร์แล้วลุกดึงให้เดินตามด้วย ทำให้เขาต้องลุกไปโดยปริยาย
ในเล้าจน์นั้นมีอาหารประเภทโจ๊กไก่ พาย ครัวซอง แฮม ไส้กรอก และสลัดบาร์อยู่ด้วย ตอนแรกที่ว่าไม่หิวๆ พอเดินผ่านได้กลิ่นอาหารก็เลยต้องจัดมากันคนละอย่างสองอย่าง
“เอาอะไรไปให้คุณแม่ด้วยไหมพี่” ณัฐวีร์เอ่ยถาม
“ให้เขามาเอาเองสิ” มกรบอกแล้วทำท่าจะถือจานขนมทั้งของเขาและณัฐวีร์ไป
“ไม่ได้ครับ.. นั่นคุณแม่นะ” ทางนี้เองก็ไม่ยอม ยื้อแขนร่างสูงให้หันมาคุยกัน
“ก็...ไม่รู้จะเอาอะไรให้เขา” มกรหลุบตาลงมองจานขนมในมือ ทำท่าเหมือนเด็กที่ถูกผู้ใหญ่ดุจนอีกฝ่ายมีท่าทีอ่อนลง
“แบบนี้แล้วกัน เดี๋ยวเอาพายทูน่าไปเพิ่มอีกชิ้น แล้วนัทจะถือน้ำส้มไปให้คุณแม่ด้วย.. คุณแม่ชอบดื่มน้ำส้มไหมครับ”
“ไม่รู้สิ..” มกรตอบด้วยความไม่รู้จริงๆ พวกเขาไม่เคยได้ทานข้าวเช้าร่วมกันมาเป็นสิบปี เพิ่งจะได้มีมื้ออาหารเหมือนครอบครัวคนอื่นก็ราวๆ สองอาทิตย์นี่เอง
ณัฐวีร์ขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร บางเรื่องเป็นส่วนตัวเกินกว่าเขาจะก้าวล่วงเข้าไป
“งั้นลองอันนี้แล้วกันนะครับ” ณัฐวีร์คีบเอาพายมาใส่เพิ่มในจาน แล้วมองไปมองมาไม่เห็นถาด ก็เลยรวบเอาแก้วน้ำส้มสำหรับสามคนขึ้นมาถือเดินนำไปเลย สะดวกดี
พอนั่งลงได้ณัฐวีร์ก็ยื่นจานขนมกับแก้วน้ำส้มออกไป “คุณแม่ นี่พี่แมนให้เอามาฝากคุณแม่ครับ”
คุณมนธิชามองลูกชาย พอเห็นใบหน้านั้นแดงขึ้นเธอก็ยิ้ม “ขอบใจนะแมน”
ความที่ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดมารดานัก พอมาเจอกันแบบนี้ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ มกรจึงมีอาการเคอะเขินบ้าง ยิ่งเห็นมารดาหยิบอาหารและน้ำไปดื่มอย่างเอร็ดอร่อยเขาก็ยิ่งรู้สึกขอบคุณณัฐวีร์มากขึ้น..
พออาหารตรงหน้าเริ่มพร่องลง ณัฐวีร์ก็เอ่ยขึ้น “พี่แมนถอดแว่นไหมครับ? ในนี้แสงไม่จ้ามากเผื่อจะได้หยอดยา”
เขาถามพร้อมกับหยิบถุงยาที่ไปซื้อด้วยกันออกมาจากเป้ เมื่อครู่ได้มาทั้งยาแก้ปวดและยาหยอดตาเพราะคนป่วยบอกว่าปวดหัวและเจ็บตา
มกรทำท่าชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะยอมยกมือขึ้นถอดแว่นออก
“โห.. ตาบวมเป่งเลย” ณัฐวีร์ร้องพลางชะงักการเปิดขวดยาหยอดตา “แบบนี้ไปหาหมอไม่ดีกว่าหรือครับ..”
มกรส่ายหน้า ถึงจะรู้ว่าในแอร์พอร์ตนี้มีสถานพยาบาลของโรงพยาบาลชั้นนำมาเปิดฮับอยู่ด้วย แต่..อาการของเขามันไม่ใช่เรื่องต้องไปหาหมอ.. จริงๆแค่ประคบเย็น นอนพักสายตาสักชั่วโมงก็น่าจะดีขึ้น เพราะเมื่อคืน..ร้องไห้หนักไปหน่อย แถมยังนอนน้อย ตาเลยบวมตุ่ยอย่างที่เห็น
“ไม่เป็นไร ..ไว้ถ้าไปฮ่องกงแล้วไม่ดีขึ้นค่อยพาไปหาหมอก็ได้” คุณมนธิชาเอ่ยบอก..เธอรับรู้ว่าลูกชายมีเรื่องตั้งแต่เมื่อวาน นั่นเองที่ทำให้เธอเจ้ากี้เจ้าการอะไรหลายๆอย่างกับณัฐวีร์
“แบบนั้นเอายาไปหยอดก่อนแล้วกันนะครับ แล้วก็ทานยาแก้ปวดนี่ด้วย..” ณัฐวีร์แกะยายื่นไป แล้วจึงส่งยาหยอดตาไปให้เมื่อเห็นอีกฝ่ายจัดการยาเม็ดเรียบร้อยแล้ว “งั้นงีบไปสักครู่ไหมครับ เผื่อจะดีขึ้น”
เห็นอีกฝ่ายห่วงเขาแบบนั้น มกรก็รู้สึกเต็มตื้นขึ้นในอก เขายิ้มพลางบีบมืออีกฝ่ายเบาๆเป็นการขอบคุณ แล้วจึงขยับตัวเล็กน้อยทิ้งศีรษะอิงเข้ากับพนัก
“เอาแว่นมานี่ครับเดี๋ยวผมเก็บไว้ให้ก่อน ..” ณัฐวีร์บอกเบาๆพลางโน้มตัวไปหยิบเอาแว่นตาที่อีกฝ่ายวางไว้บนที่พักแขนมาใส่กระเป๋า
ลมที่พัดผ่านเบาๆทำให้มกรสูดหายใจเข้าลึก.. มันเป็นกลิ่นหอมที่เขาคุ้นเคย กลิ่นโคโลญจน์ที่ณัฐวีร์ชอบใช้เป็นประจำตอนที่พวกเขาเคยอยู่ด้วยกัน..
คิดถึงจัง.. อยากกอดไว้แน่นๆ
ไม่อยากปล่อยไปไหนอีกแล้ว
แต่ถ้าณัฐวีร์มีคนอื่นอยู่แล้ว..เขาควรทำอย่างไรดี.. ทำเหมือนเมื่อก่อน อยากได้อะไรต้องได้ดีไหม? ชายหนุ่มขมวดคิ้วส่ายหน้า ไม่ดี ทำเหมือนเมื่อก่อนไม่ช่วยอะไรเลย ไม่มีอะไรดีเลย
เขาต้องเปลี่ยนตัวเองสิ ถ้าอยากให้ใครมารัก เขาก็ต้องรักคนนั้นก่อน รักอย่างไม่มีเงื่อนไขด้วย









TBC.


ออฟไลน์ wi_OoO_wi

  • payaaa payaaa padazz taa
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-1
Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 22 [06.05.14] P.9
«ตอบ #266 เมื่อ06-05-2014 09:38:06 »

แม้น แกอย่าไปฆ่าใครนะ แกเป็นพระเอกนะ  :katai1: :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 22 [06.05.14] P.9
«ตอบ #267 เมื่อ06-05-2014 13:49:35 »

ถ้ายังอยากเป็นพระเอกอยู่ต้องทำให้ได้น่ะแมน

ออฟไลน์ why yyy

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +309/-8
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 22 [06.05.14] P.9
«ตอบ #268 เมื่อ07-05-2014 11:28:56 »

คิดได้ ต้องทำได้ด้วยนะแมน


ขอบคุณ :)

ออฟไลน์ แป้งข้าวหมาก

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-1
Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 22 [06.05.14] P.9
«ตอบ #269 เมื่อ07-05-2014 11:49:31 »

สู้ๆละกันนะแม้น เห็นแก่ที่อดทนมาตลอด
เราจะเอาใจช่วยด้วยละกัน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด