พิมพ์หน้านี้ - "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: pae666 ที่ 24-10-2013 22:00:44

หัวข้อ: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 24-10-2013 22:00:44
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0)

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ


3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com (http://www.thaiboyslove.com)  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป


12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail


16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


*****************************************************************************************

เรื่องนี้ได้รับอนุญาตจากเจ้าของเรื่องให้นำมาลงที่เล้า แล้วนะคะ

หลังจากเป็นนักอ่านมานาน ขอแบ่งปันเรื่องที่ชอบมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านบ้างนะคะ ^^
ฝากนิยายเรื่องใหม่ด้วยค่ะ  :mc4:


ตามไปให้กำลังใจคนแต่งได้ค่ะ ที่ FB http://www.facebook.com/pages/Morse/120230658164895

#############

มีเวลาว่าง(มาก) เลยลองทำสารบัญมาให้ค่ะ จะได้อ่านกันง่ายขึ้น ^^

สารบัญ
ตอนที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2523086#msg2523086)
ตอนที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2525370#msg2525370)
ตอนที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2530535#msg2530535)
ตอนที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2533335#msg2533335)
ตอนที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2538584#msg2538584)
ตอนที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2545269#msg2545269)
ตอนที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2551606#msg2551606)
ตอนที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2558461#msg2558461)
ตอนที่ 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2563828#msg2563828)
ตอนที่ 9.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2569482#msg2569482)
ตอนที่ 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2574408#msg2574408)
ตอนที่ 10.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2577990#msg2577990)
ตอนที่ 10.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2582841#msg2582841)
ตอนที่ 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2586122#msg2586122)
ตอนที่ 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2597144#msg2597144)
ตอนที่ 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2597147#msg2597147)
ตอนที่ 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2613160#msg2613160)
ตอนที่ 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2620729#msg2620729)
Special Part : Late Valentine's Day (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2626875#msg2626875)
ตอนที่ 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2627657#msg2627657)
ตอนที่ 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2638028#msg2638028)
ตอนที่ 18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2638031#msg2638031)
ตอนที่ 19(End) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2638034#msg2638034)


ตอนที่ 20 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2681811#msg2681811)
ตอนที่ 21 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2686859#msg2686859)
ตอนที่ 21.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2691325#msg2691325)
ตอนที่ 22 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2697382#msg2697382)
ตอนที่ 23 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2707452#msg2707452)
ตอนที่ 24 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2719622#msg2719622)
ตอนที่ 25 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2727325#msg2727325)
ตอนที่ 26 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2736647#msg2736647)
ตอนที่ 27 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2743645#msg2743645)
ตอนที่ 28 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2767640#msg2767640)
imageพี่แม้นกะน้องนัท (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2769448#msg2769448)
ตอนที่ 29 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2883023#msg2883023)
ตอนที่ 39.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2883103#msg2883103)

imageแม้นนัท(ภาคแรก) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2899294#msg2899294)

ตอนที่ 30 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2903602#msg2903602)
ตอนที่ 31 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2905386#msg2905386)
ตอนที่ 32 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2920901#msg2920901)
ตอนที่ 33 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2924016#msg2924016)
ตอนที่ 34 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2951357#msg2951357)


#################
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพตอน 29 (23.11.14) โดย morse moskito
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 24-10-2013 22:17:13
ตอนที่ 1





“มึงกล้าป่ะล่ะ”
“ไอ้สัตว์ มึงนั่นแหละกล้าดียังไงมาท้ากู” มกรหันไปด่าเพื่อนร่วมโต๊ะด้วยใบหน้ากระหยิ่มและรอยยิ้มที่แสนเจ้าเล่ห์ “วางเงินมาเลย แล้วพวกมึงเอาด้วยไหมเนี่ย ลงๆมาอย่าทำให้กูเสียเวลาเปล่า”
“เหี้ยแมน..พวกกูไปเกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย”
“มึงด่าไอ้เวรแชร์โน่น ต้นคิดดีนัก”
คนโดนโบ้ยหัวเราะระรื่น “ก็มึงดูน้องเขาสิวะ มองไอ้มะกอนของเราตาไม่กะพริบเลย ของแบบนี้เสนอมามันก็น่าจะสนองไม่น้อยนะ”
“ไอ้เหี้ย..พวกมึงนี่มันเลวจริง..” คนด่าหัวเราะผสมไปด้วย “แต่กูเพื่อนมึง กูเลวได้มากกว่ามึงว่ะเพื่อน ฮ่าฮ่า กูลงห้าหมื่นข้างมึงไอ้แมน”
“โหย ไอ้สัตว์ป้อด แม่งเปิดซะสูงเลย แล้วกูจะเอาเชี่ยไรไปลง กูแปะไว้ก่อน ห้าก็ห้า ข้างไอ้แมนเหมือนกัน”
“อ้าว ไอ้ปังตอ ไม่มีหมอบได้นะเว้ย กูไม่ได้บีบคอให้มึงมาตามกูหรือเกกูซะหน่อย” ป้อดปอดแหกของเพื่อนๆโวยด้วยเสียงระรื่นไม่ต่างกัน
“อ่ะๆ อย่าเพิ่งตีกันเด็กๆ ..ไอ้แชร์ คนอื่นเขาลงห้าหมื่น มึงตัวท้า ต้นคิด มึงต้องแรงกว่า.. เท่ากับตรงนี้กูสามคนแสนห้า มึงว่ามาว่ามึงเท่าไหร่” แมน ในฐานะผู้รับคำท้าเริ่มโต้กลับเช่นกัน
“ได้.. กูลงแสนห้าเลยไอ้สัตว์ แต่กูมีเงื่อนไข.. มึง ไอ้แมน.. หนึ่งอาทิตย์มึงต้องได้มัน หนึ่งเดือนมึงต้องเอาให้อยู่ สามเดือนกูถึงจะให้เลิก.. และ..กูเลือกคนให้”
“เฮ้ยเชี่ย.. เกิดมึงเลือกหน้าตาผีห่าขึ้นมากูไม่เดือดร้อนเหรอไอ้สัตว์”
“แล้วมึงจะเอาไหมล่ะแสนห้าของกูเนี่ย”
“กูไม่เดือดร้อน ไม่ได้เงินมึงกูก็มีแดก ไอ้แชร์” หนุ่มแมนด่ากราดแล้วยักคิ้วเอนตัวพิงลงกับเก้าอี้ไม้ขัดเงาตัวสวยในร้านกาแฟหรู
“มึงป้อดปอดแหกพอๆกับไอ้ป้อดปอดแหกนั่นแหละ” แชร์ยกมือขึ้นปัดไปมาตรงหน้าเพื่อน
“สัตว์แชร์” คนถูกกวนประสาททะลึ่งตัวขึ้นมาโบกหัวเพื่อน “ใครว่ากูป้อด.. เห็นแบบนี้กูก็เลือก”
“เออๆ เอาแบบนี้แล้วกัน กูเลือกให้มึงสองคน มึงเลือกเอาจะเล่นกับใคร แฟร์พอยัง”
“เออ แบบนี้ค่อยยังชั่ว.. นิสัยเหี้ยๆอย่างมึงอ่ะไม่เลือกของดีมาให้กูหรอก กูรู้”
“และนิสัยเลวๆอย่างมึงไอ้มะอึก กูก็รู้ว่ามึงไม่มีทางปล่อยไอ้เรื่องท้าทายแบบนี้ไปหรอก .. มึงมันขี้เอาชนะ”
“เออ กูมันขี้เอา และชอบเป็นผู้ชนะเสียด้วย”
“กูจะคอยดู..” ว่าแล้วชายทั้งสี่คนก็หันไปมองกลุ่มสาวน้อยที่โต๊ะถัดไปซึ่งก็มองกลับมาที่โต๊ะหนุ่มหล่อด้วยเช่นกัน
.....
ณัฐวีร์ลอบถอนหายใจเมื่อมองลงไปจากห้องเรียนแล้วเห็นว่ามีรถ BMW สีดำทะมึนจอดอยู่หน้าโรงเรียนเหมือนเช่นสองสามวันที่ผ่านมา
รถคันนี้เป็นของพี่แมน.. เขาพบกับชายคนนั้นที่ร้านกาแฟในห้างดังแถวสยามสแควร์ วันนั้น พวกเพื่อนนัดกันไปทำรายงาน.. เหมือนจะดูดี แต่จริงๆมันก็คือไปนั่งสุมหัวเม้าท์ และเมื่อถึงเวลาก็ไปเดินเล่นแล้วแยกย้ายไปตามกิจกรรมของตัวเอง มันคือข้ออ้างออกจากบ้านของเพื่อนๆเท่านั้นแหละ
เพื่อนกว่าสิบคนในกลุ่ม มีทั้งสาวน้อยหน้าตาน่ารักที่มีดีกรีเป็นถึงดรัมเมเยอร์ของโรงเรียน เด็กหนุ่มหน้าตาดีรูปร่างสูงมีกล้ามเนื้อสวยเพราะเป็นนักกีฬาแบดมินตัน หรือจะเป็นเพื่อนเพศที่สามที่เป็นประธานกิจกรรม ซึ่งสรุปได้ว่ามีหลายคนในกลุ่มที่โดดเด่นกว่าเขามากนัก..
แต่กลายเป็นว่าวันนั้น พี่แมน..เดินเข้ามาขอเบอร์เขา.. นายณัฐวีร์ คนที่หน้าตาธรรมดาสุดๆ รูปร่างก็แคะแกรน ตัวเล็กๆผอมๆ จะดีหน่อยก็แค่เขามีผิวขาวและหน้าตาสะอาด... สะอาดจริงๆ ป่านนี้หนวดยังไม่ขึ้นเลย น่าเจ็บใจตัวเองนัก เกิดเป็นผู้ชายเสียเปล่าดันมีแค่อาวุธเป็นชาย นอกนั้นหาความแมนไม่ได้เล้ย
หลังจากพี่แมนได้เบอร์แล้วก็ออกไปจากร้าน ทิ้งให้เขาอยู่กับเสียงกร่นด่าด้วยความอิจฉาของเพื่อนๆ และไม่นานจากที่พี่แมนลุกออกไป พี่ก็โทรเข้ามาเพื่อขอนัดรับเขากลับบ้าน.. ซึ่งแน่นอนว่าเขาปฏิเสธไปอย่างนุ่มนวล
ไม่ใช่เพราะเล่นตัว ไม่ใช่เพราะกลัว.. แต่มันไม่ใช่.. เขาไม่เคยเชื่อเรื่องรักแรกพบ ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะมีความสนใจในเพศเดียวกันเพียงแค่ได้สบตาใคร โอเค นายณัฐวีร์ไม่เคยกำหนดเพศของแฟน (เอาตรงๆก็ไม่เคยมีแฟนมาก่อนในชีวิต เพราะหน้าตาไม่ได้เรื่อง รูปร่างไม่ได้โดดเด่น นิสัยก็เงียบๆ ถ้าจะไปจีบใครก่อนคงมีกัดลิ้นตอนพูดจีบกันบ้างล่ะ) แต่ก็ไม่เคยเปิดกว้างในเพศเดียวกันมาจีบแบบนี้
ถึงเขาจะไม่มีสเปคแฟนมาก่อนเลย แต่การเข้าหาของพี่แมนทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจ ไม่สบายตัว และรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างที่มันเร่งรีบเกินกว่าที่คนซึ่งสนใจจะเรียนรู้และใช้ชีวิตร่วมกันจะต้องเข้าหากันขนาดนี้
ขนาดไหนน่ะเหรอ..?
ก็ขนาดมีข้อความเข้าโทรศัพท์เขาทุกชั่วโมง มีโทรปลุก โทรหาเพื่อเตือนทานข้าวเที่ยง โทรบ่ายเพื่อนัดรับไปเที่ยว หรือพากลับบ้าน และโทรดึกเพื่อถามสารทุกข์ก่อนจะกล่าวราตรีสวัสดิ์ดั่งแฟนในอุดมคติพึงกระทำ สามวันมานี้เขามีอาหารมาให้ ขนมมาเลี้ยงเลยเถิดถึงเพื่อนฝูง ตุ๊กตา.. ดอกไม้.. เสื้อผ้า.. พ่อบุญทุ่มมาก.. แต่ก็อย่างที่บอก..มันมีหลายอย่างที่เขารู้สึกว่ามันไม่ใช่ มันไม่ถูกจังหวะเวลา และมันเร่งเกินไป
หวืด...หวืด..
โทรศัพท์ในกระเป๋าเป้สั่นเครือกระทบพื้นโต๊ะเรียนจนรู้สึก เมื่อหยิบออกมาดูก็พบว่าเป็นพี่แมนอย่างเช่นที่คาดไว้
“ครับพี่แมน..” เขากรอกเสียงลงไปเมื่อรับสายแล้ว
“นัทเลิกเรียนแล้วนี่ครับ ยังไม่ลงมาเหรอ?” เสียงปลายสายเอ่ยถาม
“ผมคุยรายงานกับเพื่อนอยู่ครับ..”
“อีกนานไหม..” เสียงอีกฝ่ายทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที
“เอ่อ...” ณัฐวีร์อึกอัก “พี่แมนกลับไปก่อนก็ได้นะครับ ผมกลับเองได้”
“...ไม่เป็นไร พี่รอนัทได้ครับ เสร็จแล้วโทรมานะครับพี่รออยู่”
แล้วสายก็ถูกตัดไปโดยที่ณัฐวีร์ไม่ทันได้พูดโต้ตอบ ครั้นเมื่อเขาวางสายลง.. กลับมีเสียงลอยตามลมมาเข้าหูทันที
“อิจฉาเว้ย มีแฟนมารับถึงหน้าประตูโรงเรียน”
แล้วเสียงโห่ฮาก็ดังมาจากคนทั้งกลุ่มกว่าห้าคนนั้น
ณัฐวีร์ส่ายหน้าพลางเก็บเอามือถือเข้ากระเป๋าเป้ เขาไม่ได้คุยเรื่องรายงาน ไม่ได้ทำความสะอาด ไม่ได้อะไรเลย แค่นั่งเล่นเฉยๆในห้อง ตากแอร์ รอข้อสรุปจากกลุ่มเพื่อนว่าวันนี้จะไปจบลงที่ไหน เมื่อครู่ก็แค่ข้ออ้างเท่านั้นเอง
“นั่นไม่ใช่แฟนกู..” ณัฐวีร์ตอบชัดเจน “แค่คนที่มาจีบแบบมีนัยยะ”
“โห พูดซะหรูเชียว เดี๋ยวเป็นแฟนก็จะเป็นแฟนแบบมีนัยยะใช่มะ”
“นัยยะของมึงมันคืออะไรวะนัท”
คนถูกถามมองหน้าเพื่อนทั้งผู้หญิงและผู้ชายในกลุ่มแล้วส่ายหน้าพรืด “กูก็ไม่รู้ กูแค่รู้สึก”
“มึงมีสัมผัสวิญญาณอีกและ ห่านี่..” มาดามแพรวสบถออกมาด้วยความสยองส่วนตัว “อย่าเยอะนักสิวะกูยิ่งกลัวๆสัมผัสพิเศษนั่นอยู่ด้วย”
“บ้า ไม่ใช่แบบนั้นเสียหน่อย กูแค่ฟิลอะไรได้เท่านั้นเอง คือเขารุกจีบจนกูแขยง”
“ถ้ามึงแขยงคนหน้าตาขั้นเทพแบบนั้น กูว่ามึงป่วยแล้วล่ะนัท”
“กูไม่ได้รักคนที่หน้าตาเขานะเว้ย”
“โหย พ่อคุณ...” เพื่อนๆพากันร้องลั่นเป็นเสียงเดียว “พ่อจะเอาแบบไหนจ๊ะ พี่แมนผัวมึง..”
“ไม่ใช่ผัวกู!”
“เออๆ ยังไม่ใช่ผัว แค่มาจีบ.. แต่มึงสำนึกไหมว่าคนมาจีบมึงคนนี้น่ะ..เป็นมนุษย์หน้าตาดี รูปร่างดีอย่าให้เม้าท์ สูงชะลูดเกิน 180 รวย มีรถขับ มีเงินพาพวกกูไปแดกเค้กชิ้นเล็กเท่ามดแต่ราคาเกือบสองร้อย จ่ายเงินทีควักบัตรทอง ทิปทีให้แบ้งค์ม่วง และที่สำคัญ ดูจะหลงมึงจนหัวปักหัวปำ กูเห็นนะ เดี๋ยวโทรเข้า เดี๋ยวข้อความเข้า เดี๋ยวไลน์ตุนิ้งตุนิ้ง สปอยมึงอย่างกับเด็ก แล้วอิดอกไม้หลังรถนั่น.. โคตรพ่อกูยังไม่เคยเอามาให้แม่กูเลยเหอะ”
“ไอ้แหนม.. มึงก็พูดโอเว่อร์.. พี่แมนของไอ้นัทเขาไม่ได้ขนาดนั้น.. เขาทิปด้วยแบ้งค์ร้อยห้าใบหรอกเว้ย”
“ไอ้สาดปานแล้วมันไม่ใช่ห้าร้อยเหรอเชี่ย เดี๋ยวดึงขนจมูกแม่งซะนี่” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ผวาจะเข้าไปหาเพื่อน เล่นเอาหนุ่มปานฉากหลบแทบไม่ทันเรียกเสียงหัวเราะจากทั้งกลุ่มดังสนั่น
“หยาบคายว่ะพวกมึง.. เกรงใจว่าที่ภรรยาพี่แมนเขาบ้าง” หญิงสาวอีกหนึ่งในกลุ่มเอ่ยแล้วหันมายิ้มหวานให้ณัฐวีร์ “นัทก็รีบลงไปเหอะ เราไปที่อื่นกันมาสองวันแล้ว วันนี้คงต้องรีบกลับบ้านบ้าง ตัวเองจะได้ไปเดทกับพี่แมนเขา เขามารับหลายวันแล้วนะ”
“ขอบใจนะหวาน.. แต่เราคงไม่ไปไหนกับเขาหรอก..” ณัฐวีร์ชะเง้อมองออกไปที่รถสีทะมึนหน้าโรงเรียนแล้วถอนหายใจอีกเฮือก สงสัยวันนี้คงต้องกลับกันตามลำพังอย่างที่เพื่อนบอกแล้ว
“กูแม่งโคตรรอเมซิ่ง ไอ้นัทมันมีคนเข้าหาเป็นผู้ชายตัวอย่างหนาทั้งที่ไม่เคยมีเค้าโครงว่าจะเป็นอย่างนี้มาก่อนเลย เพื่อนกูจะเปิดตัวในโลกสีม่วงก็คราวนี้แหละ”
“ทำอย่างกับกูอยากเปิดตัวแบบนี้นักนี่” ณัฐวีร์ทำหน้าเบ้ “กูถึงยังไม่ได้อะไรกับพี่เขาไง คนแบบนี้เดี๋ยวเจอกูนิ่งๆใส่เขาก็คงฝ่อไปเองแหละมึง”
“ห่า.. มึงก็อย่าปิดประตูสู่โลกใหม่นักเลยไอ้นัท ไหนๆฟ้าประทานพ่อยอดชายเทพๆมาขนาดนี้ ศึกษาดูใจกันไปไม่เสียหายนี่หว่า”
“ก็ไม่ได้ว้อนท์นะเว้ย..” ณัฐวีร์คว้ากระจกของมาดามแพรวที่ยกส่องตัวเองอยู่ไม่ไกลมาดูหน้าตาตัวเองบ้าง “ดูหน้ากูสิ มีตรงไหนน่าสนใจวะ กูว่ามันต้องมีนัยยะแหงๆ”
“บางทีพี่เขาอาจชอบของแปลกนะมึง” แพรวร้องบอกแล้วคว้าเอากระจกคืนไปส่องหน้าตาตัวเองอีกรอบ “คิดมากว่ะ คบๆไปก็ไม่เสียหายนี่หว่า”
มาดามแพรวนั้นจัดเป็นสาวน้อยดรัมเมเยอร์ที่ห่วงสวยห่วงงามากที่สุด นางจะมีกระจกอยู่ในมือเสมอเพื่อสำรวจว่าตนเองนั้นหน้าตาดีพอแล้วหรือไม่ เป็นพวกมั่นใจและขาดความมั่นใจในเวลาเดียวกันเลยก็ว่าได้ แต่สำหรับณัฐวีร์แล้ว มาดามแพรว เป็นเพื่อนสมัยเด็กที่เขารักและห่วงมาก เป็นเพื่อนรักเพื่อนตายกันเลยก็ว่าได้
“ก็ไม่ได้อยากคบกับเขานี่นา” ณัฐวีร์ยังแสดงจุดยืนของตัวเองอย่างชัดเจน
“มึงจะคบเพื่อแต่งเลยหรือไงล่ะนัท..” มาดามแพรวละจากกระจกขึ้นมาตวาด “ก็คุยๆกันไปไม่เห็นต้องปิดกั้นเลย ถ้าคุยแล้วมันไม่คลิกอีกอาทิตย์สองอาทิตย์มึงค่อยทิ้งเขาก็ได้ ตอนนี้ก็แค่กิน เที่ยว เปรี้ยวไปวันๆก่อน จะคิดมากอะไร”
“ก็มันเสียเวลา”
“โหย.. ตัวเองทำธุรกิจแล้วว่างั้น.. คิดเยอะเป็นมนุษย์เงินเดือนเลยนัทเนี่ย” คราวนี้เพื่อนหวาน สาวน้อยอีกคนช่วยตอกลิ่ม “เอาเป็นว่าเราสรุปให้แล้วกัน ตัวเองก็คุยกับพี่เขาไปเรื่อยๆ หนักใจอะไรก็มาปรึกษาพวกเราได้”
ณัฐวีร์มองหน้าเพื่อนแล้วได้แต่ถอนใจ “เราไม่ได้เป็นเกย์นะ..ทำไมผลักไสเรากันจัง”
“เว้ย!..” คราวนี้สองหนุ่มแหนมปานร้องขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง “กูอุตส่าห์ไม่พูด มึงนึกว่าพวกกูรับได้เหรอที่จู่ๆเพื่อนก็มีผู้ชายมาจีบ แทนที่เพื่อนจะไปจีบผู้หญิงน่ารักๆมาอยู่ในกลุ่มน่ะ”
“เอ้า.. แล้วที่พวกมึงเชียร์กูอยู่นี่ล่ะ..”
“เล่นๆ ขำๆ กูเห็นมึงซีเรียส ไม่จริงจัง เลยกะหรอกแดกพี่แมนแม่งไปเรื่อยๆ”
“โห เลวว่ะ นี่สรุปพวกมึงแค่อยากมีเจ้ามือเลี้ยงหนมกันเท่านั้น ไม่ได้ห่วงเพื่อนเรอะ”
“เพื่อนน่ะกูก็ห่วง แต่กูรู้ว่าเพื่อนดูแลตัวเองได้ ฮ่าฮ่า..”
“ซึ้งว่ะพวกมึงนี่..” ณัฐวีร์ส่ายหน้าพลางหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นพาดไหล่ “งั้นกูไปแล้ว วันนี้กลับบ้านเร็วหน่อยก็ดี พี่นางเพิ่งส่งไลน์มาบอกว่ามีของว่างเป็นอาหารโปรดกูด้วย”
“เออ ไปดีๆ ไว้เพื่อนจะติดต่อไป หวังว่าจะไม่ตกลงปลงใจเร็วนักนะมึง”
“เออน่า.. กูไม่ได้ง่ายๆเสียหน่อย”
“ว่าแต่..ไม่มีใครลงไปกับไอ้นัทมันเลยเหรอวะ”
“หมูจะหามมึงจะเอาคานไปสอดทำไมวะไอ้แหนม เดี๋ยวกูตบปากฉีก” เพื่อนปานเงื้อมือทีเล่นทีจริงแล้วหันมายิ้มให้เจ้าของเรื่อง “ไปเหอะมึง อยู่กับพวกกูก็ได้คำตอบแค่เนี้ย มึงจงไปหานัยยะที่แฝงเร้นไว้ แล้วมาบอกกูด้วย ไอ้เพื่อนยาก ถ้ามึงจะเปิดตัวสู่โลกกว้างก็บอกกูนิด ถ้ายังไม่อยากเปิดตัวอีกสองอาทิตย์เราก็กลับไปลั้นลากันสลัดแม้นศรีทิ้งไป”
“แม้นศรี..? ใครวะ?” มาดามแพรวร้องถามขึ้นทันที
“พี่แมนไง มาจีบผู้ชายได้แบบนี้กูว่าแม้นศรียังน้อยไป”
“ปากมึงนะไอ้ปาน..ถ้าเขามาได้ยินหรือไอ้นัทมันไปเรียกเขาล่ะมึงเอ้ย กระดูกคอหลุดแน่” เพื่อนแหนมโวย
แล้วเสียงหัวเราะกันฮาใหญ่ก็ดังประสานไปด้วยกัน ไม่เว้นแม้แต่ณัฐวีร์ที่ร่วมผสมโรงไปด้วย
….
มกรเขวี้ยงโทรศัพท์ในมือลงกับเบาะรถข้างคนขับ ทันทีที่ตัดสายจากไอ้เด็กบ้านั่นเขาก็กระแทกโทรศัพท์ลงกับพวงมาลัยระบายอารมณ์หงุดหงิดแล้วก็เขวี้ยงมันไปนั่นแหละ
น่าโมโห! โคตรอยากจะจับไอ้เด็กเชี่ยนั่นมาเขย่าๆเอาความเฉื่อยของมันออก เอาความเฉยชาของมันให้หลุดจากหน้าบ้าง นี่อะไรเขาเทียวรับเทียวส่งมาสามวันแล้วมันไม่หือไม่อือ ไม่คุย ตัดบท ไม่สนใจ ไม่ดูดำดูดีหรือมีท่าทางอะไรกับเขาทั้งนั้น มันเป็นมนุษย์ที่เล่นด้วยยากฉิบหาย
ตอนนั้นที่มีโอกาสเลือก เขาน่าจะเลือกเด็กอีกคน..
แต่ก็อย่างที่บอกแหละ ไอ้แชร์มันไม่เคยหวังดีกับใคร คนที่มันเลือกมาให้สองคนเป็นมนุษย์ที่เสียสมดุลมากเวลาเดินกับผู้ชายอย่างเขา.. การต้องผูกติดกับใครตั้งสามเดือน เขาจึงต้องเลือกมนุษย์ที่น่าสมดุลหรืออย่างน้อยก็ควรมีความสมดุลให้ได้มากที่สุด
คนแรกเป็นผู้ชายอวบๆที่ใส่แว่นหนาคล้ายโอตาคุ เจ้านั่นนั่งยิ้มเรี่ยราดกับสาวๆในกลุ่ม ดูไม่ใยดีมนุษย์ผู้ชายสี่คนที่หันไปมองมันทั้งโต๊ะเลย ส่วนอีกคนก็ไอ้เด็กเชี่ยที่เขาเลือก มันเมียงมองมายังพวกเขาบ้าง สบตากับเขาครั้งหนึ่ง แล้วมันก็เมินไปหัวเราะกับเพื่อนมัน เป็นเด็กเลวที่ตาตี่แต่หน้าขาวมาก ปากมันสีชมพูจัด แต่ดูจากรูปร่างแล้วผอมแห้งแกรนเป็นขี้ก้าง ผมก็ไม่ได้สนใจดูให้มันเข้าทรง ปล่อยให้ชี้โด่เด่ไปคนละทิศ จะดีหน่อยก็ตรงที่มันดูสะอาดสะอ้านนี่แหละ
เลือกเจ้านี่มาก็หวังว่าจะเคลมได้ง่ายหน่อย แต่จากสามวันที่ผ่านมามันไม่มีอาการอะไรเลย นอกจากเฉยชานิ่งสนิท ไม่ดูกระตือรือร้นหรือยินดีเวลาที่เขาโทรหาหรือมารับ ไม่ตอบรับข้อความ บางทีทิ้งหายไปเลยก็บ่อย แบบนี้ตอบได้คำเดียวว่าเขาคงจะยากแล้ว ยากจริงๆที่จะทำตามเงื่อนไขไอ้แชร์ อาทิตย์นึงคงจะพามันขึ้นหิ้งมากกว่าขึ้นห้องเสียล่ะมั้ง
แต่คนอย่างมกร.. ไม่มีทางยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆ
มันไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ..อย่างดี...ถ้ามันไม่เล่นด้วย..ก็ปล้ำมันซะสิ้นเรื่อง ที่เลือกมันมาเพราะตัวมันเล็กเท่าเมี่ยง น่าจะปล้ำง่ายกว่าไอ้ตัวโตนั่น.. ถ้าไม่ยอมกันง่ายๆก็คงต้องลงไม้ลงมือกันหน่อย ความเลวของเขามันมีเท่าทะเล จะไปกลัวอะไร
มกรหัวเราะเยาะหยันอยู่ในใจ.. ความเลวที่มีน่ะหรือ.. เหอะ..ช่างเป็นเรื่องน่าสนุกนัก
ถ้ามีแมนดีๆไม่ชอบ อยากได้แมนเลวๆเขาก็พร้อมจะจัดให้..
พอคิดได้เช่นนั้น มกรก็หัวเราะออกมาด้วยความสบายใจ.. ทางชนะมีอยู่เห็นๆ เขาหรือจะยอมแพ้คนแอบไอ้แชร์
ชายหนุ่มหันไปมองโทรศัพท์ที่เขวี้ยงทิ้งไปไว้เบาะข้างคนขับ และหยิบมันขึ้นมาอีกครั้งหวังจะโทรไปหาเด็กนั่น.. กลับเป็นจังหวะเดียวกันที่เด็กคนนั้นโทรเข้ามา
“ครับ นัทเสร็จธุระแล้วหรือ”
“ครับ ..ผมกำลังลงไปครับ” ปลายสายแจ้งเช่นนั้นแล้ววางไป ไม่นานประตูรถก็ถูกเปิดออกและร่างเล็กของไอ้เด็กตัวแสบก็แทรกเข้ามานั่งอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง.. ประตูปิด คาดเข็มขัดเรียบร้อย.. ก็ไม่ได้มีคำทักทายสักคำ จนฝ่ายเจ้าของรถต้องเป็นคนเอ่ยทักขึ้นมาเสียเอง
“เรียนเหนื่อยไหมครับ”
“ก็เหนื่อย” ตอบเสร็จมันก็เมินออกไปนอกหน้าต่าง
“แล้ววันนี้เราจะไปไหนกันดี พี่อยากพานัทไปทานขนมนะ วันนี้พวกเพื่อนเราไม่มาด้วยเหรอ”
“แยกย้ายกันกลับบ้านหมดแล้ว.. ผมก็อยากกลับบ้าน วันนี้ไม่ไปไหนทั้งนั้นครับ” ณัฐวีร์เอ่ยตอบแล้วหันกลับมามองหน้าอีกฝ่าย “หรือถ้าพี่ไม่สะดวกไปส่งผมที่บ้าน ผมกลับเองได้ไม่ลำบากครับ..ขอบคุณมาก”
จบประโยคเด็กหนุ่มก็ทำท่าจะปลดเข็มขัดนิรภัยออกทำให้คนที่ฟังแล้วนิ่งไปชั่วครู่ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทันที
“ได้สิครับ ไม่ไปไหนก็ไม่ไป พี่ไปส่งนัทที่บ้านก็ได้..” แต่แล้วคนพูดก็เอี้ยวตัวไปที่เบาะหลังแล้วหยิบเอากล่องของขวัญกล่องแบนออกมาให้ “พี่ซื้อมาให้ครับ เดินเลือกอยู่ตั้งนาน”
ณัฐวีร์มองกล่องของขวัญนั้นสลับกับมองตาคนให้
“รับไปสิครับ ไม่ต้องเกรงใจพี่หรอก”
คนฟังอยากจะบอกเหลือเกินว่าไม่ใช่เพราะเกรงใจ.. แต่รำคาญ..
สุดท้ายณัฐวีร์ก็รับมันมาแล้ววางลงกับตักโดยไม่คิดจะแกะมันดู “ขอบคุณนะครับ คราวหลังไม่ต้องซื้อมานะ.. กลับกันได้แล้วล่ะครับ ผมอยากกลับบ้านแล้ว”
มกรข่มอารมณ์ตัวเองเต็มที่.. เขายิ้มเล็กน้อยก่อนจะหันไปเริ่มออกเดินทาง และนึกเข่นเขี้ยวอยู่ในใจ..
อย่าให้ถึงทีกูบ้างแล้วกัน





................
tbc.


เรื่องนี้ยังไม่ได้ผ่านการขัดเกลา อาจมีคำผิด คีย์ผิด เข้าใจผิดอยู่ด้วย และเรื่องนี้จะลงจนจบแน่นอน (ถ้าคนเขียนยังขยันเขียนอยู่) //ห๊ะ!!

ฝากไว้อ้อมใจด้วยนะค๊าาาาา  :mew1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito
เริ่มหัวข้อโดย: hayate__ ที่ 25-10-2013 09:46:07
สนุกจัง อัพต่อไปเรื่อยๆนะฮ้าาา :laugh: :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito
เริ่มหัวข้อโดย: janji ที่ 26-10-2013 13:16:51
สนุกอ่ะบวกเป็ดให้น๊า รีบมาต่อไวไว ๆๆๆๆนะ รออยู่
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 2
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 26-10-2013 23:48:43
ตอนที่ 2




ความที่เป็นคนหน้าตาดีมาแต่กำเนิด มกรจึงมักอยู่ในวงล้อมของผู้คนที่ให้การดูแลเขาเสมอ ไม่เคยต้องสนใจความรู้สึกใคร ไม่เคยต้องดูแลใครมากนัก การหายตัวไปของมกรในช่วงห้าวันมานี้ จึงทำให้เพื่อนนอกกลุ่มต่างคาดเดาไปว่าฝ่ายนั้นคงได้ของเล่นใหม่เอาไว้ควงอวดอีกแล้ว และคงกำลังเห่อมากเสียจนไม่สามารถละมือได้
แต่กับเพื่อนกลุ่มเดียวกันที่ทราบความเคลื่อนไหวตลอดห้าวันมานี้ของมกร.. ต่างก็หัวเราะงอหายให้กับไอ้รูปหล่อ พ่อรวย โพรไฟล์หรู ที่ดูเหมือนจะมือตกนั่น..
“กูว่ากูได้กินเงินไอ้แมนมันภายในอาทิตย์นี้ล่ะวะ” แชร์ ไอ้ตัวต้นเรื่องพูดกลั้วหัวเราะเมื่อมองไปเห็นเพื่อนแมนเดินหน้ามุ่ยมาแต่ไกล
“มึงอย่าย่ามใจไป” ผู้สมรู้ร่วมคิดรายที่หนึ่ง นายป้อดปอดแหกกล่าวด้วยใบหน้าซีดเซียว.. ถึงจะเชื่อมือไอ้แมน แต่ดูเหมือนความคืบหน้าในเนื้องานไม่ปรากฏเลยไอ้ชั่ว ..ห้าหมื่นของกู
“กูไม่ได้พูดอย่างไม่มีหลักการ มึงก็เห็นว่าไอ้แมนมันทำตัวงี่เง่าหงุดหงิดมากขึ้นทุกวัน ถ้าบอกว่ามันเมนส์ไม่มากูก็เชื่อนะ”
“แชร์แหม เฉ้าฉุ่ย ปากเหม็น มึงไม่ต้องมาตัดรอนกำลังใจพวกกูเลย” หนุ่มต่อ หรือปังตอ ร้องด่าก่อนจะหันไปทักเพื่อนแมนที่เดินเข้ามาถึงโต๊ะพอดี “ไงมึง ปวดขี้หรือไม่ได้ปี้ใคร หน้าแม่งไม่รับซองผ้าป่าแล้วเนี่ย”
“....”
ความเงียบที่ตอบกลับมาพร้อมแรงกระแทกตัวลงนั่งบนม้าหินข้างคณะทำให้เพื่อนๆมองหน้ากันตาปริบๆ
แล้วก็เป็นไอ้ตัวต้นเรื่องที่ตบไหล่เพื่อนตัวเองเบาๆ “เฮ่ย ใจเย็นๆ มีอะไรมึงบอกกูสิ ใครทำไรมึง พวกกูจะไปยำตีนมันให้”
“..ไอ้เด็กเหี้ยนั่น..” ประโยคแรกก็เสียงรอดไรฟันมาเลยทีเดียว “แม่งให้กรูไปรอหน้าบ้านมันเมื่อเช้า บอกว่าจะไปเรียนพิเศษ กูไปเลทแค่ห้านาที แม่งออกจากบ้านไปขึ้นรถไฟฟ้าแล้ว กูแวะซื้อกาแฟนิดเดียวเอง”
“อ้าว.. ไหงทำกับเพื่อนกูอย่างนี้วะ แล้วมันไม่โทรบอกมึงก่อนเหรอ”
“มันส่งข้อความมาบอก แต่กูขับรถไง ใครมันจะไปเปิดข้อความหลังไมค์ในเฟซอ่านตอนขับรถวะ แอพเฟซก็ตั้งไว้ไม่ให้ร้องเตือน ..แล้วจนขณะนี้มันก็ยังไม่รับกูเป็นเพื่อนเลย”
“โห มือตกขนาดหนักว่ะเพื่อนกู” ป้อดหันไปกระซิบกับต่อ แต่เจ้าตัวดันหันขวับมาเขม่นมองจนเพื่อนสองคนหัวหด
“น่าๆ นี่มันเพิ่งวันที่หกเอง เผื่อพรุ่งนี้วันที่เจ็ดมึงจะมีปาฏิหาริย์..”
“ปาฏิหาริย์กะผีสิไอ้แชร์ ...กูว่าลำบากแล้วว่ะแมน เด็กห่านี่ท่าทางไม่หลงกลรูปหล่อป๋าเปย์ของมึงแน่ๆ”
มกรเองก็คิดเช่นนั้นมาหลายวัน.. เกือบอาทิตย์ที่ผ่านมา เขายังไม่ได้พูดคุยเป็นเรื่องราว หรือเข้าใกล้คำว่าเพื่อนเลยด้วยซ้ำ โทรไปก็คุยกันไม่ถึงสิบนาที บอกว่ามีงานต้องทำ ง่วงจะนอนแล้ว หรือไม่ก็ต้องคุยกับที่บ้าน.. สารพัดเหตุผลจะมาอ้าง ของขวัญที่หามาให้ โอเค อาจจะไม่ได้ตั้งใจหาเอง ให้เด็กที่บ้านไปซื้อบ้าง ให้เลขาแม่สั่งดอกไม้ให้บ้าง หรือกระทั่งกวาดทุกอย่างที่เด็กนั่นมองและจับเอามาให้.. เด็กมันยังไม่มีท่าทางดีใจเลยสักนิด มันมองของมองหน้านิ่งๆ ยกมือไหว้เป็นบางครั้ง และหลายครั้งที่มันทำเป็นลืมวางไว้หลังรถ อย่างไอ้หมีตัวเท่าควายที่เขาซื้อมาให้ ตอนนี้มันก็ยังนอนตายอยู่ในรถ มันอ้างว่าเอาเข้าบ้านไปเดี๋ยวมีคนถาม ฝากไว้ในรถก่อน .. รถกูเลยกลายเป็นรถแต๋วไปเลย
“ว่าแต่เย็นนี้มึงจะไปด้วยกันเปล่าวะ”
เพื่อนแมนหันไปขมวดคิ้วใส่คนถาม “ไปไหน?”
“อ้าว.. ไอ้ป้อดไม่ได้บอกเหรอ พี่ออฟชวนไปดูของ”
คนถูกพาดพิงยิ้มแหยๆ “กูลืม”
“โห ง่ายๆเลยนะไอ้เชี่ย.. เออ นั่นแหละ พี่ออกชวนไปดู เผื่อจะได้มาเล่นสักหน่อย”
“เพิ่งได้มาหรือไงวะ เห็นทุกทีไม่ต้องไปดูเอง อยากก็โทรกริ้งเดียว”
“เห็นว่าเพิ่งลงเครื่องมาว่ะ” ปังตอบอก “มีหลายสิ่งอย่าง”
“หือ?..” คิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างสงสัย “หลายอย่างนี่มันอะไรวะ”
“ของเดิมๆ มีเพิ่มเติมแค่พวกแจ่มว้าว”
“เฮ้ย.. มีกี่คน..”
ไอ้คนให้ข้อมูลหัวเราะร่วน “สัตว์แมน.. หูกางเชียว เงี่ยนหรือมึงอาทิตย์นึงที่ผ่านมาไม่ได้เอาออกเลยสิ ทำตัวดีฉิบหาย”
“ก็เฝ้ารับส่งไอ้เด็กเวรนั่นจะเอาเวลาที่ไหนไปหาแจ่มๆวะ เก็บกดอยู่เนี่ย วันนี้พรุ่งนี้ไม่ได้เล่นใครกูคงระเบิดเป็นโกโก้ครั้นซ์ล่ะไอ้สัตว์”
“ของมึงคงไม่ระเบิดเป็นโกโก้มั้งไอ้เชี่ย” แล้วไอ้มุกทะลึ่งตึงตังทั้งหลายก็ถูกขุดขึ้นมาสาดใส่กันอีกเป็นกระบุง
“สรุปๆ เย็นนี้มึงจะไปไหม พี่ออฟนัดที่เคลียร์คลับ”
“เออๆ ตามไปๆ ยังไงต้องไป เดี๋ยวไปจัดการไอ้เด็กเชี่ยก่อน กูว่าต้องจัดการมันขั้นเด็ดขาดแล้วล่ะ”
คำพูดนั้นทำเอาเพื่อนๆมองหน้ากันทันที ถ้าไอ้แมนบอกว่าจะ “จัดการขั้นเด็ดขาด” คาดว่าไอ้เด็กนั่นไม่ตายก็คางเหลือง “ห่าแมน ระวังนะมึง.. พรากผู้เยาว์นะเว้ย”
“เรื่องกฎหมายให้พ่อกูจัดการ และ..คนอย่างกูถ้าจะทำไม่ปล่อยให้ใครมาตีกลับได้หรอกมึง..กูจะเล่นมันให้คุ้มเอาจนมันขยาดกูไปเลย”
แล้วเสียงหัวเราะเบาๆของมกรก็พาให้เพื่อนๆคนหัวลุกไปตามๆกัน... การเป็นศัตรูกับคนอย่างมันเป็นเรื่องที่ไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่แข็งจริงไอ้แมนเอาตาย
พ่อเป็นนายตำรวจใหญ่ แม่เป็นนักธุรกิจชื่อดัง.. ลูกชายคนเดียวจึงมีสภาพกระพร่องกระแพร่งแบบนี้นี่เอง
…..


รถยุโรปสีดำคันเดิมถูกจอดรออยู่ในลานจอดรถ
เมื่อเช้า ณัฐวีร์หลบออกมาด้วยมอเตอร์ไซค์รับจ้าง และทันเห็นรถคันนี้เลี้ยวเข้าไปในซอยบ้าน แต่เขาตั้งใจจะปล่อยผ่านอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้บอกให้พี่วินกลับรถไปหา ทันทีที่ลงรถและเท้าแตะบันไดเลื่อนของรถไฟฟ้า สายเรียกเข้าของ “ไอ้บ้า” ก็ดังขึ้น
“น้องนัทอยู่ไหนครับ”
ไม่เคยมีพี่ชายโว้ย!
เขาร้องโหวกเหวกอยู่ในใจ แต่ก็ตอบไปอย่างสุภาพ “รถไฟฟ้าแล้วครับ ผมกำลังจะเข้าขบวนรถแล้ว แค่นี้ก่อนนะครับ”
แล้วเขาก็ตัดสายไปไม่ทันรอคำตอบ.. ไม่นานก็มีข้อความส่งเข้ามาในไลน์
“รีบไปเหรอครับ พี่ขอโทษที่มาสายนะพี่มัวแต่แวะซื้อขนมไว้ให้นัททานตอนเช้าอยู่น่ะครับ ถ้ายังไงเย็นนี้เจอกันนะครับ คิดถึงจัง”
อ่านข้อความนั้นจบ ณัฐวีร์ก็ยกมุมปากยิ้มเล็กน้อย.. หลายวันที่ผ่านมาจะบอกว่าไม่หวั่นไหวเลยก็คงตายด้านเกินไป เขาหวั่นไหวจากการกระทำที่อีกฝ่ายมีให้บ้าง แต่ยังไม่ปักใจเชื่อ ยังระแวง ยังไม่อยากคาดหวัง.. จึงไม่แสดงออกนักว่าตนเองก็เริ่มเอนเอียงไปบ้าง
ที่สำคัญคือ เขายังไม่พร้อมจะตอบรับการมีคนรักเป็นเพศเดียวกัน.. ถึงแม้เขาจะไม่เคยกำหนดเพศ แต่ผู้ชายอย่างเขาก็อยากมีผู้หญิงข้างๆมากกว่าจะต้องไปเป็นผู้หญิงของใคร
เขายังคงต้องทำใจอีกระยะหนึ่งล่ะ.. แต่การทำใจของเขาบนความพยายามของไอ้บ้า..อาจจะเห็นผลในเร็ววันนี้ก็เป็นได้..
จากนั้นก็มีข้อความเข้ามาเป็นระยะ คิดถึงบ้างล่ะ ทานข้าวเช้าหรือยังบ้างล่ะ แถมยังบอกพิกัดเสร็จสรรพว่าตอนนี้จอดรถแล้ว ตอนนี้นั่งรออยู่ในคอฟฟี่ช็อปใต้ตึก ซื้อขนมไว้ให้ ส่งรูปมายั่วน้ำลายอีกต่างหาก พอจบเรียนพิเศษคาบบ่าย ไอ้บ้าก็โทรเข้ามาทันที ..
สาบานได้ว่าเขาไม่เคยบอกตารางเรียน ไม่เคยบอกเวลาว่าง แต่มันมักรู้เสมอว่าเขาจะเปลี่ยนห้องเรียน พักเที่ยง เลิกเรียนเมื่อไหร่.. ไม่รู้ไปสืบมาได้อย่างไร.. แต่นี่ก็เป็นอีกจุดที่ทำให้เขารู้สึกดีที่มีใครคนหนึ่งให้ความสนใจเขาขนาดนี้
อย่างน้อย..ก็ดูมันจะมีความพยายามในการติดตามตัวเขาเหมือนกัน
“นัทหิวอะไรอีกไหม”
ไอ้บ้าเอ่ยถามเมื่อเข้ามานั่งอยู่ในรถคันเดียวกัน
“ไม่แล้วครับ แค่แซนวิชเมื่อกี้ก็เต็มที่แล้ว”
มกรยิ้มให้บางๆก่อนจะเอ่ยบอก “ถ้างั้นวันนี้ไปธุระกับพี่ได้ไหมครับ พี่นัดเพื่อนเอาไว้ต้องไปดูของกันนิดหน่อย”
“ถ้าพี่มีธุระผมกลับเองได้ครับ” ณัฐวีร์ขยับตัวทำท่าจะสะพายเป้ลงจากรถ แต่เพราะแขนถูกคว้าเอาไว้เขาจึงต้องหันกลับมามองเจ้าของมืออุ่น
“พี่ไม่ให้กลับเอง” มกรจับแขนนั้นแน่น “ยังไงนัทก็ต้องไปกับพี่..นะครับ ถือว่าพี่ขอร้อง เพื่อนพี่รออยู่และมันเป็นทางผ่านกลับบ้านนัทพอดี พี่แวะเข้าไปดูของนิดเดียวเอง ไม่เสียเวลานัทอ่านหนังสือหรอกครับ”
“ผมไม่ได้ห่วงอ่านหนังสือ..” ณัฐวีร์มองแขนตัวเองที่อยู่ในอุ้งมือใหญ่ของอีกฝ่ายอย่างไม่รู้จะมองตรงไหนดี นี่ดูเหมือนเป็นการแตะต้องเนื้อตัวกันครั้งแรกของพวกเขา และมันก็อุ่นร้อนจนเขาไม่คิดว่าสัมผัสจากคนอีกคนจะทำให้เขาใจเต้นได้ขนาดนี้
“งั้นนัทก็ไปกับพี่ได้สินะครับ นะ” มกรเลื่อนมือลงมากุมมืออีกฝ่ายแล้วบีบเบาๆ
“ก็ถ้าพี่มีธุระกับเพื่อน ..ผมก็ไม่อยากไปกวน”
“ไม่เลย..ไม่กวน อยากให้นัทไปด้วย” คนพูดนึกกระหยิ่มอยู่ในใจ บางทีเขาอาจไม่จำเป็นต้องบังคับอะไรมันนักหรอก
“ไม่เย็นมากใช่ไหมครับ..” ณัฐวีร์เอ่ยถาม “เดี๋ยวแม่เป็นห่วง”
“อาจจะนิดนึง พี่อยากพานัทไปทานข้าวเย็นด้วยกัน โทรบอกคุณแม่ดีไหมครับ ท่านจะได้ไม่ต้องห่วง” เป็นคนดีเข้าไว้ไอ้แมน ดีเข้าไว้
“อย่าให้ดึกนักนะครับ ผมเกรงใจแม่..”
“ได้สิ.. นัทของพี่” ว่าแล้วมกรก็ดึงร่างของอีกฝ่ายเข้ามากอดแน่นด้วยความยินดี.. อย่างน้อยแผนของเขาก็ผ่านไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว “พี่จะพานัทไปอวดเพื่อน แฟนพี่น่ารัก”
ณัฐวีร์ผละออกมาจากอ้อมแขนอีกฝ่ายขณะบ่นไปพลางควานหามือถือในกระเป๋าไปด้วย “ยังไม่ได้บอกว่าเป็นแฟนกันเสียหน่อย.. ฮัลโหล แม่เหรอครับ..”
ขณะที่ณัฐวีร์กำลังบอกกล่าวไปยังผู้ปกครอง มกรก็ออกรถไปยังที่นัดหมาย
การเดินทางในเย็นวันเสาร์สำหรับบางพื้นที่นั้นรถติดหนักกว่าวันทำงานเสียอีก ทำให้ระยะเวลาในรถมีมากกว่าทุกทีที่ไปรับส่งณัฐวีร์และมีเพื่อนอยู่ในรถด้วยกัน การแลกเปลี่ยนบทสนทนามีมากขึ้นจนทำให้เด็กหนุ่มกล้ายิ้ม กล้าหัวเราะ และกล้าปล่อยให้อีกฝ่ายดึงมือเขาไปจับไว้ขณะขับรถด้วย
“พี่มีความสุขจังครับ”
ไอ้บ้ามันพูดแบบนั้นแล้วก็ดึงมือเขาขึ้นไปหอม ทำให้เขาอดที่จะรู้สึกเขินไปด้วยไม่ได้ “พอเถอะครับพี่.. ผมก็อายนะ”
พูดแล้วก็ดึงมือตัวเองออกจากมืออีกฝ่ายแล้วนั่งฟังเสียงฮัมเพลงไปเรื่อยๆ
“..แล้วนี่อีกไกลไหมครับกว่าจะถึงที่นัด”
มกรส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไม่เลยๆ เลี้ยวข้างหน้านี่แล้วไปที่ซอย 9 เราก็ถึงแล้วล่ะ นัทหิวแล้วเหรอ”
“ผมยังไม่หิว” เขาพูดแล้วเบือนหน้าออกไปนอกรถ “ออกจะเลี่ยนๆด้วยซ้ำ”
“หือ..ว่าไงนะ”
ณัฐวีร์หันมามองเหล่อีกฝ่ายแล้วบอกเบาๆ  “เลี่ยน..”
“พี่ไปทำให้รู้สึกอย่างนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน..”
“รู้สึกอยู่ตลอดนั่นแหละครับ”
มกรหัวเราะร่วน “พี่อุตส่าห์ทำเนียนๆนะเนี่ย”
“ไม่ทันแล้วครับ..” ณัฐวีร์มองเสี้ยวหน้ายิ้มแย้มของคนขับแล้วจึงตัดสินใจเอ่ยถามออกมา “ผมอยากรู้.. ทำไมพี่ถึงมาจีบผม คนหน้าตาดีกว่าผมมีเยอะแยะทำไมพี่ถึงไม่สนใจ”
มกรนิ่งไปนิดนึง แต่ใบหน้านั้นยังยิ้มแย้มไม่เปลี่ยน “ก็เพราะพี่ไม่ได้สนใจหน้าตาน่ะสิครับ นัทของพี่น่ารักออกนะ”
“อย่าพาผมออกนอกเรื่องสิครับ ผมไม่เห็นว่าจะน่ารักยังไง.. อีกอย่างผมเป็นผู้ชายนะพี่ จะเอาไอ้ความน่ารักที่พี่ว่ามาจากไหน ..ตกลงชอบผมที่อะไรเนี่ย”
ยังไม่ทันจะถามจบประโยคดี มกรก็เลี้ยวรถเข้าไปยังที่จอดและหันกลับมายิ้มหวานให้ณัฐวีร์กลบคำตอบนั้นเสีย
“ถึงแล้วครับ ไปเถอะ ลงไปทานข้าวกัน อะไรไม่สำคัญไว้บนรถนี่ก็ได้นะ”
แล้วเจ้าตัวก็เปิดประตูรถลงไปยืนรอ ครั้นพอเด็กหนุ่มลงจากรถมาสมทบ เจ้าตัวก็เฉไฉพาเดินเข้าไปในคลับไม่พูดอะไรสักคำ
“มาแล้วเว้ยๆ ไอ้แมนทางนี้ๆ” แชร์โบกไม้โบกมือโหวกเหวกให้เห็นว่าพวกเพื่อนนั่งอยู่กันที่โต๊ะในสุด
พอเดินมาถึงโต๊ะ ณัฐวีร์ก็ยกมือไหว้
“กล้ามาก พาน้องเขามาด้วยเหรอวะ.. น้องจำพวกพี่ได้ใช่ไหมครับ” ป้อดเป็นคนเอ่ยทัก
คนถูกถามจึงยิ้มรับ “จำได้ครับ แต่ยังไม่รู้จักชื่อพวกพี่สักคน”
“ไม่มีแนะนำเพื่อนหรอกไอ้แมนอ่ะ”
“เออๆ พวกมึงนี่ทำเป็นพูดเยอะไปได้ นัทครับ นั่นไอ้ตัวโตๆนั่นชื่อแชร์ ส่วนคนใส่แว่นชื่อป้อด แล้วก็ไอ้เตี้ยนั่นชื่อต่อแต่เรียกมันว่าปังตอก็ได้นะ”
“สัตว์ แนะนำกูให้มันดีๆหน่อยไม่ได้เหรอวะ” คนโดนแนะนำบ่นอุบ “กูเตี้ยก็เตี้ยมีคุณภาพนะมึง ว่าแต่น้องนัทใช่ไหมครับ”
“ครับพี่..” เด็กหนุ่มตอบรับ
“เรียนม.ไหนแล้วเนี่ย พวกพี่ปีสามแล้ว”
“ม.ห้าครับ เทอมหน้าก็ขึ้นม.หกแล้ว”
“อ้อๆ อายุห่างกันเยอะเหมือนกันนะเนี่ย.. ว่าแต่ทานอะไรมาหรือยังครับ”
“มีทานมาบ้างแล้วครับ..” เด็กหนุ่มตอบแล้วยิ้มให้
“ถ้าจะสั่งอะไรก็สั่งได้เลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ ไอ้แมนมันจ่ายอยู่แล้ว”
“ไม่ต้องห่วงแฟนกูหรอกไอ้ปัง กูดูแลเองได้” มกรพูดแล้วหันไปโอบไหล่เล็กของคนที่นั่งข้างกัน เรียกเสียงโห่จากเพื่อนและอาการแข็งขืนจากคนข้างๆได้ทันที
“น้องเขายอมรับมึงแล้วหรือไง” แชร์หรี่ตาลงเอ่ยถามอย่างจับผิด แน่ล่ะ เงินตั้งแสนห้ามีสิทธิ์ปิ๋วได้นะถ้าไอ้เด็กนี่เกิดยอมผ่านเงื่อนไขแรกของมันน่ะ “เมื่อเช้ากูยังเห็นมึงเดินหน้ายุ่งเข้ามาที่มหา’ลัยอยู่เลย”
“คนอย่างพี่แมนครับแชร์.. คนอย่างพี่แมน..” ชายหนุ่มหันไปยักคิ้วให้เพื่อนเป็นเชิงเยาะ  ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ณัฐวีร์เบี่ยงตัวออกจากแขนของเขาด้วยความอึดอัด
“ไม่ใช่นะครับ ผมไม่ได้เป็นแฟนพี่เขา!”
คำพูดนั้นทำให้มกรหันขวับไปมองทันที ดวงตาคมเข้มหรี่ลงอย่างเอาเรื่อง คิ้วหนาขมวดเข้าหากันจน มืออีกข้างที่ไม่ได้โอบร่างของณัฐวีร์นั้นกำที่เท้าแขนเก้าอี้ไว้แน่นจนเส้นเลือดปูดโปน
ตาที่มองสบกันกับณัฐวีร์นั้นเต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยวจนเด็กหนุ่มรู้สึกตกใจ เขาไม่เคยเห็นไอ้บ้านี่ทำตาแบบนี้ใส่เขามาก่อน หรือการที่เขาพูดความจริงซึ่งถือเป็นการปฏิเสธอีกฝ่ายอย่างชัดเจนออกไปอย่างนั้น มันจะทำให้คนๆนี้เสียหน้า..
ณัฐวีร์ลอบกลืนน้ำลายเมื่อเห็นว่ามกรไหวไหล่คล้ายจะขยับตัว
และพอเห็นท่าไม่ดีอย่างนั้น ป้อดที่นั่งติดกับมกรอยู่ก็ขยับจับแขนเพื่อนทันที
“ฮะ เฮ้ย..! .. แหม น้องนัทนี่ขี้อายนะครับ..”
จังหวะนั้นเองที่มีผู้ชายร่างหนาคนหนึ่งเดินเข้ามาที่โต๊ะพร้อมกับเสียงทัก
“เฮ้ย ว่าไงคุณลูกค้า มากันเร็วฉิบหาย กะไม่ให้ใครเขาได้เลือกก่อนเลยหรือไงวะ”
แล้วเหล่าเพื่อนของนายมกรก็ต่างถอนหายใจเฮือกใหญ่เหมือนจะโล่งอก.. รอดไปนะมึงไอ้เด็กเชี่ยเอ้ย
“อะไรกันพวกมึง ทำหน้าเครียดกันเชียว.. ให้นั่งรอแป๊บเดียวเอง.. น่าๆ รออีกกลุ่มนึงเดี๋ยวมันก็มาแล้ว เลี้ยวเข้าที่จอดแล้วเนี่ย”
“เออๆพี่ ยังไงก็เร่งพวกมันเร็วๆแล้วกัน พวกผมจะได้เข้าไปดูของสักทีแล้วจะได้ไปต่อกันเลย”
“ใจร้อนจริงๆวัยรุ่นพวกนี้ ของดีมันต้องค่อยๆดูค่อยๆเลือก..” เสียงเปิดประตูคลับทำให้เจ้าของร้านหันขวับไปทันที “นั่นๆ มานั่นแล้ว”
“ฉิบหาย..” เสียงสบถเบาๆจากไอ้ป้อดทำให้ทุกคนในโต๊ะหันไปมองตามสายตามันทันที “เชี่ยเอ..”
“งานเข้าอีกแล้วมึง พี่ออฟ อีกกลุ่มนึงพวกไอ้เอเรอะ..” แชร์ร้องถามขึ้นมาทันที แล้วก็ไม่ลืมที่จะผวาไปหาไอ้แมนเพื่อนรักที่ขยับลุกขึ้นทันทีเหมือนกัน
“อ้าวๆ พวกมึง.. อย่าบอกนะว่าเหยียบไส้ติ่งกันอยู่..”
“ถ้าล้วงตีนลงไปเหยียบม้ามมันได้ไอ้แมนก็ทำแล้วพี่..”
“เหี้ยแล้วไง”
ไอ้เอ.. คู่แค้นเก่าตั้งแต่สมัยมัธยมของมกร ต่อยตีกันมาตั้งแต่เรื่องผู้หญิงยันเรื่องพื้นที่เปรี้ยวกลางคืน แข่งกันตั้งแต่เรื่องหน้าตา เรื่องเงิน เรื่องความยิ่งใหญ่ของพ่อแม่มัน ไปจนถึงเรื่องความเลวของพวกมันนั่นแหละ ... ก็ไม่เข้าใจทำไมพวกมันไม่แข่งกันเรื่องความดี เรื่องเกรดเรียน เรื่องทำกิจกรรมบ้าง เห็นแต่ละเรื่องที่แข่งกันนี่สยองโลกทั้งนั้น
ที่สำคัญคู่นี้เหมือนเป็นศัตรูฟ้าประทานผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะมาแล้วหลายครั้ง โต้กันไปโต้กันมาเหมือนใครจะฆ่าไอ้ห่านี่ไม่ได้นอกจากกูคนเดียว.. ล่าสุดที่ทำเอาพวกไอ้แชร์ ไอ้ป้อดและปังตอต้องหัวหมุนก็คือ ไอ้แมนไปสอยเด็กไอ้เอมานอนกกสามวันสามคืน แล้วก็ขับรถกลับไปปล่อยไว้หน้าคอนโดไอ้เอ.. ดีเท่าไหร่แล้วที่ไอ้เอมันไม่ได้ตามมายิงทิ้ง แค่บุกเข้ามาฝากข้อความไว้ถึงคณะว่า “มึงอย่าพลาดแล้วกัน” เท่านั้นเอง
แต่นี่คือ
พวกมันต่างมีพ่อมีแม่เป็นคนใหญ่คนโต ดังนั้นจึงกินกันไม่ค่อยลงเท่าไหร่ พอฟัดพอเหวี่ยงกันทั้งคู่ ยังไม่มีใครยอมใคร ผลัดกันหาเรื่องไปมาเป็นเด็กเวรกันอยู่เนี่ย
“กูว่ากูพาพวกมึงไปก่อนดีกว่า ให้พวกไอ้เอมันรอข้างนอก ไม่ต้องเข้าไปพร้อมกันแล้ว เดี๋ยวก็ฉิบหายกันหมด ของข้างในไม่ใช่บาทสองบาท พวกมึงมีเงินจ่ายกูรู้ แต่ของมันหายาก กูอยากค้าขายมากกว่าอยากให้มันเสียหาย”
พูดจบเจ้าของร้านก็ผละไปรับแขก  แน่ละว่าทางนั้นก็มองเขม่นมาทางนี้ แต่เพราะจำนวนคนที่สูสีกันและเพราะยังอยู่ในคลับที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็นับถือเจ้าของคลับ จึงได้แต่มองกันไปมาไม่ได้วิ่งเข้าชาร์ทกันอย่างที่ทำบ่อยๆเวลาเจอกันข้างนอก
การเจรจากับพวกไอ้เอคงเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก แต่พี่ออฟก็จัดการได้ในเวลาแค่สิบนาที เจ้าของคลับเดินกลับมาพร้อมกับชักชวนเข้าไปด้านในซึ่งเป็นห้องเก็บของ
“ผมรอตรงนี้ก็ได้ครับ พวกพี่ตามสบายเถอะ..” ณัฐวีร์เอ่ยขึ้นเมื่อทุกคนกำลังจะลุกจากโต๊ะ
“ไม่ได้! เข้าไปด้วยกัน” มกรหันมาตวัดเสียงด้วยใบหน้าถมึงทึง
“แต่ว่า..”
“น้องนัท เข้าไปกับพวกพี่เถอะ..” ป้อดต้องออกโรงชวนเองในขณะที่ต่อดึงแขนเพื่อนแมนเอาไว้ .. แทนที่เพื่อนจะไปชาร์ตไอ้เอสงสัยจะชาร์ตไอ้เด็กเวรนี่ก่อนล่ะมั้ง.. อ้อนทีนเรอะเกิน
“นั่นสินัท เข้าไปด้วยกัน..” แชร์เอ่ยเสริมพลางพยักหน้าไปยังกลุ่มคนอีกกลุ่มที่มุมคลับคนละฝาก “ทิ้งไว้คนเดียวเดี๋ยวโดนหาเรื่อง.. พวกพี่เข้าไปกันหมด”
ณัฐวีร์มองคนพูดพลางมองไปทางกลุ่มคนชื่อเอ ทางนั้นเองก็มองมาไม่วางตา
“อย่าเยอะหน่อยเลยนัท.. มาด้วยกัน”
ยังไม่ทันที่ณัฐวีร์จะว่าอะไร เขาก็ถูกดึงแขนให้เดินตามมกรไปเสียแล้ว การขัดขืนเล็กน้อยเกิดขึ้น แต่เพราะมีคนปิดท้ายแถวถึงสามคน ดังนั้นถ้าขืนไปก็โดนสามคนนั้นรั้งไปด้วยอยู่ดี  สุดท้ายเขาเลยเอ่ยกับเจ้าของมือที่ลากเขาอยู่ว่า “ปล่อยผมเถอะ เดี๋ยวผมเดินไปเอง”
ประตูบานใหญ่มีคนเฝ้าอยู่ ออฟเจ้าของคลับเดินนำหน้าไปสั่งให้เปิดประตูรอคนอีกห้าคนที่เดินตามมาเป็นแถว
“พวกมึงจะเล่นอะไรก็เลือกๆดูกันได้เลย กูออกไปรับหน้าพวกไอ้เอมันก่อน คนของกูจะเตรียมเก็บใส่ตะกร้าให้พวกมึงเอง”
“เหอ..ทำอย่างกับมาจ่ายตลาด..”
“พวกมึงมันมาช็อปปิ้ง กูรู้หรอก ยาอยู่ทางขวาโน่น ปืนอยู่ในห้องเล็ก ส่วนผู้หญิงกูไม่ได้ติดเบอร์ แต่เสือกอยู่ในห้องกระจกทางซ้าย.. จะเอาใครชี้แล้วขึ้นไปข้างบนเหมือนเดิม คัดมาแล้ว ตรวจเลือดมาแล้ว ลอตนี้มาจากรัสเซีย แจ่ม..กูรับประกัน” พูดจบคุณเจ้าของคลับก็หันมามองณัฐวีร์ “อ้อ ..หวังว่าเด็กของมึงจะไม่ปากสว่างนะไอ้แมน”
ประตูถูกปิดไปแล้วแต่คนฟังอย่างณัฐวีร์นิ่งค้างไปทันที
ห้องนั้นจัดว่ากว้างพอสมควร มีคนอยู่ในนั้นร่วมสิบคน ต่างก็ใส่เสื้อโปโลสีดำสกรีนโลโก้ของคลับเอาไว้ที่อก ด้านขวาเป็นคล้ายตู้โชว์ธรรมดา ลึกเข้าไปมีประตูเปิดไปสู่ห้องเล็ก ส่วนด้านซ้ายเป็นตู้กระจกสว่างที่ด้านในมีหญิงสาวใส่ชุดบิกินี่นั่งอยู่เกือบสิบคน บ้างก็นั่งสูบบุหรี่ บ้างก็นั่งสนทนา.. และบ้างก็กำลังลูบไล้ชโลมครีมทาตัวพร้อมส่งสายตามาเมียงมองผู้เข้ามาใหม่ทั้งห้า
“เอาไง กูไปซ้าย..” แชร์เปิดประเด็นมาก่อนเลย
“กูไปด้วย.. น่าโดนของต่างชาติ” ต่อร้องเสริมแล้วเดินตามแชร์ไปติดๆ
“เดี๋ยวกูตามไป ขอเดินดูของในห้องก่อน” ป้อดปอดแหกแยกไปห้องปืน
“เออ กูไปดูด้วย..” แล้วเสียงมกรก็ทำให้ณัฐวีร์กะพริบตาเหมือนจะได้สติ
คงมีเด็กม.ปลายไม่กี่คนที่ได้เหยียบเข้ามารับรู้โลกแบบนี้ ยิ่งเป็นเด็กม.ปลายที่มีชีวิตธรรมดาๆแบบณัฐวีร์.. คาดว่าจะมีน้อยมากไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่จะได้เข้ามายืนคว้างอยู่ท่ามกลางอบายมุขโดยที่ไม่รู้จะจัดการกับตัวเองอย่างไร
เมื่อคนอื่นต่างแยกย้ายไปและยังมีเขายืนอยู่เพียงลำพัง หลังของมกรยังเห็นไหวๆและค่อยๆห่างออกมา ณัฐวีร์จึงตัดสินใจหันหลังกลับและเดินตรงไปยังประตูทางออกอย่างไม่รั้งรอ ในเมื่อทุกคนมีสิทธิ์เลือกว่าตัวเองจะทำอะไร เขาก็น่าจะมีสิทธิ์เลือกที่จะออกไปจากที่นี่โดยไม่ขออยู่รับรู้เรื่องพวกนี้ได้เช่นกัน
เด็กหนุ่มเดินผ่านประตูออกมาตรงไปยังประตูคลับ กระเป๋าเป้ที่อยู่บนหลังคล้องกระชับสองข้าง และขาก็ก้าวไปอย่างมั่นคงตรงสู่ถนนใหญ่ ผ่านลานจอดรถหน้าคลับไปได้เกือบครึ่งค่อนแล้วจึงได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งไล่มาพร้อมกับแรงกระชากจากเบื้องหลังจากร่างทั้งร่างปลิวหันกลับไปปะทะกับอกกว้าง
“โอ้ย!” ณัฐวีร์ร้องด้วยความเจ็บ แต่พอจะเงยขึ้นต่อว่าไอ้คนทำ มกรก็กระชากร่างเขาปลิวติดมือเดินตรงกลับไปที่รถ “โอ้ย! พี่แมน!! ปล่อยผมนะ”
แรงทั้งหมดที่มีเด็กหนุ่มใช้มันกระชากแขนออกจากมืออีกฝ่าย พร้อมทั้งรั้งร่างตัวเองไม่ให้ลอยไปตามแรงกระชาก แต่..มันไม่ได้ผล ณัฐวีร์จึงต้องใช้ทั้งเสียงร้องและกำปั้นฟาดไปที่แขนซึ่งยึดตัวเขาไว้
“โอ้ย!”
คราวนี้กลายเป็นเสียงร้องของมกรแทน เจ้าตัวหันหน้ากลับมาประจันกับณัฐวีร์และโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว มือใหญ่หนาที่กำกุญแจรถอยู่ก็ซัดโครมลงมาที่ข้างแก้มเล่นเอาร่างเล็กถลาไปชนกับรถที่จอดอยู่แถวนั้นทันที
“อึก!..”
ณัฐวีร์รู้สึกเหมือนโลกวูบติดๆดับๆ เดี๋ยวมีแสงสว่างเดี๋ยวมืดมิด เขาตกใจและไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ใช้ความจริงหรือเปล่า เด็กหนุ่มกะพริบตาที่รื้นน้ำตาก่อนจะตั้งสติมองไปยังอีกฝ่ายที่ยกมือชี้หน้าเขา
“ไอ้เด็กเหี้ย! ใครใช้ให้มึงทำร้ายกู ..เอาแม่งอีกสักหมัดดีมั้ย”
มือที่เงื้อสูงทำให้ณัฐวีร์ยกแขนขึ้นกันตัวโดยอัตโนมัติ ตอนนี้เขาหลับตาแน่นทำให้น้ำตาที่รื้นขอบอยู่เมื่อครู่ไหลลงมาอาบแก้ม..
เกิดอะไรขึ้น.. มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง?
ร่างเล็กโดนกระชากแขนให้เดินตามไปที่รถจนได้
“เข้าไป! กูทำดีด้วยมึงไม่ชอบ อ้อนมาตั้งแต่อยู่ในคลับแล้ว อยากได้แบบโหดก็ไม่บอก กูจะได้จัดให้ ไอ้สัตว์”
แล้วคำหยาบคายต่างๆนานาก็ประดังประเดกันเข้ามาจนณัฐวีร์ออกอาการเบลอไปเลยทีเดียว เขาถูกดันเข้าไปในรถ ยังไม่ทันได้รู้ตัว ความเย็นและเจ็บปวดก็แผ่มาที่ข้อมูล
แคร้ก!
กึก..
แคร้ก!
แขนข้างซ้ายห้อยต่องแต่งอยู่กับที่จับข้างประตูด้วยการรัดของ..กุญแจมือ
“!!!”
เด็กหนุ่มมองมันด้วยความตกใจ ใบหน้าที่ชาเริ่มบิดเบี้ยวด้วยความกลัว น้ำตาไหลออกมาอย่างที่เจ้าตัวไม่สามารถกดกลั้นไว้ได้
“ปล่อยกู!” เขาเริ่มร้องตะโกนและกระชากมือตัวเองอย่างแรง แต่ยิ่งกระชากตัวเองก็ยิ่งเจ็บ การใช้ขาถีบจึงเป็นทางเลือกของเด็กหนุ่ม แต่ก็ไม่นานนักเขาก็ร้องโอดโอยขึ้นมาอีกครั้ง เพราะมือหนานั่นทุบหน้าขาเขาเสียอั้กใหญ่ ทำให้มันเจ็บร้าวจนมันสั่นระริก
“ถีบกูเรอะ!”
ผั้วะ! ผั้วะ!
“โอ้ย!..”
มกรใบหน้าแดงก่ำ ดวงตานั้นแข็งกร้าว มือที่ชี้หน้าณัฐวีร์สั่นระริก “มึงอย่ามายั่วโมโหกูนะ หักหน้ากูต่อหน้าเพื่อนยังไม่พอ มึงยังมาทำร้ายกูอีก เดี๋ยวกูเข้าไปเคลียร์ข้างในก่อนแล้วค่อยออกมาเคลียร์กับมึงไอ้เด็กเวร”
แล้วประตูรถก็ปิดเสียงดังสนั่นโดยมีณัฐวีร์นั่งร้องไห้อยู่ด้านใน
แต่แทนที่เด็กหนุ่มจะได้นั่งนิ่งๆสงบจิตสงบใจ เหตุการณ์ด้านนอกนั่นกลับทำให้เขาร้องไห้ออกมาดังลั่นมากขึ้น
...





TBC

*******************

มกรเริ่มจะลายออกละ ตอนหน้าจะพิศาลมาเองเลยรึเปล่า อันนี้ขอไปแอบอ่านก่อนนะคะ 55555

ขอบคุณที่บอกว่าสนุกค่ะ  :hao5:
..เราคุยไม่ค่อยเก่ง แต่ยังไงจะพยายามมาอัพให้ทุกวันหยุดเสาร์หรืออาทิตย์นะคะ (เราทำงานจะว่างช่วงวันหยุด)

ขอให้สนุกกับการอ่านค๊าบบบ แหะๆๆ

อยากจะติหรือจะชมก็แล้วแต่คนอ่านเลยค่ะ #คนเขียนบอกว่าชอบ จัดมา!!   :katai4:


หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito
เริ่มหัวข้อโดย: rubymoona ที่ 28-10-2013 22:14:05
หมดแล้ว!!!สาบานได้ว่าหมดแล้วจริงๆเหรอคะ!!!!คนอ่านแทบจิกหัวทึ้งแขนตัวเองแล้ว!!!!โอ๊ย ฮือออออออออออออออออ
สงสาร สงสารล่วงหน้าไปเยอะๆเลย เห็นไหม พวกเพื่อนน่ะให้เขาไปกับไอ้เชี่ยพี่แมนจัง โอ๊ย ฮือ!!!!
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito
เริ่มหัวข้อโดย: sunshinesunrise ที่ 28-10-2013 22:31:41
ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกระทึก... ขอให้น้องรอด.... เซนส์น้องนัทก็เกือบดี... แค่ยังไว้ใจคนทำดีหวังผลมากเกินไป...  :katai4:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 3 [ส่งท้าย Halloween]
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 01-11-2013 00:05:33
ตอนที่ 3









“ไงมึง..”
เสียงนั่นทำให้ขาที่กำลังจะก้าวพ้นหน้ารถชะงักลง มกรหันขวับกลับไปมองด้านหลังตนเองทันที ก่อนจะนึกด่าทอความหละหลวมของตัวเองอยู่ในใจ..
เมื่อครู่เขาผลุนผลันออกมาจากคลับเพื่อตามไอ้เด็กเวรนั่น โดยลืมไปว่าไม่ได้บอกเพื่อน..และมีพวกไอ้เออยู่ด้านนอก
แบบนี้ก็สี่ต่อหนึ่งสิวะเนี่ย..
มกรสบถอยู่ในใจหากแต่ใบหน้านั้นนิ่งสนิท.. จะให้อีกฝ่ายรู้ไม่ได้ว่าลึกๆแล้วเขารู้สึกหวั่นไหวและกำลังหาทางหนีทีไล่อยู่มากมายแค่ไหน ดวงตาคมเข้มแข็งกร้าวนั้นเขม่นมองศัตรูคู่แค้นที่เข่นเขี้ยวกันมาหลายปีโดยไม่ได้สนใจเด็กหนุ่มที่อยู่ในรถเลย
“อะไรของมึงไอ้เอ”
เจ้าของชื่อยักไหล่ “ก็ไม่อะไร..กูออกมาดูหนังแขกเฉยๆ”
แล้วพวกมันก็พากันหัวเราะระรื่นโห่ฮาเป่าปากกันไป “แล้วไงวะ..นั่นเด็กใหม่มึงหรือไง เดี๋ยวนี้หันมาเล่นผู้ชายแล้วหรือ”
มกรยกมือขึ้นกอดอกยืนลงน้ำหนักขาเพียงข้างเดียว “แล้วมันหนักส่วนไหนของมึง.. ถ้ากูคิดจะมีอะไรกับผู้ชาย มึงจะหันตูดมาให้กูเล่นหรือไง”
“ไอ้สัตว์!”
แล้วยังไม่ทันจะพูดกันได้กี่คำเลย กลุ่มที่มีคนมากกว่าก็ผวาเงื้อหมัดมาแต่ไกลเสียแล้ว มกรยกเท้าถีบกระเด็นไปคนหนึ่ง ก่อนจะก้มหลบหมัดของอีกคนได้อย่างฉิวเฉียด เขาปล่อยฮุกขวาเขาที่ท้องจนมันร้องโอ้กตัวงอเป็นกุ้ง ก่อนจะเสยหมัดซ้ายเข้าลิ้นปี่ไอ้คนที่สามที่ทะเล่อทะล่าง้างตีนเข้ามาไม่ดูตาม้าตาเรือจนมันถอยร่นไป
แต่เพราะติดพันกับไอ้สามคนนี้ทำให้เขาพลาดโดนไอ้เอชกเขาที่โหนกแก้มขวาจังๆจนเซถอยไปหลายก้าว.. พอตั้งหลักได้ชายหนุ่มก็ถลาเข้าฟัดกับพวกมันอีกครั้งแลกกันไปคนละตุ้บคนละตั้บ
อย่างไรเสียการตะลุมบอนสี่ต่อหนึ่งต่อให้เก่งมากแค่ไหนน้ำน้อยก็ย่อมแพ้ไฟอยู่วันยังค่ำ
มกรถูกไอ้ตัวหัวหน้าสาวหมัดยาวเข้าซ้ำที่โหนกแก้มขวาตรงจนที่โดนครั้งแรกทำให้เขาถลามาซบลงบนกระโปรงรถของตัวเอง ตาที่บวมช้ำมองเห็นณัฐวีร์ที่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่ในรถ ทว่าเขาไม่มีเวลาสนใจเด็กหนุ่มคนนั้นนัก เขากลิ้งหลบแรงฟาดของเท้าไอ้เอไปอีกทางทำให้มันคว้าอากาศจนร่างมันเสียหลักและเปิดช่องให้ชายหนุ่มที่เป็นน้ำน้อยหาทางคว้าเอาตัวช่วยออกมา
ปัง!
เสียงปืนสนั่นขึ้นหนึ่งนัดในยามที่ฟ้าอับแสงตะวัน พวกที่รุมสะกรำสี่คนต่างหัวหดลงอัตโนมัติ และเสียงนั้นมันยังเรียกให้คนของคลับวิ่งออกมาหน้าตาตื่นอีกด้วย
“เฮ้ยๆ อะไรกันพวกมึง” เจ้าของคลับร้องโหวกเหวกมาตั้งแต่ประตู “ใครใช้ให้มามีเรื่องหน้าร้านกูวะ ขึ้นรถไปเลยไอ้แมนเดี๋ยวพ่อมึงก็พาลูกน้องมาปิดร้านกูพอดี”
“ไอ้เหี้ยนี่มันหาเรื่องกูก่อนนะพี่ออฟ!” มกรหันไปบอกในมือยังจ่อปืนไปที่ไอ้เออีกด้วย
“พอแล้วไอ้แมน มึงรีบออกไปจากตรงนี้เลยเดี๋ยวทางนี้กูเคลียร์เอง” แชร์วิ่งมากระชากร่างสูงกว่า 180 เซนต์ไปที่รถ ถึงตัวเจ้าแชร์จะพอฟัดพอเหวี่ยงกับมกร แต่เวลาโกรธก็เอามันไม่อยู่เหมือนกัน “ไอ้ป้อด มาช่วยกันเอามันเข้ารถ ไอ้ต่อมึงไปช่วยพี่ออฟเคลียร์ทาง”
ต่างคนต่างแยกย้าย พี่ออฟนั้นมีลูกน้องอีกสามสี่คนมาลากปนล็อคเอากลุ่มไอ้เอที่ยังมีท่าทางกระฟัดกระเฟียดออกไปจนพ้นทางรถ ส่วนแชร์กับป้อดก็ดึงเอาตัวมกรมาถึงประตูด้านคนขับจนได้
“มึงกลับไปก่อนเลยไอ้แมนเดี๋ยวทางนี้กูดูแลให้เอง แม่งเอ้ยใครใช้ให้มึงยิงวะ ปืนเขามีไว้ขู่เฉยๆ ยิ่งไปเดี๋ยวชาวบ้านก็แตกตื่นกันพอดี” ไอ้แชร์บ่นยาวก่อนจะยัดตัวคนชอบหาเรื่องเข้าไปในรถ
ถึงจะมีท่าทีขัดขืนบ้างแต่เพราะเป็นเพื่อนที่รู้ใจกันมานาน มกรจึงไม่ได้ขัดขืนอะไรนัก ร่างสูงผลุบเข้าไปนั่งในรถทั้งที่ยังไม่หายโมโหและปืนก็ยังคามืออยู่เลย
“เฮ่ย.. แล้วนั่นอะไรวะ.. มึงต้องใส่กุญแจมือน้องเขาเลยเหรอ” ป้อดโวยวายขึ้นเมื่อมองลอดแว่นไปเห็นร่างเล็กที่สั่นระริกอยู่กับเบาะข้างคนขับ
“....”
ตาขวางๆของเพื่อนที่มองกลับมาทำให้ป้อดเปลี่ยนเรื่องไปทันที “เออๆ ไม่ยุ่งด้วยก็ได้..กลับบ้านดีๆนะมึง แล้วก็จะส่งน้องเขาลงตรงไหนก็ให้มันมีที่ทางโบกรถกลับบ้านได้ด้วยแล้วกัน”
มกรพยักหน้ารับเท่านั้นไม่ได้พูดอะไรตอบรับ ปืนที่อยู่ในมือค่อยคลายออกแล้วถูกวางส่งๆไปไว้ในที่คอนโซลด้านหน้าตนเอง เจ้าตัวทิ้งร่างลงกับเบาะเหมือนกำลังพยายามสงบจิตใจไม่ให้มันคุไปมากกว่านี้
แก้มซ้ายรู้สึกหนักๆตึงๆ และเจ็บแปลบทุกครั้งที่ขยับมุมปากยก หมัดขวาของไอ้พวกนั้นก็ใช้ว่าจะแรงน้อยนัก ส่วนท้องที่โดนอะไรสักอย่างระหว่างเข่ากับเท้าก็เจ็บไม่ต่างกัน ทั้งเจ็บทั้งจุก จนขยับตัวทีไรก็จะรู้สึกแปลบไปทั้งร่างเหมือนโดนไฟฟ้าช็อต หน้าแข้งที่ฟาดไปโดนลำตัวพวกมัน.. สงสัยจะมีเขียวมีม่วงอยู่หลายแผล..
วันนี้กลับไปถ้าไม่หยอดยาคลายกล้ามเนื้อเอาไว้ก่อนมีหวังพรุ่งนี้ลุกไม่ขึ้นแน่ๆ
มกรนั่งนิ่งข่มอารมณ์ได้พักเดียว ท่าทางปาดน้ำตาโดยไม่มีเสียงสะอื้นของคนข้างตัวก็มาปลุกความหงุดหงิดขึ้นอีกครั้ง
“ห่าเอ้ย!..”
นี่เขาลืมไอ้เด็กเวรนี่ไปเสียสนิทเลย สายตาหวาดกลัวของมันที่มองมาจากในรถทำให้เขารำลึกถึงสายตาของใครบางคน คนที่เคยใช้สายตาแบบนั้นมองดูเขา..เมื่อในอดีต..
แล้วก็ทำให้เขาไพล่นึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อสมัยนั้น.. คนๆนั้น..
สาบาน..กูจะไม่ให้มันเกิดขึ้นแบบนั้นได้อีก!
มกรทุบมือลงบนพวงมาลัยรถแล้วหันไปมองเพื่อนตัวเอง “ไอ้แชร์ คืนนี้มึงออนแคมได้เลย กูจะสดคลิปแรกให้”
“เฮ่ย..” แชร์ร้องเสียงหลง “มึงเอาจริงอ่ะเหี้ยแมน”
อารมณ์ตอนนี้ของเพื่อนไม่อยู่ในภาวะขัดใจ.. แต่ก็ไม่ควรปล่อยตามใจเหมือนกัน
เด็กนั่นเรียนม.ห้า เท่ากับว่าอายุไม่เกิน 18 แน่ๆ ถ้ามันเกิดจะเอาเรื่องขึ้นมา คาดว่าพ่อใหญ่แค่ไหนก็ต้องส่งผลกระทบถึงเพื่อนเขาไม่มากก็น้อย.. ถ้าจะให้ดี จะทำอะไรอย่ามีหลักฐานไม่ดีกว่าหรือ
“กูบอกแล้วว่าถ้าวันนี้ไม่ได้ปล่อยกูระเบิดตายแน่...” มกรกระชากเสียงด่าเพื่อน
“แต่ก็ไม่น่าจะทำแบบนั้น.. เชื่อกูดิวะแมน เดี๋ยวกูพาหญิงไปให้”
“ไม่เอา!” ชายหนุ่มตวาดแล้วหันขวับไปมองร่างเล็กที่ผวาเฮือก “กูจะเอามัน!”
“แต่ว่า..”
“ไม่มีแต่ไอ้แชร์ มึงไม่ได้กำหนดเงื่อนไขไว้ว่าต้องได้ยังไง เพราะฉะนั้นมันเป็นทางที่กูจะเลือกของกูเอง มึงมีหน้าที่จ่ายเงินกูมาเท่านั้น” มกรตวาดอึงพลางเอื้อมมือไปจับประตูรถ “พวกมึงถอยกันได้แล้ว คืนนี้ใครอยากดูของดีก็ออนแคม กลับไปกูจะออนไว้เลย พวกมึงเสร็จกามกิจของพวกมึงเมื่อไหร่ก็เชิญเปิดดู กูจะจัดการมันวันนี้แหละไม่ต้องรอพรุ่งนี้แล้ว”
“มาถึงตรงนี้เพื่อนมึงจะมีอารมณ์ไปฉุดผู้หญิงที่ไหนขึ้นห้องวะ..” ป้อดพึมพำแล้วขยับหลบทิศทางประตู เห็นประตูปิดสนิทดีแล้วจึงมองมกรเอาปืนหน้าคอนโซลรถลงเก็บไว้ที่เก็บของตรงประตูด้านข้าง
“ไอ้แชร์ มึงจะไม่ห้ามมันหน่อยเหรอวะ เด็กนั่นน่าสงสารนะเว้ย..”
“จะให้กูห้ามยังไงวะ มันฟังกูที่ไหนล่ะ..” คนพูดมองท้ายรถยุโรปสีดำที่เลี้ยวออกจากที่จอดรถแล้วได้แต่ถอนใจ “ได้แต่ภาวนาให้เด็กนั่นยังมีโชคช่วยอยู่บ้าง.. เอาเป็นว่าพวกมึงไปนอนบ้านกูดูแคมด้วยกัน..”
“เฮ้ย! อะไรของมึง กูไม่ไปดูด้วยหรอกนะ ไม่อยากดูผู้ชายได้กันนะเว้ย”
“ไอ้เชี่ยต่อ.. กูก็ไม่ได้อยากให้พวกมึงไปสุมกันที่บ้านกูนักหรอก.. ที่ต้องไปเพราะเผื่อมีอะไรจะได้รีบไปห้ามไอ้แมนมันได้ทัน.. ทำอย่างกับพวกมึงจำเรื่องนั้นกันไม่ได้”
คนฟังทั้งคู่ต่างก็มองหน้ากันแล้วแสร้างทำเป็นหัวเราะเบาๆกลบเกลื่อนเรื่องที่ผุดขึ้นมาในสมอง “ก็นึกว่าจะให้ไปนั่งดูไอ้แมนมันจัดการเด็ก”
“กูก็ไม่ได้เชี่ยขนาดจะนั่งดูมันนะ.. มันเริ่มเมื่อไหร่ก็ปิดภาพปิดเสียงไปเหอะ ตูดผู้ชายจะดูเพื่ออะไรวะ”
“งั้นพาทางนี้กลับไปสักสามสี่คนไม่ได้เหรอ.. ผลัดกันดูผลัดกันชม..ใครอยู่ที่คอมก็เฝ้าไปแตะมือกัน” ไอ้ป้อดนำเสนอด้วยสายตาเจ้าเล่ห์สุดๆ
แชร์มองหน้าไอ้หนุ่มแว่นแล้วถอนใจเบาๆ “ไอ้หื่น มึงโทรเข้าไปบอกพี่ออฟให้จัดมาสักห้าคน ไม่ต้องเข้าไปเอง เดี๋ยวไปเจอพวกไอ้เอก็มีเรื่องกันอีก แล้วเร็วเลยนะมึง จะได้กลับไปจัดการสักยกสองยกก่อนไอ้แมนมันจะจัดการเด็กมัน”
“ฮ่าฮ่า โธ่ กูก็นึกว่าแม่งจะรักเพื่อน”
เสียงหัวเราะดังลั่นปนเสียงด่ากันขรมดังอยู่ตรงลานจอดรถได้ไม่นาน คนกลุ่มนั้นก็พาสาวๆออกไปจากบริเวณมุ่งหน้าสู่ถนนสุขุมวิทเพื่อกลับคอนโด
....






จะจัดการ... จัดการอะไรงั้นหรือ?
ดวงตาหวาดระแวงลอบมองไปยังคนขับรถที่เหยียบคันเร่งน้อยกว่าเหยียบเบรก บนถนนสุขุมวิทในเย็นวันเสาร์อย่างนี้มีแต่ความอืดเอื่อยและขยับไปได้ทีละเซนอย่างเชื่องช้า ทำให้เด็กหนุ่มมีเวลาสงบจิตใจตนเองได้ไม่น้อย
ประโยคที่เกาะกินใจณัฐวีร์คือ “จัดการ”.. “มึงมีหน้าที่จ่ายเงิน”
เงินอะไร?
ณัฐวีร์รวบรวมสติที่กระเจิงไปกับภาพการวิวาทและเสียงปืน เขายังปาดน้ำตาอยู่เป็นบางครั้งแต่ไม่ได้สะอื้นหนักเท่าแรกๆอีกแล้ว ตั้งแต่ออกรถมาก็ยังไม่ได้พูดอะไรอีกเลย เจ้าตัวรู้ดีว่าช่วงเวลานี้เขาควรจะนิ่งเฉยให้ได้มากที่สุด เพราะเหยื่อที่ไม่มีทางหนีถ้าไปกระตุ้นอะไรนักล่ามากนัก.. เขาอาจต้องตายด้วยความโมโหของนักล่าก็เป็นได้
ดูสิ แค่ขัดใจนิดเดียวเขายังโดนตีแล้วโดนลากมาเอากุญแจมือล็อคห้อยต่องแต่งไว้เนี่ย ความที่ไม่อยากให้ข้อมือตัวเองเป็นรอยช้ำ เขาเลยต้องจับราวโหนไว้เหมือนโหนรถเมล์กันเลยทีเดียว
ถ้าจะลองพิจารณาให้ดีแล้ว..ปืนที่เห็นเมื่อครู่ไม่ได้ถูกเก็บไว้ในที่หยิบยาก มันวางอยู่ข้างที่นั่งคนขับนี่เอง ถ้าเกิดเขาบุ่มบ่ามไม่คิดให้รอบคอบ.. คราวนี้มันอาจไม่แค่ตีและยิงปืนขึ้นฟ้า..
วิถีกระสุนอาจวิ่งเจาะกระโหลกในระยะเผาขนนี่ก็เป็นได้
เรื่องทะเลาะวิวาทของมันที่โดนคนอื่นรุมน่ะช่างหัวมันเถอะ.. เขาน่าจะต้องมาคิดเรื่องทางนี้ทีไล่ของตนเองมากกว่า..
จากคำพูดของมันกับพวกเพื่อน ทำให้เขาสรุปเอาว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างที่เขายังไม่รู้.. หน้าฉากที่เป็นคนดีของมกร ทั้งพูดคุยด้วยดี ทั้งของที่ซื้อมาให้...และอ้อมกอดนั้น..ทุกอย่างถูกแสดงเพื่อเงินและความสนุกชั่วครั้งคราวกับเพื่อนๆกลุ่มนั้นหรือไม่..
ถึงแม้จะยังไม่ชัดเจน และถามออกไปตอนนี้ไม่ได้ แต่ความเป็นไปได้ก็มีสูงมากที่ผู้ชายคนนี้จะมีเกมอะไรสักอย่างที่ทำร่วมกับเพื่อน โดยมีเขาเป็นหมากในเกม.. ไอ้พี่แมนอาจถูกวางเงื่อนไขให้ต้องทำอะไรและถ้าทำสำเร็จก็จะได้เงิน..
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น.. หากเขาได้รับรู้เงื่อนไขและภารกิจไม่หนักหนาอะไรนัก..เขาอาจให้ความร่วมมือ ช่วยกันกับมันดำเนินการไปจนบรรลุเป้าหมาย มันก็จะได้เงินจากเพื่อน ..เขาก็จะปลอดภัย..และได้กลับบ้านเสียที
เรื่องเปิดแคม.. คลิปสดก็อีก.. อันนั้นอาจเป็นหนึ่งในภารกิจที่พวกนั้นกำหนดกันไว้ก็เป็นได้ ดังนั้น..ทางเดียวที่คนถูกล็อคมือติดรถไว้อย่างนี้จะรอดไปได้ ก็มีแต่ต้องให้ความร่วมมือไปด้วยเท่านั้น
ถ้าเขาหารายละเอียดได้.. แต่จะหายังไงล่ะ? ทางที่ง่ายที่สุดดูเหมือนจะเป็นการเอ่ยปากถาม แต่..เขาไม่กล้า ณ เวลานี้ คนขับรถมีคิ้วขมวดมุ่น แก้มซ้ายโย้ออกมา บางครั้งมือที่ว่างก็เลื่อนลงไปลูบหน้าแข้งซ้ายบ้างขวาบ้างเหมือนจะนวดให้บรรเทาอาการ และบางที่ก็ลูบไปที่ช่วงท้องตนเองเหมือนจะเจ็บยอกบริเวณนั้นไม่น้อย
คนอยู่ในเหตุการณ์แบบเขาเห็นภาพการถูกรุมทำร้ายของฝ่ายนั้นได้ดี และเห็นด้วยว่ามกรโดนไปกี่หมัด กี่เข่า กี่เท้า.. การที่ยังนั่งอยู่ตรงนี้ไม่ได้สลบไปเสียก่อนแสดงว่าเจ้าหมอนี่ก็อึดเอาเรื่อง
และถ้าเขาคิดว่าการร่วมมือที่ดีจะเป็นทางรอด.. เขาก็ควรจะเริ่มผูกมิตรไว้เสียตั้งแต่ตอนนี้เลย
“มองอะไร!”
ยังไม่ทันได้เอ่ยปากผูกมิตร ทางนั้นก็เหมือนจะตัดไมตรีมาก่อนเสียแล้ว
ณัฐวีร์อ้ำๆอึ้งๆ แล้วก็สูดหายใจเข้าลึกเหมือนตัดสินใจได้ “คือผมจะถามพี่ว่ามีทิชชู่ไหม”
คนฟังหัวคิ้วกระตุกวูบและเอียงตัวมาเหมือนจะหาเรื่องเต็มที่ “มึงร้องไห้เอง มึงก็เอาเสื้อมึงเช็ดสิวะ ต้องมาร้องหาทิชชู่ในรถกูทำไม กูไม่มีให้!”
ณัฐวีร์เอนกายหนีตัวลีบเลยทีเดียว ได้แต่ตอบรับไปอย่างด่วน “ครับพี่”
“แค่รถติดนี่กูก็หงุดหงิดพออยู่แล้ว! มึงยังเสนอหน้ามา...”
เสียงตำหนิติเตียนขาดห้วงไปทันทีที่ณัฐวีร์ยื่นมือที่มีผ้าเช็ดหน้าแตะเข้าที่มุมปากของชายหนุ่ม
“ไม่มีทิชชู่ก็ไม่เป็นไร ผมขอใช้ผ้าเช็ดหน้าแล้วกันนะครับ คือมันอยู่ในกระเป๋ากางเกง ผมยังไม่ได้ใช้เลย วางใจได้ครับพี่..เลือดออกนิดหน่อยครับ” แล้วเด็กหนุ่มก็ปาดเช็ดให้อย่างเบามือ
จะมีก็แต่มกรที่นิ่งขึงและผงะไปเล็กน้อยเมื่อแรกเริ่มเท่านั้น แต่ครั้นเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาไม่ดีเขาจึงยอมอยู่เฉยให้ณัฐวีร์เช็ดอย่างเบามือ ส่วนตาก็มองจ้องใบหน้าขาวซีดและดวงตาตี่หยีที่เพ่งมองแผลเขานั่น
“เรียบร้อยแล้วครับ..เลือดคงจะหยุดแล้วล่ะ” ณัฐวีร์ละมือลงแล้วกำผ้าเช็ดหน้าแน่น เขามองท่าทีของอีกฝ่ายก่อนจะตัดสินใจมองหน้านั้นนิ่งๆ แก้มโย้ของตัวเองก็คงไม่ต่างกับแก้มโย้ของฝ่ายนั้น แต่ของเขาน่าจะเบากว่ามากเพราะไม่ได้รสชาติของเลือดเค็มๆเลย
ชายหนุ่มเองก็มองด้วยความไม่เข้าใจ.. เด็กคนนี้จะว่าไปก็เหมือนจะดูไม่มีพิษมีภัยอะไร นิ่งๆเฉยๆ คุยด้วยนับคำได้ออกจะจืดชืดเสียด้วยซ้ำ..แต่ตอนนี้มันกำลังทำอะไร? ต้องการอะไรจากเขา..?
“เอ่อ..”
ปิ้น!
ยังไม่ทันที่ณัฐวีร์จะเริ่มผูกมิตร.. คราวนี้เสียงบีบแตรด้านหลังก็ดังขึ้นทำให้คนทั้งคู่สะดุ้ง ด้านหน้ารถกลายเป็นพื้นที่ว่างที่สามารถขับรถไปได้บ้างแล้วทำให้มกรสบถออกมาเบาๆ “รีบนักมึงไม่มาตั้งแต่เมื่อวานวะ”
แล้วคนพูดก็หันตัวมาขับรถออกไปคอนโดทันที
....







TBC


แฮร่!!!!! เกือบมาอัพในวัน Halloween ไม่ทันแน่ะ (ช้าไปติ๊ดดดดดดด) #โดนปลุกซะก่อน 555555

สุขสันต์วันฮาโลวีน นะคะทุกคน  :mew1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 3 [ส่งท้าย Halloween]
เริ่มหัวข้อโดย: rubymoona ที่ 01-11-2013 00:22:50
โอ๊ย ลุ้น!!! น้องเก่งมาก มีสติอะ ขอให้มันช่วยได้บ้างซักนิดก็ดีนะ ฮือ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 3 [ส่งท้าย Halloween]
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 01-11-2013 02:26:59
โอยยยยขอให้รอดนะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 3 [ส่งท้าย Halloween]
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 01-11-2013 11:06:13
ลุ้น น้องจะรอดรึเปล่าน่า
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 3 [ส่งท้าย Halloween]
เริ่มหัวข้อโดย: pornumpai-ka ที่ 01-11-2013 12:40:12
 :ling1:

ค้างงงงง  มาต่อเร็วๆ เลยน่ะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 3 [ส่งท้าย Halloween]
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 01-11-2013 12:43:40

ให้กำลังจายยยย ทั้งคนแต่ง และคนโปสคร่าาาาา
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 4 (04.11.13) อัพจ้าาา
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 04-11-2013 09:55:40
มาแว้วคร่าาาาาาา าา ขอโทษที่หายไปนาน (รึเปล่า) 5555

เพื่อไม่ให้เสียรมณ์ มาต่อกันเลยค่ะ  :katai4:




=======

ตอนที่ 4




จังหวะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับณัฐวีร์.. เขาปล่อยให้โอกาสดีๆแบบเมื่อครู่ผ่านไป และคิดว่าคงมาอีกได้ยากเมื่อสังเกตเห็นว่ามกรนั้นเริ่มจะหงุดหงิดมากขึ้นอีกครั้ง เหตุเพราะบัตรเข้าลานจอดรถที่คอนโดไม่สแกน
“แม่ง!...” ชายหนุ่มสบถยาวเมื่อต้องเปิดหน้าต่างรถยื่นเอาบัตรเข้าลานจอดไปสุดแขนเพื่อสแกนให้ใกล้กับตัวเครื่อง จนรปภ.ของตึกต้องวิ่งเข้ามาช่วย และพอเข้าไปด้านในได้จอดรถเสร็จ..อาการหงุดหงิดก็ยังไม่หายไป
มกรหยิบเอาลูกกุญแจมาไขกุญแจมือออกจากที่จับแต่ไม่ยอมไขปล่อยตรงข้อมือให้ณัฐวีร์ เด็กหนุ่มจึงทำได้เพียงมองข้อมือตัวเองที่เริ่มแดงเป็นวงอย่างหนักใจ
“ขึ้นไปข้างบนกับกู.. อย่าตุกติกนะมึง กูยิงไส้ไหล”
คนขู่หยิบปืนขึ้นมาเหน็บไว้ที่เอวแล้วปิดเครื่องเปิดประตูออกมาจากรถ ณัฐวีร์เองก็พาขาสั่นๆของตัวเองออกมาจากรถเช่นกัน เขารู้ว่าต่อให้วิ่งหนีตอนนี้ก็คงไปไหนไม่รอดเพราะขาตัวเองเจ็บหน่วงจากการโดนทุบอยู่แล้ว
“เอามือมา”
มกรจับมือข้างที่มีกุญแจมือและแบมือขอมืออีกข้างของเด็กหนุ่ม
“ไม่ต้องล็อคก็ได้ครับ..ผมไม่หนีไปไหนหรอก” ทางปลอดภัยคือโอนอ่อนอย่างเดียว ถ้ายอมให้อีกฝ่ายเอาแขนอีกข้างของเขาไปล็อคไว้เขาก็หมดทางช่วยเหลือตัวเองกันพอดี “เอาแบบนี้สิครับ ถ้าพี่กลัวใครจะเห็นกุญแจมือ..”
“กูไม่ไขออกให้หรอกนะ”
“เปล่าครับผมไม่ได้ให้ไขออก ..ผมจะเอามือซุกไว้ในกระเป๋าเป้แบบนี้” แล้วเด็กหนุ่มก็ทำตามที่ว่า
“แล้วถ้ามึงวิ่งหนีกูล่ะ..” มกรยังแข็งขืนไม่ยอม
“ผมจะวิ่งไปไหนได้ ตอนนี้ผมขาสั่นจนจะยืนไม่อยู่แล้ว.. ถ้ากลัวผมจะหนีพี่ก็จับมือผมไว้ก็ได้ครับ แต่อย่าล็อคผมไว้สองมือเลย มันจะเป็นที่ผิดสังเกตนะพี่”
ชายหนุ่มมองมือข้างว่างของณัฐวีร์ที่ยื่นมาให้พลางรู้สึกฉิวอยู่ในใจ “อะไรของมึงเนี่ย..”
“จับมือกันครับ”  ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็คว้ามือของมกรมาจับไว้ทันที “คราวนี้พี่จะยังไงก็ว่ามาเลย ผมไม่ได้หนีไปไหนแล้วนี่”
มกรเองก็รู้สึกเหมือนจะงงๆกับการกระทำของอีกฝ่ายไม่น้อย เขายกมือขึ้นลูบท้ายทอยตัวเอง “ขึ้นไปข้างบนก่อนแล้วกัน”
ชายหนุ่มพูดแล้วจึงดึงร่างของเด็กหนุ่มให้เดินตาม ความกระโผลกกระเผลกของคนทั้งคู่ทำให้เดินได้ไม่เร็วกันนัก ณัฐวีร์ก็เดินไม่มั่นคง มกรเองก็ใช่จะไม่เจ็บ กว่าจะผ่านประตูอัตโนมัติไปถึงลิฟต์ กว่าจะขึ้นไปถึงชั้น 30 ที่เป็นที่พักของมกรต่างคนก็ต่างเงียบตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเองกันทั้งสิ้น
มกรนั้นคิดแต่ว่าตนเองเจ็บและจะหาทางแก้แค้น ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าคนที่เขาเดินจับมือมาด้วยกันนั้นมองเขาด้วยสายตาเป็นกังวลแค่ไหน
ณัฐวีร์เฝ้าครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ที่ตัวเองจะเจรจากับอีกฝ่าย ทางหนีทีไล่หากตกลงยอมความกันไม่ได้ แล้วก็พบว่า.. เขากำลังจะเดินเข้าถ้ำเสือที่ไม่รู้ว่าจะหาทางออกจากถ้ำได้อย่างไร.. ถ้าเขาไม่ยอมทำตามอีกฝ่าย การเจ็บตัวแบบเมื่อเย็นก็คงเกิดขึ้นอีกครั้ง และณัฐวีร์ยังรู้สึกถึงมันอยู่เลย
ถ้าจะไม่ให้เจ็บตัว ก็มีแต่ต้องยอมตกลงตามทีอีกฝ่ายบอกไปก่อนแล้วค่อยหาทางหลีกเลี่ยงข้อตกลงอีกที
จากที่เห็นในคลับนั่น.. เขาหวังเหลือเกินว่าเงื่อนไขและข้อตกลงระหว่างพวกเขาจะไม่ใช่เรื่องอะไรที่ผิดกฎหมาย.. ยา ผู้หญิง อาวุธ อย่าให้เขาต้องไปร่วมขนของเหล่านั้น หรือต้องเป็นคนขายมันเลย..
ติ้ง!
เสียงร้องเบาๆของลิฟต์ดังขึ้นปลุกณัฐวีร์จากภวังค์ เขารู้สึกถึงฝ่ามืออุ่นที่ยังกุมมือเขาไว้.. ในลิฟต์กูไม่หนีไปไหนหรอกแม้นศรี..
ชายหนุ่มดึงเอาร่างเล็กให้เดินตามมา ชั้นที่ 30 มีห้องพักอยู่เพียงสองห้องเพราะมันเป็นชั้นสูงสุดของคอนโดนี้ ห้องหนึ่งเป็นของเขา อีกห้องเจ้าของเป็นชาวต่างชาติที่ปีหนึ่งจะมาพักที่กรุงเทพฯแค่สองสามหนเท่านั้น
การ์ดอิเล็คทรอนิคส์สำหรับเปิดประตูห้องถูกใช้งาน และเมื่อประตูเปิดออกณัฐวีร์ก็ได้แต่เบิ่งตาตี่ๆให้กว้างขึ้นอย่างประหลาดใจ
เขาเป็นลูกชายของครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง บ้านที่อาศัยเป็นอาคารพาณิชย์สามคูหาที่ด้านล่างเป็นร้านอาหารตามสั่ง และดาดฟ้าเป็นลานให้เล่นเตะบอลโกลหนูได้เท่านั้น ทำให้เด็กหนุ่มไม่เคยมีจินตนาการของคอนโดกว้างที่กรุกระจกจากเพดานจรดพื้นรอบทิศแบบนี้ไม่ออกเลย ชั้นที่อยู่ของห้องนี้ทำให้เห็นวิวของกรุงเทพฯได้ไกลเกินกว่าที่เขาเคยเห็น ยิ่งความสูงของห้องที่สูงเกือบสิบเมตรได้ยิ่งทำให้เขามองเห็นท้องฟ้าได้ไกลมากขึ้นไปอีก
ด้านขวามองไปสุดห้องมีเค้าเตอร์และส่วนของห้องครัวที่ดูยังไงก็ไม่เหมือนได้ใช้มาก่อนเลย มันสะอาดสะอ้านและไม่มีอุปกรณ์พวกถ้วยชาม แก้วน้ำคว่ำไว้ให้เห็น
ด้านซ้ายถูกจัดไว้ให้เป็นส่วนของเอ็นเตอร์เทนแบบโฮมเธียเตอร์และแบ่งสัดส่วนกั้นไว้สำหรับรับแขกด้วยโซฟาหนังสีครีมและโซฟาเบด สำหรับคนเป็นจำนวนเกือบสิบที่ ที่บริเวณไกลออกไปริมกระจกที่มองเห็นวิวกรุงเทพฯนั้นมีโซฟาเบดซึ่งทำจากหวายถักและชิงช้ารูปรังนกอยู่มุมหนึ่ง ส่วนนั้นสามารถเลื่อนประตูกระจกเปิดออกไปสู่ระเบียงที่มีสวนหย่อมเล็กๆตั้งอยู่ด้วย
อีกด้านมีบันไดไม้สีทะมึนเลาะเลื้อยและเปิดเปลือยไปกับผนังสู่ชั้นบนซึ่งน่าจะเป็นพื้นที่ห้องพักส่วนตัว ซึ่งแค่เห็นเพียงชั้นล่างแค่นี้ ณัฐวีร์ก็รู้สึกว่าตนเองอยู่ผิดที่ผิดทางเสียแล้ว
นอกจากนั้นยังคิดไปอีกว่า.. บ้านกว้างขวางใหญ่โตขนาดนี้ มกรเอามาจากไหน?
คนที่ยังเรียนมหาวิทยาลัยไม่จบดีถ้าพ่อแม่ไม่รวยล้นฟ้าหาเงินมาให้ใช้ เงินที่ได้มาซื้อห้องนี้ไว้ก็น่าจะมาจาก..งานทุจริต..
ซึ่งเมื่อคิดไปถึงเรื่องยา เรื่องอาวุธแล้ว ณัฐวีร์ก็ได้แต่ขนลุกวาบ.. คอนโดนี้อาจได้มาจากการขนยาค้าอาวุธก็เป็นได้
เด็กหนุ่มเบิกตามองเจ้าของห้องอย่างตื่นตระหนกในความคิดนั้นทำให้คนถูกมองเลิกคิ้วขึ้นอย่างหงุดหงิด
“มองอะไร..ไปนั่งตรงโน้นสิ”
มกรชี้นิ้วสั่งและละมือเดินไปทางห้องครัว ตู้เย็นที่ฝังแนบอยู่อย่างเนียนไปกับผนัง และสูงกว่า 2 เมตรทำให้ณัฐวีร์มองตามมือของเจ้าของห้องที่กดน้ำดื่มใส่แก้วสำหรับคนเดียว เด็กหนุ่มไม่ได้เดินไปนั่งตามที่อีกฝ่ายชี้นิ้วบอก ทำเพียงยืนมองอีกฝ่ายอย่างกระหาย
มกรหันมาเลิกคิ้ว เขาใช้หลังมือเช็ดริมฝีปากที่ชื้นน้ำของตนเองแล้วก็ต้องหน้านิ่วด้วยความเจ็บ มุมปากที่เห่อซ่านบวมช้ำไม่สามารถควบคุมทิศทางของน้ำได้ดีนัก
“จะกินน้ำหรือไง”
ณัฐวีร์นึกด่าคนถามอยู่ในใจ.. ไม่เคยมีเพื่อนมาบ้านหรือไงถึงไม่รู้ว่าต้องบริการแขกด้วยน้ำดื่มเย็นๆน่ะ
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับและมองอีกฝ่ายหันไปกดน้ำลงแก้วเดิมนั่นแหละ
“จะกินก็มาเอาไปสิ ต้องให้เดินไปประเคนหรือไง”
เด็กหนุ่มเหลือกตาขึ้นมองเพดานอย่างนึกโมโห แต่เขาก็ทำได้แค่ปล่อยให้อีกฝ่ายกดขี่ตนเองไปก่อนเท่านั้น ดูจากฐานะแล้ว ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนที่เขาจะไปล้อเล่นด้วยง่ายๆ คนมีเงินที่ซื้อคอนโดขนาดนี้ได้..ต้องมีอำนาจพอๆกับเงินแน่ๆ
ณัฐวีร์เดินช้าๆด้วยความปวดขาไปหาเจ้าของห้อง ยื่นมือรับน้ำแก้วนั้นอย่างกระหาย.. มองมุมของปากที่เจ้าของห้องเคยใช้แล้วเขาก็เบี่ยงมุมไปเสียใช้อีกด้านของมัน ซกมกจริงๆ เอาแก้วใบใหม่ให้ก็ไม่ได้
ดื่มน้ำไปได้เพียงจิบเดียว หางตาก็เห็นอีกฝ่ายเปิดตู้เย็นช่องฟรีซที่อัดแน่นไปด้วยอาหารสำเร็จรูปเลือกเอาอาหารห่อพวกนั้นอย่างเซ็งๆ
จริงสิ ตั้งแต่เลิกเรียนบ่ายได้แซนวิชไปคนละไม่มาก..ไปที่คลับ..มีเรื่องจนกลับมาบ้าน พวกเขายังไม่ได้กินอาหารเย็นกันเลย ทางที่ดีเขาควรจะหาอาหารใส่ท้องตุนแรงเอาไว้บ้าง และอย่างน้อย การเจรจาบนท้องอิ่มก็ต้องดีกว่าตอนหิวล่ะน่า
“พี่หิวหรือเปล่าครับ..ให้ผมทำอาหารให้ไหม?”
ณัฐวีร์เสนอตัวในขณะที่มกรชะงักมือในการค้นตู้เย็นเลือกอาหารเตรียมเข้าเวฟหันมามอง
“ทำเป็นหรือไง?”
คนถูกถามยิ้มให้ทันที “ขอผมดูหน่อยครับมีอะไรบ้าง”
เด็กหนุ่มวางแก้วน้ำและกระเป๋าเป้ตนเองลงบนเค้าเตอร์โต๊ะหินอ่อนและเดินเข้าไปดูของในตู้เย็นทันที
แกร็ก!
กุญแจมือที่ยังคาอยู่กระแทกเข้ากับตัวตู้อย่างจังทำให้ชายสองคนชะงักไปทันที ณัฐวีร์เหลือบตาขึ้นมองคนสูงกว่าที่ก็กำลังมองข้อมือเขาเช่นกัน..
“เอาออกได้ไหมครับ ผมทำอาหารไม่ถนัดแน่”
คนถูกขอร้องมองอย่างชั่งใจ แต่เมื่อเห็นท่าทางที่ผ่านมา พื้นที่ห้องซึ่งถือว่าเป็นถิ่นของเขา รวมทั้งสภาพร่างกายของอีกฝ่าย เขาจึงตัดสินใจไขกุญแจให้โดยไม่ได้พูดอะไร
ร่างสูงหย่อนตัวนั่งลงตรงเก้าอี้ที่มีไว้สำหรับเป็นส่วนรับประทานอาหาร มองร่างเล็กก้มๆเงยๆกับตู้เย็นของตนเอง หยิบโน่นนี่ออกมาหลายอย่างทั้งที่เขาไม่เคยรู้เลยว่าในตู้เย็นของเขาน่ะมันมีอะไรหรือไม่มีอะไร
ปกติแล้วเขาจะมีแม่บ้านมาทำความสะอาดให้อาทิตย์ละสามหน คือทุกจันทร์ พุธ และเสาร์ ซึ่งแม่บ้านนั้นเป็นแม่บ้านสัญญาจ้างกับบริษัทและมักเข้ามาตามวันเวลาที่เขาไม่อยู่ในห้อง วันนี้วันเสาร์แม่บ้านจึงเพิ่งจะทำความสะอาดเสร็จไปใหม่ๆและคงเติมอาหารไว้ในตู้ให้เขาด้วย..
อาหารสดมีน้อยกว่าอาหารสำเร็จรูปมาก เพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่ค่อยได้ทำอาหารเอง แต่ที่แม่บ้านมีติดไว้ให้เพราะมีบางครั้งเขาจะมีผู้หญิงมานอนค้างบ้าง และทำให้ทาน แต่ถ้าช่วงไหนไม่มีใครทำอะไร อาหารสดและอาหารสำเร็จรูปเหล่านั้นจะถูกเก็บกวาดโดยแม่บ้านของเขาเองเมื่อเห็นว่าสมควรเอาออกไป
“มีหมูคุโรบุตะหมักของซีพี มีข้าวสวยอยู่ด้วย แครอท ไข่ แล้วก็มีวุ้นเส้น.. งั้นผมจะผัดข้าวผัดแล้วทำเป็นแกงจืดวุ้นเส้นให้เป็นน้ำซุปนะครับ..พี่จะได้ซดคล่องๆคอ” ณัฐวีร์ร่ายออกมาขณะหยิบของออกจากตู้เย็นลำเลียงวางลงบนเค้าเตอร์
“ง่ายๆไม่มีหรือไง” มกรเอ่ยถาม.. ถ้าเขาอยู่ตัวคนเดียวไอ้ของที่ร่ายมานั่นคงโดนโยนให้แม่บ้านไปกินหมด ส่วนเขาก็ของสำเร็จรูปเข้าเวฟ หรือถ้าอยากอาหารไทยร้อนๆก็โทรสั่งขึ้นมจากเซอร์วิสข้างล่าง
ณัฐวีร์เงยหน้าจากกองอาหารสดแล้วยิ้มให้ “ไม่นานหรอกครับ.. ผมขอสิบห้านาที พี่ขึ้นไปล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนก็ได้”
“ไม่.. จะทำอะไรก็ทำไป” ใครจะปล่อยให้มันมีโอกาสหนีไปล่ะ
“งั้นก็ดีเลยครับ.. ผมไม่รู้ที่เก็บอุปกรณ์ ถ้าพี่นั่งอยู่ด้วยผมจะได้ถามได้ถูก”
มกรหน้าเบ้ไปก่อนจะพึมพำ “กูก็ไม่รู้..”
ชายหนุ่มนั่งอยู่ตรงนั้นมองอีกฝ่ายจัดการกับหมูหมักเป็นอย่างแรก เด็กหนุ่มฉีกถุงพลาสติกออกนำหมูชิ้นนึงมาหันเนื้อออกเป็นชิ้นบางๆแล้วพักไว้ เอาอีกชิ้นมาสับ หันไปเอาวุ้นเส้นแช่น้ำ แล้วล้างแครอทจัดการเปลือกของมันก่อนจะหั่นแครอทนั้นออกเป็นแบบลูกเต๋าเล็กๆ
“เราไม่มีน้ำมันเลย ผมใช้เนยแล้วกันนะครับ เห็นมีอยู่หลายแพ็ค” เด็กหนุ่มหันมาบอกแล้วเริ่มแกะเอาเนยออกมา แต่เพราะมันยังแข็งมากเด็กหนุ่มจึงหันไปสนใจกับน้ำซุปก่อน เวลาที่จำกัดทำให้เด็กหนุ่มเปิดเตาพร้อมกันสองเตา อย่างน้อยเขาก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องหงุดหงิดด้วยความโมโหหิวขึ้นมาอีก เดี๋ยวจะคุยกันไม่รู้เรื่อง
ด้วยความที่อุปกรณ์ไม่เอื้ออำนวย ซุปก้อนให้ความหวานก็ไม่มี ณัฐวีร์จึงนำหมูที่สับไว้มาผสมน้ำเล็กน้อย ส่วนหม้อที่ใช้ต้มก็ตั้งเตาเอาแครอทที่เหลือเทไว้กระทั่งน้ำเดือดดีเขาจึงเทหมูสับที่ผสมน้ำไว้ลงไป ขณะรอให้มันเดือด เขาก็หันมาสนใจกับกระทะ โยนเนยลงไปพอกระทะร้อนก็ใส่หมูลงไปผัดส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั้งครัว แครอทลูกเต๋าถูกใส่ตามลงไปผัดด้วยทันที
ขณะที่กระทะกำลังร้องฉ่าๆ น้ำในหม้อซุปก็เดือดพล่านพร้อมให้ใส่วุ้นเส้นลงไป เด็กหนุ่มปรุงรสด้วยน้ำปลา ซีอิ้วขาวเห็ดหอม เกลือ และใส่น้ำตาลอีกนิด ก่อนจะหันไปใส่ข้าวลงกระทะผัดอยู่ชั่วครู่ก็ใส่ไข่ตามลงไปและปรุงรส
เพียงไม่นาน ข้าวผัดหมูกรุ่นกลิ่นหอมของเนย และซุปวุ้นเส้นหมูสับร้อนๆก็ถูกนำมาวางไว้หน้าเจ้าของห้อง..
“ยี่สิบนาที.. ช้าไปนิดนึง แต่รับรองว่าอร่อยครับ” เด็กหนุ่มอธิบายพร้อมยิ้มให้ เสร็จแล้วตัวเขาก็หันไปตักของตัวเองใส่จาน
มกรนั้นเริ่มมื้ออาหารด้วยการดมกลิ่น เขายกจานขึ้นมาจรดจมูกแล้วก็รู้สึกน้ำลายสอขึ้นมาทันที ช้อนที่ณัฐวีร์ส่งมาให้จึงค่อยๆจ้วงลงไปตักคำแรกเข้าปาก.. เอาน่า เขาเห็นขั้นตอนหมดอย่างน้อยไอ้เด็กนี่ก็ไม่ได้ใส่ผงซักฟอกลงไปในข้าวให้เขากินหรอก.. หน้าตาก็พอดูได้ รสชาติคงพอกล้อม..แกล้ม..
เฮ้ย!
มกรทำตาโตเมื่อคำแรกที่ส่งเข้าปากทำให้เขาชะงักไปด้วยรสชาติของมัน หวานหอมกลมกล่อมไม่กล้อมแกล้มแล้วแบบนี้ ชายหนุ่มตักคำที่สองเข้าปาก คำที่สาม คำที่สี่โดยไม่รอให้ณัฐวีร์มานั่งลงที่โต๊ะด้วยกันเลย
คนทำที่หันกลับมาเห็นเจ้าของห้องมุ่งมั่นกับอาหารเลยได้แต่ยิ้มอย่างสมใจ.. เขาน่ะช่วยงานแม่ในครัวมาตั้งแต่เด็กเพราะที่บ้านเป็นร้านอาหารตามสั่ง.. ดังนั้นจึงค่อนข้างเชื่อมั่นในฝีมือตัวเองทีเดียว.. ไม่ต้องรอให้ชมเขาก็รู้ตัว
มื้ออาหารนั้นไม่มีเสียงพูดคุยใดๆกัน จนกระทั่งมกรกวาดคำสุดท้ายของจานเข้าปาก ในขณะที่ณัฐวีร์ยังเหลืออีกครึ่งจานเลยทีเดียว
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปมองเพราะรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องเขาอยู่ “ครับ?”
“หมดแล้วเหรอ?”
ณัฐวีร์ทำตาปริบๆก่อนจะตอบไป “ผมทำไว้สองจานเองครับ ..คือ..”
เมื่อกี้เขาว่ามันก็เยอะแล้วนะ.. ไม่อิ่มหรือไงกัน
ชายหนุ่มทำหน้าเสียดายก่อนจะสายตาตกลงมายังจานของณัฐวีร์ที่เหลืออยู่อีกกว่าครึ่ง
เฮ้ย..! แบบว่านี่ผมต้องแบ่งให้พี่ใช้ไหมเนี่ย
“อ่ะ..เอาไหมครับ? แบ่งกัน”
ไม่ต้องรอให้เชิญเป็นครั้งที่สอง มกรยื่นจานเปล่าของตัวเองมาให้ทันที และด้วยความเป็นเจ้าของห้องและณัฐวีร์ก็อยากจะเอาใจไว้ก่อน เด็กหนุ่มจึงตักส่วนในจานไปให้กว่าค่อน
“เดี๋ยวถ้าไม่พอในตู้เย็นยังมีข้าวเปล่าเหลือนะครับ ต้มจืดก็ยังมีอีกถ้วยหนึ่ง แล้วเดี๋ยวผมจะเจียวไข่ให้”
มันเป็นการเปิดกระทะเพื่อตัวเองล้วนๆ ณัฐวีร์บอกในใจอย่างนั้นเพราะเขาเพิ่งทานข้าวผัดไปได้ยังไม่ถึงครึ่งกระเพาะ เจ้าของห้องก็มาปล้นไปเสียแล้ว เด็กหนุ่มกรอกตาไปมาเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบอะไรกับข้อเสนอเขา ก้มหน้าก้มตากินลูกเดียว เขาจึงผละจากที่นั่งลุกขึ้นมาจัดการเจียวไข่ใส่ปูอัดขยี้เป็นเส้นบางๆ ผ่ามะนาวผสมน้ำปลากับน้ำตาลเล็กน้อยก่อนจะใช้พริกป่นผสมลงไปแค่พอให้หอมพริกและมะนาว โปะไข่เจียวลงบนข้าวสวยที่เพิ่งเอาออกจากเวฟควันยังกรุ่น ราดด้วยน้ำจิ้มทำมือเองพอให้มีสีสัน แล้ววางลงตรงหน้าเจ้าของห้องหนึ่งจาน ของเขาเองหนึ่งจาน
หยิบเอาถ้วยแกงจืดมาเติม ถึงแม้จะแค่น้ำกับเศษแครอทที่เหลือติดก้นหม้อ แต่ดูท่าทางมกรจะไม่สนใจว่ามันเหลือแค่ไหน ชายหนุ่มตักมันเข้าปากทันทีที่วางลงให้
ไม่นานจากนั้น..ณัฐวีร์ก็มองจานข้าวผัดตัวเองที่ไม่เหลือกระทั่งซาก จานข้าวกับไข่เจียวหอมพริกป่นและมะนาวที่ไม่รู้ว่ามันเคยเป็นอะไรมาก่อน รวมทั้งถ้วยแกงจืดที่ค่อยๆถูกปลดออกจากปากของมกรลงวางกับโต๊ะ..
อืม.. น่าจะอารมณ์ดีใช้ได้แล้วล่ะ..กินอิ่มขนาดนี้
หลังจากเก็บล้างเรียบร้อย ณัฐวีร์ก็หันมาทางเจ้าของห้องที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ตรงบริเวณโซฟาเบดหน้าโทรทัศน์เครื่องใหญ่ เขาเช็ดมือเสร็จก็ออกไปสมทบด้วยการนั่งลงอีกมุมนึงของโซฟา..
ฝ่ายที่อยู่มาก่อนแล้วเหล่ตามามองแล้วก็กดโทรศัพท์เรื่อยๆอยู่รอดูท่าทีของเขาอยู่ล่ะมั้ง นั่งกันอยู่เงียบๆในขณะที่เจ้าของห้องก็ไถโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ
เข็มนาฬิกาเดินไป หายใจทิ้งอยู่หลายนาทีฝ่ายนั้นก็ยังก้มหน้าก้มตากับโซเชียลเน็ทเวิร์คไม่พูดอะไร ข้างนอกจากที่ท้องฟ้าสีส้มๆ อยู่ลิบขอบฟ้า ..ตอนนี้มันก็เป็นสีทะมึนไปหมดแล้ว ไฟจากตึกรามบ้านช่องที่เปิดเอาไว้ก็ส่องสว่างสวยงาม..
แต่เขาคงอยู่แบบนี้ไปตลอดไม่ได้แน่
“เอ่อ...” ณัฐวีร์เริ่มออกเสียง.. อย่างน้อย..ถ้าฝ่ายนั้นจะไม่ทำอะไรอีก เขาก็ควรจะออกไปจากที่นี่เสียที “ผมกลับบ้านเลยได้ไหมครับ”
ทันทีที่ประโยคนั้นหลุดออกไป มกรก็ตวัดสายตาขึ้นมองทันที
“ยังกลับไม่ได้..”
ณัฐวีร์หลุบสายตามองมือตัวเองที่ประสานกันไว้ทันที “ทำไมล่ะครับ.. มันก็ดึกแล้วนะครับ ผมว่าถ้าพี่ไม่มีธุระอะไรแล้วผมกลับก่อนพรุ่งนี้ค่อยคุยกันดีไหมครับ”
“บอกว่าไม่ได้..อะ..”
ด้วยความที่เจ้าของห้องขยับตัวอย่างรวดเร็วมาทางณัฐวีร์ ทำให้ความเจ็บที่ท้องแล่นปลาบขึ้นมาอีกจนได้.. อาการแบบนี้เขารู้ดีว่ามันจะอยู่ไปสักสองสามวัน การถูกชกต่อยเข้าตรงบริเวณที่เป็นเนื้อไม่มีกระดูกรองรับจะยอกปวดเมื่อผ่านไปสองสามชั่วโมงเสมอ ซึ่งถ้าจะให้ดีเขาควรนอนพักและหายาคลายกล้ามเนื้อกินเสีย
แต่โชคร้ายว่าเขามีแค่ยาแก้ปวดติดบ้านไว้เท่านั้นเอง
“พี่เจ็บขนาดนี้ไปพักไหมครับ.. มียาไหม”
ชายหนุ่มงอตัวมีมือกุมท้องเอาไว้ ตอนที่โดนมันยังไม่รู้สึก กี่หมัดก็ไม่รู้แต่กล้ามท้องก็ช่วยเขาไว้ได้มาก ถ้าไม่ออกกำลังมีหวังเจ็บหนักกว่านี้อีก
“ยาอยู่ข้างบน..” ชายหนุ่มนั่งกุมท้องขณะพูดเช่นนั้น “พาขึ้นไปหน่อยได้ไหม..”
ณัฐวีร์มองท่าทางเจ็บหนักของอีกฝ่ายแล้วก็รีบลุกขึ้นไปหาทันที “ค่อยๆนะครับ”
ร่างที่สูงกว่าทิ้งน้ำหนักพิงมายังร่างเล็กกว่า ขณะเดินขึ้นบันไดณัฐวีร์ต้องเกร็งขาที่ปวดล้าของตนเองเพื่อประคองกันขึ้นไปจนถึงชั้นบน.. โดยไม่รู้เลยว่านั่นอาจจะเป็นแผนของเจ้าของห้องก็เป็นได้
...


เจ้าของบ้านยกขวดน้ำเย็นขึ้นดื่มอึกใหญ่ก่อนจะใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กซับเหงื่อที่ออกตามหน้าผากของตนเอง อกกว้างนั้นเปลือยเปล่าขณะที่เบื้องล่างถูกพันไว้ด้วยผ้าขนหนูอย่างลวกๆ ด้านหลังมีเสียงครวญครางของหญิงสาวอย่างที่ฟังดูก็รู้ว่าเป็นเสียงจอมปลอมเสแสร้งขึ้นมา แต่..ใครสนล่ะ แค่พวกเขามีความสุขก็พอแล้ว..
“มันยังไม่ออนเลยว่ะ..” ปังตอร้องบอกขณะที่จดจ้องหน้าจอรอดูว่าเมื่อไหร่เพื่อนที่นัดกันไว้จะเปิดโปรแกรม
“เดี๋ยวก็มามั้ง.. มึงก็ไปเหอะ เดี๋ยวกูดูให้ จะเล่นห้องนี้หรือไปห้องโน้นก็เรื่องของมึง เลือกเอา..”
แทคมือเปลี่ยนตำแหน่งกันแล้วแชร์ก็ลงนั่งหน้าจอแทนที่เพื่อน
เขาเช็กเฟสบุ้คเป็นการฆ่าเวลา ซึ่งไม่นานจากนั้นโปรแกรมแชทก็กะพริบเตือน..
“มาแล้ว..”
มันเป็นข้อความสั้นๆที่ส่งมาจาก....มกร


.......


TBC



ไปทำงานก่อนละค๊าบบบบ เจอกันอาทิตย์หน้าน๊าาา :mew1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskitoตอนที่ 4 (04.11.13) อัพจ้าาา
เริ่มหัวข้อโดย: pornumpai-ka ที่ 04-11-2013 13:55:35
 :katai4:

ย๊ากกกกกก  ค้างงงงงง 
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskitoตอนที่ 4 (04.11.13) อัพจ้าาา
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 04-11-2013 16:29:08
มุกุรส่งข้อความอะไรมา
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 4 (04.11.13) อัพจ้าาา
เริ่มหัวข้อโดย: mamarin_smile ที่ 04-11-2013 17:15:15
ค้างงงค่า :ling1:
 
มกร อ่านว่าอะไรคะ มะกะระ รึเปล่า :really2:

เราอ่านถูกมั๊ยเนี่ย??? :katai1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 4 (04.11.13) อัพจ้าาา
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 04-11-2013 17:32:51

 
มกร อ่านว่าอะไรคะ มะกะระ รึเปล่า :really2:

เราอ่านถูกมั๊ยเนี่ย??? :katai1:

อ่านเกือบถูกค่ะ อิอิ

มกร อ่านว่า มะ-กอน  แปลว่า มังกร

แอบถามคนแต่งมาเหมือนกันค่ะ 5555  :katai5:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 4 (04.11.13) อัพจ้าาา
เริ่มหัวข้อโดย: sunshinesunrise ที่ 04-11-2013 19:14:45
มันลุ้นมากๆ ลุ้นว่าน้องนัท จะใช้อีคิวที่มีอยู่หนีออกไปได้ไหม... บอกเลยว่า... ตื่นเต้นอ่ะ... เห้อ ๆๆๆ หายใจไม่คล่องเลย   :ruready
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 4 (04.11.13) อัพจ้าาา
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 04-11-2013 20:22:22
รักแรกของแมนเป็น ผช แน่เลย
แล้วคงทะเลาะกะเอเพราะคนนั้น .. เดาไปเรื่อย 55555
หนูน้อยจะรอดมั้ยเนี่ยย
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 4 (04.11.13) อัพจ้าาา
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-11-2013 19:51:24
เป็นกลุ่มที่แย่มากๆๆๆๆๆ
ภาวนาให้นัทหาวิธีเอาตัวรอดจากนาทีวิกฤตินี้ด้วยเถิด
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 4 (04.11.13) อัพจ้าาา
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 05-11-2013 21:45:45
นัทรอดเถอะ สาธุ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 4 (04.11.13) อัพจ้าาา
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 06-11-2013 00:10:31
อย่างค้างเลย
รอตอนต่อไปนะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 4 (04.11.13) อัพจ้าาา
เริ่มหัวข้อโดย: melody ที่ 06-11-2013 20:27:42
มันจะมารักกันได้ตอนไหนเนี่ย??
หรือจะเพราะเสน่ห์ปลายจวักของนัทกันนะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 4 (04.11.13) อัพจ้าาา
เริ่มหัวข้อโดย: Niinuii ที่ 07-11-2013 00:09:56
ลุ้นๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 4 (04.11.13) อัพจ้าาา
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 07-11-2013 23:34:52
มังกือ นายเป็นวุฒิที่สามแห่งเล้าเป็ดสินะ
อย่าทำให้ผิดหวังนะ
กำลังรอความเลวจากนายอยู่ 

 :m4: :m4: :m4: :m11: :m11: :m11:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 4 (04.11.13)
เริ่มหัวข้อโดย: แป้งข้าวหมาก ที่ 08-11-2013 08:56:56
อะไร๊ นายมกรส่งมาว่าอะไร อยากรู้ อ้ากกกกกกก
 :ling1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 4 (04.11.13) อัพจ้าาา
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 08-11-2013 09:52:06
มังกือ นายเป็นวุฒิที่สามแห่งเล้าเป็ดสินะ
 


อีกสองวุฒิของเล้ามีใครบ้างอ่าาา เราจะได้ไปหาอ่าน ที่เคยอ่านก็คู่ วุฒิจุม  อันนี้เลวมากกกกกกกกกกกกกกกกก

แต่มกร ไม่รู้ว่าจะเลวเท่ารึเปล่า โปรดติดตาม คึคึคึ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 4 (04.11.13) อัพจ้าาา
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 08-11-2013 09:58:48
ไม่แน่ใจว่า วุฒิบุพเพ หรือ วุฒิบำเรอรัก ใครมาก่อนกันอ้ะ

วุฒิบำเรอรักอันนี้แซ่บมาก มีฉากรุมขุมขืนนายเอกโดยพระเอกอ้ะ มันโหดจนเคยมีคนแจ้งแบนเรื่องนี้เลย

รอตอนต่อไปอยู่นะ  :katai2-1: :katai2-1:

หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 4 (04.11.13) อัพจ้าาา
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 08-11-2013 12:14:46
อารมณ์ดีหรือยังหว่าาา
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 5 (10.11.56)
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 10-11-2013 10:36:04
มาต่อแล้วจ้าาาา าาา หายเฮดไปหลายวัน คึคึคึ

มาดูว่าน้องนัทจะรอดหรือไม่!!




----------------


ตอนที่ 5




นาฬิกาบอกเวลาเกือบจะสามทุ่มแล้ว ณัฐวีร์ยืนมองเจ้าของห้องกรอกยาแก้ปวดลงปากและกำลังดื่มน้ำตาม พออีกฝ่ายทำท่าจะ

วางแก้วลงเขาจึงรับแก้วนั้นไว้แล้วจะนำมันไปวางที่โต๊ะทำงานไม่ห่างไปนัก

“เดี๋ยว วางนี่ก็ได้” มกรเรียกไว้พร้อมกับดึงมืออีกฝ่ายให้หันกลับมา เขาปลดแก้วออกจากมือนั้นก่อนจะเอ่ยให้อีกฝ่ายนั่งลงข้างๆ
กัน

ณัฐวีร์เองก็ทรุดตัวลงตามแรงดึง และเมื่อตัวตนอยู่ในระดับเสมอกัน ดวงตาจึงมองกันได้ถนัดมากขึ้น

ต่างฝ่ายต่างเงียบได้แต่มองกันไปมา

สำหรับมกรแล้ว.. แผนการของเขานั้นเปลี่ยนสลับไปสลับมาอยู่ในหัวระหว่างเริ่มต้นอย่างอ่อนโยน.. หรือรุกฆาตทันที เพราะตอนนี้

ที่ดึงณัฐวีร์ไว้ไม่ให้ไปตรงโต๊ะทำงานก็เพราะตรงนั้นเขาเปิดคอมไว้แล้วเรียบร้อย และหันกล้องมาทางนี้แล้วด้วย

การจะทำให้เด็กคนนี้เป็นของเขานั้นแค่กำลังกายก็สามารถทำให้ยอมสยบกับเขาได้ไม่ยาก ทั้งตัว ทั้งความสูงก็ผิดกัน.. แต่แบบ

นั้นมันเสียชั้นเชิง.. มันเหมือนเขาหมดท่า หมดทางที่จะหว่านล้อมให้ใครสักคนมีอะไรด้วย ทั้งที่เขาเคยภาคภูมิในเสน่ห์ของ

ตนเองมาตลอด ไม่เคยมีใครปฏิเสธถ้าเขาเอ่ยปาก

ทั้งเงิน ทั้งอำนาจ รูปลักษณ์ภายนอก.. ใครๆก็อยากยอมนอนอยู่ใต้ร่างของเขาทั้งนั้น

การที่เขาจะข่มเหงใครจึงเป็นเรื่องสุดท้ายที่เขาคิดจะกระทำ ถ้าเข้าตาจนจริงๆค่อยเลือกทางนั้นก็แล้วกัน..

จริงอยู่ว่า สำหรับณัฐวีร์แล้วเขาเลือกจะใช้วิธีนั้น.. แต่หลังจากได้อยู่กันลำพัง เขากลับเริ่มโลเล.. ณัฐวีร์ดูแล.. เอาใจใส่ และโอน

อ่อนตามความต้องการของเขาแทบทุกอย่าง.. ถ้าเขาเริ่มด้วยความอ่อนโยน เด็กนี่อาจตอบสนองเขาขึ้นมาในทางที่ดีก็เป็นได้ เขา

อาจไม่ต้องเสียแรง และเสียท่าอะไรเลย

ส่วนทางด้านณัฐวีร์ เด็กหนุ่มมีแต่ความสับสน.. ก่อนหน้านี้เขาคิดอยู่ว่าตนเองนั้นอาจเป็นที่รักของใครสักคน ทำให้คนๆนั้นดูแลเขา

มาอย่างดีตลอดอาทิตย์ แต่อาจเพราะเขาทำอะไรไม่ถูกใจมกร เขาจึงโดนทำร้ายร่างกาย.. ต่อมาเมื่อความจริงเปิดเผยว่ามีอะไร

สักอย่างซ่อนอยู่.. เขาก็รู้สึกเจ็บร้าวในอก ความผูกพันที่ก่อตัวขึ้นช้าๆมาตลอดอาทิตย์ทำให้เขารู้ตัวว่าสิ่งที่ตนได้รับรู้มานั้นทำให้

หัวใจบีบรัดเสียยิ่งกว่าอีกฝ่ายไม่รักกันเสียด้วยซ้ำ

มันคือรักจอมปลอมที่มีขึ้นด้วยเงื่อนไขอะไรสักอย่างที่เขาเองก็ยังไม่รู้.. ซึ่งหนทางที่จะรู้และเจ็บตัวน้อยที่สุด.. เขาเลือกโอนอ่อน

ผ่อนตาม อยากให้ทำอะไรก็ทำ อยากให้ดูแลยังไงก็จะดูแล..

แต่..เมื่อต้องมานั่งจ้องตากับคนที่ทำให้หัวใจปวดร้าว.. เด็กหนุ่มก็ทนอยู่ได้เพียงไม่นาน..

เขาเสหลบตาและบอกตนเองว่าต้องทน ใจเย็นไว้.. สติเท่านั้นที่จะพาเขารอดออกไปจากที่นี่ได้.. ทั้งอาวุธ ทั้งกำลังที่อีกฝ่ายมี

เหนือกว่า จะให้อีกฝ่ายมีโอกาสทำร้ายเขาไม่ได้เด็ดขาด

“พี่แมนมีอะไรจะบอกผมหรือเปล่าครับ”

คำพูดของเด็กหนุ่มหมายไปถึงเรื่องที่เขาค้างคาใจ แต่กลายเป็นว่าคนฟังตีความว่าณัฐวีร์กำลังน้อยใจและเรียกร้องหาความรักและ

คำขอโทษจากการกระทำเมื่อเย็นของเขา

ซึ่งหากตีความเช่นนั้น ก็จะสามารถสรุปได้ว่า ณัฐวีร์อาจมีใจให้เขา และ..เรื่องต่อจากนั้นก็ไม่น่าจะยากสำหรับเขาแล้ว ชายหนุ่ม

นึกกระหยิ่มอยู่ในใจ.. พลางตีหน้าสลดรวบเอามือเล็กที่ตนดึงไว้ขึ้นมากอบกุมแน่น

“ต้องมีอยู่แล้วล่ะ.. นัทเองก็ต้องฟังพี่ให้ดีๆนะครับ”

เด็กหนุ่มถึงกับสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจในท่าทีนั้น.. ต้องเป็นแผน..ต้องมีแผนอะไรอีกแน่ๆ

“เรื่องเมื่อเย็นพี่ขอโทษ.. พี่ไม่น่าทำรุนแรงกับนัทเลย.. พี่ผิดเอง..” ชายหนุ่มจับมือเล็กขึ้นมา “ยกโทษให้พี่นะคราวหน้าพี่ไม่กล้า

ทำอีกแล้ว”

แล้วริมฝีปากอุ่นของมกรก็สัมผัสลงบนหลังมือนั้น

ณัฐวีร์รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังดูละครโรงใหญ่ เรื่องที่ต่างต้องชิงไหวชิงพริบกัน ต้องอ่านเกมให้ออกว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน และ

เราควรต้องตั้งรับอย่างไร.. รู้สึกเหมือนเขาจะอยู่ในเกมแก้ปัญหาที่มีซีนนาริโอสับไปสับมา ไม่ใช่แค่ปลูกผักเลี้ยงหมูไปวันๆเลย

ฝ่ายนั้นอาจทำดีกับเขาเพื่อหวังให้เขาช่วยงานอะไรก็เป็นได้.. พูดดีเพื่อผูกเขาไว้ใช้ ให้ความหวังเขา พาเขามาเห็นบ้านโอ่โถง

เพื่อให้เขารู้สึกว่าตัวเองก็จะทำเงินได้เยอะแบบนี้

เรื่องอาวุธอาจจะไม่ใช่.. เพราะเด็กอายุแบบเขา อยู่ในโรงเรียนมัธยมอย่างนี้ อาจเป็นสายส่งยาที่ดีเพื่อกระจายเข้าสู่โรงเรียนของ

เขาเอง  ซึ่งถ้าเป็นอย่างที่เขาคาดเดาไป.. หากอีกฝ่ายบอกให้เขาทำจริงๆ เขาอาจจะต้องรับปากไว้ก่อน.. พอรอดออกจากห้องนี้

ไปได้ค่อยหาทางแก้ไขกันอีกที

เอาล่ะ ในเมื่อเล่นมาแบบนี้เขาก็คงต้องเดินเกมไปแบบนี้

“จริงๆผมก็แค่ตกใจไม่ได้เจ็บตัวอะไรมากหรอกครับ..” เด็กหนุ่มยิ้มให้ก่อนจะค่อยๆดึงมือออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย.. ให้

เล่นเกมกันยังไงเขาก็ไม่อยากเปลืองเนื้อเปลืองตัวก่อนที่จะรู้ว่าภารกิจที่อีกฝ่ายจะให้ทำมันคืออะไรกันแน่..

แค่เปลืองใจไปนี่ก็เยอะพอแล้ว..

“ทำท่าแบบนี้แสดงว่ายังไม่ยกโทษให้พี่” มกรกระเถิบตัวมาเบียดอีกฝ่ายทันทีทำให้เด็กหนุ่มตั้งท่าจะถอยหนีไปอีกคำรบ ติดตรง

ที่มือของอีกฝ่ายโอบมาเกาะไหล่ไว้ไม่ยอมให้ถอยหนี

“อะ เอ่อ.. ไม่ครับ ไม่ใช่..” ณัฐวีร์ขืนร่างกายตัวเกร็งเลยทีเดียว แบบนี้ต่อให้มีสติดีแค่ไหนก็ไม่รู้จะทำยังไงได้เหมือนกัน จะขัดขืน

ก็กลัวอีกฝ่ายจะรู้ว่าเขามีความคิดจะไม่ยอมร่วมมือด้วย

“ถ้ายกโทษให้พี่แล้วก็แสดงให้พี่เห็นหน่อยสิ..”

ณัฐวีร์ฟังประโยคนั้นอย่างงงๆ จะให้แสดงยังไง?

“ขอพี่นะครับ..”

ยิ่งฟังประโยคถัดมายิ่งงง เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาอย่างสงสัย ซึ่งนั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่มีเงาดำเคลื่อนตัวทาบทับลงมา

สัมผัสลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดปลายจมูกทำให้ณัฐวีร์รู้สึกจั๊กจี้ แต่สัมผัสเปียกชื้นที่แลบเลียแผ่วผิวตรงริมฝีปากทำให้ร่างทั้งร่าง

ไหวเยือกและขนลุกเกรียวอย่างที่ไม่ทันได้รู้สึกตัวมาก่อน

เขา..กำลังถูกจูบงั้นหรือ?

คำถามนั้นถูกตั้งขึ้นในใจ ทว่า..ไม่ต้องรอคำตอบจากใครเพราะการกระทำของอีกฝ่ายบอกเขาอยู่แล้ว

ยิ่งเมื่ออ้อมแขนอีกฝ่ายกระชับร่างของเขามากขึ้น กดริมฝีปากย้ำหนัก พลิกปลายลิ้นกระตุ้นเร้าให้เขาตอบสนอง ณัฐวีร์ก็ยิ่งหูอื้อ

ตาลายไปกับความรู้สึกหวามหวานที่จู่โจมมาไม่ทันให้ตั้งตัว.. เด็กหนุ่มกำเสื้อของอีกฝ่ายไว้แน่นด้วยความตกใจกับสัมผัสที่ไม่เคย

รู้จัก และเริ่มได้ยินเสียงหัวใจและเสียงหอบหายใจของตนเองดังสนั่นหวั่นไหวคับหู

จริงอยู่ว่าเขาเป็นผู้ชายวัยรุ่นที่เคยช่วยตัวเองเพื่อปลดปล่อยตามธรรมชาติ เขาเคยรับรู้เรื่องต่างๆจากการศึกษาเองด้วยแผ่นที่ได้

จากพวกเพื่อน แต่การสัมผัสจากประสบการณ์จริง.. จูบ.. นี่คือครั้งแรก

และมันทำให้เขาหายใจไม่ออก ไม่รู้จะทำอย่างไร ความกลัวการถูกทำร้าย ความอ่อนล้ามาตลอดทั้งวันทำให้ออกซิเจนเหมือนจะ

ขาดและสติคล้ายจะดับวูบไปชั่วขณะ

มือเล็กสั่นที่เกาะแขนเขาแน่นค่อยๆคลายออก มันเลื่อนตกลงไปช้าๆเหมือนเจ้าตัวไร้การควบคุม ร่างเล็กที่กอดไว้ไม่แข็งทื่อเป็น

ท่อนไม้อีก แต่มันกลับอ่อนปวกเปียกอยู่ในอ้อมแขน ริมฝีปากนั้นไม่ขยับขยุกขยิกอีกต่อไป

เฮ้ย!

มกรผละออกจากร่างเล็กเพื่อจะพบว่าสติของอีกฝ่ายหลุดออกจากร่างไปแล้ว..

นี่เป็นครั้งแรกที่พบว่าการจูบกับใครสักคน เขาสามารถดูดวิญญาณของคนๆนั้นออกจากร่างได้ด้วย

“เฮ้..นี่.. นัท” ชายหนุ่มร้องเรียกพร้อมเขย่าร่างเล็กที่เขาปล่อยให้ทอดกายลงกับพื้นเตียง แต่ดูเหมือนร่างนั้นจะไร้การตอบสนอง

มกรหัวใจเต้นแรงขึ้นมาทันที ...ไม่ใช่ว่าจะมาตายในห้องเขานะเว้ย! มันเป็นโรคหัวใจหรือเปล่าเนี่ย?

ไม่รอช้า ชายหนุ่มรีบจับชีพจรนับตามการเรียนรู้ที่เคยผ่านมา ภาวะหายใจที่เฝ้าสังเกตก็สม่ำเสมอดี ใบหน้านั้นถึงจะซีดขาว แต่ก็

ไม่ได้เขียวคล้ำเหมือนคนใกล้จะเกิดภาวะจากโลกนี้ไป ทำให้ชายหนุ่มเบาใจได้เล็กน้อยว่าการเต้นของหัวใจนั้นอยู่ในสถานการณ์
ปกติ

แต่ที่หมดสติไปนี่อาจเพราะณัฐวีร์มีอาการขาดออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง หรืออาจจะตกใจ อ่อนล้า จะด้วยเหตุผลบ้าบออะไรก็แล้ว

แต่.. ทว่ามันทำให้เขาเดือดร้อนโว้ย!

ชายหนุ่มสบถอย่างโมโหก่อนจะรีบโผไปที่ผ้าขนหนูผืนเล็กของตัวเอง วิ่งเข้าห้องน้ำเอาผ้าชุบน้ำ ภาชนะที่จะใช้รองน้ำก็ไม่มี

ต้องลงไปเอาข้างล่างซึ่งก็คงไม่ทันใจเขา ดังนั้นตอนนี้เอาแค่นี้ไปก่อนแล้วกัน

ว่าแล้วชายหนุ่มก็เดินออกจากห้องน้ำเพื่อจะพบว่าร่างของณัฐวีร์..หายไปจากเตียงเสียแล้ว

“สัตว์! หลอกกู”

มกรวิ่งไปตามทางลงสู่ชั้นล่าง และพบว่าณัฐวีร์กำลังอยู่ตรงบริเวณหัวบันไดพอดี

“หยุด!” ชายหนุ่มตวาดก้องทำให้ร่างนั้นสะดุ้งเฮือก

ณัฐวีร์หันหน้ามามองอย่างหวาดผวา ขาเขาสั่นทำให้วิ่งได้ช้า ยิ่งมาถึงช่วงบันไดที่ไม่คุ้นเคยแบบนี้เขายิ่งกลัวจะก้าวพลาด และยิ่ง

เห็นร่างสูงทะมึนวิ่งเข้ามาหา เด็กหนุ่มยิ่งผวาจนตัวเกร็ง

“พี่ครับ พี่ อย่าทำอะไรผมเลย!” เด็กหนุ่มทรุดตัวลงกับพื้นยกมือขึ้นไหว้ทันที “ผม..กลัวแล้ว”

เสียงช่วงท้ายนั้นสั่นเครือ ดวงตาของเด็กหนุ่มที่มองเงยขึ้นมาแดงก่ำ และวาววาบไปด้วยน้ำหล่อเลี้ยงที่เรียกว่าน้ำตา

หากแต่..มกรไม่ใช่คนที่เห็นความสิโรราบเป็นเรื่องควรยอมอ่อนข้อให้

ชายหนุ่มวิ่งเข้าถึงตัวก็กระชากแขนอีกฝ่าย แล้วเงื้อมือขึ้นตบซ้ำไปที่แผลเดิมจนร่างเล็กกว่าเซเอียงไปตามแรงตบนั้น

เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังก้องขึ้นอีกครั้งเมื่อมกรกระชากแขนเล็กลากมาตามพื้น

“โอ้ย! ปล่อยกู!!” ณัฐวีร์ร้องลั่นพร้อมกับใช้มือข้างที่เหลือพยายามแกะมือหนาที่จับกุมเขาเอาไว้

“มึงกับกู..ไม่มีการต่อรองใดๆอีก ไอ้สัตว์ กูดีๆไม่มีใครชอบ.. ให้กูเลวถึงจะพอใจกันใช่ไหม!”

มกรตะคอกเสียงดังสนั่น.. และมันเป็นเสียงที่ลอดเข้าไปในคอมด้วย

...



“เฮ้ย กูว่าท่าไม่ดีว่ะ..” ป้อดเอ่ยขึ้นเมื่อแชร์หันมามองหน้า

“กูก็ห่วง ฉิบหายถ้ามัน...” แล้วคนพูดก็ละประโยคนั้นไว้ให้อีกฝ่ายเข้าใจไปเองว่า..ใช้แล้ว.. ถ้ามันทำเหมือนเมื่อก่อนล่ะ

“ไปเหอะมึง ไปดูมันกัน”

แชร์พยักหน้ารับ “มึงไปแต่งตัว กูจะไปตามไอ้ปัง”

ทั้งสามคนรีบเร่งออกจากคอนโดของแชร์มาสู่ถนนยามดึกของแถบพักอาศัยที่หรูหราที่สุดในกรุงเทพ ใช้เวลาออกมาถึงคอนโด

ของมกรเป็นเวลาไม่เกินกว่ายี่สิบนาที

ด้วยความที่พวกเขามาที่นี่บ่อยถึงบ่อยมาก รปภ.ของตึกจึงเปิดให้เข้าไปด้านในโดยไม่จำเป็นต้องโชว์บัตรใดๆ และเพราะพ่อของ

มกรเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในกรม ทำให้รู้จักกับบริษัทของรปภ.นี้อย่างดีเช่นกัน

ทั้งสามคนมุ่งตรงสู่ชั้นที่ 30 และเมื่อไปถึงหน้าห้องพักก็ช่วยกันเคาะประตูเป็นการใหญ่

“ไอ้แมน! เปิดประตูเว้ย พวกกูเอง!”

ทั้งป้อดและปังตอเองก็เคาะประตูเสียงดังสนั่นด้วยเช่นกัน รอกันอยู่ชั่วอึดใจแต่ภายในก็ยังไม่มีเสียงของการเคลื่อนไหวใดๆเลย

“เอาไงดีวะแชร์ กูว่ามันไม่ธรรมดาแล้ว.. ให้ใครมาเปิดห้องให้ดีไหม?”

คนถูกถามพยักหน้ารับในขณะที่มือก็ยังเคาะประตูไปด้วย

“ไอ้แมน มึงเปิดประตูก่อนได้มั้ยเนี่ย.. เหี้ยเอ้ย กูไม่น่าไปท้ามันเลย ป้อดมึงลงไปบอกพี่ยามให้ที”

เจ้าของชื่อตอบรับและวิ่งออกไป ส่วนสองคนที่เหลือก็กระหน่ำเคาะประตูกันอย่างหนักใจ

ขณะที่ป้อดยังรอลิฟต์ ประตูของห้องพักนั้นก็เปิดออกช้าๆ

ร่างสูงของเจ้าของห้องอยู่ในชุดเปลือยอก บริเวณท้องมีรอยแดงช้ำซึ่งคาดว่าอีกไม่นานมันจะเขียวจนม่วง..เบื้องล่างพันไว้ด้วยผ้า

ขนหนูสีขาวผืนใหญ่..ที่บางส่วนบนผืนผ้ามีรอยเลือดสีแดงสดเปรอะเปื้อน

“ไอ้แมน..” เสียงร้องของปังตอทำให้เพื่อนอีกสองคนที่อยู่บริเวณประตูนั้นหน้าซีดเผือดไปตามๆกัน

“มึงทำอะไรน้องมันวะ” แชร์ถามด้วยเสียงเบาหวิว ดวงตาของเจ้าของห้องที่มองกลับมานั้นเต็มไปด้วยความหวั่นไหว

“กู...ไม่รู้”

“ไอ้เหี้ยเอ้ย..” แชร์ร้องด่าตัวเองมากกว่าจะด่าเพื่อน ถ้าเขาไม่คิดทำเรื่องนี้ขึ้นมา สถานการณ์แบบนี้คงไม่เกิดขึ้น

ชายหนุ่มผลักประตูก้าวเข้าไปก่อน แล้วเพื่อนที่เหลือก็กรูกันเข้ามา

ชั้นล่างไม่มีอะไรผิดสังเกต ไม่มีการแตกหักเสียหายของข้าวของ ทุกคนจึงมุ่งขึ้นไปชั้นบนที่เป็นส่วนของห้องนอน

เมื่อก้าวพ้นหัวบันไดขึ้นไปรอยเลือดหย่อมหนึ่งก็ทำให้ทุกคนชะงัก เดินตามรอยเลือดไปทางห้องนอน ประตูห้องที่เปิดแง้มไว้

ทำให้ไม่มีใครกล้าผลักเข้าไป ปังตอหันกลับไปมองไอ้เจ้าของห้องที่เดินตามขึ้นมาห่างๆ เห็นท่าทางมันแล้วเขาก็ได้แต่ถอน

หายใจ.. เหตุการณ์ในอดีตทำให้มกรเป็นแบบนี้หรือไร?

“อย่ามัวแต่รีรอสิวะ” ป้อดพูดก่อนจะเป็นคนแรกที่เปิดประตูเข้าไปก่อน

ห้องนั้นมีแสงไปแค่ตรงบริเวณหัวเตียง มันเป็นแสงจากโคมไฟสีเหลืองนวลที่ไม่ได้สว่างอะไรมากนัก แต่ก็ทำให้คนที่เข้ามาใหม่

ทั้งสามคนเห็นรายละเอียดบริเวณเตียงได้ไม่ยากนัก

เสื้อผ้าขาดวิ่นตกกระจัดกระจายอยู่โดยรอบ บางส่วนเห็นว่าเป็นของไอ้เจ้าของห้องแน่ๆ บางส่วนที่แปลกตาไปจึงไม่ต้องเดาว่า

เป็นของใคร

ร่างที่คว่ำหน้าอยู่บนเตียงนั้นถูกคลุมไว้ด้วยผ้าห่มหนาสีขาวสะอ้าน ผิวเนื้อของร่างบนเตียงนั้นขาวจัดจนเกือบจะกลืนไปกับผ้าห่ม

เกือบจะเป็นการนอนหลับธรรมดาแล้วหากว่าคนมาใหม่จะไม่เห็นใบหน้าที่ผินมาทางแสง..และพบว่ามันบวมเป่ง เขียวจนม่วง มือ

ที่เห็นว่าวางไว้เฉยๆแต่เมื่อก้าวเข้าใกล้จะพบว่ามันกำผ้าปูที่นอนแน่นจนเกร็งแข็ง ช่วงไหล่ที่โผล่พ้นผ้าปูขึ้นมาแดงช้ำ มีรอยมือ

และรอยฟันกระจายอยู่ และถ้าดูกันไม่ผิด ขอบของผ้าห่มนั้นมีรอยเลือดอยู่ด้วย

น่าจะเป็นรอยเลือดจากมือไอ้คนที่ดึงผ้าห่มมาปิดร่างเล็กนี้ไว้นั่นแหละ

แชร์เป็นคนแรกที่กล้าก้าวเข้าไปหาร่างน้อยนั่น เขาค่อยๆเปิดผ้าห่มขึ้นเพื่อจะเห็นสภาพร่างที่แทบจะเรียกได้ว่าแหลกเหลว ทั้งตัว

นั้นมีร่องรอยของการถูกทำร้ายด้วยมือและปาก เบื้องล่างมีรอยเลือดติดค้างอยู่ตรงต้นขาซึ่งเป็นรอยแดงสด ขาสองข้างที่อ้าออก

จากกันทำให้เห็นว่าบริเวณข้างใต้มีรอยด่างของคราบแห่งความสุขสม และอีกหลายประการที่เห็นได้ว่าร่างนี้ผ่านความรุนแรงใดมา
บ้าง

แต่ที่สุดแสนจะทนสำหรับเพื่อนทั้งสาม.. แขนข้างขวาที่บิดเบี้ยวผิดรูปวางพาดอยู่อีกด้าน

“ไอ้แมน!!”

เสียงตวาดของเพื่อนพร้อมกับสายตาที่หันกลับมาเขม่นมองทำให้เจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือกด้วยความรู้สำนึก..

ชายหนุ่มตัวสั่นถอยหลังไปพิงอยู่กับขอบประตู เห็นแบบนั้นก็ไม่มีใครอยากต่อว่ามันอีก แชร์ถอนหายใจเฮือกยาวก่อนจะเป็นผู้

ออกคำสั่งเสียเอง

“ป้อด มึงพามันไปแต่งตัวเดี๋ยวต้องพามันสองคนไปหาหมอเดี๋ยวนี้เลย.. มึงไอ้ต่อ ไปหาผ้าขนหนู เสื้อเชิ้ตไอ้เหี้ยแมนก็ได้มาสอง

ตัว หาไม้ยาวๆ หรืออะไรก็ได้แข็งๆแบนๆ ยาวประมาณศอกมาให้กูสองอัน กูจะทำเฝือกชั่วคราวให้เด็กนี่ ไปเลยเร็ว”

แล้วต่างก็แยกย้ายไปทำงานที่ตัวเองได้รับมอบหมาย แชร์นั้นเอาผ้าขนหนูที่ตกอยู่หน้าเตียงเขาไปชุบน้ำออกมาเช็ดหน้าเช็ดตัว

และรอยเลือดให้กับร่างที่แน่นิ่งอยู่บนเตียง ก่อนจะรีบไปหาเสื้อผ้าที่คิดว่าใส่ง่ายที่สุดให้แก่เด็กหนุ่ม ก็เสื้อผ้าไอ้คนที่ทำน้องเนี่ย

แหละ ตัวใหญ่ ใส่ง่าย

ไม่นานจากนั้นทุกอย่างและทุกคนก็มาพร้อมกันที่เตียง แชร์จัดการเอาทัพพีไม้ที่ต่อไปเอามาจากครัวทำเป็นเฝือกชั่วคราว ใช้เชิ้ต

ของเจ้าของห้องเป็นตัวพันประคองไว้ เขาใส่เสื้อผ้าให้ร่างกระปลกกระเปลี้ยนั่น แล้วพลิกเอาร่างนั้นขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนโดยมีต่อ

ช่วยประคองแขนอีกแรงหนึ่ง

“อือ..” ณัฐวีร์ร้องครางด้วยความเจ็บปวด หัวคิ้วขมวดเข้าหากันมุ่น ร่างของเขาถูกยกขึ้นมาพักบนตักของแชร์เพื่อจัดท่าทาง

สุดท้ายก่อนจะอุ้มลงไปด้านล่าง

ศีรษะเล็กเอนซบลงมาที่ไหล่กว้างโดยไม่ได้ตั้งใจทว่ากิริยาเช่นนั้นทำให้แชร์ต้องก้มมองใบหน้าเจ็บปวดของเด็กหนุ่มในอ้อมแขน

ความรู้สึกผิดที่ตนเองเป็นต้นเหตุของเรื่องทำให้เขายกมือของตัวเองขึ้นจับศีรษะนั้นเป็นการปลอบโยน

“ไอ้แมน..เอารถมึงออก รถมึงใหญ่กว่ารถกูน้องจะได้นอนสบาย”

เจ้าของห้องพยักหน้ารับรีบไปหยิบกุญแจรถแล้วยื่นให้ป้อด

“กู..ไม่กล้าขับมึงขับให้กูที” 

ใบหน้าซีดเผือดของเพื่อนทำให้ป้อดรับกุญแจรถมาอย่างสงสาร

เมื่อส่งกุญแจรถให้เพื่อนไปแล้ว มกรก็หันกลับไปหาคนที่กำลังพยุงตัวลุกขึ้นจากเตียงพร้อมร่างเล็กในอ้อมแขน

“ให้กูอุ้มเอง..” มกรเอ่ยออกมาขณะมองร่างเล็กที่แน่นิ่ง

แต่ครั้นพอเขาจะก้าวเข้าไปรับ แชร์ก็ถอยหลัง “ตอนนี้ ..มึงไม่ไหวหรอก”

ต่างคนต่างมองหน้ากันไปมา ดวงตาของมกรเริ่มฉายแววเอาเรื่อง “กูเป็นคนทำ กูรับผิดชอบได้”

“กูเป็นต้นเหตุ กูก็ต้องรับผิดชอบน้องมันเหมือนกัน”

กลายเป็นศึกต่อตากันระหว่างเพื่อนที่ทำให้คนกลางอย่างปังตอที่ยืนจับแขนคนเจ็บประคองไว้ต้องมาหย่าศึกให้

“พวกมึงจะเถียงกันทำไมวะ ใครอุ้มก็เหมือนกัน รีบไปเหอะ เดี๋ยวน้องมันก็เดี้ยงหนักกว่านี้หรอก เลือดมันออกอีกแล้วนะเว้ย”

เบื้องล่างเห็นเลือดซึมแดงเป็นวงอยู่ตรงกางเกงทำให้คนที่มัวแต่ถกเถียงกันต้องเลิกราทันที แชร์ประคองร่างเล็กลงบันไดมาอย่าง

ทุลักทุเลเพราะมีมกรคอยช่วยดันประคองร่างเล็กเอาไว้จากด้านล่าง แค่มีไอ้ปังตอคนเดียวคอยประคองแขนก็วุ่นวายกับบันไดกัน
จะแย่แล้ว

เกือบห้านาทีกว่าจะเคลื่อนย้ายคนป่วยจากชั้นบนลงมาชั้นล่าง แล้วก็เป็นไอ้ป้อดที่พูดขึ้นว่า

“กูไม่เข้าใจ..ถ้าจะห่วงตกบันไดกันซะขนาดนี้ ทำไมพวกมึงไม่เอาน้องมันใส่ผ้าห่มแล้วช่วยกันแบกลงมาคนละมุมวะ..”

คนฟังทั้งสามหันไปมองมันเป็นตาเดียว เล่นเอาคนพูดเริ่มปาดเหงื่อ “คือกูแนะนำไง..การลำเลียงคนเจ็บมันก็ต้องมีเปลใช่ป่ะล่ะ”

“มึงไม่พูดตอนพวกกูไปถึงโรงพยาบาลแล้วล่ะไอ้สัตว์ กูตกใจกูก็ลืมไปบ้าง” แชร์ร้องด่าแล้วรอให้ไอ้คนต้นคิดมันวิ่งขึ้นไปเอา

ผ้าห่มสีขาวบนเตียงลงมา แล้วจึงเริ่มลำเลียงคนป่วยลงไปที่ลานจอดรถอีกครั้ง

รปภ.ที่เห็นการลำเลียงคนเจ็บจากกล้องวงจรปิดต่างมายืนรอกันอยู่ที่หน้าลิฟต์และลานจอดรถ กลายเป็นการขนย้ายที่เอิกเกริก

มากอีกครั้งหนึ่ง

พอมาถึงรถปัญหาก็เกิดขึ้นอีก

“กูนั่งหลังเอง”

“มึงไปนั่งหน้าเหอะไอ้แมน ตัวใหญ่อย่างมึงมานั่งเบียดกับกูน้องมันจะนอนยังไง ให้ไอ้ต่อนั่งหลังกับกู”

“งั้นมึงก็ไปนั่งหน้าสิไอ้แชร์ เด็กนี่เดี๋ยวกูดูเอง”

“ไม่เป็นไร กูอุ้มน้องมันไว้ได้”

“แต่นี่เมียกู..”

คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นเกือบสิบชีวิตต่างชะงักงันไปกับคำพูดประโยคนั้น

“ห่านี่.. มึงถามน้องมันก่อนไหม..” คนที่ทุ่มเถียงกันมาตั้งแต่ข้างบนหลุดสบถออกมาพร้อมกับหัวเราะ ทำให้บริเวณนั้นคลาย

ความเครียดลงได้เยอะ

“ไอ้ต่อมึงไปนั่งหน้า กูกับไอ้แชร์จะนั่งหลังเอง”

เมื่อตกลงกันได้ชายหนุ่มสี่คนจึงค่อยๆปล่อยร่างในห่อผ้าห่มลงกับพื้น ปังตอไปขยับเบาะหน้าข้างคนขับให้เลื่อนขึ้นเพื่อมีพื้นที่

ข้างหลังพอสำหรับสองร่างที่จะนั่งอยู่ด้วยกัน

มกรนั้นช้อนร่างเล็กขึ้นในวงแขนรอให้แชร์เปิดประตูให้เขาจึงค่อยไถลร่างเข้าไปนั่งด้านหลังและพาดเอาขาของร่างเล็กขึ้นบน

เบาะ มือก็จับศีรษะนั้นให้ซุกซบอยู่กับซอกคอตนเองขณะรอเพื่อนทุกคนขึ้นรถ และมุ่งตรงไปยังโรงพยาบาลเอกชนที่ใกล้ที่สุด



...




TBC



ไม่รอดสินะ.......
 :katai1: :katai1: :katai1: 

หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 5 (10.11.13) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Palmpalm ที่ 10-11-2013 10:54:24
สงสารน้องจัง
ร่างกายไม่นานก็หาย แต่ใจนี่สิคงอยาก
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 5 (10.11.13) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: pornumpai-ka ที่ 10-11-2013 10:57:01
 :ling1: :ling1: :ling1:

ค้างงงงงง ต่อด่วน!!!!!!
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 5 (10.11.13) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-11-2013 12:05:55
เลวมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ...
นัท อย่าให้อภัยกันง่ายๆนะ ต้องทำให้รู้สำนึกทุกคนเลย :katai1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 5 (10.11.13) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 10-11-2013 12:54:11
โอ้ยยยย สงสารน้อง
สำนึกผิดตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วมั้งหนุ่มๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 5 (10.11.13) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: panari ที่ 10-11-2013 13:29:30
พระเอกเลวได้ใจ พี่แชร์จะเป็นเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดป่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 5 (10.11.13) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: แป้งข้าวหมาก ที่ 14-11-2013 07:07:34
โห...ไอ้เควี่ย  สงสารน้องจังต้องมาเจอคนแบบนี้
 :beat:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 5 (10.11.13) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: cho_co_late ที่ 14-11-2013 09:08:16
หรือแชร์จะเป็นพระเอกตัวจริง แมนโหดร้ายไป
รับไม่ได้  :katai1:
สงสารนัทอ่ะ น่วมไปทั้งตัว
เหตุการณ์นี้ส่งผลยาวแน่ๆ เฮ้อ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 5 (10.11.13) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 14-11-2013 09:08:47
 :m4: :m4: :m4:

เป๊ะมากกกกกกกกกกกก ในความเลวและเข้าข้างตัวเองสูง

ต่อไปจากนี้ปลายรองเท้าน้องนัทผู้เป็นที่รักยิ่งคงไม่ได้เห็นง่ายๆเเล้วสินะ :a9: :a9:

รอตอนต่อไปจ้าาาาาา มันค้างนะ  :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 5 (10.11.13) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 14-11-2013 13:47:48
เออะ สงสารเด็ก
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 5 (10.11.13) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 15-11-2013 19:32:33
พระเอกโครตตตตตตตตตเลวววววว สงสารน้อง TT
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 6 (17.11.13) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 17-11-2013 00:53:23
ขอบคุณสำหรับทุกๆ comment นะคะ  :hao5:

คนแต่งฝากมาบอกว่า  อย่าสงสารเด็ก.. ถ้าถึงเวลาเอาคืนก็แสบไม่น้อยกว่ากันหรอก  #รออ่านไปพร้อมๆกันนะคะ  :katai4:

มาอ่านตอนใหม่เลยดีกว่าค่ะ ..สุขสันต์วันลอยกระทงนะคะ  :katai3:  :katai3:

=========


ตอนที่ 6

ยามเช้าคืบคลานเข้าเยือน อาการปวดรุมพร้อมไข้ร้อนทำให้เด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงคนป่วยห้องพิเศษขยับตัวไป

มาอย่างกระสับกระส่าย ยาที่ฉีดเข้าไปในสายน้ำเกลืออาจจะออกฤทธิ์ดี แต่คนเจ็บ ยังไงก็ยังเป็นคนเจ็บ ดีแค่ไหนก็ยังเป็นคนเจ็บ

ที่ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด

มกรนั่งอยู่ที่ข้างเตียงนั้น.. เขารู้ว่าเขาทำอะไรลงไป..แต่เขาห้ามตัวเองไม่ได้ เขาห้ามการกระทำรุนแรงที่เกิดขึ้นไม่ได้ รู้ตัวว่าผิด

สิ่งที่ทำไปไม่เหมาะควร แต่ทำไปแล้วมันสะใจ มันได้รับการปลดปล่อย มันสบายใจมากขึ้น ไม่ปวดหัวหรือมวนท้อง ช่วงเวลานั้น

เป็นช่วงเวลาที่เขาแทบจะจำไม่ได้ว่าตนรู้สึกอย่างไร รู้แต่ว่าทำเท่าที่อยากทำ
เพื่อความสะใจของตนเอง..

แต่เมื่อเช้าวันใหม่มาถึง เมื่อสำนึกรู้ผิดชอบกลับมา.. เขาถึงได้รู้ว่าตนนั้นรุนแรงกับเด็กนี่เพียงใด

ในห้องผู้ป่วยนั้นเพื่อนของเขากระจายตัวอยู่ด้านหลัง บางคนหลับนกไปแล้ว บางคนก็อยู่ในโหมดสะลึมสะลือเต็มที่ ..แต่ยังไม่มี

ใครโทรบอกที่บ้านเขาเลยสักคน

เขารู้..ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และอีกไม่ช้า ที่บ้านเขาก็จะรู้จากปากคำของหัวหน้ารปภ.ที่พ่อเขาสั่งให้คอยดูแล จริงๆป่านนี้ก็อาจรู้

แล้วด้วยซ้ำ แค่..ยังไม่มา..เท่านั้นเอง

มกรคิดอย่างเศร้าใจ.. ตั้งแต่สมัยอดีต งานโรงเรียนที่เขาได้แสดง หรือกิจกรรมที่โรงเรียนจัดให้มีผู้ปกครองมาดู.. ไม่เคยมีใครมาดู

นอกจากเลขาของแม่ที่นำเงินบริจาคมากให้โรงเรียน หรือตำรวจหญิงใต้บังคับบัญชาพ่อถือของจากพ่อมาให้

ตอนจบการศึกษา ไม่เคยมีผู้ปกครองมาปัจฉิมนิเทศด้วย ตอนสอบเข้าเรียนไม่มีพ่อแม่มานั่งเฝ้า ตอน..ที่ทำดี.. ไม่เคยมีครอบครัว
มาสนใจ

หากแต่เมื่อถูกเรียกผู้ปกครองด้วยเหตุทะเลาะวิวาท มีเรื่องขึ้นโรงพัก หรือเพราะเขาไปทำระยำตำบอนอะไรสักอย่าง.. เขาจึงได้

เห็นหน้าพ่อหรือแม่ของตนเอง บางทีเรื่องใหญ่มากๆก็จะเห็นหน้าทั้งคู่พร้อมกัน..

มันจึงเป็นเรื่องที่ว่า.. “กูทำดีไม่ชอบกันใช่ไหม.. ต้องให้กูเลวถึงจะชอบใจกันสินะ..”

มกรมองใบหน้าของคนบนเตียงอย่างนึกสงสาร..เด็กนี่ทำให้เขานึกถึงอดีตที่เคยมีเรื่องใหญ่มากจนเขาต้องระเห็จไปอยู่ต่าง

ประเทศตลอดช่วงซัมเมอร์... ดวงตาของมันคล้ายกับแววตาของคนๆนั้น.. แม้ว่าจะคนละเพศแต่ก็คล้ายคลึงกันมาก

ตาที่มีทั้งความหวาดกลัว และความเคียดแค้น

คงโกรธเขามากสินะ.. โกรธเขามากแน่ๆ เหมือนผู้หญิงคนนั้นที่ตื่นขึ้นมาแล้วกรีดร้องใส่เขาอย่างหวาดผวา.. แม้จะพบกันแค่หน

เดียวหลังจากนั้น แต่ดวงตาของเธอก็ยังจดจำอยู่ในส่วนลึกของจิตใจนี้
แกร้ก!

เสียงประตูห้องถูกเปิดออก เวลานั้นเกือบจะหกโมงเช้าแล้ว เป็นพยาบาลที่เดินนำเข้ามาก่อนพร้อมอุปกรณ์ต่างๆ และตามมา
ด้วย..เลขาของแม่

หญิงสาวคนนั้นเดินเข้ามาเมียงมองที่เตียงคนป่วยแล้วบอกให้รับทราบว่าแม่ของเขาจะตามมาในอีกชั่วโมงข้างหน้า และเรื่องค่า

รักษาเธอได้ดำเนินการติดต่อกับโรงพยาบาลไว้เรียบร้อยแล้ว

แบบนี้ก็เท่ากับว่า..พ่อคงได้รับการติดต่อจากทางคอนโด และบอกแม่ให้แม่มาจัดการก่อน พ่อคงติดภารกิจอยู่ที่ไหนแน่ๆ

“ขอโทษนะคะคุณแมน.. ไม่ทราบว่าทางบ้านของน้องได้ทราบเรื่องหรือยัง..”

นั่นเป็นคำถามที่ทำให้มกรเรียกสติจากความรู้สึกน้อยใจบิดาขึ้นมาได้.. นั่นสิ เขายังไม่ได้ให้ณัฐวีร์ติดต่อที่บ้านไปตั้งแต่เย็นวาน

ป่านนี้ทางนั้นคงร้อนใจแย่แล้ว เด็กนี่ไม่ได้มีครอบครัวแบบเขานี่นา

“ยังไม่ได้ติดต่อ..จัดการให้หน่อยแล้วกัน”

เขาบอกชื่อจริงและนามสกุลของณัฐวีร์ให้แก่เลขาของแม่ เธอจึงออกไปจัดการ ซึ่งเรื่องแบบนี้ถ้าประสานไปทางพ่อเขาก็คงไม่มี

ปัญหาในการติดต่อครอบครัวเด็กนี่หรอก

ซึ่งก็เป็นไปตามที่ชายหนุ่มคาดว่า.. แถมครอบครัวเด็กนี่มาก่อนครอบครัวเขาเสียด้วยซ้ำ

“นัท..นัท..”

หญิงวัยกลางคนที่ปรี่เขาไปที่เตียงร้องไห้ตาบวมแดงมาก่อนอยู่แล้ว ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเธอคงจะรอการติดต่อจากลูกชายทั้งคืนไม่

ได้หลับได้นอนแน่ๆ

ส่วนผู้ชายที่มาด้วยกันน่าจะเป็นบิดาของณัฐวีร์ เขามองคนที่อยู่ในห้องนั้นทุกคนก่อนจะมาหยุดที่มกร การมองพินิจแบบนั้นทำให้

คนถูกมองกลืนน้ำลายอย่างลำบาก ก่อนจะยกมือไหว้

“สวัสดีครับคุณอา”

ฝ่ายนั้นไม่ได้ยกมือรับไหว้ทันที ดวงตาจ้องเขม็ง ชายร่างท้วมผิวขาวจัดความสูงไม่มากนักเดินตรงเข้ามาหามกร กลุ่มเพื่อนที่ตื่น

ตั้งแต่เลขาของแม่เข้ามาแล้วจึงขยับตัวเช่นกัน

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมนัทมันเจ็บหนักแบบนี้”

พ่อของณัฐวีร์เปิดปากถามเป็นเรื่องแรก ดวงตานั้นจ้องเขม็งไปยังมกรชนิดล็อคเป้าหมายว่าไอ้หมอนี่แน่ๆ

“ผม..มีเรื่องกับน้อง”

คิ้วของคุณพ่อขมวดหมับขึ้นมาทันที “มีเรื่องอะไรกันจนแขนหักแบบนี้”

ชายหนุ่มอึกอักไม่รู้จะพูดอธิบายอย่างไรดี จะให้บอกพ่อแม่เขาตรงๆว่าผมข่มขืนลูกพ่อครับ..มันก็ดูจะห้าวหาญเกินไป

“แล้วนี่หมอมาตรวจหรือยัง ฉันต้องการคุยกับหมอ”

มกรได้แต่ส่ายหน้า ใช้สายตามองไปยังพยาบาลเพียงคนเดียวของห้องที่ตรวจเช็กความดันและวัดไข้คนป่วยอยู่

“เดี๋ยวอีกสักชั่วโมงคุณหมอคงจะเข้ามาตรวจค่ะ”

“แต่ผมต้องการรู้ก่อน มีใครบอกได้บ้างว่าอาการของลูกผมเป็นยังไง.. ถ้าจะต้องแจ้งความผมจะได้รีบไปดำเนินการเสียเลย”

คนฟังทั้งกลุ่มยืนมองหน้ากันไปมาทันที ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้องมีเพียงเสียงเรียกชื่อลูกชายเบาๆของคุณแม่ณัฐวีร์

“ว่าอย่างไรคุณพยาบาล มีใครที่ผมพอจะสอบถามอาการลูกชายได้บ้าง”

นางพยาบาลพยักหน้าตอบรับ “งั้นเชิญทางด้านนี้ค่ะ จะให้พบคุณหมอก่อนเวลาตรวจ”

“เธอจะไปด้วยกันไหม?..” เขาหันไปถามภรรยา

“คุณไปเถอะ ฉันจะอยู่กับลูก ไม่รู้จะตื่นมาเมื่อไหร่” คนเป็นแม่ไม่ได้หันกลับมามองสามี เธอจับมือลูกชายเอาไว้และมองใบหน้า

ของเด็กหนุ่มอย่างรอคอย

ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งห้องอีกหน มกรขยับถอยมารวมกลุ่มกับเพื่อนของเขาปล่อยให้แม่ลูกดูแลกันเอง

ซึ่งไม่นานจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อเด็กหนุ่มขึ้นเบาๆ

“นัท..นัทรู้สึกตัวแล้วหรือลูก”

ประโยคนั้นทำให้ทุกคนผวาไปยืนอยู่เบื้องหลังของหญิงวัยกลางคนทันที จะมีก็แต่มกรเท่านั้นที่ยังไม่กล้าไปยืนใกล้ๆ

เขายอมรับว่ากลัว... กลัวว่าถ้าณัฐวีร์เห็นเขา อาจจะร้องขึ้นด้วยความหวาดกลัวก็เป็นได้.. เหมือนอย่างเด็กคนนั้น

ดวงตาหรี่เล็กค่อยๆกะพริบปรือขึ้น จังหวะแรกเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้ว่าตนอยู่ในสถานที่ใด ดวงตานั้นลอยคว้างเลื่อนไปมา จวบจน

มารดาเรียกอีกครั้ง ดวงตาเจ้าของชื่อจึงเลื่อนมาข้างเตียง

“แม่...” เสียงเรียกนั้นแหบพร่าเหมือนว่าเจ้าของเสียงผ่านการใช้เสียงมาอย่างหนักในค่ำคืนที่ผ่านมา เขาเอียงใบหน้าไถไปกับ

ฝ่ามือของแม่โดยลืมไปว่าแก้มซ้ายของตัวเองมีรอยฟกช้ำจากการถูกทำร้าย

“อูย..” เด็กหนุ่มครางเบาๆ ไม่ได้เจ็บอะไรมากที่ข้างแก้ม แต่กลับรู้สึกปวดหนึบที่แขนขวามากกว่า.. เขาหันไปมองแขนที่อยู่ใน

เฝือกสีขาวของตัวเองแล้วเบ้หน้าทันที

ภาพความรุนแรงเมื่อคืนหลั่งไหลเข้ามาในความทรงจำ เขาไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองต้องมาเจอกับเรื่องโหดร้ายอย่างนี้ ทั้งถูกซ้อม

ทั้งถูกข่มขืน... จากผู้ชายด้วยกัน.. เขาภาวนาให้มันเป็นฝันร้าย อยากให้ลืมตาขึ้นมาแล้วทุกอย่างกลับสู่ปกติ ห้องที่นอนอยู่คือ

ห้องเดิมของเขา ชุดที่สวมใส่เป็นชุดนอนที่แม่ซื้อให้ และแทนที่จะเห็นแม่ร้องไห้ ขอเป็นแม่กำลังโมโหที่เขาตื่นสายอยู่ก็ได้

คำภาวนานั้นชะงักเมื่อความรู้สึกบางอย่างบอกกับณัฐวีร์ว่า..สิ่งที่เขาร้องขอไม่อาจเป็นจริง..สะโพกเขาปวดร้าวลึก ร่างกายเขายัง
อุทธรณ์

น้ำตาจากความรู้สึกเจ็บช้ำค่อยๆรื้นขึ้นที่ขอบตาปิดสนิท โพรงจมูกแสบร้อนและรู้สึกลำคอตีบตันจนต้องปล่อยลมหายใจหนักหน่วง
ออกมา

“ฮึก..”

เด็กหนุ่มไม่ได้กลั้นเสียง พอๆกับไม่ได้กลั้นน้ำตา เขาปล่อยให้มันไหลลงมาช้าๆอาบข้างแก้ม

“นัทเจ็บตรงไหน ร้องไห้ทำไม.. ไม่เป็นไรนะ แม่ไม่ว่านัทหรอกที่ไปซนจนแขนหักมาแบบนี้” แม่ยังคงปลอบโยนร่างที่สั่นสะท้าน

เธอลูบศีรษะลูกชายเบาๆ “อีกเดี๋ยวก็หายนะลูกนะ”

ครับแม่...แผลพวกนี้อีกเดี๋ยวก็หาย.. แต่แผลใจของนัท..ไม่รู้อีกกี่ปีมันถึงจะหาย

ณัฐวีร์ฝืนลืมตาขึ้นมามองมารดา เขายิ้มให้ร่างที่พร่าเบลอนั้นรอให้แม่เช็ดน้ำตาให้แล้วจึงเปิดเปลือกตาที่มองภาพทุกอย่างชัดเจน
ขึ้นอีกครั้ง..

คราวนี้..ภาพกลับโฟกัสไปที่ด้านหลัง.. ยังร่างที่อยู่ห่างที่สุดของคนใจร้าย..

มกรตัวแข็งทื่อ ท่าทีที่อีกฝ่ายแสดงให้มารดาเห็นนั้นบอกให้เขารับรู้ว่าเจ้าตัวเจ็บปวดขนาดไหนกับการกระทำที่ผ่านมาเมื่อคืนนี้..

ยิ่งพอดวงตาคู่นั้นแลมาสบกัน เขายิ่งทำตัวไม่ถูก

จะกรีดร้องตวาดไล่เขาออกไปไหม

จะเขวี้ยงปาข้าวของใส่เขาไหม

จะแสดงความโกรธเกลียดใส่เขาไหม

ทุกการคาดเดาของมกรเป็นไปด้วยความหวาดกลัว

ทว่า.. ณัฐวีร์นั้นทำเพียงเบือนหน้าหนี.. ดวงตาฉายไว้เพียงความว่างเปล่า.. ราวกับคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ไม่มีตัวตนอีกต่อไป..

มกรไม่คาดคิดว่าจะได้รับท่าทีแบบนี้เป็นการตอบรับ เขาจึงยิ่งกว่าโดนตบหน้า..

ถ้าโกรธกันเกลียดกันแล้วแสดงท่าทีออกมาว่าโกรธเกลียดยังดีเสียกว่าแสดงออกว่าเขาไม่มีตัวตนแบบนี้..

ทำดีไม่มีใครชอบ ..เขาจึงเลือกจะทำเลวเพื่อให้มีคนสนใจ

แต่เด็กคนนี้.. ขนาดทำเลวใส่ก็ยังไร้ตัวตน ไม่มีค่าอะไรเลยในสายตานั้น..

มกรขมวดคิ้วมุ่น.. เคยทำดีให้ก็ไม่สนใจ.. ทำเลวไปก็ไม่สนใจอีก แล้วมันต้องทำอย่างไรกันเล่า เขาต้องทำอย่างไรให้อีกฝ่ายหัน

มามอง หันมาเห็นว่าเขาก็มีตัวตน

ชายหนุ่มขยับตัวเดินเข้าไปใกล้และทันได้เห็นว่าดวงตาของณัฐวีร์นั้นไหววูบขึ้นมาเล็กน้อย..

อ่า.. ต้องเข้ามาอยู่ใกล้ๆกันสินะถึงจะรู้ว่าเขาก็มีตัวตนอยู่ตรงนี้

ยังไม่ทันที่มกรจะเอ่ยอะไรออกไป ประตูห้องพักคนป่วยก็ถูกเปิดเข้ามาโดยไม่มีการเคาะ

คนที่ยืนอยู่ตรงทางเข้านั้นคือมารดาของมกร พวกเพื่อนๆของเขาจึงหันไปไหว้โดยพร้อมเพรียง

“สวัสดีพวกเธอ.. แมน.. นี่พากันไปหาเรื่องอะไรมาอีกล่ะ” แม่ของมกรเอ่ยทักหลังจากรับไหว้แล้ว

ซึ่งขณะนั้นเองที่มารดาของณัฐวีร์ก็หันมามองคนมาใหม่เช่นกัน..

ต่างฝ่ายต่างมองกันอย่างคนคุ้นเคย.. คล้ายจะคุ้นหน้าเหมือนว่าจะเคยเจอกันมาก่อน

“พี่มน..?” มารดาของณัฐวีร์เอ่ยชื่อนั้นออกมาก่อน

“..ณฐกา? ..นี่พี่มนจำไก่แทบไม่ได้เลยนะเนี่ย เธออวบขึ้นจนผิดหูผิดตา” มนธิชาร้องด้วยความยินดี เธอเดินเข้าไปหาในขณะที่

ร่างซึ่งนั่งอยู่ก็ลุกขึ้นมาเช่นกัน หญิงทั้งสองคนต่างสวมกอดกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“พี่มนทักเสียไก่ไม่กล้ากอดแรงเลย ..ดีใจจังค่ะ ไม่ได้เจอพี่มนมานานแล้วตั้งแต่พี่ไปเรียนอังกฤษโน่น”

“พี่ก็ดีใจเหมือนกัน อยากเจอพวกน้องๆ แต่พอกลับมาก็วุ่นๆเรื่องธุรกิจ คือพี่ต้องรับกิจการที่บ้านต่อน่ะก็เลยไม่ค่อยได้ติดต่อใคร
มากนัก เป็นสิบปีแล้วสินะเนี่ย”

“ใช่ค่ะพี่.. ไก่เคยได้ยินข่าวพี่มนจากพวกรุ่นพี่อยู่บ้าง แต่ไม่มีโอกาสได้เจอตัวกันเลย”

“พี่เองก็ไม่คิดว่าเราจะได้มาเจอกันในสถานการณ์แบบนี้นะคะ.. ว่าแต่เด็กคนนี้ลูกน้องไก่หรือคะ”

ณฐกายิ้มรับ “ใช่ค่ะ มาเจอกันสภาพดูไม่ได้จริงๆด้วยค่ะ”

พวกหนุ่มๆนั้นมองการทักทายของหญิงสองคนพลางลอบกลืนน้ำลายกันเป็นแถวๆ ต่างก็นึกไปว่า.. ซวยแล้วมึงไอ้แมน..พวกแม่ๆ

เขารู้จักกัน แถมดูเหมือนจะเป็นน้องรักกันเสียด้วยถึงขั้นจำชื่อจริงกันได้แบบนี้

“เอาล่ะ.. ใครก็ได้ เล่าให้แม่ฟังหน่อยว่าทำอะไรน้อง.. น้องถึงได้แขนหักแบบนี้”

แชร์ ป้อด ต่อ มองหน้ากันไปมา ต่างก็รู้อยู่ในใจว่าไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้ดีเท่าไอ้แมน.. พวกเขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ มีก็แต่

ไอ้แมนนั่นแหละที่อยู่ในเหตุการณ์สดจนเลือดท่วมจอเมื่อคืนนี้

มกรนั้นตั้งแต่แม่เดินเข้ามาในห้องเขาก็นิ่งขึงไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าแม่ของตนเองจะมีท่าทางแบบใด.. สายตาของเขายังคงจ้อง

มองไปยังณัฐวีร์ไม่วางตา แต่เด็กคนนั้นหรือจะสนใจอะไรเขา มันนอนเบิกตาอย่างตกตะลึงที่เห็นว่าแม่มันกับแม่เขาลุกขึ้นทักทาย

กันอย่างคนคุ้นเคย.. ดูหน้ามันสิ..ขาวซีดหนักกว่าผ้าปูที่นอนโรงพยาบาลเสียอีก

“ว่ายังไงแมน.. นี่ไม่ตอบแม่หน่อยหรือไง”

ชายหนุ่มหันมามองแม่ตนเองก่อนจะยักไหล่แล้วก้าวกลับไปทิ้งตัวลงบนโซฟาไม่ตอบอะไร

ทุกคนทางฝั่งนี้รู้ดีอยู่แล้วถึงปฏิกิริยาของมกรที่มีต่อผู้ปกครอง แต่ทางฝั่งโน้นไม่เคยรู้มาก่อน จึงทำท่าเหมือนจะตกใจกันทั้งแม่ทั้ง

ลูกที่เห็นอาการต่อต้านผู้ปกครองตัวเอง

“ให้มันได้อย่างนี้สิ..แล้วเราสามคนล่ะ..รู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”

คราวนี้กลายเป็นการไล่เบี้ยเอากับเพื่อนลูก ที่ต่างคนต่างก็เลิ่กลั่กไปมา

“เอ่อ..” กลายเป็นว่าคนที่อยู่บนเตียงคนป่วยส่งเสียงออกมาเสียเอง ทุกคนจึงหันไปหาต้นเสียงกันโดยพร้อมเพรียง ไม่เว้นแม้แต่
มกร

“ไม่มีอะไรครับ.. เราเล่นกันแล้วผมพลาดล้มแขนก็เลยหัก”

ประโยคอธิบายสั้นๆของณัฐวีร์ทำให้แบ่งความคิดคนฟังออกเป็นหลายฝั่งหลายฝ่าย พวกที่รู้เหตุการณ์ก็ได้แต่สงสัยว่าทำไมเด็ก

หนุ่มจึงพูดเช่นนั้น พวกผู้ใหญ่ก็สงสัยว่าเด็กหนุ่มพูดจริงหรือไม่ แต่ที่ทำหน้ายุ่งเหยิงที่สุดเห็นจะเป็นมกรเอง .. เขาไม่เข้าใจว่า

ทำไมณัฐวีร์ถึงพูดแบบนั้นออกมา

“จะไม่มีอะไรได้ยังไง!...” เสียงตวาดกัมปนาทดังมาจากทางประตู คราวนี้เป็นเสียงผู้ชายที่แสนจะคุ้นหูเหลือเกินสำหรับมกร
พ่อ..?

ชายหนุ่มยังนั่งอยู่ในท่าเดิม แต่เมินมองไปทางอื่นเหมือนไม่อยากจะสนใจใดๆในโลกนี้อีก ที่ตวาดมาแบบนี้ก็คงเพราะรู้แล้วว่า

เรื่องราวทั้งหมดมันเป็นยังไงแน่ๆ

บิดาของเขาเป็นถึงผู้ช่วยผบ. ว่างเดินสายมาหาแบบนี้ก็เพราะความเลวของเขานี่แหละ

“ไป.. ไปคุยกันข้างนอก”

พ่อของมกร พล.ต.ท.ลักษณ์เดินเข้ามาดึงไหล่ลูกชาย ส่วนพ่อของณัฐวีร์ คุณวีรชาติก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้าถมึงทึงไม่แตกต่าง
กัน

นี่ก็คงรู้เรื่องแล้วเหมือนกัน..ถึงทำท่าจะฉีกเขาออกเป็นชิ้นๆอย่างนี้ เผลอๆอาจไปฟังมาพร้อมกันล่ะมั้ง

“อ้าว..แล้วพวกเราล่ะคุณ” คุณมนธิชาเป็นคนเอ่ยถาม

“คุณอยู่ที่นี่กันก่อน..เดี๋ยวจัดการไอ้ตัวแสบแล้วจะเข้ามาหาข้อตกลงกับผู้ปกครองเด็กอีกที”

“มีอะไรก็พูดกันตรงนี้เลยเถอะค่ะคุณวี” คราวนี้เป็นคุณณฐกาเอ่ยขึ้นบ้าง “อย่างน้อยลูกเราก็อยู่ตรงนี้ ใครผิดใครถูกก็ว่ากันไป
เลย”

“ก็เพราะลูกเราอยู่น่ะสิ..ถึงต้องออกไปคุยกันข้างนอก”

“ป๊า..” เสียงเรียกบิดาของณัฐวีร์สั่นเครือ เด็กหนุ่มเหมือนจะร้องไห้ออกมาอีกแล้ว

“นัทไม่ต้องร้อง ป๊าจัดการเอง..”

“ถ้างั้นไก่ไปด้วย”

คนเป็นพ่อส่ายหน้า “ไก่อยู่กับลูกเถอะ.. เรื่องนี้พวกผู้ชายเขาจัดการกันได้”

ณฐกาลังเล เธอเป็นภรรยาที่ตามใจสามี แต่ก็รักลูก อยากไปด้วยแต่พอเห็นสามีขึงขัง และลูกไม่มีใครดูแล เธอก็อยากอยู่ดูแล

“เอาแบบนี้ พวกคุณไปกันแค่ผู้ชายเราแม่ๆก็ไม่สบายใจ.. มีอะไรฉันไปรับรู้เอง น้องไก่ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพี่มนไปแทนให้.. รับรอง
ว่าพี่ไม่เข้าข้างลูกผัวตัวเองแน่”

ทั้งคุณลักษณ์และคุณวีรชาติที่เห็นสองภรรยาเรียกกันอย่างสนิทสนมก็มองอย่างสงสัยทันที

“นี่คุณรู้จักกันหรือ?..” คุณลักษณ์เอ่ยถามและได้คำตอบอธิบายความสัมพันธ์อย่างกระจ่างแจ้ง

สรุปได้ว่าตอนนี้คุณพ่อคุณแม่รู้จักกันแล้ว และคุณมนธิชากำลังจะตามสองพ่อและหนึ่งลูกออกไปคุยกันข้างนอก

แต่เพราะจังหวะนั้นเองที่จู่ๆณัฐวีร์เกิดสะดุดลมหายใจตัวเองจนสำลักไอโขลกขึ้นมา คนทั้งกลุ่มจึงชะงักและหันไปมอง

คุณณฐการีบเข้าไปดูลูกชาย ส่วนคุณมนธิชาก็สะกิดลูกตัวเองเช่นกัน “เอาน้ำไปให้น้องสิแมน”

จังหวะแรกชายหนุ่มไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นเขาที่จะต้องเอาน้ำดื่มไปให้ แต่พอมองไปเห็นสายตาของมารดาก็บอกให้รู้ว่า..เขา

ต้องรับผิดชอบการกระทำต่างๆที่เกิดขึ้น ไม่ใช่วางมือไม่สนใจอะไรเลยแบบนี้

แม่ของเขาเป็นคนที่ตัดสินใจได้เด็ดขาดและละเอียดอ่อนเสมอ

มกรเดินไปหยิบขวดน้ำและเดินไปที่เตียงคนป่วยทันที ความรู้สึกผิดมันแล่นขึ้นมาเมื่อเห็นอีกฝ่ายไอจนหน้าดำหน้าแดง แต่แล้ว

คนป่วยกลับทำให้ความสำนึกนั้นลดน้อยด้อยลงจนกลายเป็นความโมโหเข้ามาแทนที่ เมื่อเด็กหนุ่มมองไปที่มารดาตัวเอง

“แม่..”

ดวงตาเล็กตี่คู่นั้นไม่หันมองไปที่มกรเลยทำให้ชายหนุ่มเข้าใจได้ทันทีว่าเขานั้นถูกเมินโดยสมบูรณ์แบบแล้ว

เมินกันได้..แต่อย่านึกว่าจะเมินตลอดไปได้

ชายหนุ่มนึกเข่นเขี้ยวอยู่ในใจ ก่อนจะยื่นขวดน้ำให้คุณณฐการับไป เขาหันหลังเดินออกจากห้องนั้นไปก่อนทันที ตามไปด้วย

ผู้ใหญ่อีกสามคน ในห้องจึงเหลือแค่กลุ่มเพื่อนของมกรกับคนป่วยและมารดา

เวลาแห่งการพูดคุยนั้นผ่านไปอย่างเชื่องช้า.. ณัฐวีร์รู้สึกกังวลจนต้องชำเลืองมองประตูเข้าห้องผู้ป่วยบ่อยมาก พ่อต้องรู้เรื่องของ

เขาแล้วแน่ๆ และตอนนี้พวกผู้ใหญ่ก็คงรู้เรื่องแล้วเช่นกัน.. เขาจะทำอย่างไรดี ถ้าพ่อทำอย่างที่พ่อบอก แจ้งความจนต้องขึ้นโรง

ขึ้นศาล..เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ถูกผู้ชายด้วยกันข่มขืน..มีแต่จะอายกับอาย ถ้ามีเรื่องเป็นข่าวพ่อกับแม่ก็ต้องมีผลกระทบไป

ด้วย นักข่าวไร้จรรยาบรรณอาจลงชื่อบิดามารดาของเขา แล้วพวกชอบขุดคุ้ยตามเน็ทก็จะเริ่มทำงาน ข่าวของเขาอาจถูกแชร์ไป

ทั่ว ได้โดนหัวเราะเยาะเย้ยโดยพวกนักเลงคีย์บอร์ดกันอย่างสนุกปาก และร้านอาหารของที่บ้านอาจถึงขั้นไม่สามารถขายต่อไป

ได้หากเจอพวกเกรียนเข้ามาเยาะหยามถึงในร้าน

เด็กหนุ่มฟุ้งซ่านอยู่คนเดียว หัวคิ้วนั้นขมวดมุ่นเข้าหากัน มีแต่เรื่องที่เขาคิดไม่ตกเต็มไปหมด.. ณัฐวีร์ได้แต่ภาวนาให้เรื่องราว

ต่างๆมันผ่านไปด้วยดี เขาไม่อยากให้มันต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่โตกว่านี้ แค่หมอและพยาบาลที่รู้เรื่อง พ่อ แม่ และเพื่อนของ

มกรที่รู้เห็น.. มันก็ทำให้เขาอายจนไม่อยากจะสู้หน้าแล้ว

เสียงประตูเปิดเข้ามาทำให้ทุกคนที่นั่งเงียบอยู่ด้วยกันผวาเฮือก..คุณหมอมาตรวจไข้นั่นเอง

จากคำบอกเล่าของแพทย์ เขามีอาการไม่น่าห่วงมากนักเพียงแต่ต้องรักษาความสะอาดบาดแผล และต้องระวังแขนที่ยังเข้าเฝือก

แล้วหมอก็ออกไป แต่หลังจากหมอออกไปนี่สิที่ณัฐวีร์ทำหน้าไม่ถูกเมื่อมารดามองอย่างสงสัย

เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่แพทย์ต้องตรวจแผลตรงด้านหลังของเขา ซึ่งต้องปิดม่านกันสายตาคนอื่น แม่จะขอเข้ามาดูด้วยว่าเขาเป็น

แผลที่ไหนอีกบ้าง เพราะคาดว่าเดี๋ยวแม่ต้องเป็นคนดูแลทำความสะอาดแผลตรงส่วนนั้นให้ แต่ณัฐวีร์ปฏิเสธเสียงแข็ง เขาไม่

ต้องการให้แม่ได้เห็นร่องรอยนั้น ไม่ว่าจะส่วนใดบนตัวก็ตาม

ดังนั้นเมื่อหมอออกไปจากห้องแล้ว ความอึมครึมจึงเกิดขึ้น แม่หันไปมองหน้ากลุ่มเพื่อนเป็นระยะคล้ายจะถามอะไร ซึ่งทำให้คน

เหล่านั้นทำตัวไม่ถูกไปเหมือนกัน

และก่อนที่อะไรมันจะดูแย่ไปกว่านี้ คนที่ออกไปด้านนอกก็กลับเข้ามา มกรที่รั้งท้ายหันไปปิดประตู.. ครั้นเมื่อหันกลับมาใครๆก็

เห็นว่าชายคนนั้นมีแผลสดใหม่บนใบหน้าหนึ่งแผล..

มันเป็นแผนที่อยู่บนแก้มข้างขวา ทำให้เห็นได้ชัดว่าเป็นแผนใหม่ต่างจากแผลถูกต่อยเดิมบนแก้มข้างซ้าย

แก้มซ้ายนั่นพวกไอ้เอต่อยเพราะมันถนัดขวา แต่แผลใหม่ด้านขวา.. สงสัยจะโดนคนถนัดซ้ายสอยมา..ซึ่งคนที่ถนัดซ้ายไม่ใช่ใคร

นอกจากคุณวีรชาติ พ่อของณัฐวีร์..

“คุณคะ..” ณฐการีบลุกขึ้นไปหาสามีทันที ความร้อนใจของเธอมีมาตั้งแต่คุณหมอออกจากห้องไปแล้ว ยิ่งเห็นว่ากลุ่มคนที่ออกไป

กลับมาด้วยใบหน้าเหมือนจะเคลียร์กันแล้วเรียบร้อย เธอก็ยิ่งอยากรู้..

“เดี๋ยวเราออกไปคุยกันข้างนอก..” คุณวีรชาติบอกภรรยาขณะมองมกรเดินเข้าไปที่เตียงคนไข้แทนที่ณฐกา

“เอาล่ะ.. พวกเราก็ออกจากห้องกันไปได้แล้ว ปล่อยให้เขาสองคนคุยกันเอง เคลียร์ให้ลงตัวนะไอ้แมน อย่าทำอะไรน้องด้วย”

“ครับพ่อ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำให้คุณลักษณ์พร้อมรอยยิ้มบางๆ “ผมคุยไม่นานแค่ห้านาที รับรองครับ”

“นัท.. พวกพ่ออยู่หน้าห้องนี่มีอะไรก็ร้องเรียกแล้วกัน”

ดวงตาของคุณวีรชาตินั้นเต็มไปด้วยความสับสน แต่ก็ยังแข็งแกร่งสมกับที่เป็นเสาหลักให้ครอบครัวเช่นเดิม

ว่าแล้วพวกผู้ใหญ่ก็ลากเอาเพื่อนๆของมกรออกไปจากห้องด้วยกัน ทิ้งให้เด็กหนุ่มที่กำลังงุนงงอยู่เพียงลำพังกับชายที่มีใบหน้า
ยิ้มแย้มแถมจับมือเขาไว้เบาๆด้วย

“แม่..แม่ครับ”

เด็กหนุ่มร้องเรียก แต่เหมือนว่าพ่อของเขาจะไม่ได้ปล่อยให้แม่หันมาหาเขาอีก พอประตูปิดลง มกรก็ปล่อยมือจากเขาแล้วทรุดตัว
ลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง

“นะ..นี่มันอะไร..” ณัฐวีร์ร้องอย่างหวาดผวา เขาถอยตัวหนีแต่ด้วยความเจ็บเพราะหมอเพิ่งล้างแผลไปเมื่อครู่เขาจึงขยับได้ไม่
ไกลเกินคืบ

มกรนั้นยักไหล่เบาๆ รอยยิ้มบางๆเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นยิ้มเหี้ยม

“มึงต้องไปอยู่กับกูตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล”

คนฟังเบิกตากว้างขึ้นทันที “อะ..อะไรนะ”

“กูบอกพ่อมึงว่ากูรักมึงมาก เรารักกันมาก แล้วกูก็อยากเอามึงทำเมีย เมื่อคืนกูเลยทำกับมึงครั้งแรก กูใหญ่ไปหน่อย รุนแรงไปนิด

มึงก็เลยเจ็บ พอเจ็บก็เลยงอแงจะเข้าห้องน้ำคนเดียว แล้วมึงก็เลยลื่นในห้องน้ำแขนหัก..”

คนฟังได้แต่อ้าปากค้าง

“ตอนนี้มึงกำลังงอนกู ไม่อยากให้กูเข้าใกล้.. แต่กูขอโอกาสจากพ่อมึงเลยได้มาหนึ่งหมัดเนี่ย.. เจ็บดี กูเกือบสวนไปแล้ว ดีที่ว่ากู

ยังพอระงับอารมณ์ได้ อย่างว่าจะทำงานใหญ่ก็ต้องใจเย็นๆ นี่กูก็ขอคุยกับมึงก่อนที่เขาจะพูดอะไร..ไม่สิ.. ก่อนที่มึงจะพูดอะไร

มากกว่า” แล้วคนพูดก็หัวเราะร่วน

“ผมจะบอกป๊า!” ณัฐวีร์เอ่ยเสียงหนักๆ

“เอาสิ..” ชายหนุ่มยิ้มกว้าง แต่โดยทันทีนั้นเขาก็โผเข้าหาเด็กหนุ่ม

“อื้อ!” แก้มถูกบีบด้วยมือใหญ่ที่ไม่นำพาว่าแก้มซ้ายของณัฐวีร์จะมีแผลอะไรอยู่บ้าง

“แต่หลังจากมึงบอกพ่อมึงแล้ว กูสาบานว่ากูจะทำให้ชีวิตมึงและครอบครัวมึงทั้งชีวิตไม่เป็นสุขอีกเลย..มึงก็รู้ว่ากูทำได้.. พ่อกูเป็น

ตำรวจ กูยิงใครสักคนพิการกูก็ไม่ติดคุกหรอก เริ่มจากใครล่ะ พ่อมึงดีไหม .. ต่อยกูแรงใช้ได้ ฝังตะกั่วเข้าไปที่ขาสักข้างกูว่าพ่อมึง

ก็คงเจ็บพอๆกับกูโดนต่อยล่ะมั้ง”

ใบหน้าคนป่วยซีดลงกว่าเดิม ดวงตานั้นเหลือกค้างอย่างตื่นตกใจกับความคิดของอีกฝ่าย มือที่มีสายน้ำเกลือโยงไว้และกำลัง

ดิ้นรนแกะมือใหญ่หนาถึงกับต้องหยุดชะงักลง

“เอาล่ะ..เราเหมือนจะมีเวลาคุยด้วยกันน้อยมาก เขาให้ไว้แค่ห้านาที คงกลัวกูจะปล้ำมึงในโรงพยาบาลมั้ง  ..ช่างเถอะ..เอาเป็น

ว่ากูอยากให้มึงเข้าใจ ทำตัวว่าง่าย ไม่งอแง.. สิ่งที่กูพูดไปหวังว่ามึงจะเข้าใจ.. ไม่ต้องห่วงกูจะดูแลมึงอย่างดีเลยเชียวไอ้นัท”

ชายหนุ่มปล่อยมือออกจากหน้าขาวซีดแล้วยิ้มให้.. “ทำตัวเป็นเด็กดีนะณัฐวีร์”




(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 5 (10.11.13) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 17-11-2013 00:55:47



เด็กหนุ่มปิดตาลงช้าๆ ปากที่สั่นระริกร้องถามออกมา “พี่ทำแบบนี้ทำไม ผมไปทำอะไรให้ เรื่องเมื่อคืนผมจะไม่เอาเรื่อง จะบอก

ป๊าว่าไม่ให้เอาเรื่องด้วย ปล่อยผมไปเถอะ พี่จะต่อยผมคืนอีกก็ได้ แต่อย่าทำอะไรป๊ากับครอบครัวผมเลย”

“งั้นมึงก็แค่ทำตามที่กูบอกไง อยู่นิ่งๆไว้”

“อย่าเลย..” ณัฐวีร์เอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ สุดท้ายน้ำตาแห่งความอัดอั้นของเด็กหนุ่มก็หลั่งรินออกมาช้าๆ “อย่าทำกับผม

แบบนี้เลย ผมทำอะไรผิด”

“หึ หึ หึ... ผิดที่มึงเมินกูไงไอ้นัท.. คนอย่างกูไม่ใช่มึงจะมาเมินกันได้ง่ายๆ”

“ผมขอโทษ ..ให้ผมกราบก็ได้ อย่าทำแบบนี้เลย” เด็กหนุ่มพยายามยกมือตัวเองที่ยังเข้าเฝือกมา แต่มันถูกพันธนาการไว้จึงไม่

สามารถประกบเข้ากับมือซ้ายได้ เขาจึงเอื้อมมือไปจับข้อมือหนาไว้เพื่อเป็นการยึดอีกฝ่าย และอ้อนวอนขอ

“มึงฟังกูนะ.. มีทางเดียวที่มึงและครอบครัวจะปลอดภัย..” ชายหนุ่มแสยะยิ้มเหี้ยม “มึง..ต้องไปอยู่กับกูที่คอนโด.. ที่ๆมึงถูก

ข่มขืนนั่นแหละไอ้นัท”

ปลายนิ้วแข็งจิ้มลงมาที่หน้าผากก่อนที่ชายหนุ่มจะดึงมึงตนเองออกจากมืออีกฝ่าย

“ไม่เอาน่า อยู่กับกูไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอก.. กูจะดูแลมึงอย่างดีเลยไอ้นัท.. กูรับรอง” มกรยิ้มกว้างพร้อมกับปาดมือเช็ดน้ำตาให้

คนบนเตียง “อ้อ เดี๋ยวกูจะไปเรียกพ่อแม่มึงเข้ามา ป่านนี้พวกผู้ใหญ่เขาคงคุยกันเสร็จแล้ว.. ดีนะเมื่อกี้แม่กูตามออกไปด้วยเลย

คุยกันง่ายหน่อย ถ้าแม่กูไม่ออกไปด้วยกูก็ไม่รู้จะเอาตัวมึงไปกับกูได้ยังไงเหมือนกัน..อ้อ ถ้ามึงตุกติกไม่ยอมไปอยู่กับกูที่คอน

โด.. กูจะลงไปเอาปืนที่รถขึ้นมายิงพ่องซะบนเนี้ย สิ้นเรื่องสิ้นราว”

“ไม่.. ไม่..” เด็กหนุ่มส่ายหน้า น้ำตายังไหลอย่างน่าสงสาร

“งั้นก็ทำตามที่กูบอก”

มกรเช็ดหน้าให้อีกฝ่ายลวกๆก่อนจะก้มลงจูบที่หน้าผากนั้นเบาๆ “ไม่เอาน่าที่รัก.. เดี๋ยวมึงก็จะได้ไปอยู่กับกูแล้ว กูรับรองมึงจะ

เมินกูไม่ได้แบบเมื่อกี้อีกแน่ๆ”

ร่างสูงเดินผิวปากเบาๆไปที่ประตู เขาเปิดให้คนที่รออยู่ข้างนอกเข้ามาด้านในและบอกกับคนเหล่านั้นว่าตกลงกับณัฐวีร์เรียบร้อย
แล้ว

คุณณฐกานั้นมีความเป็นแม่สูงมาก เธอไม่ได้หยุดฟังการบอกเล่าของชายหนุ่มแต่เดินเลยเข้าไปหาลูกชายที่นอนหลับตานิ่งสะกด

ความรู้สึกอยากร้องไห้อยู่บนเตียง

“นัท..มีอะไรทำไมไม่บอกแม่” เธอลูบศีรษะลูกชายเบาๆ แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้น้ำตาของณัฐวีร์ไหลออกมาอีกแล้ว

“นัทขอโทษครับ.. นัทขอโทษ” เด็กหนุ่มไม่รู้จะพูดอะไรให้ดีไปกว่านั้น.. ความจริงมันจุกอยู่ในอก ก้อนสะอื้นมันกลั้นเสียงอยู่ใน

คอ.. อย่างดีเขาก็แค่บอกได้เพียงว่า.. ลูกของแม่คนนี้หาเรื่องเดือดร้อนมาให้แม่มาให้ครอบครัว โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าเขาจะแก้ไข
มันได้อย่างไร

“แล้วนี่คุยกันรู้เรื่องแล้วใช่ไหม” คุณลักษณ์เอ่ยถามลูกชาย

“รู้เรื่องแล้วครับ.. นัทจะไปอยู่กับผมที่คอนโด”

คราวนี้มีเสียงฮือฮาจากกลุ่มเพื่อนของมกรดังขึ้น แต่พวกผู้ใหญ่ต่างมองหน้ากันคล้ายจะโล่งอก

ณัฐวีร์มองมารดาด้วยแววตาหมดหนทาง ดวงตานั้นฉ่ำชื้นไปด้วยหยาดน้ำ

“ไม่..” เสียงปฏิเสธมาพร้อมกับแรงส่ายหน้าช้าๆเหมือนว่าจะหมดแรง มือน้อยสั่นระริกจับมือที่เย็นพอกันของมารดาแน่น

“ไม่เอาน่านัท อย่างอแงสิครับ” มกรหัวเราะแผ่วเบาแล้วเดินเข้าไปยืนใกล้ๆแม่ลูกคู่นั้น เขามองจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่เต็มไป

ด้วยหยาดน้ำตา “ถ้านัทจะมาหาป๊ากับแม่เดี๋ยวพี่ก็พามาได้”

“ผม.. ฮึก..” เด็กหนุ่มสะอื้นจนตัวโยน แรงกดดันจากดวงตาคู่นั้น ความจริงที่เขาต้องเผชิญในเรื่องที่เขาไม่สามารถปกป้อง

ครอบครัวได้.. ดวงตาคู่เรียวมองเลยไปยังบิดาของมกร.. ภายใต้เครื่องแบบตำรวจ..เขาพึ่งพาคนๆนี้ไม่ได้ และคนๆนี้อาจเป็นภัย

คุกคามครอบครัวเขาในภายหลังด้วยซ้ำ ลูกใครๆก็รัก ถ้าให้เลือกว่าจะต้องเข้าข้างใคร พ่อก็ต้องเข้าข้างลูก

เขามองไปที่บิดาตนเอง.. ความจริงทุกอย่างเขาก็บอกป๊าไม่ได้เหมือนกัน จะให้ป๊าต้องมาเจ็บปวดไม่ได้ ถ้าคำขู่ของมกรเป็น

ความจริง เขาจะถูกชายหนุ่มตรงหน้านี้คุกคามไปตลอดชีวิต เขาจะเสี่ยงให้ป๊ามาเป็นคนพิการไม่ได้ แม่จ๋า..แม่จะเสียใจแค่ไหน

กันถ้าครอบครัวต้องล่มสลาย กิจการต้องพังลงเพราะความดื้อดึงเห็นแก่ตัวของเขาเพียงคนเดียว

ณัฐวีร์สะดุ้งเฮือกเมื่อมือซ้ายของตนเองถูกปล่อยออกจากมือแม่แล้วตกไปอยู่ในมือมาร..

มกรรวบเอามือคู่นั้นไว้บีบมันเบาๆ “ไม่งอแงนะครับ เราคุยกันแล้วนี่นา..ไปอยู่กับพี่นะ..”

ประโยคสุดท้ายเขาบีบมือนั้นหนักจนเด็กหนุ่มหน้าเสีย.. ณัฐวีร์หลับตาลงปล่อยให้น้ำตาไหลลงข้างแก้ม..

จะเป็นอย่างไรถ้าเขายังดันทุรังอยู่แบบนี้ ขนาดต่อหน้าแม่ มันยังกล้าดึงมือของเขาไป และทำให้เขาเจ็บ ถ้าเขายังต่อต้านมัน มี

หวังมันคงทำตามที่พูดแน่ๆ
แต่..

ณัฐวีร์สะอื้นแรง เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมองเห็นใบหน้าคมคายนั้นจ้องที่เขาเขม็ง..

ก็ได้..นี่คือการดิ้นรนหนสุดท้ายของเขา..

“ผม..อยากอยู่ที่บ้าน..” แล้วณัฐวีร์ก็หลับตาลง “ให้ผมหายดีก่อนแล้วผมจะไปอยู่กับพี่แมนนะครับ..ใกล้สอบแล้วด้วย แขนข้าง

ขวามาหักแบบนี้ผมคงดูแลพี่แมนไม่สะดวกแน่ๆ พี่เองก็คงต้องอ่านหนังสือ ผมไม่อยากไปเป็นภาระ.. ให้ผมหายดีก่อนนะ ผมจะ
ไปอยู่ด้วย..”

“แต่ว่า..”

“นะครับ.. พี่แมนไม่สงสารผมเหรอ เป็นแบบนี้ผมคงลุกลำบาก ห้องน้ำพี่ก็ลื่นมาก เกิดผมไปหกล้มแข้งขาหักไปอีกผมคงเป็นคน

พิการที่พี่ไม่รับเลี้ยงแน่ๆเลย ผมอยู่ที่บ้านไม่ได้ไปไหน จะมาหาก็มาได้เสมอ” เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมองแล้วฝืนยิ้มด้วยปากที่สั่น

ระริก “รักผม..ก็ตามใจผมหน่อยเป็นไรครับ”

ช่างต่อรองนัก.. มกรเข่นเขี้ยวทั้งยิ้มหวาน

“ตามใจน้องหน่อยแล้วกัน เจ็บแบบนี้คงอยากอยู่บ้านตัวเองมากกว่า คอนโดมันไม่สะดวก เดี๋ยวถอดเฝือกแล้วเราค่อยรับน้องมา

อยู่ที่คอนโดด้วยกัน” คุณมนธิชาบอกกับลูกชาย

เมื่อครู่ตอนที่ทราบความจริงเรื่องบุตรชายของเธอมีคนรักเป็นเพศเดียวกัน เธอก็รู้สึกงุนงงไปแล้ว แต่เพราะเธอได้เผชิญความ

เปลี่ยนแปลงในธุรกิจมามากมายจึงทำให้ยอมรับข้อมูลและการเปลี่ยนแปลงได้ง่ายมาก การตัดสินใจอย่างปัจจุบันทันด่วนเป็น

เรื่องที่นักธุรกิจต้องมี เธอจึงได้แต่บอกให้ลูกชายเลือกว่าจะทำอย่างไรต่อไป

แล้วลูกชายของเธอก็เลือกการใช้ชีวิตอยู่กับคนรัก ผลมันจึงออกมาเป็นอย่างนี้ เธอให้อิสระกับลูกเสมอ ลูกอยากได้แบบไหนเธอ

ก็ให้ได้ ลูกอยากได้อะไรเธอก็จัดหา

“เอาเป็นว่าหมดเรื่องแล้วฉันไปก่อนล่ะคุณลักษณ์ พี่มนไปก่อนนะคะน้องไก่ พี่ได้เบอร์น้องจากคุณวีแล้ว เดี๋ยวบ่ายๆจะโทรหานะ

นี่พี่เลื่อนประชุมมาเป็นชั่วโมงแล้วขอไปเคลียร์งานก่อน..อ้อ นี่เบอร์โทรพี่ ถ้ามีอะไรด่วนโทรหาพี่นะไม่ต้องเกรงใจ”

สองคุณแม่สวมกอดกันพลางเอ่ยคำลา ส่วนบิดาของมกรก็ดูเหมือนจะแยกไปพร้อมกัน

“เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องห่วงนะครับ.. ทางผมดูแลให้เอง” นั่นเป็นประโยคสุดท้ายก่อนคุณลักษณ์จะปิดประตูออกไปจากห้อง

คุณวีรชาติมองบุตรชายตนเองแล้วเดินเข้าไปลูบหัวเบาๆ การไต่ถามอะไรให้ลูกชายลำบากใจต่อหน้านอื่นนั้นถือเป็นเรื่องที่ไม่

ฉลาดเลย คุณวีรชาติรู้ ท่านจึงเอ่ยว่า “งั้นเดี๋ยวป๊ากลับไปเอาของมานอนเฝ้าไข้นัทแล้วกัน”

“นัทอยู่ได้” เด็กหนุ่มรีบบอกแต่บิดาส่ายหน้า

“จะเข้าห้องน้ำห้องท่ามันลำบาก แม่เขาดูแลเราไม่ไหวหรอก”

เหตุผลนั้นทำให้ณัฐวีร์ยอมพยักหน้ารับ

“แล้วให้ไก่กลับไปด้วยไหม?”

“ไก่อยู่ดูลูกก็ได้ เผื่อนัทมันจะเอาอะไร”

มกรจึงรีบพูดขึ้นมาทันที “ไม่เป็นไรครับ ผมดูน้องให้เอง”

ประโยคนั้นเล่นเอาคนฟังถึงกับมองหน้ากันเลยทีเดียว เมื่อครู่เจ้าตัวยังทำเหมือนวางเฉยเรื่องการเฝ้าไข้อยู่เลย ไม่เห็นได้

ออกปากสักคำว่าจะอยู่เฝ้าให้ ถึงแม้จะมีนางพยาบาลพิเศษที่จ้างมา แต่ยังไงก็ควรมีคนที่จะต้องอยู่ด้วยกับคนป่วยถึงจะถูก

ครั้นพอมีคนเสนอมาแบบนี้คุณณฐกาจึงเอ่ยถาม “เธอ..เอ่อ..ไม่มีเรียนหรือไง”

“ไม่มีครับ..” คนถูกถามรีบตอบไปทันที ให้ผู้ใหญ่กลับไปให้หมดก่อน เดี๋ยวจะได้มีเคลียร์ “ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมดูแลได้”

ณัฐวีร์ทำท่าจะเอ่ยปากพูด แต่ก็ต้องเงียบเสียงลงเมื่อสายตาของมกรหันมามองนิ่งๆ บางทีเด็กหนุ่มเองก็คงต้องโอนอ่อนผ่อนตาม

บ้าง ขวางน้ำเชี่ยวมากๆก็มีแต่จะเสีย

“แม่ไปเถอะครับ..นัทอยู่ได้..”

คำพูดประโยคนั้นจึงกลายเป็นการอนุญาตและเปิดโอกาสให้มกรได้หย่อนตัวนั่งลงบนเตียงคนป่วยพร้อมทั้งใช้มือบีบคางบังคับ

หน้าของณัฐวีร์ให้หันไปหาทันทีที่ผู้ปกครองของเด็กหนุ่มออกไปจากห้อง

“มึงนึกว่ามึงเก่งนักหรือไง ห๊ะ!”

“ผมไม่ได้เก่ง..” ณัฐวีร์พูดออกไปเสียงเบา.. อย่างไรเสียเขาก็ยังเป็นเด็กวัยรุ่นทั่วไปที่ทำยังไงก็ยังไม่ได้มีความคิดความอ่านรอบ

ตัวเหมือนผู้ใหญ่หรอก การแก้ปัญหาของเขาทำได้ก็แค่โอนอ่อนผ่อนตาและหาทางอยู่รอดให้ได้โดยไม่ให้ใครเดือดร้อนเท่านั้น
เอง

“หรือมึงนึกว่ามึงจะหนีกูได้ ไปอยู่บ้านมึงกูก็จะตามไปหาที่บ้าน.. ไปนอนบ้านมึง ไปพามึงออกมาจากกระดองของมึง”

“แล้วแต่พี่เถอะครับ! อย่างน้อยถ้าผมจะต้องไปอยู่ที่คอนโดนั่นจริงๆ ผมก็อยากให้ตัวเองพร้อม ถ้าต้องไปทั้งที่พิการแขนไปข้าง
หนึ่งผมก็ยังไม่อยากไป”

“มึงจะสู้กูหรือไง มึงคิดว่าแรงมึงจะพอสู้กูเหรอ ห๊า!” ชายหนุ่มบีบมือข้างดีที่มีเข็มน้ำเกลือเจาะไว้จนเลือดทะลักเข้าไปในสายน้ำ
เกลือ

พอเห็นแบบนั้นแชร์ก็เลยรีบออกหน้าทันที “เฮ้ยๆ ไอ้แมน น้องมันเจ็บอยู่นะ”

“มึงไม่ต้องยุ่งไอ้แชร์ ..เด็กเหี้ยนี่ถ้าไม่เอาให้อยู่มือแม่งคงหลงระเริงคิดว่ากูอ่อนให้มันแน่ๆ ..มึงรู้ไว้เลยนะ ที่กูไปจีบมึงน่ะ กูทำ

เพราะพนันกันไว้ กูไม่ได้พิศวาสอะไรมึงเลย”

ความจริงที่ได้รู้ทำให้ใจเจ็บดีพิลึก แต่ณัฐวีร์น่ะถอนตัวมาได้ระดับหนึ่งแล้ว เพราะฉะนั้นให้รู้ตอนนี้น่ะดีแล้ว เขาต้องขอบคุณจริงๆที่

บอก เขาจะได้ถอนตัวถอนใจทั้งหมดได้ทัน

“และที่กูจะพามึงไปอยู่ด้วย ก็อย่าหวังว่ามึงจะไปนั่งชูคออยู่ในบ้านกูได้.. กูจะทำให้มึงรู้ว่าเวลาที่อยู่กับกูน่ะ มึงต้องสนใจแค่กู
เท่านั้น”


“พี่ป่วยไปแล้วหรือไง เรียกร้องความสนใจเป็นเด็ก”

“ไอ้เหี้ย!” มกรด่าเสียงลั่นพร้อมกับเงื้อมือขึ้นสูงหวังจะฟาดเด็กหนุ่มให้หายแค้น แต่มือนั้นกลับถูกยึดไว้ด้วยมือของเพื่อนตัวเอง

“ไอ้แมน..พอได้แล้ว! มึงทำเกินไปแล้วนะเว้ย เด็กมันก็ยอมทุกอย่างแล้วมึงจะเอาอะไรกับมันอีก” แชร์รีบพูดเตือนสติ “น้องเองก็

เหมือนกัน นอนป่วยอยู่ก็อย่าปากดีนัก ถ้ามันเอาจริงขึ้นมาพวกพี่ก็ล่ามมันไว้ไม่อยู่นะ”

“สัตว์แชร์ กูไม่ใช่หมานะ” มกรดึงมือออกจากมือเพื่อนแล้วผุดลุกออกจากเตียงเดินหนีไปทิ้งตัวลงบนโซฟา

“มึงก็เหมือนหมาบ้าอยู่เนี่ยไอ้แมน” แชร์เองก็เดินมาทิ้งตัวนั่งอยู่ด้วยกัน ปล่อยให้เพื่อนอีกสองคนนั่งหน้าเจื่อนอยู่ที่โซฟาห่าง
ออกไป

“น่า.. มึงก็รอดูมันไป แขนหักเดี๋ยวอีกสักเดือนก็หาย ค่อยลากมันไปปู้ยี่ปู้ยำก็ได้ ใจเย็นๆ”

“กูจะเล่นแม่งทั้งที่แขนหักๆเนี่ยแหละ.. กูจะใช้อภิสิทธิ์ของคำว่าแฟน เข้าไปเหยียบบ้านมัน นอนกับมัน ให้มันรู้ไปว่ามันหนีกูไม่
ได้”

“เออ มึงมันเก่ง กูจะคอยดู กูถือว่ากูมีส่วนรู้เห็นและเป็นต้นเหตุให้น้องมันเป็นแบบนี้.. กูจะตามดูมัน ตามดูมึงด้วยไม่ให้มึงทำอะไร
รุนแรง”

“ห่า..” มกรหัวเราะร่วน “มึงเห็นกูเป็นอะไรเนี่ย”

“ตอนนี้มึงเหมือนหมาบ้า..” คนพูดหัวเราะตอบเช่นกัน “ส่วนไอ้เด็กนั่นบ้ากว่าที่กล้าต่อล้อต่อเถียงกับมึง.. โคตรนับถือมันเลย เป็น

กูโดนแบบนี้มึงบอกยังไงกูก็ว่าตามนั้นแล้ว เด็กอะไร”

“เด็กเชี่ยไง” แล้วสองคนเพื่อนรักก็หัวเราะกันร่วนมองไปยังร่างคนป่วยบนเตียง

หลังเสียงหัวเราะยาวของคนทั้งคู่ มกรแค่นยิ้มเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มเบือนหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างแทนที่จะมองเพดานนิ่งๆ

แล้วเขาก็พูดเสียงดังขึ้นว่า “นี่ถ้าหน้าตามันดีหน่อย แล้วมึงเกิดเหงาๆนะเว้ย กูจะให้มึงกินมันแก้เซ็ง”

หลังประโยคนั้น มือเล็กบนเตียงค่อยๆกำผ้าปูเตียงแน่นด้วยความเจ็บยอกในใจ ซึ่งสร้างความสะใจเล็กๆให้กับมกรจนยิ้มกว้าง

“เหี้ยแมน มึงนี่มันชั่วจริงๆว่ะ กูสนใจผู้ชายที่ไหนล่ะ”

“แล้วเสือกเลือกมันมาให้กูทำเหี้ยอะไร”

“ก็กูคิดว่าจะได้แดกเงินมึงง่ายๆไง นี่อะไรวะ เงื่อนไขแรกมึงก็เรียบร้อยไปแล้ว เงื่อนไขสองอีกเดือนนึง เงื่อนไขสามอีกสามเดือน

มึงวางแผนไว้ใช่ไหมเนี่ยถึงจะพาน้องมันไปอยู่ด้วยกันเนี่ย”

“สัตว์.. รู้ทัน..เตรียมจ่ายเงินได้เลยมึงอ่ะ”

แล้วเสียงหัวเราะร่วนของเพื่อนรักก็ดังมาเป็นระยะๆ

สามเดือน... สามเดือนงั้นหรือ? ถ้าต้องทนใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้ชายโรคจิตคนนี้ไปสามเดือนเขาจะไหวไหม.. ณัฐวีร์ถามตัวเอง

ก่อนจะได้คำตอบว่า.. ต้องไหว.. ต้องอยู่ให้ได้ สามเดือนเท่านั้น แล้วฝันร้ายนี้ก็จะผ่านไป



...
TBC



เจอกันตอนหน้าค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 6 (17.11.13) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: pornumpai-ka ที่ 17-11-2013 01:22:26
 :hao5: :hao5: :hao5:

สงสารนัทอ่าาาา  หนุกดีชอบๆๆๆๆๆ

มาต่อไวๆ น้าาาาาา  รออ่านยุ  มันค้าง!!!!!!

 :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 6 (17.11.13) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 17-11-2013 01:42:48
ชีวิตต้องสู้นะลูก อย่าเอาแต่ยอมค่ะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 6 (17.11.13) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-11-2013 10:46:43
ยังยืนยันคำเดิมอยู่ เลว
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 6 (17.11.13) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: sunshinesunrise ที่ 17-11-2013 12:10:30
เราว่า... มกร กับเพื่อนๆทุกคน.. ควรได้รับการบำบัดจากจิตแพทย์.... ด่วนๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 6 (17.11.13) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Damon ที่ 17-11-2013 13:53:39
ชอบค่ะ ต้องรอดูกรตกม้าตาย เห็นเชื่องมาหลายรายแล้ว ร้ายแบบนี้
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 6 (17.11.13) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 17-11-2013 14:08:36
อ่านแล้วหดหู่มาก นิสัยโคดแย่
ทั้งมกรและเพื่อน เพื่อนเหมือนจะดี
แต่สุดท้ายก็เอาสนุก เห้อออ
นึกภาพไม่ออกว่าน้องจะแก้เผ็ดได้ยังไง
เพราะคนอย่าง มกร ไม่น่าจะรักหรือยอมใครง่ายๆแน่
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 6 (17.11.13) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Paracetamol ที่ 17-11-2013 14:20:41
เลวจริงๆว่ะ
ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่า
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 6 (17.11.13) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 17-11-2013 21:17:12
ยาวค้าาาาาาา  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

อั๊ยย้ะ พ่อแมนแกโหดอ้ะ  :m4:

แกล้งเด็กไปเลย คะแนนสงสารจะได้เยอะๆ :m12: :m12:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 7 (23.11.13) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 23-11-2013 23:45:33
หายไปนานอาทิตย์นึง คิดถึงกันบ้างรึเปล่า  :mew1:

แมนนี่เลวววววว จริงๆค่ะขอบอก อ่านไปอ่านมาแล้วอยากทำร้ายร่างกายนังแมนจริงๆ (ชื่อไม่เข้ากะตัวเลย ชิ..)  :katai1:

ลุยตอนใหม่กันเลยค่ะ  :katai4:

=========================

ตอนที่ 7



มันเป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ที่คิดว่าอยู่บ้านตัวเองแล้วจะรอดพ้นการติดตามของมกร

หนึ่งอาทิตย์หลังออกจากโรงพยาบาล สถานที่ที่ณัฐวีร์ไปมากที่สุดคือโรงเรียน เพราะมันเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของการสอบ ตอนไป

เรียนคุณวีรชาติเป็นคนไปส่ง แต่ขากลับมีคนไปรับกลับ คนๆนั้นจะอยู่ที่บ้าน ทานมื้อเย็นจนดึกแล้วจึงกลับคอนโดตัวเอง

มีคนบอกว่า ยิ่งเกลียดอะไร ก็จะได้เจอแบบนั้นบ่อยถึงบ่อยมาก ตอนนี้ณัฐวีร์เกือบจะเชื่อแบบนั้นแล้ว เพราะนี่เจอกันทุกวันเลย

“กลับบ้านใช่ไหม”

นั่นเป็นคำเอ่ยเหมือนถามลอยๆเมื่อเขาก้าวขึ้นมานั่งบนรถโดยไร้การช่วยเหลือ มือซ้ายข้างดีค่อยๆดึงสายเบลท์มาอย่างทุลักทุเล
เสียบเข้ากับที่ล็อคพร้อมกับตอบคำถาม

“วันนี้ต้องไปซื้อหนังสือที่ศูนย์หนังสือจุฬาครับ”

“แล้วทำไมไม่บอกกูก่อน”

เด็กหนุ่มเมินออกไปนอกหนาต่าง “อาจารย์เพิ่งสั่งครับ บอกว่าให้ลองอ่านศัพท์ในหนังสือดู”

“จะออกข้อสอบสินะ..”

“สงสัยจะเป็นแบบนั้นครับ”
เสียงพ่นลมหายใจดังหึจากคนขับแล้วรถก็เคลื่อนออก

“ผมเคยบอกแล้วว่าถ้าพี่ไม่สะดวกไม่ต้องมาก็ได้ ผมไปกับเพื่อนได้”

“กูก็บอกแล้วว่าถ้ากูจะมา มึงก็ห้ามกูไม่ได้”
ชายหนุ่มหมุนพวงมาลัยนำรถออกสู่ถนนใหญ่ คันเร่งถูกลงน้ำหนักมากขึ้นเพื่อให้รถพุ่งทะยานไปตามถนนว่างโล่ง โรงเรียนหลายโรงเรียนเริ่มเข้าสู่ช่วงสอบ บางที่เริ่มปิดเรียนแล้วอีกทั้งนี่ก็เป็นเวลาบ่ายกว่าๆเท่านั้นไม่ใช่เวลาเลิกงาน ถนนจึงยังโล่งอยู่ค่อนข้างมาก

“ผมไม่อยากให้พี่ลำบาก..”

“มึงอย่ามาโกหกหน่อยเลย มึงก็แค่ไม่อยากเจอกูเท่านั้นหรอก”
ณัฐวีร์หลบตามองออกไปนอกรถ.. ก็จริง ไม่ได้อยากเจอเป็นอันดับแรก แต่ก็ไม่อยากให้ลำบากด้วย เพราะถ้ามกรลำบาก ตัวเขาเองก็จะลำบากมากกว่าเป็นสองเท่า

อย่างเมื่อสามวันก่อน แทนที่เขาจะได้พักสบายๆ มกรกลับลากเขาออกไปดูหนังด้วยกัน ปฏิเสธก็ไม่ได้  แล้วดูสภาพสิ แขนก็ไม่ดี กินยาเข้าไปก็ง่วงอยากนอน อ่านหนังสือดึกพอมาเจอแอร์เย็นๆมันก็ง่วง สุดท้ายกลายเป็นเขานั่งหลับโงกไปมาจนหนังจบ
แล้วก็กลับบ้านมาด้วยกัน ส่งเขาลงแล้วตัวเองก็ขับรถกลับคอนโด.. ลำบากไหมล่ะ

ภายในรถมีเสียงเพลงเปิดอยู่เบาๆ เพียงไม่นานรถยุโรปคันใหญ่ก็เลี้ยวชะลอลงที่หน้าศูนย์หนังสือ
“ลงไปซื้อ รีบซื้อด้วยกูขี้เกียจวนหาที่จอด ซื้อเสร็จแล้วโทรมาจะวนมารับตรงนี้”
ณัฐวีร์รีบลงจากรถแล้วเดินเข้าไปซื้อหนังสือ เขาไม่รอให้เสียเวลารีบเอารายการไปส่งให้เจ้าหน้าที่ทันที อยากจะเอ้อระเหยดูหนังสืออยู่หรอกแต่ทางที่ดีการให้ฝ่ายนั้นรอ..เป็นอะไรที่ไม่ฉลาดเลย

ไม่นานเขาก็โทรไปหา พอเจ้าตัวขับรถมาถึงเขาก็ต้องใช้มือที่ถือถุงหนังสือนั่นเปิดประตูแล้วพาตัวเข้าไปในรถอย่างทุลักทุเลอีกครั้ง..

ไม่มีเสียงพูดคุยกันในรถ มีแต่เสียงเพลงดังเบาๆ ไปตลอดทางจนถึงที่จอดรถด้านหลังร้านอาหารของครอบครัว ณัฐวีร์พยายามใช้แขนเดียวเก็บหนังสือเข้ากระเป๋าเป้ ปลดล็อคเบลท์ เปิดประตูเพื่อจะออกไปพบว่าคนขับรถลงไปยืนรอกดรีโมทล็อครถอยู่โน่นแล้ว

“เร็วหน่อยไม่ได้หรือไง..กูปวดหัว” ชายหนุ่มร้องอย่างหงุดหงิด
ณัฐวีร์จึงรีบก้าวไปหา เขาน่ะขี้เกียจจะพูดว่า “แล้วจะมาทำไม” เพราะพอพูดไปเดี๋ยวก็สวนกลับมาอีก เด็กหนุ่มเลยเลือกที่จะเงียบไว้ดีกว่า

“เอาเป้มา”
พอเดินเข้าไปใกล้ เจ้าตัวก็พูดเหมือนทุกวัน.. ปฏิบัติการเอาหน้า เริ่มด้วยกันทำตัวแมนสมชื่อ.. แต่เขาชักอยากจะเรียกมันว่าแม้นศรีตามเพื่อน.. เป็นผู้ชายที่ขี้บ่นที่สุดในโลกหล้า.. ขี้บ่นกว่าแม่ไก่อีก บ่นได้ทุกเรื่อง บ่นได้ตลอด หยาบคายทั้งตอนอยู่หลังพวงมาลัยและอยู่ต่อหน้าคนอื่น (ยกเว้นอยู่ต่อหน้าพ่อแม่เขานะ ทำตัวเรียบร้อยเป็นผ้าพับเลยล่ะ)
เด็กหนุ่มยื่นเป้ไปให้แล้วเดินตามพลางทำสีหน้าเหม็นเบื่อเมื่อเห็นว่ามีคนงานยื่นหน้าออกมายิ้มทักทายแล้วคงผลุบเข้าไปรายงานแม่ที่อยู่ตรงเค้าเตอร์เก็บเงิน

“กลับมาแล้วเหรอนัท..” แม่ร้องทักพร้อมกับรับไหว้มกร เธอยิ้มให้พลางมองหน้าชายหนุ่มอย่างพินิจ “เป็นอะไรหรือเปล่าแมน.. ทำไมหน้ายุ่งอย่างนั้นล่ะ”
แม่..กลายเป็นแม่ของนายมกรไปด้วยแล้ว แต่ป๊ายังเป็นป๊าของเขาคนเดียว...

“ผมปวดหัวครับ..” ฝ่ายนั้นตอบพร้อมกับวางกระเป๋าเป้ไว้หลังเค้าเตอร์เก็บเงิน

“ไม่สบายหรือเปล่า” คุณณฐกายื่นมือมาจับแขนลูกชายคนใหม่เป็นการวัดไข้

“น่าจะเพราะอากาศร้อนไมเกรนเลยขึ้นน่ะครับแม่”

“แบบนี้ก็แย่สิ แล้วยังอุตส่าห์ไปรับนัทมาอีก ทีหลังไม่ไหวก็บอกแม่ได้นะ จะได้ให้ป๊าไปรับน้อง”
ชายหนุ่มยิ้มบางๆ “ไม่เป็นไรครับ ผมไปรับไหว คุณวีคงยุ่งเรื่องร้าน”
เห็นไหม ป๊ายังเป็นป๊าของณัฐวีร์อย่างเต็มภาคภูมิ
คุณณฐกายิ้มให้ “ปวดหัวก็ให้นัทพาขึ้นไปนอนข้างบนแล้วกันนะ”

“ยาอยู่ในตู้ชั้นสอง”
ณัฐวีร์ทำตาปริบๆ มองคนพูดลอยๆ ที่นั่งอยู่หลังเครื่องเก็บเงิน.. ป๊ายังเป็นป๊าของเขาคนเดียว..ใช่ไหม?..
คุณณฐกามองสามีแล้วยิ้ม.. การเปิดใจให้กับคนรักเพศเดียวกันของลูกเป็นเรื่องยากทำใจ แต่สามีเธอกำลังพยายามอย่างเต็มที่ มันเป็นข้อตกลงระหว่างเธอและสามี..
จริงอยู่ว่าคุณวีรชาติโกรธที่ลูกเขยทำให้ลูกชายต้องเข้าโรงพยาบาล แต่การที่ลูกชายพาคนรักเข้าบ้านมาทุกวัน ก็เป็นการแสดงออกได้ว่าสองคนเขารักกันจริงๆ มันจึงเป็นเรื่องที่ต้องทำใจ ใช่แต่จะมาตั้งแง่ไม่ยอมรับกัน..
ซึ่งถ้าทั้งสองคนได้รู้ว่าลูกชายถูกข่มขู่อะไรมาบ้าง.. มีหวังคงมีคนลมจับและมีใครได้นองเลือดแน่ๆ

“ไปพักข้างบนกันเถอะลูก นัทพาพี่เขาไปนอนไป๊ เอายาแก้ปวดให้พี่เขาสองเม็ดนะ พักสักชั่วโมงน่าจะดีขึ้น.. แล้วอยากทานอะไรกันเย็นนี้..แม่จะทำไว้ให้”

“อะไรก็ได้ครับ..แม่ทำอะไรก็อร่อย..”
เป็นคำตอบของลูกคนใหม่ที่ณัฐวีร์ได้ฟังแล้วต้องยกมุมปากหึ!
ไม่รู้มันเป็นอะไร ติดใจอาหารฝีมือแม่เขาชนิดว่าติดหนึบ เข้าบ้านมามันจะนั่งคุยกับแม่เขาเป็นอันดับแรก คุยกันตลอด จนบางทีคนที่นั่งอยู่ด้วยอย่างเขารู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน
เรื่องที่คุยก็ไม่มีอะไรมาก ดินฟ้าอากาศ การเรียน เพื่อน เรื่องรถติด นกขี้ใส่รถ เจอหมาวิ่งตัดหน้ารถมันยังขุดมาเล่าเลย แม่ก็พลอยผสมโรงคุยเล่นไปกับมันด้วย

“แมนเขาคุยสนุกนะ ถึงว่าทำไมนัทไปชอบพี่เขา”
ตอนแม่พูดประโยคนั้น เขาเองก็ยิ้มตอบไปเพลียๆ เหมือนกัน
เวลาพวกเขาอยู่ด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูก แม่จะเป็นคนหาเรื่องมาเล่าให้ฟังเสมอ ส่วนป๊ากับเขาจะเป็นคนนั่งฟัง มีแจมบ้างเป็นระยะๆ คราวนี้พอมีมกรเข้ามาเพิ่มอีกหนึ่งคน แถมเป็นพวกพูดเยอะพูดเก่ง คุณแม่ก็เลยมีความสุข ส่วนเขาพ่อลูกก็ได้เป็นผู้รับฟังที่ดีต่อไป

ณัฐวีร์เดินนำขึ้นมาบนห้องตัวเอง ถึงจะมาที่นี่หลายวันแล้ว แต่มกรไม่เคยได้ขึ้นมาบนห้องนี้เลย เพราะส่วนใหญ่ก็คุยกันด้านล่าง ดูโทรทัศน์กันที่ชั้นสองเป็นหลัก
ห้องของณัฐวีร์ก็เป็นห้องรกๆ ของเด็กผู้ชายทั่วไป ดีหน่อยก็ตรงที่มีแม่คอยให้คนงานมาช่วยดูแลเก็บปัดกวาดให้มันสะอาด แต่แค่วันเดียวมันก็รกได้

และเพราะเป็นห้องของเด็กผู้ชาย.. ของส่วนใหญ่จึงเป็นการ์ตูน เกม เครื่องคอมพิวเตอร์ และโปสเตอร์นักฟุตบอล เตียงก็เป็นเตียงขนาดนอนคนเดียว
เมื่อเปิดประตูเข้าห้องไป ภาพที่มกรเห็นคือเตียงเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ข้างข้างหน้าต่าง ห้องสีฟ้าที่รกเต็มไปด้วยโมเดล แปะโปสเตอร์นักฟุตบอลเกลื่อนไปหมด ดูแล้วต่างจากห้องพักของเขาอย่างหน้ามือเป็นหลัง...

“นั่งบนเตียงก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมเอาน้ำให้”
เด็กหนุ่มชี้ไปที่เตียงพร้อมกับยื่นซองยาให้ เขาผลุบหายออกไปจากห้องครู่เดียวก็มีขวดน้ำถือติดมือมา

“พี่ไม่ได้เป็นไข้น่าจะดื่มน้ำเย็นนิดหน่อยได้..นี่ครับ”
ณัฐวีร์ส่งมาให้ทั้งขวด เขาคิดว่ามือเจ็บแบบนี้คงไม่ต้องถึงกับใช้ปากเปิดให้หรอกมั้ง.. แต่ก็โดนแม้นศรีบ่นจนได้

“ทำไมไม่เอาน้ำเทใส่แก้วมาเลย น้ำนั่นก็ได้”
แล้วเจ้าตัวก็ชี้ไปที่เหยือกน้ำตรงหัวเตียงที่เจ้าของห้องมักจะมีไว้เพื่อดื่มแก้กระหายยามดึก มันเป็นน้ำที่ถูกเปลี่ยนไว้ทุกวัน แต่ใครจะไปรู้ว่าคุณชายอย่างนี้จะดื่มน้ำในห้องเขาได้ อุตส่าห์เดินไปหยิบน้ำจากตู้เย็นมาให้ โดนบ่นอีกจนได้
เขาไม่ต่อล้อต่อเถียง แค่เดินไปนั่งลงที่โต๊ะคอมแล้วเปิดมันเท่านั้น ได้ยินเสียงจากด้านหลังเป็นการแกะพลาสติกหัวขวดแล้วบิด คงกำลังกินยาแหงๆ อึดใจต่อมาก็มีเสียงเอนกายลงนอน
รออยู่ครู่หนึ่ง เสียงผ้าที่เสียดสีกันก็ยังไม่หยุดลง เขาอุตส่าห์นั่งอยู่รอให้หลับแล้วค่อยแว่บไป นี่ก็ยังไม่ยอมนอนเสียที

“จะเล่นคอมทำไมไฟมันแยงตา..”
หือ?.. ณัฐวีร์ขมวดคิ้วอย่างงุนงง เพิ่งจะบ่ายสี่โมงเย็น คอมก็เปิดอยู่ไกลมากจะเอาอะไรไปแยงตา.. แต่ก็ขี้เกียจเถียงอีก ปิดไปก็แล้วกัน

“ครับ..เดี๋ยวปิดให้” เด็กหนุ่มก้มลงปิดคอมพิวเตอร์ “งั้นผมไปอ่านหนังสือข้างล่างนะครับพี่จะได้นอนสบายๆ”

“อ่านหนังสือมึงเปิดเพลงหรือไง อ่านเงียบๆก็นั่งอ่านมันในห้องเนี่ย นั่งที่โต๊ะนั่นก็ได้”
ณัฐวีร์หันหลังให้ทันที คนอะไรวะเอาแต่ใจไปสามโลกสี่โลกแล้ว ไม่เคยพบเคยเห็น นี่ถ้าไม่ใช่เพราะต้องอดทนแค่สามเดือน ไม่อยากให้ที่บ้านเดือดร้อนล่ะก็ เขาคงได้มีเถียงกลับไปบ้างแน่ๆ
หลายวันมานี้ ถึงอีกฝ่ายจะเอาแต่ใจอยู่บ้าง หากแต่ก็ยังอยู่ในระดับที่เขารับได้..ทำให้เด็กหนุ่มไม่ได้โต้แย้งหรือต่อต้าน แต่เขาก็คิดไว้เหมือนกันว่าถ้าอีกฝ่ายเริ่มเอาแต่ตัวเองเป็นใหญ่มากขึ้น ออกคำสั่งบีบบังคับกัน เช่น เรื่องให้ไปนอนกับคนอื่น เขา..คงทนไม่ได้และน่าจะมีการตอบโต้อะไรไปบางอย่างแน่ๆ
ซึ่งเมื่อเหตุการณ์มันยังมาไม่ถึง เขาก็ยังไม่รู้ว่าจะตอบโต้วิธีใดดี
เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าแสงที่สว่างอยู่เมื่อครู่มืดทะมึนลง เขาจึงเงยหน้าขึ้นเพื่อจะเห็นว่ามีใครบางคนมายืนบังแสงอยู่ที่ด้านหลังเขานี่เอง

“น่ารำคาญว่ะ”

ห๊ะ?.. ณัฐวีร์ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
ไปทำอะไรให้รำคาญอีกวะเนี่ย
เด็กหนุ่มก้มหน้าลงอย่างหงุดหงิด แต่แล้วร่างทั้งร่างก็ถูกดึงให้ลุกขึ้นทันที “เดี๋ยวๆ อะไรกันครับ”

“มึงมันน่ารำคาญ..”

“ผมไปทำอะไรให้เนี่ย”

“ทำให้กูหงุดหงิดจนนอนไม่ได้..” ชายหนุ่มลากร่างเล็กให้เดินตามมา “เพราะฉะนั้น.. มึงมานอนกับกูเนี่ยแหละ”

“เดี๋ยวนะ!”
ยังไม่ทันที่ณัฐวีร์จะได้ทันเอ่ยโต้เถียงอะไร เด็กหนุ่มก็ถูกคนที่แข็งแรงกว่าดันให้นอนลงบนเตียง โดยมีร่างของอีกฝ่ายตามเข้ามาประกบหลังและอ้อมกอดเอวไว้ทันที

“พี่แมน..นี่! พี่แมน”
มือข้างที่เจ็บขยับไม่ถนัด ส่วนมือข้างไม่เจ็บก็ไร้แรงจะดึงเอาแขนหนักอึ้งนั่นออกจากตัว พอใช้เสียงเรียกหนักเข้า อีกฝ่ายก็ครางอือออจิ๊ปากอย่างรำคาญพลางเบียดตัวเข้าหาร่างเล็กกว่าจนเด็กหนุ่มต้องย่นคอหนีลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดอยู่ตรงใบหู

“อย่าเรื่องเยอะ กูจะนอน..”

“แต่ผมไม่ได้อยากนอน” ณัฐวีร์เริ่มออกเสียง

“ก็กูอยาก.. หรือมึงจะให้กูทำอย่างอื่น” ว่าแล้วมกรก็กระชับแขนกับเอวของคนเบื้องหน้า กดสะโพกตนเองเน้นเข้าหาอีกฝ่ายจนเจ้าตัวแข็งทื่อนิ่งไปทันที
เห็นท่าทางแบบนั้นมกรก็หัวเราะร่วน ชายหนุ่มมีความสุขกับการได้กลั่นแกล้งอีกฝ่ายเล็กๆน้อยๆแล้วจึงขยับศีรษะให้นอนได้สบายมากขึ้นก่อนจะปล่อยตัวให้ดำดิ่งลงสู่นิทรา

ณัฐวีร์เองเมื่อเห็นอีกฝ่ายค่อยๆทอดจังหวะหายใจสม่ำเสมอไปแล้วก็รู้สึกเบาใจ.. อากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้ห้องนั้นเย็นอยู่ในระดับที่ต้องห่มผ้าห่ม แต่พอมีคนตัวร้อนๆมานอนซ้อนหลังบังแอร์ให้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้ผ้าห่มเลย กลับรู้สึกสบายดีเสียด้วยซ้ำ

จริงๆ เขาเองก็ไม่ได้ง่วง ไม่ได้อยากนอน แต่เพราะต้องมาถูกล็อคตัวอยู่แบบนี้การนอนหลับตาเสียก็ดูจะเป็นทางที่ดีกว่านอนตัวเกร็งลืมตาโพลงเป็นไหนๆ



...
TBC




...บับบาย เจอกันอาทิตย์หน้าค่ะ  :ruready
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 7 (23.11.13) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: pornumpai-ka ที่ 24-11-2013 00:00:36
 :z3: :z3: :z3: :z3:


อ๊ากกกกกกกก  จะรอออออออออ

มาต่อเร็วๆ น้าาาาาาาา
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 7 (23.11.13) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: krit24 ที่ 24-11-2013 00:14:38
สงสารน้องอ่ะ กลุ่มนี้มันร้ายเกินไปแล้วนะ โรคจิตจริงๆพระเอกของเรา
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 7 (23.11.13) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 24-11-2013 15:29:28
หายไปนานนนนนนนนนนนนนนนน  :hao5: :hao5:

ไม่รู้ว่าแมนศรีจะมาแบบไหน ช่วงนี้เป็นระยะพักตัวสินะ ยังไม่เลวมาก  :hao3: :hao3:

รอตอนตอไปนะ  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 7 (23.11.13) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Damon ที่ 24-11-2013 16:52:48
คือแบบ... อยากอ่านต่ออ่า
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 7 (23.11.13) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 24-11-2013 16:58:30
อิแม้นศรีเอาแต่ใจตัวเองที่สุดในสามโลกจริงๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 7 (23.11.13) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: matame ที่ 24-11-2013 17:23:44
อ่านแล้วนึกถึงพี่วุฒิเลยอ่ะ
แต่ตอนนี้แอบหวานนะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 7 (23.11.13) P.2
เริ่มหัวข้อโดย: cakecoke ที่ 24-11-2013 20:13:36
นึกถึงอีพี่วุฒ เหมือนกันรายนั้นเลี้ยงเมียด้วยลำแข้ง :z3:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 8 (02.12.13)
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 02-12-2013 09:59:53
ขอโทษด้วยค่ะที่หายไปนานเลยยย ยยยยย  พอดียุ่งๆ กับการประมูลของในเล้าอยู่  :katai4:  :katai4:
อากาศตอนนี้ในกรุงเทพฯ ดีมากๆ อยากอยู่บนเตียงนุ่นๆจัง  :katai5:

วันนี้เอาตอนใหม่มาลงให้แล้วค่ะ  ไปกันเลยยยยย






===============


ตอนที่ 8

หลังจากวันนั้นมา ณัฐวีร์ก็ง่วนอยู่กับการสอบเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งทางฝ่ายมกรเองก็เป็นเหมือนกัน ดังนั้นเวลาที่พวกเขาว่างตรงกัน พวกเขาจึงมักยึดโต๊ะคนละมุม นั่งอ่านหนังสือของตัวเอง
วันไหนที่ณัฐวีร์มีสอบ แล้วมกรไม่มี เขาจะเอาหนังสือไปนั่งอ่านในรถรอให้อีกฝ่ายสอบเสร็จลงมาหาแล้วจึงกลับบ้านไปด้วยกัน แต่กลับกัน หากมกรมีสอบแต่ณัฐวีร์ไม่มี มกรก็จะแค่ไปสอบแล้วขับรถกลับมาหาณัฐวีร์ที่บ้าน หากก็เป็นอันรู้กันว่า..เขาไม่ได้มาหาณัฐวีร์โดยตรงหรอก..ก็แค่แวะมาหาอะไรกิน คุยกับคุณณฐกา แล้วก็กลับคอนโดตัวเองเท่านั้น
ส่วนวันไหนที่ณัฐวีร์ต้องไปหาหมอ ถ้ามกรไม่ว่างคุณวีรชาติก็จะเป็นคนพาลูกชายไปเอง.. แต่ถ้าว่างตรงกันเมื่อไหร่ก็ค่อยไปด้วยกัน..ซึ่งก็เป็นอีหรอบเดิม ณัฐวีร์ต้องลงไปหาหมอเอง ดำเนินเรื่องเอง ไปนั่งรอคนเดียว โดยที่อีกฝ่ายก็แค่นั่งรออยู่ที่ร้านกาแฟข้างล่าง ถึงเวลาก็เดินไปจ่ายเงินให้แล้วพากลับบ้านเท่านั้น
จะว่าไปก็ถือว่าเป็นการดีแก่ณัฐวีร์ไม่น้อย.. ถ้าต่อจากนี้พวกเขายังทิ้งระยะห่างแบบนี้กันไว้ได้ อีกสักสองเดือนต่อจากนี้เขาก็น่าจะยังพอทนได้ไม่ถึงกับขาดใจตายไปเสียก่อน..
ถ้าต้องย้ายเข้าไปอยู่คอนโดของมกร โดยที่ฝ่ายนั้นไม่ได้สนใจการเป็นอยู่ของเขา คือปล่อยทิ้งๆขว้างๆจะอยู่มุมไหนก็เรื่องของเขาแบบนี้.. มันก็เหมือนได้ออกไปเข้าเที่ยวนอนโรงแรมหรูๆเหมือนกัน คอนโดนั้นถ้าไม่ไปคิดถึงห้องชั้นบนเสีย มันก็หรูดูดีใช้ได้เลยทีเดียว นอนโซฟาสองเดือนก็ยังรู้สึกดีเลย จะเอาเกมไปต่อจอใหญ่ๆเล่นให้หนำใจ
“เดี๋ยวอีกอาทิตย์นึงนัทก็จะเอาเฝือกออกแล้วใช่ไหมลูก”
คุณณฐกาถามลูกชาย ขณะที่เจ้าตัวกำลังเก็บหนังสือลงกระเป๋า
“ครับ.. หมอนัดวันพุธ”
มารดาพยักหน้ารับ “สอบเสร็จวันอังคาร เอาเฝือกออกวันพุธแล้วจะไปอยู่คอนโดพี่เขาวันไหน..”
คำถามนั้นทำให้เด็กหนุ่มชะงักกึก เงยหน้าขึ้นมองแม่ตัวเอง สายตาแลเลยไปที่ป๊า เห็นป๊าจ้องคอมคิดเงินให้ลูกค้าไม่วางตา ส่วนไอ้คนต้นเรื่องนั้นนั่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ไม่ห่างไปนี่เอง
“นัทยังไม่ได้คิดเลย” เด็กหนุ่มทำหน้ายุ่ง รวบเอาของลงกระเป๋าผ้าแล้วเดินหนีขึ้นชั้นบนทันที
ปกติพอทานอาหารเย็นเสร็จ มกรก็จะอยู่นั่งเล่นอีกสักพักแล้วกลับบ้าน ส่วนณัฐวีร์ บางทีก็เดินออกไปส่งตามคำบอกของแม่บ้าง แต่เดินออกไปไม่เคยทัน ส่วนใหญ่ก็แค่ยืนส่งๆไปเท่านั้น
บางทีก็ไม่ได้ไปส่ง ขึ้นข้างบนเลย.. เหมือนครั้งนี้ที่ชิ่งหนีขึ้นมา ซึ่งมกรก็จะกลับไปเองเป็นอันหมดเรื่องราวในวันนั้น
ทว่าวันนี้กลับไม่ใช่แบบนั้น.. เพราะพอณัฐวีร์เดินหนีขึ้นข้างบน อีกอึดใจมกรก็เดินตามมาทันกันที่หน้าประตูห้อง
“มึงจะเดินหนีทำไม”
ชายหนุ่มเปิดฉากขึ้นก่อน เขาดันร่างเล็กกว่าเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูล็อคไว้
“ก็ผมไม่มีอะไรจะคุยแล้ว” เจ้าของห้องพูดแล้วเดินเอากระเป๋าไปวางไว้ที่โต๊ะ
แต่ยังไม่ทันที่ก้นกระเป๋าจะแตะโต๊ะ แขนของเด็กหนุ่มก็ถูกกระชากให้หันกลับมาพบใบหน้าถมึงทึงของอีกฝ่าย
“แต่กูยังมีเรื่องต้องคุย มึงมันวอนหาเรื่อง”
“ผมไม่ได้วอนหาเรื่อง ผมพูดอย่างที่ผมคิด”
“แต่บางเรื่องที่มึงคิดมึงพูด มันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอกนะ” มกรบีบแขนเล็กแน่น น้ำเสียงนั้นคุกคามเต็มที่ “ถอดเฝือกแล้วมึงต้องไปอยู่กับกู”
“พี่จะเอาผมไปอยู่ด้วยทำไม! พี่ก็เห็นว่าวันๆผมก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับพี่เลย เป็นภาระให้พี่เสียด้วยซ้ำ”
“เพราะมึงยังอยู่ที่นี่ไง มึงถึงไม่มีประโยชน์กับกู”
คำพูดประโยคนั้นทำให้ดวงตาเรียวเล็กของณัฐวีร์ฉายความไม่เข้าใจ “พี่หมายความว่ายังไง”
พูดแบบนี้ทำให้เขานึกไปถึงเรื่องที่อีกฝ่ายคุยกับแชร์..ถ้าเอาเขาไปอยู่ที่โน่น เขาจะต้องไปนอนกับคนอื่นด้วยงั้นหรือ? นั่นคือประโยชน์ของเขาหรือเปล่า?
ความคิดนั้นทำให้ณัฐวีร์ปวดร้าวในอกราวกับมีมือที่มองไม่เห็นขยำบีบ
“เลือกวันซะ กูจะมารับไปอยู่ด้วย”
ณัฐวีร์ฟังแล้วก็ถอนใจ “ผมไม่ไปได้ไหม”
“มึงไม่มีสิทธิ์ต่อรอง.. หรือมึงอยากให้กูต้องทำเลวๆให้ครอบครัวมึงเดือดร้อน.. ตอนดีๆไม่ชอบใช่ไหม”
เด็กหนุ่มนิ่งงันไป ระยะหลังการข่มขู่แบบนี้ไม่ได้ยินมานานแล้ว ประโยชน์ที่จะได้จากตัวเขานอกจากเรื่องนั้นมันจะมีอะไรอีกล่ะ วันๆที่ได้เจอหน้ากันมาตลอดสามสี่อาทิตย์นี้ แทบจะคุยกันนับคำได้ นั่งอยู่ด้วยกันก็มีแต่จะอึดอัด
ความเป็นไปได้จากเรื่องของพี่แชร์ ยิ่งคิดก็ยิ่งมีสูงมาก.. คนที่ไม่ได้มีความรู้สึกดีๆให้กัน ถ้าจะต้องเอาเข้ามาอยู่ด้วยในชีวิต ก็มีแต่เรื่องผลประโยชน์เท่านั้น
“พี่อยากให้ไปเมื่อไหร่พี่ก็บอกมาแล้วกันครับ คอนโดก็คอนโดพี่ จะให้ผมเสนอเองผมก็เกรงใจ”
พูดแล้วณัฐวีร์ก็ดึงแขนตนเองออกจากมืออีกฝ่ายแล้ววางกระเป๋าลงบนโต๊ะ.. เถียงไปก็เปล่าประโยชน์
“ถอดเฝือกเมื่อไหร่ก็ไปเมื่อนั้น”
“วันรุ่งขึ้นเลยเหรอ?”
“วันนั้นเลย..”
“เป็นบ้าไปแล้วหรือไง” ณัฐวีร์บ่นอย่างหงุดหงิด ถอดเฝือกออกก็อยากอยู่สบายๆสักพักนี่เขาต้องไปนอนโซฟาที่คอนโดเลยเหรอเนี่ย
“กูไม่ได้เป็นบ้า.. แต่กูเป็นผัวมึง!”
ความโมโหที่แผ่คลื่นเข้าใส่ทำให้ณัฐวีร์รีบหันไปมองทันที แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ร่างสูงที่ยื่นมือใหญ่เข้ามาหาจับร่างของเขาลากไปยังเตียงนอน
“พี่แมน! พี่!!..”
ภาพความทรงจำเมื่อเกือบเดือนที่ผ่านมาแล่นวาบเข้ามาในหัว ครั้งนั้นเขาขัดขืนถึงได้มีเฝือกติดแขนอยู่อย่างนี้ แต่ครั้งนี้ถึงแม้จะมีบทเรียนแล้วหากเขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะดิ้นรนขัดขืน
มันเป็นเรื่องที่ทำใจลำบากในการจะมีความสัมพันธ์กับคนที่เห็นแค่เขาเป็นที่รองรับอารมณ์เท่านั้น ไม่ใช่..คนรัก..
ไม่ได้ทำกันเพราะรัก..
เด็กหนุ่มยอกแสลงใจเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ร่างอีกฝ่ายที่ทาบทับลงมาทำให้เขาหวาดหวั่นและดิ้นรนอีกครั้ง แต่ด้วยรูปกายที่เล็กกว่าจึงไม่สามารถดิ้นหนีไปไหนได้
ใบหน้าคมคาย จมูกได้รูปเริ่มซุกไซ้ลงมาที่ซอกคอ แม้จะเอียงตัวหนีและใช้มือที่ดีอยู่ปัดป้อง ทว่าแค่พอถูกมือฝ่ายนั้นกดข้อมือแน่นลงกับพื้นเตียง ณัฐวีร์ก็ไร้ทางหนีเสียแล้ว
“เจ็บนะพี่แมน!” เด็กหนุ่มร้องประท้วงพร้อมกับดิ้นขลุกขลัก
หัวใจเต้นโครมครามเมื่ออีกฝ่ายผงกศีรษะขึ้นมองใบหน้าใกล้ๆ
ดวงตาคมเข้มคู่นั้นเหมือนจะฉายแสงอะไรบางอย่างที่ณัฐวีร์ไม่เข้าใจอยู่เพียงแว่บหนึ่งก่อนจะเลือนหายไป
แล้วเสียงเบาๆก็เอ่ยถามขึ้น “มึงอยากเจ็บตัวอีกหรือไง”
ณัฐวีร์เองก็ส่ายหน้า
“ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็ไม่ต้องดิ้น”
“แต่ผมไม่ได้อยาก.. เราไม่ได้..”
“เดี๋ยวกูทำให้อยากเอง แต่ถ้ามึงยังต่อต้านกู มึงไม่ต้องอยากกูก็จัดให้ได้” ดวงตาของมกรจ้องเขม็ง “แบบคราวนั้น..”
“...”
ความกลัวทำให้ณัฐวีร์ไม่ได้ตอบอะไร ความรู้สึกร้าวลึกราวกับร่างถูกฉีกแยกออกเป็นสองส่วนเหมือนที่เคยได้รับทำให้เขาไม่อยากจะรู้จักมันอีกครั้ง.. เซ็กส์ที่มีความสุข..นอกจากจะทำกับคนรักแล้วเขาก็อยากเรียนรู้อย่างไม่ต้องเจ็บปวดด้วย
ความที่อีกฝ่ายนิ่งไม่ตอบรับและมองมาอย่างเฉยเมยทำให้มกรอดที่จะหงุดหงิดไม่ได้ เขายอมรับว่าตัวเองมีความสุขดีตลอดช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา การมีครอบครัวมีคนคอยถามว่าทานข้าวหรือยัง อร่อยไหม อยากกินอะไร มีคนหายาให้เวลาป่วยไข้ และมีคนอีกคนให้คิดถึง ต้องวางแผนว่าจะต้องไปรับกี่โมง ไปหากี่โมง มันทำให้ทุกวันของเขาดูมีความหมาย ดีกว่าอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่มีใคร
กลุ่มเพื่อนน่ะ ก็ห่วงใยเขาดี แต่เพื่อนก็แค่คนที่อยู่ด้วยคุยด้วยได้บางเวลา ทว่าครอบครัวคือสิ่งที่มกรอยากมี
และพอได้มี.. ก็ได้แต่คิดว่าจะทำยังไงให้มีไปตลอด..
เขาไม่อยากจะยอมรับว่าชอบและติดใจการมีครอบครัว เพราะเขารู้ว่าสักวันทุกอย่างที่เห็นอยู่ตอนนี้จะต้องเลือนหายไป.. ดังนั้น การยื้อไว้ให้นานที่สุดจึงเป็นเรื่องที่เขาน่าจะทำ
ทว่า..เรื่องที่มีเงื่อนไขค้ำคอกันไว้.. ก็ยกเลิกไม่ได้ เขาจะไม่ยอมเสียหน้าเด็ดขาด ดังนั้นภายในเดือนนึงเขาต้องเอาไอ้เด็กนี่ให้อยู่หมัด ต้องพามันไปอยู่ที่คอนโดด้วยกันให้ได้
ชายหนุ่มยิ้มบางๆให้คนที่นอนอยู่ด้านล่าง “มึงก็เลือกเอาแล้วกันว่าจะเจ็บตัวหรือจะยังไง”
มือหนาบีบข้อมือบางแน่นขึ้น ใบหน้าขาวสะอาดของณัฐวีร์เริ่มแดงก่ำ จะด้วยความเจ็บจากการกระทำของอีกฝ่าย หรือจะด้วยอายในความคิดของตนเองก็สุดแท้แต่จะคาดเดาได้
เด็กหนุ่มปิดตาลงช้าๆ ถ้าต้องเป็นของคนอื่น สู้เขาเป็นของคนๆเดียวไม่ดีกว่าหรือ ถ้าต้องถูกทำร้ายอย่างนั้น สู้ทำดีกับคนๆเดียวเพื่ออยู่รอดไม่ได้หรือไง
ณัฐวีร์ลืมตาขึ้นอย่างตัดสินใจได้.. เขาใช้เวลาคิดเรื่องนี้มาตลอดตั้งแต่รู้เรื่องของแชร์และคิดว่าหากเหตุการณ์ไม่ดีขึ้น และเขาต้องไปอยู่ที่คอนโดจริงๆ ..เขาก็คงต้องเลือกทางนี้
 “พี่แมน..หลอกผมหน่อยไม่ได้เหรอ หลอกผมสักนิดว่าเรากำลังรักกัน อย่าให้ผมรู้สึกสมเพชตัวเองไปมากกว่านี้เลย.. ผมเป็นอะไรสำหรับพี่ก็ไม่รู้ พี่นึกจะทำดีด้วยพี่ก็ทำ พี่นึกจะทำร้ายพี่ก็ทำ ผมก็เป็นคนนะพี่..อยากให้ผมทำอะไรผมก็ทำให้ได้ แต่ช่วยพูดดีๆกับผมหน่อย.. เวลาสามเดือนของเรามันไม่นานไม่ใช่เหรอ”
“อะไรของมึง?”
“ผมกำลังทำข้อตกลงกับพี่ไง ถ้าอยากให้ผมไปอยู่ที่คอนโดด้วย.. ผมก็จะไป ไปวันที่พี่บอกเลยก็ได้.. อยากจะมีอะไรกับผม ก็..มีได้” ท้ายประโยคเสียงเบาเล็กน้อยด้วยความเขินอายตัวเอง “แต่ขอร้อง อย่ารุนแรงกับผม อย่าทำผมเจ็บ พูดด้วยดีๆ”
ณัฐวีร์ดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุม คราวนี้อีกฝ่ายยอมปล่อยแต่โดยดี หากก็ยังใช้น้ำหนักตัวทับร่างของเด็กหนุ่มไว้กันหนี
มือที่ได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการค่อยๆเคลื่อนเข้าหาใบหน้าคมเข้มของอีกฝ่าย
“และถ้าเลือกได้.. ตลอดสามเดือนนี้ ผมอยากเป็นของพี่คนเดียว..ให้ผมเป็นของพี่คนเดียวนะครับ”
เด็กหนุ่มโน้มเอาใบหน้านั้นลงมา ริมฝีปากสีชมพูสดได้รูปเปิดรับริมฝีปากสีเข้มอุ่นร้อนของมกร เสียงหัวใจเต้นโครมครามดังจนเหมือนมีใครเอากลองมาตีใกล้ๆหู.. มันเป็นเสียงที่ดังกลบความคิดทุกอย่างที่คนสองคนจะสามารถคิดออกตอนนี้ได้..
มีก็เพียงเสียงกระซิบแผ่วเบาเมื่อผละริมฝีปากและปลายลิ้นออกจากกัน
“ปิดไฟนะครับ..ปิดไฟให้นัทนะครับ พี่แมน”
คนถูกขอไม่เอ่ยอะไร..เพียงแค่ผละลุกขึ้นมาปิดไฟให้เท่านั้น


...
TBC.


 :hao5:  :hao5:  :hao5:

หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 8 (02.12.13)
เริ่มหัวข้อโดย: pornumpai-ka ที่ 02-12-2013 10:54:20
 :hao6: :hao6: :hao6:



อ๊ากกกกกกกกกกก   มันค้างงงงงงงงงงงงงงงง


มาต่อเลยน่ะ  ต่อเลยๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 8 (02.12.13)
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 02-12-2013 14:21:28
สนุกโฮกกก
อยากชกหน้าไอ้แมนและผองเพื่อนจริง
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 8 (02.12.13)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 02-12-2013 16:52:46
เข้าใจแล้ววววว
เสร็จแน่ๆแม้นศรี ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 8 (02.12.13)
เริ่มหัวข้อโดย: Fellina ที่ 02-12-2013 17:21:23
รอวันพระเอกโดนเอาคืน
อย่ามาขอความรักจากน้องเขาทีหลังละกัน!
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 8 (02.12.13)
เริ่มหัวข้อโดย: sunshinesunrise ที่ 02-12-2013 17:42:07
กรี๊ดดดดด น้องนัท.. ชีวิตระทมทุกข์จริงๆ.. แต่ต้องยอมรับว่านัทฉลาด... เสียน้อยดีกว่าเสียมาก... ยอมๆมันไปเหอะ ไอ้แมนมันไม่จิตปกติ.. ไม่ต่อต้านยิ่งไปกันใหญ่ ต้องเอาไม้อ่อนเข้า เดี๋ยวก็คงใจอ่อนเอง (ถ้ายังมีสำนึกอยู่นะ)
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 8 (02.12.13)
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 02-12-2013 18:52:24
อ๊ากกกกกกกก ใครจะเผลอรักใครก่อนเนี้ยะ

 :serius2: :serius2: :serius2: :serius2:

รอตอนต่อไปจ้าาาาาา  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 8 (02.12.13)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-12-2013 04:04:10
นัททำยังไงก็ได้ให้แมนและกลุ่มเพื่อนได้เจ็บและสำนึกซะที
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 8 (02.12.13)
เริ่มหัวข้อโดย: Niinuii ที่ 05-12-2013 00:51:17
แม้นศรี~
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 8 (02.12.13)
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 05-12-2013 01:43:42
ลูกคนมีเงินเป็นแบบนี้ทุกคนใช่ไหม? ไม่มีอะไรทำกันหรือไง ทำไมต้องใช้อนาคตของคนคนนึงเป็นของเดิมพันด้วย?
โคตรเลวอ่ะ บอกเลย รู้สึกแย่กับเหตุการณ์ที่น้องต้องเจอมาตั้งแต่ต้น รู้สึกแย่!!!
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 8 (02.12.13)
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 06-12-2013 00:52:45
เฮ้ออออออออ พระเอกเราเอาแต่ใจตัวเองโคตรๆเลยอ่า
สงสารน้องนัท ทำให้อิพี่แมนรักหัวปรักหัวปรำไปเลยนะ แล้วดัดนิสัยซะให้เข็ด ชิชิ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 8 (02.12.13)
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 06-12-2013 13:00:49
โธ่ น้องนัทของป้า
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 8 (02.12.13)
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 07-12-2013 01:35:33
ไอ้แมนมันไม่ใช่แค่เลวมันบ้าด้วย
ทำทุกวิธีให้ตัวเองรอดนะน้องนัท อ้อนมัน หลอกมัน แล้วค่อยฆ่ามันทั้งเป็น คนอ่านเริ่มจิตแล้ว คิคิ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 9 (08.12.13)
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 08-12-2013 02:08:11
ตอนที่ 9





แสงในยามเช้าทำให้ณัฐวีร์หรี่ตาขึ้นอย่างยากลำบาก..
เมื่อคืนเขาไม่ได้เลื่อนม่านปิดจนมิดทำให้แสงแดดส่องเข้ามาด้านในจนเด็กหนุ่มแสบตา ครั้นพอจะขยับร่างเพื่อดึงสายม่านออกเพื่อคลี่มันปิด ก็เกิดติดขัดขึ้นมาอีกเมื่อช่วงเอวตนเองโดนล็อกไว้ด้วยอะไรบางอย่าง
ณัฐวีร์เหลือบสายตาลงมองแล้วก็พบว่าสิ่งที่พันธนาการเขาไว้เป็นกองผ้าห่ม ซึ่งภายใต้กองผ้านั้นกลับมีผิวเนื้อเปลือยเปล่าของมนุษย์ แน่ล่ะ..จากเหตุการณ์เมื่อคืน.. ย่อมไม่ใช่เนื้อของเขาเพียงคนเดียว
ใบหน้าขาวเรื่อสีชมพูขึ้นทันทีที่นึกออกว่าเมื่อคืนตนผ่านอะไรมา
เขาไม่ได้บอกว่าตนเองมีความสุขมาก.. แต่ก็ไม่ได้บอกว่าตนเองไม่มีความสุขเลย
มันเป็นความรู้สึกครึ่งๆกลางๆของคนที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าอนาคตกำลังจะเกิดอะไรขึ้น แต่มันก็ต้องทำ ต่อให้อนาคตจะต้องเจ็บปวด แต่ไม่มีหนทางอื่นให้เลิกเจ็บปวด นอกจากค่อยๆปล่อยให้เวลาให้ความเจ็บปวดนั้นคืบคลานเข้ามาช้าๆ
การรู้ว่าปลายทางจะมีความปวดร้าวรออยู่ ทำให้ความสุขที่มีนั้นมีไม่มากนัก เพราะเรื่องในอนาคตมันกวนใจจนไม่สามารถฉีกยิ้มได้สุดริมฝีปาก แค่เพียงอมยิ้มไว้ยังยากเลย
แต่เพราะได้เลือกแล้ว.. เขาเลือกแล้วว่าตนเองจำต้องทำเช่นนี้.. จึงได้ทำข้อตกลงนั้น.. จากนี้ไปอีกสองเดือน..เขาทั้งคู่คือ “คนรัก”
หากเมื่อเวลาเดินไปถึงจุดสิ้นสุด.. ก็ขอให้จากกันได้ด้วยดี ไม่ต้องปวดร้าวหนักนักก็แล้วกัน
ความจริงการรู้จุดสิ้นสุดของเวลาก็ดีเหมือนกัน..มันจะได้ให้เขามีไว้เพื่อเตรียมใจไม่ถลำตัว บางทีจากนี้ไปจะเจออะไรที่ทำให้อ่อนไหวบ้างก็ไม่รู้
แค่ช่วงอาทิตย์แรกที่พี่แมนทำดีด้วย.. เขาก็เริ่มหวั่นไหวแล้ว ถ้าพี่แมนทำดีด้วยมากๆ เขาเองก็ไม่อยากจะคิดว่าตนเองจะเป็นอย่างไร
“อือ..”
เสียงครางในคอจากคนข้างตัวทำให้ณัฐวีร์รีบหลับตาลงทันที เขายังไม่อยาก..ตื่น.. ตอนนี้
“ห่าเอ้ย แสบตา..”
เสียงบ่นดังพร้อมกับการเคลื่อนไหวที่น่าจะเป็นการเล่นงานม่านที่เป็นต้นเหตุทำให้คุณชายตื่น หลังจากกุกกักอยู่ชั่วครู่ ร่างนั้นก็กลับลงมานอน มีการขยับไปมาอยู่ชั่วครู่ก่อนจะนิ่งไป
จังหวะการหายใจที่สม่ำเสมอทำให้เขาเข้าใจได้ว่าทางฝ่ายนั้นหลับไปอีกครั้งแล้ว เด็กหนุ่มจึงลืมตาขึ้นแล้วหันไปมอง
“ไงมึง..” อีกฝ่ายร้องทักก่อนจะยักคิ้วเข้มๆนั้นให้ “ไม่ใช่สิ.. ไงเมีย”
แค่นั้นก็ทำให้ณัฐวีร์หันกลับนอนหลับตาเหมือนเดิม.. แต่หน้านี่ร้อนผ่าวไปหมดแล้ว
“แหนะ พูดด้วยทำเมินอีกแล้ว”
แล้วเจ้าตัวคนพูดก็พลิกมาดึงเอาร่างคนตัวเล็กกว่าเข้าไปไว้ในวงแขน “นี่ ไม่เมินกูสักวันมึงจะตายไหมเนี่ย”
ณัฐวีร์ฟังแล้วก็หัวเราะเบาๆ เพราะคนพูดกระซิบอยู่ข้างหูนี่เอง เล่นเป่าลมอยู่ใกล้ๆหูเด็กหนุ่มก็หลุดย่นคอหนีเหมือนกัน
“ไม่เล่นนะครับ” มือเล็กดันคางอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นมองใบหน้ายุ่งๆของคนเพิ่งตื่นนอน
“ไม่เล่นเมียจะให้เล่นอะไร” มกรหัวเราะพลางหันหน้าหลบมือลงไปหาซอกคอขาว
แปลกดี.. เด็กนี่ไม่มีกลิ่นเหงื่อแบบที่เขาไม่ชอบเลย เมื่อคืนก็ใช่ว่าจะไม่มีเหงื่อเสียหน่อย
“พอเถอะครับ ตื่นแล้วผมก็จะได้ไปอาบน้ำ.. เหนียวตัว”
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันมุ่นเมื่อได้ยินประโยคแทนตัวแบบนั้น
“อะไรครับ?”
“ผมเหรอ?.. เมื่อคืนยังเรียกตัวเองว่านัทอยู่เลย”
ความทรงจำเมื่อคืนผุดขึ้นมาอีกครั้ง คนถูกท้วงจึงได้แต่หน้าร้อน.. เขาแทนตัวเองด้วยชื่อทุกครั้งตั้งแต่ไฟดับลง..
“ก็ไม่รู้จะเรียกยังไงดี”
“นัท.. เรียกตัวเองว่านัทก็ดีแล้ว”
เจ้าของชื่อจ้องไปที่ตาของอีกฝ่ายคล้ายจะหาความหมายในคำพูดนั้น แต่พอเห็นอีกฝ่ายจ้องมานิ่งๆเขาก็เริ่มกลับมาคิด
ที่ขอให้ทำแบบนี้ต้องการอะไร..?
จากนี้ไปสองเดือนเขาขอไว้ว่า “ให้เป็นของพี่แมนคนเดียว..”
แล้วฝ่ายนั้นก็คงกำลังพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นอีกครั้ง.. ถ้าต่างฝ่ายต่างร่วมมือกัน เวลาที่มีตอนนี้ก็น่าจะอยู่กันอย่างสงบสุขได้
ณัฐวีร์ยิ้มให้ชนิดที่เจ้าตัวคิดว่าหวานที่สุดแล้วที่จะทำได้
“ถ้าอย่างนั้นพี่แมนเรียกตัวเองว่าพี่แมนให้นัทหน่อยได้ไหมครับ?” เด็กหนุ่มใช้มือข้างที่ยังดียกขึ้นลูบแขนที่กอดรัดร่างของเขาเบาๆ
ใบหน้าคมเข้มที่ฉาบรอยยิ้มไว้บางๆ เปลี่ยนเป็นนิ่งเฉยไปทันที
“มันจะไม่ปัญญาอ่อนไปหน่อยเหรอวะ?”
“ก็...”
“ไม่เอาเว้ย กูมึงแบบนี้ล่ะดีแล้ว”
“เอาเปรียบกันนี่ครับ.. ให้ผมพูดเพราะๆอยู่คนเดียว”
“มึงเป็นเมีย มึงก็ควรพูดเพราะๆกับกู”
“ไม่เห็นเกี่ยวเลย คนพูดเพราะต้องเป็นเมียเสมอไปที่ไหนล่ะ” ณัฐวีร์ประท้วง “แบบนี้ไปไหนมาไหนกันมีนัทพูดแบบนี้อยู่คนเดียว พี่แมนจะให้นัทปัญญาอ่อนคนเดียวหรือไงฮะ? แล้วคนอื่นจะมองพี่แมนเป็นยังไงล่ะ?”
คนฟังได้แต่อึ้งกับเหตุผลนั้น.. เออ ก็จริงของมัน.. อีกฝ่ายเรียกพี่ แทนตัวเองด้วยชื่อ แถมมีคำลงท้ายเสียเรียบร้อย.. แบบนี้กูก็เถื่อนอยู่คนเดียวสิวะเนี่ย...
เห่ย.. แต่จะไปแคร์ทำไมกับสายตาคนอื่น
“กูไม่เห็นสน ใครจะมองแบบไหนก็ช่างหัวมันสิ”
“แต่นัทสน..” เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่งพร้อมกับดึงร่างหนาหนักให้ลุกตาม “นัทไม่ชอบให้ใครมามองคนของนัทไม่ดี..”
มกรเลิกคิ้วขึ้นทันที “ใครเป็นคนของมึง? ไอ้เด็กหน้าด้าน”
“จะว่าหน้าด้านก็ได้ ยังไงสองเดือนนี่พี่ก็เป็นของนัทแล้ว.. รับรองนัทจะรับผิดชอบพี่อย่างดีเอง เราตกลงกันแล้วเมื่อคืน นัทให้มัดจำไปแล้วด้วย พี่ต้องทำตามข้อตกลงนั้น .. หรือพี่ไม่กล้า?”
คนฟังแทบอยากจะเบิ้ดกระโหลกไอ้เด็กเวรที่ลอยหน้าถามหาความกล้าของเขาเสียจริง
“ไอ้นัท.. เดี๋ยวเหอะมึง” ชายหนุ่มชี้หน้า แต่ทันทีณัฐวีร์ก็คว้าหมับแล้วจุ๊บมือนั้นเข้าให้
“นะครับ.. พูดเพราะๆกับนัทนะครับ..พี่แมน”
“ชิ!” ชายหนุ่มดึงมือออกจากการเกาะกุมแล้วลุกขึ้นจากเตียงทันที “เออๆ แค่นี้พอใจแล้วใช่ไหม? ห่า!”
แล้วคนที่สบถก็เดินโทงๆไปหยิบผ้าขนหนูพาดไหล่หายเข้าไปในห้องน้ำ
คนที่นั่งยิ้มกว้างอยู่บนเตียงค่อยๆลดมุมปากลงกลายเป็นใบหน้าเรียบเฉย เสียงถอนหายใจดังออกมาเบาๆ พลางคิดไปว่า ..อย่างน้อย.. ตอนที่คบกันอยู่นี้ เขาต้องพยายามทำให้เขาอยู่ได้อย่างสบายใจมากที่สุด..
ทำอะไรก็ได้ที่จะส่งผลให้ตัวเขาเองปลอดภัย ไม่เจ็บตัว ไม่น่าสมเพชไปมากกว่านี้
ตาคู่เรียวหลุบลงมองแขนขวาที่ยังเข้าเฝือกไว้ .. ร่างกายของฉัน สัญญาว่าฉันจะไม่ทำให้นายต้องเจ็บหนักแบบนี้อีก
ฉันสัญญา..
.....





วันที่ต้องขนย้ายตัวเองออกจากบ้านไปอยู่ที่คอนโดนั้น เป็นวันที่ณัฐวีร์รู้สึกเหมือนตัวเองจะต้องไปออกค่ายพักแรมกับโรงเรียนมากกว่าจะย้ายไปอยู่บ้านคนอื่น
แม่เอาอาหารใส่กล่องเตรียมไว้ให้หลายอย่าง บอกเป็นนัยว่ายังไงลูกฉันก็ห้ามอดตาย ทิ้งท้ายไว้ว่าอยากกินอะไรก็ให้โทรมาบอก แม่จะให้คนครัวที่บ้านทำไว้ให้แล้วค่อยให้วินหน้าบ้านเอาไปส่งให้ หรือจะแวะมารับมาหาก็จะดีมาก
ส่วนป๊า นั่งมองการขนกระเป๋าลงมาด้วยสายตามีคำถามตลอดเวลา ทว่าป๊าไม่พูดอะไรเลย.. สุดท้ายคุณวีรชาติมาเอ่ยออกมาก่อนจะขนของขึ้นรถแค่ว่า
“ทำเหมือนจะไม่กลับมาหาป๊าแล้ว..”
พูดจบคุณวีรชาติก็เดินหนีขึ้นบ้าน เดือดร้อนคุณณฐกาต้องเดินตามขึ้นไปปลอบใจกันพักใหญ่ถึงได้ลงมาอีกครั้ง
เด็กสองคนยังนั่งรอผู้ใหญ่ลงมาจากข้างบน คนหนึ่งใจไม่ดีกลัวจะเกิดปัญหาให้เขาต้องมาตีสองหน้าแก้อีก ห่วงครอบครัวก็ห่วง กังวลกับท่าทีของมกรเองก็ด้วย เพราะพอป๊าขึ้นข้างบนไป มกรก็นั่งนิ่งไม่หือไม่อือเลย ไม่รู้ว่าคิดอะไร อาจจะกำลังหงุดหงิดอยากรีบกลับไปคอนโด อาจจะคิดว่าถ้าป๊าไม่ยอมให้ไปตัวเองจะลากเขาไปยังไงก็เป็นได้
จนคุณวีรชาติลงมาให้กล่าวลานั่นแหละ ใบหน้าของเด็กทั้งคู่จึงเริ่มมีรอยยิ้มขึ้นบ้าง
ตอนจะขับรถออกไปคุณวีรชาติหยิบเอาสร้อยพระเลี่ยมทองออกมาสองเส้น มันเป็นทองลายธรรมดาเส้นละหนึ่งบาท หนึ่งเส้นท่านใส่ให้ลูกชายตัวเองแล้วบอกว่าขอให้พระคุ้มครอง อีกเส้นท่านส่งให้มกรเองกับมือแล้วบอกว่า
“ป๊าฝากนัทด้วย.. ขอให้พระคุ้มครอง”
แล้วท่านก็เดินเข้าบ้านไปเลย ไม่เหลียวมามองรถอีก ปล่อยให้คุณณฐกาดูแลไปคนเดียว
คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยถ้าคุณณฐกาจะไม่กล่าวออกมาว่า
“ป๊าเขาเตรียมสร้อยนี่ไว้ตั้งแต่นัทออกจากโรงพยาบาล เขาว่ายังไงก็อยากให้นัทมีพระคุ้มครอง ส่วนแมนยังไงก็ต้องรับขวัญเข้าบ้าน.. ป๊าเขาพูดไม่เก่ง แต่เห็นลูกๆมีความสุขป๊าเขาก็มีความสุข..”
หัวตาเริ่มร้อน โพรงจมูกเริ่มแสบ ยิ่งเมื่อแม่เอื้อมมือผ่านกระจกเข้ามาลูบศีรษะเล็กๆของณัฐวีร์ เด็กหนุ่มก็รู้สึกเหมือนตัวเองจะไม่สามารถกั้นน้ำตาไว้ได้อีกต่อไป
ป๊ากับแม่ดูแลเขามาอย่างดีตั้งแต่เกิด.. อันที่จริงเขาก็ไม่อยากมีความลับอะไรกับผู้ปกครอง.. แต่เพราะไม่อยากให้หนักใจ ไม่อยากให้ครอบครัวต้องเดือดร้อนเขาจึงต้องมีความลับ จึงต้องทำแบบนี้.. หวังว่าเมื่อทุกอย่างจบสิ้นลง เขาจะสามารถกลับมายืนอยู่ได้ในฐานะลูกชายที่ดีของป๊ากับแม่อีก
แม่..ยืนส่งเขาจนรถลับตา ส่วนเขาเองขนาดแม่ลับตาไปแล้วก็ยังมองตึกที่อาศัยมาแต่เล็กจนมันลับตาไปเหมือนกัน








TBC.
.....



วันนี้มาต่อให้ซะเช้าเลย 5555  :hao6:

ขอบคุณทุก comment ค่ะ อาจจะไม่ได้โต้ตอบพูดคุยเท่าไหร่ แต่่คนแต่งได้อ่านทุกข้อความนะคะ ฝากขอบคุณมาด้วย  :mew1:

เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ #มาเร็วเคลมเร็ว 5555  :mew1:  :mew1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 9 (08.12.13) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-12-2013 03:12:53
มาสั้นจังเลย นึกว่าตอนนี้จะได้ด่าแมนและผองเพื่อนต่อซะอีก ตอนต่อไปมาเร็วๆน่ะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 9 (08.12.13) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: pornumpai-ka ที่ 08-12-2013 06:43:38
 :katai1: :katai1: :katai1:



มาทำให้ค้างมันไม่ดีนะ  มาต่อเลย!!!!!!!!!!!!!!!
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 9 (08.12.13) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: แป้งข้าวหมาก ที่ 08-12-2013 09:21:21
น้องนัทรักษาตัวเองดีๆนะลูก
เดี๋ยวมันก็ถึงวันของเรา วันนั้นชั้นจะสมน้ำหน้า
ไอ่แมนให้  :laugh:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 9 (08.12.13) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 08-12-2013 10:00:05
อดทนนะน้องนัท รอวันของเรา
ถ้าเปลี่ยนไอ้แมนเป็นคนดีไม่ได้ ก็ตอกฝาโลงมันซะ (คนอ่านเริ่มโหด)
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 9 (08.12.13) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวโจร500 ที่ 08-12-2013 11:49:18
นัทน่ารักจัง ><
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 9 (08.12.13) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Damon ที่ 08-12-2013 11:59:17
นัทสู้ๆ คนเขียนสู้ๆ คนลงก็สู้ๆ จ้า
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 9 (08.12.13) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 08-12-2013 12:12:37
น้องนัทสู้ๆ อิพี่แมนทำตัวดีๆหน่อยสิ
อย่าให้ถึงวันที่แกหลงน้องนัทของชั้นนะยะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 9 (08.12.13) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: navysilver ที่ 08-12-2013 12:17:31
สนุกมากค่ะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ  :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 9 (08.12.13) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 08-12-2013 12:22:39
อยากให้เว้นวรรคมากกว่านี้อ้ะ มันลายตา :a11: :a11: :a11:

น้องนัทนางฉลาดนะ รู้จักประณีประนอม  :katai2-1:

ถ้าหมดสามเดือน ท่าทางมกรจะได้เงินเเสนและเสียหนูน้อย  :m8: :m8:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 9 (08.12.13) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 08-12-2013 13:17:45
สั้นอ้ะะะะะะะ
นัทกล้าต่อปากต่อคำซะพี่แมนไปไม่ถูกเลย ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 9 (08.12.13) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: matame ที่ 14-12-2013 14:57:52
นัทสู้ๆอย่าเพิ่งไปตกหลุมรักมันนะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 9.1 (15.12.13) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 15-12-2013 01:36:20
ตอนที่ 9.1



จากวันที่ออกมาอยู่คอนโด ชีวิตประจำวันของณัฐวีร์มีแค่อยู่ในห้อง ออกไปห้าง และกลับมาอยู่บนเตียงเดียวกัน ที่เคยคิดว่าอยากจะอยู่ที่โซฟาก็ต้องเปลี่ยนแผนไป เพราะมีอันต้องโดนลากไปที่เตียงทุกวัน ไม่เว้นกระทั่งวันนี้

“เดี๋ยวสิพี่แมน เดี๋ยวก่อน..” เสียงหัวเราะคิกของณัฐวีร์ปนไปกับเสียงร้องห้าม แต่มือแข็งแรงที่หิ้วเอวเขายกจนตัวลอยไม่ยอมคลายออก

“ไม่เดี๋ยวแล้ว หิว”

ความต้องการของคนหนุ่มนั้นแทบจะมีตลอดเวลาที่ได้สัมผัสเนื้อตัวของกันและกัน ยิ่งการอยู่ด้วยกันของพวกเขาเป็นไปแบบประนีประนอม การถึงเนื้อถึงตัวกันจึงมีง่ายมากจนไม่สามารถจะหยุดใครบางคนไว้ได้
ประกอบกับการห้ามของณัฐวีร์ไม่ได้จริงจังอะไรมากนัก เรื่องบนเตียงจึงมีมาไม่เว้นแต่ละวัน  กลางวันบ้าง กลางคืนบ้างแล้วแต่โอกาสจะอำนวย

ความสุขสมที่เพิ่งจะผ่านไปทำให้เสียงหอบหายใจสะท้อนก้อง แล้วค่อยแผ่วเบาลงจนเข้าสู่สภาวะปกติ

“หิวน้ำไหม?”
เสียงกระซิบถามทำให้ณัฐวีร์ที่ซุกหน้าอยู่กับหมอนผงกศีรษะขึ้นยิ้มเล็กน้อยก่อนจะทิ้งหัวลงนอนท่าเดิม
ไม่นานเขาก็ถูกสะกิดอีกครั้งพร้อมกับแก้วน้ำที่ยื่นมาให้

“ขอบคุณครับ..”
ณัฐวีร์ลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงพร้อมกับจิบน้ำที่อีกฝ่ายเอามาให้ไปอึกใหญ่ มกรเองก็ทิ้งตัวลงนั่งข้างกัน

“นี่..”
คนถูกเรียกหันมาเลิกคิ้ว

“ไปเที่ยวเชียงใหม่กันไหม.. ไปเล่นสงกรานต์ที่คูเมืองกัน”
ณัฐวีร์ทำตาโตทันที “ไปยังไงครับ ป่านนี้แล้วที่พักคงเต็มหมดแล้วมั้ง”

“ขับรถไปดีกว่า ป่านนี้เครื่องคงจองตั๋วยาก”

“แล้วพี่แมนไม่เหนื่อยแย่เหรอ ไหนจะที่พักอีก”

“ไม่หรอก ขับออกไปตั้งแต่วันพุธก่อนคนจะหยุด แล้วก็กลับสักวันศุกร์ที่ 19 รถคงน้อยแล้วจะได้ขับสบายๆ ส่วนที่พักก็เดี๋ยวลองให้เลขาแม่หาที่พักให้ พวกแพงๆน่ะยังไงก็ยังไม่หมดง่ายๆหรอก”

“ถ้าแพงมากๆนัทช่วยออกไม่ไหวนะ..”
คนชวนยิ้มทันที “ไม่ต้องห่วง พี่ออกเอง”

คราวนี้กลายเป็นคนฟังที่ยิ้มหวาน “ลืมไปว่าอยู่กับป๋า..”

“ไหนป๋าขาสิ..”

“ป๋า...คร้าบ...” ณัฐวีร์หัวเราะชอบใจ

“งั้นเดี๋ยวไปโทรบอกให้เลขาแม่จองห้องพักให้ก่อนแล้วกัน พักในเมืองสักสามคืน แล้วที่เหลือก็ไปพักนอกเมืองกัน จะได้มีสองบรรยากาศ ดีไหม”

“แล้วแต่ป๋าเลยครับ..” ณัฐวีร์ยิ้มให้พร้อมกับโน้มตัวลงจูบหัวไหล่คนข้างๆ
เป็นอันตกลงกันว่าสงกรานต์ปีนี้พวกเขาจะขึ้นไปเชียงใหม่กัน แต่เพราะการหาที่พักในเวลากระชั้นชิดแบบนี้เป็นไปด้วยความลำบากอย่างแสนสาหัส มนุษย์ที่เชี่ยวชาญอย่างคุณเลขาก็ยังจนปัญญา ทำให้ในเย็นวันถัดมา มกรจึงต้องโทรหาคนที่มีบ้านพักอยู่ที่เชียงใหม่เพียงคนเดียวในกลุ่ม

“นี่ถ้ามีที่พักมึงก็จะทิ้งเพื่อนไปกับเมียมึงสองคนใช่ไหมไอ้แมน”
เสียงปลายสายทำให้มกรหัวเราะลั่น

“ใครจะกล้าทำอย่างนั้นกับพี่ป้อด”

“ตั้งแต่มีเมียมึงไม่ออกมาเปรี้ยวกับพวกกูเลย”

“แค่ไม่ถึงสิบวันที่ไม่เจอหน้ากู พวกมึงลงแดงกันแล้วหรือไง”

“กูน่ะไม่ลงแดงหรอกนะ แต่ไอ้แชร์โน้น.. มันบ่นทุกวันแต่มันไม่กล้าโทร”
คนฟังถึงกับขมวดคิ้ว “เป็นห่าไรไม่กล้าโทร?”

“มันกลัวโทรไปเจอเมียมึงสิ”

“นัทน่ะเหรอ.. เจอแล้วทำไมวะ?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นอย่างงงๆ

“ไม่รู้มัน.. มึงลองโทรถามมันเองสิ มาว่าเรื่องของเราดีกว่าไอ้แมน มึงจะเอาที่พักกี่คืน กูจะได้บอกแม่ถูก”

“พวกมึงจะไปเล่นน้ำกับกูไหมล่ะ”
เสียงไอ้ป้อดหัวเราะระรื่นมาทันที “กูถือว่าเป็นคำชวน กูไม่เกรงใจ ดังนั้นเดี๋ยวกูจะโทรไปบอกแม่แล้วไลน์บอกเวลากับมึงนะไอ้แมน”

“สัตว์เอ้ย! เอาห้องส่วนตัวให้กูกับเมียด้วย”

“หูย..รักกันจัง น่าอิจฉา”

แล้วเสียงหัวเราะของคนทั้งคู่ก็ดังลั่นขึ้น โดยไม่มีใครได้พูดอะไรอีก
การสนทนากับเพื่อนป้อดจบลงอย่างง่ายดาย การไปเที่ยวสงกรานต์ครั้งนี้ มีบางวันต้องไปด้วยกันกับกลุ่มเพื่อน เพราะที่พักในเมืองหาจองไม่ได้ ส่วนที่พักนอกเมือง เลขาของแม่จัดการได้แล้ว แต่ก็ไม่ใช่ตามวันที่พวกเขาอยากได้เสียทีเดียวหรอก
สรุปเป็นว่าพวกเขาต้องเดินทางไปพักนอกเมืองกันเองเสียก่อน แล้วเมื่อถึงช่วงสงกรานต์ เพื่อนเขาจะให้รถตู้ไปรับที่รีสอร์ท แล้วค่อยมาพักที่บ้านป้อดตลอดสงกรานต์
ที่พิเศษไปกว่านั้น พอคุณมณธิชาทราบว่าสองหนุ่มจะไปเที่ยวกัน ท่านก็ออกปากให้หาตั๋วเครื่องบินทันที ไม่มีชั้นประหยัดก็ให้หาชั้นที่สูงกว่าไป อย่างไรท่านก็ไม่ยอมให้ขับรถเองเป็นอันขาด.. แถมพอควานหาเข้าจริงๆ ยังเผื่อแผ่ตั๋วไปถึงเพื่อนของลูกชายที่จะตามไปล็อตหลังอีกต่างหาก
แล้วพอเผลอๆ แค่ชั่วไม่นานนักวันเดินทางก็มาถึง

“นัทเอาเสื้อนี่มาคลุมนะครับ?” อากาศเย็นในห้องผู้โดยสารผสมกับเจ้าตัวใส่เพียงเสื้อยืดแขนสั้นตัวเดียวทำให้ณัฐวีร์ร้องขอเสื้อจากตักของคนที่นั่งเล่นไอแพดอยู่ข้างๆ
เสื้อนั้นเป็นเชิ้ตแขนสั้นธรรมดาที่มกรใส่คลุมเสื้อกล้ามอีกชั้นหนึ่ง พอขึ้นเครื่องมาแล้วเขาก็ถอดวางไว้กับตัวเพราะไม่ได้รู้สึกหนาวอะไร
พอคลุมตัวไปพักเดียว อาหารบนเครื่องก็มาเสิร์ฟ
พื้นที่สำหรับผู้โดยสารชั้นธุรกิจนั้นมีแอร์โฮสเตสสองคนและสจ๊วตอีกหนึ่งคนคอยให้บริการ และจะว่าเป็นความโชคไม่ดีของณัฐวีร์หรือเปล่าก็ไม่อาจทราบได้ ที่สจ๊วตชายคนนั้นเอ่ยถามด้วยความใส่ใจ

“ผู้โดยสารหนาวหรือครับ..”
เด็กหนุ่มนั่งอยู่ริมด้านนอก ในขณะที่มกรนั่งอยู่ติดหน้าต่างด้านใน ดังนั้นเมื่อสจ๊วตคนนั้นก้มลงมาถามอย่างนอบน้อมพร้อมกับนำถาดอาหารมาให้  ณัฐวีร์จึงยิ้มรับ “ไม่เป็นไรครับ.. ผมโอเค”

“ถ้าต้องการผ้าห่มบอกผมได้นะครับ”
ณัฐวีร์ยิ้มตอบไม่ได้พูดอะไร ทว่าก่อนที่ฝ่ายนั้นจะผละไปเขาก็รู้สึกได้ถึงมือของคนที่นั่งอยู่ข้างกันเอื้อมมาดึงเสื้อเชิ้ตบนตัวเขาให้คลุมไหล่มากขึ้น
สายตาของณัฐวีร์มองการกระทำนั้นอย่างสงสัย เพราะพอเอาเสื้อคลุมไหล่ให้เสร็จ เจ้าตัวก็เอามือมาขยี้ผมของเขาเบาๆ และหันไปสั่งน้ำผลไม้กับสจ๊วตคนนั้น

“เอาน้ำแอปเปิลให้น้องด้วยครับ”
สจ๊วตคนนั้นหลุบตาลงต่ำพร้อมกับยิ้มบางๆ “อ่า..ครับ ขออภัยจะรีบไปนำมาให้เดี๋ยวนี้ครับ”
ณัฐวีร์หันไปขอบคุณสจ๊วตด้วยการผงกศีรษะแล้วยิ้มให้ ก่อนจะหันมายิ้มให้มกรด้วย

“ขอบคุณนะครับ กำลังอยากน้ำหวานพอดีเลย”
ทว่าคนที่นั่งด้านข้างกลับเอานิ้วชี้มาเฉดหน้าผากเขาเสียอย่างนั้น

“โอ้ยพี่แมน.. นัทเจ็บนะ”
เด็กหนุ่มถูหน้าผากตัวเองป้อยๆ
ส่วนอีกฝ่ายกลับยังไม่เลิกเอานิ้วมาจิ้มหน้าผากจิ้มแก้มจิ้มเนื้อแขน เหมือนจะยิ่งแกล้งให้เจ็บมากขึ้น สีหน้าก็เต็มไปด้วยความหงุดหงิดสุดๆ ทำให้ณัฐวีร์ต้องเอี้ยวตัวหนีเป็นพัลวัน

“ไม่เอาแล้วพี่แมน หยุดนะ!”
เด็กหนุ่มโวยวายเบาๆ ซึ่งกว่ามกรจะเลิกเล่นงานเขาก็เมื่อมีแอร์โฮสเตสสาวหยิบแก้วน้ำผลไม้มาเสิร์ฟให้นั่นแหละ
พออาหารตรงหน้าเริ่มร่อยหรอ ณัฐวีร์เริ่มวางมือ คนที่นั่งอยู่ข้างในก็เอามือมาดันๆร่างเล็กอีกครั้ง “ลุกสิ..”

“ห๊ะ?.. ลุกยังไงล่ะ ถาดอาหารมันเกะกะนะครับพี่แมน” เด็กหนุ่มบ่นยกใหญ่ ซึ่งเป็นจังหวะที่พนักงานสาวสวยเดินมาหาตามเสียงกดปุ่มเรียกพอดี มกรจึงยื่นถาดของตนเองส่งให้เธอไปก่อนแล้วตามด้วยของณัฐวีร์

“ไป ลุก..”

“ไปไหน..?” ณัฐวีร์เอ่ยถามอย่างสงสัยขึ้นมาบ้างเหมือนกัน

เอาจริงๆ เขาคิดว่าเขาเริ่มจับทางการประนีประนอมที่จะอยู่ด้วยกันได้อย่างไม่ลำบากแล้ว แต่บางทีจังหวะแบบนี้เขาก็เริ่มไม่เข้าใจขึ้นมาเหมือนกัน ไม่รู้จะต้องทำตัวยังไง.. ทางที่ดีที่สุดคือตามน้ำไป เอาให้รู้สาเหตุก่อนแล้วค่อยหาทางแก้ไขกันอีกที
พอลุกออกมาได้เขาก็ถูกดันให้เดินไปตรงบริเวณห้องน้ำ แล้วเพราะไม่มีใครสนใจใคร มีเพียงอาหารเท่านั้นที่น่าสนใจตอนนี้ ณัฐวีร์จึงถูกลากเข้าไปในห้องน้ำด้วยจนได้

“อะไรกันเนี่ยพี่แมน พาผมเข้ามาทำไม?” คำเรียกแทนตัวเปลี่ยนเพราะความตกใจที่เกิดขึ้น อย่างน้อยเขาก็ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรประเจิดประเจ้อแบบนี้

พอล็อกประตูได้เจ้าตัวก็หันมาแยกเขี้ยวใส่ “อยากจูบไม่ได้หรือไง”
แล้วร่างเล็กๆนั่นก็โดนรวบเข้าไปไว้ในวงแขนทั้งตัว ความสั่นไหวของเครื่องไม่ทำให้ณัฐวีร์ตกใจเท่าการกระทำของอีกฝ่าย
ริมฝีปากร้อนรุมที่บิดเบียดเข้ามาหาอย่างถือสิทธิ์ทำให้เขาต้องเปิดปากรับอย่างช่วยไม่ได้ ปลายลิ้นอุ่นร้อนที่แทรกไซ้เข้ามาพัวพันทำให้เด็กหนุ่มถึงกับต้องร้องเครือในลำคอ
มือใหญ่ที่อุ่นจัดไล่ลูบเลยเข้าไปในตัวเสื้อ ขยำผิวเนื้อเนียนเรียบของเด็กหนุ่มจนถ้าหยิบติดมือไปได้มันคงหลุดติดมือไปแล้ว ทำให้ณัฐวีร์ต้องใช้กำปั้นตัวเองทุบลงไปบนไหล่หนาเพื่อเตือนสติ..
เขายังไม่อยากออกกายบริหารในห้องน้ำสาธารณะบนเครื่องบินหรอกนะ

“อื้อ..”

เด็กหนุ่มส่งเสียงในลำคอเมื่อฝ่ายนั้นเลื่อนมือลงไปกุมหว่างกลาง ถึงตอนนี้มันจะตกตื่นแต่ก็ยังไม่ตื่นตัว ทว่า ..หากปล่อยให้มือใหญ่นั้นยึดเป้าหมายไว้แบบนี้มีหวังเขาอาจจะสูญเสียอาณาจักรไปในไม่ช้า
ณัฐวีร์รีบจับข้อมือหนาไว้แล้วดึงออก ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนฝาโถเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าถึงตัวเขาไม่ถนัดนัก ริมฝีปากสีชมพูจัดถูกอีกฝ่ายดูดดึงจนเจ็บก่อนจะปล่อยออกไป
ดวงตาของมกรนั้นเต็มไปด้วยความต้องการ แต่ณัฐวีร์กลับยกนิ้วชี้ของตัวเองขึ้นจรดริมฝีปากแล้วส่งเสียงชู่เบาๆ

“ไม่ได้นะครับ.. นัทไม่ให้มีอะไรกันบนเครื่องนะ”

คนตัวสูงทำหน้าเสียดาย “อยาก.. ทำเหอะ..”

“กลางวันแสกๆ บนเครื่องเนี่ยนะพี่แมน.. ไม่เอาล่ะ” เด็กหนุ่มกระซิบตอบ

“ไม่ไหวแล้ว..”

“ทนหน่อยสิ เดี๋ยวเครื่องก็ลงแล้ว”

“ไม่เอา..”

มกรส่ายหน้าอย่างไม่ยอม เขาก้มลงบดเบียดริมฝีปากกับร่างเล็กกว่าและทำท่าว่าจะไม่ยอมตามนั้นจริงๆ
คราวนี้ปัญหาหนักก็มาตกที่ณัฐวีร์นั่นแหละ.. จะทำยังไงให้ “การประนีประนอม” ยังเป็นนโยบายหลักที่เขาจะต้องยึดถือไว้ให้จงได้
เรียวลิ้นและฝ่ามือที่เริ่มรุกรานหนักขึ้นทำให้ณัฐวีร์ต้องรีบคิดให้เร็วที่สุด

“อือ..”

เด็กหนุ่มครางเบาๆ ก่อนจะเริ่มวางมือตนเองไปบนร่างกายของอีกฝ่ายเช่นกัน.. เอาล่ะ ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างมีหวังเขาได้เสร็จหมอนี่บนเครื่องบินจริงๆแน่

“พี่..พี่แมน..”
เสียงเรียกกระท่อนกระแท่นเพราะอีกฝ่ายยังพยายามไล่งับริมฝีปากของเขาไม่ยอมห่าง เด็กหนุ่มจึงควานมือลงไปหากลางหว่างที่แข็งขึงเตรียมพร้อมมากๆแล้วสำหรับไฟล์ทนี้

“...”

คนถูกสัมผัสหายใจหนักขึ้น มองใบหน้าเนียนขาว ตาเรียวๆแล้วก็ยิ่งเหมือนจะระเบิด

“นัททำให้เอง.. นะ”

ไม่รอให้มีการปฏิเสธเกิดขึ้น ณัฐวีร์รูดซิปกางเกงผ้าสวมสบายนั่นลง ปราการอีกด่านไม่ชัดเจนเท่าบางอย่างที่นูนเด่น ราวกับสิ่งภายในนั้นอึดอัดต้องการพื้นที่ขยับขยายมากกว่านี้
เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ เขาคุ้นเคยกับมันก็จริง แต่กลางวันแสกๆ บนพื้นที่สาธารณะแบบนี้.. ความอายก็มีอยู่บ้างเหมือนกัน ใบหน้าขาวร้อนผ่าวและแดงก่ำ ส่วนหูที่ไม่มีผมสีดำสนิทปกปิดก็แดงเสียยิ่งกว่าแก้มเรื่ออีก

“นัท..”  เสียงเรียกนั้นดังอย่างแหบพร่า เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายชะงัก ปลายนิ้วแข็งๆลูบหัวไหล่ก่อนจะเลื่อนมาตามลำคอ แก้ม และริมฝีปาก
นิ้วชี้ลูบไล้ปากสีชมพูจัดและชุ่มชื้นด้วยรสจูบอย่างเผลอไผล แล้วร่างสูงก็สะดุ้งวาบเมื่อเด็กหนุ่มกล้าตวัดปลายลิ้นออกมาเลียนิ้วนั้นเล่นราวกับลูกแมว
ถึงแม้จะเป็นกิริยาที่น่ารักราวกับสัตว์ตัวเล็กๆแสนเชื่อง ทว่าชายหนุ่มนั้นกลับรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกลงโทษ
ความต้องการภายในปะทุขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เขาเลื่อนมือมาดึงมือเด็กหนุ่มไปวางไว้และเริ่มบังคับให้ขยับขึ้นลงตามความร้อนของตนเอง
เห็นแบบนั้นณัฐวีร์จึงต้องรีบระบายความร้อนออกอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ตัวเขาเองจะวุ่นวายมากไปกว่านี้  ..ริมฝีปากและปลายลิ้นถูกใช้ควบคู่ไปกับมือกอบกุมในส่วนที่เขาครอบครองปรนเปรอไปไม่ถึง
อุ้งปากตอดรัดและปลายลิ้นเซาะไปตามร่องช่องทางเสียทั่ว มือเรียวขยับกระตุ้นรวมทั้งเป็นการควบคุมจังหวะและบางครั้งต้องค้ำยันหน้าท้องไว้ไม่ให้เบียดเข้ามาสู่คอเขามากขึ้น
ดวงตาเรียวปิดลงสนิท คิ้วขมวดมุ่นทุกครั้งที่อีกฝ่ายเคลื่อนไหว ทว่า..เขารู้ว่าตนเองก็อดที่จะตื่นเต้นไปด้วยไม่ได้ หัวใจในอกเต้นถี่เร็วพอๆกับจังหวะที่ชายหนุ่มบดเบียดเข้ามา และยิ่งรัวเป็นกลองตีเมื่ออีกฝ่ายขยับไว้ขึ้น

“อึก..!”
เด็กหนุ่มร้องอยู่ในคอเมื่ออีกคนฉีดพุ่งเข้ามาโดยไม่ทันให้ตั้งตัว เขาปล่อยปากดันอีกฝ่ายออกไปทันทีก่อนจะหันไปไอโขลกสำลักจนหน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงจัด
มกรยืนพิงร่างกับผนังห้องอย่างรู้สึกเบาตัวชั่วครู่จึงเพิ่งสำนึกได้ว่าตนเองทำให้อีกฝ่ายเกิดอาการแย่จากความสุขสมของเขาเอง

“เป็นอะไรไหม..?”
เสียงถามอย่างกังวลดังขึ้นพร้อมกับมือที่ลูบหลังไปมา ณัฐวีร์มีอาการสำลักอยู่เล็กน้อยแต่ก็ส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่ายังพอไหว ทิชชู่ซับน้ำเช็ดปากให้เด็กหนุ่มแล้วจึงหันมาจัดการตัวเอง หลังจากบ้วนปากเรียบร้อยจึงสามารถพากันออกจากห้องน้ำไปได้
แต่เพราะไอเสียงดังกันไว้นั่นแหละ เมื่อเปิดประตูออกมาสิ่งที่มกรเห็นเป็นสิ่งแรกจึงเป็นสจ๊วตหนุ่มที่ยืนเมียงมองอยู่อย่างกังวล

“เอ่อ..มีอะไรให้ช่วยไหมครับ?”
ณัฐวีร์นั้นเกาะหลังมกรแน่น.. ทำเรื่องแบบนี้บนเครื่องบินแล้วจะให้ช่วยอะไรเล่า.. ช่วยไปไกลๆได้ไหมเนี่ย

“ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าครับคุณผู้โดยสาร?”
เสียงถามนั้นยังดูเหมือนเป็นกังวลทำให้มกรเอี้ยวตัวมาดึงเอาร่างเล็กที่อยู่ข้างหลังให้ตีคู่ขึ้นมายืนด้วยกัน
ณัฐวีร์แทบจะแทรกแผ่นดินหนีเมื่อสบตากับสจ๊วตคนนั้น เขาเสหลบตาลงต่ำและเอนศีรษะซบเข้าไปหาอกกว้างของคนที่อยู่ข้างๆเป็นการหนีเรื่องตรงหน้าเอาดื้อๆ
ใครก่อก็แก้เอาเองแล้วกัน…

“ไม่มีอะไร แค่อาเจียนนิดหน่อย..” พูดจบชายหนุ่มก็โอบไหล่บางให้เดินไปยังที่นั่ง และดันให้เด็กหนุ่มเข้าไปนั่งด้านในแทนที่จะนั่งด้านนอกเหมือนเมื่อครู่
สจ๊วตคนนั้นเดินตามเอาผ้าเย็นและผ้าห่มมาให้ ทว่า ณัฐวีร์นั้นนั่งหลับตาให้สมกับเป็นคนป่วยไปแล้ว คนที่รับเรื่องจึงเป็นมกรแต่เพียงคนเดียว



.....



TBC.


 :katai3:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 9.1 (15.12.13) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-12-2013 02:09:20
บนเครื่องก็ไม่เว้นนะคะคุณ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 9.1 (15.12.13) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: pornumpai-ka ที่ 15-12-2013 06:45:58
 :hao6: :hao6: :hao6:


แหม    ช่างกล้าเนอะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 9.1 (15.12.13) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: krit24 ที่ 15-12-2013 07:12:50
กล้าเกินไปแล้ว นี่บนเครื่องนะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 9.1 (15.12.13) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: blanchet ที่ 15-12-2013 10:39:33
อื้อหืออร้อนแรงตลอดด แต่มกรเริ่มรักน้องยังอ่ะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 9.1 (15.12.13) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 15-12-2013 11:04:01
ดูรักกันหวานชื่นดีจังเลย อิพี่แมนหลงน้องแล้วหละสิ
แม้แต่บนเครื่องบินก็ไม่เว้น อิพี่แมนหื่นมากกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 9.1 (15.12.13) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 15-12-2013 12:20:58
น้องนัทรับมือฉลาดดีจังค่ะ ชอบ

น้องดูรู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะเอาอิพี่แมนอยู่ ดีค่ะ ทำให้มันหลงอีกเยอะๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 9.1 (15.12.13) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: sunshinesunrise ที่ 15-12-2013 13:59:08
สังเกตุเห็นความเปลี่ยนแปลงของพี่แมน.. สงสัยจะตกหลุมที่ตัวเองสร้างไว้แล้วละมั้ง
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 9.1 (15.12.13) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 15-12-2013 15:40:07
 :m25: :m25: :heaven :heaven :pig4: :pig4: o13
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 9.1 (15.12.13) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 15-12-2013 16:42:46
พี่แมนนนน ยังเลวอยู่นะ ทุกคนอย่าเชื่อม๊านนน  :serius2: :serius2: :serius2:

นัทเริ่มมีหนุ่มๆมาวุ่นวายเเล้วอ้ะ  :katai2-1: :katai2-1:

รอตอนต่อไปจ้าา
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 9.1 (15.12.13) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Damon ที่ 15-12-2013 20:05:39
แมนดีจริงป่ะเนี่ย? สับสน หลอกป่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 9.1 (15.12.13) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: qq_oo ที่ 15-12-2013 20:25:43
.พี่แมน พอครบสามเดือน คงหลงนัทจนโงหัวไม่ขึ้น
แค่นี้ก็หวงโดยไม่รู้ตัวล่ะ
ส่วนนัทก็ฉลาดขี้อ้อน ถึงตอนนี้ก็คงมีใจให้พี่แมนบ้างล่ะ

ป.ล. NO DRAMA น่ะ ขอร้อง
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 9.1 (15.12.13) p.3
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 15-12-2013 23:55:30
เริ่มเป็นห่วงนัทบ้างแล้วนะมกร
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 10 (21.12.13) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 21-12-2013 23:15:05
ตอนที่ 10



พอถึงสนามบินเชียงใหม่รถของรีสอร์ทก็มารอรับพวกเขาอยู่แล้ว แต่เพราะหน้าเทศกาลสงกรานต์แบบนี้คนเยอะมาก และมกรก็เดินเร็วมาก ทำให้ณัฐวีร์หลงและยืนหมุนคว้างอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจหยิบมือถือออกมากดโทร

“ฮัลโหล พี่แมน..”

“อยู่ไหนเนี่ย เมื่อกี้ก็เห็นเดินตามกันมาดีๆ”
เด็กหนุ่มทำหน้าย่นกับเสียงบ่นนั่น “ก็โดนคุณป้าเข็นรถขวางไว้ พอเงยหน้ามาอีกทีพี่แมนก็หายไปแล้ว”

“เออๆ แล้วมึงอยู่ไหนล่ะ”
เอาล่ะ เรียกแบบนี้แสดงว่าหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว

“อย่าโกรธสิครับ นัทรออยู่ที่หน้าร้านขายหนังสือ พี่แมนมารับหน่อยได้ไหมครับ หรือจะให้นัทเดินออกไปเอง”

“เดี๋ยวก็หลงกันอีก..รออยู่นั่นแหละ”
ณัฐวีร์ทำหน้าเบื่อตอนที่อีกฝ่ายตัดสายไปแล้ว เขาคาดว่าอีกไม่นานฝ่ายนั้นก็คงเดินมารับ เพราะเพิ่งคลาดกันไม่ถึงห้านาที
แต่เขาคิดผิด.. สิบนาทีก็แล้ว สิบห้านาทีก็แล้ว ฝ่ายนั้นก็ยังไม่มา ครั้นจะโทรไปหาอีกทีเดี๋ยวก็ได้โดนเฉ่งเอาอีก เขาจึงทำได้เพียงรออย่างอดทน

“สวัสดีครับ.. คุณผู้โดยสาร”
เสียงทักนั่นทำให้ณัฐวีร์ต้องหันกลับไปมอง แล้วจึงพบว่าสจ๊วตหนุ่มคนที่พบบนเครื่องเป็นคนเอ่ยทัก

“ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะครับ ไม่สบายค่อยยังชั่วขึ้นแล้วเหรอ”

“เอ่อ.. ผมหลงกับเพื่อนครับ นี่กำลังรอให้เขากลับมารับ”

“อ้อ งั้นให้ผมรอเป็นเพื่อนไหมครับ?” ฝ่ายนั้นเสนอตัวพร้อมรอยยิ้มกว้าง ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกว่าสจ๊วตคนนี้ช่างได้รับการอบรมมารยาทการบริการมาดีจริงๆ

“ไม่ต้องลำบากหรอกครับ คุณไปทำธุระ..”
จังหวะนั้นเอง พนักงานของรีสอร์ทเดินเข้ามาในสายตาของณัฐวีร์พอดี เด็กหนุ่มขมวดคิ้วอย่างสงสัยเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินยิ้มเข้ามาหาอย่างนอบน้อมเพียงลำพัง

“คุณณัฐวีร์นะครับ ผมมารับไปที่รถ ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้รอครับ” พนักงานรีสอร์ทพูดอย่างสุภาพ

“แล้วพี่..”

ชายคนนั้นยิ้มพร้อมกับตอบ “รออยู่ที่รถแล้วครับ เชิญครับ”
คนตัวเล็กที่สุดในกลุ่มมองเจ้าหน้าที่รีสอร์ทอย่างนึกหงุดหงิดเลยไปที่นายมกร.. ตอนแรกเขานึกว่าจะมารับเอง แต่นี่กลับให้พนักงานรีสอร์ทมารับเท่านั้นหรือ..

 ทว่า..ในเสี้ยวมุมหนึ่งก็มาฉุกคิดได้..
จริงอยู่ ตอนนี้พวกเขาตกลงเป็นแฟนกัน คบหากัน ต้องดูแลกัน.. แต่มันคือฉากบังหน้าของพวกเขาทั้งคู่ การจะมาดูแลให้ความสำคัญกันจริงๆมันเป็นไปไม่ได้เลย.. ตัวพี่แมนเองก็คงคิดเช่นนั้น.. ธุระไม่ใช่แล้วจะเดินมารับเขาไปทำไม..

“คุณครับ..ให้ผมช่วยถือกระเป๋าให้ดีกว่า” สจ๊วตคนนั้นยังไม่ได้ถอยหายไปไหน

“...”

ณัฐวีร์เองก็อ้ำอึ้งไป เป้ของเขาที่สะพายติดหลังไม่ได้หนักอะไรหรอก แต่กับคนป่วยอย่างเขา คุณสจ๊วตคนนี้ก็คงมองว่าต้องไม่ดีแน่ถ้าจะปล่อยให้ถือของไว้ ตัวขาวๆหน้าซีดๆแบบนี้ เกิดล้มหัวทิ่มไปในความดูแลพี่สจ๊วตก็คงจะกลัวลำบาก แต่ถ้าทำตัวแต๋วแตกให้พี่เขาช่วยถือมันก็ดูกระไรอยู่นะ

“ผมถือเองได้ครับ..”

“อย่าเลย หน้าคุณซีดมากนะครับ.. มาเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ ผมจะไปที่ลานจอดรถอยู่แล้ว แต่อย่าบอกใครนะครับ นี่ผมแว่บออกมาครู่เดียวเอาของให้แฟนแล้วก็จะกลับเข้าไปเพื่อบินกลับกรุงเทพฯแล้วน่ะครับ” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับยิ้มบางๆให้
ความจริงใจในน้ำเสียงทำให้ณัฐวีร์ยิ้มตอบอีกฝ่ายไปเช่นกัน และมันคงไม่ดีนักถ้าจะมัวมายื้อกัน อีกอย่างมันคงไม่เนียนเพราะเขาอาจทำตัวแกร่งเกินคนป่วยก็เป็นได้..

เมื่อฟังบทสนทนานั้นแล้ว เจ้าหน้าที่รีสอร์ทเองก็ทำท่าเหมือนจะช่วยถือกระเป๋าเป้ให้เช่นกัน แต่เหมือนจะยังรีรอ..
บอกตรงๆว่าณัฐวีร์ชักจะไม่ชินกับการที่มีผู้ชายตั้งหลายคน (อ้อ แค่สอง) มารุมอยู่แบบนี้ สุดท้ายเขาเลยปลดกระเป๋าเป้ส่งให้สจ๊วตหนุ่มแล้วเดินคุยกันมาเรื่อยๆ

เมื่อถึงด้านหน้าของถนน พนักงานรีสอร์ทชี้ให้ดูรถตู้ที่ติดเครื่องรออยู่ไม่ไกลนัก ทำให้คุณสจ๊วตส่งกระเป๋าให้ทางรีสอร์ทช่วยถือและเอ่ยร่ำลากันก่อนที่ฝ่ายนั้นจะแยกไปอีกทาง
ประตูรถตู้เปิดออกจากด้านใน ณัฐวีร์ไม่สามารถระบุได้ว่าสายตาหลังเลนส์แว่นกันแดดนั้นกำลังคิดอย่างไรอยู่.. ทว่า..น้ำเสียงและหัวคิ้วนี่บอกได้ชัดเจนเลยว่าหงุดหงิดชัวร์

“ทำไมต้องให้มันถือกระเป๋าออกมาส่ง!”
เด็กหนุ่มขึ้นมานั่งบนเบาะรถใหญ่แบบ VIP แล้วเมินออกไปนอกตัวรถทันที.. ถ้าไม่สนใจกัน ไม่ไปพากลับมาเองแล้วจะถามทำไม

“ไอ้นัท!”

เสียงเรียกที่รอดออกมาจากไรฟันทำให้เด็กหนุ่มถอนหายใจ..

“ก็นัทเป็นคนป่วยนี่ครับ..” แล้วคนพูดก็หันมามองด้วยหางตา “เป็นคนป่วยตามที่พี่บอกไว้ เขาก็เลยเห็นแล้วสงสาร สมเพช แล้วก็มาส่งนี่ไง..”

“อย่ามาทำให้กูหงุดหงิดหน่อยเลยไอ้สัตว์!”
เสียงด่าลอดไรฟันดังออกมาให้ได้ยินกันแค่สองคน รถเริ่มเคลื่อนตัวออกแล้ว ทำให้เสียงภายนอกดังพอจะกลบเสียงครางอย่างเจ็บปวดของณัฐวีร์ได้ มือเล็กที่ถูกบีบคั้นอยู่ในอุ้งมือใหญ่นั้นเจ็บร้าวจนเจ้าของมันต้องกัดฟันทน

“นัทไม่ได้จะทำให้พี่หงุดหงิดอะไร นัทแค่บอกเหตุผลที่ต้องส่งกระเป๋าให้เขา เพราะเขาบอกว่านัทหน้าซีด ก็เลยไม่รู้จะทำยังไง... ไหนพี่แมนสัญญาแล้วไงว่าจะไม่ทำให้เจ็บอีกน่ะ”
เด็กหนุ่มบิดมือหนี แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ปล่อย..

“นัทไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พี่หงุดหงิดเลยนะ” คราวนี้เขาเริ่มใช้มืออีกข้างมาลูบหลังมือใหญ่ไปมา เขาไม่ใช้มืองัดแกะ..เพราะรู้ดีว่าถ้าต่อต้านแบบนั้นเขานั่นแหละที่จะลำบาก “นะครับพี่แมน.. นัทเจ็บมือ”

เสียงเว้าวอนนั้นน่าสงสาร แต่ยังไม่ทันที่มกรจะทำอะไร เจ้าหน้าที่รีสอร์ทก็หันมาบอกระยะทางว่าอีกไกลแค่ไหนจึงจะถึงที่พัก ขัดคนทั้งคู่ให้ต้องหันไปมองเจ้าหน้าที่
เมื่อรับทราบกันแล้ว น้ำหนักมือก็คลายลงจนกระทั่งละออกไป แต่ก่อนจะหันหน้ากันไปคนละฝั่ง มกรก็ชี้หน้าเหมือนจะคาดโทษไว้

“อย่ากวนตีนกูอีก..”


....







TBC.


วันนี้ขอโทษที่ลงสั้นไปนิดค่ะ ไว้ว่างจะมาลงให้อีกรอบนะคะ

ใครบอกมกรมันดีขึ้นแล้ว มันหลอกกกกกกกกค่ะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 10 (21.12.13) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 21-12-2013 23:19:31
สั้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
มาเร็วๆ น๊าาา
อยากเห็นนัทเอาคืนพี่แมน
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 10 (21.12.13) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: sunshinesunrise ที่ 21-12-2013 23:59:38
โธ่... นึกว่าจะดี.. สันดานนี่เนอะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 10 (21.12.13) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: pornumpai-ka ที่ 22-12-2013 00:08:21
 :hao6: :hao6:


โดนจัดหนักอีกแหงๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 10 (21.12.13) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Fellina ที่ 22-12-2013 02:01:58
อ่านรวดเดียวจบ!
อยากบอกว่า....หนุกมากกกกกกกก

แชร์ ตอนแรก ไอ้เราก็นึกว่าจะดีขึ้นหน่อย
ลงท้าย ไม่ต่างจากแมนเท่าไหร่เล้ย พ่อคุณ =_=;;

แมน.....
ไม่สามารถเม้นให้กับตัวละครนี้ได้
ยังเอ๋อให้กับลมเพลมพัดของฮีอยู่

อยากเห็นตอนที่แมนเริ่มหลงนัทเข้าจริงๆจัง อิอิ
เอาให้ต้องคุกเข่าอ้อนวอนกันเลย

เพื่อนๆของแมนก็สมควรที่จะได้รับโทษบ้างด้วย
ลงท้าย.....

ตอนมันไม่สั้นนะคะ
แต่มีความรู้สึกว่า อ่านจบได้โคตรเร็ว...

ดังนั้น...
มาต่อเถอะค่ะ พลีสสสสสสส><
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 10 (21.12.13) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-12-2013 02:15:09
ยิ่งอ่านยิ่งโอ้ย ไอ้พี่แมน :z6: :beat:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 10 (21.12.13) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 22-12-2013 10:10:31
 รู้สึกว่านัทใช้ชีวิตหยั่งกะเดินอยู่บนเส้นด้าย

ใช้สมองขบคิดหาทางรอดตลอดเวลา

กลัวอิพี่แมนมันปรี๊ดแตกทีน้องคงน่วม

หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 10 (21.12.13) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: becrazie ที่ 22-12-2013 12:00:03
อ่านรวดเดียวเลย

ร้องไห้ยาวเลยทีนี้

เกลียดอิพี่แมน

น้องนัทอย่าไปลงรักมันนะ ไอคนเอาแต่ได้พรรคนั้น

ทำตามสิ่งที่ตัวเองตั้งไว้ตั้งแต่ต้นให้ได้ อย่าไปหลงรักมันเด็ดขาด

แต่ต้องทำให้มันลงเราจนขาดเราไม่ได้

แล้วพอครบสามเดือนที่มันต้องทิ้งเรา ก็อย่าไปใยดี แต่ให้มันมาแทบเท้าเราแทน

#พิมพ์ไปสะอื้นไป

คนเขียนสู้ๆ เราจะรอตอนต่อไป

น้องนัทสู้ตาย เราจะเอาใจช่วย

ส่วนไอพี่แมนไปตายซะ! เราเกลียดนายมากกกก!!!!
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 10 (21.12.13) p.4
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 24-12-2013 13:56:03
ขอซักทีให้อิน้องแมนค่ะ..  :z6:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 10.1 (อัพ 26.12.13) หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 26-12-2013 10:36:48
Merry X'mas ย้อนหลังค่ะทุกคน ตอนแรกกะว่าจะมาอัพให้วันคริสมาส ..แต่งานยุ่งมาก >,<

มาแบบสั้นๆ ค่ะ (แต่ก็ 4หน้า เลยน๊าาา) แหะๆ  :hao7:


=====

ตอนที่ 10.1



ตอนที่มาถึงรีสอร์ทนั้น เป็นตอนที่บนรถกำลังตึงเครียดได้ที่ทีเดียว
ณัฐวีร์ไม่ยอมให้อีกฝ่ายมีโอกาสจับมือเขาไปบีบเล่นอีก ทำให้ทางนั้นนั่งเงียบกริบมาตลอดทางจนเขาเดาท่าทีไม่ถูกเลยทีเดียว
การเช็กอินผ่านไป พนักงานบริการนำพวกเขามาสู่ห้องพัก แต่จะเรียกว่าห้องคงไม่ถูก เพราะสิ่งที่ณัฐวีร์เห็นอยู่ขณะนี้คือบ้านเดี่ยวสองชั้นที่ผสมผสานความเป็นตะวันออกและตะวันตกไว้อย่างลงตัว

ตัวตึกนั้นทำจากปูน เปิดประตูไม้เข้าไปจึงเห็นว่าบริเวณชั้นล่างนั้นมีโซฟารับแขกและโฮมเธียเตอร์ชุดใหญ่อยู่มุมหนึ่ง มีบาร์เล็กๆและบริเวณทำครัวอีกมุม ด้านข้างของโซฟาเป็นประตูกระจกจากพื้นจรดเพดานที่สามารถมองออกไปเห็นสวนสวยต้นไม้ครึ้มด้านหนึ่ง และอีกด้านเป็นสระว่ายน้ำส่วนตัวที่ไม่ใหญ่นักอีกสระหนึ่ง ไกลออกไปเป็นรั้วที่มีต้นเถาวัลย์พันเลื้อยจนเขียวครึ้มกันสายตาคนภายนอกได้ดี

บันไดขึ้นสู่ชั้นสองทอดเป็นบันไดเวียน ด้านบนนั้นเท่าที่เห็นดูจะเป็นพื้นที่โล่งๆ ไม่ได้แบ่งสัดส่วนเป็นห้องไว้อย่างชัดเจน แต่มุมหนึ่งเหมือนจะเห็นผ้ามุ้งสีขาวที่ห้อยไว้สูงเหมือนกระโจม และดูจะรับกับส่วนผนังและหลังคาที่ทำจากไม้ตีต่อจากผนังปูนของชั้นล่างขึ้นไป

เสียงแอร์ตัวใหญ่ไม่ได้ดังหึ่งๆ และกลิ่นก็สดชื่นสะอาดไม่เหม็นอับ แสดงว่าคงได้รับการใส่ใจในรายละเอียดมาไม่น้อย
ณัฐวีร์มองไปรอบๆห้องอย่างชื่นชม แม้จะไม่ได้อยู่ในช่วงรู้สึกดีสุนทรีย์นัก.. แต่ต้องยอมรับว่า ลักษณะห้องพักผ่อนแบบนี้เป็นแบบนี้เขาชอบมากเลยทีเดียว

ถึงแม้บ้านของเขาจะไม่ได้คับแคบ แต่มันก็เป็นตึกอาคารพาณิชย์ อยู่มาสิบกว่าปีแบบนั้น เพิ่งจะได้ย้ายมาอยู่คอนโดมีวิวสวยๆไม่กี่วัน เขาก็เลยติดใจบ้านที่มีบริเวณและต้นไม้ครึ้มแบบนี้พอสมควร
มกรเป็นคนที่ไม่ได้สนใจธรรมชาติรอบตัวอยู่แล้ว เขาจึงแค่เดินเลี่ยงขึ้นไปด้านบนเอากระเป๋าเสื้อผ้าของตนเองมาแล้วพาตัวเองเข้าห้องน้ำหายไป

ดวงตาเรียวเหลือบมองทุกการกระทำของอีกฝ่าย พอได้ยินเสียงเงียบไปเขาจึงถอนหายใจนิดหน่อย
ที่ผ่านมา ตั้งแต่มาอยู่ด้วยกันที่คอนโด เขาพยายามหลบเลี่ยงการขัดใจมกรมาตลอดเพราะคิดว่าทนๆไปอีกหน่อยก็จะพ้นตัวแล้ว เวลาที่มีก็น้อยกว่าสองเดือน แค่กัดฟันให้มันผ่านไปแล้วบอกตัวเองว่าทุกอย่างมันเป็นความฝันเสียก็สิ้นเรื่อง
เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงบนโซฟาและนั่งปล่อยใจไปกับเรื่องที่ผ่านมา.. ก็ต้องถือได้ว่าการประนีประนอมของเขา การยอมลงให้ ทำให้พวกเขาอยู่กันอย่างสงบสุขมาตลอด.. อาจเพราะว่าไงว่าตามกันไม่ขัดแย้งจึงไม่มีปัญหาให้ต้องขุ่นเคือง แต่พอย้ายสถานที่ เจอคนใหม่ เจอสถานการณ์ใหม่ ทำให้เขาเองก็หลุดการควบคุมอารมณ์ตัวเองไปบ้าง
บางทีเขาก็หงุดหงิดพี่แมน..

อะไรจะเอาแต่ใจ จะชอบออกคำสั่งขนาดนั้น พอเห็นยอมเลยได้ใจใหญ่ ไอ้ที่ยอมอยู่นี่เพราะไม่อยากให้ครอบครัวเดือดร้อนหรอกนะ แต่ถ้ารู้ว่าแม่ๆเขาสนิทกันขนาดนี้ เขาเองก็คงจะไม่ตกกระไดพลอยโจรมาแบบนี้
พูดง่ายๆก็คือ ตอนนั้นเขายังไม่รู้ว่าแม่ของเขา กับคุณแม่มกรสนิทสนมกันมากขนาดไหน และพอตกปากรับคำว่าจะมาอยู่ด้วยกันแล้วพ่อแม่ก็คาดหวังว่าทุกอย่างจะเดินไปในแนวทางที่เขาจะมีความสุข จึงได้ผลักดันให้เป็นไปตามที่เคยคุยกันไว้โดยไม่รู้เลยว่า ..มันก็แค่เกมของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น

ตามสัญญา.. เขาคงทำให้แค่นั้นจริงๆ จากนั้นก็ต่างคนต่างไป ไม่ต้องวุ่นวายอะไรกันอีก ทางนั้นก็คงไม่ได้มาขู่อะไรแล้วล่ะมั้ง ก็คงเบื่อแล้วล่ะช่วงนั้นน่ะ อยู่ด้วยกันตั้งสองเดือน หรือถ้ายังพยายามจะขู่อีก.. เขาก็ไม่ได้สนใจแล้วล่ะ..
แม่สนิทกันขนาดนั้น.. ลูกก็คงไม่ลากปืนมายิงถล่มบ้านเพื่อนแม่หรอก

แกร๊ก..

เสียงเปิดประตูกระจกเลื่อนออกทำให้ณัฐวีร์หันไปมอง
ขณะที่เขากำลังนั่งคิดอะไรเพลินๆอยู่นี้ ฝ่ายนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นกางเกงว่ายน้ำแล้วเรียบร้อย ไหล่กว้างพาดผ้าเช็ดตัวเอาไว้ แผงอกที่มีกล้ามเนื้ออย่างคนที่ออกกำลังกายดีมีไรขนอ่อนๆพอให้มองแล้วรู้สึกได้ถึงผิวสัมผัสยามที่แผ่นหลังเปลือยของตัวเองถูไถไปกับมัน วีเชฟที่ถูกคาดทับด้วยกางเกงว่ายน้ำยี่ห้อดังสีดำสนิททำให้ณัฐวีร์มองฝ่ายนั้นอย่างอิจฉา

สัมผัสมาหลายหน เมื่อไม่นานนี่ก็เพิ่ง...นั่นแหละ เพิ่งจะเห็นคาตาอยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชม.. ผู้ชายที่ไหนก็อยากมีให้ได้อย่างหมอนี่ เขาเองก็อยากมี แต่..มันไม่ได้ขนาดนี้น่ะสิ ต้องโทษป๊าที่ให้มาน้อย

นั่งคิดไปก็อดจะหงุดหงิดตัวเองไม่ได้ เสียงคนที่ออกไปด้านนอกเปิดฝักบัวล้างตัว แล้วไม่นานก็มีเสียงตูมใหญ่ดังขึ้น.. แสดงว่าเล่นน้ำแล้ว
ณัฐวีร์นึกอย่างฉิวๆ จะชวนเล่นสักคำก็ไม่มี.. แบบนี้ถ้าเขาตามออกไปเล่นน้ำด้วยก็เท่ากับว่าเสนอหน้าน่ะสิ พอคิดได้แบบนั้นเจ้าตัวจึงลุกขึ้นไปเปิดโทรทัศน์แทนการต้องมาทนฟังเสียงคนเล่นน้ำ

ในจอนั้นมีซีรี่ส์หนังสืบสวนสอบสวน เวลคัมดริ้งค์หวานๆกับยามบ่ายที่อากาศร้อน และแอร์เย็นๆทำให้ณัฐวีร์เริ่มตาปรือ.. สุดท้าย เขาก็หลับไปต่อหน้าต่อตาหน่วยสืบสวนสอบสวนแห่งกองทัพเรือสหรัฐ



๙๙๙๙





TBC.


แฮร่ !! สั้นสมคำล่ำลือ 5555
ตอนหน้ามีให้ลุ้นค่ะว่า นัทจะ "เสร็จ" มกร ไม๊ ..รอดูกันต่อปายยยย ยย   :hao6:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 10.1 (อัพ 26.12.13) หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: pornumpai-ka ที่ 26-12-2013 10:44:36



 :hao6: :hao6:

เสร็จแหงๆ  มกร....ก็แค่หึงก็บอกไปเตอะ  อิอิ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 10.1 (อัพ 26.12.13) หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 26-12-2013 10:51:27
เสร็จแน่ ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 10.1 (อัพ 26.12.13) หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-12-2013 12:58:42
สั้นจริงไรจริง
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 10.1 (อัพ 26.12.13) หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 26-12-2013 17:43:39
รอ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 10.1 (อัพ 26.12.13) หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 26-12-2013 18:26:16
เสร็จๆ อ่านในเฟสมา

รอตอนต่อไปจ้าาา

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 10.1 (อัพ 26.12.13) หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: sunshinesunrise ที่ 26-12-2013 20:52:06
วางแผนซะดิบดี.. อีกไม่นานความอดทนคงหมดลง เอาละเว้ยๆ อยากเห็น นัทองค์ลงแล้วแข็งข้อไอ้แมนบ้าง หึหึ สนุกละงานนี้
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 10.1 (อัพ 26.12.13) หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 26-12-2013 22:09:48
อิแมนนนนนนน :serius2:  โอ๊ยยย แแก!น้องนัทยอมให้ขนาดนี้แล้วยังอะไรอีกเห๊อะ

 :beat:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 10.1 (อัพ 26.12.13) หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: aimjungna ที่ 27-12-2013 11:42:18
เอาอีพี่ีแมนให้อยู่หมัดเลยนะคะ
เป็นกำลงัใจให้คะสู้ ๆ *O*
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 10.1 (อัพ 26.12.13) หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: Maytbb ที่ 27-12-2013 19:58:10
 :hao6:  แซบเวอร์
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 10.1 (อัพ 26.12.13) หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: Niinuii ที่ 30-12-2013 20:31:58
รอๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 10.2 (อัพ 02.01.14) หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 02-01-2014 15:21:53
สวัสดีปีใหม่ ค่ะทุกคน  :mc4:

ไม่รู้มีคนรอแม้นศรี หรือน้องนัท บ้างรึเปล่า ..ขอโทษที่หายเฮดไปเลยค่ะ พอดียุ่งมากกกก กกกกก  :katai1:

วันนี้เอามาลงให้อ่านกันต่อจากที่ค้างไว้ค่ะ

ภาคแรกเรื่องนี้มี 19 ตอนจบค่ะ ...ใกล้ละ  :hao5:


=======

ตอนที่ 10.2



น้ำหยดลงหน้าทำให้ณัฐวีร์รู้สึกตัวตื่นขึ้น เด็กหนุ่มงัวเงียลืมตาเพื่อมาพบกับความพร่าเบลอ  ในคลองจักษุเห็นเพียงปลายผมที่เปียกชื้นเคลื่อนใกล้เข้ามา  หยดน้ำหยดหนึ่งตกต้องดวงตาทำให้เขาต้องปิดมันลงอีกครั้งพร้อมกับเบือนหน้าหนี

“พี่แมน..”

เสียงเรียกยังไม่ทันขาดคำมันก็หายเงียบกริบเข้าไปในคอ เจ้าของชื่อประกบปิดปากบางด้วยริมฝีปากฉ่ำชื้นและปลายลิ้นเรียกร้อง

“อือ..”

ณัฐวีร์ครางอยู่ในคอ มือที่เป็นอิสระป่ายเปะปะไปตามกล้ามเนื้อแขนที่เปียกเย็น ก่อนจะมาหยุดลงตรงหัวไหล่กว้างที่แน่นตึงและบีบมันเป็นระยะเมื่อเจ้าของมันทำให้เขาเพริดไป
ปลายลิ้นนั้นช่ำชองจนขนาดที่ว่าร่างสูงใหญ่เอนกายทาบลงมา ณัฐวีร์ยังแทบไม่รู้สึกตัว
เด็กหนุ่มเปิดรับความรู้สึกทั้งหมดที่ค่อยๆเอ่อล้นขึ้นมาจากภายใน มันเป็นความร้อนเร่าที่เกิดจากทั่วสรรพางค์กายแล้วค่อยๆไหลร่อนไปรวมกันที่ท้องน้อย ยิ่งมือใหญ่นั่นลูบโลมและไหลเรื่อยไปตามสีข้างที่เปลือยเปล่า ณัฐวีร์ยิ่งกระสันกายบิดหนีราวกับเจอของร้อน ทุกครั้งที่ปลายนิ้วนั้นกดย้ำขยำเนื้อ ราวกับมันได้ไปกระตุ้นอารมณ์ดิบของตัวเขาเองให้พลุ่งพล่านสูงขึ้น

“อื้อ..พะ..พี่..”

เด็กหนุ่มหอบหายใจหนักเมื่อฝ่ามือนั้นปลดเอาสิ่งที่ห่อหุ้มเบื้องล่างของเขาออกไปเสียหมด ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้เด็กหนุ่มเบียดร่างกายกับมือร้อนที่ลูบท่อนขาเปลือยก่อนจะสะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายใช้ฝ่ามือนั้นกอบกุมเอาหว่างกลางของเขาไปและปลอบโยนมันอย่างแผ่วเบา
ริมฝีปากชื้นอุ่นละจากซอกคอลงไปหาแผ่นอกแบนราบ มันเป็นแผ่นอกบางๆที่ณัฐวีร์ไม่รู้สึกเลยว่ามันน่าซุกซบแค่ไหน มันดูดีกว่าหน้าอกนิ่มๆยังไง หรือมันน่าหมั่นเขี้ยวกว่าอกแน่นไปด้วยกล้ามเนื้ออย่างไร อาบน้ำทีไรเขาก็เห็นแต่หน้าอกแบนๆไร้กล้ามเนื้อ ดีหน่อยก็แค่ว่าเขาขาวมาก ทำให้บริเวณป้านและยอดอกเป็นสีชมพูระเรื่อ.. ที่ตอนนี้ถ้าลองเปิดตาดูก็คงได้เห็นว่าคนที่อยู่เหนือกว่ากำลังใช้ปลายลิ้นดุนดันและเขี่ยมันเล่นอย่างสนุกสนาน

“อะ..พี่แมน”

เด็กหนุ่มร้องเมื่อความเจ็บแล่นวาบขึ้นมา รอยฟันแดงเรื่ออยู่เหนือเนินอก ตามมาด้วยรอยช้ำจ้ำแดงที่อีกไม่กี่ชั่วโมงก็คงเขียวจนม่วง
ณัฐวีร์ขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก.. แล้วแบบนี้เขาจะออกไปเล่นน้ำที่สระกลางได้ยังไง อดว่ายน้ำเล่นสิเนี่ย

“ไม่ต้องมอง.. สงกรานต์เขาไม่ได้ให้ถอดเสื้อเล่นน้ำ”

คนทำเหมือนจะเดาความชะงักงันนั้นออก เขาเงยหน้าขึ้นมาแยกเขี้ยวใส่แล้วก็ลงฝ่ามือหนักข้อขึ้นจนณัฐวีร์ต้องใช้แรงดันไหล่อีกฝ่ายอย่างรู้สึกซ่านจนต้องกัดริมฝีปากกลั้นเสียงร้องไม่ให้ดังออกมา
ปลายลิ้นชื้นไล่เลียยอดอกจนเด็กหนุ่มหยัดกายหนีการจู่โจมนั้น ทว่าช่วงเอวที่ถูกร่างหนากดทับไว้กลับไม่สามารถขยับได้ นิ้วหยาบ ฝ่ามือร้อน กำลังป้อนความสุขสันต์ให้ ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายบดท้องนิ้วลงกับส่วนปลายที่ชุ่มชื้น มันก็ยิ่งทำให้เขาเตลิดจนลืมโต้เถียง
มืออีกข้างที่ว่างอยู่ค่อยดึงช่วงขาเรียวขาวให้แยกกว้างออกเพื่อสะดวกแก่คนรุกราน แล้วลิ้นร้อนก็ไล่เรื่อยสัมผัสช่วงขาอ่อนราวกับมันคือไอศกรีมรสดี เขาทั้งขบกัดและดูดดึงทิ้งร่องรอยไว้ทั่ว ทว่าตอนนี้ณัฐวีร์อยากให้เขาลงมาเสียที
กายเนื้อที่อุ่นร้อนฉ่ำเยิ้มขยับอย่างเรียกร้อง มันเต้นตุบราวกับจะระเบิดเมื่อมือใหญ่ละออกไปและแทนที่ด้วยริมฝีปากตามที่เด็กหนุ่มร่ำร้องหาอยู่ในใจ ความเคยคุ้นทำให้สะโพกนั้นผลักดันร่างกายตัวเองเข้าหาความหฤหรรษ์อย่างต้องการการปลดปล่อย
การถูกปรนเปรอแบบนี้มีไม่บ่อยนัก ส่วนใหญ่การเตรียมความพร้อมให้มีน้อยกว่าน้อย ทว่าครั้งนี้ดูจะเป็นการบริการพิเศษจริงๆ
เพราะเปลี่ยนสถานที่..บรรยากาศพาไป หรือเพราะอะไรก็สุดจะเดา
ส่วนใหญ่เอนเตอร์เทนตัวเองเป็นเรื่องปกติ พอได้รับการเอ็นดูอย่างนี้ทำให้ณัฐวีร์แทบจะหลังไม่ติดพื้น กระทั่งมีสิ่งหนึ่งทำให้เด็กหนุ่มราวกับร่างถูกกระชากตกจากที่สูง

“อ๊า!..”

ณัฐวีร์กรีดร้องเมื่อปลายนิ้วชุ่มแทรกสอดเข้ามาในร่างอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว และมันเป็นการแทรกเข้ามาขณะที่เขาใกล้ถึงที่หมายเต็มที่ ทำให้ร่างทั้งร่างกระตุกเยือกและคล้ายถูกสาดน้ำเย็นให้ตื่นจากฝันหวาน
อีกฝ่ายก็เหมือนจะรับรู้ได้ว่าเกมที่ตนเองคิดไว้มันผิดพลาด เขาจึงพลิกฝ่ามือควานหาอย่างเคยคุ้น  เนื้อต้นขาที่แนบแก้มอยู่สั่นระริกเมื่อปลายนิ้วสัมผัสถูกจุดที่เหมาะสม ภายในนั้นอุ่นร้อนและตอดรัดจนแทบจะอยากเอาตัวเองเข้าไปแทนที่นิ้วนั้น แต่ขณะนี้กระทั่งศีรษะยังไม่สามารถเงยขึ้นจากกลางหว่างได้เลย ดูเหมือนไอ้เด็กบ้านี่มันเหมือนจะเตลิดไปไกลจนขยุ้มจิกเอาศีรษะของเขาไว้ไม่ยอมให้หลุดออก

“อ๊า.. อ้ะ!”

เสียงร้องที่ดูเหมือนจะดังกว่าทุกครั้งทำให้ชายหนุ่มปิดกลั้นคอไว้ทันที แรงฉีดพุ่งนั้นทำให้กลิ่นคาวคลุ้งไปทั่วทั้งปาก กว่ามันจะสงบลงก็เล่นเอามกรเกือบสำลัก
มือที่คลายลงจากศีรษะทิ้งราบอยู่ข้างตัวเจ้าของมัน ทำให้มกรสามารถลุกขึ้นจากหว่างกลางมามองเห็นร่างที่อ่อนระทวยนั้นได้ถนัด
ใบหน้าของเด็กหนุ่มแดงระเรื่อ ดวงตาปิดสนิท การหอบหายใจถี่ๆทำให้อกบางที่เต็มไปด้วยร่องรอยขยับขึ้นลงอย่างรุนแรง.. มันเป็นภาพง่ายๆที่กระตุ้นให้เกิดความต้องการอย่างเหลือล้น
ปลายนิ้วที่อยู่ด้านในร่างถูกดึงออก มกรให้น้ำหล่อลื่นที่ติดค้างอยู่ในปากตนเองชุบชโลมร่างกายที่ปวดร้าวรอการปลดปล่อยของเขาจนฉ่ำชื้น แล้วจึงขยับเข้าหาเด็กหนุ่มดันเอาท่อนขาเรียวขาวให้แยกกว้าง

“อ่ะ..”

เสียงครางดังให้ได้ยินอีกครั้งเมื่อส่วนปลายเริ่มชำแรกเข้าไป ขาขาวที่ถูกประคองไว้ด้วยแขนกำยำเกร็งและสั่นระริก

“อึก..”

มกรเองก็ไม่ต่างกัน การบีบรัดต่อต้านสิ่งแปลกปลอมที่กำลังทำให้ร่างกายเจ็บปวดนั้นทำให้เขาต้องกัดฟันทนมากกว่าจะผ่านเข้าไปได้ แต่เขารู้ว่าเมื่อความลำบากเหล่านั้นผ่านพ้น เขาจะมีสุขมากแค่ไหน
กว่าการเคลื่อนกายนั้นจะขยับเข้าไปจนสุดทาง หยาดน้ำตาเม็ดใสก็ไหลลงจากหางตาของร่างข้างใต้ไปแล้วหลายหยด.. เสียงหอบหายใจกับเสียงขยับกายทำให้อุณหภูมิห้องนั้นดูร้อนเร่ามากขึ้นกว่าเดิม ร้อนเสียจนมกรคิดไปว่ามันดูแตกต่างกว่าทุกคนที่เคยเป็น เหงื่อจากร่างผุดพราวทั้งๆที่อากาศก็เย็นฉ่ำ แรงที่ถาโถมราวกับเค้นออกมาจากก้นบึ้งข้างในกาย.. แต่มันก็เหมือนไม่เพียงพอ เสพรักจากร่างนี้ไม่เพียงพอ..
จะด้วยอะไรก็ตามแต่.. เปลี่ยนที่ เปลี่ยนกลิ่น หรือเปลี่ยนเวลา
แต่วันนี้เขาบอกได้อย่างเดียวว่ามันร้อนจัดจนอยากจะคลายความร้อนในร่างออกใส่ตัวอีกฝ่ายให้หมด

“พี่แมน..พะ..อ่ะ”

ณัฐวีร์ร้องลั่นเมื่อรู้สึกได้ถึงอีกฝ่ายที่ขยับเร่งจังหวะเพิ่มมากขึ้น เหงื่อเย็นจากร่างนั้นหยดลงที่ท้องหลายครั้งหลายหนหากก็ไม่ทำให้แรงกระทั้นนั้นลดลงเลย ตรงกันข้าม มันยิ่งหนักขึ้น มากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก

“ฮ้า! อึก..”

แล้วร่างสูงใหญ่นั่นก็เกร็งกระตุกฉีดพุ่งความร้อนเข้าสู่ร่างข้างใต้โดยไม่คิดจะฉุดรั้งใดๆอีก
ณัฐวีร์ผินหน้าซุกกับซอกหมอนอิง ปล่อยให้ร่างกายของตนเองบิดเร่าและปลดปล่อยตามอีกฝ่ายออกมาอีกครั้งจนเต็มหน้าท้อง
มกรทิ้งตัวลงมาทาบทับ ริมฝีปากอุ่นไม่ได้ประทับปลอบโยนหรือขอบคุณอะไรแก่ร่างข้างใต้ ทำเพียงยิ้มให้เมื่อเห็นใบหน้าที่ซุกอยู่กับหมอนนั้นแดงระเรื่อเช่นทุกครั้งที่ผ่านช่วงเวลาสุขสันต์มาด้วยกัน
ณัฐวีร์เองก็หอบหายใจอย่างเป็นสุขเช่นกัน.. เซ็กส์กับคนวัยหนุ่มอย่างเขาเป็นเรื่องที่ต้องปลดปล่อยมากกว่าจะสนใจให้อีกฝ่ายมาแสดงความรักหวานฉ่ำ.. ยิ่งโดยเฉพาะกับคู่ของพวกเขาด้วยแล้วยิ่งไม่จำเป็นเข้าไปใหญ่..
แต่ให้ตายเถอะ วันนี้มัน..เกิดอะไรขึ้นหรือไงนะ
เด็กหนุ่มปิดตาลงอย่างหักห้ามใจ แก่นกายที่เคลื่อนออกไปจากร่างเสียดสีให้ความต้องการของเขาพุ่งขึ้นมาอีกแล้ว ณัฐวีร์ครางอย่างหงุดหงิดใจเมื่อสังเกตได้ว่าร่างกายตนมันปวดหนึบ..
เขาไม่เคยเป็นแบบนี้.. วันนี้มันมีอะไรงั้นหรือ?
ร่างเล็กกว่าขยับเข้าหาร่างกำยำที่นอนก่ายเกยกันอยู่บนเตียง ริมฝีปากบางเม้มแน่นก่อนจะตัดสินใจประทับจุมพิตลงไปบนหน้าอกที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสวย

“พี่แมน..”

เสียงเรียกชื่อนั้นสั่นพร่าแผ่วหวิว  ดวงตาของคนเรียกที่มองมามีประกายบางอย่างที่เรียกร้องให้สัญชาตญาณดิบในตัวตื่นขึ้นอีกครั้ง

“เอาเลย..”

ชายหนุ่มกระซิบพร้อมกับก้มลงจูบปิดริมฝีปากบางสีชมพูสดนั่น เป็นการให้รางวัลที่ขอก่อนเอง

“นัทนำ..”

พูดจบแขนสองข้างก็รั้งเอาร่างเล็กให้ขึ้นมาอยู่เหนือร่างตน ณัฐวีร์เบิกดวงตาโต ปากก็ร้องห้าม “ไม่ได้หรอกพี่แมน.. นัทไม่ไหวหรอก”

“ไหวสิ.. พี่ช่วยอยู่นี่ไง..”

มือแกร่งดึงเอาใบหน้าเล็กนั่นเข้ามาจูบ ปลายลิ้นร้อนทำให้เด็กหนุ่มมีอาการมึนเบลออีกครั้งและยอมเคลื่อนกายไปตามการชักจูง มือใหญ่ลูบไล้อยู่ตรงช่วงเอว และคอยปลอบประคองเมื่อร่างเล็กค่อยๆหย่อนกายลง

“อ่ะ..อือ..”

ณัฐวีร์ครางไปพร้อมกับกัดฟันทน ก่อนหน้านี้แม้จะผ่านการร่วมรักมาแล้ว แต่เมื่อออกไปแล้วจะเข้ามาใหม่มันก็มีอาการขัดข้องต่อต้านเป็นเรื่องธรรมดา
มืออุ่นร้อนนั้นช่วยกระตุ้นความต้องการได้เป็นอย่างดี มกรใช้ปลายนิ้วบดขยี้ยอดอก และใช้อีกมือกดเอาความปรารถนาของเด็กหนุ่มแนบแน่นไปกับกล้ามท้องตนเอง ทุกครั้งที่ณัฐวีร์ขยับเอว มันจึงเป็นการกระตุ้นทั้งเขาและตัวเด็กหนุ่มเองให้เตลิดไปกับความรู้สึกไหวหวั่นที่อวลอยู่รอบห้องนี้
กระทั่งณัฐวีร์ขยับมากขึ้นเป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายรู้ว่าเด็กหนุ่มเริ่มจะผ่านเข้าสู่จุดที่เขายังไปไม่ถึง ทำให้มกรรีบยกมือตัวเองขึ้นทันที

“พี่แมนอ่ะ..!”

เด็กหนุ่มร้องประท้วงเมื่อถูกแกล้ง ทำให้เขายกมือขึ้นจากแผงอกกว้างที่ค้ำยันกายตั้งใจจะไปปลอบประโลมตนเองแทนมือที่ยกหายไป
แต่ใครล่ะจะให้ทำเช่นนั้น..
ข้อมือบางถูกคว้าไว้ด้วยมือหนาก่อนที่มกรจะหยัดกายขึ้นนั่งและโอบเอวบางเข้าหา แขนเล็กถูกดึงมาให้โอบแน่นไปรอบคอ แล้วร่างทั้งร่างของเด็กหนุ่มก็ถูกยกขยับอย่างรุนแรง การบดเบียดร่างของกันและกันทำให้ความเร่าร้อนทะยานสูงขึ้นอย่างฉุดไม่อยู่ ณัฐวีร์ร้องครางลั่นเมื่อตนเองไต่ขึ้นถึงจุดสูงสุดอย่างที่ไม่เคยได้รู้สึกเช่นนี้มาก่อน ใบหน้าขาวที่แดงจัดแหงนเงยขึ้นปล่อยให้เสียงร้องของความสุขสมดังออกมาอย่างสุดจะสะกดกลั้น
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจนั้นเอนกลับมาซบกับไหล่กว้างทั้งที่ร่างของอีกฝ่ายยังคงคับแน่นอยู่ภายใน แน่ล่ะว่ามกรยังไม่ไปถึงจุดนั้นเลย เขาจึงประคองให้ร่างที่หอบเหนื่อยนั้นเอนกายลงนอนพร้อมกับพลิกกลับ เพื่อโอบประคองเอาสะโพกบางให้ลอยเด่นขึ้นรองรับความต้องการที่กำลังจะโถมเข้าใส่รุนแรงเป็นครั้งสุดท้าย

“พี่..พี่แมน อ่ะ..พี่แมน”

เสียงครางแหบพร่าเมื่อชายหนุ่มใช้มือทั้งสองประคองสะโพกเล็กไว้มั่นแล้วโถมแรงลงบนร่างนั้นอย่างสุดกำลัง

“อื้อ..อ้า!”

เด็กหนุ่มได้ยินเสียงหอบหายใจหนัก เสียงกัดฟันกรอด และเสียงหยาบโลนเปียกแฉะดังสะท้อนก้องอยู่ในสมองที่พร่าเบลอ ไม่มีใครสามารถอธิบายความรู้สึกเขาได้ถูก กระทั่งตัวเขาเองตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าเขารู้สึกเช่นไร
มันว่างเปล่า..ขาวโพลนไปหมด
ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายปลดปล่อยเข้ามาสู่ร่างของเขาอีกครั้ง ทำให้ร่างที่เหนื่อยล้าปิดสวิทช์ลงตั้งแต่บัดนั้น


๙๙๙



TBC.


 :hao6:  :hao6:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 10.2 (อัพ 02.01.14) หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: becrazie ที่ 02-01-2014 15:34:38
 :jul1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 10.2 (อัพ 02.01.14) หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: Maytbb ที่ 02-01-2014 18:17:25
 :m25: 
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 10.2 (อัพ 02.01.14) หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: pornumpai-ka ที่ 02-01-2014 18:29:52
 :ling1: :ling1: :ling1:



 :haun4: :haun4: :haun4:



โอ้วววววว  เลือดพุ่งเลย
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 10.2 (อัพ 02.01.14) หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 02-01-2014 18:31:22
ตายอย่างสงบ
อ๊ากกกกกกกก
 :jul1: :jul1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 10.2 (อัพ 02.01.14) หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 02-01-2014 18:37:58
เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ไม่เข้าใจแมนศรีเล้ยยย

น้องนัทอดทนนะหนูนะ  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 10.2 (อัพ 02.01.14) หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: arisa_sa ที่ 02-01-2014 19:03:28
 :pighaun: :haun4: :jul1: :jul1: :jul1: นอนตายจมกองเลือด  :m25: :m25:

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 10.2 (อัพ 02.01.14) หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: Damon ที่ 02-01-2014 19:17:29
อุ๊ แม่ เจ้า...ตายอย่างสงบ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 10.2 (อัพ 02.01.14) หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-01-2014 20:26:25
 :m25:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 10.2 (อัพ 02.01.14) หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: pooinfinity ที่ 02-01-2014 21:32:56
ตายล่ะลูกชั้น
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 10.2 (อัพ 02.01.14) หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 02-01-2014 22:38:10
 :m25:

สงบบบ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 10.2 (อัพ 02.01.14) หน้า4
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 02-01-2014 23:14:12
ตอนนี้ไม่รุ้จะเม้นยังไงดีนอกจากกก :m25: :pighaun: :haun4: :jul1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 11 (อัพ 6มกราคม57) หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 06-01-2014 09:38:28



ตอนที่ 11

ณัฐวีร์รู้สึกตัวตื่นอีกครั้งจากเสียงโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งเอาไว้.. ข้างนอกยังมีแสงสว่างรอดเข้ามาบ้าง แต่แสงนั้นเป็นสีส้มจางเต็มทีแล้ว
แผ่นหลังรับรู้ได้ถึงอกกว้างของใครอีกคน ศีรษะหนุนอยู่กับแขนล่ำ เอวได้รับการกอดกระชับจากคนเบื้องหลัง ขาถูกก่ายไว้ ส่วนหน้าก็หันเข้าหาพนักโซฟา.. แม้ร่างเปลือยเปล่าของเขาจะไม่มีอาภรณ์ใดปกคลุมแต่เพราะถูกห่อหุ้มด้วยกายเนื้อเช่นนี้เองถึงไม่รู้สึกหนาวจากอุณหภูมิเย็นเลย

เด็กหนุ่มขยับตัวอย่างเมื่อยล้า การมีสัมพันธ์อย่างหักโหมติดต่อกันหลายชั่วโมงแบบนี้ทำให้เขารู้สึกเคล็ด และอาจต้องใช้ยาคลายกล้ามเนื้อเพื่อให้ร่างกายคลายความร้าวระบมลง

“อูย..”

คนตัวเล็กร้องครางเมื่อขยับแล้วรู้สึกว่าหลังจะยอกมากกว่าส่วนอื่น เขายกมืออีกฝ่ายออกจากเอวและขยับขาหนี หวังให้การขยับลุกของตนเองทำให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นมาเช่นกัน เพราะตอนนี้เขาหิวจนแสบท้องไปหมดแล้ว
แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น.. คุณชายยังนอนไม่ลุกอยู่เลย
ความรู้สึกถึงของเหลวบางอย่างที่กำลังจะไหลออกจากตัวทำให้ณัฐวีร์ไม่ได้หยุดอยู่กับท่าเดิมเนิ่นนานนัก เขารีบลุกออกจากโซฟานั้นแล้วมุ่งตรงไปสู่ห้องน้ำเพื่อจัดการกับตัวเอง การอาบน้ำจากฝักบัวเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดตอนนี้ แล้วไว้พรุ่งนี้ค่อยเปิดอ่างแช่น้ำอุ่นให้สมกับที่ได้มาพักในวิลล่าที่มีจากุชชี่

ความหิวทำให้เด็กหนุ่มไม่ได้อาบนานนัก เขาออกจากห้องน้ำมาพร้อมชุดคลุมที่ทำให้ร่างกายอบอุ่นพอ เมื่อมองไปเห็นว่าคุณชายมกรยังไม่ลุกจากโซฟายาว เขาก็เลยเดินขึ้นด้านบนเพื่อไปหากระเป๋าสัมภาระ และหยิบเสื้อผ้ามาแต่งตัว
แสงสุดท้ายของวันหมดไปแล้วเมื่อเขาดูแลตัวเองเรียบร้อยและเดินลงมาด้านล่าง เด็กหนุ่มมุ่งไปที่เคาท์เตอร์แล้วเปิดตู้เย็นหยิบน้ำมาดื่มก่อนจะเทอีกแก้วเพื่อเดินไปให้คนที่ยังนอนอุตุไม่ยอมลุก

“พี่แมน ตื่นได้แล้วครับ.. เย็นมากแล้วนะ นัทหิวข้าว” ณัฐวีร์เดินไปนั่งลงใกล้ๆที่อีกฝ่ายนอนอยู่..
มาถึงตรงนี้เขาถึงเพิ่งจะได้สังเกตว่าร่างสูงใหญ่นั้นคู้ตัวขดเข้าหากันเหมือนจะหนาว คิ้วของเด็กหนุ่มขมวดเข้าหากันทันที อย่าบอกนะว่าจะมาไม่สบายเอาตอนนี้ มาเที่ยวนะไม่ใช่มาพยาบาลคนป่วย.. เขาขยับใกล้เข้าไปแล้วสัมผัสลงบนตัวอีกฝ่าย กายนั้นร้อนผ่าวจนถึงขนาดที่ว่าคนจับเองยังตกใจ

“พี่แมน..พี่แมนครับ”

ณัฐวีร์วางแก้วน้ำลงพร้อมกับขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น เขาใช้สองมือพลิกไหล่กว้างให้หันมาหาแล้วจึงเห็นว่าใบหน้าของอีกฝ่ายแดงก่ำ คิ้วเข้มขมวดมุ่น และดวงตาที่ปรือขึ้นมองมายังเขาก็แดงไปหมด

“พี่แมน ไหวไหมเนี่ย”

เด็กหนุ่มร้องถามพลางใช้หลังมือสัมผัสไปที่หน้าผาก.. เมื่อครู่ที่เขาไม่ได้รู้สึกถึงความร้อนของอีกฝ่าย คงเพราะอากาศจากภายนอกเย็นฉ่ำเกินไปแน่ๆ

“หนาว..”
เสียงแหบพร่านั่นตอบกลับมาพลางดวงตาแดงก่ำก็ปิดลง

“เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งนอน ..ลุกไหวไหม ไปนอนข้างบนจะได้สบายกว่านี้”

คนตัวโตทำเสียงในคอพลางส่ายหน้าแล้วพลิกตัวหนี เดือดร้อนณัฐวีร์ทันที
การพยาบาลคนป่วยไม่ใช่ทางที่เขาถนัดนัก อย่างดีก็รู้ว่าต้องหาผ้าห่มมาให้ ปล่อยนอนแบบนี้มีหวังแข็งตายแน่..อ้อ ไม่ใช่แข็งแบบนั้นนะ.. แบบเป็นศพแข็งน่ะ
เด็กหนุ่มคิดลามกอยู่คนเดียวแล้วก็ส่ายหน้าพรืด ..สงสัยจะติดนิสัยเสียมาจากเจ้ามกรเนี่ยแหละ.. ตอนหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ยังคิดไปโน่นได้ก็ไม่ธรรมดาแล้วเนี่ย

เด็กหนุ่มลุกขึ้นไปชั้นบน ดึงเอาผ้าห่มสำรองออกมาจากตู้ แล้วโยนจากชั้นบนลงมาชั้นล่าง วิ่งไปหยิบกระเป๋าตัวเองหยิบเอาแผงยาพาราที่มักจะพกไว้เสมอเมื่อยามมาไกลบ้าน แล้วจึงหันไปเปิดกระเป๋าของมกรเอาเสื้อผ้าที่ใส่สบายออกมาหนึ่งชุด
พอวิ่งลงมาข้างล่าง เขาก็เอาผ้าห่มไปคลุมตัวมกรไว้ ลดแอร์ลง แล้วผลุบหายเข้าไปในห้องน้ำเอาผ้าเช็ดตัวผืนเล็กชุบน้ำออกมาเพื่อจะเช็ดตัวให้ โทรสั่งข้าวต้มสำหรับคนป่วย และปลุกอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นมากินยา โดยที่เขาเองก็ไม่ลืมหยอดยาให้ตัวเองไปด้วยเช่นกัน
โชคดีที่เขามาพักในวิลล่าส่วนตัวแยกจากตึกแบบนี้ ทำให้แอร์ที่ติดตั้งไว้เป็นแอร์เครื่องไม่ใช่แอร์ท่อ จึงลดอุณหภูมิได้
ณัฐวีร์วิ่งวุ่นอยู่คนเดียว ทั้งเช็ดตัว ใส่เสื้อผ้าให้ กระทั่งต้องไปรับอาหารจากพนักงานที่นำมาเสิร์ฟ แล้วยังต้องป้อนให้กินอีก หยอดยาเรียบร้อย จนดูแลอีกฝ่ายให้หลับไปได้นั่นแหละถึงมีเวลามาจัดการอาหารของตนเองบ้าง และพอได้นั่งพักก็ปาเข้าไปเกือบได้เวลานอนอีกแล้ว..

เด็กหนุ่มนั่งมองร่างสูงที่หลับสนิทเหมือนเด็กๆ ที่หน้าผากมีแผ่นคูลฟีเวอร์ช่วยลดอุณหภูมิให้ ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการโทรสั่งข้าวต้มแล้วทางโรงแรมถามว่ามีคนป่วยหรือไม่ คูลฟีเวอร์นั้นมาจากห้องพยาบาลของโรงแรมเองจึงเป็นความโชคดีของคนตัวโตที่อย่างน้อยก็มียากิน มีแผ่นลดความร้อนในร่างกายไม่ให้ฮีทมากจนอาจจะชักได้
พอได้อยู่นิ่งๆเขาถึงได้มาพิจารณาดู.. ตั้งแต่เช้า มกรใส่เสื้อกล้ามตัวเดียวบนเครื่อง แล้วก็มาเจออากาศเปลี่ยนเป็นร้อนมากที่ภายนอกอาคาร ก่อนสงกรานต์แบบนี้ ต่อให้เป็นที่ไหนของประเทศไทย อากาศก็เหยียบ 40 องศาอยู่ดี พอเข้าที่พักก็กระโจนไปเล่นน้ำ แถมพอขึ้นมาหัวเปียกๆก็มาเล่นกิจกรรมในร่มที่แอร์เย็นเจี้ยบ.. ไม่ป่วยก็คงแปลกล่ะ

ณัฐวีร์หัวเราะเบาๆอย่างรู้สึกสมน้ำหน้า เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว จะได้เลิกมาออกคำสั่งกับเขาสักช่วงหนึ่ง ละเรื่องบนเตียงเสียบ้าง เขาจะได้คลายอาการขัดยอกลงหน่อย ไม่งั้นก็แทบจะวันเว้นวันเลย
เด็กหนุ่มมองใบหน้ายามหลับของอีกฝ่ายพลางใช้นิ้วจิ้มลงไปเบาๆที่แก้ม.. หึ! หมดฤทธิ์แบบนี้ค่อยแกล้งสนุกหน่อย
ปลายนิ้วขาวดันจมูกโด่งรั้นของอีกฝ่ายขึ้น อีกมือก็ดึงมุมปากลงแล้วหัวเราะร่าเริงอยู่คนเดียวเบาๆ

“ไอ้แม้นศรีเอ้ย..สมน้ำหน้า”




+++++

ช่วงตีสองกว่าๆเกือบจะตีสาม มกรตื่นขึ้นมาด้วยอาการอยากเข้าห้องน้ำ ร่างกายหนักๆเมื่อช่วงหัวค่ำรู้สึกดีขึ้นมากแต่ก็ยังอ่อนเพลียอยู่บ้าง
ชายหนุ่มขยับตัวอยู่บนโซฟาและใช้สายตากวาดไปโดยรอบห้องที่ไม่คุ้นเคย เขานิ่งคิดอยู่ชั่วครู่จึงบอกตัวเองได้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน แม้จะไม่คุ้นเคย แต่ความไม่คุ้นเคยเป็นเรื่องปกติแล้วสำหรับคนอย่างเขา
ไม่มีอะไรให้ต้องคุ้นเคยเพราะไม่มีสิ่งไหน หรือใครรอให้เขาคุ้นเคย..

“...”

ชายหนุ่มครางอยู่ในคอเล็กน้อยเมื่อขยับตัวไม่ได้สะดวกเหมือนเดิม เหมือนว่ากระดูกจะร่ำร้องไปทั้งร่างในยามที่เขาเปลี่ยนอิริยาบถ
แต่.. เมื่อก่อนเป็นอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็เป็นแบบนั้น..
ไม่จำเป็นต้องมีใครมาดูแล เขาดูแลตัวเองได้..
มือตวัดผ้าห่มออกจากตัว ตามองหาทิศทางไปห้องน้ำแล้วเท้าก็ก้าวลง

“อื้อ!”

เสียงร้องเบาๆดังขึ้นเมื่อเท้าแตะลงไปเหยียบเอาร่างที่นอนอยู่ข้างใต้ มกรรีบชักขากลับขึ้นมาทันที

“เฮ้ย!..”

“จะไปไหนเนี่ย”
คนถามลุกขึ้นนั่งหน้าตายังดูงัวเงีย

คนป่วยกลับทำตาปริบๆ มองอีกฝ่ายอย่างงงงัน คำถามที่ไม่น่าจะถามก็เลยหลุดออกมา “ลงไปนอนข้างล่างทำไม”

คนพูดหาวหวอดพร้อมกับขยับตัวลุกขึ้น “แล้วจะให้นัทไปนอนบนโซฟากับพี่หรือไง”

“ก็ไปนอนข้างบนสิ”

“แล้วทิ้งพี่ไว้แบบนี้อ่ะนะ.. ตื่นมานัทคงโดนพี่ไล่เตะ” เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้ว “นี่จะไปไหนล่ะ หิวน้ำหรือปวดหัวไข้ขึ้น นัทจะได้เอายาให้ถูก”

“เปล่า..” มกรส่ายหน้าพลางขยับตัว “อยากเข้าห้องน้ำ”

“งั้นก็ไป เดี๋ยวพาไป” ณัฐวีร์คว้าแขนกำยำพยุงขึ้น แต่พอยืนได้เต็มความสูงเจ้าตัวก็ดึงแขนออก

“ไม่เป็นไร..ไปเอง”
มกรเดินมุ่งหน้าไปทางห้องน้ำด้วยความเร็ว ครั้นพอจะเข้าประตูเขาก็ชะงักตัวเล็กน้อยแล้วใช้หางตาเหลือบมองร่างเล็กๆที่ทิ้งตัวลงนั่งหาวอยู่บนโซฟา

ใจนี้...เป็นอะไรนะ?
เต้นแรงขนาดนี้.. เพราะอะไร?







****

ทั้งคู่ตื่นมารับมื้อเช้ากันอีกทีตอนเกือบจะสิบโมง ไลน์อาหารใกล้ปิดแล้ว มกรมีอาการดีขึ้นมาก ได้ยาเข้าไปอีกโด๊สกับได้นอนพักอีกเล็กน้อยก็สามารถมานั่งรับลมนอกห้องได้
พวกเขามีเวลาพักที่นี่กันแค่สามวัน หมดไปแล้วหนึ่งวันกับการนอนไข้ขึ้นทำให้พอบ่ายแดดร่มลมตก มกรจึงชวนณัฐวีร์เดินออกมาจากห้องพักเพื่อมาดูสิ่งปลูกสร้างและเครื่องอำนวยความสะดวกของโรงแรมบ้าง
โรงแรมนี้มีความเป็นส่วนตัวสูงมากเพราะอยู่เลยตัวเมืองขึ้นไปเกือบห้ากิโล มีรั้วรอบขอบชิด พื้นที่เป็นสีเขียวกว้างขวางที่มีต้นไม้ครึ้มและวิวสวยงามเมื่อยามทอดตามองออกไปไกล ภาพในมือถือส่วนใหญ่จึงเป็นภาพวิวที่สีสันเขียวขจี ยิ่งแสงนวลตาสีเหลืองอ่อนเช่นนี้ยิ่งขับให้ภาพวิวที่ถ่ายไว้ดูละมุนละไมไม่บาดคม

ณัฐวีร์ก้มมองภาพถ่ายในมือถือตัวเองแล้วก็ยิ้มอย่างถูกใจ เขาอัพขึ้นเฟสบุ้คหลายภาพแล้ว และได้คำชื่นชมจากเพื่อนฝูงเยอะมากจนตอบแทบไม่ไหว

“ยิ้มอะไร..”

คนที่มายืนอยู่ข้างๆ กันตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้เป็นผู้เอ่ยถามขึ้น และโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว มือใหญ่ก็เลื่อนมาโอบเข้าที่ส่วนเอวและรั้งเอาร่างของเด็กหนุ่มให้เข้ามาใกล้

“ไหนดูสิ.. คุยอะไรกับใครถึงได้ยิ้มกว้างขนาดนี้”

“เปล่านะครับ..” เด็กหนุ่มส่ายหน้าน้อยๆทำท่าทางปกติไม่เกร็งร่างจนเกินไปนักแต่ก็ไม่ได้โอนอ่อนตามแรงดึง
อีกฝ่ายดูเหมือนจะอยากรู้จริงๆถึงได้ขยับตัวเข้ามาใกล้มากขึ้นจนแผ่นหลังของณัฐวีร์สัมผัสเข้ากับอกกว้าง และมือที่โอบรั้งเลื้อยมาเป็นกอดไว้

ก็ออกจะเป็นท่าทางที่ไม่เหมาะควรหรอกนะ แต่เท่าที่สอดส่ายสายตามองไปรอบๆ ณัฐวีร์ไม่เห็นมีพนักงานหรือใครอยู่ในบริเวณนี้ และเขาเองก็ไม่อยากจะขัดใจให้ตัวเองต้องมาผิดใจกับอีกฝ่ายอีก เขาจึงแค่ขมวดคิ้วนิดหน่อยอย่างไม่ชอบใจ แต่ก็ยอมเอนร่างเข้าหาอีกฝ่ายตามแรงกอดรัด

“ไหนเอามาดูสิ”

เด็กหนุ่มส่งมือถือยื่นให้แต่อีกฝ่ายไม่รับ “ไม่เอาไปล่ะครับ”

“มือไม่ว่าง.. เปิดให้ดูหน่อย”
คนฟังถึงกับขมวดคิ้วหนักขึ้นทันที แต่ด้วยความที่ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด เขาเลยรีบๆเปิดอัลบั้มภาพให้อีกฝ่ายดู ปลายนิ้วขาวตวัดสไลด์รูปไปเรื่อย

“อ้ะ นี่ๆ รูปนี้..”
คนข้างหลังที่ยืนตัวติดเป็นแฝดสยามร้องพร้อมกับใช้นิ้วตัวเองมาสไลด์ภาพกลับ มันเป็นภาพสระว่ายน้ำที่เพิ่งเดินผ่านกันมาเมื่อครู่

“อันนี้ใช้แอพอะไร”

ณัฐวีร์ส่ายหน้า “ไม่แอพครับ โนฟิลเตอร์.. นัทไม่ชอบใส่แอพ”

“รูปนี้ถ้าถ่ายมุมพี่ เพิ่มแสงเข้าไปหน่อยจะสวยมากนะ ดูนี่สิ”
ว่าแล้วเจ้าตัวก็เปิดมือถือด้วยมือเพียงข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างน่ะรึ กอดเอวไว้ไม่ปล่อยเลย

“นี่ รูปนี้..”
ณัฐวีร์ไม่ต้องขยับไปไหนทั้งสิ้นเพราะอีกฝ่ายเอามาให้เห็นได้สะดวกขึ้นด้วยการจ่อเข้ามาตรงหน้า
ภาพนั้นเป็นภาพสระน้ำที่เขาก็ถ่ายไว้ แต่พอผ่านแอพแต่งรูปแล้วภาพดูมีเสน่ห์ขึ้น สวยมากขึ้น.. ที่สำคัญ..ภาพนั้นมีสิ่งที่แตกต่างไปจากภาพของเขามากขึ้น เพราะด้านซ้ายของรูปติดเอาร่างผอมแกรนของเด็กผู้ชายธรรมดาแบบเขาลงไปด้วย

“ดูสิ..สวยไหมล่ะ ภาพที่ผ่านแอพน่ะบางภาพจะสวยกว่าของจริงมากเลยนะ”
ว่าแล้วเจ้าตัวก็สไลด์ภาพไปเรื่อย.. ส่วนใหญ่เป็นภาพวิวที่มักจะเหมือนของเขานั่นแหละ แต่งภาพด้วยแสงสวยงามบ้าง หรือซอฟท์กว่าของเขาบ้าง.. บางรูป.. ก็มีเขาติดอยู่ในรูป..บ้าง

“เนี่ย พี่ชอบรูปนี้ที่สุดเลย..”
มกรสไลด์มาถึงภาพหนึ่งที่เป็นภาพด้านข้างของเด็กหนุ่ม ดวงตาจับจ้องมือถือตนเอง ริมฝีปากนั้นยิ้มพราย ดวงหน้าเมื่อต้องแสงยามพระอาทิตย์ใกล้ตกดินดูขาวสะอ้านและนวลตา
ณัฐวีร์เห็นรูปตัวเองแล้วก็รู้สึกได้ว่ามันออกจะแปลกตาอยู่ไม่น้อย เขาจะยิ้มก็ไม่กล้า จะบึ้งก็ไม่ใช่ ทำได้แต่หัวเราะเขินๆให้กับภาพนั้น แล้วก็ต้องสะดุ้งขึ้นอีกเมื่ออีกฝ่ายโน้มใบหน้าลงมาแนบใกล้

“มานี่เรายังไม่ได้ถ่ายรูปด้วยกันเลย.. มาถ่ายด้วยกันดีกว่า”

“โห.. ถ่ายกับคนหล่อๆแบบพี่นัทก็ดับหมดสิ..” เด็กหนุ่มร้องท้วงแต่มือก็เริ่มลูบผมตัวเองไปมาให้เข้าทรง

“พี่สิต้องดับ..เราหน้าขาวซะขนาดนี้”
พูดไม่พูดเปล่า มกรกดปลายจมูกลงไปบนแก้มใสนั่นจนเจ้าตัวสะดุ้ง เบิกตาโต

“เอ้า ยิ้มหน่อย พี่จะถ่ายรูปแล้ว..”
ว่าแล้วก็มีเสียงแชะของชัตเตอร์ดังขึ้นสามสี่หน ภาพที่ออกมาคงเป็นภาพที่ณัฐวีร์ไม่กล้ามองเป็นอย่างยิ่ง เพราะใบหน้าที่ร้อนผ่าวของเขาคงเป็นใบหน้าที่แดงจัดแน่ๆ
พอได้รูปสมใจอีกฝ่ายก็ปล่อยตัวแล้วมายืนเช็กรูปไปหัวเราะไป ณัฐวีร์จึงได้แต่เดินหนีเสียงหัวเราะนั่นอย่างฉุนๆ






TBC.
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 11 (อัพ 6มกราคม57) หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 06-01-2014 09:42:14
สวัสดีเช้าวันจันทร์ค่ะ ...เข้ามาเก็บศพคนอ่าน 5555+ น้องนัททำเลือดท่วมจอเลย คึคึคึ #หื่นได้อีก  :hao7:

วันนี้เอามาลงให้ยาวๆ เลยค่ะ งุ้งงิ้งกันสองคนเลยตอนนี้ #หวานๆกันนานๆนะ 555


ขอฝากเฟ๊สบุ้คของคนแต่งนิดนึงค่ะ ใครอยากเข้าไปพูดคุย ให้กำลังใจ หรือว่าจะไปอ่าน Can...I ตอนใหม่ๆ ก็ลองเข้าไปได้นะคะ

ที่นี่เลยจ้าา าาา
FB http://www.facebook.com/pages/Morse/120230658164895


เจอกันใหม่ตอนหน้า จะหวานหรือจะขม แม้นศรีจะลมเพลมพัดอีกไม๊ มาเดากัน 55555  :hao3:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 11 (อัพ 6มกราคม57) หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: pornumpai-ka ที่ 06-01-2014 10:47:29


 :a5: :a5:

มกรไม่สบาย.....


สมน้ำหน้า....ทำไว้เยอะดีนัก  น่าจะเอาให้มันหนักๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 11 (อัพ 6มกราคม57) หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: Fellina ที่ 06-01-2014 14:58:32
พี่แมนตอนนี้น่ารักจริงเชียว  :)
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 11 (อัพ 6มกราคม57) หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 06-01-2014 15:45:45
ตอนนี้มาแบบหวานๆ
แต่ไม่อยากจะคาดเดาตอนหน้าเลยจริงๆ เดาอารมณ์อีพี่แมนไม่ออกค่ะ  :z3:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 11 (อัพ 6มกราคม57) หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 06-01-2014 16:21:13
วันนี้ขอเสนอคำว่า สมน้ำหน้าาาาาาาาาา หวายๆๆๆ

ป่วยๆไปเถอะ น้องนัทจะได้สบาย ไม่มีคนแกล้ง


 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 11 (อัพ 6มกราคม57) หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 06-01-2014 16:47:25
คิคิคิคิคิ :-[
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 11 (อัพ 6มกราคม57) หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: sunshinesunrise ที่ 06-01-2014 16:57:55
หวานอ่ะ ไอ้แม้นเอ้ยย... จะตกหลุมรักก็คราวนี้แหละ ฮี่ๆ  :hao6:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 11 (อัพ 6มกราคม57) หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 06-01-2014 19:44:58
ตอนนี้มุ้งมิ้งกันผิดหูผิดตา ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 11 (อัพ 6มกราคม57) หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-01-2014 22:51:40
เป็นครั้งแรกจริงๆที่อ่านเรื่องนี้แล้วเห็นตอนที่หวานๆแบบนี้(สำหรับตัวเอง) แล้วก็บรรยากาศที่มันละมุนมาก(อาจเป็นเพราะพี่แกอารมณ์ไม่ขึ้้นก็ได้)
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 11 (อัพ 6มกราคม57) หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: aimjungna ที่ 07-01-2014 15:19:13
หวานกันนานๆนะคู่นี้
พี่แมนชักเริ่มจะรู้ใจตัวเองแล้วซิ *0*
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 11 (อัพ 6มกราคม57) หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 08-01-2014 22:32:10
มาจิ้มเรื่องนี้ด้วยคน

เค้าชอบหวานๆอ่ะคนแต่ง   :hao7: :hao7: :hao7:

เอาอิหนูมาเสิร์ฟไวไวนะฮ๊าาา  :กอด1: :L2:

หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 11 (อัพ 6มกราคม57) หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 17-01-2014 11:04:05
ตอนที่ 12




พอพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน พวกเขาก็ให้รถของโรงแรมออกมาส่งที่ถนนนิมมานเพื่อหาอาหารเย็นทานกัน และตกลงกันว่าหลังมื้ออาหารแล้วพวกเขาก็จะยืดเส้นยืดสาย ดื่มกันสักเล็กน้อยไม่เกินสามแก้ว หรือเบียร์หนึ่งขวดค่อยเรียกรถโรงแรมมารับกลับ และทั้งหมดนั่นจะต้องไม่เกินเที่ยงคืน

ข้อตกลงนั้นเกิดขึ้นเพราะเจ้าตัวเพิ่งฟื้นไข้ การพักผ่อนเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ควรเกินกว่านั้นเป็นอันขาด
 แสงสีที่ถนนนิมมานช่วงกลางคืนนั้น เป็นที่กล่าวขวัญกันดีว่าเหมาะสำหรับวัยรุ่นที่ชอบแหล่งท่องเที่ยวทันสมัย มีพื้นที่ให้นั่งดื่มแบบสบายๆ หรืออาจเลือกแดนซ์ได้ตามชอบ

ซึ่งสำหรับมกรแล้ว เขาก็คงไม่พลาดที่จะเข้าไปที่ร้านสุดมันแบบมังกี้คลับแน่ๆ

“เอาจริงอ่ะพี่แมน” คนถามยืนมองหน้าร้านที่มีแยกทั้งโซนนอกและโซนในด้วยใบหน้าซีดเซียว
คือแค่เสียงที่รอดออกมาข้างนอกก็รู้สึกว่ามันดังกลบหูแล้ว ถ้าเข้าไปคงไม่ต้องคุยอะไรกันยืนมองตากันอย่างเดียวยังลำบากเลย ไฟมันคงมืด เสียงมันต้องดัง แล้วจะเข้าไปทำไม

..ดื่ม? เพิ่งจะฟื้นไข้จะดื่มมากก็ไม่ดี
..เต้น? ไม่ได้แดนซ์เลิฟเวอร์ขนาดนั้นไหม

“สาวๆเยอะดี..”
คำตอบนั้นทำให้ณัฐวีร์ร้องอ๋อออกมาในใจ

... สีหญิง .. เป็นคำตอบสุดท้าย
แบบนี้ไม่ต้องยื้อหรอก ยังไงก็คงหาเรื่องเข้าไปจนได้แหละ ออกจะนึกฉิวอยู่ไม่น้อยที่ฝ่ายนั้นพูดออกมาแบบไม่เกรงใจกัน เพราะเคยทำข้อตกลงกันไว้แล้ว

แต่ก็เอาเถอะ ถ้าไม่ทำอะไรที่มันหยามน้ำหน้ากันเกินไปนัก เขาก็ไม่อยากไปยุ่งไปขัด เพราะเบื่อจะฟังเสียงบ่น เบื่อจะเถียงด้วย
ณัฐวีร์ปลงชีวิตก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปด้านใน ทันทีที่ก้าวพ้นโลกภายนอกเข้ามา แสงไฟวูบวาบกับเสียงเพลงสนั่นหวั่นไหวก็ทำให้ณัฐวีร์แทบทิ้งคนเพิ่งฟื้นไข้ออกมานั่งรอด้านนอก

เขาไม่ชินกับการมาเที่ยวสถานที่แบบนี้ ถึงจะเคยไปแถว RCA มาบ้าง แต่ก็ไม่ได้ชอบไปขนาดนั้น
คนตัวโตที่เดินนำไปก่อนแล้วหันมาบุ้ยใบ้ให้ไปยังโต๊ะกลมสูงบนยกพื้นที่ว่างอยู่ แล้วไม่นานเครื่องดื่มก็ลำเลียงมา

“กินได้ใช่ไหม?”

เสียงถามข้างหูทำให้ณัฐวีร์พยักหน้ารับ แก้วเหล้าถูกยื่นมาให้เขาก็รับมาดื่มแบบจิบๆ มองอีกฝ่ายเต้นไปด้วยมองทางโน้นทางนี้ไปด้วย
เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มีสาวน้อยคนหนึ่งถูกเกี่ยวให้มาที่โต๊ะ เธอนั่งอยู่ไม่ไกลจากพวกเขานัก และมากับเพื่อนกลุ่มใหญ่ที่มีสาวน้อยน่ารักเกือบค่อนโต๊ะ ชื่อเล่นเธอคือแกล

หลังจากแนะนำตัวกันไม่นาน ร่างของหญิงสาวก็มายืนเต้นอยู่ด้วยกันที่โต๊ะนั่นเอง
ความรู้สึกของณัฐวีร์น่ะหรือ.. มันก็ไม่ได้อะไรมากหรอก แค่ความเซ็งที่ค่อยๆ ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะเขาก็ไม่ได้สนุกไปกับการเต้น ไม่ได้ชอบการดื่ม และไม่ได้สนใจผู้หญิงแบบฉาบฉวย ถ้าเขาจะมีแฟนสักคน เขาอยากศึกษากันก่อนมากกว่าจะมาปิ๊งแล้วหิ้วกันไปจากสถานที่แบบนี้

มันง่ายเกินไป..
ส่วนไอ้คนที่กำลังเต้นอย่างมีความสุขมีแขนของสาวน้อยคล้องคอโอบเอวส่ายสะโพกไปมา มันก็เรื่องของเขา.. เราไม่ได้เป็นอะไรกันอยู่แล้ว
ณัฐวีร์เมินหน้าหนีเมื่อเห็นชายหนุ่มหันมายักคิ้วหลิ่วตาให้แล้วยกแก้วขึ้นดื่มพร้อมหันไปมองทางอื่นเสียให้สิ้นเรื่อง

“เพื่อนหรือคะ?”

เสียงกระซิบถามชิดหูพร้อมกับกลิ่นน้ำหอมฟุ้งนั่นทำให้ชายหนุ่มหันกลับมาสนใจหญิงสาวในอ้อมแขนเหมือนเดิม

“รุ่นน้องน่ะ เพิ่งจะมาเที่ยวเชียงใหม่ครั้งแรกเลยดูตื่นๆ”

“ให้เพื่อนแกลมาอยู่ด้วยไหมล่ะ”

มกรส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มแล้วไม่พูดอะไรต่อ เขายกแก้วขึ้นดื่มพลางหัวเราะเสียงดังอย่างนึกครึ้ม สนุกกับการทำแบบนี้ ไม่ได้จริงจังจะหิ้วใครกลับ
ไม่รู้หรอกว่าวันนี้เขาต้องการอะไร เขาก็แค่อยากมาเที่ยว มีคนมาขอชนแก้วก็โอเค มีคนมาขอเต้นด้วยก็ไม่มีปัญหา จะให้ปฏิเสธไปก็ไม่ใช่เรื่อง แต่วันนี้คงไม่ได้ชวนกันไปต่อแน่ๆ เขาเองก็รู้ว่าร่างกายเขายังไม่พร้อมจะไปลุยศึกขนาดนั้น เดี๋ยวไข้กลับจะอดเล่นน้ำสงกรานต์ยาว
ส่วนคนที่มาด้วย.. ก็สงสารมันอยู่นิดๆ ถ้าเขาพาผู้หญิงกลับไปด้วย.. แล้วมันจะนอนไหน.. เอาเป็นว่าสนุกกันที่นี่ก็พอ แค่หอมปากหอมคอเท่านั้นล่ะ

แต่ด้านณัฐวีร์เองกลับไม่คิดเช่นนั้น.. แม้จะไม่ได้ยินสิ่งที่คนทั้งคู่คุยกัน แต่เขาก็มีขีดจำกัดของตัวเองด้วย.. ถ้ามากันสองคนแล้วคนหนึ่งสนุกอยู่คนเดียว.. แล้วจะให้เขามาทำไม..ดังนั้น พอดื่มไปจนหมดแก้วเด็กหนุ่มจึงขยับตัวทำสัญญาณว่าเขาอยากไปเข้าห้องน้ำแล้วเดินเลี่ยงออกมา

แต่พอเข้าห้องน้ำเรียบร้อยแล้วความเซ็งก็ทำให้ตัดสินใจเดินออกไปที่ด้านนอกของผับทันที
ก็ไม่ได้อะไรมาก แค่เบื่อเสียงเพลง ไม่ได้ชอบเต้น แล้วก็ไม่เห็นจะสนุกตรงไหนที่จะไปยืนขาแข็งดื่มเหล้าที่ก็ไม่ได้อร่อยมากมายนัก ขมไม่อร่อยสักนิด..การดื่มเจตนาคือเพื่อสังสรรค์เข้าสังคมกับเพื่อนฝูง แต่นี่เหมือนดื่มอยู่คนเดียว..ไม่เห็นจะน่าดื่ม.. มากันเยอะๆสนุกกว่ามาสองคนแล้วคนหนึ่งไปอยู่ในโลกส่วนตัวเสียอีก

ณัฐวีร์ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าผับนั่นแล้วก็นั่งแช่อยู่ตรงนั้นไม่ยอมลุก เขาไม่ได้สูบบุหรี่ แต่นั่งดมควันบุหรี่หน้าร้านเข้าไปเสียจนมึน พผสมเหล้าอีกแก้วนึง เลยทำให้หน้าเขาแดงและตาเยิ้มไปด้วยความง่วง..
เด็กหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมานั่งเล่นเกม เช็กสเตตัสตัวเองไปเรื่อย ผ่านไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้จนมีใครอีกคนเดินมานั่งลงตรงเก้าอี้ใกล้ๆกันแล้วถามขึ้นว่า

“นี่.. ไปเที่ยวด้วยกันไหม? เห็นนั่งอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้ว”

เสียงที่ไม่คุ้นเคยนั้นทำให้เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง อีกฝ่ายเป็นชาย ร่างสูงหนาแบบคนมีเนื้อแต่ไม่ถึงกับอ้วน ใบหน้านั้นดูใจดี ยิ้มกว้างมาให้ แต่ณัฐวีร์ก็ได้แค่ส่ายหน้าตอบกลับไป

“รอเพื่อนอยู่ครับ..”

“แล้วนัดเพื่อนไว้กี่โมง” อีกฝ่ายยังเซ้าซี้

“เพื่อนอยู่ข้างในครับ เดี๋ยวก็คงออกมา”
ณัฐวีร์ไม่อยากรออยู่ตรงนี้แล้ว การมาต่างถิ่นทำให้เขาไม่กล้าไปไหนมาไหนคนเดียว และไม่อยากมีเรื่องอีกด้วย

“งั้นขอนั่งดื่มด้วยกันตรงนี้ได้ไหม”
อีกฝ่ายยื่นแก้วมาให้.. ถ้าใครเคยไปแหล่งบันเทิงแบบนี้ก็คงพอจะรู้ว่าไม่ควรรับแก้วเหล้าจากคนแปลกหน้า ณัฐวีร์เองก็ไม่ใช่เด็กที่ไม่ประสาอะไร เขาจึงส่ายหน้าและลุกขึ้นทันที

“ผมเข้าไปตามเพื่อนดีกว่า..ขี้เกียจรอแล้ว ขอโทษนะครับผมขอตัว”
พูดจบเด็กหนุ่มก็เดินเข้าไปที่เดิม..แต่ดูเหมือนเขาเองก็คงจะเข้ามาผิดเวลา.. มกรไม่ได้อยู่ที่โต๊ะนั่น.. เขาหายไป ..หายไปไหนไม่รู้
ณัฐวีร์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาทันที แต่เพราะเสียงที่ดังมากทำให้เขาไม่ได้ยินเสียงจากในสายเลย เด็กหนุ่มจำต้องเดินออกไปหน้าร้านอีกครั้ง แต่ก็เลี่ยงที่จะไปตรงบริเวณที่ตนเคยนั่งอยู่

“พี่แมน..ฮัลโหล..”
ทางนั้นรับสายแล้ว แต่เสียงตามสายนั้นดังสนั่น คาดว่าจะยังอยู่ด้านในแต่เป็นบริเวณไหนก็สุดจะเดา

“พี่แมน นัทอยากกลับแล้ว จะเที่ยงคืนแล้ว”

“อือ..อือ..ไปรอหน้าร้านแล้วโทรเรียกรถโรงแรมเลย”
เสียงอู้อี้ที่ตอบกลับมาทำให้เด็กหนุ่มหงุดหงิดจนแทบจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้ง แต่ก็ข่มใจไว้กดหมายเลขของคนขับรถ ..คนขับอยู่ไม่ห่างจากร้านนักประมาณสิบนาทีก็มาถึง เด็กหนุ่มไม่รอช้ากระโดดขึ้นไปนั่งบนรถก่อนเป็นอันดับแรก แล้วจึงต่อสายถึงมกรอีกทันที

“ถ้าพี่ไม่ออกมา..ผมจะให้เขาขับกลับแล้วนะ”

“เออๆ มาแล้วก็บอกสิ” แล้วสายก็โดนตัดไป..

คนนั่งรอในรถอย่างหงุดหงิดก็ต้องรอไปอีกเกือบสิบนาที ถึงได้เห็นร่างสูงของมกรเดินออกมาจากผับพร้อมกับสาวแกลที่นัวเนียเหมือนลูกแมวไม่ห่างไป
ทั้งสองคนยืนล่ำลากันตรงประตูรถตู้ จนกระทั่งฝ่ายชายเปิดประตูขึ้นรถนั่นแหละ ฝ่ายหญิงถึงเดินจาก
ความเงียบปกคลุมไปทั่วรถ มีแค่สายตาน่าหมั่นไส้เท่านั้นที่มักจะเหลือบมามองณัฐวีร์เป็นระยะ สายตานั้นช่างยั่วเย้าและระรื่นนักจนคนถูกมองต้องข่มใจหลับตาลงเสีย
แค่ไอ้คนที่หน้าผับนั่นก็ทำเขาหงุดหงิดพอแล้ว นี่ยังมาเจอคนที่มาด้วยกันยั่วเอาอีก..เออ.. ให้มันได้อย่างนี้สิ
รถจอดลงตรงล็อบบี้โรงแรม ก่อนจะมีรถกอล์ฟขับพาไปยังห้องพักอีกต่อหนึ่ง ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปในห้อง ณัฐวีร์ก็เปิดฉากก่อนเลย

“คืนนี้ผมจะนอนโซฟา พี่ขึ้นไปนอนข้างบนแล้วกันนะครับ”

“หา..? ทำไมล่ะ ก็ขึ้นไปนอนข้างบนด้วยกันสิ”

“ผมไม่อยากไปกวนคนป่วยครับ” พูดจบณัฐวีร์ก็รี่ไปที่ห้องน้ำด้านล่างทันที

“เฮ้ย!.. มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน”
มกรปรี่เข้าไปกระชากแขน แรงจนทำให้เด็กหนุ่มหันกลับมาจ้องเขม็งเลยทีเดียว

“รู้เรื่องแล้ว ผมจะนอนข้างล่าง พี่ขึ้นไปนอนบนเตียงโน่น! ผมไม่อยากจะพูดซ้ำ แต่พี่เคยสัญญาแล้วว่าระยะสามเดือนนี้พี่จะมีแค่ผมคนเดียว ในเมื่อพี่ไม่ทำตามสัญญา ผมก็ไม่จำเป็นต้องทำตามสัญญาเหมือนกัน”

“กูไปมีใคร ไม่ได้มีใครสักหน่อย แค่กอดจูบไม่ได้ทำอะไรผู้หญิงคนนั้น”

“ไม่รู้ ผมถือว่าพี่ไม่ให้เกียรติกัน ผมก็ไม่จำเป็นต้องให้ความเคารพอะไรพี่ ปล่อยผมได้แล้ว!”

“มึงมันไม่มีสิทธิ์มาต่อรองตั้งแต่แรกแล้วว่ะ” มกรเข่นเขี้ยวก่อนจะกระชากร่างเล็กๆนั่นให้เดินตามกันมาจนถึงด้านบน

“ปล่อย! บอกแล้วไงว่าจะนอนข้างล่าง”

“เดี๋ยวกูให้มึงนอนข้างล่างสมใจมึงแน่”
แล้วร่างผอมของณัฐวีร์ก็โดนเหวี่ยงจนตัวปลิวลงไปบนเตียง ตามด้วยร่างใหญ่หนาที่ทาบทับลงมาไม่ทันได้ดิ้นหนีไปไหน

“พี่แมน!” ณัฐวีร์ตวาดลั่นพร้อมทั้งพยายามจะหาทางหนี
แขนเล็กๆที่เคยหักยังมีอาการเจ็บแปลบบ้างเมื่อใช้หนักข้อมากเกินไป ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงใช้น้ำหนักมือดันอกกว้างไม่มากนัก

“ถ้าวันนี้พี่จะทำให้ได้ ..จากนี้ระหว่างเรามันจะเป็นแค่เรื่องทางกายเท่านั้น!!”
คนฟังชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะลั่นออกมา “ฮ่า ฮ่า ฮ่า กูว่าเมื่อก่อนเราก็ไม่เคยมีเรื่องอื่นนอกจากเรื่องทางกายนะ มึงเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า”

คำพูดนั้นทำให้ณัฐวีร์ถึงกับหน้าชาราวกับถูกตบลงมาด้วยกำปั้นที่ลืมแบ ดวงตาปวดร้าวค่อยๆปิดลงเมื่อสัมผัสได้ถึงมืออุ่นร้อนที่ขยำขยี้ร่างเขาเพื่อความสะใจของเจ้าตัวเท่านั้น
ไม่มีความอ่อนโยน ไม่มีความใส่ใจสนใจกัน...
ชายคนนี้ไม่ได้รู้เลยว่ามือที่เลื่อนสัมผัสไปทั่วร่างนั้น แทรกเข้าไปถึงหัวใจที่เต้นอยู่พร้อมทั้งไล่ต้อนใจดวงนั้นให้จนมุมไปเรื่อยๆ
ไม่รอให้ใจดวงนั้นมีคำถามอะไรอีก
ไม่ต้องรอให้หาคำตอบอะไรด้วย..
เพราะมันมีอยู่อย่างเดียว..รอคอยเวลาเท่านั้น ให้ทุกอย่างจบสิ้นลงเสียที






*************
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 11 (อัพ 6มกราคม57) หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 17-01-2014 11:08:59
ตอนที่ 13



“โย้ว..แมน ว้อทแซ่บ ..กูอยากกินส้มตำไก่ย่างตั้งแต่เครื่องเพิ่งขึ้นจากสุวรรณภูมิเลยมึง ช่วยสนองนี้ดกูหน่อยได้ไหมเพื่อน”
ไอ้ปังตอคุณชายผู้ไม่ค่อยได้ถูกปล่อยออกมาหาของสกปรกกินเป็นคนเอ่ยประโยคนั้น นานๆมันจะได้โอกาสหลุดรอดสายตาเจ้าคุณแม่มาเสียที เมื่อก่อน แม้แต่มาม่าปังตอยังไม่เคยกิน เจอผัดมาม่าร้านข้างมหาวิทยาลัยเข้าไป ปังตอติดใจ ยิ่งพอเจอตำปลาร้าใส่พริกสามเม็ดกับมีเนื้อปลาฉีกเล็กๆ ตรงข้างที่เรียนพิเศษ ปังตอยิ่งเตลิดกู่ไม่กลับไปกันใหญ่

“อยากกินอะไรก็รีบขึ้นรถมา เอากระเป๋าไปเก็บที่พักแล้วกูจะพาไป” มกรเป็นคนตอบพร้อมกับช่วยรับกระเป๋าเพื่อนๆโยนไว้หลังรถตู้ที่เช่ามา
ป้อดกับปังตอหัวเราะร่าก่อนจะก้าวขึ้นรถตู้หย่อนกายนั่งไปที่แถวสอง ส่วนคนปิดท้ายอย่างแชร์ก็ก้าวขึ้นนั่งหน้าต่อจากมกร และเป็นคนปิดประตูเอง

“แล้วนี่ยังไง ฟินเลยสิมาเที่ยวกันก่อนเนี่ย”

“เออๆ โซเดมาคอมกันไปสามวันสามคืน ไม่ออกจากรีสอร์ทเลยว่างั้น” ไอ้ป้อดรีบตบท้ายประโยคของปังตออย่างเริงรื่น เล่นเอาพวกแถวหน้าเงียบกริบไม่มีสัญญาณตอบรับกันไปเลย

“พวกมึงก็ไปแซวมัน ใช่เรื่องไหมเนี่ย” แชร์เอ่ยดุ “นัทสนุกไหม นั่งเงียบเลยเรา”
คนถูกชวนคุยยืดหน้าขึ้นมาจากเบาะรถหันไปยิ้มให้อีกฝ่ายแห้งๆ

“ก็สนุกดีครับ ที่รีสอร์ทสวย วิวรอบๆ ก็สวย”   

“แล้วนี่ได้ไปไหนมาบ้างหรือยังล่ะเรา”
ณัฐวีร์ส่ายหน้าทันที “แค่เข้ามานิมมานเท่านั้นครับ แล้วก็ไม่ได้ไปไหนเลย”

“โห..ไอ้แมน มึงจะไม่กกน้องเขาเยอะไปหน่อยเหรอวะ”
เสียงแซวจากด้านหลังทำให้คนข้างหน้าเงียบกันไปอีก

“อย่าไปฟังเสียงปากนกปากกามันเห่าหอนเลยนะนัท..”

“ไอ้เหี้ยแชร์ นกที่ไหนเห่าได้วะ” คนโดนด่ายังมีหน้ามาค้านพลางหัวเราะร่วน

“พวกมึงไม่ต้องไปสนใจมันนักหรอกน่า.. มากันก็ดีแล้ว กูจะได้มีเพื่อนแดกเหล้า” มกรเอ่ยตัดบทขึ้นมา เขาปรายตามองหน้าณัฐวีร์เล็กน้อย ขณะที่คนถูกมองก็เมินไปมองด้านนอกเสียเลย..เป็นการแก้เซ็งที่ดีที่สุด

ตั้งแต่เมื่อวานยันวันนี้ คนทั้งคู่แทบจะไม่ได้คุยกันเลย กิจกรรมที่มีร่วมกันมีแค่เรื่องบนเตียงเท่านั้น นอกนั้นก็ต่างคนต่างอยู่ ณัฐวีร์ก็ทำอย่างที่พูดจริงๆจะทำอะไรก็ไม่หันกลับมาสนใจใครทั้งนั้น.. แต่หากถูกออกคำสั่งเขาก็จะทำตามสั่งให้ ไม่ขัดขืน ไม่โต้แย้ง เพราะถ้าขืนไปแล้วเจ็บตัว สุดท้ายก็ต้องทำตามสั่งอยู่ดี ถ้างั้นไม่ต้องขืนหรอก ทำๆให้มันเสร็จไป พอเสร็จตามคำสั่งแล้วเขาก็เดินหนีเท่านั้นเอง ไว้สั่งใหม่ค่อยทำใหม่แล้วกัน

ณัฐวีร์เล่นลูกนี้มาเกือบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว แต่มกรก็ไม่ได้สนใจ หรือใส่ใจกับท่าทีแบบนั้นนัก.. พูดง่ายๆ มกรก็แค่เห็นว่าธุระอะไรเขาจะต้องไปง้อคนอย่างไอ้นัท.. มันอยากทำอะไรก็ให้มันทำไป แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เขาสั่ง มันก็ต้องทำตามเท่านั้นเอง
มันจะเมินเขาไม่ได้.. คนอย่างเขาห้ามเมิน!
เมื่อคนสองคนเป็นเสียแบบนี้แล้ว.. ความอึมครึมจึงเกิดขึ้นแก่คนในทริปจนรู้สึกได้ เล่นเอาปังตอตีศอกป้อดแล้วพยักพเยิดไปแถวหน้า

“กูว่าท่าทางจะไม่สุขสนุกตามที่พูดว่ะเฮ้ย..”

“กูก็ว่าอย่างนั้นล่ะ..เหี้ย เราจะมากร่อยกันเปล่าวะเนี่ย”

“สงสัยมีมึงกับกูเนี่ยต้องเอนเตอร์เทนไอ้พวกรมณ์เสียกันหน่อยแล้ว”

“งั้นเดี๋ยวต้องชวนลงขวด กูว่าพอขวดลงองค์เกิดแล้วพวกมันก็จะผ่อนคลายกันไปเอง”

“จัดไป..”
สองคนข้างหลังวางแผนซื้อของกันอย่างสนุกสนาน แถมยังตะโกนบอกให้แวะเซเว่นเพื่อการณ์นั้นเสียด้วย

“นัทไม่ลงเหรอครับ..”
พอรถจอดตามสั่งทุกคนก็ลงจากรถหมด เหลือณัฐวีร์อยู่บนรถเป็นคนสุดท้าย จะมีก็แค่แชร์เท่านั้นที่หันมาถามเด็กหนุ่ม

“ไม่ล่ะครับ เชิญพวกพี่ตามสบายเถอะ”

“เอาอะไรพิเศษไหมครับ”

“ไม่ครับ..”
ณัฐวีร์ส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มให้บางๆ จะให้บอกได้ยังไงว่ายาคลายกล้ามเนื้อที่พกติดตัวมาหมดแล้ว และตอนนี้ก็ระบมไปหมดทั้งตัวจนไม่อยากขยับไปไหน

มกรทำกับเขาเหมือนแกล้ง ไม่ยอมให้ได้พัก กระทั่งเมื่อเช้าก่อนจะขึ้นรถออกมารับพวกเพื่อนๆนั้น มกรก็ยังไม่วายจัดการเขาอีกจนได้
ตอนนี้น่ะ ถ้าลุกเดินณัฐวีร์ก็จะขาสั่น ปวดหลัง เจ็บสะโพก และเจ็บบริเวณช่องทางจนอยากได้เบาะนุ่มๆรองก้นเลยทีเดียว

“ไอ้แชร์ มึงจะมาได้หรือยัง”
เสียงเรียกนั้นเป็นของมกร ทำให้เจ้าของชื่อหันไปโบกมือรับ “เออๆ จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ งั้นพี่ไปก่อนนะ เอาอะไรก็โทรบอกพี่ได้นะครับ มีเบอร์พี่แล้วใช่ไหม”
ณัฐวีร์พยักหน้ารับสมอ้างไปก่อน เพราะไม่อยากให้คนที่หน้าตาถมึงทึงยืนรออยู่ตรงประตูเซเว่นต้องหาเรื่องมาดุด่าเขาอีก

“แต่พี่ยังไม่มีเบอร์นัทเลย บอกพี่หน่อยได้ไหมครับ”
ยิ่งรีบก็เหมือนยิ่งช้า ณัฐวีร์ไม่อยากอิดออดอีก เด็กหนุ่มจึงเอ่ยเลขมือถือออกไป

“ขอบใจนะ เดี๋ยวพี่แอดไลน์ด้วยนะครับ”
เด็กหนุ่มพยักหน้าส่งๆได้ยินเสียงตะคอกเรียกจากมกรอีกระลอกหนึ่งก่อนประตูรถตู้จะปิดลง






*-*-*
กว่าจะมาถึงที่พักก็ปาเข้าไปเป็นชั่วโมงเลยทีเดียว แม้จะไม่ได้ไกลจากสนามบินมาก แต่เพราะรถติดสะสมและมีบางส่วนเริ่มเล่นน้ำสงกรานต์กันแล้วทำให้พวกเขาต้องใช้เวลาบนรถกันอยู่นาน

“แม่งเอ้ย นั่งบนรถเกือบครึ่งนึงของนั่งเครื่องกรุงเทพเชียงใหม่เลยนะเนี่ย เมื่อยตูดชิบ” แชร์เป็นคนบ่นก่อนจะหอบกระเป๋าเดินนำลงจากรถ

“ขี้บ่นว่ะ..ไปเดี๋ยวขึ้นห้องแล้วกูนวดตูดให้” ปังตอพูดพลางหัวเราะร่วนแล้วทยอยเดินลงจากรถไปด้วยกัน กระทั่งเหลือณัฐวีร์ลงรถเป็นคนสุดท้าย
เด็กหนุ่มหอบเอากระเป๋าของตัวเองลงมาด้วย แต่ความที่อาการปวดเมื่อยต้นขามีมาก ขาจึงสั่นและหมดแรงเอาดื้อๆ พอก้าวลงจากรถตู้ด้วยความสูงเกือบหัวเข่า เขาจึงแทบทรุด ยังดีที่มีแชร์ยื่นมือเข้ามาช่วย

“เฮ้ย ไหวไหมนัท?”
เสียงร้องนั่นทำให้ทุกคนหันกลับมามองแล้วจึงได้เห็นว่ากระเป๋าของณัฐวีร์ร่วงไปอยู่กับพื้น ส่วนร่างของณัฐวีร์เอนพิงอยู่กับประตูรถตู้โดยมือข้างหนึ่งมีแชร์เป็นผู้ประคองไว้

“ไหวครับพี่ ผมหน้ามืดไปนิดหน่อย” เด็กหนุ่มตอบพร้อมกับพยายามจะก้มลงเก็บกระเป๋าตัวเอง

“เฮ้ย ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ถือให้ ..เดินเองได้ใช่ไหม”
ณัฐวีร์พยักหน้ารับ ทำให้แชร์ปล่อยมือจากเขาแล้วก้มลงเก็บกระเป๋ามาถือให้ทันที
เขาไม่อยากดื้อ ไม่อยากรั้น ในเมื่อไม่ไหวก็บอกไปตามตรงว่าไม่ไหว การเป็นคนป่วยก็ควรต้องรู้จักประมาณตัวเอง ถ้ารั้นจะทำก็ต้องทำให้รอดด้วย ไม่ใช่ทำแล้วไม่รอด ตอนนี้แค่พอตัวเองเดินไปให้ได้ก็เต็มที่แล้ว

“สำออย..”
เสียงไม่ดังนักลอยมาตามลม ณัฐวีร์ก็ได้แต่ปิดการรับรู้ ไม่สนใจ อยากว่าอะไร..เรื่องของมึง
พวกเขาขึ้นมาที่ชั้นบนสุดของตึกที่เป็นที่ตั้งของเพ็นเฮ้าส์ราคาแพงซึ่งมีสองห้องนอน สองห้องน้ำ หนึ่งห้องครัวและหนึ่งห้องนั่งเล่น.. เหมาะแก่การมาสังสรรค์ของครอบครัวและเพื่อนฝูงมาก ระเบียงที่เปิดกว้างออกไปมองเห็นวิวของดอยสุเทพ แม้ว่าตึกที่พักจะถูกจำกัดความสูงไว้เพียง 8 ชั้นตามกฎหมายของตัวเมืองเชียงใหม่ แต่ที่ชั้นบนสุดนี้ก็ถือว่ามีวิวสวยงามมากแล้ว ถ้ามาหน้าหนาว เวลาลมพัดมาคงจะเย็นสบายน่าดู

“มึงห้องนึง พวกกูห้องนึง” ป้อดเจ้าของห้องแบ่งให้เสร็จสรรพ ห้องใหญ่พวกมันสามคนจอง ส่วนห้องเล็กให้มกรและณัฐวีร์ใช้

“ห้องใหญ่นี่พ่อแม่กูเคยใช้ กูไม่ให้พวกมึงสองคนมาย่ำยีเด็ดขาด” มันพูดลอยหน้าลอยตาแล้ววิ่งเข้าห้องไป

“สัตว์ อย่าให้กูเห็นมึงพาผู้หญิงขึ้นมาบนห้องนะ กูจะเอาไปฟ้องแม่มึง อัดคลิปประจานแม่งให้ทั่วมอ”
แล้วก็มีเสียงตะโกนจากข้างในโต้ตอบออกมา “ห้องพ่อกู กูใช้ได้เว้ย..”
เลยมีเสียงสรรเสริญคุณชายป้อดกันให้ขรม

แต่ณัฐวีร์นั้นอ่อนล้าเต็มที เขาจึงปลีกตัวเปิดประตูเข้าห้องและพุ่งตัวเข้าหาที่นอนโดยไม่ฟังเสียงเรียกจากใครทั้งสิ้น
กระเป๋าของเขาอาจมีแชร์เป็นคนถือขึ้นมาให้ แต่เมื่อจะต้องเอาเข้ามาในห้อง ก็กลายเป็นหน้าที่ของมกรไปโดยปริยาย.. มกรปล่อยกระเป๋าทิ้งลงพื้นอย่างไม่สนใจทั้งกระเป๋าตัวเองและของอีกคน เขาใช้เท้ายันมันไปให้พ้นทางแล้วทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงมองไปรอบๆห้องที่จะพักในคืนนี้
ห้องนั้นจัดแต่งไว้อย่างสวยงาม มีของใช้ที่จำเป็นในการเข้าพัก เช่นตู้เสื้อผ้า เตียงนอน และมีห้องน้ำในตัว ก่อนหน้าที่พวกเขาจะมา คงมีใครเข้ามาทำความสะอาดและเตรียมพวกผ้าขนหนูรวมทั้งเครื่องใช้บางส่วนไว้ให้แล้ว เขาจึงไม่ได้เห็นความสกปรกของการรกร้างผู้พักอาศัยเลย
ความร้อนทำให้ชายหนุ่มควานหารีโมทแอร์และเปิดมัน ตอนแรกแอร์นั้นพ่นลมร้อนออกมาเบาๆ ชั่วครู่ความเย็นก็กำจายมากขึ้น เมื่ออากาศค่อยดีขึ้น มกรก็เริ่มมองเด็กที่หลับนิ่งไป

“เฮ้ย.. นี่..”
เขาร้องเรียกไปสองหน แต่ก็ยังเงียบ แสดงว่าหลับลึกไปแล้ว มกรจึงชะโงกหน้าไปมองคนที่นอนหันหลังให้เพื่อความแน่ใจ
ดวงตาที่หลับพริ้มนั้นดูมีความสุขดื่มด่ำกับช่วงนิทรารมย์นัก ริมฝีปากสีชมพูจัดเผยอน้อยๆปล่อยเสียงหายใจหนักออกมา.. เขาจำได้ว่าริมฝีปากนั้นนุ่มนิ่มและชุ่มชื้นแค่ไหน เวลาจูบไม่ต่างอะไรกับริมฝีปากของผู้หญิงที่เคลือบด้วยลิปสติกเลย..
มกรถอยตัวลงมานั่งมองแผ่นหลังอีกฝ่าย.. เขารู้ว่าเขาผิด.. ปกติพอทำเลวๆจะมีคนมาสนใจตลอด..เขาก็เลยติดนิสัยชอบทำเลวๆให้ใครต่อใครหันมาสนใจ.. แต่ไอ้เด็กนี่มันแปลก มันไม่ชอบให้เขาทำเลว ทำผิดสัญญา มันเคยขอว่าช่วงสามเดือนนี้อย่ามีใครนอกจากมันแล้วมันจะทำดีด้วย ตามใจทุกอย่าง ซึ่งพอเขาทำตามที่มันขอ..มันก็ทำแบบนั้นจริงๆ ไม่ขัดใจขออะไรก็ทำให้
แต่พอเขาเลวใส่มัน มันกลับต่อต้านแบบเงียบๆ ทำทุกอย่างให้ตามคำสั่งเหมือนเดิม แต่ดูก็รู้ว่าไม่ได้เต็มใจทำสักนิด เรียกให้มาก็มา ให้นอนลงก็ยอม ไม่ว่าจะเมื่อไหร่เวลาไหนไม่เคยต่อต้านสักครั้ง ..แต่ความรู้สึกมันไม่เหมือนเดิม..
แล้ว...ต้องให้ทำยังไงถึงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมล่ะ? ..
เขาทำตัวไม่ถูก.. ต้องง้อเหรอ ง้อทำไม? มันไม่ใช่คนที่เขาจำเป็นต้องสนใจ อีกเดือนกว่าๆก็แยกย้ายกันแล้ว..
มันชอบให้เขาทำดีด้วยหรือเปล่า? ทำไมล่ะ.. เมื่อก่อนพอทำดีแล้วไม่เห็นมีใครมาสนใจเลย.. ทั้งพ่อทั้งแม่ไม่เคยชื่นชมความดีของเขา พอเขาทำเลว พ่อกับแม่จะปรี่มาหาทันที เรียกผู้ปกครองปุ้บว่างกะทันหันเลย แต่พอมีกิจกรรมดีๆ พ่อแม่ไม่เคยว่าง..
แล้วทำไมมันถึงชอบให้เขาทำดีๆกับมัน?

มกรมองแผ่นหลังนั้นแล้วชะโงกไปดูหน้าอีกที ใบหน้ายามหลับดูสงบสุข
“กวนตีนนักนะมึง...” เขาบ่นพึมพำก่อนจะเอามือยื่นไปลูบหัวอีกฝ่ายแล้วผละไปที่ประตู
ครั้นเมื่อประตูปิดลง ดวงตายาวรีก็เปิดขึ้น.. กำแพงสีขาวเป็นเป้าหมายสายตา ก่อนที่ริมฝีปากสีชมพูนั่นจะพึมพำตอบเช่นกัน


“มึงนั่นแหละกวนตีน..”







TBC


แฮะๆๆ ขอโทษที่หายไปนานค่ะ วันนี้เลยลงให้ 2ตอนรวดเลยค่ะ 
เรื่องชักเข้าอิหรอบเดิมแล้วมั้ง แม้นศรีนี่ก็นะ..... ต้องโดนซักวัน!!!

เจอกันอีกที 27มกราคมเลยนะคะ ขอหนีไปเที่ยวก่อน  แล้วเจอกันค่าาา :hao3:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 12-13 (อัพ 17มกราคม57) หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: pornumpai-ka ที่ 17-01-2014 11:37:00
 :katai1:
แหม  มกร.....ทำดีกับน้องเขาหน่ยจิ

 :z6: :z6: :z6:

 :beat: :beat:

รอได้จ้า....มาต่อเร็วๆ นะ
 :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 12-13 (อัพ 17มกราคม57) หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 17-01-2014 11:51:14
โอ้ยอิพี่แม้นศรี
ตรรกะแกป่วยขั้นสุดยอดอ้ะ
เพลียแทนนัทจริงๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 12-13 (อัพ 17มกราคม57) หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: Merupuri ที่ 17-01-2014 12:48:20
น้องน้ัทช้ำหมดแล้ววว
พี่แมนถนอมน้องหน่อยจิ
 :mew4:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 12-13 (อัพ 17มกราคม57) หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 17-01-2014 13:03:44
อยากกระโดดถีบอิพี่แมน
แต่แอบน้องนัทตอนท้ายนะ
หัวข้อ: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 12-13 (อัพ 17มกราคม57) หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: Fellina ที่ 17-01-2014 14:14:53
มันผิดตั้งแต่ตรรกะพี่แล้วมั้งคะ
แต่น่าสงสารพี่แมนเค้าเหมือนกันนะคะ

แบบมันเริ่มตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ครอบครัวด้วย
ทำให้ตรรกะความคิดมันเป็นไปในแบบผิดๆ

เอาเหอะค่ะ คนเรามันเรียนรู้กันได้
เอาใจช่วยพี่แมน กับน้องนัทละกันค่ะ

แบบพออ่านความคิดพี่แมนแล้ว
ไอที่จะด่า ด่าไม่ออกกันเลยที่เดียว
แบบ...ความสงสารเข้ามาแทน
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 12-13 (อัพ 17มกราคม57) หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 17-01-2014 15:45:12
ไม่สงสารแม้นศรีอ่ะ

ความสามารถในการเรียนรู้ระดับหมา 6 เดือนเลย
ไอคิวต่ำ อีคิวเตี้ยเรี่ยดิน

คิดได้แค่นั้น? เป็นหมาของพาฟลอฟเหรอ สั่นกระดิ่งแล้วน้ำลายไหล จำได้แค่นี้จริง?
มนุษย์คนไหนคิดได้แค่นี้นี่ ต้องระดับ idiot แล้วนะ (-___-"

ปิดหูปิดตาตัวเอง ลำบากที่สุดในโลก ชีวิตข้าอาภัพอับโชค
เกลียดคนประเภทนี้ชะมัด เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของทุกสิ่ง
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 12-13 (อัพ 17มกราคม57) หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 17-01-2014 16:00:28
อ่านแล้วต้องถอนหายใจหนักๆกันเลยทีเดียว :katai1:
เฮ่อออออ
สวีท(?)ได้นิดเดียวจริงๆคู่นี้
รออ่านตอนต่อไป
แอบอยากให้มีโมเม้นนัทเอาคืนแบบแสบๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 12-13 (อัพ 17มกราคม57) หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 17-01-2014 16:30:21
หมั่นไส้อีพี่แมนอย่างจริงจัง น่าตบกะโหลกมาก สันดานจริงๆ
นัทเอาคืนให้สาสมเลยนะ :beat:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 12-13 หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: becrazie ที่ 17-01-2014 17:04:11
ชอบประสุดท้ายของนัทอ่ะ :laugh:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 12-13 (อัพ 17มกราคม57) หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-01-2014 21:38:48
เจ็บ มันเจ็บมากเลย
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 12-13 (อัพ 17มกราคม57) หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 21-01-2014 17:50:07
นัทเหมือนจะไม่ดื้อนะ

นางดื้อเงียบจ้าาาาาา  :katai2-1: :katai2-1:

มังกือเอ๊ยย แกไม่รอดหรอก เคยได้ยินมั้ย แพ้ความดีอ้ะ  :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 12-13 (อัพ 17มกราคม57) หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: Niinuii ที่ 21-01-2014 22:17:53
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 12-13 (อัพ 17มกราคม57) หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: cowinsend ที่ 22-01-2014 19:50:35
ชอบประโยคสุดท้ายของนัทจริงไรจริง :pigha2:

รอตอนต่อไปค่ะ แอบหมั่นไส้พี่แมนสุดขีด
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 12-13 (อัพ 17มกราคม57) หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: elieanna ที่ 22-01-2014 20:31:31
สนุกมากๆค่ะรอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 12-13 (อัพ 17มกราคม57) หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: killerofcao ที่ 23-01-2014 00:53:22
ต้องให้สูญเสียก่อนถึงจถสำนึกรึจ๊ะ




หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 12-13 (อัพ 17มกราคม57) หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: killerofcao ที่ 24-01-2014 01:15:38
ถ้าเสียไปอย่ามาเสียใจนะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 12-13 (อัพ 17มกราคม57) หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: ๐๐ตะวัน๐๐ ที่ 24-01-2014 05:24:43
“มึงนั่นแหละกวนตีน..”

ประโยคนี่โดนมากอ่ะนัท
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 12-13 (อัพ 17มกราคม57) หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: myd3ar ที่ 24-01-2014 19:17:21
มกรนี่เด็กสุดๆ เรียกร้องความสนใจ

หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 12-13 (อัพ 17มกราคม57) หน้า5
เริ่มหัวข้อโดย: Wereena ที่ 25-01-2014 00:31:34
อิอิ ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 14 (อัพ 3.2.14)
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 03-02-2014 18:22:04
ตอนที่ 14





ณัฐวีร์ตื่นมาอีกทีตอนบ่ายแก่ๆแล้ว เสียงข้างนอกได้ยินเข้ามาเบามากซึ่งเป็นข้อดีที่ทำให้เด็กหนุ่มได้พักผ่อนอย่างสบายโดยไม่มีใครปลุกให้ตื่น..นอกจากท้องที่ร้องโครกๆ นี่เอง
เขาทานข้าวเช้าจากโรงแรมที่พักก่อนไปรับกลุ่มมาใหม่ พอกลับมาก็หลับเป็นตาย ดังนั้นอาหารยามเที่ยงจึงเป็นอาหารที่ยังไม่ตกถึงท้องจนบ่ายสามเข้าไปแล้ว

เด็กหนุ่มลุกออกมาจากห้อง ทันทีที่เปิดประตู เสียงหัวเราะและเสียงโทรทัศน์ที่เปิดแช่ทิ้งไว้ก็ดังลั่น แสดงให้เห็นว่าห้องนั้นกันเสียงได้ดีพอสมควรเลย

“น้องนัท..” เสียงขึ้นจมูกแบบพวกคอทองแดงร้องทักขึ้น “นอนอิ่มแล้วเหรอ มากินเหล้ากับพวกพี่ป้อดนี่มะ”
ณัฐวีร์ได้แต่ยิ้มตอบแล้วเลี่ยงไปที่ครัว เขามองหาน้ำเปล่าดื่มไปอึกใหญ่ สายตาชำเลืองมองที่วงเหล้าซึ่งมีแค่อาหารแห้งๆ อย่างพวกถั่ว มันฝรั่งทอด ข้าวเกรียบกุ้งเท่านั้นเอง แบบนี้มันคงทำให้เขาอิ่มไม่ได้แน่
ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหยิบกระเป๋าเงินและมือถือเพื่อลงไปหาซื้ออาหารมาทำให้ท้องหยุดร้อง จริงๆ เขาเป็นพวกทานอะไรก็ได้ แต่ถ้าหิวขึ้นมาแค่ถั่ว มันฝรั่งทอดมันเอาไม่อยู่แน่

“จะไปไหน?”
เสียงถามนั้นดังมาจากข้างหลังขณะที่เขากำลังเปลี่ยนเสื้อเป็นตัวใหม่เพื่อจะลงไปซื้ออาหาร มกรเข้ามาในห้องและเปิดประตูค้างไว้แบบนั้น ทำให้ตอนเขาหันตัวไปมองข้างนอกจึงเห็นเพื่อนกลุ่มนั้นหันมองเข้ามาทั้งกลุ่มแล้ว
เด็กหนุ่มดึงเสื้อยืดลงคลุมขี้ก้างอกของตัวเอง..เขาอายเพราะรูปร่างก็ไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้น แถมผิวก็ขาวซีดไม่น่ามอง

“ผม..” ณัฐวีร์ดีดลูกคิดรางแก้วอีกครั้ง
การจะบอกว่าลงไปหาอะไรใส่ท้อง คงดูไม่ดีนัก.. เดี๋ยวอีกฝ่ายก็จะหาเรื่องทะเลาะเอาได้..

“ผมเห็นกับแกล้มมันเหลือน้อย เดี๋ยวพวกพี่จะต้องลำบากลงไปซื้อ ผมก็เลยว่าจะลงไปเดินดูมาเพิ่ม ..พวกพี่อยากทานอะไรกันเป็นพิเศษไหมครับ” ประโยคหลังเด็กหนุ่มเดินเลี่ยงออกมาถามคนด้านนอก เล่นเอาทุกคนตบมือกันใหญ่

“ดีเลยๆ อยากกินไส้กรอกเซเว่น กินๆไปถั่วนี่มันเค็มเกิน อยากได้อะไรคาวๆมากินบ้าง” ชายปังตอผู้คลั่งไคล้อาหารไร้สาระเป็นคนออกปากก่อนคนแรก เหล้าขวดใหญ่หมดไปแล้วค่อนขวด ปริมาณการกินของคน 4 คนก็คงจะกดกันมาตั้งแต่ก่อนเที่ยงล่ะมั้งนั่น
แล้วทุกคนก็ร้องสั่งของที่อยากได้จนต้องเอากระดาษมาจดกันเลยทีเดียว

“เดี๋ยวพี่ไปเป็นเพื่อน..” แชร์ลุกขึ้นทำท่าทางปัดกางเกง แต่ณัฐวีร์รีบปฏิเสธทันที

“ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวผมซื้อขึ้นมาให้ไปเซเว่นหน้าปากซอยแค่นี้เอง”

“ถือยังไงไหว ของตั้งเยอะ”

“แต่พี่จะถือไหวเหรอเมาหน้าแดงขนาดนี้” ณัฐวีร์ว่าพลางมองหน้าอีกฝ่ายพร้อมหัวเราะเบาๆ เล่นเอาคนโดนว่ายกมือขึ้นลูบท้ายทอยตัวเองด้วยใบหน้าแดงก่ำกว่าเดิม

“ไม่เมาหรอก..นิดหน่อยเอง”

“ให้มันไปคนเดียวนั่นแหละ..” กลายเป็นมกรสยบความต้องการของแชร์เสียเอง เขาเดินเข้ามาดึงร่างเพื่อนรักให้ลงนั่งในวงเหล้าตำแหน่งเดิม

“โธ่ ไปช่วยน้องจะเป็นไรไป”

“มึงไม่ต้องพูด แดกเข้าไป!” มกรตวัดเสียงพร้อมกับเอาแก้วเหล้ามายัดใส่มืออีกฝ่าย แล้วได้แต่ชำเลืองมองร่างผอมแกรนนั้นเดินไปที่ประตูห้องจนลับร่าง







***
หน้าเซเว่นมีร้านก๊วยเตี๋ยวหมูและขนมจีนน้ำเงี้ยว ข้าวซอย ทำให้ณัฐวีร์ถลาไปโซ้ยเสียหนึ่งชามโตด้วยความรวดเร็ว และตรงนั้นยังมีพวกส้มตำ ข้าวเหนียวไก่ย่าง ไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่มพร้อมแคปหมูด้วย ทำให้เขาเลือกที่จะซื้อของพวกนั้นขึ้นไปเสริมจากที่ทุกคนสั่ง
อีกอย่าง ถ้าเขาขึ้นไปแล้วจะทำอะไรนั่นก็เป็นเรื่องที่น่าคิดอยู่เหมือนกัน เพราะทุกคนเขากินเหล้า จะให้ปิดห้องอยู่คนเดียวเงียบๆ ก็ดูจะไม่สนุกสักเท่าไรนัก ดังนั้น ทางที่ดีคือเขาก็ต้องร่วมวงด้วยนั่นแหละ กินสักแก้วสองแก้วพอกรึ่มๆ กินกับเยอะๆ นั่งคุยเล่น..คิดว่านั่งคุยกับพวกหมามันไปก็แล้วกัน

ไม่ใช่ว่าเขาไม่แค้นคนพวกนี้.. พอพวกมันเข้ามาก็ทำให้ชีวิตเขาปั่นป่วนไปหมด... แต่ความแค้นหล่อเลี้ยงคนให้ดำรงอยู่ไม่ได้.. ความสุขต่างหากที่จะหล่อเลี้ยงให้เขายืนอยู่ในโลกที่โหดร้ายนี้ต่อไปได้
ดังนั้น.. ทำอย่างไรจึงจะมีความสุขเล่า..
ก็คงได้แต่อยู่และใช้ชีวิตกับพวกมันอย่างอดทน มองพวกนั้นให้เป็นผัก ปลา หมาแมว แล้วมีความสุขอย่างที่จะทำได้ให้มากที่สุด

“ป้าจ๋า เดี๋ยวผมมาเอานะ”
เขาร้องบอกก่อนจะเดินตรงไปที่เซเว่นแล้วซื้อของตามที่จดกระดาษมาหลายรายการ บางอย่างเขาก็ไม่ซื้อเยอะ เพราะมีอาหารอื่นไปบ้างแล้ว อย่างพวกไส้กรอก ไก่เทอริยากิสำเร็จรูป แต่ถ้าเป็นพวกน้ำแข็ง น้ำอัดลม เขาก็ซื้อไปให้เต็มตะกร้าเลยทีเดียว
เด็กหนุ่มกำลังต่อคิวเข้าไปจ่ายเงินอยู่พอดี ก็บังเอิญว่าคนที่ต่อท้ายอยู่ชะโงกหน้ามามองเขาทำให้ต้องเหลียวไปมองเช่นกัน

“เจอกันอีกแล้วนะครับน้อง”
ครั้งแรก.. ณัฐวีร์งงว่าอีกฝ่ายคือใคร แต่เมื่อเขายิ้มให้ถึงนึกได้ว่าเคยเจอกันที่ไหน

“พี่มังกี้ใช่ไหมครับ”

“เอ่อ..” อีกฝ่ายหัวเราะยกใหญ่ “พี่ชื่อโมครับไม่ใช่มังกี้”

“ขอโทษที่ตั้งชื่อแบบนั้นให้ครับ” ณัฐวีร์หัวเราะกับตัวเองเก้อๆ ก็นึกออกว่าเจอกันที่หน้ามังกี้เลยเรียกมังกี้ซะเลย

“พักอยู่แถวนี้เหรอครับ”

“ใช่ครับ ตึกอยู่ด้านในนี่เอง”

“ของพี่อยู่ฝั่งตรงข้ามโน่น บ้านเพื่อนมันเปิดให้ฉลองกัน นี่เลยมาถล่มมันสักหน่อย โชคดีจังที่ได้เจอกันอีก พี่ยังไม่รู้ชื่อน้องเลย”

“นัทครับ..” อย่างน้อยช่วงกลางวันแบบนี้ณัฐวีร์ก็คิดว่ามันน่าจะปลอดภัยกับตัวเขาอยู่หรอก แค่บอกชื่อคงไม่ทำให้เสียหาย
จังหวะพอดีกับที่ณัฐวีร์ได้คิวจ่ายค่าสินค้า ทำให้เขาขอตัวจากอีกฝ่าย และเมื่อจ่ายชำระเสร็จ ของก็เต็มสองมือเลยทีเดียว

“ผมไปก่อนนะพี่โม” เด็กหนุ่มหันไปยิ้มให้

“แล้วพบกันอีกนะครับ”
ณัฐวีร์ไม่ได้ตอบรับอะไร เขาแค่ยิ้มแล้วเดินจากมา พลางกำลังรู้สึกลังเลว่าเขาบ้าหอบซื้อของเกินไปหรือเปล่า เพราะแค่พวกของในเซเว่นก็เต็มสองมือแล้ว นี่จะเอามือที่ไหนไปถือส้มตำ สงสัยต้องไปบอกป้าคนขายว่าจะลงมาเอาอีกหนท่าจะดี ขืนแบกไปทั้งหมดเขาต้องกระดูกเคลื่อนอีกแน่

เด็กหนุ่มก้มหน้าก้มตาเดินผ่านผู้ชายตัวโตที่ยืนสูบบุหรี่อยู่หน้าร้าน แล้วก็ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายดีดก้นบุหรี่ลอยผ่านหน้าไปหวือ
“เอ้ย!”
เขาร้องอย่างตกใจกะจะหันไปด่าอยู่แล้ว ก็พอดีที่อีกฝ่ายตะคอกกลับมาดังลั่น “มึงลงมาเดินอ่อยใครหรือไงมันถึงได้ช้าแบบนี้!”
ณัฐวีร์สะท้านตัวเยือกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ก็แน่ล่ะ..นั่นหมาจ่าฝูงเลยนะ ..แถมมันยืนแยกเขี้ยวขู่พร้อมจะกัดแล้วนั่น..

“เปล่าครับ นี่ก็กำลังรีบจะไปเอาของอีกร้านที่สั่งไว้ ช้าหน่อยเพราะคนเยอะครับ”
มกรทำหน้าหงุดหงิดใส่พลางชำเลืองมองเข้าไปในเซเว่นแว่บหนึ่ง แล้วจึงค่อยยื่นมือมาช่วยถือของ

“ผมถือได้..” ณัฐวีร์รีบบอกเพราะกลัวอีกฝ่ายจะหงุดหงิด

“ถ้ากูจะถือ มึงก็ขัดใจกูไม่ได้!”
สุดท้ายอีกฝ่ายก็แย่งไปถือไว้จนหมด ..แล้วณัฐวีร์ก็เลยได้แต่บอกว่า “ตามใจครับ”
เด็กหนุ่มเดินนำไปที่ร้านซึ่งเขาสั่งอาหารไว้แล้วรับของมา ก็ดีที่มีคนลงมาช่วยถือของหนักๆไป เขาเลยถือแต่พวกอาหารซึ่งเบากว่ามาก

“มึงซื้ออะไรเยอะแยะ..” มกรกวาดตามองของเต็มสองมือขณะเดินเข้าไปยังคอนโดที่พักพร้อมกัน

“ก็อาหารเย็นพวกพี่ล่ะครับ”

“ให้พวกมันออกมาหากินกันเองก็ได้”

“เมาขนาดนั้นจะลุกมาไหวยังไง”

“กูยังเดินมาได้”

“งั้นพี่จะหากินเองเย็นนี้ใช่ไหมครับ พวกนี้เดี๋ยวผมกินกับพี่ๆ เขาเองก็ได้”
มกรเม้มปากเป็นเส้นตรงทันที การทำหน้าถูกขัดใจแบบนั้นทำให้ณัฐวีร์นึกสนุกขึ้นมา..นิดนึง

“พวกมันดูแลตัวเองได้ มึงไม่ต้องไปประเคนอะไรพวกมันขนาดนั้นหรอก”

“ไม่ได้ประเคนครับ ของพวกนี้ซื้อไปผมก็กินด้วย แต่กินคนเดียวมันไม่อร่อย ก็ต้องแบ่งๆกัน อีกอย่าง พวกพี่เขานั่งดื่มกันมาจนหน้าแดงขนาดนั้น ผมว่าคงไม่มีแรงลงมาหาอะไรเป็นมื้อเย็นกันหรอก” ณัฐวีร์ยิ้มบางๆ “เอาแบบนี้แล้วกันครับ ถ้าพี่คิดว่าอาหารพวกนี้มันไม่ดีพอเดี๋ยวผมทานกับพี่ปังตอก็ได้ พี่เขาน่าจะชอบ”

“อย่ามาเสือกรู้ดี มีอะไรก็กินไปตามนั้นแหละ เรื่องมาก” มกรบ่นอุบอิบ

“ผมไม่ได้เรื่องมาก ซื้อให้เพราะหวังดีครับ” หวังดีของตัวเองนะ..กลัวไม่มีอะไรกิน

“เออๆ กดลิฟท์ด้วย ของหนักชิบหายแม่งไม่ลงมาช่วยกันถือเลย ไอ้สัตว์พวกนี้”
ณัฐวีร์ได้แต่ก้มหน้ายิ้มแล้วใช้มือข้างดีเกร็งยกขึ้นกดลิฟท์

“มึงก็เลิกยิ้มเรี่ยราดได้แล้ว เดินไปไหนก็ยิ้มอย่างกะคนบ้า กลัวไม่มีใครมองหรือไง”

“เปล่าครับ..” ณัฐวีร์เมินไปทางอื่น ให้อีกฝ่ายบ่นไปคนเดียว

“แล้วทีหลังไม่ต้องให้กูรอนานแบบนี้นะ หมดบุหรี่ไปตั้งสองตัว”

“ผมไม่รู้ว่าพี่มารอ ก็มัวเดินซื้อของให้พวกพี่อยู่นั่นแหละ”

“กูเห็นมึงยืนคุยกับคนอื่น..”

“ผมก็ไม่รู้จัก เขามาถามทาง” ณัฐวีร์ตอบเบี่ยงไปเรื่องอื่น ขืนถ้าบอกความจริงเดี๋ยวก็เรื่องยาวอีก

“ถามทางกับมึงเนี่ยนะ..หน้าตาไม่ได้เป็นคนเหนือเล้ย”

“ก็ไม่รู้ เขาถามผมก็บอกไม่รู้ เขาก็เลิกถามไป”

“เลิกถามยังไง กูเห็นคุยกันอยู่ตั้งนาน”

“นี่พี่มายืนนานแค่ไหนแล้ว” ถามพลางเดินเข้าไปในลิฟท์

“ก็บอกบุหรี่สองตัว..”

“ผมไม่สูบบุหรี่ ไม่รู้หรอกว่าตัวนึงมันใช้เวลาขนาดไหน แต่บอกไว้เลยว่าผมคุยกับเขาแค่สามประโยค ไม่รู้จัก ไม่ใช่ครับ หวัดดีครับ แค่นี้ ถ้าไม่เชื่อก็ไปขอกล้องวงจรปิดเซเว่นดูเอาแล้วกัน...” ณัฐวีร์ว่าแล้วก็เอนตัวพิงผนังลิฟท์อย่างนึกฉิวๆขึ้นมาบ้างแล้ว จะซักให้ขาวเลยหรือไงก็ไม่รู้

“ก็กูอุตส่าห์เดินลงไปรับ..ให้ยืนรออยู่ได้” อีกฝ่ายยังบ่นไม่เลิก
แต่ประโยคนั้นทำให้ณัฐวีร์ใจเต้นกระตุกแบบแปลกๆขึ้นมาทันที ..ลงไปรับ.. นี่หิมะจะตกหน้าสงกรานต์หรือเปล่าวะเนี่ย

“โทรศัพท์ก็มีไม่โทรบอกล่ะครับ..” เขาเสียงอ่อนลงนิดหน่อย อย่างน้อยก็ต้องขอบคุณที่อีกฝ่ายเดินลงไป ไม่งั้นเขาต้องมีรอบสองแน่ๆ

“กูว่าแล้ว..ตอนกูทำดีไม่มีใครชอบสักคน” มกรบ่นก่อนจะก้าวออกจากลิฟท์ในชั้นที่พัก แล้วก็เดินตึงตังไปจนถึงหน้าห้อง ไม่รอให้ใครเดินตามไปเปิดให้เจ้าตัวก็ยันประตูโครมๆเล่นเอาคนข้างในต้องรีบแล่นมาเปิดเสียเอง

“เบาหน่อยพ่อมึง” เจ้าของห้องร้องเป็นเจ๊กถูกเชือด ประตูไม้สักบานนึงไม่ถูก ถึงจะทนทานทายาด แต่ก็ไม่ใช่จะไม่ถนอมมันเลย

“เอ้ารับไป!” มกรส่งถุงของให้อีกฝ่ายถือแล้วเดินเข้าไปนั่งลงที่วงเหล้า ปล่อยให้ใครต่อใครมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
ณัฐวีร์เองก็มองชายคนนั้น..




หรือหมามันอยากได้อะไรเป็นรางวัลในการทำดีวะ..??
***



TBC
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 14 (อัพ 3.2.14)
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 03-02-2014 18:25:15
กลับมาแล้วค๊าบบบบบ บบบบบ
โดนคนเขียนลากมาอัพ >,<

ขอโทษที่ทิ้งไปนานเลยค่ะ มาต่อให้แล้วนะค๊าาา าา #คนเขียนจะกินหัวเอา 55555

คหสต. น้องนัทนี่ชอบต่อปากต่อคำอิพี่แม้นศรีจริงๆ ระวังจะโดนเห๊อะ !!  :katai5:

..ทักทายกันพอหอมปากหอมแก้ม เจอกันใหม่เมื่อโดนทวงนะคะ 55555 #คนอ่านตบ!!
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 14 (อัพ 3.2.14)
เริ่มหัวข้อโดย: sunshinesunrise ที่ 03-02-2014 18:29:40
ก็เป็นซะอย่างเนี่ยยย... ใครจะไปเข้าใจแกวะ ไอ้แมนนนนนนน  :ruready
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 14 (อัพ 3.2.14)
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 03-02-2014 18:39:53
พัฒนาการทางความคิดเท่าเด็ก 5ขวบ (-__-"
กรรมของโม
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 14 (อัพ 3.2.14)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 03-02-2014 20:35:09
เห้อออ
มกรเอ้ย
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 14 (อัพ 3.2.14)
เริ่มหัวข้อโดย: killerofcao ที่ 03-02-2014 20:38:01
หมา............
กร๊าก หมาหวงก้าง
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 14 (อัพ 3.2.14)
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 03-02-2014 20:58:49
EQ ต่ำเตี้ยเรี่ยดินจริงๆ
น้องณัฐจะซวยไปอีกกี่ตอนเนี่ย
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 14 (อัพ 3.2.14)
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 03-02-2014 21:11:42
ตามอ่านทุกที่เลย  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 14 (อัพ 3.2.14)
เริ่มหัวข้อโดย: ● MaYa~Boy ● ที่ 04-02-2014 02:26:53
มกรเริ่มชอบแล้วสิ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 14 (อัพ 3.2.14)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 04-02-2014 04:33:52
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 14 (อัพ 3.2.14)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 04-02-2014 06:34:35
ทวงตอนนี้เลยได้ไหมคะ เพิ่งเข้ามาอ่าน แต่สนุกมากกก
สงสัยว่าเราจะชอบพระเอกโรคจิต :laugh:
เวลาน้องนัทเอาคืนคงแสบน่าดู พี่แชร์แอบคิดไรกะน้องป่ะเนี่ย
แบบรู้สึกผิดก่อนแล้วก็หวั่นไหวมากขึ้น :katai3: :z1:
รออ่านตอนต่อไปนะคะ มาเร็วๆน้าาาาา พลีสสสสส :impress2:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 14 (อัพ 3.2.14)
เริ่มหัวข้อโดย: ▲TEACHCHY▼ ที่ 10-02-2014 21:20:35
เอาคืนเลย :hao7: คิดถึงน้องนัทแล้วค่ะคนเขียน ทวงๆๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 14 (อัพ 3.2.14)
เริ่มหัวข้อโดย: ๐๐ตะวัน๐๐ ที่ 11-02-2014 00:33:23
ดูๆทำตัวเข้า นี่ทำดีแล้วเหรอ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 14 (อัพ 3.2.14)
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 11-02-2014 12:17:26
แอร๊ยยย ดีใจมีคนคิดถึงแม้นศรีด้วยอ่ะ 5555

ช่วงนี้งานรุมเร้ามากเลยค่ะ วันนี้หลังเลิกงาน จะมาลงตอน15 ให้นะคะ รอเค้าหน่อยน๊าาาา าาา  :katai4:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 14 (อัพ 3.2.14)
เริ่มหัวข้อโดย: Wereena ที่ 11-02-2014 21:01:47
^
^^
^^^
 :z13:

จิ้มจึกๆ  จะนอนรอเลยค่ะ อิอิ :call:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 15 (up 11.02.14)
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 11-02-2014 21:43:30
ตอนที่ 15




สามทุ่มกว่า...เอ๊ะ หรือจะห้าทุ่มล่ะหว่า ทำไมเข็มสั้นกับเข็มยาวมันเท่ากันไปหมดก็ไม่รู้
ณัฐวีร์หรี่ตาปรือๆของตัวเองขึ้นมองนาฬิกาที่แขวนผนัง ..ครั้นเมื่อเห็นว่ายังไงก็คงดูไม่รู้เรื่องก็เลยส่ายหัวแล้วนั่งคอตกต่อไป หูได้ยินเสียงหัวเราะปนกับเสียงเพลงชัดเจน แต่เขาจับใจความไม่ได้ว่าใคร ทำอะไร อยู่ตรงไหน.. เขาคงดื่มมากเกินไป.. ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็ยกแก้วตัวเองขึ้นดื่มอีกอึกใหญ่

“นัทกินเก่งเน้อะ ไม่นึกว่าจะนั่งเป็นเพื่อนกันได้..น้าน..นานขนาดเน้” ป้อดที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหัวเราะ แต่เป็นเสียงหัวเราะที่ไกลออกไปทุกทีสำหรับณัฐวีร์

เด็กหนุ่มยกแก้วขึ้นดื่มอีกหลายอึกจนมันหมดเขาจึงได้ปล่อยให้มันกลิ้งออกไปจากมือ..
หมดแล้วนะ..อย่ามาบังคับให้กินอีกนะเว้ย

เขาปาดหลังมือเช็ดปากตัวเอง แล้วรู้สึกเหมือนตัวกำลังจะเอียง พยายามฝืนให้ตรงแล้วแต่เหมือนโลกมันจะหมุนติ้วๆ โคลงไปโคลงมา
“เฮ้ๆ”
เสียงร้องของใครก็ไม่รู้ดังขึ้น..เขาหัวเราะเบาๆ แขนข้างหนึ่งถูกจับดึงไว้ เขาหันไปมองทั้งที่ยังหัวเราะ

“พี่...” ณัฐวีร์หรี่ตามองพลางยกมือข้างที่ว่างขึ้นมาลูบมืออีกฝ่ายที่จับแขนเขาไว้เหมือนลูบหัวหมาให้รางวัลมัน.. “...แช้..อึ้ก!”

“เมากลิ้งเลย.. นั่งดีๆ”

“นัท..” เด็กหนุ่มเหลียวไปทางห้องพักของตัวเอง คิดถึงเตียงนอน อยากเข้าไปนอน และพยายามจะรั้งตัวออกจากโซฟานิ่มที่พิงอยู่

“ไอ้แมนไปเข้าห้องน้ำ เดี๋ยวก็มา นั่งอยู่นี่ล่ะ”

“ไม่!” ได้ยินชื่อแล้วมันขึ้น “ไปไกลๆเลย...”
เด็กหนุ่มพยายามดึงแขนออกจากมืออีกฝ่าย แมนเมินที่ไหน ไม่ต้องมายุ่งเลยนะ ไม่อยากได้ยินกระทั่งชื่อ ไม่อยากอยู่ใกล้ๆมัน ไอ้คนขาดความอบอุ่นจากครอบครัว ที่บ้านไม่ให้ความร้ากกกกกกกก

“โอเคๆ พี่จะปล่อยเรา แต่นั่งอยู่นี่ล่ะลุกไปก็เดินไม่ไหว” ความที่เข้าใจไปว่าณัฐวีร์อยากให้ปล่อยมือ อยากให้ไปอยู่ไกลๆ แชร์จึงพยายามประคองร่างน้องให้กลับมาตั้งตรง ใบหน้าขาวที่แดงเรื่อเพราะฤทธิ์เหล้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มกระเรี่ยกระราด ดวงตายิบหยีปรือมอง อาการสะอึกทำให้ร่างที่อยู่ในมือสั่น

“พี่..แชร์”
เด็กหนุ่มเรียกชื่อพลางยิ้มหวาน มือที่ตกอยู่ข้างตัวคว้าเอาข้อมืออีกฝ่ายไว้เมื่อมันกำลังจะผละออกไป

“หืม?..” เล่นเอาคนถูกดึงไว้ลุกไปไม่ได้เหมือนกัน
..เขากำลังหมกมุ่น และดูจะหมกมุ่นเกินไป ช่วงนี้เขามักวนเวียนดูภาพในคลิปที่มกรถ่ายผ่านเว็บแคมและเขาตั้งอัดไว้.. เสียงร้องโอดโอยโหยหวนทำให้หลายครั้งที่เขาร้องไห้ด้วยความสงสาร และเฝ้าตำหนิตัวเอง ถ้าเขาไม่เริ่มมันขึ้นมาเด็กคนนี้ก็จะไม่ถูกทำร้ายอย่างทารุณแบบนั้น

แขนที่หัก เป็นเพราะเจ้าตัวพยายามใช้มือดันหน้าและขัดขืนอีกฝ่าย หากแต่เพื่อนของเขามันแรงเยอะ ยิ่งมันขาดสติแรงมันยิ่งใส่เกินร้อย มือที่ยันหน้ามันจึงเกะกะเกินไปจนมันดันลงกับพื้นเตียงแล้วใช้มือตัวเองนั่นแหละทุบ ทุบ และทุบ เด็กคนนี้กรีดร้องก้อง

“ยอมแล้วพี่..ผมยอมแล้ว”
เสียงนั้นยังคงบาดอยู่ในหู หลายครั้งที่ดูคลิปมาถึงตรงนี้แล้วเขาต้องหยุดมองภาพ ได้ยินแค่เสียงก็ปวดหัวใจขึ้นมาหนึบ ความทารุณถูกเริ่มขึ้นก็เพราะเขาเอง ยิ่งมาเจอตัวยิ่งรู้สึกสงสารและชังความเลวของตัวเองนัก

“นัท..ง่วง..”
เจ้าตัวพึมพำแล้วเหมือนคอจะหงายไปด้านหลัง ทำให้แชร์ต้องดึงตัวเองกลับมามองเวลาปัจจุบัน..คนที่นั่งเอนตาปรืออยู่ตรงนี้
คอขาวๆทำให้เขานึกไปถึงภาพเมื่อกลางวัน.. เจ้าตัวกำลังเปลี่ยนเสื้อ.. แผ่นหลังนั้นดูเนียนตา ทว่าแผงอกกลับเต็มไปด้วยร่องรอยฝากรัก...หรืออาจจะแค่..ใคร่

นึกมาถึงตรงนี้จังหวะการเต้นของหัวใจที่บีบรัดทำให้แชร์หลับตาลง..ความรู้สึกปวดร้าวแบบนี้เขาไม่เคยรู้จักมัน คงเป็นความรู้สึกผิดที่เขาทำให้เด็กคนนี้ต้องเดินเข้ามาสู่เส้นทางลำบากเช่นนี้ ..ตั้งแต่นี้พี่สัญญานะนัท.. พี่จะดูแลนาย จะพยายามช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ
แชร์ใช้มือตัวเองประคองเอาศีรษะที่เอียงกะเท่เร่ให้เอนซบลงมาตรงอก โดยมีเสียงเพื่อนสองคนของตัวเองหัวเราะกับเรื่องตลกงี่เง่าที่พวกมันเล่าให้กันฟัง เขาจัดท่าของตัวเองและพยายามจะใช้กำลังที่ลดน้อยลงเพราะฤทธิ์สุราดึงเอาร่างของเด็กหนุ่มเข้ามาไว้ในอ้อมแขน ตั้งใจจะอุ้มเข้าไปนอนในห้องให้ได้ นัทจะได้สบายตัว

“มึงจะทำอะไรวะ..”
เสียงถามทำให้แชร์เหลียวกลับไปมองและพบร่างสูงใหญ่ของใครบางคนยืนค้ำหัวเขาอยู่

“เอาน้องมันเข้าไปนอนสิ หลับไปแล้วเนี่ย”

มกรชำเลืองลงมองแล้วพยักหน้า “...มึงปล่อยมันไว้แบบนั้นแหละ อยากนอนก็ให้มันนอนตรงนี้ไป เสือกแดกจนเมาเอง มึงไม่ต้องไปสนมัน”
ว่าแล้วมือใหญ่ก็ดึงไหล่เพื่อนจนต้องยอมปล่อยร่างนั้นออกจากอก ณัฐวีร์ปรือตาขึ้นมองพลางหัวเราะอย่างไร้สติแล้วเอนตัวพิงโซฟาคอหงายไปอีกหน

มกรทรุดตัวลงนั่งข้างเด็กหนุ่มซึ่งเป็นที่ประจำ ในขณะที่แชร์ถอยไปนั่งข้างป้อด..
ตรงที่พวกเขานั่งนั้นเป็นพื้นปาเก้ มีโซฟายาวเป็นเหมือนพนักพิง พอเอาโต๊ะเล็กเข้าชุดกันแอบไว้ด้านหนึ่ง การนั่งกินเหล้ากับพื้นก็รื่นเริงและดูสบายๆ มากขึ้น
นั่งคุยกันไปได้เพียงครู่เดียว ณัฐวีร์ก็เอนร่วงลงไปนอนกับพื้นโดยหันปลายเท้าที่คู้งอมาทางมกร และหัวหันไปทางตู้โชว์

“สัตว์นี่ เดี๋ยวตีนก็มาถีบกู..”
มกรบ่นก่อนจะรั้งแขนอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น

“ไม่..กินแล้ว.. จะนอน” เด็กหนุ่มงอแงพยายามปัดมือที่แขน

“มึงอยู่นิ่งๆ สิวะ!” ตะคอกไปแล้วก็บังคับเอาร่างนั้นให้หมุนเท้าไปทางอื่นจนได้ “นอนแบบนี้อยากให้กูเอามึงโชว์ใครหรือไง”
ความเมาทำให้มกรเค้นเสียงเหมือนจะเยาะหยันใครบางคนออกมา แล้วก็ตีสะโพกของณัฐวีร์ไปเบาๆ พลางปลายตามองเพื่อนตนเอง.. แน่ล่ะว่าแชร์ก็ไม่ได้หันหน้าไปทางอื่น เพราะเขานั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม จึงเห็นทุกอย่างที่อีกฝ่ายทำ

มกรแสยะยิ้ม ดึงเอาศีรษะของณัฐวีร์มาวางลงบนตักของตัวเอง และด้วยความหมั่นไส้หรืออะไรก็สุดจะเดา เขาใช้ปลายนิ้วลูบแก้มแดงๆนั่นเล่นอย่างแสดงความเป็นเจ้าของเต็มที่

“...ป..”

“หืม?..” มกรต้องเอียงหูลงไปฟังเมื่ออีกฝ่ายพึมพำอะไรที่เขาจับใจความไม่ได้ออกมา เสียงเพลงดังทำให้เขาไม่ค่อยได้ยินเสียงในคอนั่น
มือยังคงเกลี่ยอยู่ตรงแก้มและคล้ายจะลูบเลยไปที่ริมฝีปากชมพูจัดนั่นกระตุ้นให้พูดเร็วขึ้น
เด็กหนุ่มเอื้อมมือมาจับมืออีกฝ่ายที่กำลังกวนใจการนอนเอาไว้ ก่อนจะดึงมากอดหมับ แล้วพึมพำแผ่วเบาจนคนด้านบนต้องเอนตัวลงไปฟังต่ำมากขึ้น “ป๊า.. อย่าแกล้งนัทสิ”

“โธ่ ไอ้เด็กเวร..กูใช่พ่อมึงเรอะ” มกรหัวเราะออกมาเบาๆแล้วเงยหน้าขึ้นจังหวะพอดีกับที่ประสานสายตาเพื่อนรัก
ในภาพที่เห็น.. แชร์กำลังสับสน ..นั่นเพื่อนของเขาหยอกล้อเด็กคนนั้น ลูบแก้มเหมือนลูบขนแมว แล้วยังก้มลงหอมแก้มนั้นอย่างน่าอิจฉา..
อิจฉางั้นหรือ?

ไม่หรอก เขาคงแค่แปลกตาที่เพื่อนรู้จักแสดงความห่วงใยคนอื่นขนาดนั้นล่ะมั้ง แชร์ส่ายหัวเหมือนต้องการจะสลัดความคิดคำนึงออก แล้วจึงหันไปหัวเราะกับเรื่องขำขันของปังตอ แล้วชนแก้วต่อจนกว่าใครคนใดจะหมดแรงร่วงกันไปก่อนนั่นแหละถือว่าหมดเกม เสียเดิมพัน..
หลับก่อน..มึงจ่าย ใครหลับ..มึงแพ้

ชีวิตพวกเขาก็สร้างความตื่นเต้นด้วยการพนันกันแบบนี้แหละ
แต่รับรองว่าเขาจะไม่เอาชีวิตใครมาเป็นเดิมพันกันอีกแล้ว..






ไม่มีวันอีก!


TBC.

หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 15 (up 11.02.14)
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 11-02-2014 21:52:13
ขอโทษที่มาลงให้ช้านะคะ เพิ่งถึงบ้านค่ะ แหะๆ

เอาล่ะ... คุยไม่เก่งเหมือนเดิม คิดเห็นยังไง เม้นได้เรื่อยๆนะคะ #คนแต่งชอบแอบมาอ่านค่ะ 5555  :hao7:

ใครอยากอยากให้เพื่อนมอส (คนแต่ง) มีตอนพิเศษวันแห่งความรัก ลองไปอ้อนกันดูนะคะ ..เราอ้อนไม่สำเร็จ 5555

ไปถล่มได้เลยค่ะ ---> พิกัด https://www.facebook.com/pages/Morse/120230658164895?fref=ts

#ทิ้งละเบิด  :katai3:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 15 (up 11.02.14)
เริ่มหัวข้อโดย: NUTSANAN ที่ 11-02-2014 21:54:35
อ่านตอนนี้แล้วอยากจะตะโกนให้ก้องฟ้าว่า อีพี่แมนนมันมีคู่แข่งแล้วว้อยย ยยยยย
หึหึหึ
พี่แชร์ เอาให้หนักๆเลยนะให้มันรู้ตัวว่าน้องนัทสำคัญแค่ไหน มันจะได้ไม่ทำเลวๆๆอีกกก  :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 15 (up 11.02.14)
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 11-02-2014 22:17:18
พระรอง มาแว้ววววววววววววววว  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ยินดีต้อนรับเจ้าค้าาา  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 15 (up 11.02.14)
เริ่มหัวข้อโดย: pornumpai-ka ที่ 11-02-2014 22:46:37
 :a5: :a5: :a5:

จัดให้หนักและจัดให้เต็ม!!!  เอาคืนโลดดดด
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 15 (up 11.02.14)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 11-02-2014 23:05:04
เห้อออ ส่องแววอีกแล้ววว
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 15 (up 11.02.14)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 12-02-2014 01:27:27
อีพี่แมนเมื่อไรจะทำตามดีดีกับน้องนัทบ้าง
จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนครบ 3 เดือน แล้วก็เลิกกันหรือเปล่า
ถ้าเป็นอย่างนั้น นัทก็น่าสงสารแย่กว่าจะครบ 3 เดือน คงบอบช้ำทั้งกายและใจน่าดู
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 15 (up 11.02.14)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-02-2014 02:19:50
ถึงตอนนี้ก็ยังเจ็บกับเพื่อนกลุ่มนี้อยู่ดี ยิ่งตอนที่แชร์พูดถึงเกตุการณ์ครั้งนันด้วยแล้วยิ่งอยากร้องไห้ด้วยความสงสารนัท นัททำผิดอะไรอยู่ดีๆก็มาเป็นของพนันขันต่อด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 15 (up 11.02.14)
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 12-02-2014 04:39:56
ไอพี่แมน ไม่เห็นจะทำตัวดีขึ้นเลย
ฝากบอกคนแต่งให้ปลดจากตำแหน่งพระเอกซะเลย
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 15 (up 11.02.14)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 12-02-2014 06:38:17
เฮ้อออออออออ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 15 (up 11.02.14)
เริ่มหัวข้อโดย: oilzii ที่ 12-02-2014 20:47:21
แชร์สำนึกแล้ว

แต่อิแม้นศรียังอีก :z6:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) โดย morse moskito ตอนที่ 15 (up 11.02.14)
เริ่มหัวข้อโดย: ๐๐ตะวัน๐๐ ที่ 12-02-2014 20:51:50
อิพี่แมนคู่แข่งโผล่มาแล้วน่ะ ทำตัวดีๆ หน่อย

เดียวโดนแย่งไปจะรู้สึก :m16:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part : Late Valentine's Day (up 18.02.14)
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 18-02-2014 16:48:07
Special Part : Late Valentine's Day.







Valentine’s Day
เอกสารที่วางกองเต็มโต๊ะทำให้ณัฐวีร์มองอย่างไม่รู้จะหยิบเอางานไหนขึ้นมาก่อนดี การทำงานอยู่คนเดียวเป็นเวลาเกือบสองอาทิตย์ ทำให้งานของอีกคนเทมาที่เขาแบบหมดหน้าตัก นี่ยังเหลือเวลาที่ต้องทำงานของฝ่ายนั้นอีกตั้ง 4 วัน ณัฐวีร์ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองจะน็อคไปก่อนหรือเปล่า

พี่แมนเดินทางไปสิงคโปร์ตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม ที่นั่นโรงแรมในเครือกำลังจะเปิดดำเนินการ ทำให้ผู้บริหารระดับสูงทั้งคุณมนธิชาที่เป็นประธานบริษัท และรองประธานบริษัทต้องบินไปเปิดงานในวันนี้ ส่วนผู้จัดการทั่วไปอย่างคุณมกร ต้องเดินทางไปประสานงานที่นั่นตั้งแต่ก่อนเปิดงาน และตรวจสอบความเรียบร้อยหลังเปิดงาน

ดังนั้น ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไปอย่างณัฐวีร์ จึงต้องมานั่งรับงานของผู้จัดการทั่วไปทำเองทั้งหมด แต่ด้วยความที่ยังมือใหม่ จึงอาจจะตัดสินใจช้า  หรือยังไม่รู้เทคนิคในการทำงานดีพอ งานที่ได้รับต่อมาจึงดำเนินไปอย่างล่าช้า ขนาดว่าเพิ่มเวลาทำงาน แบกกลับไปทำบ้าน งานเหล่านั้นก็ยังไม่ลดน้อยลง มีเข้ามาให้ปวดหัวได้ทุกวัน

ณัฐวีร์ยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มรวดเดียวก่อนจะหยิบงานชิ้นบนสุดที่ปะหน้าว่าด่วนมาทำก่อน
เวลาเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว เสียงพลิกหน้ากระดาษไปมา เสียงกดเครื่องคอมพิวเตอร์ และเสียงเครื่องคิดเลขฟีดกระดาษ กลายเป็นเสียงที่ทำลายความเงียบของห้องทำงานที่มีโต๊ะสองตัวแต่นั่งทำงานอยู่คนเดียว
แม้จะเปิดประตูห้องทำงานไว้ และอีกห้องก็เปิดประตูไว้เพื่อจะได้มองเห็นกัน แต่ชั้นนี้ทั้งชั้น..เหลือเขานั่งทำงานอยู่คนเดียว.. อ้อ มีแม่บ้านอีกคน กับบางทีก็มีเลขาเดินเอางานมาให้บ้าง มาเอางานไปบ้าง ถือว่าเงียบและทำให้เขามีสมาธิดี เพราะถ้าเขาอยากได้อะไรแค่ยกหูโทรศัพท์กริ้งเดียวก็ได้แล้ว

“เฮ้อ....”
เสียงถอนหายใจยืดยาวที่ดังขึ้นทำให้คนที่นั่งอยู่เพียงลำพังถึงกับสะดุ้ง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองไปทางประตู แต่กลับไม่มีใครอยู่ตรงนั้น

“ใครน่ะ?..” ความเงียบคือคำตอบทำให้หัวคิ้วขมวดมุ่นขึ้นทันที “ถามว่าใคร?!”

“เสียงแข็งจังครับท่านรอง”
คำพูดนั้นดังขึ้นพร้อมกับช่อดอกไม้ใหญ่ช่อโตโผล่พรวดเข้ามาในกรอบประตู แล้วชายหนุ่มคนหนึ่งก็ก้าวออกมาเอาช่อดอกไม้นั่นบังตั้งแต่ส่วนใบหน้าไปจนถึงไหล่กว้างและช่วงอก

“ก็เล่นมาเงียบๆ นี่ครับ..” ณัฐวีร์เอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ “นี่จะซื้อมาให้สาวที่ไหนครับพี่แชร์”

“เปล่าเลย..” คนพูดลดดอกไม้ลงโดยระวังไม่ให้ยอดของมันไปเกี่ยวกรอบประตูหัก “อันนี้ของนัทแหละ..”

“เอ๋..ของนัทเหรอ?” เจ้าของช่อดอกไม้รีบกุลีกุจอลุกมารับดอกไม้ไปทันที “ช่อใหญ่มากเลยพี่ไม่น่าต้องเสียตังค์...”

“อ่านการ์ดด้วยนะ..” แชร์พยักพเยิดไปยังการ์ดที่ถูกผูกติดอยู่กับช่อทำให้ณัฐวีร์ต้องวางช่อดอกไม้ลงบนโต๊ะที่ว่างอยู่ ..ก็โต๊ะของมกรนั่นแหละ
ณัฐวีร์คลี่การ์ดมาอ่านแล้วถึงได้ยิ้มออกอีกรอบ..

“เอาล่ะ อ่านการ์ดแล้วคราวนี้ก็ไปทานข้าวกลางวันกับพี่ได้แล้ว อย่าอ่านนาน พี่หิว..”
ณัฐวีร์หันกลับมาย่นจมูกให้พร้อมกับเสียงหัวเราะ มือขาวปลดเอาการ์ดออกจากตัวช่อแล้วบอกขอตัวเรียกแม่บ้านมาเอาดอกไม้ไปจัดใส่แจกัน เขาเปิดลิ้นชักพร้อมกับหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาแล้วสอดการ์ดเข้าไว้ในนั้น

มื้ออาหารกลางวันเป็นร้านอาหารใกล้ตึกที่ทำงาน มีเมนูคู่รักซึ่งถูกจัดขึ้นเป็นพิเศษสำหรับวันแห่งความรักนี้ด้วย แต่เพราะมากันสองคน ผู้ชายทั้งคู่ สองหนุ่มจึงเลือกเอาอาหารง่ายๆไม่ใช่เมนูพิเศษนั้น

“เสียดาย อยากกินข้าวห่อไข่วาดหัวใจสองดวง” แชร์เอ่ยบอกขณะเก็บเงินทอนเข้ากระเป๋า

“พี่ก็สั่งกลับไปทานที่บ้านสิครับ” ณัฐวีร์หัวเราะเบาๆ “ขอบคุณนะครับพี่แชร์ วันนี้อร่อยมากเลย ดอกไม้ก็หอมมาก ขึ้นไปกลิ่นคงอวลเต็มห้อง”

“หวังว่าดอกไม้จะยังอยู่ถึงวันที่ไอ้แมนมันกลับมานะ มันจะได้เห็นว่าพี่น่ะทำคะแนนไปมากขนาดไหน”
คนฟังถึงกับหน้าแดงไปเลยทีเดียว “คะนงคะแนนอะไรกันครับ..พี่ก็พูดไปเรื่อย ไปทำงานกันดีกว่าครับ เจ้าของบริษัทมานั่งเล่นอยู่แบบนี้เดี๋ยวงานก็ไม่เดินหรอกครับ”

“บริษัทเล็กๆไหนเลยจะเทียบเท่ากลุ่มบริษัทของไอ้แมนมัน”

“โธ่ อย่าพูดแบบนั้นสิครับ...บริษัทตัวเองสร้างมากับมือ รายได้หลักร้อยล้าน ไม่ใช่ง่ายๆนะครับพี่แชร์”
ทั้งคู่เดินคุยเรื่องงานและเรื่องสัพเพเหระกันไปขณะกลับมายังออฟฟิศ และณัฐวีร์ยังเดินไปส่งแชร์ที่รถด้วย

“วันนี้ขอบคุณที่ไปทานข้าวกับพี่นะ”

“พี่แชร์นั่นแหละครับ อุตส่าห์ฝ่ารถติดมาถึงนี่..ขอบคุณนะครับ”
และโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว แชร์ก็ดึงเอาร่างเล็กกว่าเข้ามากอดไว้พร้อมกับลูบแผ่นหลังนั้นเบาๆ

“ผอมจังเรา อย่าลืมทานข้าวให้ตรงเวลาด้วย ไอ้แมนกลับมาเมื่อไหร่พี่จะด่ามันหนักๆโทษฐานให้น้องทำงานคนเดียว”
คนถูกกอดยิ้มแล้วค่อยๆถอยตัวออกมา “งานนี่ครับ ยังไงก็ต้องทำ รับรองน่านัทไม่ลืมทานข้าวแน่ๆ”

“อ้อ..เกือบลืม พี่ยังมีอีกอย่างให้นัท” แชร์ปล่อยมือออกจากร่างนั้นแล้วตรงไปเปิดประตูรถด้านข้างคนขับหยิบเอากล่องของขวัญกล่องหนึ่งออกมา “สุขสันต์วันวาเลนไทน์นะ”

ชายหนุ่มยื่นมือไปรับไว้ “ขอบคุณครับ ไม่น่าต้องลำบากเลย”

“ไม่หรอกน่านิดหน่อยเอง บริษัทพี่หลักร้อยล้านเลยนะ..” คนพูดหัวเราะอย่างอารมณ์ดีทำให้ณัฐวีร์พาลหัวเราะตามไปด้วย
คำลาถูกเอ่ยออกมา ณัฐวีร์ยืนส่งรถคันนั้นจนลับตาแล้วถือกล่องของขวัญขึ้นมายังห้องทำงาน ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก กลิ่นหอมจางๆของดอกไม้ก็อวลเข้าจมูก.. ดอกกุหลาบสีขาวช่อโตถูกจัดเข้าใส่แจกันแล้วแน่ๆ

ณัฐวีร์เดินฮัมเพลงกลับมาที่โต๊ะทำงาน เขาวางกล่องของขวัญลงบนโต๊ะที่กองเอกสารไว้เต็มไปหมดแล้วจึงปรายตามองกุหลาบขาวในแจกันสวยที่ถูกนำไปวางประดับไว้ที่มุมหนึ่งของห้อง ชายหนุ่มย่นจมูกใส่มัน แต่ยังคงฮัมเพลงในคอขณะที่มือขาวปลดเอาโบว์ของกล่องออก

เมื่อเปิดฝากล่องที่ได้มาจากพี่แชร์ ก็จะพบดอกกุหลาบสีชมพูอยู่ในนั้น หนึ่งดอกถ้วน ..เป็นอย่างนี้ทุกปี
การ์ดง่ายๆที่พี่แชร์เขียนด้วยลายมือตัวเองก็มักจะบอกว่า “จะรักและดูแลกันตลอดไป”

ณัฐวีร์ยิ้มให้กับมุกเดิมๆ ของผู้ชายคนนี้ เขาปิดฝากล่องแล้วบรรจงผูกโบว์ไว้แบบเดิม เอากล่องนั้นวางแอบไว้ข้างๆโต๊ะทำงานไม่ให้เอกสารหรืออะไรไปโดน เดี๋ยวตอนเย็นก็ค่อยเอากลับไปที่คอนโด
แล้วชายหนุ่มก็เปิดลิ้นชักเอาสมุดที่เสียบการ์ดไว้ออกมา ดึงการ์ดใบล่าสุดที่ได้รับมาเปิดอ่าน
การ์ดนั้นข้างในเป็นรูปถ่ายที่อัดมาแล้วนำมาแปะใส่การ์ด เพราะคนเขียนตัวจริงคงส่งลายมือจริงๆ มาไม่ได้..

“ทานข้าวทานยาพักผ่อนเยอะๆ แล้วเดี๋ยวกลับไปจะเอาช็อคโกแลตไปฝาก..แมน”

ลายมือประหลาดๆ ตวัดไปมาอ่านยากเพราะคนเขียนรีบร้อนและเอาแต่ใจ ทำให้ณัฐวีร์อมยิ้มและอ่านมันอยู่สองรอบก่อนจะพับเก็บใส่สมุดไว้
สมุดเล่มนั้นมักอยู่ในลิ้นชักนี้เสมอ.. เป็นสมุดที่ใครคนหนึ่งมอบให้พร้อมกับคำบอกที่ว่า “ช่วยรับมันไว้ด้วย.. เอาไว้เก็บทุกอย่างของพี่..แล้ววันหนึ่งพี่จะกลับมาถามนัทอีกที.. ว่านัทจะสามารถรับความรู้สึกทั้งหมดของพี่ไว้ได้หรือไม่”
และตั้งแต่นั้น ทุกอย่างก็ถูกรวบรวมไว้ในสมุดเล่มนี้..

ณัฐวีร์เก็บสมุดลงลิ้นชัก สูดลมหายใจเอากลิ่นกุหลาบเข้าไปลึกๆแล้วก็ลากเอางานมานั่งทำด้วยรอยยิ้ม..
ไว้นัทจะรอช็อคโกแลตหลังวาเลนไทน์นะครับ...พี่แมน









เลทวาเลนไทน์ไปนิดนึงเอง...

End.
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part : Late Valentine's Day (up 18.02.14)
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 18-02-2014 16:51:23
ลงตอนพิเศษช้า สมกับ Late Valentine's จริงๆ  :sad4: อย่าโกรธเค้าน๊าาา าาา

ไม่คืนนี้ก็พรุ่งนี้ จะลงให้อีก 2 ตอนนะคะ เดี๋ยวจะไม่ทันเวปของคนแต่ง #นำหน้าเราไปละ!!  :katai1:

ตอนพิเศษตอนนี้ ให้พี่แชร์ทำคะแนนแซงหน้าอิพี่แม้นศรีไปก่อนนะคะ 5555

รักคนอ่านนะค๊าบบบบ  :katai3:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part : Late Valentine's Day (up 18.02.14)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 18-02-2014 16:55:39
ทำไมเราไม่เคลียร์ 555555
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part : Late Valentine's Day (up 18.02.14)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 18-02-2014 17:33:35
ตอนพิเศษชวนพิศวงมากค่ะ o22
แบบจะเป็นรักเราสามคนไรงี้หรือเปล่าเนี่ย :katai1:
แต่ก็ดูหวานๆดีนะคะ  :o8:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part : Late Valentine's Day (up 18.02.14)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-02-2014 00:17:52
ตอนพิเศษชวนงง
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part : Late Valentine's Day (up 18.02.14)
เริ่มหัวข้อโดย: Fellina ที่ 19-02-2014 02:01:55
ชอบแชร์แต่เชียร์พี่แมน เอาดิ5555
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part : Late Valentine's Day (up 18.02.14)
เริ่มหัวข้อโดย: ๐๐ตะวัน๐๐ ที่ 19-02-2014 11:21:44
เราสับสนอ่ะ คืออะไรยังไง  :serius2:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 16 (up 19.02.14)
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 19-02-2014 13:54:14
ตอนที่ 16





ตัวเขาเปียกตั้งแต่ศีรษะยันง่ามเท้า..
ขอโทษเถอะ..ถ้าจะเล่นน้ำสงกรานต์กันขนาดนี้.. คนอย่างณัฐวีร์ก็หนาวเป็นนะเฟ้ย
เด็กหนุ่มบ่นพึมอยู่ในใจ ลมโชยมาพร้อมน้ำเย็นเจี้ยบสาดโครมเข้ามาอีกถัง คนอื่นมีถัง แต่เขามีขวดน้ำเจาะรู ไม่มีปืนฉีดกระบอกใหญ่ๆยิงได้ไกลๆอย่างใครเขา แถมพอจะปลีกไปเล่นน้ำกับสาวๆสักหน่อยก็โดนมือแข็งๆเอื้อมมาเหนี่ยว ตามมาด้วยเสียงเขียวๆ

“มึงจะไปไหน!”
เอ้า..ไอ้หมาบ้า.. มาเล่นน้ำสงกรานต์ เดินให้คนอื่นสาดอย่างไร้ศักดิ์ศรี มีอาวุธแค่ขวดน้ำเจาะรู แล้วนี่ยังไม่ให้ไปสู้กะคนอื่นอีก คือ กูพลาดมาเดินเที่ยวกะพวกมึงใช่ไหมเนี่ย

ณัฐวีร์กร่นด่าอยู่ในใจ แต่ใบหน้านั้นนิ่งเฉยและสุดท้ายก็ได้แต่เดินตามคนกลุ่มนั้นไปเงียบ
พวกเขามากัน 4 คน จึงแบ่งกันเดินเป็นสองคนสองแถว คนที่ไม่มาก็คือป้อด เพราะเจ้าของห้องขอพักอยู่ห้องด้วยอาการแฮ้งค์หนัก เล่นกินเหล้ากันมาสามวันติดๆแล้ว เพิ่งจะได้ออกมาเล่นสงกรานต์แบบจริงๆจังๆ ตั้งแต่บ่ายยันเย็นก็วันที่ 15 นี่เอง นอกนั้นก็กินเบียร์อยู่ห้องมั่ง ไปผับมั่งตามเรื่องตามราว กินดึก ตื่นบ่าย เย็นถอน แล้วมันก็เข้าวงจรเดิม จนเมื่อวานนี้เองที่แชร์บ่นหนักๆว่าอยากเล่นน้ำแล้ว พวกเขาจึงกินกันพอประมาณ เข้านอนแต่หัววัน คือประมาณตีสองตีสาม.. เพื่อสะสมพลังงานออกสู้รบกับชาวเชียงใหม่ในวันนี้

ตอนนี้พวกเขากำลังเดินอยู่ในบริเวณประตูท่าแพ ได้ข่าวว่ามีปาร์ตี้โฟมอยู่แถวนี้ด้วย สาวๆคงเยอะ ซึ่งความคิดนี้ก็ไม่ใช่จากใคร จากคุณมกรนั่นแหละ
ฝ่ายนั้นเดินอยู่ข้างขวาของณัฐวีร์ มีปืนฉีดน้ำกระบอกใหญ่ เล็งยิงสาวน้อยหุ่นดีที่เดินสวนทางกันมาเป็นระยะ แต่พอเขาจะหันไปเล่นกับใครมั่ง ก็ได้แต่ทำตาเขียวเข้าใส่ แบบนี้ความสนุกก็หายหมดกันพอดี
เด็กหนุ่มตัวเล็กๆแกรนๆ หน้าขาววอก และตายิบหยีไม่ได้เป็นที่สนใจของสาวที่ไหนอยู่แล้วยิ่งมาเดินกับไอ้ตัวสูง หล่อล่ำแบบนี้ก็ยิ่งถูกสะกดให้อยู่แค่เป็นเงาเท่านั้น จะดีหน่อยก็ตรงที่มีคนแวะเวียนมารดน้ำเย็นบ้างบางจังหวะ อย่างตอนนี้ที่มกรหันไปเล่นน้ำกับสาวๆ กลุ่มใหญ่ เรียกว่าโดนดึงตัวไปไกล ณัฐวีร์ก็เลยว่างเหลียวซ้ายแลขวาหาเหยื่อเล่นด้วย

“ก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ ครับก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ”
เสียงร้องห้าวๆ ดังมาแต่ไกล แล้วน้ำเย็นเจี๊ยบก็ราดลงมาบนตัวณัฐวีร์จนกายสะท้านจะหันไปบีบน้ำใส่ก็ไม่ทันแล้ว วิ่งไปโน่นแล้ว

“ฮ่าๆ ยังไงเนี่ยเราจะสู้เขาไหวเหรอ บอกให้ซื้อปืนก็ไม่เอา” แชร์ย้อนกลับมายืนหัวเราะอยู่ใกล้ๆ

“ไม่เอาล่ะครับ ผมไม่รู้จะเอาไปทำอะไรต่อ ซื้อมาก็ต้องทิ้ง เปลืองเงิน”

“ก็ทิ้งไว้นี่แหละ..ไว้เล่นปีหน้าด้วยกันอีกก็ได้”
ฟังประโยคนั้นแล้วณัฐวีร์ก็ได้แต่ยิ้มบางๆแล้วหันไปมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหมือนจะไม่แยแสใดๆในโลก

“พี่คิดว่าปีหน้าจะได้เจอผมอีกเหรอครับ..”
คนฟังถึงกับนิ่งไป แชร์แทบกัดลิ้นตัวเอง ทั้งที่ก็รู้อยู่ว่าเหตุการณ์ระหว่างกันมันคืออะไร ยังจะมีหน้าไปพูดแบบนั้นอีก
ชายหนุ่มยื่นมือเข้าไปจับข้อมืออีกฝ่ายไว้ “พี่..ขอโทษ ไม่น่าพนันกันด้วยเรื่องแบบนั้น”

ณัฐวีร์ส่ายหน้าทันที ดวงตาของเขามองไปทางอื่นริมฝีปากยังยิ้มบางๆ “ช่างเถอะพี่.. เดี๋ยวมันก็ผ่านไป.. เดี๋ยวผมก็ตื่น อีกแค่เดือนนิดๆ ผมก็ไม่ต้องมายุ่งกับพวกพี่อีกแล้ว”
จบประโยคนั้นณัฐวีร์บิดมือออกจากมืออีกฝ่าย เขายิ้มให้แชร์ ทำให้คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นตัวแข็งทื่อ.. เด็กนี่ไม่คิดจะต่อว่าเขาเลยด้วยซ้ำ ทั้งที่เขาเป็นคนเริ่มเรื่องเหล่านี้ขึ้นเอง พาความฉิบหายมาสู่เด็กคนนี้เอง ถึงจะไม่ได้ทำทารุณจิตใจเองกับมือ แต่ก็ถือว่ามีส่วนรู้เห็น

เขานั่นแหละที่ผิด..

“ไปเหอะพี่ ยืนเฉยๆหนาวโคตรเลย ไอ้ห่านั่นเอาก๊วยเตี๋ยวร้อนๆบ้านมันมาจากไหนนะ ..ว่าจะไปหามาสาดหมาบ้าแถวนี้บ้าง” ประโยคหลังนั้นคนพูดบ่นเบาๆแล้วหันเดินทันที

“เดี๋ยว ระวัง!!..” แชร์ร้องเรียกเพราะมีฝรั่งเมาตัวโตกำลังเซมา แต่เสียงอย่างเดียวก็รั้งไว้ไม่ทัน ณัฐวีร์ถูกชนเข้าจังๆ
เด็กหนุ่มร้องด้วยความตกใจ เขาไม่ได้เจ็บตัวเพราะฝรั่งคนนั้นค่อนข้างลงพุง ตัวจึงนิ่มใช้ได้ แต่เพราะโดนชนและมีน้ำอยู่บนถนน ทำให้เขาลื่นรองเท้าตัวเองเซแถ่ดๆเกือบจะล้มก้นจ้ำเบ้าอยู่แล้ว ก็พอดีที่มีแชร์ยื่นมือเข้ามารวบตัวเขาไว้ได้

“ขอบคุณพี่..” ณัฐวีร์บอกแล้วถอยตัวออกมา ทว่าอีกฝ่ายกลับจับต้นแขนเขาไว้มั่น

“พี่สัญญา.. จากนี้พี่จะดูแลนัทเอง จะไม่ยอมให้ไอ้แมนมันทำร้ายนัทอีก จะดูแลตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกัน และถ้ามีอะไร โทรหาพี่ได้เลย พี่รู้จักไอ้แมนดี พี่จัดการมันได้ ถ้าหนักหนาให้โทรหาพี่ เข้าใจใช่ไหม”
ณัฐวีร์มองอีกฝ่ายด้วงสายตาว่างเปล่าเหมือนเดิม เขายิ้มบางๆให้กับอีกฝ่ายแล้วจึงพูดว่า “ไปเล่นน้ำกันเหอะ”

“คุยอะไรกันอยู่วะ..” มกรคงหันมาเห็นจึงได้เดินมาหาและถามคำถามนั้นขึ้น ดวงตาคมปราดมองมือของเพื่อนบนต้นแขน แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ปล่อย

“น้องจะล้ม ไอ้หรั่งนั่นมันชน”
แชร์พยักหน้าไปยังฝรั่งขี้นกที่ยังเซเป๋ไปได้ไม่ไกล คือเดินไปสามถอยกลับมาสอง ก็เลยยังไปไหนไม่ไกลจริงๆ

“แล้วไอ้ปังตอล่ะ”

“ขอกลับไปนอน มันบอกแฮงค์”

“อืม..งั้นเราจะเอาไง” คนตัวโตยื่นปืนฉีดน้ำมาให้ณัฐวีร์ “มึงถือให้กูหน่อย”

เพราะปืนกระบอกใหญ่ทำให้แชร์ต้องลดมือที่จับต้นแขนณัฐวีร์ลง เด็กหนุ่มจะได้รับมาถือได้อย่างถนัด และเป็นจังหวะเดียวกับที่มกรก้าวแทรกกลางเดินคุยกับแชร์ไปด้วย
ส่วนณัฐวีร์ พอได้อาวุธเขาก็เริ่มเล่นน้ำอีกครั้ง.. คราวนี้ล่ะมึ้ง!

“จะกลับหรือจะยังไงล่ะไอ้แมน จะได้โทรเรียกรถ คงอยู่ไม่ไกลหรอกมั้ง”

“ไอ้ปังตอไม่ได้เอารถกลับเหรอ”

“เออว่ะ มันคงเรียกรถพากลับ หรือพวกเราจะเล่นน้ำกันอยู่แถวนี้ก่อน”

“หิวไหม..?”

“กูไม่หิวนะ”

“ไม่ได้ถามมึง..ว่าไง หิวไหม?”
ณัฐวีร์เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย คนถามไม่ได้มองมาทางเขา สายตาทอดมองไปยังพื้นที่ด้านหน้า.. ถ้าจะถามกันแบบนี้ ไม่ต้องถามก็ได้มั้ง ..แต่ถ้าเขาไม่ตอบก็อาจเป็นเรื่องอีก

“เฉยๆ ครับ”

“แต่กูหิว.. ไปกินข้าวกัน”
ณัฐวีร์ทอดสายตามองไปด้านหน้าด้วยความรู้สึกว่างเปล่า.. ก็ถ้าไม่คิดจะฟังคำตอบ ..แล้วจะถามทำไม
ทว่า ไหล่ข้างหนึ่งที่หนักอึ้ง ดึงเขากลับมาสนใจคนข้างๆอีกครั้ง มือร้อนที่วางลงบนไหล่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย อากาศเย็นหลังฝนตกรวมกับน้ำเย็นที่โดนราดลงมา มือนั้นจึงช่วยทำให้อุ่นขึ้นตอนที่อีกฝ่ายดึงเขาให้ไปเดินเบียดกันบนถนนที่คนพลุกพล่านสายนี้



***




หลังจากมื้ออาหาร พวกเขาก็ออกจากร้านแล้วตกลงกันว่าจะไปปาร์ตี้โฟมด้วยกัน..
จริงๆณัฐวีร์ไม่อยากไปต่อแล้วเพราะเขารู้สึกไม่สนุก การที่มากันน้อยแถมยังไม่ได้รับความสนใจจากสาวๆอีก ก็เลยยิ่งรู้สึกแตกต่าง สองคนที่เขามาด้วยนั่นเดินไปไหนก็มีแต่คนฉีดน้ำใส่ มีสาวยิ้มให้ด้วยเพราะทั้งสองคนหน้าตาดี และสูงกว่าเขามาก
ส่วนเขานั้น แรกๆที่เดินอยู่ริมนอกโดยมีมกรขั้นกลางไว้ก็พอจะมีคนมาเล่นน้ำด้วยบ้าง แต่พอโดนย้ายที่ให้มาเดินตรงกลาง มีขวาเป็นมกร ซ้ายเป็นแชร์.. โลกก็มืดไป.. ไม่มีอะไรให้สนุกสนานอีกแล้วสงกรานต์ปีนี้

“เฮ้ยคนเยอะว่ะ”
พอเดินมาจนถึงคลังยาท่าแพพวกเขาก็เห็นคนแน่นขนัดตรงที่มีเครื่องทำโฟมไหลฟองฟอดสีขาวออกมา

“โฟมน้อยว่ะ..”

“นั่นดิ..”

“สู้ที่ฮาร์ดร็อคไม่ได้”

“เชี่ย อันนั้นมันเสียเงิน มึงจะเอาไปเทียบกันทำไม”

“งั้นตรงเซ็นทรัลเวิล์ดก็ยังเยอะกว่า ฟรีเหมือนกัน”
ผู้ชายตัวโตสองคนยืนบ่นว่าไม่ฟิน แต่กับณัฐวีร์นั้นเจ้าตัวตื่นตาตื่นใจมาก และอยากกระโจนเข้าไปเล่นเดี๋ยวนี้เลย

“ไปเหอะ..กลับไปกินเหล้าดีกว่า”

“ห๊ะ!” ณัฐวีร์ร้องอย่างเสียดาย อุตส่าห์มาถึงที่เขาก็อยากเล่นสักนิดก็ยังดี ใครจะบ่นไม่ฟินก็ช่างแต่อยากเล่นอ่ะ

“ทำไม?..อยากเข้าไปเล่นหรือไง?”

“ก็มาแล้ว ไม่เล่นกันเหรอครับ”

“จะฝ่าคนเข้าไปได้ไหมล่ะ..”

“ผมเล่นแค่ข้างนอกนี่ก็ได้ แค่แตะๆสักสิบนาที” เด็กหนุ่มใช้มือชี้วงนอกที่มีโฟมลอยออกมานิดหน่อย

“ไม่เอา..เดี๋ยวกลับจากนี่แล้วพาไปเล่นที่ฮาร์ดร็อค..”
ณัฐวีร์ลดมือลงทันที..ถ้าพูดแบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องคุยกันอีก เขาไม่ได้ขอให้ลงไปเล่นด้วยกัน และก็ไม่ได้บอกว่าจะลุยเข้าไปเล่นไกล กำหนดเวลาเลิกเล่นให้แล้วด้วย ทำไมยังต้องห้ามล่ะ..
อ้อ.. ช่วงสามเดือนนี้ชีวิตไม่ใช่ของเขาสินะ..

“ไอ้แมน น้องมันจะเล่นก็ให้มันเล่นนิดหน่อยเป็นไรวะ..ยังไงเราก็ต้องรอรถมารับอยู่ดี”

“ก็ฟองมันน้อย แล้วมึงดูคนอย่างเยอะเล่นไปก็ไม่สนุก”

“น้องคงอยากลอง..เอาน่า นัทไปเลย” แชร์เป็นคนดันหลังให้ไป

“ไอ้แชร์ มึงให้ท้ายมันเหรอ อยากไปเล่นกับมันหรือไง”

“เปล่า เดี๋ยวกูอยู่กับมึงตรงนี้แหละ สิบนาทีเต็มที่เลยนัท” ชายหนุ่มพยักหน้าให้คนที่ยังลังเลไม่ก้าวไป แต่พอเห็นมกรเม้มปากแน่นยกมือกอดอกเมินหน้าเชิดเริ่ดคางยื่นจมูกยาวไปอีกด้านหนึ่ง ณัฐวีร์ก็ยิ้มกว้างวิ่งไปทันที

คนไม่เคยเล่น อยากลองแตะๆ ดูสักหน่อยจะมาทำเป็นหงุดหงิดทำไมก็ไม่รู้
เสียงเพลงจากบูธดีเจดังกระหึ่ม สาวๆกรี้ดลั่นเมื่อฟองระลอกใหม่พ่นออกมาจากปล่องผลิต เด็กๆ ที่ไปยืนรออยู่ใต้โฟมนั้นปล่อยให้โฟมท่วมหัวท่วมหูแล้วตีมือให้มันลอยฟ่องไปทั่ว ณัฐวีร์เองแม้จะอยู่รอบนอกแต่ก็มีติ่งโฟมลอยออกมาก้อนใหญ่พอควร ขาก็เหยียบถูกฟองที่เรี่ยราดอยู่กับพื้น อย่างสนุกสนานอยู่คนเดียว

“เจอกันอีกแล้วนะครับ..นัท”
เสียงเอ่ยทักทำให้เด็กหนุ่มหันขวับไปทันที

“พี่..มังกี้”
ผมเปียกลู่โนแว๊กซ์แบบนี้แทบจำเค้าความหล่อไม่ได้เลย

“ชื่อโมครับน้อง.. แหม เปลี่ยนชื่อให้พี่แบบนี้ติดใจอะไรพี่ครับ”
ณัฐวีร์หัวเราะเบาๆ ไม่ยอมบอกว่าการตั้งชื่อให้ไม่ใช่เพราะติดใจหรอก บางทีคนเราเวลาเจอตัวอะไรอยู่ข้างทางก็ตั้งชื่อให้ไปทั่วได้นะ

“มาคนเดียวเหรอ..”

“เปล่าครับ มากับเพื่อน..แต่พวกนั้นเขาไม่อยากเล่นเลยยืนรออยู่ตรงโน้น” เด็กหนุ่มชี้มือไปด้านหลังพร้อมกับเหลือบมาตรงจุดเดิมที่เขาจากมา

แชร์เป็นคนที่ยืนกอดอกทำหน้าเครียดมองตรงมาทางนี้ ส่วนอีกคน กำลังคุยกับสาวหน้าคุ้นตาอยู่ตรงนั้น พอเห็นภาพแบบนั้นณัฐวีร์ก็เลยได้แต่ขมวดคิ้วหมับ..เออ เนอะ น่าหงุดหงิดไหมล่ะ คนหล่อนี่มันดึงดูดสาวๆง่ายจริง
แต่..ใครหว่า..? ณัฐวีร์รู้สึกคุ้นหน้าสาวเจ้าเหลือเกิน จึงจ้องมอง แต่พอนึกไม่ออกก็ยักไหล่แล้วหันกลับมาเล่นโฟมที่อยากเล่นต่อ ความหงุดหงิดที่ยังติดอยู่ในใจ เอามันมาโยนใส่ในมือที่ไล่ตีโฟมนี่ล่ะวะ
ขณะที่คนข้างๆกันพึมพำออกมา “แกว..มันไปทำอะไรตรงนั้นล่ะนั่น..”
คนฟังถึงกับหันไปมองหน้าทันที

“อ๋อ น้องสาวพี่น่ะ นั่นยืนอยู่กับเพื่อนนัทหรือเปล่า”
คนถูกถามพยักหน้าตอบ..เขาจำได้แล้วว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นใคร เธอคือแกลที่เจอที่มังกี้ผับนั่นเอง วันนั้นก็เป็นวันที่เขาเจอพี่มังกี้..เอ่อ พี่โมครั้งแรกเหมือนกัน

พอหันไปมองอีกหนถึงได้เห็นว่าแชร์กวักมือเรียกให้กลับได้แล้ว และทำไม้ทำมือเหมือนจะถึงเวลา 10 นาทีที่ขอไว้แล้ว ทำให้ณัฐวีร์ตีโฟมที่ลอยอยู่เหนือหัวจนแตกอย่างหงุดหงิด ก่อนจะหันเดินกลับไปหาคนกลุ่มนั้นอย่างหมดสนุกสุดๆ
เขาไม่รู้ว่าพี่โมจะตามมาหรือไม่ รู้แต่ตอนนี้เขามายืนหน้าบูดอยู่ข้างพี่แชร์ เรียกว่าอยู่ให้ห่างสองคนหนุ่มสาวนั่นให้มากที่สุดแล้วกัน

“พี่โม มาทำไรเนี่ย” หญิงสาวร้องทักเมื่อพี่ชายเดินเข้ามาใกล้ในระยะสายตาที่เธอจะสามารถให้ความสนใจได้

“มาด้วยกันทำเป็นถาม... ว่าแต่เราเถอะจะไม่แนะนำหน่อยหรือไง” ชายหนุ่มบุ้ยใบ้ไปทางมกร คนที่น้องตนเองกำลังยืนคุยอย่างออกรส

“พี่แมนคะ นี่พี่ชายแกลค่ะ ชื่อพี่โม”
มกรก็ยังคงเป็นมกร เขายืนกอดอก ยิ้มให้น้อยๆ ดวงตาคมคู่นั้นเหลือบมองมาทางณัฐวีร์แล้วเสกลับไปหาหญิงสาวเหมือนเดิม
ท่าทางหยิ่งแบบนั้นทำให้คนมองรู้สึกขึ้นมาเล็กน้อยเหมือนกัน แต่เพราะยังอยู่ต่อหน้าณัฐวีร์ เขาถึงยังสามารถวางท่าอยู่ได้

“พี่โม นี่คนที่เจอกันที่มังกี้ไง ที่แกลเล่าให้ฟังน่ะ.. แกลชวนพี่แมนไปดื่มกันตรงร้านเราด้วย ..กำลังจะไปกันพอดี พี่โมจะไปร้านเลยไหม”

“ก็ไปได้” ชายหนุ่มเองก็คงดีดลูกคิดแล้วว่าถ้าไอ้ตัวสูงนี่ไป คนที่ยืนอยู่ตรงนี้ทั้งหมดก็ต้องไปด้วย

“งั้นไปกันเถอะค่ะ” หญิงสาวหันมาพยักหน้ายิ้มให้ แล้วพี่น้องก็ออกเดินก้าวนำก่อน มือของหญิงสาวยื่นมารอคล้ายกับจะขอจับมือของมกร แต่อีกฝ่ายยังไม่ละมือออกจากการกอดอก ทำให้เธอรีบดึงมือกลับไปทันที ไม่รอให้พี่ชายหันมาเห็น
ชายหนุ่มหงุดหงิดคนทั้งโลก..!

ให้มันได้อย่างนี้สิ ผู้หญิงที่คาดว่าจะสามารถทำให้เขารู้สึกสนุกขึ้นมาได้บ้าง ดันเกี่ยวเนื่องเป็นน้องไอ้ตัวที่ทำให้เขาหมดสนุกไปได้เยอะ..เซ็งจริงๆ

มกรรอให้แชร์และณัฐวีร์เดินนำขึ้นไปก่อน ตัวเขาปิดท้าย ครั้นพอเดินกันไปได้เพียงครู่ชายหนุ่มก็คลายมือจากการกอดอกไปกระชากแขนเล็กของคนที่อยู่ด้านหน้าให้หันกลับมา แล้วขบฟันแน่นอย่างโกรธจัด

“กูเห็นนะว่ามึงทำอะไร.. กูบอกให้กลับไม่รีบกลับ อยากจะอยู่อ่อยผู้ชาย จะไปเล่นโฟม! เหอะ แล้วไง..ผู้ชายเดินตามตูดกลับมา สะใจล่ะสิ.. กลับไปเมื่อไหร่มึงโดนดีแน่”
ณัฐวีร์ขมวดคิ้วอย่างเบื่อหน่าย เขาพยายามรั้งแขนตัวเองออกเพราะไม่อยากจะตอบโต้อะไรด้วยวาจา ทว่าก็เหมือนอีกฝ่ายจะหงุดหงิดไม่แพ้กัน ถึงไม่ยอมปล่อยมือจากแขนเขาง่ายๆ

“พี่เองก็มีคนอื่นมายืนคุยด้วยไม่ใช่หรือไง..ถ้าผมไม่อยู่ตอนนี้ก็คงไปไหนๆกันแล้ว”

“ไอ้นัท!” เสียงตวัดอย่างโกรธเกรี้ยวมาพร้อมกับแรงมือที่หนักข้อขึ้น

“เฮ่ยๆ พวกมึง.. จะทำอะไรก็เกรงใจสายตาคนเขาหน่อย” แชร์เป็นคนร้องเตือนสติ ทำให้เมื่อทั้งคู่ละสายตาจากกันมองไปทางข้างหน้า จึงได้เห็นว่าสองพี่น้องก็หันกลับมามองพวกเขาเป็นตาเดียวอย่างที่แชร์ร้องเตือน







****
TBC
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part : Late Valentine's Day (up 18.02.14)
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 19-02-2014 13:55:37
ไม่ต้อง งง กับตอน Late Valentine's นะคะ เพราะเราก็ งง เหมือนกัน 555555 #ไปถามคนแต่งเอาน๊าาา าา #อินี่หนีตล๊อด

ใครแอบไปอ่านตอนใหม่แล้วบ้าง ในเพจลงล่วงหน้าเล้าไปละ T0T 

แม้นศรีก็ยังคงเป็นแม้นศรีนะคะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 16 (up 19.02.14)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 19-02-2014 17:45:25
วุ้ยอินังพี่แมน เดี๋ยวก็มาเป็นแม่ยกพี่แชร์ซะหรอก เชอะะะะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 16 (up 19.02.14)
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 19-02-2014 18:53:38
ถ้าชีวิตจริงนะ

นัทเล่นชู้กะพี่เเชร์ไปเเล้วววว

 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 16 (up 19.02.14)
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 19-02-2014 19:46:00
อยากให้อิพี่แมนสยบแทบเท้านัทจังเลย ณ จุดนี้หมั่นไส้อิพี่แมนมากกกก :fire:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 16 (up 19.02.14)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-02-2014 20:28:42
 :เฮ้อ: เมื่อไรจะหลุดพ้นกลุ่มนี้แล้วหายหน้าไปนานๆเลยนัท สงสารอะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 16 (up 19.02.14)
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 19-02-2014 22:41:47
ต้องคอยลองรับอารมณ์แบบนี้กว่าจะครบกำหนดไมเกรนขึ้นกันพอดี
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 16 (up 19.02.14)
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 03-03-2014 09:22:34
ตอนที่ 17





ร้านที่ถูกพามานั่งเป็นร้านอาหารที่มีโต๊ะไม้วางอยู่ในบริเวณพื้นที่กว้าง มีลูกค้านั่งอยู่เกือบเต็ม ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นที่เข้ามาพักรบ ทานอาหารก่อนออกไปเล่นน้ำช่วงเย็นต่อ
สำหรับเจ้าของร้านและเพื่อนฝูง มียกพื้นเป็นชั้นลอยขึ้นไปหนึ่งชั้น สามารถเดินขึ้นไปได้เลยโดยผ่านป้ายห้ามขึ้นก่อนได้รับอนุญาตไป
บนนั้น มีกลุ่มเพื่อนของเจ้าของร้านนั่งกินดื่มกันอยู่แล้วพอพี่น้องขึ้นไปถึงเสียงทักจากเพื่อนก็ดังขึ้น
“อะไรวะ ออกไปเดินเล่นแป๊บเดียว ได้พรรคพวกเพิ่มมาอีกแล้วเรอะ” เสียงหัวเราะดังขึ้นเหมือนเป็นการตอบรับคนเมาที่ร้องถามด้วยความหวงเหล้า
ตรงนั้นมีคนอยู่เกือบสิบคนได้ มีทั้งผู้หญิงและผู้ชายล้อมวงอาหาร บ้างก็ตัวเปียกน้ำหยดติ๋งๆ แต่บางคนก็ตัวแห้ง
“เงียบๆไปเลยพวกมึง..” โมจัดโต๊ะแยกให้ และหันไปพูดโดยตรงกับณัฐวีร์เท่านั้น “นั่งโต๊ะนี้ก็ได้ครับ”
ทั้งหมดทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ไม้มีพนัก ก่อนจะมองเจ้าของร้านสั่งอาหารและเหล้าเบียร์มาให้อย่างไม่หวงของ
ร้านนี้เป็นร้านอาหารพื้นเมืองที่ขายอาหารตามสั่งและสุราด้วยในตัว ส่วนใหญ่ขายอาหารกลางวัน และขายเบียร์กลางคืน ประมาณสักห้าทุ่มเที่ยงคืนถึงจะปิดร้าน แล้วมาเปิดอีกทีตอน 11 โมงเช้า สองคนพี่น้องไม่ได้บริหารร้านเอง แต่เป็นพ่อแม่ที่คอยดูแลให้
แต่จะเรียกว่าไม่ช่วยงานเลยก็ไม่ใช่ เพราะมีสองคนพี่น้องนี้แหละ ร้านถึงมีลูกค้าเป็นวัยรุ่นเข้าๆออกๆร้านแบบหัวกระไดไม่เคยแห้ง
เนื่องจากเป็นอาหารพื้นเมือง ร้านอาหารจึงเป็นแบบเปิดโล่งสบาย แต่หากมีใครต้องการแอร์เย็นๆ ด้านในที่ชั้นหนึ่งก็จะมีห้องแอร์ด้วย แค่จุคนได้ไม่มากนักเท่านั้น
“ดื่มน้ำให้หายเหนื่อยกันก่อนนะ อาหารคงต้องรอสักครู่เดี๋ยวก็จะตามมาค่ะ” แกวเป็นคนเอ่ยปากขึ้นก่อน เธอนั่งอยู่ข้างมกรและรินเบียร์วุ้นให้ชายหนุ่มอย่างชำนาญ
ด้วยความที่ตำแหน่งนั่งของหญิงสาวอยู่ในทิศตะวันตัก เลยต้องตักน้ำท่าแจกทุกคน เธอนั่งข้างมกร ขณะที่ฝั่งตรงข้ามคือแชร์ที่นั่งคู่ณัฐวีร์ และถัดจากณัฐวีร์ไปก็คือโม
“นัทล่ะ อยากดื่มเบียร์หรือน้ำอะไรดี”
“ไม่เอาครับ..” เด็กหนุ่มรีบส่ายหัวทันที “ผมขอแค่โค้กก็พอแล้ว ไม่อยากดื่มเบียร์”
“ได้เลย โค้กแก้ว เบียร์ให้พี่แก้วนะมันแกว”
“ว้าย! พี่โม เรียกแกลก็พอ ไม่เอามันแกว”
“ชื่อพ่อชื่อแม่ตั้งให้ ทำเป็นรังเกียจ..” พี่ชายล้อน้องสาวอย่างสนุก “นัทดูมันนะ พ่อตั้งชื่อมันว่ามันแกว จะได้คล้องกับพี่ที่ชื่อแตงโม แต่มันดันไม่ชอบ.. พอมาชอบเป็นนางแบบถ่ายรูปมันเลยเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็นแกลอรี่ซะเลยน่าหมั่นไส้”
ณัฐวีร์ฟังแล้วก็หัวเราะตาม งั้นที่เขาฟังก็ไม่ผิดสิ คืนนั้นหญิงสาวออกสำเนียงเน้นคำมากเขาก็ยังว่าทำไมต้องเน้นขนาดนั้นที่แท้มีปมอยู่ในใจนี่เอง
แต่เธอก็น่ารักสมกับการชอบเป็นนางแบบถูกถ่ายรูปล่ะนะ
“เดี๋ยวผมขอเข้าห้องน้ำหน่อยนะครับ เล่นโฟมเมื่อกี้ยังไม่ได้ล้างมือดีๆเลย”
“ห้องน้ำอยู่ข้างในเดี๋ยวพี่พาไป” เจ้าของร้านที่นั่งอยู่ข้างกันรีบขันอาสา
“ไปด้วย..” แชร์เป็นคนเอ่ย แต่มกรน่ะลุกไปแล้ว “มึงจะไปด้วยเหรอแมน”
ร่างสูงที่ก้าวพ้นเก้าอี้หันมาพยักหน้าให้เพื่อน ดวงตานั้นหลุบลงต่ำเหลือบมองณัฐวีร์อย่างคาดโทษ แต่เด็กหนุ่มกลับไม่ทันได้เห็นสีหน้าและสายตาคู่นั้น เพราะกำลังถูกฝ่ายเจ้าบ้านชวนคุยไปตลอดทางที่นำเข้าไปด้านในร้าน
ประตูกระจกเลื่อนเปิดออกทำให้ไอเย็นพัดพุ่งเข้าหาร่างที่ต่างก็เปียกปอน คนตัวโตๆคงไม่เป็นไร แต่กับคนตัวผอมๆแกรนๆอย่างณัฐวีร์ก็คงมีผลกระทบทันที
“ฮัดชิ้ว!”
เด็กหนุ่มจามฟุดฟิดอยู่สองสามครั้ง ทำให้ทั้งคนที่เดินนำและเดินตามต่างมองณัฐวีร์เป็นตาเดียว
“ไหวไหม?” แชร์เอ่ยถาม มองปลายจมูกแดงๆนั่นแล้วพลันนึกไปว่าแค่จามนิดหน่อยก็หน้าแดงไปหมดแล้ว แบบนี้ถ้าทำให้เขินคงแดงไปทั้งตัว
แต่แล้วชายหนุ่มก็ส่ายหน้าหวือ.. เพราะดันไปคิดถึงภาพตอนที่อีกฝ่ายเปลี่ยนเสื้อขึ้นมา..
เป็นเอามากแหะไอ้แชร์..
“ไหวพี่ เดี๋ยวเข้าห้องน้ำเสร็จออกไปอยู่อากาศข้างนอกก็สบาย” ณัฐวีร์หันมายิ้มให้ ยังรู้สึกถึงหยดน้ำที่ไหลจากศีรษะหยดลงข้างแก้มอยู่เลย
“เปลี่ยนเสื้อหน่อยไหม เอาเสื้อพี่ไปก่อนก็ได้” โมเอ่ยขึ้นบ้าง “แต่เสื้อตัวเล็กของพี่ส่วนใหญ่จะเป็นเสื้อเชิ้ตนะ..เอางี้ เดินตรงไปนี่ก็ห้องน้ำแล้ว เข้าไปกันก่อนเลย เดี๋ยวพี่ไปหยิบเสื้อในออฟฟิศมาให้”
“เดี๋ยวครับ..ไม่รบกวนดีกว่าพี่”
“อย่าคิดมากๆ” เสียงนั้นห่างออกไปเพราะเจ้าตัวแล่นไปหยิบของไม่ฟังใครเสียแล้ว
จะเหลือก็แค่สามคนที่ยืนอยู่ด้วยกันตรงนั้น มกรอาจจะเป็นพวกไม่ใส่ใจอะไรเลยนอกจากตัวเอง..ทว่าพอมาถึงเวลานี้เขากลับวางเฉยไม่ใส่ใจไม่ได้อีกต่อไป
ความรู้สึกข้างในที่ระอุร้อนนี้คืออะไร? เขาหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้.. และตอนนี้ก็ยังไม่ใช่เวลาหาคำตอบด้วย!
ตั้งแต่ตรงปาร์ตี้โฟม เขาเห็นณัฐวีร์ยืนเล่นโฟมอยู่ลำพังก็ไม่อยากจะสนใจหรอก แต่ดวงตากลับไม่สามารถละออกจากเด็กหนุ่มนั่นได้ โตขนาดนั้นยังชอบเล่นอะไรเป็นเด็กๆไปได้ เขาคิดแล้วเกือบจะยิ้มออกมา ทว่าเมื่อแกลเข้ามาทัก ละสายตาไปชั่วไม่ถึงห้าวินาที หันกลับไปอีกทีไอ้เด็กเวรก็เข้าไปคุยกับใครอีกแล้ว มันเหมือนจะคุยกันอย่างสนุกเสียด้วย
เขาแทบไม่ได้ฟังที่หญิงสาวเอ่ยคุยและชวนเลยด้วยซ้ำ พยักหน้ารับไปเรื่อย ประมาณถ้าถูกถามว่ามียา หรือเคยฆ่าคนไหมก็พยักรับไปนั่นแหละ
ความโมโหทำให้เขายืนกอดอกกำหมัดแน่น ยิ่งมารู้ว่าสองคนนี้เป็นพี่น้องกัน และต้องพาเอาทุกคนมาที่ร้านเพราะไอ้อาการพยักหน้าหงึกหงักไปเรื่อยของเขานั่น ทำให้เขายิ่งโมโหมากขึ้น
แล้วดูสายตามัน..เด็กนั่นมันเหมือนจะอยากท้าทายเขา .. มันหันไปยิ้มให้ไอ้ตัวพี่ คุยเล่นกัน..แล้วก็นั่งข้างกัน..นี่เพราะเขาทำได้มันก็เลยทำมั่งแบบนั้นสินะ
มันไม่รู้ชะตากรรมตัวเองเสียแล้ว!
นี่พอมาถึงร้านมันยังจะไปรับเสื้อมาใส่อีก แบบนี้ก็ไม่ต้องเสวนากันล่ะ
“กลับ!” เสียงประกาศกร้าวดังขึ้น มือใหญ่คว้าเข้าที่ข้อมือของณัฐวีร์แล้วดึงจนเป็นกระชากให้เดินตาม
“พี่แมน..” เด็กหนุ่มร้องประท้วง แต่อีกฝ่ายกลับหันมาขมึงตากร้าวจนเขาต้องปิดปากเงียบไปเอง มือที่ถูกจับกระชากเจ็บจนร้าวทำให้ต้องเดินตามออกมา
ก็คนที่ตอบตกลงว่าจะมามันคือพี่แมนเอง แล้วทำไมต้องมาโกรธกันด้วยล่ะ หรือเพราะเขาตามมาก็เลยโกรธ เด็กหนุ่มคิดอย่างไม่เข้าใจ เขาเหลียวไปมองแชร์ที่เดินตามมา..ฝ่ายนั้นเดินตามมาเงียบๆ และเหมือนจะหน้าตึงๆเหมือนกัน คือพูดง่ายๆว่าเห็นดีเห็นงามที่จะรีบออกจากร้านนี้เช่นกัน
เฮ้อ..จะไปหวังอะไรกับคนที่เขาเป็นเพื่อนกัน.. บอกจะช่วยดูแล นี่ก็เจ็บจะแย่ทำไมไม่เห็นห้ามเพื่อนเลยล่ะ
ณัฐวีร์หันกลับมามองทาง พวกเขากำลังจะพ้นประตูกระจกออกไปอยู่แล้ว ตอนที่โมกลับเข้ามาพอดี
“อ้าว นั่นจะไปไหนกันน่ะ”
ทั้งสามคนต่างเงียบ มีเพียงสายตาของมกรที่มองมาหาแชร์ให้เป็นคนจัดการเสีย ในขณะที่ชายหนุ่มลากเอาณัฐวีร์ออกไปจนได้
ข้างในจะอธิบายอย่างไรกันก็สุดจะเดา ณัฐวีร์ถูกลากผ่านโต๊ะที่ตัวเองนั่ง แม้ว่าแกลจะร้องถามแต่คนลากก็ยังนิ่งไม่ตอบความ เพียงครู่เดียวพวกเขาก็มายืนรออยู่ที่หน้าร้าน โดยที่แชร์ โม และแกลเดินตามกันออกมา
“ขอบคุณมากนะครับ..” แชร์เป็นคนเอ่ยขึ้น “น้องไม่สบายเลยต้องรีบพากลับ เดี๋ยวจะอาการแย่ไปกันใหญ่”
“ให้ผมไปส่งดีกว่า” โมยังพยายาม
“ไม่เป็นไร ผมมีรถที่จ้างไว้ นี่โทรเรียกแล้วล่ะ”
พี่น้องทั้งคู่ต่างมองไปมาอย่างไม่เข้าใจ สุดท้ายเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจะผละจากไปจริงๆ โมก็เลยพูดขึ้น “นัทดูแลตัวเองดีๆนะ มีอะไรก็โทรหาพี่ได้ นี่นามบัตรพี่ แล้วก็นี่เสื้อ คลุมตัวไปสักหน่อยจะได้ไม่โดนลม”
ฝ่ายนั้นยื่นเอาเสื้อเชิ้ตสีฟ้าเรียบๆพร้อมนามบัตรมาให้ ทว่าแรงบีบที่ข้อมือของณัฐวีร์ทำให้เด็กหนุ่มไม่กล้ายื่นมือไปรับ เขาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือที่บีบแขนจนเขาเจ็บ แล้วก็ได้แต่ก้มหน้าลงอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี
เมื่อเห็นสุญญากาศเกิดขึ้น แชร์จึงยื่นมือไปรับมาเสียเอง “ขอบคุณแทนน้องด้วยนะครับ พวกผมขอตัวก่อนล่ะ”
แล้วมกรก็ลากเอาร่างของณัฐวีร์ออกมา พร้อมทั้งแชร์ที่เดินตาม ทุกอย่างเกือบจะไปได้ด้วยดี แต่เสียงที่ไล่หลังมาก็ทำให้พังทลายลงอย่างไม่เป็นท่า
“ถ้ามีแล้วดูแลไม่ได้ ให้ผมดูแลให้ไหมครับ..”
เสียงความอดทนที่ขาดผึงดังลั่นโสตประสาท มือใหญ่นั่นปล่อยข้อมือเล็กออกแล้วโผนไปหาคนพูดทั้งตัวชนิดที่แชร์ก็รั้งไว้ไม่ทัน
“พี่แมน!” เสียงร้องเรียกอย่างตกใจของณัฐวีร์ ดังประสานไปกับเสียงกรีดร้องของแกล
กำปั้นหนักที่ง้างไปถูกบล็อกไว้ได้ด้วยแขนของอีกฝ่าย ซึ่งทางนั้นเองก็คงตั้งรับไว้เหมือนกันจึงส่งหมัดกลับมากระทบเข้าที่โหนกแก้มจังๆจนเซถลา
แชร์พยายามเข้าไปห้ามมกร แต่ดูเหมือนจะเลือดเข้าตาและเจ็บใจที่โดนหมัดไปก่อนทั้งที่เป็นคนเปิดเอง ชายหนุ่มสะบัดเพื่อนพร้อมกับถลาเข้าหาอีกครั้ง คราวนี้เขาตั้งหลักมั่นแล้วเตรียมพร้อมเต็มที่ เมื่อครู่ประมาทไปนิด
แลกหมัดกันไปคนละตุ้บสองตุ้บสายตาก็พลันเห็นว่าเพื่อนของฝั่งนั้นลงมาจากชั้นลอยยืนเป็นแบ็คเต็มพื้นที่ ทว่า ก็ไม่ได้จะทำให้มกรหยุดชะงักเพราะความเกรงกลัวเจ้าถิ่นแต่อย่างใด ตรงกันข้าม เขากลับยิ่งบ้าดีเดือดหนักขึ้น
อาศัยว่าตัวสูงช่วงยาวกว่า มกรจึงยกเท้าขึ้นทั้งเตะและถีบอีกฝ่ายจนล้มลุกคลุกคลานไปเหมือนกัน
วัดพื้นกันไปคนละครั้งสองครั้ง แต่ก็ยังไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำ จนเมื่อมกรเตะตัดขาอีกฝ่ายให้เข่าทรุด แล้วใช้จังหวะนั้นโผตัวขึ้นคร่อมง้างหมัดชกลงบนใบหน้าที่เริ่มจะมีเลือดอาบ
“เฮ้ย! พอแล้วไอ้แมน!” พอทางนี้ขยับเข้าไปรั้งตัวเพื่อน ทางโน้นก็กรูกันเข้ามากันเพื่อนตัวเองเช่นกัน
ถือว่าใจนักเลงพอกันใช้ได้ ไม่หมาหมู่แบบนี้ค่อยต่อยกันสนุกหน่อย
“ของๆกู.. ถ้ากูไม่ให้ใครก็แตะไม่ได้!” มกรถ่มน้ำลายผสมเลือดทิ้งลงพื้นพร้อมกับประกาศก้อง
“ถ้าเป็นของมึงจริงก็ดูแลเขาหน่อย เขาไม่ใช่สิ่งของที่มึงจะเที่ยวทิ้งขว้างนะ กูเห็นตั้งแต่ที่มังกี้แล้ว มึงอยู่กับน้องกูแล้วปล่อยให้เขาออกมานั่งตากยุงอยู่ข้างนอก ตัวเขาเล็กแค่นี้มึงก็ให้เขาลงมาแบกเหล้าแบกน้ำแข็งขึ้นไปให้แดก มึงอย่ามาปฏิเสธว่าเขาอาสาหน่อยเลย เขาคงไม่ได้อาสาลงมาคนเดียวทุกวันหรอกมั้ง กูเห็นเขาลงมาเซเว่น ส่วนพวกมึงก็นั่งแดกไปสิ..มึงรู้ไหม บางครั้งเขาต้องวางของลงกับพื้นเพราะถือไม่ไหว ตอนแรกกูก็สงสัยว่าทำไม นี่กูเพิ่งเห็นว่ามีแผลที่แขนเขาวันนี้เอง..กูถึงได้เข้าใจ..พวกมึงมันเหี้ย.. แล้ววันนี้..มึงก็ยังเกี้ยวน้องกู! ไอ้สัตว์! ถ้ามึงหวงของนักมึงก็ดูแลของๆมึงให้ดีสิ นี่มึงเล่นไปยุ่งกับคนอื่นไม่สนใจใยดีทิ้งๆขว้างๆ แล้วจะมาโทษกูได้ยังไง..ก็มึงนั่นแหละเปิดทางให้กูเอง!”
คนฟังต่างอึ้งกันไปเป็นแถบ เท่ากับว่าโมได้เห็นสภาพของณัฐวีร์มาหลายหนและเฝ้ามองมาตลอด 
ส่วนตัวต้นเรื่องได้แต่ยืนตัวสั่น ภาพการทะเลาะวิวาททำให้เขานึกไปถึงสภาพในรถที่ถูกล็อคข้อมือไว้วันนั้น พลันความโหดร้ายที่พยายามจะลืมก็ผุดขึ้นมาอีกหน เด็กหนุ่มมองมือที่สั่นเทาของตนเอง แขนที่ยังมีรอยแผลเป็นจากการผ่าตัดต่อรอยร้าวของกระดูกทำให้เขาหน้าซีดเผือดลง หัวใจนั้นถูกบีบให้เจ็บปวดจนเด็กหนุ่มสุดจะทน เขาปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาเงียบๆ แล้วหันหลังเดินหนีเหตุการณ์นั้นไปทันที.. และไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกแล้ว
แชร์ที่ยืนล็อคแขนเพื่อนตัวเองพยายามลากให้คู่กรณีออกห่างจากกัน แต่ก็ยากเอาการเพราะเวลาเพื่อนของเขาโมโหขึ้นมา มักจะขาดสติจนทำอะไรเกินเลยเสมอ
ก็ดูเอาเถอะ คนปกติที่ไหนเห็นทางโน้นพวกมากกว่าก็ยังจะพุ่งเข้าไปหาเขาอยู่ได้
ต่างฝ่ายต่างยืนจ้องตากันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่แล้วเสียงร้องบอกว่าตำรวจมาก็ทำให้ทั้งคู่ต้องผละออกจากกันไปโดยปริยาย
มกรไม่เคยกลัวตำรวจ แต่เขาเบื่อจะต้องไปให้ปากคำ ส่วนฝั่งนั้นเองก็คนค้าขาย ไม่อยากเสียเวลาไปเหมือนกัน ต่างฝ่ายจึงต่างแยกกันวิ่งไปคนละทิศ โดยมีแชร์มองหาณัฐวีร์ไปตลอดทาง
“นัทไปไหนวะไอ้แมน..”
“ไม่รู้! อย่าให้กูเจอตัวนะ จะอัดแม่งให้ร่วงเลย!”
“น้องมันไม่ได้ทำอะไรเลยนะมึงจะไปอัดมันทำไม”
“หาเรื่องมาให้กูทั้งนั้น!” มกรยกมือขึ้นปาดเลือดบนหน้าตัวเองออกแล้ววิ่งเลี้ยวเข้าไปตามที่เพื่อนดึง
พวกเขาสองคนยืนหอบกันอยู่ชั่วครู่ เห็นว่าตำรวจไม่ได้วิ่งตามมาทางนี้แล้วจึงยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรเรียกรถและนัดสถานที่รับ
“กูจะลองออกไปเดินหาน้องมันอีกที มึงรออยู่นี่แหละออกไปทั้งหน้าเยินๆแบบนี้เจอตำรวจก็จบกัน”
หลายนาทีต่อมา แชร์กลับมาพร้อมกับความล้มเหลว พวกเขาจึงตัดสินใจกันว่าให้กลับไปที่คอนโดก่อนเพราะณัฐวีร์เองอาจหลงกันแล้วกลับไปที่พักแล้วก็เป็นได้
แต่จนมืดค่ำเกือบจะห้าทุ่มแล้วณัฐวีร์ก็ยังไม่กลับมา โทรศัพท์ก็ไม่ยอมรับสายทำให้ทั้งสามคนเริ่มจะต้องมาจับเข่าคุยกัน
“เอายังไงล่ะทีนี้ จะแยกกันออกตามไหม?”
“ไม่เห็นต้องไปตามมันเลย ถ้ามันไม่อยากกลับมาก็ปล่อยมันไปสิ” มกรนอนไม่ขยับเขยื้อนอยู่บนโซฟาตาก็จ้องโทรทัศน์แล้วหัวเราะไปกับมุกตลกที่ตัวเองไม่เคยคิดจะขำ
“ปล่อยมันไปเหอะวะ เราไปกันเองดีกว่า” ป้อดเสนอแนะและได้รับการตอบสนองจากเพื่อน พวกเขาเรียกรถมาสองคัน แบ่งกันไปตามหา แชร์ไปคนเดียวลำพัง ส่วนป้อดกับปังตอไปด้วยกัน
“มึงแน่ใจนะว่าจะไม่ไปด้วย” แชร์หันไปถามคนที่ยังนอนมองโทรทัศน์อย่างสบายอารมณ์
“กูจะไปทำไมให้เหนื่อย..เดี๋ยวมันก็กลับมาเอง”
“ถ้าน้องมันกลับมาก็โทรบอกพวกกูด้วยแล้วกัน จะได้ไม่ต้องห่วงกันมาก ดีเหมือนกันมึงอยู่ทางนี้เฝ้าบ้านไว้ มึงเองก็พักเสียด้วยแล้วกัน”
“เออๆ” ชายหนุ่มโบกไม้โบกมือแล้วหัวเราะร่วนกับมุกในโทรทัศน์ เอาถาดตีหัวกันมันขำตรงไหนวะ แต่หัวเราะไปก่อนแล้วกัน..
ครั้นพอประตูปิดลง สิ่งที่เขาทำก็คือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วต่อสายหาคนของพ่อทันที
ถ้าคิดว่าหนีกูพ้น...ก็รอชาติหน้าเถอะไอ้นัท!







(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 16 (up 19.02.14)
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 03-03-2014 09:23:57
ตอนที่ 18







เบื้องหน้าเป็นผืนน้ำ ด้านหลังเป็นถนนที่มีรถวิ่งผ่านไปมาไม่ได้หยุด ณัฐวีร์นั่งอยู่ตรงนี้มาเกือบสามชั่วโมงแล้ว เพราะไม่รู้จะเดินไปไหนดี เขายังไม่อยากกลับไปที่คอนโด เพราะถ้ากลับไปก็ไม่รู้จะเจออะไร เขายังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับคนเหล่านั้น..
ที่สำคัญ ..กับมกร
การถูกคาดโทษไว้ทำให้เขาไม่สามารถเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อกลับไปได้ เขาอาจถูกทำร้าย อาจถูกข่มขืนอีกครั้ง ถ้ามากไปกว่านี้เขาอาจรับไม่ไหวอีกแล้ว เขาพยายามประคับประคองให้ตัวเองอยู่ได้อย่างมีความสุขที่สุดในช่วง 3 เดือน แต่อีกฝ่ายไม่ให้ความร่วมมือด้วยเลย
เด็กหนุ่มก้มมองข้อมือตัวเองที่เป็นสีม่วงคล้ำ นี่คือการแสดงความรุนแรงอีกครั้งจนเขาทนไม่ไหวอีกแล้ว
“แม่..แม่จ๋า”
ณัฐวีร์กระซิบเรียกด้วยเสียงอันแผ่วเบา เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหลายครั้ง อยากโทรหาแม่ แต่โทรไม่ได้หรอก แม่จะต้องเป็นห่วงเขามากแน่ๆเขาจะเอาปัญหาของตัวเองไปให้แม่ทุกข์ใจไม่ได้ จะโทรหาป๊า ก็โทรไม่ได้อีก เพราะถ้าป๊ารู้เรื่อง ป๊าต้องโมโหมากแน่ๆ อาจกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตจนครอบครัวของเขาต้องเดือดร้อนเพราะความบ้าของไอ้หมานั่น
เด็กหนุ่มถอนหายใจ เขาเลื่อนรายชื่อในโทรศัพท์ไปสะดุดชื่อเพื่อนคนหนึ่งเข้า.. เธอเป็นเพื่อนตั้งแต่เด็กของเขาเอง
“ฮัลโหล..แพรว นอนยัง?”
“ยังหรอก..มาส์กหน้าอยู่ แดดวันสงกรานต์ที่กทม.มันสุดๆเลยนะแก.. นี่มีอะไรหรือเปล่ายะ ไปเล่นสงกรานต์เชียงใหม่หลายวันไม่โทรหาเพื่อนเลยน้า..”
เสียงแซวนั้นทำให้เด็กหนุ่มยิ้มบางๆออกมา “ไม่มีอะไร คิดถึงว่ะ”
“หูย จะคิดถึงอะไรชั้น เดี๋ยวสามีแกก็มาแหกอกอิแพรวกันพอดี”
“ไม่ใช่สามี.. ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น..” ณัฐวีร์ถอนหายใจยาวออกมาอย่างอึดอัดในหัวอก
“เฮ้ย เป็นอะไรวะ.. แล้วนี่อยู่ที่ไหน”
ณัฐวีร์เงยหน้าขึ้นมองไปทั่ว แต่ก็บอกไม่ได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน “กูก็ไม่รู้ว่ะ..”
“อยู่คนเดียวหรือเปล่า?” เสียงนั้นฟังดูจริงจังมากขึ้นเมื่อจับเค้าความรู้สึกของเพื่อนได้
“อยู่คนเดียว และอยากกลับบ้านมากๆเลยว่ะ”
“อ้าว แล้วที่รักมึงไปไหนเสียล่ะ”
“เขาไม่ใช่แพรว.. ไม่ใช่” เด็กหนุ่มส่ายหน้าและพูดปฏิเสธอย่างไร้เรี่ยวแรง “มีเรื่องมากมายที่กูคงบอกมึงไม่ได้หมด แต่กูบอกมึงได้ว่าเขาไม่ใช่ที่รักของกู ไม่เคยเป็น เราไม่เคยรักกัน”
“เอ้า อะไรของมึงเนี่ย ไม่เคยรักกันแล้วไปคบกันทำไมล่ะ”
“กู..มีเหตุผลว่ะแพรว..มันจำเป็นต้องเป็นแบบนี้ ..แต่อีกเดี๋ยวมันก็จะดีขึ้นแล้วล่ะมึง..”
เสียงรถจอดพรืดที่ด้านหลัง ทำให้ณัฐวีร์เหลียวไปมอง แล้วก็พบว่าเป็นรถตู้ที่พวกเขาจ้างเอาไว้
“สงสัยต้องวางแล้วล่ะ ไว้เรากลับไปจะโทรหาใหม่นะ” เด็กหนุ่มรีบตัดสายทั้งที่เพื่อนยังส่งเสียงปรามอยู่ไกลๆ ร่างทั้งร่างของเขาเกร็งและลุกขึ้นยืนอย่างเตรียมพร้อม.. ถ้าจะต้องวิ่งหนี.. เขาก็เตรียมจะวิ่งทันทีที่มีคนลงจากรถตู้คันนั้น
ประตูรถเปิดออก แชร์ก้าวลงมาทำให้ณัฐวีร์รู้สึกผ่อนคลายอาการเกร็งลงทันที ดวงตาของเด็กหนุ่มสอดส่ายว่ายังจะมีใครตามลงมาอีกไหม แต่ก็ไม่เห็น
“มาคนเดียวหรือครับ..”
แชร์ขมวดคิ้วให้กับประโยคแรกนั้นทันที “มาคนเดียว คนอื่นเขากระจายกันไปหาตัวเรานั่นแหละ.. ตอนนั้นมันวุ่นๆคงเดินหลงกันใช่ไหมละ ทำไมไม่กลับไปที่คอนโด”
“ผมไม่อยากกลับไปตอนนี้.. ปล่อยผมไว้ที่นี่ได้ไหม พรุ่งนี้พอเช้าผมค่อยกลับ”
“ไม่ได้สิ เราจะมานั่งอยู่ข้างนอกแบบนี้ทั้งคืนได้ยังไง”
“ผมขอร้องล่ะพี่..” เด็กหนุ่มยกมือไหว้ “ให้ผมอยู่แบบนี้เถอะ ถ้าเข้าไปเจอเขาผมก็เจ็บตัวอีก”
“ไม่หรอก พี่ไม่ปล่อยไอ้แมนทำอะไรเราแน่ๆ” แชร์เดินเข้าไปหาพร้อมกับยื่นมือให้ “นะ เชื่อพี่”
เด็กหนุ่มมองมือที่ยื่นมาสลับกับใบหน้าของอีกฝ่ายที่ยิ้มให้ ใจหนึ่งก็ไม่อยากจะเชื่อ อีกใจหนึ่งก็ล้าเกินกว่าจะฝืนอีกต่อไป ตอนนี้เขาอยากพัก อยากมีใครสักคนให้สามารถพูดคุยทุกอย่างได้ ไม่อยากต้องแบกรับเรื่องราวทั้งหมดไว้คนเดียวอีกต่อไปแล้ว
“ผมไม่อยากกลับไปตอนนี้.. ไม่รู้จะโดนอะไรอีก ถ้าพี่สงสารผมบ้าง หาที่นอนให้ผมได้ไหม สักคืนก็ยังดี พรุ่งนี้พอกลับไปพี่แมนเขาคงเย็นลงบ้าง”
“อย่าเลย หน้าเทศกาลแบบนี้ห้องพักหายาก.. ด้วยความจริงใจนะนัท ยิ่งปล่อยให้ยืดเยื้อแบบนี้ไอ้แมนมันจะยิ่งคลั่ง กลับไปหามัน พูดกับมันดีๆ นัทเคยทำได้ไม่ใช่หรือ นัทเคยทำให้มันอ่อนลงมาได้”
“แต่ผม..ไม่มั่นใจว่าคราวนี้ผมจะทำได้” ภาพความรุนแรงเมื่อตอนเย็นทำให้เขาคิดถึงวันนั้นขึ้นมาอีกครั้ง วันที่เขาเจ็บเจียนตายทั้งกายและใจ
“ไม่เป็นไร พวกพี่ก็อยู่ พี่รู้จักมันดี เอางี้นะ พี่จะให้ป้อดกับปังตอกลับไปดูลาดเลาก่อนดีไหม ไปล็อคมันไว้ก่อน แล้วรอให้สองคนนั้นโทรมาเราค่อยเข้าไปพร้อมกัน”
ณัฐวีร์กัดริมฝีปากอย่างใช้ความคิด “พี่จะไม่ปล่อยให้ผมถูกเขาทำร้ายอีกนะ”
“ไม่ๆ สัญญา ถ้านัทไม่สบายใจพี่จะย้ายที่นอนให้นัทเอง เดี๋ยวพี่ไปนอนกับมันก็ได้ แล้วพรุ่งนี้เราค่อยคุยกัน แค่ยอมกลับไปด้วยกันตอนนี้นะ ..เวลาแบบนี้ไม่อยากให้มานั่งอยู่คนเดียว มันอันตรายเกินไป”
“พี่สัญญานะ..” ณัฐวีร์ยังร้องหาสัญญาจากอีกฝ่าย
“สัญญาสิ..” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ควักมือถือออกมาเพื่อโทรนัดแนะกับเพื่อนของตนเอง พร้อมกับบอกให้เข้าไปเคลียร์ทางเอาไว้ด้วย
ถึงจะไม่อยากเชื่อถือ.. แต่ถ้าจะนับไปแล้ว แชร์คือคนที่แสดงความห่วงใยเขามากที่สุดในหมู่สี่คนนั่น และแชร์ก็เป็นเพื่อนของไอ้หมาบ้า.. ดังนั้น หากจะต้องการใครสักคนเพื่อปกป้องตัวเอง ในถิ่นที่ตัวเองไม่รู้จักมันมาก่อน.. ณัฐวีร์ก็ต้องหาทางเลือกที่จะเสี่ยงน้อยที่สุด คือต้องเชื่อในตัวแชร์นี่แหละ..
เหมือนคนตกน้ำ.. ขอนไม้ให้ผุแค่ไหนลอยมา เขาก็ต้องเกาะไว้..
“เรียบร้อย..มาเถอะ มาด้วยกัน” ชายหนุ่มพยายามยื่นมือไปหา แต่อีกฝ่ายเหมือนไม่พร้อมจะยื่นมือมา เขาจึงเดินเข้าไปใกล้แล้วโอบร่างเล็กๆนั่นไว้
ณัฐวีร์ผอมมาก ไหล่ที่จับมีแต่กระดูกแทบไม่มีกล้าม แตกต่างจากเด็กที่เป็นลูกเจ้าของร้านอาหารทั่วไป ดวงตาเรียวหยีคู่นั้นบ่งบอกเชื้อสายจีนที่ได้มาจากทางพ่อ และมันมักแสดงความรู้สึกสนุกสนาน รื่นรมย์อยู่เสมอ.. แต่ก็แปลกที่มันไม่ค่อยแสดงความปวดร้าวให้เห็นเลย
จะว่าณัฐวีร์สมยอมที่จะให้เกิดการคบหากันก็คงไม่ใช่ เด็กนี่ต่อต้านตั้งแต่เริ่มแรก ที่โรงพยาบาลก็เหมือนตกกระไดพลอยโจน ต้องฝืนใจทำอย่างเสียไม่ได้เพราะไอ้แมนมันก็เคยเล่าเองว่ามันขู่เด็กนี่ยังไง ดังนั้น หากเป็นเขาที่ต้องมาเจอสถานการณ์บีบคั้นหัวใจแบบนี้ เขาก็น่าจะต้องแสดงความเศร้าหมองออกมาทางดวงตาให้ใครได้เห็นบ้าง
แต่นี่กลับไม่เห็นเลย สิ่งที่แชร์จับได้จากดวงตาคู่นั้น..ก็คือความว่างเปล่าสำหรับณัฐวีร์ เด็กนั่นมองความปวดร้าวทุกอย่างเป็นเสมือนคนนอกที่มองดูความเจ็บปวดนั้น.. เขาปล่อยให้ความเจ็บปวดผ่านพ้นไป แล้วหาเอาความสุขที่อยู่ใกล้ๆตัวมาทำให้ตนมีที่ยืน.. ละเลยความทุกข์เสาะหาแต่ความสุข เพราะคงหวังไว้ว่าอีกเพียงไม่เท่าไหร่จะปลดเปลื้องความทุกข์นั้นแล้ว
ซึ่งถ้าอธิษฐานได้จริง เขาก็อยากจะขอให้เวลาจุดจบนั้นมาถึงในวันนี้เสียเลย.. ณัฐวีร์.. คนที่ยืนอยู่ตรงนี้จะได้เลิกเศร้าเสียใจกับเรื่องที่เขาตัดสินใจลงไป
บอกตามตรงว่าเขารู้สึกติดใจเด็กคนนี้..แต่ไม่ใช่เพราะหน้าตา.. ใบหน้าขาวๆเนียนๆประกอบกับริมฝีปากสีชมพูจัด ไม่ได้ดูโดดเด่นอะไรนัก พูดง่ายๆว่าดูบ้านๆมากถ้ามาเทียบกับพวกเขาทั้งสี่คน แต่ณัฐวีร์กลับมีอะไรบางอย่างที่คนอย่างเขาเห็นแล้วรู้สึกว่า..เด็กนี่มีอะไรน่าค้นหา..
เขามักเห็นความเฉลียวฉลาด ทันคน และความใจดีอยู่ข้างในของณัฐวีร์ และคงเป็นเสน่ห์อีกอย่างที่ทำให้เขาไม่สามารถวางตาจากเด็กนี่ได้ คอยแต่จะมองหา.. บางทีรูปร่างก็ไม่ได้บ่งบอกว่าคนๆนั้นจะทำให้เราติดตาตรึงใจมากแค่ไหน แต่ข้างในของคนๆนั้นต่างหากที่มักกวักมือเรียกให้เราอยากอยู่ใกล้ๆเสมอ
เขาก้าวพาณัฐวีร์ใกล้รถตู้มากขึ้น แต่แล้วความเปลี่ยนแปลงก็เกิดอย่างพลิกสถานการณ์ไปแบบฉับพลัน
รถมอเตอร์ไซด์ตำรวจจอดจ่อท้ายรถตู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ทว่าคนที่ก้าวออกมาบนฟุตบาท ก็ทำให้ทุกอย่างพังทลายลงอย่างน่ากระทืบทิ้งที่สุด
“ดีเลยไอ้แชร์ มึงจับตัวมันไว้นะ!” ชายหนุ่มชี้หน้าณัฐวีร์แล้วเดินรี่เข้ามาหาทำให้เด็กหนุ่มที่สงบลงแล้วบิดตัวหนีและมองหน้าแชร์อย่างรู้สึกเหมือนตนเองกำลังถูกหักหลัง
“ทำไมพี่ทำแบบนี้กับผม!!” ณัฐวีร์ตะโกนพร้อมกับดิ้นรนเพื่อจะหนีให้พ้นแขนที่โอบกอดยึดร่างเขาไว้แน่น
“มึงหยุดเลยไอ้แมนหยุด! นัทไม่มีอะไร ไม่ต้องตกใจพี่จัดการเอง นัท..นัท!!”
ช้าไปเสียแล้ว..เสียงล้อรถบดถนนดังลั่น เสียงโครมใหญ่ของวัตถุชนกันดังสนั่นหวั่นไหวและตามมาด้วยเสียงเอ็ดอึงของผู้อยู่ในเหตุการณ์ทุกคน
“นัท!!”
แชร์ถลาเข้าไปหาร่างที่โชกเลือดทันที ร่างนั้นนอนนิ่งไม่ไหวติง เลือดสีสดกำลังทะลักออกจากบาดแผลในส่วนต่างๆจนเริ่มกระจายไปทั่วพื้นถนน ..เขาพยายามจะไม่ขยับร่างนั้นเพราะหากขยับผิดท่าอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ ชายหนุ่มล้วงมือหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อโทรเรียกรถพยาบาล แต่ตำรวจที่มากับมกรมีสติดีกว่า เขาดำเนินการให้แล้วเรียบร้อย รวมทั้งเรื่องกันการจราจรด้วย
ว่าแชร์ทำอะไรไม่ถูกแล้ว มกรยิ่งทำตัวไม่ถูกยิ่งกว่า
ชายหนุ่มค่อยๆเดินเข้ามาด้วยใบหน้าซีดเผือด..เลือดที่อาบอยู่บนร่างแน่นิ่งทำให้ภาพความทรงจำสมัยก่อนผุดขึ้น.. นี่เขาต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้อีกแล้วหรือ?.. ต้องมีคนจากเขาไปแบบนี้อีกแล้วหรือ?
ภาพความทรงจำครั้งเก่าเมื่อสามปีก่อนย้อนกลับมา.. ร่างของหญิงสาวที่เขารัก...ชุ่มโชกไปด้วยเลือด เธอประชดเขาด้วยการกระโดดลงมาจากบันไดชั้นบน..โดยไม่รู้เลยว่ามีอีกหนึ่งชีวิตอยู่ในท้องของเธอ เลือดสีข้นอาบไปทั่วขาขาว ร่างที่นอนหอบหายใจรวยรินรอรถพยาบาลมีมกรนั่งกอดเข่าอยู่เฝ้าเป็นเพื่อนไม่ห่างไปไหน
เขาไม่กล้าแตะเธอ เพราะถ้าแตะจะรู้ว่าตัวเธอเย็นเฉียบจากอาการเสียเลือด..และเธอก็หมดสติไปแล้ว
เขาไม่กล้าขยับเธอ..เพราะเธอมีเลือดออกมาก เขาไม่รู้ว่าถ้าขยับร่างนั้นกระดูกที่หักอาจส่งผลกับอวัยวะภายในได้
เขาคิดว่าเลือดที่ออกมาเป็นเลือดจากการแตกหักเสียหายของอวัยวะประเภทกระดูก.. ทว่าเมื่อมารู้ภายหลังว่าสิ่งที่สูญเสียไปคือลูกที่กำลังจะถือกำเนิด มกรก็คลั่งอาละวาดหนักขึ้นมาทันที
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้รักเด็ก..แต่ก้อนเลือดนั้นคือลูกของเขา..เด็กที่กำลังจะเกิดจากเลือดเนื้อของเขา!
ตอนนั้น เขาเพิ่งขึ้นปีสองได้ไม่นาน เหตุการณ์นั้นจึงเป็นผลให้เขาต้องหยุดเรียนบินไปพักสมองที่ต่างประเทศเกือบหนึ่งปีเต็ม ไม่ใช่เพราะแค่ได้เห็นภาพของหญิงสาวที่รักเกือบเอาชีวิตไม่รอด ไม่ใช่เพราะแค่พี่ชายของเธอตามมาหาเรื่องถึงมหาวิทยาลัย แต่เพราะเขาได้สูญเสียเลือดเนื้อของตัวเอง..เพราะการกระทำของตัวเอง..
แล้ว..มันกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งกับณัฐวีร์
เขาไม่เคยตระหนักเลยว่าตัวเองทำอะไรไว้ทำไมคนรักจึงต้องประชดเขาด้วยการพยายามกระโดดลงจากบันไดมา เขาไม่เคยรู้ว่าทำไมณัฐวีร์ถึงต้องหนีจนถูกรถชนอาการสาหัสขนาดนี้ เขาไม่เคยรู้ว่าการทำดีกับใครสักคนมันจะส่งผลดีให้เขาได้อย่างไร เขารู้เพียงเมื่อต้องการให้ใครสักคนมาอยู่ใกล้ๆ ให้ความสนใจเขาตลอดเวลา เขาต้องเรียกร้องมันมาด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามี เงิน อำนาจ พละกำลัง..และการบีบบังคับ
ก็ใครๆชอบให้เขาทำเลวกันนักไม่ใช่หรือ ใครๆไม่ชอบให้เขาเป็นคนดีนี่นา พอมีเหล้า มียา มีผู้หญิง เพื่อนๆก็รายล้อม พอมีเงิน มีอำนาจ สามารถทำเรื่องสนุกๆแกล้งคน พนันกับชีวิตคนได้ ก็เห็นหัวเราะกันร่วน ชอบกันไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมล่ะ ทำไมสองคนนี้ถึงต้องทิ้งเขาด้วยการพรากเอาชีวิตตัวเอง ..ชีวิตลูกของเขาจากไป
มกรทรุดตัวลงคุกเข่าข้างร่างแน่นิ่งไม่ไหวติง เลือดที่กระเซ็นเปื้อนไปบนพื้นถนนไม่ทำให้เขาถอยห่าง ชายหนุ่มค่อยๆเอื้อมมือที่สั่นเทาไปแตะต้องร่างนั้น เบาเสียยิ่งกว่าเบา ..เขากลัวการบุบสลายและแตกละเอียดย่อยยับไป
“นัท..” เขากลืนน้ำลายลงคอ รู้สึกเหมือนจะทำอะไรไม่ถูก “นัท..ไม่เป็นอะไรใช่ไหม ลุกขึ้นมาคุยกับพี่สิ นัท..”
คราวนี้มือลูบไปตามแขนที่ชุ่มเลือด จนถึงมือของเด็กหนุ่ม
“ไอ้แมน มึงอย่าขยับตัวน้อง”
เสียงเตือนนั้นไม่เข้าไปสู่โสตประสาทการรับรู้ มกรค่อยๆจับมือน้อยนั่นขึ้นมาประคองไว้
“นัท..พูดกับพี่หน่อยสิ อย่าทำแบบนี้เลยนะ นัท” ชายหนุ่มคลานเข้าใกล้ เอามือเปื้อนเลือดของอีกฝ่ายทาบไว้ที่แก้มตัวเอง “อย่าจากกันไปแบบนี้ ไม่เอานะ.. ไม่เอาแล้วนะ”
น้ำตาเม็ดหนึ่งร่วงลงมาล้างเลือดที่เปื้อนมือณัฐวีร์ ทว่า น้ำตาแค่นั้นล้างคราบเลือดยังไงก็ไม่สะอาดพอ
มันเคยบอกว่าอยากให้เขาทำดีๆกับมัน.. แต่เขาก็ไม่เคยตกปากสัญญาใดๆเลย มันพูดเองเออเองคนเดียว.. แต่วันนี้..เขาจะทำ..
“นัท...กลับมาเถอะนะ พี่สัญญาจะทำตัวดีกับนัท ..พี่ขอโทษ” ชายหนุ่มสะอื้นเรียกชื่อแล้วทำท่าจะโผเข้ากอดร่างนั้นเอาไว้ ดีที่แชร์คอยกันไม่ให้ขยับร่างของเด็กหนุ่มมากไปกว่านี้ เขาจึงได้แค่นั่งอยู่ข้างร่างนั้น เฝ้ามองร่างของคน ‘ใกล้ชิด’ นอนจมกองเลือดเป็นครั้งที่สอง








***



(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 16 (up 19.02.14)
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 03-03-2014 09:29:04

ตอนที่ 19 End



.
.
.
.
.
.
.

กลิ่นน้ำยาทำความสะอาดฉุนกึ้กรอดเข้ามาในประสาทรับรู้ ทำให้คิ้วขมวดมุ่นจนรู้สึกเจ็บไปทั้งใบหน้า
เขาเป็นอะไร?
ณัฐวีร์ค่อยๆลืมตาขึ้นแล้วจึงเห็นว่าเพดานสีขาวที่ไม่คุ้นเคยลอยเด่นอยู่ตรงหน้า ร่างกายของเขาชาด้านจากความเจ็บปวดจนไม่สามารถขยับได้ กระทั่งใบหน้า จมูกและโหนกแก้ม เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงบาดแผลและผ้าพันแผล ดูเหมือนตาเขาจะลืมได้แค่ข้างเดียวด้วย ข้างไหนนะ?.. อ้อ ข้างซ้าย เพราะข้างขวามีผ้าพันแผลปิดอยู่ แล้วพอลองบังคับขยับก็ไม่ไหวอยู่ดี มันเจ็บมากจนไม่อยากไปฝืนมัน
เสียงเรียกชื่ออย่างอ่อนโยน พร้อมกับมือนุ่มๆที่ลูบอยู่ตรงแขนซ้ายทำให้เด็กหนุ่มเหลือบไปมอง
“เป็นยังไง เป็นยังไงบ้างลูก”
แม่จ๋า อย่าร้องไห้สิ.. ณัฐวีร์อยากพูดปลอบ แต่คอเขาแห้งผากเกินกว่าจะพูดออกมาเป็นคำ
แม่คงเห็นอาการ จึงเอาแก้วน้ำพร้อมหลอดมาจ่อให้ตรงปาก เด็กหนุ่มจิบน้ำได้แค่อึกสองอึกแม่ก็เอาออกไป คงไม่อยากให้รับเข้าไปเยอะๆทั้งที่อาจจะยังไม่พร้อม
“แม่จ๋า..” เด็กหนุ่มหาเสียงตัวเองได้แล้ว “นัทอยู่ไหน”
“โรงพยาบาลจ้ะ.. นัทถูกรถชน”
“รถชน..” เจ้าตัวพึมพำ “นัทเจ็บนิดหน่อยเองแม่ อย่าร้องไห้เลย”
“ใช่ลูก เจ็บนิดเดียวเดี๋ยวก็หายนะ” ณฐกาปลอบลูกชายคนเดียวก่อนจะโน้มหน้าลงไปหอมแก้มซ้ายที่ไม่บาดเจ็บนั่น
ณัฐวีร์ถูกรถชนซีกขวาแรงมากทำให้ลอยไปไกลถึงสามช่วงรถ นอกจากกระดูกใบหน้าและช่วงตัวจะแตกไปเกือบทุกส่วนแล้ว อวัยวะภายในยังเกือบรักษาให้กลับคืนมาไม่ได้ เขาสลบอยู่เกือบอาทิตย์ เข้าห้องผ่าตัดไปตั้งหลายหน เลือดไม่พอจนต้องสั่งด่วนจากกรุงเทพเลยด้วยซ้ำ หนักหนาขนาดว่าพ่อของมกรต้องส่งทีมแพทย์บินด่วนขึ้นมาที่เชียงใหม่ทันทีพร้อมมารดาของเด็กหนุ่มนั่นแหละ
“เจ็บหน้านิดเดียว สงสัยหน้าจะหนักสิครับ” เด็กหนุ่มพยายามปรือตาขึ้นมองมารดา
“นิดเดียวเองจ้ะ.. เดี๋ยวศัลยกรรมก็หล่อแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอกแม่ เด็กผู้ชายหน้าตาไม่ต้องไปสนใจมากก็ได้” เด็กหนุ่มยังปลอบมารดาอย่างนึกตลก
จังหวะนั้นเป็นจังหวะเดียวกับที่แพทย์และพยาบาลที่คุณณฐกากดเรียกเข้ามาตรวจพอดี ทำให้ในห้องมีคนอยู่มากมาย
ณัฐวีร์ถูกจับวัดไข้ วัดความดัน และเพิ่มยาลงไปในสายน้ำเกลือ ทว่า ก็มีบุรุษพยาบาลกลุ่มหนึ่งที่ยืนอยู่เฉยๆไม่ได้เข้ามาช่วยอะไร เด็กหนุ่มต้องตอบคำถามแพทย์หลายอย่าง แต่ก็จบด้วยเวลาอันสั้นเพราะหมอต้องการให้เขาพักผ่อนให้ได้มากที่สุด แล้วหมอก็ออกไปจากห้องพร้อมพยาบาล ทิ้งไว้แต่กลุ่มบุรุษพยาบาลกลุ่มนั้น
ยาที่ให้คงเป็นมอร์ฟีน เขาจะได้ไม่ปวดแผลมากนัก เด็กหนุ่มพยายามฝืนยิ้มให้แม่ “เดี๋ยวนัทหลับไปอีกทีตื่นมาอยากกินไข่เจียวหมูสับของแม่นะ..”
“ได้สินัท.. นอนให้หายแล้วแม่จะทำของอร่อยให้กินเยอะๆเลย” เธอกระซิบบอกลูกชายพลางลูบใบหน้านั้นเบาๆ
“แล้วพวกนั้นเขายืนรออะไรเหรอแม่.. ทำไมไม่ตามหมอออกไป” เด็กหนุ่มปรายตามองบุรุษพยาบาลที่ยืนเรียงกันอยู่สี่คน บางคนก็ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว บางคนก็ใส่เสื้อยืด
“เขามาช่วยดูนัทไง” คุณณฐกาขมวดคิ้วมองลูกชายอย่างสงสัย
“อ้อ ดีๆ เวลานัทปวดฉี่พี่บุรุษพยาบาลพวกนี้จะได้พานัทเข้าห้องน้ำได้ แม่พาไปไม่ไหวหรอก ..ดีจัง ที่นี่ให้บุรุษพยาบาลมาเฝ้าตั้งสี่คน” เด็กหนุ่มพึมพำก่อนจะม่อยหลับร่วงไป
เกิดคำถามขึ้นมากมายในใจของผู้ฟังทั้งห้าคนในห้องนั้น คุณณฐกาเหลือบมองไปยังบุรุษพยาบาลทั้งสี่คน ฝ่ายนั้นก็เหมือนจะเบิกตาอย่างตื่นตกใจไม่แพ้กัน
“หรือน้องมันจะความจำเสื่อมวะ..ไอ้แมน”
คนถูกถามหันมองหน้าเพื่อน “จำกูไม่ได้เหรอ..”
“เออสิ.. สงสัยไม่อยากจะจำมึงแล้วมั้ง” แชร์ตอบพร้อมกับยักไหล่ แต่กลายเป็นว่านั่นทำให้มกรเกิดอาการปริวิตกขึ้นอย่างหนัก
“ทำไมจำกูไม่ได้แล้วล่ะ.. อย่าเมินกูสิ อย่าทิ้งกูไปอีกคน..” ชายหนุ่มทำท่าจะตรงเข้าไปที่เตียงคนเจ็บ เพื่อนจึงรีบมารั้งเอาไว้ “ปล่อยกูเถอะ ปล่อยให้กูไปหานัท นัท..นัทจำพี่แมนได้ไหม.. นัท!”
“ไอ้แมน เฮ้ย ไอ้แมน!”
เสียงร้องก้องทำให้พยาบาลวิ่งเข้ามากันเต็มห้อง ภาพของชายหนุ่มซึ่งถูกเพื่อนชายอีกสามคนช่วยกันฉุดรั้งไว้ไม่ให้ทะยานไปหาคนบนเตียง ทำให้ต้องเรียกรปภ.มาลากตัวออกไป
น้ำตาหยดหนึ่งของมกรร่วงอยู่บนพื้น มันถูกเหยียบย่ำด้วยใครหลายคนจนคนบนเตียงก็ไม่อาจเห็นร่องรอย



.
.
.
.
.
.


End.
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 16 (up 19.02.14)
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 03-03-2014 09:31:31
สวัสดีค่ะ

ในที่สุดก็มาถึงตอนสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดของเรื่องค่ะ ใครสงสารแม้นศรีบ้างไม๊เนี่ย 5555 #ขอหัวเราะสองที

ก็จบไปแล้วนะคะกับตอนแรกของเรื่อง Can I...  ยังไงก็ฝากติดตามตอนต่อไปในตอนที่2 ของเรื่องนะคะ  :katai3:

ไว้เจอกันใหม่นะ อาจจะตั้งกระทู้ใหม่หรือต่อในนี้นะคะ #จะได้ไม่เปลือง ฮี่ๆๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 17-19 End [up 030314]
เริ่มหัวข้อโดย: pornumpai-ka ที่ 03-03-2014 11:14:53
 o22 o22

ง่ะ จบแล้ว!!!!

มีภาค 2 ใช่ป่ะ รออออออ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 17-19 End [up 030314]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 03-03-2014 15:07:37
ไอแมน ไม่น่าสงสารเลยซักนิด
น้องนัทเกือบตายได้มาแค่น้ำตาแหม่ะเดียว
ไม่นับที่เจ็บตัวเจ็บใจก่อนนี้อีกมากมาย
ภาคสองขอเอาคืนหนักๆ ถ้าไม่เจียนตาย คนอ่านไม่ยอมให้เป็นพระเอกต่อหรอกนะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 17-19 End [up 030314]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-03-2014 15:12:25
ตกใจตอนเห็นคำว่า  The end
นั่งอ่านนั่งร้องไห้สงสารนัทสุดๆจนเพื่อนว่าไอ้นี่มันบ้าแน่ๆเลยนั่งจับโทรศัพท์แล้วก็ร้องไห้
เป็นอย่างนี้ดีแล้วลืมๆเหตุการณ์รวมทั้งคนพวกนั่นให้หมดอย่าไปจำมัน ให้จมอยู่กับความผิดบาปนั้นนาน (เจ็บแค้นแทนนัทอย่างแรง)
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 17-19 End [up 030314]
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 03-03-2014 15:53:19
ถึงตอนนัทเอาคืนแล้วสินะ แต่นายแมนจะเป็นพระเอกเหรอ ไม่อยากเลย อยากให้อกแตกตายเพราะนัทไม่รักไปเลย :m16:
รอภาคต่อค่า :impress2:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 17-19 End [up 030314]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 03-03-2014 15:58:23
เห้อออออ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 17-19 End [up 030314]
เริ่มหัวข้อโดย: DoubleBass ที่ 03-03-2014 22:22:05
จบสะใจดีจัง รอภาค๒อย่างใจจดใจจ่อจ้า
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 17-19 End [up 030314]
เริ่มหัวข้อโดย: powvera ที่ 03-03-2014 22:52:07
สงสารน้องนัท   :hao5:    :hao5:    :hao5:

น้องนัทความจำเสื่อมก็ดีจะได้ไม่ต้องจดจำเรื่องร้าย   :mew6:   :mew6:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 17-19 End [up 030314]
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 03-03-2014 23:36:13
คิดว่าจบอย่างนี้ซะอีก ถึงเวลาเอาคืนแมนบ้างแล้ว
เอาให้เจ็บช้ำเลยนะ อย่าได้ใจอ่อนง่าย ๆ นะนัท
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 17-19 End [up 030314]
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 03-03-2014 23:50:26
ทำไมthe endอ่ะ งงง่ะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 17-19 End [up 030314]
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 04-03-2014 00:26:49
โอ๊ยยย สมน้ำหน้าหลายๆ
ถึงปกติเราจะไม่ชอบมุกความจำเสื่อม แต่เรื่องนี้เราเห็นด้วยโคตรๆ

ลืมมันไปเหอะ เรื่องของคนชั่วๆ ทำร้ายเราอ่ะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 17-19 End [up 030314]
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 04-03-2014 12:40:11
กำลังเข้มข้น
อย่ากอ่านต่อแล้วค่ะ

ดีนะที่นัทความจำเสื่อม ลืมๆพี่แมนไปก็ดีนะ พี่แมนจะเจ็บซะบ้าง ทำร้ายกันนัก
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 17-19 End [up 030314]
เริ่มหัวข้อโดย: ReiiHarem ที่ 04-03-2014 19:48:29
หลงเข้ามาพร้อมกับตะเกียบ อร๊ากกกกก
คือก็เข้าใจแม้นศรีนะว่าถูกเลี้ยงถูกให้เข้าใจมาว่า ถ้าเลวแล้วจะมีคนรัก
ภาคสอง ไม่อยากให้เอาคืนแม้นศรีมากนัก แต่อยากให้ค่อยๆทำให้แม้นศรีเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นดีกว่า
เดี๋ยวตะเกียบไม่พอใช้ หักไปหลายตอนละ อินจนหักคามือ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 17-19 End [up 030314]
เริ่มหัวข้อโดย: sunshinesunrise ที่ 04-03-2014 20:19:39
่ยังไม่จบใช่ไหม? อย่าเพิ่งจบเลย ขอให้ไอ้พี่แมน น้ำตาเช็ดหัวเข่ามากกว่านี้อีกหน่อย หึหึ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 17-19 End [up 030314]
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 04-03-2014 20:47:33
 :o12:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 17-19 End [up 030314]
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 04-03-2014 22:39:14
 :3123: :3123:
ฉลองจบภาคเเรก  :mc4:

รอเปิดภาค 2  :L2: :L2:

ขอแบบเอาคืนเยอะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ห้ามคนเเต่งสงสารเเม้นศรี เพราะเป็นบุคคลที่ถูกบันทึกไว้ในเดธโน้ตว่าห้ามสงสาร  :laugh:
ขอคะแนนสงสารให้พี่แชร์ด้วยนะคะ

ชูป้ายเชียร์พระรอง

แชร์  นัท
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 17-19 End [up 030314]
เริ่มหัวข้อโดย: Thanthip ที่ 09-03-2014 22:44:28
แบบว่ายังมีตอนพิเศษอีกใช่ไหม

แบบว่าสงสารน้อง
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 17-19 End [up 030314]
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 10-03-2014 01:02:02
จบค้างคาจังเลย
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 17-19 End [up 030314]
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 10-03-2014 19:53:47
จบแบบค้างจุง เหอๆๆๆ นัทเรา เจ็บตัวตลอด ตั้งแต่อยู่กะพี่แมนศรีนะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 17-19 End [up 030314]
เริ่มหัวข้อโดย: ioohja ที่ 11-03-2014 10:01:36
 :katai1: อ่านรวดเดียวจบ สนุกมากคะ สงสารพี่แม้นศรี แต่แบบ ก็อยากให้โดนเอาคืนซะมั่ง อ๊ากก มันค้าง งุงิ  :z3:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 17-19 End [up 030314]
เริ่มหัวข้อโดย: Niinuii ที่ 11-03-2014 19:58:28
 :hao5:
ขอภาค2ๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 17-19 End [up 030314]
เริ่มหัวข้อโดย: loveaaa_somsak ที่ 11-03-2014 21:30:57
อ่านรวดเดียวจบเลย

สนุกมากครับ พระเอกชั่วได้ใจ นางเอกน่าสงสารแต่ก็ไม่โง่จนเกินไป

รออ่านภาค 2 พี่แม้นศรีคราวนี้ถึงคราวมึงแล้ว

มาต่อไวๆ นะครับ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 17-19 End [up 030314]
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 13-03-2014 17:27:28
ลืมไปเลย ไม่ต้องจำหรอก ปล่อยให้คนที่แมร่งไม่สำนึกจำไป

เจ็บมานานแล้ว

หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 17-19 End [up 030314]
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 21-04-2014 09:52:21
สวัสดีค่ะมิตรรักแฟนแม้นศรี หรือแฟนน้องนัท หว่า?? 555

กราบสวัสดีอย่างเป็นทางการค่ะ ^__^ 

ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ ขอบคุณนักอ่านทุกคนค่ะ

วันนี้ฤกษ์งามยามดี คนแต่งเพิ่งเอาตอนใหม่มาให้ เลยเอามาลงให้อ่านกันต่อนะคะ หวังว่าคงชอบกันน๊าา  :mew1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 20 [21.04.14]
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 21-04-2014 10:24:00
ตอนที่ 20


เสียงร้องเพลงเชียร์ดังเป็นจังหวะ พอให้กลุ่มคนที่กำลังซ้อมเต้นสามารถได้ยินและดำเนินการฝึกได้อย่างไม่สะดุดหยุดลง
“เมื่อกี้ท่าโดมสวยงามมากค่ะหนู สวยงามมาก”
เสียงรุ่นพี่ร้องชื่นชมทำให้เหล่าเชียร์ลีดเดอร์ทั้งชายและหญิงยิ้มรับ น้องๆ ปีหนึ่งกลุ่มนี้ ถูกคัดเลือกขึ้นมาเพื่อเป็นตัวตายตัวแทนให้กับรุ่นพี่ที่กำลังจะเรียนจบกันออกไป ดังนั้น การฝึกซ้อมหลังเลิกเรียน และการแบ่งเวลาเรียนอย่างเหมาะสมจึงเป็นคุณสมบัติที่ตัวแทนเชียร์กลุ่มนี้ต้องมี
แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันหยุด แต่ก็มีการซ้อมที่มหาวิทยาลัย น้องๆ ที่ซ้อมกันมาแล้วทั้งวันจึงต่างล้าจากการซ้อม เมื่อมีคำสั่งเลิกซ้อมจึงต่างแยกย้ายกันเก็บข้าวของเตรียมเดินทางกลับบ้าน
“ฮัลโหลสาวน้อย พร้อมจะกลับบ้านกับพี่ไหมจ๊ะ”
เสียงตะโกนจากรถยนต์คันหนึ่งเป็นเสียงที่คุ้นเคยจนคนถูกร้องทักหันไปมองแล้วยิ้มกว้างให้
“รอแป๊บนะนัท.. เก็บจะเสร็จแล้ว”
“ได้จ้า พี่ไม่รีบ” คนขับตอบอย่างนั้นก่อนจะเลื่อนกระจกปิด
หญิงสาวหันกลับไปไหว้ลารุ่นพี่ ยังไม่วายได้รับเสียงแซวเซ็งแซ่
“อะไรกันคู่นี้.. เช้าถึงเย็นถึงเลยนะ”
“สวยๆ อย่างหนู ไม่มารับนี่เดี๋ยวจะโดนเสี่ยคาบไปกินนะคะ” เธอพูดแล้วหัวเราะร่วนก่อนจะโบกมือลาพี่ๆ เชียร์ลีดเดอร์วิ่งไปขึ้นรถ
“เหนื่อยป่าวเธอ..” ณัฐวีร์หันมาเอ่ยทักเมื่อฝ่ายนั้นวิ่งมาถึง
“ไม่เหนื่อยก็บ้าแล้วย่ะ.. หิวน้ำจัง อยากกิน..”
“นี่คร้าบคุณนายแพรว.. น้ำเก๊กฮวยของโปรด”
“แหม รู้ใจจังสุดหล่อ” เธอเอื้อมมือไปดึงแก้มขาวของคนขับก่อนจะรับน้ำมาดื่มอย่างกระหาย
“ไม่รู้ใจแฟนแล้วจะรู้ใจใคร เน้อ..”
“ย่ะ.. แฟนสุดที่รักเลย ไปหาป๊ากัน หิวข้าวจะแย่แล้ว” แพรวร้องเร่งพลางใช้กระดาษทิชชู่ซับเหงื่อบนหน้า
เธอเข้าเรียนที่นี่พร้อมกับณัฐวีร์ และเพราะความหน้าตาดีมาแต่กำเนิด เธอจึงถูกคัดเลือกให้เป็นเชียร์ลีดเดอร์ของมหาวิทยาลัย ส่วนเพื่อนชายคนสนิทของเธอก็มีหน้าที่ไปรับไปส่งตามแต่สะดวก
เพราะเป็นเพื่อนกันมาแต่เด็ก ดังนั้นพวกเธอจึงสนิทกันจนใครๆ ต่างเข้าใจผิดในสถานะของคนทั้งคู่ แล้วต่างฝ่ายต่างก็รู้สึกสนุกจนไม่อยากไปแก้ข่าวอะไรด้วย เล่นๆ กันไปแบบนี้ก็ยังโอเคกันดีอยู่ ไว้เจอใครที่น่าคบหาแล้วเราค่อยเลิกคบกันนะจ๊ะเพื่อนรัก
ณัฐวีร์เรียนอยู่คณะเดียวกันกับแพรว ดังนั้นจึงเกื้อกูลกันทั้งเรื่องเรียนและเรื่องกิจกรรม แพรวสามารถออกลุยแดดได้สบายๆ เห็นสวยแบบนี้แต่เธอไม่ห่วงผิวพรรณ และออกจะถึกอยู่ไม่น้อย
ในขณะที่ณัฐวีร์มีผลกระทบจากอุบัติเหตุครั้งนั้น ทำให้ไม่สามารถอยู่กลางแจ้งและเจออากาศร้อนนานๆ ได้ บ่อยครั้งที่เขาจะหมดสติไปท่ามกลางการรับน้อง แม้จะเป็นการรับน้องธรรมดาไม่ดุเดือดอะไร แต่ด้วยสภาพร่างกายที่ยังไม่สมบูรณ์ ก็ทำให้เขาหมดแรงล้มพับได้ง่ายๆ
ผ่านมาเกือบสองปีแล้ว..แต่เขาก็ยังไม่หายดี
อาการภายนอกไม่เป็นอะไรเท่าไหร่ แต่อาการภายในนี่สิหนัก นอกจากต้องระมัดระวังเรื่องอุณหภูมิไม่ให้ร้อนเกินและไม่ให้เย็นเกิน เขายังต้องระวังเรื่องการทานอาหารด้วย ไม่ทานเนื้อสัตว์หนักๆ เพราะกระเพาะย่อยยาก และต้องทานวิตามินมากขึ้นใส่ใจตัวเองมากขึ้น เขาต้องออกกำลังกายเป็นระยะเพื่อไม่ให้เกิดพังผืดที่แผล บางครั้งก็ต้องไปหาหมอกายภาพเพื่อตรวจเช็กสภาพร่างกายด้วย
แต่ข้อดีของการได้กายภาพอย่างถูกหลัก และได้ออกกำลังกายอยู่เสมอก็คือ ตอนนี้ เขาสูงขึ้นจากเดิม และพอทานวิตามินมากขึ้นก็ยิ่งช่วยเสริมสร้างความฟิตให้กับร่างกาย ทำให้แต่ก่อนที่มีเพียงแค่กระดูก ก็เริ่มมีเนื้อหนังขึ้นมาบ้าง ส่วนหน้าตา หลังจากผ่านศัลยกรรมมาสามครั้ง ตอนนี้ก็ดูเหมือนจะเข้าที่เข้าทางมากขึ้น
ตาที่เคยเล็กหยี หมอต้องกรีดให้กว้างขึ้น เพื่อให้ดูโตขึ้นตามการฉีกขาดของตาด้านขวา ดั้งจมูกที่ยุบไปเพราะถูกกระแทกตอนเอาหน้าฟาดกับพื้น ถูกหมอเอาอุปกรณ์มาเสริมให้โด่งกว่าเดิมเล็กน้อย คางที่ร้าวอยู่ก็ได้หมอช่วยทำให้เนียน
ดังนั้นตอนนี้ ณัฐวีร์จึงมีใบหน้าใหม่ที่ถ้าใครได้เห็นก็ต้องมีเหลียวหลังมอง ใบหน้านั้นเคยทำให้เขาได้รับคัดเลือกเป็นเชียร์ลีดเดอร์เลยด้วยซ้ำ แต่เพราะปัญหาเรื่องสุขภาพจึงต้องขอสละสิทธิ์ไปเสีย
ส่วนอาการความจำเสื่อม.. หมอบอกว่าเป็นภาวะที่เขาปิดกั้นความทรงจำของตนเอง จึงมีผลให้เขาลืมเรื่องราวในช่วงสองเดือนก่อนหน้าจะเกิดอุบัติเหตุไปเสียหมด ..และจนป่านนี้.. เขาก็ยังจำมันไม่ได้ หากแต่..มันไม่ส่งผลอะไรกับการดำรงชีวิตนัก เขายังสามารถเรียนม.หกจนจบและสอบเข้าธรรมศาสตร์ได้ ทำให้เขาไม่ได้สนใจจะรื้อฟื้นความทรงจำนั้นขึ้นมาอีก
และดูเหมือนคนรอบข้างก็จะไม่ได้พยายามช่วยกระตุ้นความทรงจำของเขาด้วย
“แล้ววันนี้มาไหม?” แพรวเอ่ยถาม
“จะเหลือเรอะ.. นั่งคุยอยู่กับแม่อ่ะ ไม่ยอมกลับตั้งแต่บ่ายแล้ว”
“ขนาดรู้ว่ามีแฟนแล้วยังหน้าด้านหน้าทนเนอะคนเรา” สาวน้อยบ่นอุบพลางกัดหลอดไปด้วย “ดีนะฉันยังอยู่เป็นไม้กันหมาให้แก”
“อยู่ไปก่อนแล้วกัน.. ไม่รู้ทางนั้นจะเบื่อหน้าเราเมื่อไหร่.. นี่เทียวไปเทียวมาทุกวันจนทางนี้เซ็งจะแย่แล้ว” ณัฐวีร์บ่นอุบ
การขับรถจากมหาวิทยาลัยไปบ้านในช่วงวันธรรมดานั้นเป็นเรื่องสาหัสเลยทีเดียว แต่เพราะนี่เป็นวันหยุด ทำให้เขาใช้เวลาเพียง 30 นาที เท่านั้นเอง
พอรถเข้าไปจอดในลานจอด ณฐกาก็เดินออกมารับ
“หิวจังเลยค่ะแม่ไก่..”
แพรวนั้นสนิทสนมกับทางบ้านนี้เป็นอย่างดี เธอจึงเป็นเหมือนลูกสาวของบ้านนี้ด้วย ก็เหมือนกับณัฐวีร์ ที่จะไปเป็นลูกชายของบ้านแพรวอยู่รอมร่อ ถึงขนาดแม่ของแพรวเคยเปรยเลยว่า
“ถ้าไม่มีใครขอแพรวแต่งงาน นัทมาเอามันไปเลี้ยงด้วยนะลูก เดี๋ยวแม่แถมสินสอดให้ด้วย” เล่นเอาทั้งบ้านฮากันใหญ่ว่าตกลงสองคนนี้หมั้นหมายกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะ จะได้ไม่ต้องไปหาใครอีก
แต่ชีวิต...มักไม่มีอะไรแน่นอน.. ละครบทใหม่หลังจากที่อยู่อย่างปกติสุขมาได้เกือบสองปีกำลังจะเปิดฉากขึ้นอีกครั้ง
ทั้งสามคนเดินด้วยกันโดยมีณัฐวีร์รั้งท้าย ในลานจอดรถเขาเห็นรถคันนั้นจอดอยู่ที่เดิม ดังนั้น เขาจึงไม่ได้เอ่ยถามว่ายังอยู่ไหม แต่สิ่งที่ถามก็คือ “แม่จ๋า ทำไมยังไม่ไปอีกล่ะ”
“เห็นว่ามีเรื่องจะคุยกับเราน่ะ รอมาตั้งแต่บ่ายก็อย่าเล่นตัวนักเลย ไปคุยกับพี่เขาให้รู้เรื่องเถอะ..”
“แม่เข้าข้างเขานี่ ป๊ายังบอกเลยว่าไม่ต้องสนใจ”
“ก็ไม่ได้สนใจมาเป็นปีแล้วไม่ใช่เหรอเราน่ะ พี่เขาอุตส่าห์มาเยี่ยมไข้ออกบ่อย ขับรถพาไปโรงพยาบาลก็เคย”
“ไม่ได้ขอสักหน่อย..เนอะ” ตอนสุดท้ายยังหันมาพยักหน้ากับเพื่อนรัก แล้วชวนกันหัวเราะร่วน
“เถอะ ไปคุยกันให้เรียบร้อย เขาจะได้กลับเสียที มานั่งอยู่สามสี่ชั่วโมงแล้ว น่าจะมีอะไรไม่งั้นคงกลับไปนานแล้ว”
“ตามบัญชาครับคุณนาย”
แต่ขณะที่ทั้งหมดกำลังจะผลักประตูเข้าไป รถเบนซ์คันหนึ่งก็แล่นโฉบเข้ามา และเมื่อประตูเปิดออกคนที่ก้าวลงมาก็คือ
“พี่มน..” คุณณฐการ้องทักอย่างยินดี “นี่มาเองเลยหรือคะ”
คนถูกทักยกมือรับไหว้เด็กๆ แล้วจึงเอ่ยตอบ “ใช้ตาคนนั้นคงไม่ได้เรื่อง พี่มาเองน่าจะดีกว่า”
“จริงค่ะ..” คุณณฐกาพยักหน้าพลางปรายตามองลูกชาย
คนใกล้ตัวจะรู้..บทจะดื้อ พ่อคนนี้เขาก็ไม่ใช่ย่อยเหมือนกัน
เจ้าของพื้นที่เชิญแขกที่มาใหม่เข้าไปในร้านแล้วก็พบว่ามีคนชะเง้อคอยืดรออยู่แล้ว
“สวัสดีครับ..” ชายหนุ่มในชุดลำลองยกมือขึ้นไหว้ผู้มาใหม่ “ไม่น่าต้องลำบากมาเองเลยครับ”
“รอให้เราดำเนินการไม่ทันใจป้า..” ว่าแล้วคุณมนธิชาก็นั่งลงข้างกัน “ตกลงยังไงกัน..แชร์”
“รอคุยกับน้องอยู่ครับ”
การประมวลผลจากคำพูดของคนสองคนนี้ไม่ทำให้ณัฐวีร์เข้าใจอะไรมากขึ้น ดังนั้นเขาจึงหย่อนตัวนั่งลงตรงหน้าคุณมนธิชาและเตรียมพร้อมที่จะรับฟังเรื่องราว
“มีธุระคุยกันแบบนี้เดี๋ยวแพรวกลับบ้านก่อนดีกว่า”
ณัฐวีร์หันไปหาทันที “อ้าว..งั้นเรา..”
“ไม่เป็นไร เดินไปไม่ถึง 300 เมตรเราไปเองได้ อยู่คุยธุระเถอะนัท”
“งั้นเราไปส่งหน้าร้าน” แล้วณัฐวีร์ก็หันมาขอตัวกับผู้ใหญ่เล็กน้อยก่อนจะลุกออกจากโต๊ะไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง
สายตาของคุณมนธิชามองแผ่นหลังของเด็กสองคนที่เดินเคียงกันไปแล้วหันกลับมามองชายหนุ่มที่นั่งข้างกันอย่างเป็นกังวล..ฝ่ายนั้นเองก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ
“แบบนี้จะดีหรือคะพี่มน?”
“พี่คงต้องลองเสี่ยงดู..”
คุณณฐกายิ้มรับพลางยื่นมือมาบีบมือของรุ่นพี่
พวกเธอมีสถานะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องห่างกันหนึ่งปี แม้ไม่ใช่พี่รหัสโดยตรง แต่ก็เป็นเพื่อนพี่รหัสน้องรหัสในกลุ่มเดียวกัน ดังนั้นจึงสนิทกันพอประมาณ.. ยิ่งเมื่อมีลูกชายสองคนที่เกี่ยวข้องกัน ช่วงหลังมานี้พวกเธอจึงได้พูดคุยกันบ่อยครั้งขึ้นและยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้นจนสามารถไหว้วานหรือปรับทุกข์กันได้เลยทีเดียว
หลังจากส่งแพรวเรียบร้อยแล้ว ณัฐวีร์จึงเดินกลับมานั่งลงที่เดิม ..เขาเคยพบเพื่อนของแม่คนนี้มาสองสามครั้งแล้ว ทุกครั้งที่เจอคือเขาอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล ครั้งแรกคือตอนที่เจ็บหนักอยู่ที่เชียงใหม่ ครั้งต่อมาคือตอนต้องเข้ารับการผ่าตัดศัลยกรรม
คุณมนธิชาเป็นคนใจดีที่พร้อมให้ความช่วยเหลือแม่เสมอ จนบางครั้งเขาก็แอบสงสัยว่าทำไมคุณมนธิชาต้องออกค่ารักษาให้กับเขาด้วย ลูกหลานก็ไม่ใช่ แค่ลูกเพื่อนรุ่นน้องหนึ่งปีเท่านั้นเอง
แต่พอถามแม่ แม่ก็บอกว่าคุณป้าใจดี อยากช่วยเหลือเพราะเอ็นดูเขา เขาจึงไม่ได้ติดใจซักถามอะไรนัก เรื่องนี้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ให้ผู้ใหญ่คุยกันไปแล้วกัน
“คุณป้าอยากได้นัทไปช่วยงานน่ะลูก..” แม่เป็นคนเอ่ยขึ้นมาก่อน “แม่เห็นว่านัทใกล้ปิดเทอม ถ้าไปลองฝึกงานกับคุณป้าก็จะได้เอาไปเสริมกับการเรียนของนัทด้วย”
ณัฐวีร์ยิ้มรับคำพูดของมารดา พลางปรายตาไปมองบิดาที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ ป๊าหน้าตาไม่สะเบยมาตั้งแต่เขาเข้ามาในร้านแล้ว ป๊าเป็นคนพูดน้อยต่อยหนัก งานนี้ไม่พูดแต่หน้าตาบอกเลยว่าไม่อยากให้ไปทำ
“นัทยังไงก็ได้ครับ แต่ยังไม่เคยทำงานมาก่อนก็เลยกลัวจะไปทำให้คุณป้าเสียงาน”
“ไม่เป็นไรหรอกนัท ป้ามีคนคอยไกด์ให้นัทด้วย ไปทำงานกับเลขาป้า นัทจะได้มีค่าขนมระหว่างปิดเทอมไง” คุณมนธิชาเอ่ยขึ้นบ้าง
อันที่จริง เรื่องค่าขนมก็อยากได้อยู่นะ ใกล้วันเกิดป๊าแล้ว เขาเลยอยากซื้อของขวัญให้ป๊าด้วย แต่..ความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นนี่มันอะไรก็ไม่รู้สิ
“นัทไม่ต้องห่วงนะ พี่จะไปรับไปส่งนัทเอง” คราวนี้คนที่พูดกลายเป็นพี่แชร์ที่นั่งร่วมวงอยู่ด้วย
“นัทก็มีรถนะพี่ ทำไมต้องรอพี่ไปรับไปส่ง” ณัฐวีร์เอ่ยด้วยเสียงหัวเราะ เล่นเอาคนเสนอถึงกับหัวเราะตามและยกมือลูบท้ายทอยตัวเองแก้เก้อ
“ก็นั่นสิ.. ถ้าต้องให้แชร์ไปรับไปส่งป้าให้รถที่บริษัทมารับมาส่งนัทไม่ดีกว่ารึ” คุณมนธิชาพูดด้วยเสียงหัวเราะเช่นกัน ทำให้บรรยากาศดูสดใสขึ้น
มื้ออาหารเย็นผ่านไปพร้อมข้อตกลงที่ว่าณัฐวีร์จะแจ้งไปอีกครั้งเพราะยังหาข้อตกลงไม่ได้..
หลังมื้ออาหารเย็นที่ต่างล่ำลากันแล้วเรียบร้อย ณัฐวีร์กลับไม่เห็นบิดาของเขาอยู่ที่ร้านอาหารด้านล่าง เด็กหนุ่มรู้สึกว่าป๊าเงียบไปกว่าปกติจึงอยากจะคุยกับบิดาเสียหน่อย
เขาเดินขึ้นไปที่ชั้นดาดฟ้าของตึก ..ร้านนี้เป็นอาคารพาณิชย์ตีทะลุกันสี่ห้อง ด้านบนเป็นที่พักของพวกเขา ป๊ากับแม่อยู่ชั้นหนึ่ง ณัฐวีร์อยู่อีกชั้นหนึ่ง อีกสองชั้นที่เหลือถูกปรับพื้นที่เป็นส่วนว่างเปล่าไว้เก็บของสำหรับร้านบ้าง ไว้ใช้สอยสำหรับกิจกรรมครอบครัวบ้าง ส่วนดาดฟ้าถูกดัดแปลงให้เป็นสวนหย่อมย่อมๆ มีส่วนที่ปลูกต้นไม้ของแม่ กับอ่างเลี้ยงปลากัดของป๊า ส่วนของณัฐวีร์เป็นศาลาที่สามารถจุเพื่อนได้เกือบสิบคน
และป๊านั่งอยู่ในศาลานั้น ..


[ต่อด้านล่าง]
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 20 [21.0.14]
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 21-04-2014 10:25:10
คุณวีรชาติทอดสายตามองออกไปยังท้องฟ้าที่มืดทะมึนของราตรี เสียงยวดยานด้านล่างยังดัง ไฟตามบ้านเรือนยังไม่ปิด มันยังแค่หัวค่ำเท่านั้นเอง
“ป๊า..” ณัฐวีร์ร้องเรียกทำให้ร่างนั้นไหวขึ้นมานิดหน่อย คุณวีรชาติหันกลับมายิ้มให้ลูกชายแล้วมองจนเด็กหนุ่มหย่อนตัวนั่งลง
ลูกชายคนนี้คุณวีรชาติรักมาก เขามีลูกเมื่ออายุเกือบสี่สิบปีแล้ว จึงทั้งรักทั้งห่วงลูกคนนี้ พอลูกมาเจ็บหนักจนต้องผ่าตัดไปหลายครั้ง แถมยังต้องมาทำศัลยกรรมยกหน้าใหม่ ทำให้คนเป็นพ่อรู้สึกเจ็บปวดที่ดูแลลูกชายไม่ได้ดีพอ
แม้ว่าพอผ่านเรื่องร้ายๆ ศัลยกรรมเรียบร้อยแล้วหน้าตาจะดีขึ้น การบำรุงด้วยวิตามินต่างๆและออกกำลังกายทำให้ดูมีเนื้อหนังมากขึ้น จนสามารถบอกได้ว่าลักษณะภายนอกนั้นดูดีมาก แต่คุณวีรชาติรู้ดีว่า อุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้ลูกชายของเขาสูญเสียตัวตนบางอย่างไป ผลกระทบทางด้านสมองนอกจากจะทำให้ความจำเสื่อมแล้ว ณัฐวีร์ยังมีความผิดปกติทางกระบวนความคิดด้วย เขาตัดสินใจได้ช้าลง และเหมือนจะจดจ่อกับบางอย่างจนคล้ายจะย้ำคิดย้ำทำ บางครั้งอารมณ์ก็ฉุนเฉียวง่ายจนต้องควบคุมด้วยยา และต้องไปหาหมอตามที่สั่งเสมอ
สมอง..ไม่เหมือนเดิมเพราะถูกกระทบกระเทือน แต่ยังดีที่เรียนได้ เพื่อนๆช่วยกันประคับประคองจนมาถึงวันนี้
“ป๊าเป็นอะไร กลุ้มใจเรื่องนัทจะไปทำงานหรือเปล่า?”
“ป๊าก็ห่วงนัทแหละ มีอยู่คนเดียวไม่ห่วงนัทจะห่วงใคร”
“งั้นป๊าไม่อยากให้นัทไปทำงานเหรอ?”
คุณวีรชาติส่ายหน้า “เปล่า ป๊าอยากให้นัทได้ประสบการณ์ แต่ป๊าก็ห่วง”
“ป๊าห่วงอะไรล่ะ”
คุณวีรชาติมองหน้าลูกชายแล้วถอนใจ “ก็ห่วงไปหมด คนแก่ก็แบบนี้ล่ะ มีเรื่องอะไรให้คิดก็คิดมากไปเรื่อย”
“ใครว่าป๊าแก่... ยังหนุ่มอยู่เลย” ณัฐวีร์ยิ้มพร้อมกับจับมือคุณวีรชาติมาบีบนวด “นัทต่างหากที่ห่วงป๊า..เรื่องตึกหาไปถึงไหนแล้วอ่ะป๊า ไม่เจอที่ชอบเลยเหรอ”
“ก็.. มองๆ ไปเรื่อยๆ เรายังมีเวลาอีกตั้งครึ่งปี”
“ครึ่งปีมันแว่บเดียวเอง ไหนจะต้องไปตกแต่ง ไปโฆษณาอีก”
พื้นที่ของตึกนี้กำลังจะถูกเวนคืนนำไปทำสะพานขยายถนน ทำให้ร้านนี้ต้องย้าย แต่การจะย้ายก็ไม่ใช่ง่าย ป๊ากับแม่หาตึกใหม่มาระยะหนึ่งแล้ว แต่เพราะยังไม่ได้ทำเลดีๆ จึงยังไม่ตกลงซื้อเสียที
“มาเรื่องงานของนัทก่อนดีกว่า นัทอยากไปทำกับป้าเขาไหม”
“ไม่รู้สิป๊า นัทอยากทำนะ แต่พอเห็นป๊าเงียบๆ แบบนี้เหมือนป๊าไม่อยากให้นัทไปอ่ะ นัทก็เลยห่วง”
คุณวีรชาติยกมือขึ้นลูบหัวลูกชาย “ก็ป๊าห่วงเรา กลัวจะคิดมาก เราก็รู้ว่าป้าเขาอยากให้เราไปฝึกงานพร้อมลูกของเขา”
นั่นแหละสิ่งที่ณัฐวีร์รู้สึกแปลกๆ มาตลอดการพูดคุย ทำไมต้องให้ไปทำงานด้วยกัน?
เขาจำได้ว่าเจอกับคุณมกรมาสองสามหน ตอนที่ป้าไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล และมีครั้งหนึ่งที่ชายคนนั้นแวะมาหาที่ร้าน มาทานข้าว ด้วย.. การเจอกันและทานข้าวร่วมโต๊ะกันไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะป๊าก็รู้จักคนเยอะ แม่ก็มีญาติๆ เพื่อนๆมาเยี่ยมไข้เขาแยะ
แต่มันแปลกตอนที่จบมื้ออาหาร เขาถูกแม่คะยั้นคะยอให้ไปส่งฝ่ายนั้นที่รถตามลำพัง
“พี่จะไปอเมริกานะ”
ณัฐวีร์มองหน้าคนพูดอย่างสงสัย จะไปไหนทำไมต้องบอกเขา แต่ก็พยักหน้ารับ “เดินทางปลอดภัยครับ”
“ไปส่งไหม?”
เขากะพริบตาปริบ “เดี๋ยวถามแม่ก่อนครับ”
คนตัวสูงกว่าพยักหน้ารับ แล้วไขประตูรถ “ไม่ถามเหรอว่าพี่ไปทำไม”
ณัฐวีร์ชักจะนึกรำคาญ เด็กหนุ่มก็เลยตอบไปโต้งๆ เลย “ไม่ล่ะครับ มันธุระของพี่ ผมไม่อยากไปซ่อกแซ่ก”
อีกฝ่ายเงียบไป เสียงกุญแจรถดังก้อกแก้กเหมือนจะไขประตูไม่ได้เสียที จนณัฐวีร์รำคาญหนักขึ้นจนเริ่มจะกลายเป็นหงุดหงิด.. ต้องยอมรับว่าตั้งแต่ป่วย เขามีความอดทนต่ำลงมาก
“งั้นผมเข้าบ้านนะครับ”
เขาพูดแล้วก็หันตัวกลับทันที แต่แรงปะทะจากคนด้านหลังทำให้ร่างที่ยังไม่ทันได้ก้าวไปไหนกลายเป็นไร้ทางได้ก้าว
อ้อมแขนของฝ่ายนั้นโอบกอดเข้ามากระชับ ..ใบหน้าซบอยู่กับไหล่ที่ยังมีอาการเจ็บน้อยๆ จนณัฐวีร์ต้องร้อง
“เจ็บนะครับ..ทำอะไรเนี่ย!”
เขาร้องประท้วงทำให้อ้อมแขนนั้นคลายออกกลายเป็นมือที่จับต้นแขนให้เขาหันกลับไปหา “ขอโทษที่ทำให้เจ็บ พี่จะไปปีนึงพี่คงคิดถึงนัทมาก.. นัทไม่ต้องไปส่งพี่ก็ได้ แต่วันนี้ ตอนนี้ ขอให้พี่ได้กอดนัท ขอให้พี่ได้กอดลา..นะ”
แล้วผู้ชายคนนั้นก็ไม่รอฟังคำอนุญาต เขาถูกกอดอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งเป็นเวลาที่เขาทั้งฉงนและสงสัยว่าทำไมเขาต้องมายืนให้ผู้ชายคนนี้กอด แล้วคุณมกรก็จากไปพร้อมกับข้อสงสัยที่ยังไม่ได้รับคำตอบของเขา
พอเข้ามาถามแม่ถึงความสนิทสนมของพวกเขา คำตอบที่ได้ก็คือ สนิทกันระดับหนึ่ง แต่พอแม่ทำท่าเหมือนจะพูดต่อ ป๊าก็ลุกเดินหนีไป ทำให้ทุกอย่างยังเป็นคำถามที่ไร้คำตอบอย่างชัดเจน หลังจากนั้นพอเขาจะเอ่ยถามแม่ไก่ แม่ก็จะหลีกเลี่ยงคำตอบไปจนเขาเลือนๆ เรื่องนี้ไปเอง
สาเหตุจากความรู้สึกแปลกๆ ที่ติดอยู่นี้ ทำให้ณัฐวีร์ไม่กล้ารับปากไปทำงานด้วยทันทีที่ได้รับข้อเสนอ แต่นาฬิกาที่เล็งไว้ให้คุณวีรชาติก็ราคาใช่ย่อย เงินเก็บที่มีมันก็พออยู่ แต่มันน่าจะดีถ้าเขาหาของขวัญได้จากน้ำพักน้ำแรงของขาเอง ไม่ใช่เงินเก็บที่มาจากเงินค่าขนมที่พ่อแม่ให้
“เอาแบบนี้นะนัท ป๊าให้นัทตัดสินใจแล้วแต่ว่านัทจะอยากไปทำงานหรือเปล่า นัทไม่ต้องห่วงป๊า แต่ป๊าอยากให้นัทห่วงตัวเองก่อน ถ้าไม่ไหวก็บอกไม่ไหว แม่เขาไม่ว่าหรอก”
“ครับป๊า..” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ
หลังจากพูดคุยกันตามประสาพ่อลูกแล้ว ณัฐวีร์จึงได้ข้อสรุปว่าเขาน่าจะต้องทำงานพิเศษนี้ แม้จะมีคุณมกรทำงานด้วย ก็คงจะไม่มีอะไร ซึ่งเมื่อแจ้งไปว่าจะรับงานและพร้อมเข้าฝึกงานหลังสอบเสร็จ แค่หลังจากนั้นเพียงสองอาทิตย์ก็มีกำหนดการเริ่มงานออกมา
การสอบปลายภาคเป็นเรื่องที่ไม่หนักหนาอะไรนักสำหรับณัฐวีร์ เด็กปีหนึ่งการเรียนยังไม่หินมาก อีกทั้งณัฐวีร์มีเพื่อนอย่างแพรวที่เป็นคนหัวดี จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะสอบผ่านได้

**************

TBC.
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 20 [21.04.14] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-04-2014 11:38:05
มาแล้วๆตอนใหม่มาแล้ว รอนานมากกกกกก
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 20 [21.04.14] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 21-04-2014 13:48:08
สาร์นจากคนแต่งฝากมาค่ะ

เห็นมีหลายคนห่วงเรื่องนัทอยู่กับพี่แม้นที่เป็นโรคจิต

ต้องบอกว่าแม้นเป็นโรคจิตเภทจริง เขามีปัญหาการเข้าสังคมเรื้อรังมาตั้งแต่วัยเด็ก และในภาค 2 นี้ล่ะจะแกะปมออกมาให้เห็นว่าทำไมแม้นถึงมีพฤติกรรมเยี่ยงที่แสดงในภาคแรก (ทั้งเรื่องไม่สามารถควบคุมความรุนแรง ไม่สามารถแสดงความรู้สึกจริงๆออกมา ไม่กล้าทำในเรื่องดีๆ อย่างตอนไม่สบายที่นัทดูแลนั่นก็หวั่นไหวนะ อยากขอบคุณนัทนะ แต่ไม่รู้จะต้องทำตัวอย่างไร)

ถึงแม้ว่าแม้นจะเป็นโรคจิตเภท แต่โรคนี้มีหลายลำดับขั้น ของแม้นแค่ทานยากับได้รับการบำบัดอย่างใกล้ชิดอย่างต่อเนื่อง แม้นก็จะหายได้ ไม่ใช้คนบ้าที่ต้องอยู่โรงพยาบาล (อันนั้นหลุดจากโลกแห่งความเป็นจริง อาจมีผลมาจากการใช้ยาเสพติด ซึ่งเราได้บอกไว้แต่ต้นแล้วว่าเรื่องยา แม้นไม่ยุ่ง)

ดังนั้น.. การไปรักษาทางจิตของแม้น จึงเป็นการไปเยียวยาและคลี่คลายปมที่อยู่ในใจเพื่อให้หลุดจากอดีตของเขา หลุดจากเรื่องที่เขาคาใจ

จะเห็นได้ว่าต้นๆภาค 2 นั้น คนเขียนเริ่มหลุดปมของแม้นมาเรื่อยๆ เขียนในส่วนของแม้นศรีมากขึ้น อย่างตัวคุณตาของแม้น คุณหม่าม๊าที่จะมีบทบาทเยอะขึ้น.. ซึ่งเดี๋ยวอีกสักพัก (ใหญ่ๆ) ก็จะเห็นละว่าแม้นนั้นน่า “สงสาร” จริงๆนะ

หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 20 [21.04.14] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 21-04-2014 17:15:11
รับทราบ และจะรออ่านนะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 20 [21.04.14] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 21-04-2014 19:40:27
รออ่านนะคะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 20 [21.04.14] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 21-04-2014 21:24:25
สนุกจังครับ ภาคนี้ท่าทางเกมจะเปลี่ยน
แต่ยังไงก็สงสารนัทอยู่ดี
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 20 [21.04.14] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: saradino1 ที่ 21-04-2014 22:19:35
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: มาติดตามกันต่อ55555
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 20 [21.04.14] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 21-04-2014 22:46:04
นัทกลับมาแล้ว
มกรหายไปคราวนี้กลับมาจะหายจิตหรือเปล่านะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 20 [21.04.14] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: Pawaree ที่ 21-04-2014 23:15:40
จะรอนะครับ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 20 [21.04.14] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 21-04-2014 23:22:34
ติดตามจ้าาาา


:)
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 20 [21.04.14] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 22-04-2014 10:17:52
ถึงเวลานัทเอาคืนแล้ว
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 20 [21.04.14] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 22-04-2014 11:12:02
ดันๆ o13 o13

น้องนัทน่ารักขึ้นขนาดนี้ ไม่มีใครมาจีบเลยเหรอ?  :-[ :-[
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 20 [21.04.14] P.8
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 22-04-2014 12:51:11
กลัวจะได้ซัดมาม่าอีกจริงๆ
งือออออ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21 [25.04.14] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 25-04-2014 23:13:34
มาต่อตอนใหม่จ้า าาา







ตอนที่ 21




วันนี้เป็นวันเริ่มงานที่บริษัทคุณมนธิชาอย่างเป็นทางการ

“เชิญทางนี้ค่ะ” เลขาสาวรอรับณัฐวีร์อยู่ที่ล็อบบี้ของตึก เด็กหนุ่มถูกพาขึ้นไปสู่ชั้นผู้บริหารซึ่งเป็นชั้นเกือบบนสุดของตึกทำการ เมื่อลิฟต์เปิดออกโถงกว้างที่มีพื้นพรมลวดลายเรียบขรึมก็ปูลาดไปจนสุดมุมตึกที่เป็นกระจกสูงเกือบสามเมตรยาวจากพื้นจรดเพดาน ด้านขวามือมีโต๊ะตัวหนึ่งตั้งอยู่พร้อมมีตู้เอกสารและสิ่งอำนวยความสะดวกอาทิเครื่องใช้สำนักงานประเภทเครื่องถ่ายเอกสารตั้งอยู่ด้วย คาดว่าน่าจะเป็นโต๊ะของคุณเลขา ถัดไปเป็นประตูห้องทำงานที่เปิดกว้างอยู่ แต่จากมุมนี้ณัฐวีร์ยังมองไม่เห็นว่าเป็นห้องของใคร

“ด้านขวานี้เป็นห้องของท่านประธานค่ะ เดี๋ยวคุณณัฐวีร์จะได้ฝึกงานที่ห้องด้านซ้าย”
การเฉลยของคุณเลขาแอมทำให้คนฟังยิ้มรับ เขาเหลือบมองประตูห้องด้านซ้ายที่ปิดอยู่แล้วจึงหันกลับมาให้ความสนใจเลขาสาวอีกครั้ง “เรียกนัทเฉยๆ ก็ได้ครับพี่แอม ผมยังต้องรบกวนพี่อีกเยอะเลย มีอะไรก็แนะนำผมได้นะครับ”

หญิงสาวถึงกับยิ้มกว้างเลยทีเดียว “ขอบคุณนะคะ ..เราเข้าไปหาท่านประธานกันเถอะค่ะ ท่านรอคุณอยู่แล้ว”
แอมเดินนำเข้าไปในห้องคุณมนธิชา ก่อน หญิงทำงานเก่งคนนั้นละสายตาจากคอมพิวเตอร์เมื่อมีเสียงขออนุญาต

“นัท มาแล้วหรือ..เข้ามาสิ ป้ากำลังรออยู่เลย” เธอพูดพลางรวบเอาเอกสารบางอย่างเข้าแฟ้มแล้ววางแอบไว้ด้านหนึ่ง “แอมฝากเอาน้ำมาให้นัทหน่อย แล้วแมนมาหรือยัง?”

“มาแล้วค่ะ ให้เชิญมาเลยไหมคะ”

“โอเค.. มาพร้อมกันเลยทีเดียว เดี๋ยวเราต้องออกไปที่สวิสโฮเต็ลใช่ไหม”
เลขาสาวตอบรับก่อนจะถอยออกไปเชิญคนอีกห้องหนึ่งมา

“นัทมาที่นี่ลำบากไหม” คุณมนธิชาเอ่ยถาม

“ไม่ครับ เสียแต่รถเยอะไปหน่อย” ณัฐวีร์ตอบพร้อมรอยยิ้ม

“ถ้ามาเช้าจะไม่ค่อยติด แถวนี้โรงเรียนเยอะผู้ปกครองยิ่งเยอะกว่า แล้วพอจะขับรถไหวไหมล่ะคะ ถ้าไม่ไหวป้าจะให้คนไปรับ”

“ไม่เป็นไรครับ นัทว่าจะเปลี่ยนมาเป็นรถไฟฟ้าแล้วครับ มาแบบนั้นสะดวกกว่า แล้วก็เร็วกว่าเยอะ”

“อ้าว แล้วมาจากบ้านเรายังไง”

“เรียกรถมาเองก็ได้ครับ นิดเดียวเอง”

“จะเอาแบบนั้นก็ตามใจนะ แต่ถ้าไม่ไหวนัทบอกพี่แมนเขาได้ ให้เขาไปรับ”

ณัฐวีร์ได้แต่ยิ้มพร้อมตอบในใจว่า ..นั่นยิ่งไม่เอาใหญ่เลยครับ ยอมเสียเงินนั่งแท็กซี่ดีกว่าอีก
ความรู้สึกตะขิดตะขวงใจแปลกๆ ที่ยังไม่เลือนหายไปทำให้ณัฐวีร์อยากจะอยู่ให้ห่างอีกฝ่ายไว้ แม้ว่าแม่ไก่จะอธิบายแล้วว่าครอบครัวเราเคยสนิทกันก่อนที่คุณมกรจะไปอเมริกา แต่ณัฐวีร์กลับไม่รู้สึกเลยสักนิด ทุกครั้งที่เห็นหน้า เขากลับไม่สนิทใจ

แต่บางที..เขาอาจจะคิดมากเกินไปก็เป็นได้ เพราะตั้งแต่ครั้งนั้น คุณมกรก็ไม่เคยโทรมา หรือมาปรากฏตัวให้เห็นอีกเลย

ความเคลื่อนไหวใกล้ตัวทำให้ณัฐวีร์เกร็งร่างขึ้นเล็กน้อย เขาหันไปมองคนมาใหม่แล้วก็พบว่าฝ่ายนั้นดูตัวหนาขึ้นกว่าล่าสุดที่เคยพบกัน อาจเพราะอยู่ในสูทภูมิฐานสีควันบุหรี่นั่นจึงทำให้ร่างสูงใหญ่กว่าทุกครั้งที่เจอกัน ใบหน้าคมคายเห็นไรเขียวของหนวดตามแนวคางยาวไปตลอดสันกราม ทรงผมก็เปลี่ยนไปด้วย เมื่อก่อนเคยยาวกว่านี้ตอนนี้สั้นแถมเซ็ทมาอย่างดีเสียด้วย

ฝ่ายนั้นหันมายิ้มให้ณัฐวีร์เล็กน้อยแล้วถึงหันกลับไปมองมารดาตนเอง ทำให้คนที่เผลอมองอยู่ต้องรีบกะพริบตาแก้เก้อแล้วหันไปให้ความสนใจกับคุณมนธิชาบ้าง

“มาครบกันแล้วก็คุยเรื่องงานกันเลยนะ..”
รายละเอียดงานที่ได้รับมอบหมายนั้น พวกเขาต้องทำงานร่วมกันเพื่อเรียนรู้งานของบริษัททั้งหมดโดยการศึกษาจากแฟ้มงาน สอบถามคุณแอม และการเดินทางไปดูงานตามที่ต่างๆ ทั้งในต่างจังหวัดและอาจรวมถึงต่างประเทศ

“เรื่องแฟ้มงาน แมนคงเห็นที่แอมเตรียมไว้ให้ในห้องแล้ว เดี๋ยวก็ผลัดกับน้องอ่านกันไปนะ เวลาสงสัยอะไรหรืออยากได้อะไรให้สองคนปรึกษากันก่อนมาถามกับแอม แม่อยากให้รู้จักหาข้อมูลและพูดคุยถามกันเองก่อนมายืมกำลังของคนอื่น ทุกอย่างที่เตรียมไว้ให้เป็นข้อมูลทั้งหมดของบริษัทแล้ว”
หนุ่มสองคนตอบรับคำแล้วนิ่งฟังรายละเอียดต่อ
“อาทิตย์หน้า แม่อยากให้เราสองคนเตรียมไปฮ่องกงกับแม่ นัทมีพาสปอร์ตใช่ไหมคะ?”

ณัฐวีร์ทำตาโตพร้อมกับตอบรับ “มีครับ แต่จะให้ผมไปด้วยหรือครับ”

“ใช่ค่ะ แม่ต้องไปประชุมงานที่โน่น ก็เลยอยากให้ไปด้วยกัน”

“เรื่องนี้ที่บ้านผม..”

“ไม่ต้องห่วงค่ะ น้องไก่รู้เรื่องแล้ว”
ณัฐวีร์ยิ้มแหยๆ เขาไม่ได้คิดว่าการมาทำงานครั้งนี้จะได้มีโอกาสออกต่างประเทศด้วย เพราะปกติ ถ้าให้พูดกันตรงๆ เขาก็แค่เด็กฝึกงานคนหนึ่ง การที่บริษัทจะมาลงทุนพาไปดูงานต่างประเทศก็ออกจะเป็นการลงทุนที่หนักมากเกินไปหน่อย

“ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เรื่องนี้แม่จัดการได้” คุณมนธิชาเห็นเด็กลำบากใจก็เลยยิ้มปลอบใจมากขึ้น และพูดคุยรายละเอียดงานจนณัฐวีร์คลายกังวลลง

ไปฮ่องกงครั้งนี้ เขามีหน้าที่ติดตามคุณมนธิชาไปทุกที่ เริ่มจากวันแรกต้องไปประชุมกับคณะกรรมการบริหาร วันที่สองไปประชุมกับคู่ค้า 3 ที่  วันที่สามไปเดินงานแฟร์ และวันที่สี่ฟรีหนึ่งวันก่อนวันที่ห้าจะเดินทางกลับ เป็นตารางงานที่ออกจะสบายมากเพราะในการประชุมอะไรนั่น เขาก็แค่ไปนั่งฟังเฉยๆเท่านั้น เป็นการไปศึกษาดูงานจริงๆ

“รายละเอียดของงานที่จะไปฮ่องกงกันในอาทิตย์หน้า แอมเขาเตรียมไว้ให้แล้ว ช่วงอาทิตย์นี้แม่อยากให้เราสองคนอ่านข้อมูลให้ครบ โอเคนะ”

“ครับ..”
คำตอบจากคุณมกรทำให้ณัฐวีร์พยักหน้ารับตามไปด้วย เมื่อได้รับมอบหมายงานทุกอย่างเรียบร้อย

“อ้อ แล้วเดี๋ยวยังไงเย็นนี้ไปทานข้าวกับแม่นะ แม่จะเลี้ยงเด็กฝึกงานใหม่สองคนเสียหน่อย” คุณมนธิชาว่าแล้วโบกมือบอกว่าเสร็จธุระกับทั้งสองคนแล้ว พวกเขาจึงเดินออกจากห้องนั้นมุ่งกลับมาที่ห้องทำงานของตนเอง

ทันทีที่ก้าวพ้นเข้ามายังห้องทำงาน ร่างสูงใหญ่ของฝ่ายนั้นก็หันกลับมารวบตัวณัฐวีร์เข้าไปกอดไว้ทันที
ความที่ยังไม่ทันตั้งเนื้อตั้งตัว คนตัวเล็กกว่าเลยได้แต่แนบหน้ากับแนวไหล่กว้างและปล่อยให้อีกฝ่ายลูบหลังลูบไหล่เขาอยู่พักใหญ่ๆ กระทั่งสติกลับมาดีแล้วนั่นแหละเจ้าตัวถึงเริ่มร้องออกมา
“เอ่อ เดี๋ยวนะครับ..” มือสองข้างเริ่มยกขึ้นมาดึงเสื้อบริเวณเอวของอีกฝ่าย ดึงได้สูงที่สุดแค่นั้นจริงๆ เพราะแขนถูกล็อคไว้ด้วยอ้อมแขนอุ่นๆ เอ้ย แขนแข็งๆ นั่น

“อ้ะ ขอโทษด้วย.. พี่ดีใจที่ได้เจอกันมากไปหน่อย..” คนตัวโตกว่าละอ้อมแขนออกแต่ยังไม่ปล่อยมือจากหัวไหล่คนตัวเล็กกว่า “นัทโตขึ้นนะ ดูสูงขึ้นแล้วก็ไหล่กว้างขึ้น..ว่าแต่สูทนี่มันไม่พอดีตัวหรือเปล่า”

อีกฝ่ายว่าแล้วก็ขยับปลดกระดุมเสื้อสูทให้แล้วก็จับแขนขึ้นพับปลายแขนเสื้อให้ทั้งสองข้างก่อนจะดันให้มันร่นขึ้นมาจนเกือบถึงข้อศอก

“แบบนี้ดูหล่อขึ้นอีกเยอะเลย..”
ณัฐวีร์ยืนอึ้งอย่างไม่ทันตั้งตัวเขาก้มมองแขนของตัวเอง เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนที่แม่เลือกให้ใส่กับสูทสีดำที่เป็นแพทเทิร์นทางการ กลายเป็นชุดลำลองไปทันทีที่ปลดกระดุมและพับแขนแบบนี้

“เดี๋ยวคุณป้ามนว่าเอานะครับ” ณัฐวีร์ร้องบอกอย่างเกรงใจ

“ไม่ว่าหรอก..แบบนี้ดูดี นัทชอบไหม”
ณัฐวีร์ก้มมองตัวเองอีกครั้งก่อนจะพยักหน้ารับแล้วยิ้มให้อีกฝ่าย “ครับ..”

มกรเองก็ยิ้มกว้างตอบรับเช่นกัน เขาเอื้อมมือมาคว้ามืออีกฝ่ายไปแล้วดึงร่างนั้นให้เดินตาม “เดี๋ยวนัทนั่งโต๊ะนี้นะ พี่นั่งโน่น”
โน่นของคุณมกรคือห่างออกไปประมาณห้าก้าวได้

“แล้วเดี๋ยวพี่เอาแฟ้มมาให้”
ร่างสูงใหญ่ผละไปทำให้ณัฐวีร์หย่อนตัวลงนั่งกับโต๊ะทำงาน.. แล้วก็เพิ่งรู้สึกว่าเขาถูกบรรยากาศนั้นทำให้ไขว้เขวจนลืมตกใจเรื่องถูกกอดไปเลย..







(ต่อด้านล่าง)
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21 [25.04.14] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 25-04-2014 23:14:41
+++++++



สำหรับมื้ออาหารกลางวัน
คุณแอมเลขาถามพวกเขาก่อนออกไปกับคุณมนธิชาแล้วว่าจะให้สั่งขึ้นมาทานข้างบนหรือจะลงไปทานที่ห้องอาหารด้านล่าง แล้วสองหนุ่มก็ตัดสินใจกันง่ายๆ ว่าอยากลงไปด้านล่างมากกว่าเพราะอยากเดินสำรวจพื้นที่ และจะได้ไม่ต้องยุ่งยากกับแม่บ้านด้วย
ทำให้เมื่อถึงเวลาพักเที่ยง คนทั้งคู่จึงเดินมาเข้าลิฟต์ผู้บริหารลงไปยังชั้นที่เป็นแคนทีนของตึก แต่ตอนเที่ยงแบบนี้ พนักงานทุกคนก็ต่างมุ่งมาทานอาหารกันที่นี่ทั้งนั้นคนจึงพลุกพล่านและแทบไม่มีโต๊ะว่างเลย

ชายหนุ่มแปลกหน้าที่เดินเคียงกันมาสองคนกลายเป็นเป้าสายตาของพนักงานเหล่านั้นทันที ทั้งด้วยหน้าตาและการแต่งกาย เพราะพนักงานนั้นน้อยคนนักจะใส่สูทลงมาทานข้าวที่แคนทีน
คนทั้งคู่เดินวนหาที่นั่งว่าง คนตัวสูงกว่าเดินตามคนตัวเล็ก บางครั้งก็โน้มตัวลงไปฟังที่อีกฝ่ายพูดและบางครั้งก็สะกิดให้อีกฝ่ายหันมาตามทิศที่ตัวเองต้องการ และต่างก็ไม่ได้สนใจผู้คนที่อยู่รอบตัว เพียงพูดคุยกันเบาๆ สองคน

มกรนั้น โดยส่วนตัวแล้วค่อนข้างมั่นใจว่าตนเองเป็นเป้าสายตาคนง่าย เพราะรูปร่างสูงใหญ่ และบุคลิกโดดเด่น แต่กับณัฐวีร์ เขาเพิ่งจะมาชินสายตาผู้คนเมื่อไม่นานมานี้เอง เพิ่งจะรู้สึกชินก็ตอนที่ได้เดินไปไหนมาไหนกับแพรวที่เป็นลีดและดาวประจำมหาวิทยาลัยนั่นแหละ

“เอาไงดีเรา..” มกรเอี้ยวตัวหมุนไปมาแต่ก็ยังไม่เห็นพิกัดที่พวกเขาจะนั่งกันได้

“ออกไปข้างนอกไหมครับ?”

“หืม?..” มกรเอียงตัวลงมาฟัง แคนทีนนั้นเสียงดังมาก เพดานต่ำทำให้เสียงยิ่งก้อง เขาจึงต้องโน้มหน้าเข้ามาใกล้ๆ ทุกครั้งที่อีกฝ่ายพูด

“ผมว่าเราออกไปข้างนอกกันดีกว่าไหมครับ”

“อืม.. ก็ดีนะ พี่ตามใจเรา” ว่าแล้วฝ่ายนั้นก็โอบมือผ่านไหล่รั้งเอาร่างของณัฐวีร์ให้เดินตามไปที่ลิฟต์

หลังจากทานอาหารง่ายๆ กันที่ร้านอาหารติดแอร์ใต้ตึกสำนักงาน พวกเขาก็กลับขึ้นมาอ่านงานกันเงียบๆ
เอกสารที่ได้อ่านมีทั้งที่เป็นภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ที่เป็นไทยก็ทำความเข้าใจง่ายหน่อย แต่ที่เป็นอังกฤษนั้น ศัพท์ทางการทางด้านธุรกิจมีเยอะมาก บางครั้งที่ณัฐวีร์ไม่เข้าใจคำศัพท์บางคำ จึงเป็นหน้าที่ของมกรต้องอธิบายจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยให้เขาฟัง

ตกบ่าย เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในห้องที่มีเพียงเสียงพลิกหน้ากระดาษไปมา มันเป็นเสียงจากโทรศัพท์ของมกร ฝ่ายนั้นกลอกเสียงนิ่งๆ ลงไปอยู่ชั่วครู่ ครั้นพอวางสายริมฝีปากได้รูปนั้นก็ยกยิ้มบางๆ ขึ้น
ณัฐวีร์ไม่ได้ตั้งใจจะสังเกตพฤติกรรมของใคร แต่เพราะโต๊ะทำงานมันอยู่ตรงข้ามกันเยื้องกันแค่เล็กน้อย ห่างกันแค่ 5 ก้าว จะไม่ให้มองเสียเลยก็ไม่ได้

มกรลุกจากโต๊ะมาหา “แม่บอกว่าวันนี้คงไปด้วยไม่ได้แล้ว ลูกค้าติดต่อเข้ามา แต่จองโต๊ะไว้ให้เรียบร้อย อยากให้เราสองคนไปทานมื้อเย็นด้วยกัน”

ณัฐวีร์เงยหน้าขึ้นมองคนพูดที่ยืนอยู่ชิดเก้าอี้ “หรือเราจะเลื่อนไปก่อนไหมครับ”

“อย่าเลย... แม่ไม่ค่อยว่างหรอก ถ้าเราสะดวกเราก็ไปกันเอง” คนพูดว่าแล้วก็จับเอามืออีกฝ่ายมากุมไว้กระชับบีบเบาๆ “หรือนัทไม่สะดวกจะไปกับพี่แค่สองคน?”

ณัฐวีร์มองตาคนพูดแล้วรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายกำลังตัดพ้อเขาอย่างไรบอกไม่ถูกเหมือนกัน ณัฐวีร์อึกอัก เขาหลบสายตาอีกฝ่ายมามองเอกสารตรงหน้า แต่ยังคงปล่อยมือตนเองให้อยู่ในการเกาะกุมของอีกฝ่าย ไม่ใช่ว่าไม่อยากเอามือออก.. แต่มือนั่นอุ่นมาก ห้องนี้ก็เย็นมากจนถึงขั้นหนาวเลยทีเดียว

“ไม่ใช่ไม่อยากไปกับพี่ครับ ผมแค่อยากรอคุณป้า ไปทานพร้อมกันจะได้อร่อย คนเยอะๆ สนุกดี”

“ไม่เห็นต้องรอเลย..” มือใหญ่ที่กุมอยู่บีบเบาๆ มกรสัมผัสได้ถึงปลายนิ้วเย็นของณัฐวีร์ที่ค่อยๆ อุ่นขึ้น

“งั้นไปทานด้วยกันก็ได้ครับ”

“ดีจัง”
เสียงมกรที่ตอบรับนั้นดังอยู่ใกล้มากจนณัฐวีร์ต้องเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็พบว่าสายตาตัวเองโฟกัสได้แต่เสื้อสูทสีควันบุหรี่ที่เคลื่อนใกล้สายตาเข้ามาเรื่อยๆ กระทั่งความอบอุ่นจากอ้อมแขนคนคนหนึ่งโอบล้อมกระชับเข้ามาที่รอบๆ อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

“...อึก”
ณัฐวีร์ต้องตกใจอีกครั้ง นี่เป็นการกอดครั้งที่สองแล้วตั้งแต่เจอหน้ากันไม่ถึงแปดชั่วโมง แม้ว่าครั้งนี้อีกฝ่ายจะผละออกเองไม่ใช่การขืนตัวจากทางเขา แต่..นี่เป็นการลวนลามกันในสถานที่ทำงานหรือเปล่าเนี่ย?

ณัฐวีร์ทำตาปริบๆ เมื่ออีกฝ่ายยิ้มใส่ตาเขาแต่ก็ไม่ยอมละมือออกจากไหล่

 “ผมไปด้วยก็ได้ครับ ไม่ได้ติดธุระอะไร” ณัฐวีร์พูดแล้วเหลือบมองใบหน้ายิ้มกว้างของอีกฝ่าย “อย่าให้ดึกแล้วกันนะครับ พรุ่งนี้ต้องมาทำงานอีก”
“ได้อยู่แล้ว..” มกรว่าแล้วก็โน้มตัวลงมาหาอีกครั้งเล่นเอาอีกฝ่ายถึงกับผงะอย่างระวังตัว แต่แล้วก็ต้องผงะเก้อเมื่อมกรแค่โน้มตัวลงมาดูเอกสารที่กางอยู่ตรงหน้าแล้วถามว่า “ไหน อ่านอะไรอยู่ สงสัยตรงไหนหรือเปล่า”

ณัฐวีร์นั้นขี้เกียจจะเบี่ยงตัวหลบมือปลาหมึกแล้ว ก็เลยได้แต่ปลงและชี้จุดในเอกสารให้อีกฝ่ายดู “ผมไม่เข้าใจตรงนี้ตามหลักเกณฑ์ทั่วไปบริษัทควรจะต้องตั้งกรรมการสอบวินัยไม่ใช่หรือครับ”

“เคสแผนกบัญชีหรือ..” มกรเอียงหน้าลงมาดู “เคสนี้ได้ยินว่าคนทำรู้ตัวเสียก่อนแล้วเลยทำลายหลักฐานแล้วหนีไป.. แม่เขาให้ฝ่ายตรวจสอบรวบรวมข้อมูลที่เหลือมาได้ แต่มันก็ยังขายข้อมูลบางส่วนที่จะสาวไปถึงตัวการ จนตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าใครอยู่เบื้องหลังทั้งหมด เพราะเราตามตัวพนักงานคนนั้นไม่เจอ ได้แต่ต้องระวังตัวกัน”

“ลำบากเลยนะครับ”

“ใช่.. ก็เลยเป็นเรื่องค้างอยู่เพราะยังตามตัวกันไม่ได้ แต่เรื่องคดีความก็มอบหมายให้ทางฝ่ายกฎหมายเขาไปดำเนินการแล้วล่ะนะ พวกเราก็อ่านเอาข้อมูลไว้ผ่านๆ ตาก็พอ”

“ครับ” ณัฐวีร์พยักหน้าแล้วรับรู้อาการบีบกระชับที่หัวไหล่เล็กน้อยก่อนฝ่ายนั้นจะผละมือออกไป “แล้วเดี๋ยวเย็นๆไปทานข้าวกันนะ..อ้อ ถ้าหนาวเอาชาร้อนหน่อยไหม?”

คนถูกถามได้แต่ทำตาปริบๆ แล้วส่ายหน้า  “ไม่ครับ..ขอบคุณ”
ตอนนี้กลายเป็นว่าตัวเขาเห่อร้อนขึ้นมาจนไม่ต้องพึ่งพาน้ำร้อนใดๆ เลย





****
อาหารเย็นมื้อนั้นเป็นไปอย่างเรียบร้อยดี ณัฐวีร์ได้รับการดูแลจาก “เจ้าภาพ” เหมือนว่าเขาเป็นเด็กน้อยที่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด ขนาดโต๊ะสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ถูกเปลี่ยนมาจากโต๊ะใหญ่เพราะลดจำนวนคน พวกเขายังไม่ได้นั่งอยู่ตรงข้ามกันเลย แล้วผู้ชายสองคน คนนึงแขนขายาวเก้งก้าง ต้องมานั่งเบียดมุมฉากอยู่กับผู้ชายอีกคนที่ก็ไม่ได้เตี้ยกว่ามาตรฐานผู้ชายไทยทำให้อวัยวะร่างกายเกยและชนกันอย่างช่วยไม่ได้

พอเผลอตัวหน่อย ขาของณัฐวีร์ก็ไปโดน พอกำลังเพลินกับรสชาติอาหารที่อีกฝ่ายตักให้ มือที่คอยป้วนเปี้ยนไม่พ้นจานไปสักทีก็ชนกับหลังมือที่ถือส้อมของเขาเข้าให้ ใช่เลย.. มกรนั่งอยู่ทางซ้ายเป็นมุมฉากกันกับเขา มองออกไปด้านหน้าเป็นวิวของสวนลุมพินียามค่ำ แสงไฟจากตึกในถนนวิทยุและตึกที่มองออกไปได้ลิบๆ สายตาทำให้ท้องฟ้ามีแสงสวยงามและน่ามอง.. แต่คงจะดีกว่านี้ถ้าหัวใจของณัฐวีร์จะไม่ต้องตุ้มๆ ต่อมๆ กับความระทึกเมื่อต้องได้รับการสกินชิพจากคนที่เพิ่งเจอหน้าและได้คุยกันอย่างจริงๆ จังๆ แค่วันนี้เท่านั้น

และนี่ขนาดเจอกันวันแรกยังขนาดนี้.. ณัฐวีร์คิดว่าเขาควรต้องปรามฝ่ายนั้นบ้างแล้ว

“แหม...เดี๋ยวนี้เพื่อนฝูงไม่สนใจ ไลน์ไปไม่มีเวลาตอบ เราก็นึกว่างานยุ่งตั้งแต่วันแรก ที่ไหนได้...”
เสียงร้องทักดังมาตั้งแต่ณัฐวีร์ยังไม่ทันได้ปิดประตูร้านดีเลย เขายกมือไหว้บิดาและมารดาก่อนจะบ่ายหน้าตรงมาที่ต้นเสียง

“ตอบแล้ว.. อันที่ยังไม่ตอบน่ะคืออันล่าสุด เพราะกำลังจะลงรถ” ณัฐวีร์เถียงเพื่อนสาวก่อนจะเดินมานั่งลงข้างกันแล้วหันไปยิ้มให้แชร์ที่นั่งอยู่ในโต๊ะด้วย

“ตอบช้า ส่งไปเกือบชั่วโมงค่อยตอบ มัวทำอะไรอยู่”

“ทำงานสิคะ..” ณัฐวีร์หัวเราะใส่เพื่อนก่อนจะเอื้อมมือไปบีบจมูกอีกฝ่ายเล่นเบาๆ
แพรวนั้นรู้จักเพื่อนดี แล้วก็เล่นกันมาแบบนี้ตั้งนานแล้ว เธอจึงแค่ย่นจมูกใส่และร้องโอดโอยฟ้องแม่ไปตามเรื่อง ทว่า คนที่นั่งร่วมโต๊ะกลับมองด้วยรอยยิ้มแปลกๆ

“อะไรครับ ยังไม่ชินหรือไง” พอหันไปเห็นเข้าณัฐวีร์จึงได้ถามขึ้น

“ก็ไม่เชิงว่าไม่ชิน.. แค่เห็นทุกครั้งก็..” แชร์พูดพร้อมรอยยิ้มปุเลี่ยน “แค่ไม่คิดว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน”

“อ้าว..” เสียงหญิงสาวร้องขึ้นมาเบาๆ พร้อมกับที่เธอคล้องแขนณัฐวีร์หมับ “แพรวรักของแพรวจะตาย”

สถานะของแพรวในมุมมองคนนอก คือแฟนที่ณัฐวีร์ทั้งรักทั้งหวง เขาคอยไปรับไปส่ง คอยเทคแคร์เธอประคบประหงมยิ่งกว่าไข่ในหิน เธอเองก็ดูแลเขาแบบเช้าถึงเย็นถึง ซึ่งสำหรับแชร์ที่ตามดูแลณัฐวีร์และรู้เรื่องราวต่างๆ มาตลอดจึงยังออกจะรู้สึกแปลกๆ ทุกครั้งที่สองคนนี้หยอกล้อกันตามประสาคนรัก

ที่จริงแล้ว สองคนนี้ก็แค่ตกลงกันว่าจะเป็นไม้กันหมาให้แก่กันและกันเท่านั้น พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายก็รู้ดี จะมีก็แค่คนนอกครอบครัวเท่านั้นที่ไม่รู้.. แพรวดูแลณัฐวีร์ และณัฐวีร์ก็คอยดูแลแพรวจากหนุ่มๆ ที่มหาวิทยาลัย

สำหรับตัวแพรวเอง เธอรู้สึกผิดต่อณัฐวีร์มาก.. เพราะในเพื่อนกลุ่มมัธยมนั้น เธอเป็นคนสุดท้ายที่ได้คุยกับณัฐวีร์ก่อนที่ความจำจะหายไป..เธอได้ฟังเขาร้องไห้ ได้รับรู้ภาวะจิตใจอ่อนแอของเพื่อนซึ่งเธอไม่อาจช่วยได้ มาวันนี้เธอจึงทุ่มเทดูแลเพื่อนของเธออย่างดีที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้เพื่อไม่ให้เสียใจภายหลังเหมือนเหตุการณ์ที่เชียงใหม่อีก
ส่วนแชร์เขาเองก็รู้สึกผิดที่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น.. น้องอยู่ในมือเขาแท้ๆ เขากอดเอาไว้กับตัวแต่ก็ยังปล่อยมือน้องหลุดไปจนเกิดอุบัติเหตุได้.. เขาจึงตามดูแลณัฐวีร์ตั้งแต่นั้น..ทว่าเขาไม่ใช่คนในครอบครัว.. เขาจึงไม่รู้ข้อตกลงระหว่างคนในครอบครัวนี้

แต่การที่ผู้ชายคนหนึ่ง ตามดูแลผู้ชายอีกคน เป็นเรื่องประหลาดสำหรับณัฐวีร์ แม้ว่าจะมีการแนะนำแล้วว่าคนๆ นี้คือเพื่อนที่รู้จักกันตอนที่ความจำเสื่อมไป แต่..ให้อย่างไรก็ไม่อิน ความรู้สึกที่เขารับได้จากแชร์นั้น..ไม่ใช่ความปลอดภัย ดังนั้นแพรวจึงกลายเป็นตะเข้ขวางคลอง คอยกันไม่ให้แชร์เข้าใกล้ณัฐวีร์มากนัก

อย่างไรเสีย การได้มาสนิทสนมของแชร์ก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์เสียเลย อย่างน้อยก็ได้รู้ข้อมูลและส่งต่อข้อมูลบางอย่างให้กับมกรที่อยู่ต่างประเทศบ้าง.. ขาดก็แต่ข้อมูลของแพรวนี่แหละที่ยังไม่มีใครกล้าบอกให้มกรรู้

เพราะฝั่งนั้น..ก็ผ่านช่วงเวลาเลวร้ายมาไม่น้อย..
ตลอดหนึ่งปีในต่างบ้านต่างเมือง นอกจากจะต้องทำงานพาร์ทไทม์ เรียนคอร์สบริหาร.. ยังต้องพบแพทย์จิตเวทเป็นประจำอีกด้วย.. บางครั้งจึงไม่ใช่เรื่องง่ายในการบอกเล่าเรื่องของคนไกลทางนี้ให้มกรรู้..

คนไกลที่มกรแสดงออกชัดเจนว่า..จะไม่มีวันปล่อยมือ..
ขนาดยอมปรับปรุงตัว ยอมเข้ารับการบำบัด..ก็น่าจะเพียงพอแล้วที่ครอบครัวของณัฐวีร์จะยอมรับความพยายามของทางนั้น

แต่..

“ในเมื่อลืมแล้วจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์ขึ้นมาอีกทำไม?” คุณวีรชาติตั้งคำถามใส่คุณมนธิชา เมื่อเธอมาปรึกษาว่าอยากให้เด็กๆ ได้ใกล้ชิดกันอีกครั้ง

“เพราะฉันคิดว่าเราควรให้เรื่องนี้เป็นการตัดสินใจของพวกเด็กๆ  ไม่ใช่การตัดสินใจโดยพวกเรากันเองค่ะ” เธอพูดพร้อมกับจ้องตรงมายังคุณวีรชาติอย่างแสดงความจริงใจ “เพราะนัทลืมว่าเคยมีแมน.. เขาถึงได้ยังไม่ได้คุยกันเหมือนเดิม ถ้าเราปิดโอกาสให้เขาได้รู้จักกัน ให้เขาได้เลือกที่จะคบหากันอีกครั้ง มันก็ดูจะเป็นการทำร้ายคนคู่นี้มากเกินไป คุณวีอาจไม่ทราบว่านัทรักแมนมากแค่ไหน.. แต่ฉันทราบค่ะว่าลูกชายรักน้องมากแค่ไหน”

“ผมเห็นว่าเขาลืมกันไปแล้ว.. ต่างฝ่ายก็น่าจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่” คุณวีรชาติมีใบหน้าที่แดงขึ้น “และตอนนี้นัทก็มีแพรวอยู่แล้ว”
คำพูดที่หลุดจากปากทำให้คนในวงสนทนาตรงนั้นต่างนิ่งงันไป มีก็แต่คุณมนธิชาที่ยิ้มรับ “ฉันทราบข้อมูลนี้มาก่อนแล้วค่ะ ฉันถึงขอโอกาสแค่ให้ได้รู้จักกัน ไม่ได้ขอให้กลับไปคบกันเหมือนเดิม.. เป็นพี่น้อง เป็นเพื่อนกัน ถึงจะจำความสัมพันธ์เก่าๆนั่นไม่ได้ แต่ก็เริ่มคบหาดูแลกันได้..ไม่ใช่หรือคะ?”

 คุณมนธิชาเผยรอยยิ้มออกมาน้อยๆ  แต่ดวงตาของเธอนั้นมุ่งมั่นเหลือเกิน “คุณวี ฉันเข้าใจนะคะ คุณก็แค่อยากให้เขาคบหาและแต่งงานกับผู้หญิงสักคนใช่ไหม”

จบประโยคนั้นคุณวีรชาติก็ชำเลืองมองหน้าณฐกาทันที เขารู้ว่ามันผิดที่อยากผลักดันให้ลูกชายเดินไปตามที่สังคมปกติกำหนดไว้ ทั้งสองคนจึงได้แต่อึกอักไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา

“เรียนตามตรงว่าฉันคงบังคับอะไรคุณไม่ได้ มาวันนี้ฉันแค่มาขอโอกาสให้เขาได้ทำความรู้จักกัน ถ้าสุดท้ายแล้วเขาสองคนจะไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิม ฉันซึ่งเป็นผู้ปกครองของแมนก็ถือว่าได้ทำดีที่สุดแล้วเพื่อลูกของฉัน.. แต่หากคุณวีที่เป็นผู้ปกครองของนัทเห็นว่าอยากให้นัทอยู่ในกรอบสังคมโดยไม่รู้จักตัวตนของเขาเอง ฉันก็คงต้องยอมรับฟังความเห็นของคุณค่ะ..” คุณมนธิชาลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารที่นั่งกันอยู่แล้วหยิบกระเป๋าถือขึ้นมาตั้งท่าจะขอตัวออกจากวงสนทนา

ทว่า เธอไม่ได้ทำเช่นนั้น เธอมองตรงมายังคนทั้งคู่แล้วพูดอย่างหนักแน่น “อาจจะฟังดูเห็นแก่ตัวเกินไปเพราะฉันพูดเพื่อประโยชน์ของลูกชายตัวเอง.. คนที่ยังไม่ลืมคือแมน และตอนนี้เขาก็น่าสงสารและกำลังพยายามอย่างที่สุดแล้ว เขายังไม่รับรู้ว่าแพรวคือแฟนของณัฐวีร์ เพราะมันยังไม่ถึงเวลานั้น เราปรึกษากับหมออยู่ตลอดเวลา คุณปฏิบัติกับณัฐวีร์อย่างไร เชื่อฟังหมออย่างไร ฉันเองก็ได้รับคำแนะนำมาจากหมอของแมนเช่นกัน..”

“..ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณ..ฉันไม่สามารถบังคับคุณได้..แต่อยากฝากไว้เรื่องหนึ่ง เกย์ไม่ใช่คนป่วยที่พอฉีดยาให้ยาก็จะหายได้ ต่อให้คุณปิดโอกาสพวกเขา ไม่ให้ได้ทำความรู้จักกัน ต่างคนต่างเริ่มใช้ชีวิตใหม่ แต่จะมั่นใจได้อย่างไรว่านัทจะไม่กลับไปในทางเดิมที่เขาเคยเดิน..อีกสิบปียี่สิบปีเขาอาจจะเจอใครสักคน และอาจจะทำร้ายความรู้สึกตัวเองจนไร้ทางแก้ไขก็ได้ ตอนนี้คนที่เจ็บจะไม่มีแค่แพรวนะคะ แต่นัทก็อาจเจ็บไปด้วยเมื่อมารู้ทีหลังว่ารสนิยมของตัวเองเป็นแบบไหน”

คุณมนธิชาเบือนสายตามายังณฐกา เธอยิ้มให้กับรุ่นน้องอย่างเข้าใจในครอบครัวนี้เป็นอย่างดี ถ้าเป็นเธอ..ลูกชายมีโอกาสเดินในเส้นทางปกติ เธอก็จะใช้โอกาสนั้นเพื่อทำให้ลูกเธอมีความสุขที่สุด แต่เพราะเธอคือแม่ของคนที่ยังมีความทรงจำครบถ้วนสมบูรณ์ และเธอยังเป็นนักบริหารที่ดี.. การโน้มน้าวคนให้ทำตามที่เธอต้องการจึงเป็นหน้าที่ของเธอเช่นกัน..

“พี่คิดว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิดกับน้องแพรวนะคะ พี่จะไม่ยัดเยียดความสัมพันธ์ที่นัทไม่ชอบถ้าไม่อยากทำอะไรก็บอกได้ค่ะ..วันนี้..พวกเราแค่เปิดโอกาสให้เขาเลือกเท่านั้น.. ไม่ดีหรือคะน้องไก่”
เหตุการณ์นั้น มีแชร์อยู่ในวงสนทนาด้วย เขามาเป็นตัวแทนของมกร ดังนั้น เมื่อรู้ผลว่าทางครอบครัวนี้ยอมให้ณัฐวีร์ไปทำงานกับคุณมนธิชา จึงพอสรุปได้ว่าคุณวีรชาติเองก็ให้ความสำคัญกับความสุขของลูกชายมากกว่าหน้าตาทางสังคมเช่นกัน

“แล้วทำงานวันแรกเป็นไงบ้าง” เสียงของแพรวเอ่ยถามทำให้แชร์หลุดออกจากภวังค์อดีตนั้น
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาว เธอมีรอยยิ้มเก๋ ใบหน้าเรียบเนียนสวย การแต่งแต้มเครื่องสำอางอ่อนๆ ทำให้เธอดูสดใสไม่แตกต่างจากทุกครั้งที่พบเจอ แต่จากการพูดคุยกันขณะนั่งรอณัฐวีร์หลายครั้ง เธอดูจะเกรียนกว่ารูปลักษณ์ภายนอกเยอะ

“วันนี้เฉยๆ อ่านเอกสารอย่างเดียวเลย”

“ไม่โดนทำอะไรแปลกๆ ใช่ไหม?” แพรวเกาะแขนอีกฝ่ายที่นั่งลงไม่ห่างกัน

“หมายความว่าไง..?” ณัฐวีร์เอียงคอถามอย่างสงสัย

“ก็..” แพรวอึกอักพลางชำเลืองตามองมาทางแชร์อย่างต้องการหาตัวช่วย บางทีเธอก็ลืมไปว่าเพื่อนความจำเสื่อม

“คงหมายถึงคนที่ทำงานไม่ได้ต่อต้านเด็กเส้นอย่างนัทใช่ไหมล่ะมั้ง” แชร์ช่วยอย่างเสียไม่ได้

“ใช่ๆ เขาไม่ได้ทำอะไรนัทของแพรวใช่ไหม?”
คนถูกถามหัวเราะเบาๆ “ใครจะกล้าทำอะไรนัท.. นี่เด็กเส้นเลยนะ เส้นใหญ่มากด้วย..เลยได้อยู่แต่บนหอคอย ไม่ได้ลงไปไหนเลย”

“อ้าว..” สองคนฟังร้องขึ้นมาพร้อมกัน

“ก็วันนี้คุณป้ากับพี่แอมไม่อยู่เลยยังไม่ได้พาตัวไปแนะนำกับผู้บริหารหรือเดินดูในบริษัทเลย ได้แต่นั่งอ่านเอกสารอยู่ในหอคอยข้างห้องประธานบริษัทน่ะ เลยยังไม่เจอใครจะมาต่อต้านหรือทำมิดีมิร้ายเลย”

แพรวกะพริบตาปริบๆ “ไม่มีเลย..”

“ใช่ไม่มีเลย..ถามแบบนี้อยากให้มีหรือไง” ณัฐวีร์หัวเราะแล้วเอามือดึงแก้มหญิงสาวเบาๆ

“เปล่านะ.. แพรวเป็นห่วงกลัวที่รักจะไม่สบายใจเฉยๆ” เธอปัดมือแล้วหันไปถลึงตาใส่คนที่แกล้งดึงแก้มเธออยู่.. หนอย แฟนก็ไม่จริงมาดึงหน้าฉันให้ย้วยเดี๋ยวแม่ข่วนตาแหก
ณัฐวีร์เลยยอมลามือแล้วหันมาหาแชร์ “ดึกแล้วเดี๋ยวผมไปส่งแพรวก่อนนะครับ พี่เองถ้าจะกลับก็กลับเลยไหมครับจะได้เดินออกไปพร้อมกัน”

ณัฐวีร์พูดตรงๆ กับแชร์แบบนี้เสมอ ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่แชร์ก็ยอมพยักหน้า สองปีมานี่ไม่เคยพูดกันได้ดีๆหรอก ชินเสียแล้ว

“กลับเลยครับ เดินออกไปด้วยกันก็ได้ แต่ให้พี่ไปส่งแพรวไหม แล้วนัทจะได้ไม่ต้องเดินไปเดินมา”

“ไม่เป็นไร..” ณัฐวีร์พยักหน้ากับหญิงสาว “นี่แฟนผม ผมเดินไปส่งเขาได้สบาย”

“งั้นก็ตามใจ..” แชร์ตอบตกลงแล้วเดินออกมาพร้อมกันกับคนทั้งคู่
พวกเขาแยกกันตรงหน้าประตูร้านอาหาร ณัฐวีร์เดินริมนอกใกล้ถนนให้แพรวเดินริมใน

“หูย.. โหดกับพี่เขาอีกแล้วอ่ะนัท” แพรวกระซิบเบาๆ เมื่อเห็นแชร์หันไปทางด้านลานจอดรถ

“ก็มันน่ารำคาญ มาหาได้ทุกวัน บ้านช่องไม่กลับ”

“ดูเหมือนเขาจะติดใจนัทน่าดูนะ..”

“ติดใจอะไรกัน.. เราไม่เห็นอยากได้ผู้ชายมาติดใจเลย”

แพรวเหลือบมองหน้าเพื่อนที่เดินเคียงกัน.. “นั่นสินะ.. นัทเป็นแบบนี้ เป็นอย่างที่นัทอยากเป็นก็ดีแล้ว ถ้านัทสบายใจจะทำอะไรเราก็อยากให้นัททำนะ”

เธอพูดออกมาจากใจ ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมแชร์ต้องมาตามดูแลณัฐวีร์ตลอดระยะเวลา 2 ปี ทำไมณัฐวีร์ถึงไม่สนิทใจกับคนๆ นี้ ที่ดูท่าทางไม่มีพิษภัย  ทำไมต้องยอมทนให้โขกสับไล่กันดื้อๆ  ถึงจะไม่รู้เหตุผลเหล่านั้น ทว่า เธอจะไม่ถาม จะไม่ยอมเอ่ยปากรื้อฟื้นเรื่องที่ทำให้เพื่อนร้องไห้อย่างหนักขึ้นมาอีกแน่

เธอเชื่อว่ามีอะไรก่อนเกิดอุบัติเหตุ แต่ถ้าเพื่อนลืมมันไปแล้ว เธอก็จะไม่กระตุ้นให้เพื่อนกลับมาจำได้ ส่วนผู้ชายคนนั้น แม้จะมีแนวโน้มรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ..แต่เธอก็จะไม่ถามเขาเช่นกัน..

ปิ๊น!

เสียงแตรรถดังมาก่อนที่รถของแชร์จะจอดลง เขาลดกระจกทำให้คนเดินริมนอกอย่างณัฐวีร์ต้องโน้มตัวลง

“แน่ใจนะไม่ให้พี่ไปส่ง”
คนถูกถามส่ายหน้า พูดอะไรกันอีกสองสามคำแล้วจึงได้เห็นแชร์ขับรถออกไป

“น่าเบื่อจริงๆ ถามทุกวันต้องให้ปฏิเสธทุกวันหรือไง” ณัฐวีร์บ่นแต่ขาก็ยังก้าวอยู่

ไม่นานทั้งคู่ก็เดินมาถึงหน้าบ้านของแพรวที่อยู่ห่างไปไม่มาก “นี่ถ้ามีคนมาเทียวไล้เทียวขื่อแจกขนมจีบกับแพรวแบบนี้ มีหวังแพรวตกลงปลงใจกับเขาไปนานแล้ว”

“เอาผู้หญิงมาเทียวไล้เทียวขื่อไหมล่ะแพรว”
หญิงสาวกลอกตาไปมา.. “นั่นสินะ.. ถ้ามาจริงขอแบบสวยกว่าแพรวนะ เอาให้ตาค้างไปเลยยิ่งดี”

“งั้นต้องนางงามระดับโลกแล้วเธอ ..ว่าแต่จะทิ้งแฟนคนนี้แล้วหรือไงคนสวย” ณัฐวีร์หัวเราะร่วน

“เปล่านะ แพรวมีใครก็ได้ แต่นัทที่รักคือที่หนึ่งของแพรว”

“หวานมาก..” ณัฐวีร์หัวเราะแล้วลูบศีรษะหญิงสาวเล่นโดยไม่รู้เลยว่ามีใครอีกคนยืนแอบมองเขาทั้งคู่ในที่ห่างออกไป

ณัฐวีร์เอ่ยล่ำลาแพรวอีกไม่นานแล้วก็เดินกลับไปที่บ้านตัวเอง ส่วนหญิงสาวก็เข้าบ้านไปแล้ว แต่คนที่หลบอยู่กับยืนตัวสั่นอยู่ตรงนั้นไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้เลย




............


TBC.
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21 [25.04.14] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: Pawaree ที่ 25-04-2014 23:57:25
 :hao5:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21 [25.04.14] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-04-2014 00:21:48
ไม่รู้จะพูดยังไงดี
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21 [25.04.14] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: AMINOKOONG ที่ 26-04-2014 00:25:45
ทำไมมีแต่คนคอยช่วยเหลือแมนมันกันจังทั้งๆที่มันทำเรื่องเลวระยำกับนัทตั้งมากมาย
ถ้าจะดราม่าทั้งเรื่องเราอยากให้แมนมันเจ็บและเป็นผู้ถูกกระทำบ้างจะได้เท่าเทียมกัน
นัทน่าสงสารมามากพอแล้ว จะโชคดีหน่อยก็ไอตรงที่ความจำเสื่อมนี่แหละนัทจะได้ลืมคนเลวๆ
กับเรื่องเลวๆในอดีตที่ผ่านมาซักที พอเถอะ กับการที่ให้นัทต้องมาโดนกระทำซ้ำซากแบบเดิมๆ

ปล.กลัวว่าคนที่แอบดูนัทกับแพรวจะเป็นแมนแล้วเกิดหึงแล้วลงมือทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจของนัทอีก
ไม่อยากอ่านแบบนั้นแล้วมันหน่วง แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นให้แมนมันไดลิ้มรสความเจ็บปวดบ้างก็คงจะสะใจดี
และจะกลายเป็นนิยายดราม่าที่แซ่บครบรส ไม่ใช่เศร้าสลดอย่างเดียว
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21 [25.04.14] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 26-04-2014 09:20:01
เห้อออออ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21 [25.04.14] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 26-04-2014 14:41:31
หวังว่าใครคนนั้นคงไม่ใช่แมนนะ


ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21 [25.04.14] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 28-04-2014 11:25:44
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์แต่ละท่านนะคะ ท่าทางจะรักแม้นศรีกันทุกคน 55555

คนแต่งฝากข้อความมาบอกว่า  ...เรามีเรื่องให้ท่านสะใจพี่แม้นอีกเยอะ.. นางจะน่าสงสารจนท่านอดอุทานไม่ได้เลยทีเดียว

ปล.ในแฟนเพจมีคนสงสารนางมาแล้ว



 :katai4:  ..โปรดรอตอนต่อปายยยยยยย
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21 [25.04.14] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: sakuraaom12 ที่ 28-04-2014 20:51:09
เพิ่งตามอ่านทันคะ ความจริงชอบแนวนายเอกโดนข่มขืนแบบนี้   :m25:  :m25:
เเต่เรื่องนี้ชอบมากๆคะ ชอบตอนที่น้องนัทยอมพี่แมน
ตอนนี้สงสารน้องนัท แต่คิดว่าถ้ารู้อดีตของเเมนคงจะน่าสงสารพอกัน
 :hao5:  :hao5:  :hao5:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21.1 [30.04.14] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 30-04-2014 10:01:46
ตอนที่ 21.1



เสียงรถแล่นเข้ามาจอดทำให้คุณมนธิชาเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือที่ตัวเองอ่าน เธอเหลือบมองนาฬิกาแล้วเห็นว่าเป็นเวลาเกือบจะเที่ยงคืน แล้วเธอก็สะดุ้งโหยงเมื่อประตูรถถูกแรงกระแทกปิดลงมาเปรื่องใหญ่พร้อมเสียงเอ็ดตะโรของลูกชายคนเดียวก็ดังลั่นขึ้นจนเธอต้องลุกเดินออกไปดู

ภาพที่เห็นคือมกรยืนพิงประตูรถด้วยอาการทรงตัวไม่อยู่ มีคนรับใช้สองคนยืนไม่ห่างเพื่อช่วยพยุงแต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่อยากให้ใครมาแตะถึงได้สะบัดมือหนีอยู่ตลอด

“แมน..” เสียงคุณมนธิชาทำให้ชายหนุ่มหันขวับมา เขาพยายามทรงตัวขึ้นดวงตาก็หรี่เขม้นมองมารดาอย่างเอาเรื่อง
“ทำไมเมากลับมาแบบนี้ ไปทานข้าวกับน้องไม่ใช่หรือ”
“แม่จะไปรู้อะไร!” ชายหนุ่มย่างสามขุมเข้าใส่มารดา “แม่..จะไป..รู้อะไร!!”
“ทำไม เกิดอะไรขึ้น” เธอถามด้วยความงงงัน ยิ่งลูกชายก้าวเข้ามาใกล้เธอยิ่งได้กลิ่นแอลกอฮอล์หนัก
“เขามีแฟนแล้ว! นัทมีแฟนแล้ว!!” ชายหนุ่มตะคอกอย่างหัวเสีย ร่างนั้นโงนเงนอย่างคนที่ไม่สามารถควบคุมการทรงตัวได้
“โธ่แมน..”
“ถ้าผมไม่เชื่อแม่ ถ้าผมอยู่กับเขา..มันจะไม่เป็นแบบนี้” เขากำมือแน่น
“แมน..ใจเย็นๆ” คุณมนธิชาเดินเข้าไปโอบร่างที่สั่นเทานั้นไว้
“แม่..ถ้าผมไม่ไปล่ะ ถ้าผมไม่ได้ไปอเมริกา..เขาจะมีแฟนไหม จะมีไหม” เสียงตอนท้ายสั่นเครือ มือที่กำแน่นนั้นค่อยคลายออกโอบกอดร่างของมารดาไว้
“แมน..ฟังแม่นะ แมนไปรักษาตัว แมนไปเพื่อตัวแมนเอง เพื่อกลับมายืนอยู่ให้ได้ เพื่อจะไม่ต้องทำร้ายใครอีก เพราะแมนไม่อยากทำร้ายน้องอีก..แมนถึงต้องไป” เธอพยายามปลอบลูกชายแล้วพาเขาเดินเข้าไปที่ห้องนั่งเล่นซึ่งเธอเพิ่งลุกเดินออกมา “แมนจำก่อนที่แมนจะไปได้ไหม แมนเคยพูดอย่างไรไว้บ้าง แมนบอกว่าแมนอยากกลับตัวเป็นคนดี คนที่จะดีพอให้ยืนเคียงข้องน้องใช่ไหม”
“ใช่..แต่ตอนนี้ที่ข้างๆ เขาไม่มีอีกแล้ว..” มกรสะอื้นตัวโยน “เขามีคนอื่นไปแล้ว”
“เปล่าเลยจ้ะลูกแม่..” คุณมนธิชาประคองร่างสูงใหญ่นั่นให้นั่งลงแล้วเธอก็กอดคนที่ยังไม่มั่นคงในอารมณ์ไว้ “ที่ยืนของแต่ละคน..ไม่มีใครสามารถแทนที่นั้นได้.. ไม่ว่าแมนจะยืนอยู่ข้างๆน้องในฐานะอะไร แมนก็อยากจะอยู่กับใครใช่ไหม อยากดูแลเขาตลอดไปใช่ไหม”

มกรพยักหน้ารับทั้งน้ำตา
“แล้วตอนนี้จะต่างอะไรกัน.. แมนก็ยังอยู่ข้างๆน้อง แมนได้ทำงานกับน้อง ได้ทานข้าว ได้พูดคุยกัน เดี๋ยวก็จะได้ไปไหนมาไหนด้วยกัน แมนไม่ได้อยู่ข้างน้องตรงไหน”
“แต่เขา..”
“ไม่..ไม่.. แม้เขาจะมีใครเขายังเป็นณัฐวีร์คนเดิม.. คนที่แมนจะต้องดูแล ใช่ไหมลูก”
“ผมอยากกอดเขาไว้ อยากกอดเขา..” ชายหนุ่มกระซิบด้วยน้ำตาที่ร่วงลงมาบนแก้มอีกระลอก
“ใช่จ้ะ..” คุณมนธิชายิ้มรับแล้วดึงร่างของลูกชายเข้าหาตัว “แม่ก็อยากกอดแมนไว้แบบนี้เหมือนกัน”
เธอโอบกอดร่างนั้นเนิ่นนานจนลูกชายของเธอหายสะอื้น และกอดตอบเธอนั่นแหละเธอจึงพูดขึ้น
“ดีมาก.. แมนเป็นคนเก่ง แม่เชื่อว่าน้องเองก็จะไม่ยอมรับการดูแลของแมนในวันหนึ่ง.. ถ้าแมนทำดีกับน้อง ไม่กดดันน้อง ไม่ยัดเยียดฐานะที่น้องไม่อยากได้ น้องก็จะอยู่กับแมน..ไม่ว่าจะฐานะไหน แมนก็จะได้อยู่กับน้องแน่ๆ ค่ะ เชื่อแม่นะ”
การขยับไหวพยักใบหน้าที่อยู่ตรงไหล่ทำให้เธอลูบแผ่นหลังกว้างนั้นเบาๆ แล้วคลายอ้อมแขนออก
“ไปพักเสีย พรุ่งนี้เราจะได้ไปเจอน้องด้วยใบหน้าหล่อๆ สดใสของเรา เมาโทรมไปเดี๋ยวน้องไม่ให้เข้าใกล้นะ”
มกรใช้ฝ่ามือปาดเช็ดน้ำตาแล้วลุกเดินขึ้นไปชั้นบน พอลับหลังเขาแล้วคุณมนธิชาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรไปยังอเมริกา
“หมอ..เขารู้แล้ว..ใช่ค่ะฉันทำตามที่หมอแนะนำ แต่ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร... ได้ค่ะ ฉันจะยกเลิกนัดพรุ่งนี้ทั้งหมดแล้วให้เวลากับเขามากๆ”
เธอนิ่งฟังคำอธิบายของนายแพทย์จิตเวท ก่อนจะเอ่ยขอบคุณเขาแล้วกล่าวลาไป ดวงตาเหน็ดเหนื่อยนั้นมองไปยังชั้นบนอย่างเป็นกังวล
พรุ่งนี้จะเป็นยังไง..มีเธอที่ต้องประคับประคองเขาเท่านั้น..

.
.
.
.
.
.
.
.
.
.



ที่โต๊ะอาหารในเช้าวันใหม่
ผู้สูงอายุคนเดียวในบ้านนั่งอ่านหนังสือพร้อมกับดื่มนมอุ่นๆขณะรอการเสิร์ฟอาหาร แล้วคุณมนธิชาก้าวเข้ามาในห้องอาหารนั้น
“สวัสดีค่ะคุณพ่อ เมื่อคืนนอนหลับสบายดีไหมคะ”
ผู้ถูกเอ่ยทักเหลือบสายตาขึ้นมามองแล้วขยับมือเปิดหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษเสียงดังคว้ากแคว้กคล้ายไม่สนใจคนถาม หากแต่คำพูดกลับไม่ใช่เช่นนั้น
“เสียงโหวกเหวกตอนเที่ยงคืนมันทำให้ฉันนอนไม่หลับ..คนแก่อายุ 76 อย่างฉันลองได้ตื่นแล้วมันก็จะนอนยากเป็นเรื่องธรรมดา”
มนธิชาสะดุดไปเล็กน้อยก่อนจะทรุดนั่งลงพร้อมพูด “ขอโทษด้วยค่ะคุณพ่อ”
“ไม่เป็นไร... แม่มันเคยทำให้หนักใจยังไง.. ลูกมันก็ไม่ต่างกันนักหรอก”

แกร้ก!
มนธิชาวางช้อนคนกาแฟลงกับจานรอง เธอนั่งตัวตรงพร้อมกับหยิบเอาแก้วขึ้นจิบอย่างไม่กลัวร้อน “มนว่าเราคุยกันแล้วนะคะ”
“หึ!” เสียงขึ้นจมูกนั้นทำให้เธอสูดลมหายใจยาวลึก..
ครอบครัวเธอเป็นแบบนี้มานานหลายสิบปีแล้ว.. พูดกันดีๆแทบจะนับคำได้
“อ้าว..แมน.. ไม่ทานข้าวเช้าหรือ” เธอหันไปเห็นลูกชายกำลังจะเดินผ่านห้องอาหารไปก็เลยเรียกขึ้น
มกรหยุดขาเหมือนจะชั่งใจชั่วครู่ แล้วก็ก้าวหันกลับมาพร้อมกับบอกว่า “ไม่ดีกว่า ผมจะรีบไปบริษัท”
สายตาคู่นั้นหลุบต่ำลงมองพื้นแล้วจึงหันหนีเดินออกไปเลย


.
.
.
.
.
.
.


พอณัฐวีร์มาถึงที่ทำงานก็เห็นว่าใครอีกคนนั่งอ่านแฟ้มอยู่ในห้องเสียแล้ว
“มาเช้าจัง..” เขาเอ่ยกับตัวเองขณะเดินเข้าไปในห้องแล้วเอ่ยทักอีกฝ่าย “สวัสดีครับ”
มกรเงยหน้าบูดขึ้นมาจากเอกสาร พยักหน้ารับนิดหน่อยแล้วก้มอ่านเอกสารต่อ ทำเอาคนที่เพิ่งมาขมวดคิ้วอย่างงงๆ เมื่อวานยังยิ้มทักทายกว้างขวาง มาวันนี้หน้าหงิกเป็นมะเหงกไปอีกแล้ว สงสัยจะไม่ได้เข้าห้องน้ำ
ณัฐวีร์ยักไหล่แล้วเก็บกระเป๋าเข้าลิ้นชักโต๊ะ ยังไม่ทันได้ทำอะไร ก้นเพิ่งจะแตะเก้าอี้ คุณเลขาคนสวยก็เดินถือถาดอาหารนำประธานบริษัทเข้ามาเสียแล้ว
“ว่าไงเด็กๆ ยังไม่ทานข้าวเช้ากันทั้งคู่ใช่ไหม” มนธิชาเอ่ยถามขึ้นก่อนจะเดินมุ่งตรงมาทางโต๊ะที่ยังไม่มีเอกสารของณัฐวีร์ เธอให้แอมเอาถาดอาหารวางลงแล้วหันไปเรียกลูกชาย “แมนมาทานกับแม่กับน้องมา”
“ผมไม่หิว..” มกรตอบแล้วก้มหน้าอ่านเอกสาร
ณัฐวีร์เองก็ทานข้าวเช้ามาแล้วจากบ้าน แต่ติดที่ผู้ใหญ่มานั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะพร้อมอาหารสำหรับเขาด้วย จึงไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
“แล้วนัทล่ะ” มนธิชาหันมาถาม
“ผมทานมาแล้วครับ แม่ไก่ทำแซนวิชให้ทานแต่เช้า”
มนธิชาเลยได้แต่มองถาดอาหารอย่างเสียดาย “แบบนี้แม่ก็ทานคนเดียวสิ นัทอิ่มแล้วหรือ ช่วยกันหน่อยได้ไหม แมนน่ะยังไม่ได้ทานข้าวเช้าเลย พอมาบอกไม่หิวแบบนี้ที่แม่มนเตรียมมาก็หมดกัน เสียดายแย่”
ณัฐวีร์มองครัวซองแฮมชีท 3 ชิ้น กับผลไม้อีกจานใหญ่ และแก้วโกโก้ควันกรุ่นแล้วรู้สึกอิ่มทั้งที่ยังไม่ได้พาเข้าปากเลย เขาเหลือบมองฝ่ายนั้นก็เห็นก้มหน้าก้มตาไม่สนใจใคร แล้วก็ได้แต่สงสัยว่าเป็นอะไรกันแน่
“ถ้าให้ผมทานหมดชิ้นก็คงไม่ไหวครับ พี่แมนช่วยคุณป้าหน่อยสิครับ..”
คนถูกเรียกเหมือนจะกระตุกตัวขึ้นเล็กน้อยแล้วก็เหลือบตาขึ้นมองมาทางเจ้าของเสียง
“นะครับ..ผมทานมาแล้ว ผมขอครึ่งชิ้น คุณป้าหนึ่งชิ้น แล้วก็พี่แมนชิ้นครึ่ง พอดีเลย” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้ปฏิเสธ เขาหยิบมีดขึ้นมาหั่นแบ่งใส่จานตามที่บอกแล้วเดินถือมาให้อีกฝ่ายถึงโต๊ะ
“ช่วยหน่อยนะครับ” คนตัวเล็กยกมือขึ้นไหว้ปลกๆ เห็นอีกฝ่ายนิ่งๆก็เลยฉีกยิ้มให้อีกเล็กน้อยแล้วเดินกลับมา “คุณป้าทานเถอะครับ เดี๋ยวผมจัดการครึ่งนี้เอง”

มนธิชานั่งมองลูกชายตัวเองหยิบมีดและส้อมขึ้นมาจิ้มชิ้นครัวซองเข้าปากแล้วก็ค่อยเบาใจ อย่างน้อยช่วงเช้านี่ก็น่าจะผ่านไปด้วยดีระดับหนึ่งล่ะ
พอเสร็จมื้ออาหาร นั่งพักพูดคุยกันชั่วครู่ คุณมนธิชาก็ให้เลขามาเตรียมการพาเด็กใหม่ไปแนะนำตัวกับคณะผู้บริหาร
“เดี๋ยวป้ามนพาไปหารองป้ามนก่อน วันนี้คุณประคองเขาต้องออกไปประชุมแทนป้ามน” คุณมนธิชาพูดกับณัฐวีร์แล้วหันมาหาลูกชายที่เดินอีกข้าง “แมนจำคุณประคองได้ไหม ที่เคยเจอกันตามงานบ่อยๆ”
“จำได้ครับ เคยเจอสามหน”
ประคองคือชายที่ทำงานกับบริษัทนี้มาตั้งแต่รุ่นคุณตายังไม่เกษียณ เป็นคนเก่าคนแก่ที่ตาไว้ใจให้บริหารงานบริษัทเพื่อช่วยแม่ของเขา
“นั่นล่ะ เดี๋ยวเจอเขาต้องสวัสดีด้วยนะคะ”
ห้องของประคองอยู่ในชั้นถัดลงมาหนึ่งชั้น ภายในห้องไม่ต่างกันกับห้องของมนธิชาเลย มีเลขาหน้าห้องเหมือนกันอีกด้วย
เมื่อเข้าไปด้านใน จะเห็นชายวัยห้าสิบกว่าที่มีผมสีดอกเลานั่งอยู่หลังคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นท่าทางการทำงานที่น่านับถือ
“สวัสดีค่ะคุณประคอง พาลูกชายกับเพื่อนรุ่นน้องมาหาค่ะ” คุณมนธิชาเอ่ยก่อนทางนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมายิ้มทักทายและรับไหว้เด็กทั้งสองคน ประคองเดินออกมาจากหลังโต๊ะเพื่อพูดคุยให้ถนัดขึ้น
“ได้ยินว่ามาตั้งแต่เมื่อวาน เสียดายไม่ได้เจอกันเมื่อวานผมว่างอยู่”
“เมื่อวานฉันออกไปประชุมทั้งวันก็เลยไม่ทันได้พามาแนะนำน่ะค่ะ” มนธิชาเปรยขึ้น
“ครับวันนี้ผมก็ต้องออกไปประชุม ไว้วันไหนว่างมาทานข้าวด้วยกันนะเด็กๆ” ประคองพูดแล้วยิ้มให้เด็กสองคน
ทักทายกันเพียงเล็กน้อยคุณมนธิชาก็เรียกแอมเข้ามาแล้วสั่งงาน “พาสองคนนี้ไปแนะนำผู้บริหารนะ เดี๋ยวฉันจะคุยกับคุณประคองเสียหน่อย”

สุดท้ายแล้วมกรกับณัฐวีร์จึงเดินออกมาด้วยกันเท่านั้น และคุณมนธิชานั่งคุยงานกับประคองอยู่ในห้องของเขา
การเดินแนะนำตัวกับผู้บริหาร ก็เหมือนการเดินสำรวจพื้นที่ พวกเขาต้องไปแทบทุกแผนกของบริษัท ออกจากที่นั่นเข้าไปที่นี่ ผ่านห้องนั้นเข้าห้องนี้ กระทั่งล็อบบี้ตึกก็ต้องลงไป เพราะประชาสัมพันธ์อยู่ที่นั่น ต้องให้คนทั้งบริษัทรับทราบการเข้ามาทำงานของลูกชายประธานบริษัทด้วย
การเดินทักทายคนทั้งบริษัทในครั้งนี้กินเวลาไปเกือบชั่วโมง  เพราะผู้บริหารแต่ละคนก็อยากจะพูดคุยถึงนโยบายบริหารกับลูกชายท่านประธานทั้งนั้น ถึงจะยังไม่มีอำนาจใดๆในบริษัท แต่สังคมการทำงานที่ว่าด้วยการใส่หน้ากากเข้าหากัน..ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนที่มีอำนาจในมือกับคนที่อยากใช้อำนาจนั้นเพื่อให้ตนเองได้ในสิ่งที่ต้องการอยู่แล้ว
แต่มันก็ดีที่ว่า พอได้เดินด้วยกันนานๆเข้า อาการมึนตึงเมื่อเช้าก็ลดน้อยลง มกรยิ้มได้มากขึ้น และกลับมาให้ความสนใจกับณัฐวีร์เหมือนเดิมดังที่ตั้งเป้าหมายไว้
เขาเพียงแค่อยากอยู่ข้างๆ คนๆ นี้.. ต่อให้จะมีใครแล้วก็ตาม







TBC.




เริ่มสงสารแม้นศรียังคะทุกคนนนนนน (หรือยังไม่สะใจ!!)  :hao3:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21.1 [30.04.14] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 30-04-2014 10:58:45
เห้ออออ แม้นศรีสู้เค้านะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21.1 [30.04.14] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 30-04-2014 10:59:42
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:เหมือนกำลังอ่านนิยายจิตๆยังไงไม่รู้อ้ะ หมดจากมาม่าก็ก็ฆาตกรรมสินะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21.1 [30.04.14] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-04-2014 11:22:36
อ้าว แล้วพ่อแมนเขาไปไหนเสียล่ะ  ตั้งแต่มายังไม่เห็นพูดถึงเลย
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21.1 [30.04.14] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 30-04-2014 13:20:38
อ้าว แล้วพ่อแมนเขาไปไหนเสียล่ะ  ตั้งแต่มายังไม่เห็นพูดถึงเลย

คนแต่งบอกว่า พ่อแมนเป็นตำรวจ ...และตำรวจมักมาปิดท้ายเสมอ

ฝากให้ติดตามต่อไปจ้าา าา
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21.1 [30.04.14] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 30-04-2014 15:41:08
แค่นั้นก็ร้องให้ซะแล้วนะแมน


ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21.1 [30.04.14] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: AMINOKOONG ที่ 30-04-2014 19:53:13
แหม!!! คนแต่งก็ แมนมันทำเลวระยำอะไรกับนัทไว้ตั้งมากมายเลยนะ
เจอแค่นี้มันเทียบไม่ได้หรอก ยังไม่สะใจเลยเหอะ คนแต่งอย่าเพิ่งลำเอียง
มาสงสารแมนนะ แค่นี้ยังไม่พอขอหนักๆกว่านี้หน่อย เอาอีกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21.1 [30.04.14] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: sakuraaom12 ที่ 30-04-2014 20:21:50
ไม่สงสารนัทคะ
เค้าสงสารแมน แต่ก็ยังไม่สะใจแมน
ทำกับนัทไว้เยอะ ขออีกๆ                 
 :z6:  :z6:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21.1 [30.04.14] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 01-05-2014 00:03:18
เจออุปสรรคแค่นี้แมนยังท้อ
ไม่นึกถึงน้องบ้างว่าเจอกับอะไรบ้าง ถึงขนาดเฉียดตายเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21.1 [30.04.14] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 01-05-2014 21:11:45
เข้มข้นตลอด เรื่องนี้
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21.1 [30.04.14] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 05-05-2014 14:31:21
ตอนล่าสุดช่วงแรกๆ ที่เข้าห้องทำงานอ่ะ เหมือนพิมพ์ชื่อสลับกันรึเปล่า


ต่อๆๆๆ สนุกดี ติดแล้วเนี่ย
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 21.1 [30.04.14] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 05-05-2014 21:20:56
เริ่มเห็นใจเพราะ แม้นศรียอมไปรักษาตัวที่ต่างประเทศเพื่อน้อง
เราเข้าใจดี คนที่ต้องการความรักแล้วพยายามเรียกร้องความสนใจ
ทั้งชีวิตจะทำเพื่อตัวเอง ขอให้มีใครรัก หันมาสนใจบ้าง
แต่ครั้งนี้แม้นศรีทำเพื่อน้อง ได้ใจไปนิดนึง
สงสารที่โตมาในครอบครับแบบนี้
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 22 [06.05.14] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 06-05-2014 09:29:45
ตอนที่ 22





“นี่กลับวันไหนเหรอ..??” คำถามของแพรวทำให้ณัฐวีร์เงยหน้าขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อผ้าที่เขากำลังจัดแจงอุปกรณ์
“อาทิตย์หน้า” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “นั่งก่อนสิแพรว”
ไม่ต้องเอ่ยปากบอกว่าต้องไปนั่งลงตรงไหน แพรวก็เดินไปหย่อนตัวลงบนเตียงของณัฐวีร์เรียบร้อย เธอมองเสื้อผ้าที่กองอยู่บนเตียงแล้วหันไปถาม
“ทำไมเอาออกมาเยอะขนาดนี้ล่ะ”
กองเสื้อผ้าที่ไม่ได้ถูกพับลงกระเป๋าเกือบสิบกว่าชิ้นยังสุมกันอยู่บนเตียง
“เราเลือกไม่ถูกระหว่างชุดทำงานกับชุดไปเที่ยวน่ะสิ ตามตารางเราต้องไปดูงานแฟร์เพื่อพบผู้ผลิต กับไปประชุมกับคุณแม่..”
“หืม??..คุณแม่” แพรวเลิกคิ้วขึ้นทำหน้าล้อเลียน
“ก็คุณป้ามนให้เรียกแบบนี้ อยู่ด้วยกันมาอาทิตย์นึง เดี๋ยวป้ากับเรา เดี๋ยวแม่กับพี่แมนก็จะแลดูงงๆ เลยให้เรียกแม่ให้เหมือนๆ กัน”

แพรวมองคนพูดที่กำลังหยิบอุปกรณ์อาบน้ำจัดใส่ลงกระเป๋าเล็กแล้วก็คิด.. พี่แมนก็คืออดีตแฟนนัท.. แต่ตอนนี้เธอคือแฟนคนปัจจุบัน ถึงจะเป็นแฟนกันแต่ในนาม หากแต่คำขอร้องของคุณวีรชาติก็ยังสะท้อนอยู่ในห้วงคำนึง
“ลุงฝากนัทด้วย เขาผ่านอะไรมาเยอะแล้ว ลุงอยากให้เขาใช้ชีวิตอย่างปกติ”
คำพูดนั้นทำให้เธอตัดสินใจรับดูแล “เพื่อน” ในฐานะ “แฟน” ถึงจะรู้ว่าพี่แมนแฟนตัวจริงอยากกลับมาดูแลณัฐวีร์แล้ว.. ถึงจะรู้ว่าช่วงที่หายไปเพราะพี่แมนต้องไปรักษาตัว ..แต่คำสัญญาที่เคยให้ไว้กับผู้ใหญ่ ทำให้เธอไม่สามารถปล่อยมือเพื่อนคนนี้ได้ นอกจากเพื่อนจะเดินมาบอกเองว่า “ไม่เป็นไร.. เราโอเคกับพี่แมน”
ในอดีต ตอนที่ณัฐวีร์คบหากับมกร แพรวไม่ค่อยได้รับรู้เรื่องราวของเพื่อนเท่าไร รู้เพียงว่ามกรมาจีบ พบมกรอีกทีก็วันที่ณัฐวีร์แขนหักอยู่โรงพยาบาล พอณัฐวีร์ย้ายไปอยู่คอนโดของมกรก็ได้แต่คุยกันทางโทรศัพท์ แล้วก็มารับสายจากเชียงใหม่ จนได้เจอกันอีกทีตอนที่คุณมนธิชาย้ายณัฐวีร์จากเชียงใหม่ลงมาเข้าโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯนั่นแหละ

เธอเจอมกรบ่อยครั้งแต่ไม่ค่อยได้คุยกัน เพราะฝ่ายนั้นดูเหมือนจะจดจ่ออยู่กับณัฐวีร์เหลือเกิน เท่าที่ดูจากมุมมองในฐานะคนนอก.. มกรก็ไม่ได้แย่อะไร หล่อ รวย และเท่าที่รู้มาก็คือดูเหมือนจะรักณัฐวีร์มากจนยอมเข้ารับการรักษาทางจิต ถึงจะยื้อรออยู่เป็นปีเพื่อให้ณัฐวีร์อาการดีขึ้น แต่สุดท้ายก็ยอมไป
และเมื่อฝ่ายนั้นจากไป..การยื้อ “ความเป็นปกติ” ของณัฐวีร์ก็เริ่มขึ้น ลูกใครๆก็รักเห็นหนทางที่ลูกจะชีวิตอยู่ในสังคมได้ พ่อแม่ก็อยากจะทำ แต่ที่ยอมให้กลับมาเจอมกรอีกหน.. ก็เพราะ “ความปกติ” อาจไม่ใช่ “ความสุข” ที่ลูกจะได้รับ คุณวีรชาติจึงตกลงปลงใจยอมให้กลับมาเจอกับมกร โดยยังไม่ยกเลิกพันธะกับแพรว เพื่อวัดดูว่าลูกจะชอบแบบไหนมากกว่ากัน

เสียงปิดกระเป๋าเดินทางทำให้แพรวหยุดคิดแล้วมีสติมองณัฐวีร์มากขึ้น “พรุ่งนี้เดินทางกี่โมง?”
ชายหนุ่มในเสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นหันมานั่งขัดสมาธิประจันหน้าเธอ “ไปเช้าเครื่องออกราว 8 โมงได้ เราต้องไปถึงสนามบิน 6 โมง”
“โหเช้าจัง..”
“ก็ไปถึงนั่นเกือบเที่ยง กว่าจะผ่านตม.ออกไปโรงแรมเห็นพี่แอมบอกว่าบ่ายกว่าๆ คุณแม่มีประชุมตอนบ่ายสองครึ่ง ก็คงพอดีกัน”
“แล้วไปยังไง ให้เราขับรถไปส่งนะ”
“ตอนแรกป๊าบอกว่าจะไปส่ง แต่เมื่อกี้เพิ่งคุยไลน์กับพี่แมน เขาบอกว่าจะมารับไปพร้อมกัน นี่เลยว่าจัดกระเป๋าเสร็จจะไปบอกป๊า”
แพรวสะดุดชื่อนั้นอีกแล้ว “พี่แมนจะมารับเหรอ”
“ใช่ แพรวอยากได้อะไรไหม เราจะซื้อมาฝาก”
หญิงสาวส่ายหน้า.. “ไม่เอาหรอก นัทไปทำงานเราไม่อยากให้แบกของพะรุงพะรัง..ว่าแต่นัทอ่ะยังไงเนี่ยกับพี่แมนน่ะ..ช่วงนี้พูดถึงบ่อยจัง..เราหึงนะ”
ณัฐวีร์รับลูกทันที “เราเปล่ามีกิ๊กนะ แค่เจอกันทุกวัน มีเรื่องงานต้องคุยกันบ้าง”
“ไหนเอาไลน์มาดูสิ” เธอแบมือ
“เฮ้ย ต้องตรวจกันเลยเหรอ” ณัฐวีร์หัวเราะแต่ก็ยอมเปิดหน้าจอไลน์ของมกรให้อีกฝ่ายดู
“อะไรกัน... ให้ง่ายๆแบบนี้ไม่สนุกเลย อิดออดหน่อยเสร้”
“เล่นตัวทำไม เราบริสุทธิ์ใจ” ณัฐวีร์เห็นอีกฝ่ายรับไปเปิดดูก็เฝ้าสังเกตสีหน้าของแพรว บางทีเธอก็ทำตาโต บางทีเธอก็หัวเราะคิกคัก
“พี่ถึงบ้านแล้วครับ ขอบคุณที่วันนี้ไปทานข้าวเย็นด้วยกัน.. อะไรจะสุภาพขนาดนี้.. แล้วดูเธอตอบพี่เขา ...ไม่เป็นไรครับ วิวดี ของฟรีด้วย ผมชอบ... แล้วนี่อะไรยะ สติ้กเกอร์ตัวนี้ชั้นยังไม่เคยได้โหลดเลย เธอซื้อแล้วเหรอ”
“ไหน... อ๋อ อันนี้พี่เขาซื้อให้”
“ยังไง? ก็เดี๋ยวนี้ไลน์มันส่งกิ้ฟต์ไม่ได้แล้วนี่นา”
“ก็ พี่เขาเอาเครื่องเราไปใส่บัตรเครดิตให้ แล้วก็ทำซื้อของให้ด้วย”
“โถ...พ่อบุญทุ่ม แบบนี้รูดออพชั่นเกมได้เลยสิ เธอจะได้รันยาวๆ เจ็ดล้านแปดล้านก็ว่ากันไป” แพรวยิ้มแซวแล้วสไลด์ต่อไป “นี่คุยอะไรกันเยอะแยะ... แล้วนี่ ..เวลาทำงานด้วยนะ ส่งไปส่งมาเนี่ย”
“ก็บางทีอยู่ในห้องทำงานแล้วนั่งห่างกัน..” ณัฐวีร์เริ่มอ้อมแอ้ม ก็ไม่นึกว่าแพรวจะสังเกตไปถึงขนาดนี้ ส่วนใหญ่เขาไม่ค่อยตอบ มีแต่ฝ่ายนั้นที่ส่งสติ้กเกอร์มา เขาจะมีตอบบ้างก็แค่รูปอีโมชั่นแทนอารมณ์เท่านั้น
“ห่างกันแล้วยังไง ต้องส่งติ้กเกอร์ให้กันเหรอ.. แล้วดูอันนี้ ถามอะไรเนี่ยติงต๊องมากเลย”
“ไหน..?” ณัฐวีร์ลุกขึ้นมานั่งข้างแพรวบนเตียง
“เมื่อคืนฝันถึงพี่หรือเปล่าครับ... ห้องน้ำอยู่ไหนเนี่ยไปอ้วกแป้บ” แพรวอ่านแล้วขำกลิ้ง
“อันนี้นัทไม่ได้ตอบนะดูดีๆ” ทางนี้เริ่มร้อนตัว
“นัทน่ะดูจะไม่มีอะไร แต่ทางนั้นท่าทางจะมีอะไร” เธอว่าแล้วไถลงไปล่างสุด “เอ เราว่าเขาพูดเรื่องนี้กับนัทสองหนนะเนี่ย จะให้เปลี่ยนเป็นเรียกนัทแทนผมเนี่ย”
ณัฐวีร์ก้มเมียงมอง “ก็ แพรวรู้นี่นา..ถ้าไม่สนิทเราก็แบบนี้”
“จ้ะ พ่อคนเย็นชา..” เธอส่งโทรศัพท์คืน “ทำไมเราจะไม่รู้.. ถ้านัทโกรธล่ะก็ แม้แต่หน้านัทก็จะไม่มอง.. ไม่พูดด้วย ไม่คุยด้วย กลายเป็นอากาศไปเลย”
“นั่นต้องสุดๆจริงๆนะ”
ขณะที่ณัฐวีร์กำลังจะเก็บเครื่องเข้ากระเป๋ากางเกงเสียงไลน์ก็ดังขึ้น
“สงสัยจะคนเดิมหรือเปล่านะ..เอามาดูเร็วๆ” แพรวเอ่ยแซวพร้อมเอาศอกมาตีแขนณัฐวีร์จนเขาต้องหยิบขึ้นมาเปิดดู
ข้อความนั้นมาจากมกรจริงๆ
“อะไรไหน..จัดกระเป๋าเสร็จหรือยังครับ..” แพรวอ่านแล้วหน้าบู้
ณัฐวีร์เลยหัวเราะแล้วตอบข้อความไปเป็นสติ้กเกอร์ “Yes”
ฝ่ายนั้นส่งรูปยกนิ้วโป้งกลับมา แล้วต่อด้วยประโยคว่า “นี่ทำอะไรอยู่”
ณัฐวีร์หัวเราะเมื่อแพรวยื่นหน้ามายิ้มให้ “จะตอบยังไงดีล่ะยะ”
“แพรวว่าไงล่ะ”
“ก็ไม่รู้สินะ..” หญิงสาวยักไหล่แบมือทำท่าเชิด “ถ้าเป็นเราก็ตอบตามจริง”
“นั่งเม้าท์พี่อยู่ครับ?”
“เฮ้ย ไม่ใช่สิ!!” แพรวร้องจ้าก “ก็บอกไปว่าอยู่กับแฟน”
พวกเขาทิ้งข้อความไว้นานเกินไป ทางโน้นคงขึ้นว่าอ่านแล้วแต่รอเท่าไรก็ไม่ตอบไปเสียที ทำให้มกรส่งมาอีกครั้งด้วยคำถามที่แพรวเห็นแล้วหมั่นไส้สุดๆ
“คิดถึงพี่อยู่หรือเปล่าครับ..”
ถึงจะรู้ว่าฝ่ายนั้นเพิ่งไปบำบัดทางจิตมา แต่หญิงสาวก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยอยากปรานีคนป่วยนัก
“เอามานี่ เราตอบให้”
“เดี๋ยวสิๆ เรากำลังจะคีย์อยู่นี่” ณัฐวีร์ไม่ยอมให้โทรศัพท์ เขาส่งสติ้กเกอร์ “No” ไปให้ แล้วตามด้วยประโยคที่ว่า “คุยเรื่องของฝากกับแฟนอยู่ครับ..”
พอกดส่ง ข้อความของเขาก็ถูกอ่านทันที เหมือนว่าทางนั้นรอการตอบกลับอยู่แล้ว
“เฮ้ย กล้าว่ะ..” แพรวหัวเราะร่วน “แบบนี้สิถึงจะเป็นแฟนที่ดี ให้เกียรติผู้หญิง น่ารักมาก” หญิงสาวยื่นมือมาดึงแก้มณัฐวีร์ยืดเล่นเหมือนที่เคยทำเป็นประจำ
“อ้าว ไม่งั้นเดี๋ยวแพรวเลิกเป็นแฟนเรา เราก็แย่สิ ถูกผู้หญิงทิ้งเท่ที่ไหนล่ะ”
“ทำไม แกจะทิ้งผู้หญิงก่อนหรือไง หนอย” ว่าแล้วเธอก็หักมือกร็อบแกร็บแล้วยีหัวณัฐวีร์เล่นจนพากันหัวเราะร่วนไปทั้งคู่ กระทั่งหายเหนื่อยนั่นแหละถึงได้กลับมาดูไลน์กันอีกทีแล้วก็พบข้อความเพียงว่า
“พี่ไม่กวนแล้ว เจอกันพรุ่งนี้ 6 โมงเช้านะครับ”
ซึ่งเป็นข้อความที่ส่งมาหลังจากอ่านข้อความของณัฐวีร์ไป 5 นาที
.
.
.
.
.

มือถือรุ่นใหม่ถูกกำแน่นจนมือที่กำอยู่ขึ้นข้อขาว ชายหนุ่มเงื้อมันขึ้นสูงทำท่าจะคว้างเข้าผนังห้องแต่ก็ยั้งไว้.. ในเครื่องนี้มีข้อความที่สำคัญกับเขา มีรูปถ่าย มีความทรงจำมากมายที่เขายังไม่ได้เก็บข้อมูลไว้
มือนั้นค่อยๆคลายออกปล่อยให้โทรศัพท์หลุดร่วงแล้วหันไปหยิบสมุดเล่มเล็กที่วางอยู่ตรงหัวเตียงออกมากาง เขากำปากกาหนึ่งแท่งที่อยู่ตรงนั้นแล้วขีดเส้นเขียนรูประบายอารมณ์ที่คลุ้มคลั่งของตนเองออกมา
“คุยอยู่กับแฟน..คุยอยู่กับแฟน!”
เสียงกระแทกตอนท้ายมาพร้อมกับการกดปากกาในมือลงไปบนสมุด กดจนมันลึกทะลุไปอีกหน้าขาดจนทะลุเลยไปหลายหน้า ระบายความอึดอัดที่อยู่ข้างในออกมาอยู่อย่างนั้นนานเกือบสิบนาที
“คุยอยู่..กับ..”
ช่วงท้ายประโยคนั้นมีเสียงสั่นเครือและหายเข้าไปในคอ น้ำตาหยดหนึ่งตกลงต้องหลังมือที่กำปากกาแน่น..แล้วมันก็หยดไหลลงมาเรื่อยๆอยู่อย่างนั้นเกือบครึ่งชั่วโมง..ก่อนที่ชายหนุ่มจะพลิกกระดาษเปล่าหน้าถัดไปแล้วเริ่มเขียนในสิ่งที่ต้องการออกมา
“มะม่วง.. วันนี้พ่อแมนหงุดหงิดมากครับ..”
แล้วชายหนุ่มก็จมอยู่กับการเขียนในสมุดที่มีรอยฉีกขาดนานเป็นชั่วโมง
.
.
.
.
.

ท้องฟ้าของเวลาตีห้ายังครึ้มเมื่อรถอัลพาร์ดคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดที่หน้าร้าน ณัฐวีร์ชะเง้อดูคนที่ก้าวลงมาจากรถแล้วตะโกนบอก
“ป๊า รถมาแล้วนัทไปแล้วนะ” เขาหันมาหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นสะพาย แล้วจัดการกระเป๋าลากเตรียมพร้อม
มกรที่ก้าวลงมายืนอยู่ข้างรถใส่กางเกงยีนส์สีเข้ม เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอมเขียวลวดลายกราฟฟิกสวยปล่อยชายเสื้อและพับแขนขึ้นเกือบถึงข้อศอก ผมถูกเซ็ทไว้อย่างดี ที่ใบหน้านั้นมีแว่นสีควันบุหรี่บดบังดวงตา..เพื่อปกปิดอาการบวมของดวงตาไว้
คุณวีรชาติเดินตามลูกชายมาด้านหลัง ส่วนณฐกายังไม่ตื่นเพราะส่วนใหญ่ร้านจะเปิด 11 โมง และปิดเกือบ 5 ทุ่มกว่าจะเคลียร์บัญชีและจิปาถะเรียบร้อยก็ตี 2 เธอจึงจะนอนพักถึง 8 โมงเช้าแล้วค่อยตื่นมาเตรียมร้าน
แต่ก็ออกจะแปลกสักหน่อยที่เธอไม่ได้ตื่นมาส่งเขาวันนี้ มีป๊าคนเดียวที่ลุกมาส่งถึงรถ ณัฐวีร์คิดอย่างเป็นกังวล เขากลัวว่าแม่จะไม่สบายไปเพราะช่วงนี้ดูแม่เพลียๆ
“แม่เขาฝากบอกว่าไปดีๆ เดี๋ยวกลับมาจะทำอาหารอร่อยๆให้กิน”
“ครับไม่เป็นไร ฝากป๊าดูแม่ด้วยนะครับแม่เขาดูเพลียๆ แล้วนัทจะโทรมาหาบ่อยๆ” ณัฐวีร์ยกมือไหว้ลาบิดา คุณวีรชาติพยักหน้ารับตบไหล่ลูกชายเบาๆ ก่อนจะหันไปรับไหว้มกร “ฝากนัทด้วยนะ ไม่ค่อยได้ไปไหนไกลๆ นี่เพิ่งจะหนที่สองที่ออกนอกประเทศ”
“ไม่ต้องห่วงครับ ไปกันหลายคน ผมเองก็คงไม่ได้แยกกับน้องไปดูงานที่อื่น..จะดูแลให้อย่างดีครับ..” มกรตอบแล้วหันมายิ้มให้ณัฐวีร์
พวกเขาเอ่ยลากันอีกเล็กน้อยเพื่อรอให้คนขับรถเอากระเป๋าของณัฐวีร์ขึ้นเก็บ แล้วมกรก็วางมือตรงส่วนหลังณัฐวีร์เพื่อส่งสัญญาณว่าถึงเวลาแล้ว
“เดี๋ยวก่อน!” เสียงตะโกนมาแต่ไกลเป็นเสียงหญิงสาวที่วิ่งมาจากอีกฟากของซอย “นัทรอแพรวก่อน”
คนถูกเรียกชะงักเท้าที่จะก้าวขึ้นรถแล้วก็เลยหันมายิ้มให้เพื่อนที่วิ่งถือถุงกระดาษใบย่อมเข้ามาหา
“โหยนึกว่าไม่ทันแล้ว” แพรวยืนหอบอยู่ข้างๆมีณัฐวีร์หัวเราะไปลูบหลังเพื่อนไป
“ไม่บอกว่าจะตื่นมาส่ง เราจะได้โทรปลุก”
“จุ๊ๆๆ เด็กน้อย..” แพรวส่ายนิ้วตรงหน้า “ไม่ใช่แค่ตื่นมาส่งนะคะ นี่มีแซนวิชแฮมเอ็กซ์ตร้าชีสที่เธอชอบมาให้ด้วย”
ว่าแล้วหญิงสาวก็ยื่นถุงกระดาษส่งมาให้
“ขอบคุณมากเลย ดีใจนะเนี่ย..” ณัฐวีร์รับถุงมาเปิดส่องดู พอเห็นว่าในถุงมีอยู่หลายชิ้นก็เงยหน้าขึ้นมอง
“ก็จะได้แบ่งๆ คนอื่นด้วยไง..” เธอส่งสายตาเป็นอันรู้กันว่าจะให้แบ่งเพื่อนร่วมทริปด้วย
“อ้อ.. ทำชดเชยความผิดเมื่อวานหรือเปล่าเนี่ย” อันนี้ณัฐวีร์กระซิบถาม อีกฝ่ายเลยหัวเราะ
“เบื่อคนรู้ทัน..” ว่าแล้วหญิงสาวก็ดึงแก้มนุ่มของณัฐวีร์เสียเลย
“นัท เดี๋ยวจะไม่ทันนะครับ..” มกรร้องเรียกแล้วผลุบเข้ารถไปก่อนเลย
พอเห็นแบบนั้นแพรวก็หันมากลอกตาใส่ณัฐวีร์ “รีบไปเถอะเธอ ฉันไม่ได้อยากมาสร้างศัตรูตอนนี้”
ณัฐวีร์หัวเราะ “แล้วแกมาเสนอหน้าทำไมวะเนี่ย” ว่าแล้วเจ้าตัวก็โยกหัวอีกฝ่ายเล่นเบาๆ “เอาล่ะ เดี๋ยวจะซื้อของมาปลอบใจนะ ไม่ต้องกังวลไป”
“ขอบใจ โคลอนมะม่วง กับทาร์ตไข่นะเธอ”
“ไหนเมื่อวานใครบอกไม่เอาของฝากไง”
“ชิ..แลกกับแซนวิช” หญิงสาวรุนหลังเพื่อนแล้วเดินมาส่งถึงรถ เธอยกมือไหว้คุณมนธิชาที่นั่งอยู่ในรถ และเลยไปถึงมกรด้วย ก่อนจะถอยออกให้คนขับปิดประตูอัตโนมัติเสีย
“ขอบใจนะน้องแพรว” คุณวีรชาติเอ่ยขึ้นขณะมองตามรถไป
หญิงสาวเองก็ยิ้มกว้างขึ้น “ด้วยความยินดีค่ะคุณลุง.. เพื่อนหนู หนูก็หวง จะมาจีบเอาไปง่ายๆเหมือนครั้งแรกนี่อย่าได้หวัง ต้องผ่านด่านอรหันต์ของแพรวก่อนล่ะ”
แล้วเธอก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
.
.
.
.
.

ถึงสุวรรณภูมิจนพบกับทีมงานเรียบร้อยแล้ว ณัฐวีร์ก็ยังไม่เห็นว่ามกรจะพูดอะไรสักแอะ ชายหนุ่มนั่งเมินมองออกไปนอกกระจกตลอดเวลาแม้ว่าเบาะนั่งจะไม่ได้ติดกัน แต่ก็นั่งอยู่ในแนวเดียวกัน น่าจะหันมาคุยกันบ้าง นี่เล่นทำตัวอึมครึมตั้งแต่ยังไม่ได้ออกนอกประเทศแบบนี้มีหวังจะน่าเบื่อทั้งทริปแน่ๆ
“นัท..” คุณมนธิชาเรียกขณะที่กำลังรอทีมงานเอาเอกสารและกระเป๋าไปเช็กอิน
“ครับคุณแม่..”
“นัทไปดูพี่แมนให้แม่มนหน่อย เมื่อเช้าเห็นบ่นว่าปวดหัวเจ็บตา ถามให้ทีว่าเขาอยากได้ยาไหม...”
อ๋อ.. ไม่สบายนี่เอง ถึงว่าเงียบๆ ณัฐวีร์คิดพลางยิ้มตอบ “ได้ครับ”
เขาหมุนมองแล้วก็พบว่าฝ่ายนั้นยืนดูโทรศัพท์อยู่ไม่ห่างไปมากนัก แต่พอจะก้าวไปมือนุ่มๆของคุณมนธิชาก็คว้าถุงกระดาษที่มีแซนวิชเอาไว้ “เดี๋ยวอันนี้แม่ให้แอมเขาถือไปให้ เราจะได้ไม่ต้องห่วง”
“ครับ..” ณัฐวีร์ปล่อยถุงไปอย่างงงๆ แต่ก็ไม่ทันได้คิดอะไรหรอก เขาเดินไปหามกร พอหยุดตรงหน้าฝ่ายนั้นแล้วก็เอ่ยถามขึ้น “พี่แมนไม่สบายหรือ?”
คนตัวสูงเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์ พอเห็นว่าเป็นใครถามก็เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกง
“นิดหน่อย ปวดหัวกับตา..”
“ไปทำอะไรมา มีไข้หรือเปล่าครับ” ณัฐวีร์ถามแล้วกระชับสายเป้หลังอย่างไม่รู้จะเอามือไปวางไว้ที่ไหน
จริงๆเขาก็รู้สึกแปลกๆทุกครั้งที่อยู่กันลำพังกับมกร.. มันเป็นความรู้สึกเคอะเขินและตะขิดตะขวงใจอย่างไรบอกไม่ถูก  จนบางทีเหมือนว่าจะวางตัว วางแขนวางขาได้ไม่ถนัดเลยด้วยซ้ำ
พอไม่ได้คำตอบจากที่ถามเมื่อครู่ ณัฐวีร์เลยตั้งคำถามใหม่ “นี่จัดการยาไปบ้างหรือยังล่ะครับ”
“ไม่ค่อยอยากกินยาเท่าไหร่ เดี๋ยวมันจะเคยชิน.. มีไข้ไหมก็ไม่รู้ตัวหรอก รู้แต่ว่ามันเหนื่อยๆเพลียๆ”
“แบบนี้จะไปทำงานไหวเหรอ”
“ไม่รู้สิ.. ไปถึงวันนี้บ่ายก็มีประชุมเลยนี่นะ” ชายหนุ่มพึมพำ
“ผมว่าเสื้อพี่มันบางไปนะ เอาตัวนี้คลุมไหล่ไว้หน่อยดีกว่า แล้วเดี๋ยวเข้าไปด้านในค่อยหาอะไรอุ่นๆดื่ม ผมไม่รู้ว่าข้างในมีร้านยาไหม”
ชายหนุ่มรับเอาเสื้อแขนยาวที่ณัฐวีร์พาดไหล่อยู่มาคลุมบนไหล่ตัวเองแล้วใบหน้านั้นก็เริ่มมีรอยยิ้มบางๆ “ข้างล่างมีร้านยา.. ถ้านัทสะดวก..พาพี่ลงไปซื้อยาหน่อยได้ไหม”
พออีกฝ่ายขอร้องมาแบบนี้ ณัฐวีร์เลยได้แต่พยักหน้ารับ
“เดี๋ยวไปบอกแม่ก่อน” มกรรีบเดินไปบอกมารดาตัวเองทำให้คนที่มองตามถึงกับรู้สึกสงสารในใจ นี่คงจะปวดหัวมากสินะ รีบจนจะเป็นวิ่งแบบนั้นน่ะ..
.
.
.
.
.

การผ่านกระบวนการตรวจหนังสือเดินทางเข้ามาสู่ด้านในท่าอากาศยานเป็นเรื่องง่ายขึ้นเมื่อมีออโต้เกทสำหรับคนไทย ดังนั้นทั้งกลุ่มที่มีกัน 7 คนจึงใช้เวลาน้อยมาก และมีเวลาเหลือเฟือมากที่จะไปเดินซื้อสินค้าในร้านปลอดภาษี บางคนที่ไม่รู้จะซื้ออะไรดี ก็เลยแยกไปหาที่นั่งทานอาหารเช้า หรือกาแฟรองท้องก่อนขึ้นเครื่อง
“อืม.. คนน้อยดี” คุณมนธิชาหันมาบอกลูกสองคนแล้วพาเดินเข้าไปยังภายในเล้าจน์ เบาะหนังสีม่วงจัดวางไว้แยกเป็นสัดส่วนด้วยผนังกั้น จอโทรทัศน์กำลังมีข่าวเช้า โชคดีว่าช่วงที่เข้าไปคนยังน้อย จึงสามารถเลือกที่นั่งได้ตามสะดวก
ณัฐวีร์เดินตามคุณมนธิชาเข้าไป แล้วปิดท้ายขบวนด้วยมกร และเพราะทั้งสามคนได้รับการอัพเกรดที่นั่งเป็นชั้นธุรกิจ จึงเป็นเรื่องสะดวกสบายแค่โชว์บอร์ดดิ้งพาสเท่านั้น
แต่ด้วยความที่ณัฐวีร์ยังไม่เคยเข้ามาที่เล้าจน์ของการบินไทย เขาจึงดูตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เห็นอยู่นี่ไม่น้อย
“หิวไหม?”
เสียงกระซิบข้างหูทำให้เขาตัวเกร็งขึ้นมาทันที สายตาเหลือบดูนาฬิกาดิจิตอลที่อยู่ตรงข้างฝา..เพิ่งจะ 6.45 น. ซึ่งน่าจะง่วงมากกว่าหิว
ณัฐวีร์ส่ายหน้าแล้วทรุดนั่งลงฝั่งตรงข้ามมนธิชา ไม่มองซ้ายมองขวาอีก
“เอ๊ะ หรืออยากเข้าไปตรงส่วนที่มีของเล่น” มกรเย้าพลางก้าวมานั่งลงข้างๆกันทำให้คุณมนธิชาถึงกับเอ่ยปราม
“ไปแกล้งน้อง..” เธอยิ้มให้กับณัฐวีร์ “ไปหาอะไรทานรองท้องเสียหน่อยก็ดีนะนัท กาแฟ หรือน้ำผลไม้ตรงโน้นก็มี แมนนั่นแหละพาน้องไป”
“ไปกัน..” ไม่พูดเปล่า มกรยังคว้าเอามือของณัฐวีร์แล้วลุกดึงให้เดินตามด้วย ทำให้เขาต้องลุกไปโดยปริยาย
ในเล้าจน์นั้นมีอาหารประเภทโจ๊กไก่ พาย ครัวซอง แฮม ไส้กรอก และสลัดบาร์อยู่ด้วย ตอนแรกที่ว่าไม่หิวๆ พอเดินผ่านได้กลิ่นอาหารก็เลยต้องจัดมากันคนละอย่างสองอย่าง
“เอาอะไรไปให้คุณแม่ด้วยไหมพี่” ณัฐวีร์เอ่ยถาม
“ให้เขามาเอาเองสิ” มกรบอกแล้วทำท่าจะถือจานขนมทั้งของเขาและณัฐวีร์ไป
“ไม่ได้ครับ.. นั่นคุณแม่นะ” ทางนี้เองก็ไม่ยอม ยื้อแขนร่างสูงให้หันมาคุยกัน
“ก็...ไม่รู้จะเอาอะไรให้เขา” มกรหลุบตาลงมองจานขนมในมือ ทำท่าเหมือนเด็กที่ถูกผู้ใหญ่ดุจนอีกฝ่ายมีท่าทีอ่อนลง
“แบบนี้แล้วกัน เดี๋ยวเอาพายทูน่าไปเพิ่มอีกชิ้น แล้วนัทจะถือน้ำส้มไปให้คุณแม่ด้วย.. คุณแม่ชอบดื่มน้ำส้มไหมครับ”
“ไม่รู้สิ..” มกรตอบด้วยความไม่รู้จริงๆ พวกเขาไม่เคยได้ทานข้าวเช้าร่วมกันมาเป็นสิบปี เพิ่งจะได้มีมื้ออาหารเหมือนครอบครัวคนอื่นก็ราวๆ สองอาทิตย์นี่เอง
ณัฐวีร์ขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร บางเรื่องเป็นส่วนตัวเกินกว่าเขาจะก้าวล่วงเข้าไป
“งั้นลองอันนี้แล้วกันนะครับ” ณัฐวีร์คีบเอาพายมาใส่เพิ่มในจาน แล้วมองไปมองมาไม่เห็นถาด ก็เลยรวบเอาแก้วน้ำส้มสำหรับสามคนขึ้นมาถือเดินนำไปเลย สะดวกดี
พอนั่งลงได้ณัฐวีร์ก็ยื่นจานขนมกับแก้วน้ำส้มออกไป “คุณแม่ นี่พี่แมนให้เอามาฝากคุณแม่ครับ”
คุณมนธิชามองลูกชาย พอเห็นใบหน้านั้นแดงขึ้นเธอก็ยิ้ม “ขอบใจนะแมน”
ความที่ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดมารดานัก พอมาเจอกันแบบนี้ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ มกรจึงมีอาการเคอะเขินบ้าง ยิ่งเห็นมารดาหยิบอาหารและน้ำไปดื่มอย่างเอร็ดอร่อยเขาก็ยิ่งรู้สึกขอบคุณณัฐวีร์มากขึ้น..
พออาหารตรงหน้าเริ่มพร่องลง ณัฐวีร์ก็เอ่ยขึ้น “พี่แมนถอดแว่นไหมครับ? ในนี้แสงไม่จ้ามากเผื่อจะได้หยอดยา”
เขาถามพร้อมกับหยิบถุงยาที่ไปซื้อด้วยกันออกมาจากเป้ เมื่อครู่ได้มาทั้งยาแก้ปวดและยาหยอดตาเพราะคนป่วยบอกว่าปวดหัวและเจ็บตา
มกรทำท่าชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะยอมยกมือขึ้นถอดแว่นออก
“โห.. ตาบวมเป่งเลย” ณัฐวีร์ร้องพลางชะงักการเปิดขวดยาหยอดตา “แบบนี้ไปหาหมอไม่ดีกว่าหรือครับ..”
มกรส่ายหน้า ถึงจะรู้ว่าในแอร์พอร์ตนี้มีสถานพยาบาลของโรงพยาบาลชั้นนำมาเปิดฮับอยู่ด้วย แต่..อาการของเขามันไม่ใช่เรื่องต้องไปหาหมอ.. จริงๆแค่ประคบเย็น นอนพักสายตาสักชั่วโมงก็น่าจะดีขึ้น เพราะเมื่อคืน..ร้องไห้หนักไปหน่อย แถมยังนอนน้อย ตาเลยบวมตุ่ยอย่างที่เห็น
“ไม่เป็นไร ..ไว้ถ้าไปฮ่องกงแล้วไม่ดีขึ้นค่อยพาไปหาหมอก็ได้” คุณมนธิชาเอ่ยบอก..เธอรับรู้ว่าลูกชายมีเรื่องตั้งแต่เมื่อวาน นั่นเองที่ทำให้เธอเจ้ากี้เจ้าการอะไรหลายๆอย่างกับณัฐวีร์
“แบบนั้นเอายาไปหยอดก่อนแล้วกันนะครับ แล้วก็ทานยาแก้ปวดนี่ด้วย..” ณัฐวีร์แกะยายื่นไป แล้วจึงส่งยาหยอดตาไปให้เมื่อเห็นอีกฝ่ายจัดการยาเม็ดเรียบร้อยแล้ว “งั้นงีบไปสักครู่ไหมครับ เผื่อจะดีขึ้น”
เห็นอีกฝ่ายห่วงเขาแบบนั้น มกรก็รู้สึกเต็มตื้นขึ้นในอก เขายิ้มพลางบีบมืออีกฝ่ายเบาๆเป็นการขอบคุณ แล้วจึงขยับตัวเล็กน้อยทิ้งศีรษะอิงเข้ากับพนัก
“เอาแว่นมานี่ครับเดี๋ยวผมเก็บไว้ให้ก่อน ..” ณัฐวีร์บอกเบาๆพลางโน้มตัวไปหยิบเอาแว่นตาที่อีกฝ่ายวางไว้บนที่พักแขนมาใส่กระเป๋า
ลมที่พัดผ่านเบาๆทำให้มกรสูดหายใจเข้าลึก.. มันเป็นกลิ่นหอมที่เขาคุ้นเคย กลิ่นโคโลญจน์ที่ณัฐวีร์ชอบใช้เป็นประจำตอนที่พวกเขาเคยอยู่ด้วยกัน..
คิดถึงจัง.. อยากกอดไว้แน่นๆ
ไม่อยากปล่อยไปไหนอีกแล้ว
แต่ถ้าณัฐวีร์มีคนอื่นอยู่แล้ว..เขาควรทำอย่างไรดี.. ทำเหมือนเมื่อก่อน อยากได้อะไรต้องได้ดีไหม? ชายหนุ่มขมวดคิ้วส่ายหน้า ไม่ดี ทำเหมือนเมื่อก่อนไม่ช่วยอะไรเลย ไม่มีอะไรดีเลย
เขาต้องเปลี่ยนตัวเองสิ ถ้าอยากให้ใครมารัก เขาก็ต้องรักคนนั้นก่อน รักอย่างไม่มีเงื่อนไขด้วย









TBC.
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 22 [06.05.14] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 06-05-2014 09:38:06
แม้น แกอย่าไปฆ่าใครนะ แกเป็นพระเอกนะ  :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 22 [06.05.14] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-05-2014 13:49:35
ถ้ายังอยากเป็นพระเอกอยู่ต้องทำให้ได้น่ะแมน
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 22 [06.05.14] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 07-05-2014 11:28:56
คิดได้ ต้องทำได้ด้วยนะแมน


ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 22 [06.05.14] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: แป้งข้าวหมาก ที่ 07-05-2014 11:49:31
สู้ๆละกันนะแม้น เห็นแก่ที่อดทนมาตลอด
เราจะเอาใจช่วยด้วยละกัน
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 22 [06.05.14] P.9
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 09-05-2014 04:02:05
อื้อหือออ มกร อดทนเข้าไว้นะ สู้ๆ
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 23 [14.05.14] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 14-05-2014 11:31:57
ตอนที่ 23




พอไปถึงสนามบินนานาชาติฮ่องกง ตาที่บวมของมกรก็ยุบลงบ้างแล้ว แต่ณัฐวีร์ก็ยังไม่วางใจ เขาหยิบแว่นจากกระเป๋าแล้วส่งให้อีกฝ่ายใส่อย่างน้อยก็เพื่อกันลม
รถตู้จากโรงแรมมารับถึงสนามบิน เมื่อเช็กกระเป๋าทุกใบเรียบร้อยดีแล้ว ทั้งหมดจึงขึ้นรถเดินทางเข้าไปยังโรงแรมที่เกาะฮ่องกง
วิวสองข้างทางที่เป็นอ่าวมีน้ำทะเลล้อมรอบ ปั้นจั่นของเครนยักษ์กำลังทำงานยกตู้เครนใหญ่ลงจากเรือเพื่อเข้าสู่ท่าเรือและโกดังเก็บต่อไปตามลำดับ ณัฐวีร์มาฮ่องกงเป็นครั้งแรกจึงออกจะตื่นตาตื่นใจกับการเดินทาง ทั้งวิวทิวทัศน์และผู้คนอยู่มาก จนกระทั่งได้ยินเสียงถามดังมาจากผู้ชายตัวสูงที่นั่งอยู่ข้างๆนั่นแหละ เขาถึงได้หันกลับไปมอง

“หิวไหม?” คำถามที่แสดงความห่วงใยแบบนั้นทำให้ณัฐวีร์ยิ้มรับพลางส่ายหน้า
“ไม่หิวเลยครับ บนเครื่องก็กินเสียเยอะเลย” เขาบอกแล้วลูบท้อง “สงสัยจะอิ่มไปยันเย็น”
“ก็เราเล่นกินทุกอย่างเลย”
คนตัวเล็กกว่าหัวเราะ “ก็ไม่เคยนั่งชั้นธุรกิจ และคิดว่าไม่น่าจะได้นั่งอีกแล้ว มาทั้งทีก็เลยจัดเยอะจัดใหญ่”
มกรหัวเราะตามไปด้วย “ถ้าอยู่กับพี่..เอ่อ..หมายถึงทำงานกับพี่น่ะ ได้นั่งแบบนี้บ่อยแน่ๆ”
“ผมเพิ่งขึ้นปี 2 เองนะพี่” ณัฐวีร์หัวเราะแล้วมองออกไปด้านนอกอีก รถเริ่มเข้าสู่ช่วงที่เป็นบ้านคน ตึกทรงเหลี่ยมสูงระฟ้า บ้างเป็นกระจกสะท้อน บ้างวางมุมทแยง แล้วยังมีศาลเจ้าแทรกอยู่เป็นระยะ ทำให้บอกได้ว่าคนที่นี่มีความเชื่อในศาสตร์ลึกลับ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์พอสมควร

“นัท..”
คนข้างๆ สะกิดอีกแล้ว ณัฐวีร์จึงหันมาหาอีกหน
“โกรธพี่หรือเปล่าที่ให้พวกนั้นกินแซนวิชไปเสียหมด”
“ผมบอกแล้วนี่ว่าไม่เป็นไร..” ณัฐวีร์ยิ้มให้ เขามารู้ก็เมื่อตอนที่ลงเครื่องแล้วถามหามัน ตัวเขาเองก็ลืมไปเสียสนิทเลย
มกรมองแอมที่ปรายตามองมายังเขา แล้วจึงพูดว่าตนเองนั้นอนุญาตให้ทีมงานจัดการแซนวิชไปก่อนแล้วเพราะเห็นว่าทีมงานหิว และนี่เป็นครั้งที่สองที่เขาถามณัฐวีร์ เพราะกลัวฝ่ายนั้นจะโกรธจริงๆ..ที่เขาสั่งให้ทิ้ง เอ้ย สั่งให้ทีมงานกินแซนวิชไป
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ.. เมื่อกี้ผมพูดจริงๆนะ ไม่เป็นไรจริงๆ” ณัฐวีร์ยิ้มกว้าง.. เดี๋ยวนี้เขาไม่ได้ยิ้มตาหยีอีกแล้ว กลายเป็นยิ้มที่ดวงตามีเสน่ห์ขึ้นจนคนมองแทบอยากจะคว้ามากอดเลยทีเดียว “เอาเป็นว่าอธิบายเพิ่มอีกหน่อยก็ได้ ..ผมแค่เสียดายที่คุณแม่กับพี่แมนไม่ได้ลองชิมเท่านั้นเอง แต่แฟนผมเขาน่ารักครับ...ใจดีที่หนึ่งเลย เดี๋ยวเขาก็ทำมาให้อีก..คราวนี้ต้องลองให้ได้นะครับ”

เหมือนมีเข็มสักสิบสักร้อยพันเล่มทิ่มเข้ามาที่หัวใจ มกรคลายใบหน้ายิ้มแย้มลงเมื่อได้ยินประโยคนั้นจบลง.. “แฟนผมเขาน่ารัก” ช่างพูดได้เต็มปากเต็มคำนัก ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก “นั่นสินะ.. ผู้หญิงคนนั้นทั้งสวยและดูดี”
“ใช่ครับ..อ่า นี่ก็ลืมไปเลย เดี๋ยวเปิดโทรศัพท์แล้วติดต่อไปหน่อยดีกว่า” ณัฐวีร์ว่าแล้วก็เปิดกระเป๋าเป้ที่อยู่บนตักเพื่อหาโทรศัพท์ แต่คุ้ยหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ “ไปไหนเนี่ย?”
“ของในกระเป๋าเยอะหรือเปล่า มันคงไปอยู่ซอกมุมไหนหรอกมั้ง”
“ไม่นะครับ ผมเอาไว้ตรงซิบหน้านี้” เขาชี้บอก “ที่เดียวกับที่ใส่กล่องแว่นพี่นั่นแหละ”
“อืม.. หรือจะหล่น..” มกรคาดเดาทำให้คนฟังถึงกับหน้าเสีย
“หล่นนี่เสียดายแย่เลยนะครับ” สุดท้ายณัฐวีร์ก็ยอมยกเลิกการหามือถือไปโดยปริยาย แล้วก็ได้แต่นั่งปลง
“เอาน่า มาหายตอนทำงานแบบนี้พี่รับผิดชอบให้ เดี๋ยวกลับไปพี่จะพาไปซื้อเครื่องใหม่เอง”
“ไม่เป็นไรครับ..” ณัฐวีร์ส่ายหน้าแล้วรูดซิปปิดกระเป๋า “เป็นความสะเพร่าของผมเอง รู้แบบนี้พกใส่กระเป๋ากางเกงดีกว่า..แล้วตอนนี้ผมจะติดต่อที่บ้านยังไงล่ะเนี่ย”
“นี่ไง..” ชายหนุ่มยกโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาชูแล้วปลดล็อกหน้าจอ หาเบอร์อยู่ชั่วครู่ก่อนจะกดโทรออก “สวัสดีครับ แมนนะครับ เผอิญน้องทำโทรศัพท์หายครับ เดี๋ยวผมให้คุยกับน้องนะครับ”
ณัฐวีร์รับโทรศัพท์มาแล้วก็กรอกเสียงลงไป “ครับ...อ้ะ ป๊าเหรอ นัทไม่รู้ไปทำโทรศัพท์ร่วงที่ไหน...อะไรในเครื่องไม่มีคลิปหรอกนะป๊า..”
มกรฟังฝ่ายนั้นพูดโทรศัพท์กับบิดาแล้วก็ยิ้มตาม มือซ้ายก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋าสะพายของตัวเองจับดูโทรศัพท์ที่ขโมยว่าเครื่องนั้น..ว่ามันยังอยู่ดี
ที่นี่...จะต้องมีแค่เขาเท่านั้นที่ได้ครอบครองณัฐวีร์เอาไว้

.
.
.
.
.

เมื่อมาถึงโรงแรมการเช็คอินห้องพักก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก เพราะต่างก็ระบุคู่นอนมากันแล้วเรียบร้อย จะมีติดอยู่นิดหน่อยก็ตรงที่..
“เตียงทวิน?”
“ใช่ค่ะ โรงแรมเขาเห็นว่าเป็นผู้ชายสองคน เขาเลยจัดห้องที่เป็นเตียงคู่มาให้” แอมตอบด้วยน้ำเสียงเบาๆเพื่อไม่ให้ณัฐวีร์ที่อยู่ไกลออกไปได้ยิน “แล้วอาทิตย์นี้มีงานแฟร์ค่ะคนจองเยอะมาก ห้องที่คุณต้องการเต็มแล้ว อีกอย่างเราจองห้องยาวหลายวัน ถ้าจะเอาห้องประเภทนั้นจริงๆ ก็ต้องขนย้ายของเปลี่ยนไปทุกวัน คุณจะไม่สะดวกค่ะ”
มกรแสดงสีหน้าหงุดหงิดชัดเจน “แต่ผมสั่งแล้วว่าเอาเตียงเดี่ยวจะคิงไซส์หรือควีนไซส์ก็ได้”
“ต้องขอโทษด้วยค่ะ แอมต่อว่าโรงแรมไปแล้ว ตอนนี้เขาพยายามจะสลับห้องให้อยู่ แต่อย่างที่บอกค่ะ คนเยอะมาก เราจองยาวหลายคืน ดูจะลำบาก”
“ผมไม่สน!” ชายหนุ่มตวัดเสียง “ไม่ได้ตามสั่งก็เปลี่ยนโรงแรม”
“เกรงจะลำบากค่ะ อย่างที่เรียนแล้วว่าช่วงนี้มีงาน โรงแรมที่วิวดีได้รับการจองเต็มเกือบหมดแล้ว” แอมอธิบายด้วยความใจเย็น แต่ดูเหมือนมกรจะไม่เย็นด้วย เขาอ้าปากพร้อมจะอาละวาด
“มีอะไรกันหรือแมน?” คุณมนธิชาเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับเดินนำณัฐวีร์เข้ามาใกล้
“คือ..” แอมก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี เพราะเรื่องห้องนี้คุณมกรสั่งโดยตรงกับเธอเองไม่ผ่านเจ้านาย ถ้าว่าด้วยเนื้องานอย่างเดียว เธอก็ไม่ได้ทำงานบกพร่องเพราะสั่งการมาที่โรงแรมตรงตามต้องการของผู้สั่ง แต่โรงแรมเข้าใจผิดเอง จัดห้องแบบผิดมาให้ นี่มันนอกเหนือที่เธอจะควบคุมได้ ทำได้เพียงแก้ปัญหา รอให้โรงแรมจัดสรรห้องให้ตามต้องการ
“ไม่มีอะไรครับ” มกรขมวดคิ้วแล้วตอบ “แม่นอนคนเดียวใช่ไหม”
“ใช่สิ หรือแมนอยากมานอนกับแม่?” มนธิชาถามยิ้มๆ
“เปล่า แค่จะถามว่าแม่ได้ห้องแบบไหน”
มนธิชาหันมามองเลขาตัวเองเพราะเธอก็ไม่รู้เช่นกัน
“ห้องดีลักซ์ เตียงคิงไซส์ค่ะ”
“แล้วทำไมผมไม่ได้ห้องแบบนั้นบ้าง ทำไมห้องผมได้เตียงคู่” ชายหนุ่มเริ่มจะเสียงดังขึ้นมาเป็นลำดับ ความเอาแต่ใจของคนเรามันก็ไม่ได้หายไปเสียทีเดียว บางครั้งสันดานมันก็ขุดได้ยากเย็นยิ่งนัก
ณัฐวีร์ได้แต่มองไปมองมาแล้วก็เอ่ยขึ้น “ห้องพี่แมนคือห้องผมใช่ไหมครับ”
แอมตอบรับว่าใช่ค่ะ แต่ก็ยังไม่รู้จะดำเนินการอย่างไรต่อไปดีเมื่อเห็นเจ้านายหน้าเครียดกันทั้งคู่
“งั้นก็ไม่เป็นไรนี่ครับพี่.. เตียงคู่อาจจะเล็กหน่อยถ้าพี่แมนดิ้นก็แค่ตกเตียงเอง อย่าคิดมากครับ ผมไม่เอามาล้อหรอก.. เมื่อกี้ผมได้ยินว่าห้องเต็มแล้ว คงจะหาเปลี่ยนได้ยากอยู่นะครับ..” ณัฐวีร์พูดไปยิ้มไป “หรือถ้าไม่พอ เดี๋ยวผมให้พี่แมนนอนสองเตียงเลย กระโดดข้ามไปข้ามมาได้ไม่ว่ากัน ผมนอนพื้นเอง”
คุณมนธิชาฟังแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ ทำให้บรรยากาศตึงเครียดเมื่อครู่คลายลงทันที “เอ้อ เรานี่ก็ช่างปลอบพี่เขานะ... ว่าไงแมนน้องเขาบอกเตียงเล็กไม่เป็นไรเขาให้ไปนอนเตียงเขาได้ เราจะโอเคไหม”
คนถูกถามได้แต่เมินไปทางอื่นแล้วพยักหน้าไม่พูดอะไรอีก
สรุปว่าไม่มีการเปลี่ยนห้อง เมื่อขึ้นไปถึงห้องพักแล้วณัฐวีร์ก็รู้สึกดีที่ไม่ได้เปลี่ยนประเภทเตียงด้วย เพราะเตียงทวินที่เห็นนั้นก็ไม่ได้เล็กมากขนาดที่จะดิ้นตกได้ง่ายๆ หรือถ้าฝ่ายนั้นอยากนอนทั้งสองเตียงจริงๆ ก็ยังมีโซฟาอยู่มุมหนึ่งที่เขาจะไปนอนตรงนั้นได้
ที่สำคัญคือ ตรงโซฟานั่น..วิวดีมาก เพราะมันถูกจัดวางไว้ใกล้หน้าต่างและห้องนี้มองไปจะเห็นอ่าววิคตอเรียได้อย่างสวยงาม ตอนกลางวันแบบนี้เขาเห็นท้องฟ้าและทะเล ตอนกลางคืนเขาจะเห็นไฟที่ประดับประดาตามตึกเหมือนนอนมองดาว...เอ หรือขนหมอนมาจองโซฟาไว้ก่อนดีนะ
ณัฐวีร์เดินไปตรงกระจกแล้วมองวิวภายนอกอย่างชื่นชม เรือแล่นอยู่ในทะเลหลายลำ มีทั้งเรือขนส่งสินค้า เรือขนคนข้ามฟาก และเรือสำเภา ถ้าจำไม่ผิด เป็ดเหลืองเคยมีข่าวว่าศิลปินต่างชาติคนหนึ่งเคยเอาเป็ดยักษ์ลอยน้ำมาจัดโชว์ที่นี่ เสียดายเขาไม่มีโอกาสมาดูมัน ตอนนี้ไปลอยอยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้
“สวยดีนะ”

มาอีกแล้วเสียงกระซิบข้างหู คราวนี้ไม่ธรรมดาตรงที่มือข้างหนึ่งเท้ากระจกกั้นเขาไว้ไม่ให้หลบ ส่วนใบหน้าที่กระซิบนั้นก็มาอยู่เสียชิดจากอีกข้าง ...นี่ถ้าเอามือข้างว่างมากอดเอวไว้ด้วยนี่มันท่าคู่รักชัดๆ ณัฐวีร์นึกฉิวอยู่ในใจ โกรธก็โกรธ แต่ก็ข่มใจให้นิ่งไว้..แล้วบอกตัวเองว่า “ถ้าไม่เล่นด้วย เดี๋ยวก็เลิกตอแยไปเอง”
“สวยครับ..พี่ไม่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือ เดี๋ยวลงไปไม่ทันนะครับ”
มกรเหมือนจะก้มหน้าลงมาเล็กน้อย นิ่งไม่พูดอะไรแล้วก็ถอยตัวออกไปในที่สุด ชายหนุ่มตรงไปเปิดกระเป๋าตัวเองและขณะที่กำลังจะเปิดก็รู้สึกถึงมือที่แตะลงมาบนข้อศอกให้ต้องหันไปหาอีกคนที่เดินตามมายืนข้างกัน
ใจที่ห่อเหี่ยวของมกรพองฟูด้วยความคาดหวัง เมื่อคนตัวเล็กกว่ามีท่าทางลังเลเหมือนไม่กล้าพูด เหมือนตัดสินใจยากว่าควรพูดออกมาดีหรือไม่..ทำไม?.. หรืออยากอาบน้ำด้วยกัน..
มกรคาดเดาไปไกลพร้อมรอยยิ้มที่ค่อยๆคลี่ออก แต่แล้วณัฐวีร์ก็เหมือนตัดสินใจได้ เขาเอ่ยขึ้น
“ขอยืมโทรศัพท์หน่อยได้ไหมครับ” มือขาวแบออกมา “ผมอยากเข้าเฟส จะได้หลังไมค์ไปบอกแฟน โทรศัพท์หายแบบนี้แฟนผมคงห่วงแย่”
เหมือนพื้นที่ยืนอยู่กลายเป็นขั้วโลกเหนือ.. มกรรู้สึกเย็นจากปลายเท้าไล่ขึ้นมาถึงไขสันหลังทำให้ร่างกายเขาไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ จนเมื่ออีกฝ่ายช้อนตาขึ้นมองแล้วพูดว่า “ได้ไหมครับ” นั่นแหละ ชายหนุ่มจึงเพิ่งรู้สึกตัว
เขาล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาวางในมืออีกฝ่ายแล้วหันไปหยิบเสื้อผ้าตรงเข้าห้องอาบน้ำ ก่อนจะก้าวเข้าไป..สายตายังพาลหันไปมองร่างที่นั่งอยู่บนโซฟาด้วยใบหน้ายิ้มเปี่ยมสุข
แล้วหัวใจ...ก็เหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นขยี้ซ้ำเข้าไปอีก

.
.
.
.
.
.


การประชุมกับคู่ค้าผ่านไปด้วยดี พวกเขาทั้งคู่เป็นแค่คนเข้าไปสังเกตการณ์จึงแทบไม่ได้เอ่ยพูดอะไรเลย
เรื่องอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังจะเริ่มโครงการในฮ่องกงนั้นเป็นเรื่องที่ SWP Group ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ถึงขนาดประธานบริษัทบินมารับฟังรายละเอียดพร้อมดูงานเลยทีเดียว ดังนั้นการดูงานทั้งสามวันจึงมีตารางงานแน่นเอี้ยด เริ่มจากประชุมในรายละเอียดสำหรับวันแรก วันที่สองไปดูสถานที่ที่เกี่ยวเนื่องกับการลงทุน ทั้งตลาดหุ้นและที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบางแห่งที่พร้อมสำหรับการพัฒนาเพื่อใช้เป็นทำเลทอง วันที่สามนัดดูงานแฟร์เพื่อพบปะพูดคุยกันกับคู่ค้า ที่อาจเป็นซัพพลายเออร์ด้านวัตถุดิบก่อสร้างและการตกแต่งได้

แน่นอนว่าการมาครั้งนี้ของคุณมนธิชานั้น พาทีมงานของฝั่งไทยมาด้วยเพื่อดูงานสำหรับไปพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยด้วย และเพราะ SWP Group มีประเภทธุรกิจหลากหลาย เช่นการจำหน่ายเครื่องตกแต่งภายในและสุขภัณฑ์  การให้คำปรึกษาด้านวิศวกรรมทั้งในรูปแบบโครงการหรือแบบเฉพาะเจาะจง เป็นต้น ดังนั้น การมาดูงานในครั้งนี้จึงกินเวลากว่าห้าวัน โดยในวันที่หกจึงจะเป็นวันฟรีเดย์ก่อนที่ตอนหัวค่ำจะบินกลับประเทศไทย
แต่ดูเหมือนฟรีเดย์ของมกรและณัฐวีร์จะมาเร็วกว่านั้น
“เดี๋ยววันพฤหัสแมนก็พาน้องไปเที่ยวแล้วกันนะ แม่จะไปดูของกับแอม”
ณัฐวีร์เงยหน้าจากอาหารเย็นขึ้นมาทันที “ไม่เป็นไรครับ.. ไว้ผมค่อยไปเที่ยววันเสาร์ทีเดียวพร้อมพวกพี่ๆเขาเลยก็ได้”
“พวกเธอสองคนน่ะ แค่พาร์ทไทม์กับเด็กฝึกหัดนะจ๊ะอย่าลืมสิ ฉันไม่ใช้งานหนักขนาดนั้นหรอกนะ เดี๋ยวโดนฟ้องเรียกค่าเสียหายกันพอดี”
“โธ่ ไม่หรอกครับ..” ณัฐวีร์หัวเราะเบาๆ “ผมยังไงก็ได้ ไปกับคุณแม่ก็เหมือนได้ไปเที่ยวนั่นแหละครับ จะได้ช่วยถือของด้วย”
“อย่าเลย ฉันไปตามประสาผู้หญิง เธอสองคนก็ไปกันตามประสาเด็กผู้ชายแล้วกัน ดิสนีย์แลนด์เป็นไง จะให้รถไปส่งหรือจะลองผจญภัยกันเองก็ตามใจ”
ณัฐวีร์ตาลุกวาวเลยทีเดียว
“เราไปกันเองได้” เสียงตอบนั้นมาจากคนที่นั่งเงียบมาตั้งแต่บ่าย ทำเอาณัฐวีร์ตาโต
“แล้วไม่รบกวนพี่แมนหรือครับ”
ฝ่ายนั้นแค่ส่ายหน้าเป็นคำตอบ มือก็ใช้ส้อมพันเอาบะหมี่ฮ่องกงเข้าปากไม่พูดไม่จา
“ถ้างั้นรบกวนด้วยนะครับ.. ขอบคุณครับคุณแม่” เขาหันไปไหว้แล้วหยิบตะเกียบคีบผักในจานเป๋าฮื้อแผ่นเจี๋ยนยอดคะน้าเข้าปาก
คิดๆ ไปแล้วก็คงจะดูแปลกอยู่ไม่น้อยที่ผู้ชายสองคนตัวโตๆด้วยกันทั้งคู่ ไปเดินอยู่ในบ้านหนูแบบนั้น แต่เขายังไม่เคยมาสวนสนุกต่างประเทศเลย ดรีมเวิล์ดนี่เคยไปแล้ว สนุกดี เลยอยากลองไปดิสนีย์แลนด์ดูบ้าง
พอเสร็จมื้ออาหารเย็นที่จัดไว้ในห้องอาหารจีนของโรงแรมแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันไปเข้าห้องพักของตนเอง มีบ้างที่เสนอความคิดเห็นเรื่องออกไปเดินช้อปปิ้ง เพราะโรงแรมก็อยู่ไม่ไกลย่านร้านค้า หรือห้างดังนัก แต่ความคิดนี้ก็ตกไป เพราะเมื่อเช้าตื่นเช้ากันมาก เลยมีอาการเพลียเล็กน้อย และด้วยว่ายังอยู่อีกหลายวัน โครงการนี้จึงล้มไปโดยปริยาย
“พวกพี่เขาคุยสนุกดีนะครับ” ณัฐวีร์เอ่ยขึ้นเมื่อเพื่อนร่วมห้องเปิดประตูให้เขาเข้ามาด้านในก่อน ไฟในห้องสว่างขึ้นทำให้เห็นว่าห้องอยู่ในสภาพเรียบร้อยดีเหมือนตอนที่ออกไป เขาถอดสูทออกจากตัวพาดไว้กับเตียง แล้วหย่อนตัวลงนั่งพร้อมกับคลายเนคไทด์ที่คอ

มกรเดินผ่านเขาไปเงียบๆ ไม่ตอบรับการชวนคุยนั้น ชายหนุ่มหยิบชุดนอนแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปทันทีทำเอาณัฐวีร์มองอย่างงงๆ
“เป็นอะไรเนี่ย เลือดจะไปลมจะมาอีกแล้วหรือไงน..”
เพล้ง!
เสียงนั้นทำให้ณัฐวีร์ที่พูดยังไม่ทันจบประโยคดีสะดุ้งโหยง เขาลุกพรวดก้าวไปหน้าห้องน้ำ “พี่แมน..พี่แมน!!” เขายืนเคาะประตูอยู่ชั่วครู่คนด้านในก็เปิดออกมา “เป็นอะไรไหมพี่? อะไรแตก?”
ไม่เพียงพูดเปล่า เขายังคว้ามืออีกฝ่ายให้ออกมาจากห้องน้ำแล้วสำรวจดูจนทั่ว จับมือพลิกคว่ำพลิกหงาย จับตัวหันหน้าหันหลัง..แล้วถึงได้โล่งใจที่ไม่เห็นรอยเลือดหรือบาดแผลบนตัวอีกฝ่ายเลย
“ห่วงพี่หรือ..” เสียงถามนั้นดังอยู่เหนือหัว
“ก็ห่วงสิ..” พอตวัดเสียงบอกออกไปเจ้าตัวก็เงยหน้าขึ้นประสานตากับร่างที่เหมือนจะโน้มค้ำอยู่บนหัว แล้วเจ้าตัวก็เพิ่งจะสำนึกได้ว่า อีกฝ่ายเปลือยท่อนบนอยู่..ใบหน้านั้นจึงรู้สึกร้อนวาบขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“พี่ถอดเสื้อแล้วมือพลาดไปกวาดเอาแก้วน้ำที่โรงแรมวางไว้หล่นลงมาน่ะ ดีว่ามันยังอยู่ในถุงเลยไม่ค่อยกระจาย พี่ก็เลยไม่เจ็บตัว.. นัทไม่ต้องห่วงนะ” มกรยิ้มกว้างแล้วจับมือณัฐวีร์มาบีบเบาๆ
“มะ..” เล่นเอาทางนี้หาลิ้นตัวเองไม่เจอเลยทีเดียว “ไม่เจ็บตัวก็ดีแล้ว” เขาดึงมือตัวเองออกจากมืออีกฝ่าย “ผมจะช่วยเก็บแก้วให้แล้วกัน”
พูดจบณัฐวีร์ก็หันเข้าไปในห้องน้ำ จะว่าเขากลัวจนต้องหนีจากสถานการณ์น่าหวั่นไหวก็ได้ แต่ถ้าไม่หนีก็ห่วงว่าหัวใจที่เต้นถี่แรงอยู่นี่มันจะทะลุออกมานอกอก ยิ่งตอนที่ฝ่ายนั้นยิ้มทั้งปากทั้งตามาให้เขายิ่งไม่กล้ามอง..
“นัทไม่ต้องหรอก พี่ทำเอง เดี๋ยวแก้วบาดเอา” มกรพูดแล้วก็คว้ามือณัฐวีร์เอาไว้อีก
ที่เหมือนจะหนีเข้ามาสงบสติอารมณ์ได้ ก็ดูจะไม่ได้เสียแล้ว ณัฐวีร์เลยพยักหน้า “ก็ได้ครับ งั้นผมออกไปก่อนนะ” แล้วดึงมือตัวเองออกผลุบหายไปจากห้องน้ำทันที
หลุดมานั่งใจเต้นรัวอยู่นอกห้องน้ำได้ ณัฐวีร์ก็อยากจะตีอกชกหัวตัวเองนัก นั่นผู้ชาย นี่ก็ผู้ชาย.. จะไปใจเต้นให้กับความใกล้ชิดและรูปร่างของผู้ชายทำไม
นั่งสงบอารมณ์ตัวเองได้สักพักเขาก็ต้องหาอะไรทำเพื่อให้ลืมเรื่องที่เกิดขึ้น ณัฐวีร์จึงหยิบเอาชุดนอนออกมาเตรียมเพื่อเข้าไปอาบน้ำต่อ พอมกรออกมาจากห้องน้ำ ทุกอย่างก็พร้อมอยู่ในมือแล้ว ไม่ต้องมาเสียงเวลาอยู่ในห้องกันลำพังสองคนให้ใจเต้นแปลกๆ อีก

ณัฐวีร์ใช้ห้องน้ำนานกว่าปกติ ทั้งอาบน้ำแปรงฟัน..และเตรียมใจ เสียงโทรทัศน์จากข้างนอกมีดังเข้ามาบ้าง เหมือนฝ่ายนั้นจะเปิดทิ้งไว้เป็นเพื่อนเท่านั้น ไม่ให้มันเงียบเกินไป เพราะภาษาจีนล้งเล้งอะไรก็ไม่รู้ฟังไม่รู้เรื่อง จะว่าเพลงก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นข่าวก็คงไม่เชิง
เขายืนเป่าผมตัวเองอยู่ในห้องน้ำ เป่าจนมันแห้งสนิทแล้วก็ยังไม่ค่อยอยากจะออกไป จนไม่รู้จะยื้อด้วยวิธีไหนแล้วนั่นแหละ ถึงได้เปิดประตูเดินออกมา
“อ้าว...”
ภาพที่เห็นก็คือ มกรนั่งกอดหมอนอยู่บนโซฟา ส่วนที่เตียงนอนของเขานั้นยับเยินยู่ยี่เกินจะบรรยาย
“อะไรล่ะนั่น” ที่ห่วงๆ เรื่องจะทำตัวยังไง กลายเป็นเลิกห่วงไปเลยณัฐวีร์
“ก็...ดื่มโค้กอยู่ดีๆ ร่วง หลุดมือ เละเต็มเตียงเลย..” มกรตอบเบาๆ แล้วก็เดินไปเปิดผ้าห่มขึ้นมา
“แล้วแบบนี้ทำไงล่ะ” คนถามเดินมาเมียงมองแล้วเห็นวงโค้กเป็นวงโตเลยทีเดียว
“คือจะโทรไปเรียกแม่บ้านก็เกรงใจเขา เกือบสี่ทุ่มแล้ว ถ้ายังไงเดี๋ยวพี่มานอนโซฟานี่ก็ได้” มกรชี้แล้วเดินมานั่งแปะลงบนนั้น ดูจากขนาดตัวกับขนาดโซฟาที่ไม่เข้ากันแล้วทำให้ณัฐวีร์ส่ายหน้าทันที
“ไม่ไหวหรอกเดี๋ยวผมไปนอนเองดีกว่า” เขาพูดแล้วก็หันไปคว้าหมอนมาถือไว้ “แล้วพี่ก็มานอนเตียงผม”
“ไม่เป็นไร พี่นอนได้จริงๆ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ตบหมอนแล้วเอาวางไว้ที่ตรงพักแขนของโซฟา เขาทอดตัวลงนอนยาว ขายื่นจากที่พักแขนอีกด้านไปอีกเป็นคืบเห็นแบบนั้นณัฐวีร์ก็ได้แต่ส่ายหน้า
“ไม่ไหวหรอกพี่ เรียกรูมเซอร์วิสมาตั้งเตียงใหม่ก็ได้”
“ไม่เป็นไร นิดหน่อยเอง ตรงนี้พี่ก็นอนได้ นัทนอนเถอะ..”
“งั้นพี่ไปนอนกับคุณป้าไหมล่ะ ผมอยู่คนเดียวได้ครับ”
“ไม่!..” ชายหนุ่มเสียงแข็งขึ้นมาทันที แต่พอเห็นอีกฝ่ายหน้าเสียเขาก็รีบพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “จะให้ทิ้งไว้คนเดียวได้ยังไง ไม่เป็นไร พี่นอนได้นัทนอนไปเถอะ”
ณัฐวีร์ลังเลแต่ก็ยอมตามที่อีกฝ่ายร้องขอ

.
.
.
.
.
.

พอตื่นเช้ามาวันนี้พวกเขาต้องออกไปหลายพื้นที่ ทั้งไปดูที่ตั้งบริษัทที่จะร่วมทุน ตลาดหุ้น และพื้นที่ที่จะพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ต้องลงมาเจอทีมงานในเวลาเช้าที่ห้องทานข้าว
ขณะลงลิฟต์มาก็มีคนในลิฟต์ทำตัวเหมือนตาแก่บีบๆนวดๆตัวเองแล้วก็หาวหวอดๆจนณัฐวีร์ต้องเอ่ยถาม “เมื่อคืนนอนไม่หลับใช่ไหมครับ”
มกรทำตาละห้อย “ใช่ไม่ค่อยหลับหรอก โซฟามันแคบนอนไม่ถนัด”
“ก็บอกแล้วว่าให้ผมไปนอนเองก็ไม่เชื่อ”
“ไม่ได้สิ ใครจะให้นัทไปนอนที่แบบนั้น” มกรพูดแล้วก็จูงมือน้องออกจากลิฟต์มาที่ห้องอาหารอย่างเนียนๆ









……

จบการทำงานของวันด้วยอาหารค่ำที่ภัตตาคารหรูซึ่งอยู่บนถนนนาธาน  อาหารเซ็ทนี้เป็นแบบจีนเหมือนช่วงกลางวัน แต่จะต่างออกไปตรงที่มันเป็นอาหารทะเลปรุงในแบบฮ่องกง ซึ่งถ้าจะถามว่าอร่อยไหม ณัฐวีร์ก็คงตอบได้ว่าอาหารสด หวาน...แต่สู้ฝีมือแม่ไม่ได้
มันเป็นความโชคร้ายของเด็กที่บ้านเปิดร้านอาหารเพราะถ้าติดรสมือของที่บ้านแล้ว ไปทานข้าวร้านไหนหรือบ้านใครก็จะไม่อร่อยไปเสียหมด.. แต่ความโชคดีก็คือ เขาจะได้รู้จักวัตถุดิบหลากหลาย รู้วิธีดูแลวัตถุดิบนั้น หรือบางครั้งอาจจะเคยทำอาหารให้ใครบางคนทานจนอีกฝ่ายติดใจมาแล้วก็เป็นได้
พอมื้ออาหารนั้นจบลง ทั้งหมดก็เดินออกมายืนรถรออยู่หน้าร้าน
“ตกลงว่ามีแค่ฉันเท่านั้นที่กลับโรงแรมใช่ไหม?” คุณมนธิชาเอ่ยถามแล้วก็ได้คำตอบเป็นรอยยิ้มจากทุกคน ยกเว้นก็แต่ลูกชายตัวเอง “แมนก็ดูน้องดีๆ นะ”
มกรพยักหน้ารับแล้วก็จับแขนณัฐวีร์เดินพาออกมาเลย ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้เอ่ยล่ำลาใคร กลายเป็นเขาสองคนปลีกตัวออกมาเดินด้วยกันเพียงลำพังเท่านั้น
“ทำไมพี่แมนไม่ลาคุณแม่กับพวกพี่ๆเขาดีๆ ล่ะ” ณัฐวีร์ท้วงขึ้น
“ทำไมต้องลาดีๆ” ฝ่ายนั้นเสียงแข็งขึ้นมาทันที
“ตรรกะง่ายๆ เพราะถ้าเราทำดีกับใคร คนนั้นเขาก็จะทำดีกับเรา” ทางนี้เองก็ไม่ยอมเหมือนกัน เขาหยุดเดินทำให้คนที่ยังดึงแขนเขาอยู่ต้องหยุดเดินตาม
“แล้วถ้าตั้งแต่เกิดเขาไม่เคยทำดีกับเราเลยล่ะ” มกรเอ่ยถาม ใบหน้านั้นมองออกไปยังท้องถนนที่มียวดยานแล่นกันขวักไขว่ ผู้คนมากมายเดินกันเต็มท้องถนนยามราตรีนี้
ณัฐวีร์ขมวดคิ้วและครุ่นคิด.. แสดงว่าที่ทำแบบนี้เพราะคุณมนธิชางั้นหรือ คิดแล้วก็ได้แต่ลองทบทวนดู.. ตั้งแต่เขามาทำงานที่นี่ ก็จะพบว่าผู้ชายตรงหน้านี้ไม่ค่อยให้ความนอบน้อมมารดาตนเองนัก ไม่เคยเห็นไหว้ ไม่เคยเริ่มบทสนทนาก่อน  แถมบางทีก็ไม่ตอบบทสนทนาด้วยซ้ำ
“กับเรื่องบางเรื่องสิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ต้องปล่อยให้มันผ่านไปนะครับ” ณัฐวีร์ว่าแล้วยกมืออีกข้างขึ้นกุมแขนอีกฝ่ายไว้ “ถ้าอดีตมันทำให้เราเจ็บปวด เราก็ลืมมันไปบ้างก็ได้ อย่าไปคิดถึงมันเยอะ มองแค่ปัจจุบันนี้กับอนาคตก็พอ”
มกรหันมามองคนข้างตัว เขายิ้ม แม้จะเป็นยิ้มที่ดูเจ็บปวดก็ยังถือได้ว่ายิ้ม
“เอาเถอะ พี่จะพยายาม” ชายหนุ่มปล่อยมือจากแขนอีกฝ่ายแล้วแบมือออก “ไปเที่ยวกับพี่ดีกว่า”
ณัฐวีร์ลังเลมองมือที่ยื่นมาให้เขาตรงหน้าแล้วถอนหายใจ.. เอาเหอะ.. ที่นี่ไม่มีใครรู้จักเรา ถ้าสิ่งที่เราทำไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ก็ทำไปเถอะ.. อย่างน้อยก็เพื่อปลอบโยนคนที่อยู่ตรงหน้านี่นั่นแหละ
“ไปครับ..” แล้วเขาก็วางมือลงบนมือของมกรอย่างกล้าๆ กลัวๆ

.
.
.
.
.
.
.
.

ทั้งคู่กลับเข้ามาที่ในโรงแรมเมื่อเวลาล่วงเลยไปเกือบจะห้าทุ่มแล้ว ในมือของมกรมีของหอบมาพะรุงพะรัง ทั้งถุงกระดาษใส่เสื้อผ้า ทั้งกล่องรองเท้า แล้วยังจะของอะไรอีกจิปาถะ แต่ในมือของณัฐวีร์นั้นกลับมีแค่คีย์การ์ดเปิดประตูห้องเพียงใบเดียวเท่านั้น
พอผ่านประตูเข้าห้องมาได้ มกรก็รีบวางของทุกอย่างลงบนโซฟา แล้วประคองเอากล่องใบเล็กในถุงสกรีนชารีบราวน์คาเฟ่ต์ไปวางไว้บนโต๊ะวางของทันที
“ก็บอกว่าผมช่วยถือก็ไม่เอา” ณัฐวีร์มองคนที่ขยับไหล่ขยับแขนยุกยิกอย่างรู้สึกสงสาร
“ไม่ได้สิ.. นัทถือของหนักมากไม่ได้ พี่รู้”
“ผมก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดจะถือกล่องเค้กไม่ได้นะพี่” ณัฐวีร์หัวเราะเลยทีเดียว
“ก็ไม่ได้เหมือนกัน เดี๋ยวนิ้วล็อค”
“โหย...” คนตัวเล็กกว่าหัวเราะแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงทันที “งั้นผมไม่ทำอะไรแล้วกันสงสัยกระดูกจะพรุน.. น้องทั้งแบบนี้เลยเสื้อผ้าไม่ต้องเปลี่ยน น้ำไม่ต้องอาบ รองเท้าไม่ต้องถอด”
“ก็ถ้า..” มกรเดินเข้ามาใกล้แล้วทรุดตัวลงนั่งจนณัฐวีร์ชักขาหลบไม่ทันโดนมือใหญ่คว้าขาไว้ก่อนแล้ว “ถ้านัทไม่ว่า หมดนั่นพี่ทำให้เอง เริ่มจากถอดรองเท้านี่ก่อนเลย”
“เฮ้ยพี่อย่า!”
ดูเหมือนการร้องห้ามจะไม่เป็นผล เพราะมกรเลื่อนมือไปแตะรองเท้าหนังที่ณัฐวีร์สวมอยู่แล้วถอดออกให้อย่างเบามือเสียแล้ว ไม่ว่าจะห้ามอย่างไร พยายามเอาขาหลบแค่ไหน แต่เพราะมือใหญ่คู่นั้นเหนียวยิ่งกว่าตีนตุ๊กแก ณัฐวีร์จึงได้แค่ปลง ปล่อยให้อีกฝ่ายจัดการไปตามที่ต้องการ
“เรียบร้อย..” มกรพูดจบก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มเผล่แล้วก็ถึงได้เห็นว่าณัฐวีร์นั้นเอามือปิดหน้าของตัวเองอยู่ “อ้าว.. นัทเป็นอะไร”
“......ผมไม่คุยกับพี่แล้ว” คนพูดลุกหนีแล้วคว้าเอาทุกสิ่งเข้าห้องอาบน้ำไป ขนาดกระเป๋าเงินยังติดเข้าห้องอาบน้ำมาด้วยเลย
เสียงหัวเราะลั่นของมกรดังแทรกเข้ามาทำให้คนในห้องน้ำเงยหน้ามองตัวเองในกระจก..แล้วก็ต้องอุทานด้วยความตกใจ.. “หน้าจะแดงไปไหนวะห่าเอ้ย!”















TBC.
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 23 [14.05.14] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 14-05-2014 12:34:42
หลอกกินเด็กมันเข้า ตาแก่เอ๊ย  :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 23 [14.05.14] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-05-2014 12:46:53
ค่อยๆเป็นค่อยๆไป
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 23 [14.05.14] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: Niinuii ที่ 14-05-2014 21:48:51
เด๋วนี้นัทหล่อนะจ๊ะ แม้นต้องทำตัวดีๆนะ55
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 23 [14.05.14] P.10
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 15-05-2014 11:15:04
ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) มาร่วมสนุกชิงพี่แม้นกัน! P.10
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 18-05-2014 12:46:57
มีข่าวฝากจากคุณมอส คนแต่งพี่แม้นค่ะ
มีเกมส์มาให้ร่วมสนุกกัน #ระหว่างรอตอนต่อของพี่แม้น 555

ควิสกันดีกว่า....

ใครตอบถูก... เอารวมเล่ม

Can I. .?

ไปอ่านฟรีๆที่บ้าน 1 เล่ม

คำถามคือ.. ณัฐวีร์ แปลว่าอะไร

ปล. เนื่องจากมีรางวัลเดียว ถ้าถูกหลายคน จับสลากนะคะ
ปล. 2 รับคำตอบถึงสิ้นเดือนนี้คร่า ตอบใต้สเตตัสนี้ หรือตอบในเล้าก็ได้ค่ะ
ปล. 3 ตอบความหมายพร้อมทิ้งอีเมลไว้ด้วยนะคะ

มาเล่นกันเถอะๆๆ  :hao7:
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ร่วมสนุกชิงพี่แม้นกัน! P.10
เริ่มหัวข้อโดย: piing fuen ที่ 18-05-2014 14:28:25
นักปราชญ์ผู้กล้าหาญ
p_eros_zaikiอย่าแสดงเมลบนบอร์ด.com
หัวข้อ: Re: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ร่วมสนุกชิงพี่แม้นกัน! P.10
เริ่มหัวข้อโดย: nanahashi ที่ 18-05-2014 14:59:27
ผู้มีความฉลาด
sar_whitelillyแอดฮ๊อตเมลล์ดอทคอม
หัวข้อ: Re: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ร่วมสนุกชิงพี่แม้นกัน! P.10
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 18-05-2014 15:10:20
ณัฐวี อ่านว่า นัด-ถะ-วี แปลว่าผู้มีความฉลาด  แต่ถ้าเติม ร์ เข้าไปมันจะแปลได้อีกความหมายนึงว่า นักปราชญ์ผู้กล้าหาญ

-0- (kanjaoil@hot.com)

ปล.รอพี่แม้นตอนต่อไป  :hao7:
หัวข้อ: Re: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ร่วมสนุกชิงพี่แม้นกัน! P.10
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 23-05-2014 01:44:06
ณัฐวีร์ แปลว่า ปราชญ์ผู้กล้า

Tan-ta-lum(at)hotmail.com

ไอ้ประโยคที่ณัฐพูดว่า อดีตที่แย่ๆก็ลืมมันไป นี่ แอบเจ็บลึกๆ
หัวข้อ: Re: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพตอนใหม่แล้วจ้า [26.05.14]
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 26-05-2014 14:05:05
ตอนที่ 24






ออกจากห้องน้ำมาได้ณัฐวีร์ก็รีบไล่ให้มกรเข้าไปอาบน้ำต่อทันที การที่ต้องทนรู้สึกว่าตัวเองได้รับการดูแลจากผู้ชายด้วยกันดีขนาดนี้ มันทำให้เขาวางสีหน้าไม่ถูก..

หลายวันที่ผ่านมานี้.. ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามกรตั้งป้อมจีบเขาแค่ไหน แต่เพราะมีปราการคือแพรว ฝ่ายนั้นถึงยังไม่พูดอะไรออกมาให้เขาหนักใจไปมากกว่านี้..

เขาคงไม่ได้เข้าข้างตัวเองเกินไปใช่ไหม?

ตอบได้เลยว่าไม่ได้เข้าข้างตัวเอง ช่วงเข้าไปเป็นเฟรชชี่ปี 1 คือช่วงที่เขาผ่านการทำศัลยกรรมมาเรียบร้อยแล้ว.. ต้องยอมรับว่าเขาเองยังตะลึงกับหน้าตาปั้นใหม่ที่หมอทำให้เลย.. เหมือนหลุดออกมาจากซีรี่ส์เกาหลี ตาดูดี จมูกดูดี ปากดูดี คางดูดี เอาว่าดูดีมันทั้งหน้า.. ใครจะบอกว่าเขาหล่อด้วยมีดหมอ ก็ต้องยอมรับให้ด่าไป  เขาไม่ได้ตั้งใจหล่อเสียหน่อย หน้าเป็นแผลขนาดนั้นก็ต้องซ่อมก็ต้องเสริมเป็นเรื่องธรรมดา

พอหน้าตาดี ก็มีคนเข้ามาหามาก.. และเพราะคนเข้ามาหามากเนี่ยแหละทำให้เขารู้ว่าหลายคน ทั้งรุ่นพี่ รุ่นเพื่อน มีวิธีจีบที่แตกต่างกันไป บางคนมาเนียนๆ มาหาทุกวัน มาคุยทุกวัน.. บางคนมาตรงๆ บอกโต้งๆ เลยว่ามาจีบ ซึ่งตอนเข้าปีหนึ่งใหม่ๆ เขาออกจะอยากเรียนมากกว่าอยากมีแฟน ดังนั้นจึงไม่ได้สานสัมพันธ์กับคนเหล่านี้นัก ..สักพักคนพวกนี้ก็จากไป

แม้บางคนจะยังเทียวไปเทียวมาบ้าง แต่ความรู้สึกของพวกคนเหล่านี้ก็เปลี่ยนจากปักธงว่าต้องเอาให้ได้ เป็น สนใจก็มามีอะไรกัน.. ซึ่งถ้าเขาไม่สนเสียอย่าง คนพวกนี้ก็จะไม่มีทางได้แน่ๆ

อาการจีบของมกรก็เป็นเช่นนั้น คือปักธงว่าจะจีบให้ได้.. แต่ยังไม่รู้จะเปลี่ยนสเตตัสไปเมื่อไหร่ อาจจะเร็วๆ นี้ถ้าเขาไม่เล่นด้วยมากๆ น่ะนะ

แล้วก็ถ้าไม่พูด ไม่บอกออกมาตรงๆ ว่าจะจีบ..มันก็จะดีมากสำหรับเขา ..เขาอยากให้ดูคลุมเครือแบบนี้ล่ะ..เพราะถ้าชัดเจนเดี๋ยวจะทำงานกันลำบากหนักขึ้นไปอีก

แกร๊ก..

เสียงประตูห้องน้ำเปิดออกทำให้ณัฐวีร์หันขวับไปมองคนที่เดินออกมา ชายหนุ่มพาดผ้าเช็ดตัวผืนเล็กไว้ที่ต้นคอ ในมือถือเสื้อผ้าใช้แล้วเดินส่งยิ้มเข้ามาใกล้

“สบายตัวแล้ว..” เขาพูดแล้วเดินผ่านณัฐวีร์ไปเหมือนก่อนหน้านี้ไม่ได้เป็นคนทำให้เหตุการณ์หน้าร้อนผ่าวของณัฐวีร์เกิดขึ้นเลย

ทำตัวปกติเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น เหมือนไม่ได้หัวเราะลั่นห้อง....แต่แล้ว... สายตาที่มองตามร่างสูงไปก็ต้องเบิกโพลง “เดี๋ยวก่อนพี่แมน!”

“หือ??” เจ้าของชื่อหันกลับมาทั้งที่มือข้างหนึ่งเช็ดหัวด้วยผ้าขนหนูผืนเล็ก แล้วมืออีกข้างปล่อยเสื้อผ้าใช้แล้วลงบนเตียง

“ระวัง!!” ณัฐวีร์ร้องเสียงหลง เขาลุกขึ้นมาจากเตียงตัวเองถลาจะข้ามมาที่เตียงของมกร
แต่จังหวะไม่ดีเลย มกรเช็ดผมอยู่ทำให้มองไม่เห็นองศาที่อีกคนถลาเข้าใส่และก้าวขวางวิถีที่ณัฐวีร์กำลังจะพุ่งมา ทั้งคู่จึงล้มแผละลงไปบนเตียงของมกรนั่นเอง
 
“อูย....”

หน้าผากณัฐวีร์กระแทกปลายคางมกรเข้าไปเต็มๆ ร่างเล็กของเขานอนร้องโอดโอยอยู่บนร่างสูงใหญ่ของมกร หัวมึนเห็นดาวเลยทีเดียว..

ไอ้ฉากแบบนี้ปากมันต้องชนปาก ทำท่าหวานๆ ใส่กันไม่ใช่หรือไง.. ณัฐวีร์บ่นถึงฉากในละครหลายเรื่องที่เจ้าตัวคิดว่าผู้จัดคงให้เป็นฉากเกียรติยศถึงได้มีไปทุกเรื่อง แต่ความเป็นจริงน่ะ.. มันคงไม่บังเอิญปากชนกันหรอก หรือถ้าชนจริงๆ มีเลือดติดปากแน่ๆ

กำลังคิดพลางมึนอยู่ ณัฐวีร์ก็รู้สึกถึงมืออุ่นร้อนของอีกฝ่ายข้างหนึ่งกอดอยู่บนเอว ส่วนอีกข้างก็คลำปลายคางตัวเองร้องโอยไปเหมือนกัน

“เกิดจะเล่นมวยปล้ำกันหรือนัท” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงหัวเราะทำให้คนอยู่ด้านบนรู้สึกตัวแล้วผงกหน้าขึ้นจากอกหนาที่ตัวเองแนบแก้มนอนเห็นดาววิ้งๆ อยู่

“เฮ้ย! ลุกเร็วพี่แมน ลุกๆๆๆ”

“อะไรครับ”
มือข้างหนึ่งของมกรถูกณัฐวีร์ฉุดให้ลุกทำให้เขาใช้มืออีกข้างเท้าไปด้านหลังเพื่อพยุงตัว แล้วก็พบว่า..

“อี๋... เละเลย” ณัฐวีร์โผล่หน้ามาดู ครีมเค้กในอุ้งมือมกร..

ว่าแล้ว.. ใครกันน้าที่ใช้ให้เอาเค้กมาวางไว้กลางเตียงแบบนี้น่ะ ตอนแรกเขาเห็นวางอยู่ก็กลัวว่าเตียงจะเละอยู่แล้ว ว่าจะขยับไปเอาออก ก็มัวนั่งคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยจนอีกฝ่ายออกมาจากห้องน้ำ แล้วนี่อะไร กลายเป็นเขาช่วยกันทับเค้กชิ้นนั้นให้บี้แบนติดเตียงลงไปอีก

“โธ่ อดกินเลย” มกรเอ่ยขึ้นทำให้ณัฐวีร์แยกเขี้ยว
“ใครเขาให้เอาไปวางที่เตียงเล่า พอออกมาก็ไม่ดูอะไรเลย ตัวเองวางไว้แท้ๆ ลืมหรือไงครับถึงได้วางเสื้อผ้าลงไปบนเตียงน่ะ”

“พี่เช็ดหัวอยู่เลยไม่ทันเห็น” มกรบ่นแล้วเอาผ้าขนหนูเช็ดมือตัวเองไปพลาง
“เตียงเละแบบนี้พี่จะนอนยังไง”

มกรหยิบเสื้อของเขาที่ทับอยู่บนเค้กขึ้นมาดู เละจริงๆ ด้วย เละ...สมใจเลย
เขาวางเค้กไว้เองล่ะ.. ตั้งใจเอาเสื้อตัวเองวางทับเค้กด้วย กะว่าจะทำเนียนๆ นั่งทับให้เตียงเละเรียกคะแนนสงสารเสียหน่อย นอนโซฟาอีกคืนก็ไม่เป็นไร หรือถ้ามีใครให้ไปนอนด้วยก็จะดีมาก
..แล้วก็ไม่นึกว่าณัฐวีร์จะมาช่วยทำให้เละหนักกว่าเดิม

“เละแบบนี้พี่ก็คงนอนที่เตียงไม่ได้.. นอนโซฟาอีกคืนล่ะมั้ง”

“ผมจะเรียกรูมเซอร์วิสให้” ณัฐวีร์เตรียมผละไปที่โทรศัพท์
“อ๊ะ อย่าเลย..” ชายหนุ่มรีบดึงแขนอีกฝ่ายไว้ “นี่ก็จะเที่ยงคืนแล้ว.. รบกวนพนักงานเขาเปล่าๆ”
“งั้นพี่ไปนอนกับแม่”

“ไม่ไป” มกรรีบส่ายหน้าทันที

“เอ้า แล้วพี่จะนอนยังไง”
มกรไม่พูดอะไร เขาเดินไปหยิบหมอนแล้วไปวางไว้ที่โซฟาเหมือนคืนแรกที่เจ้าตัวก็นอนที่นั่น
“เดี๋ยวล้างมือเรียบร้อยก็จะมานอนตรงนี้ ไม่ต้องห่วงนะ” เขายิ้มให้ณัฐวีร์แล้วเดินเลี่ยงไปเข้าห้องน้ำ ทำให้ณัฐวีร์ต้องถอยตัวไปนั่งบนเตียงมองซากเค้กอย่างสงสัย..

ทำไมต้องเอาไปวางบนเตียง?..

แต่สงสัยได้ไม่นานฝ่ายนั้นก็เดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับเหวี่ยงแขนไปมาทำท่าทำทางเหมือนจะยืดเส้นที่ยึดอยู่ตรงบริเวณหัวไหล่อย่างเมื่อยขบ

แน่ล่ะ เมื่อคืนนอนโซฟาสำหรับสองคนนั่งตัวงอ แถมยังไปเดินซื้อของ ถือของให้เขาอีก แล้วคืนนี้จะมานอนโซฟาต่อ แค่คิดก็เมื่อยแทนแล้ว ณัฐวีร์มองอย่างสงสาร
โดยไม่รู้เลยว่านี่มันแผนของปีศาจร้ายชัดๆ ไอ้ที่สงสัยน่ะถูกต้องแล้ว..ไม่มีใครเขาวางเค้กทิ้งไว้บนเตียงเพื่อจะเอาเสื้อตัวเองมาวางทับหรอก
มกรเดินผ่านณัฐวีร์ไปนั่งที่โซฟา บริหารแขนและไหล่ไม่พอ ยังหมุนคอยืดเส้นมือจนณัฐวีร์อดไม่ได้
“เมื่อยตัวหรือครับ..”

“นิดหน่อย..แต่ไม่เป็นไร ไม่ต้องบอกให้พี่ไปไหนอีกนะ.. พี่จะนอนตรงนี้แหละ” ชายหนุ่มพลิกตัวตบหมอนใหญ่แล้วทำท่าจะล้มลงนอน

“ดึกแล้วพรุ่งนี้เรามีประชุมเช้า.. นัทนอนเถอะ..ฝันดี” มกรทอดกายยาวเอาขาห้อยพาดอยู่ตรงพนักวางแขน เห็นแล้วก็ยิ่งน่าสงสาร การขยับตัวของชายหนุ่มก็เป็นไปด้วยความลำบากจนณัฐวีร์เอ่ยอย่างตัดสินใจ

“พอแล้วครับ..ถ้าเมื่อยตัวให้ผมนวดให้ไหม คือที่บ้านป๊าชอบให้ผมนวดให้ แต่ตรงนั้นผมนวดไม่สะดวกนะครับ มานอนตรงนี้เถอะ”

โดยไม่ต้องให้เรียกซ้ำ..มกรรีบลุกมาหาเขาทันที
“นวดให้หน่อยนะครับรูปหล่อ” มาถึงก็ล้มตัวลงนอน ปลายมือยังคว้าเอามือของณัฐวีร์ไปจับเล่นด้วย “ขอบคุณที่เห็นใจพี่นะครับ เมื่อยมากเลย”

ณัฐวีร์ดึงมือตัวเองออกแล้วตั้งท่านวดให้ เขาพลิกร่างสูงใหญ่นั้นให้นอนคว่ำและเริ่มไล่ตั้งแต่ลาดไหล่ลงมา แนวกระดูกสันหลัง เอว ขา ไปจนถึงปลีน่อง..

นวดไปก็คิดไป ท่านวดแบบนี้น่ะ มันเสี่ยงกับนิ้วล็อคมากกว่าหิ้วถุงช้อปปิ้งอีกนะ.. ทีอย่างนี้ไม่มาห้ามกันล่ะ
นวดไปได้สักสิบนาที ต่างฝ่ายต่างอยู่ในความเงียบ และเพราะคงจะเหนื่อยจริงๆ เมื่อคืนคงนอนไม่หลับเพราะหลับไม่สบายบนโซฟาแบบนั้น เจ้าตัวถึงได้ผล็อยหลับไปง่ายๆ

ณัฐวีร์หยุดมือแล้วชะโงกหน้ามาดู เห็นอีกฝ่ายหลับตานิ่งก็ละมือออก ไม่เป็นไร เขาตัวเล็กกว่า ไปนอนที่โซฟาแทนก็ได้ ผลัดกัน

แต่พอละมือออกผุดลุกขึ้นยืนอีกฝ่ายก็ผวาลุกมาคว้าข้อมือไว้
“จะไปไหน..”

“ผมจะไปนอนตรงนั้นแทนไงครับ”
มกรมองอย่างตัดสินใจ เขาเห็นณัฐวีร์เรียกไว้ ก็นึกว่าจะยอมให้มานอนด้วยกัน อุตส่าห์ดีใจ.. ที่ไหนได้ ฝ่ายนั้นแค่จะสลับให้เขามานอนตรงนี้..

มกรคิดอย่างหงุดหงิด บางทีการทำตัวเป็นคนดีก็ยากใช่เล่น ทำชั่วนิดเดียวก็ได้นัทมานอนกอดแล้ว..
แต่.. มันจะเป็นเหมือนเดิม.. ซึ่งเขาไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น

ทำชั่วทำเลวน่ะทำง่าย ทำดีน่ะต้องชนะใจตัวเองก่อน

ชายหนุ่มคิดอย่างตัดสินใจก่อนจะส่ายหน้า “ไม่เป็นไร พี่ไปนอนตรงนั้นเอง”
แล้วเจ้าตัวก็ลุกขึ้นทำท่าจะเดินไปจริงๆ ทำให้ณัฐวีร์รั้งแขนอีกฝ่ายไว้อย่างเสียไม่ได้

“พี่เมื่อยตัวผมรู้.. พี่นอนเถอะ ผมไปนอนตรงโน้นได้.. โซฟามันตัวเล็ก ผมก็ตัวเล็กกว่าพี่”
“ไม่เอา!..” มกรใช้เสียงหนักๆ ตอบ ชายหนุ่มดึงแขนออกจากมืออีกฝ่าย บางทีก็อยากจะกลับมาร้ายให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย
ความห้วนในน้ำเสียงของมกรทำให้ณัฐวีร์รู้สึกทำอะไรไม่ถูก เมื่อครู่ ยังคุยกันดีๆ อยู่เลย มาทำแบบนี้เขาจะวางตัวยังไง.. การปล่อยให้อีกฝ่ายไปนอนเสียอาจเป็นทางเลือกที่ดีแล้ว.. แต่ถ้าอยากทำงานด้วยกันอย่างสบายๆ ไม่ต้องมีแรงกดดันอะไร เขาน่าจะมีทางเลือกที่ดีกว่านั้นไม่ใช่หรือ แค่ต้องแบ่งปันสิ่งที่เขามีให้อีกฝ่าย..บ้าง

“เอาแบบนี้ ถ้าขืนยังเกี่ยงกันอย่างนี้ผมว่าเราคงจะไม่ได้นอนกันทั้งคืน ถ้าพี่ทนนอนกับคนนอนดิ้นแบบผมได้ นอนเตียงเดียวกันก็ได้ครับ”
มกรชะงักขาที่กำลังก้าวไปแล้วพึมพำกับตัวเอง “ไม่เคยเห็นว่านอนดิ้นเลย”

“อะไรนะครับ”
“เปล่า.. พี่นอนได้” พูดแล้วเจ้าตัวก็รี่กลับขึ้นเตียงทันที เขาถอยจนชิดกำแพงเพื่อให้มีที่กว้างพอสำหรับอีกคนที่ยังยืนอยู่อย่างชั่งใจ

ตอนแรกณัฐวีร์คิดว่าจะขอนอนด้านในชิดกำแพงเพื่อว่าจะได้หันหน้าเข้าหากำแพงเสีย แต่ดันไม่ทันคนตัวโตกว่า เขาก็เลยทรุดนั่งลงตรงขอบเตียงอย่างเสียไม่ได้ พอเหลียวไปมองก็เห็นอีกฝ่ายรีบปิดตาลง มือไม้ก็กอดอกไว้เรียบร้อยเหมือนกลัวใครจะผวาเข้าไปซบอก แผ่นหลังแนบกำแพงและหัวหมิ่นจะตกหมอนอยู่แล้ว

ณัฐวีร์ถอนหายใจ เขาลุกขึ้นจากเตียงทำให้อีกฝ่ายผวาขึ้นอีกครั้ง
“จะ..”

“ไปเอาหมอนครับ หมอนใบเดียวนอนกันยังไงสองคน เดี๋ยวผมไปเอาหมอนมาให้พี่เอง”
ความตั้งใจของณัฐวีร์คือเขาจะเอาหมอนที่อีกฝ่ายหนุนมาให้ แล้วเอาหมอนตัวเองคืนมา แต่พอเดินไปหยิบมาถือหันกลับมา ถึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายเอาหมอนหนุนของเขามากอดไว้แล้วนั่งรออยู่ที่เดิม แสดงว่าไม่อยากเปลี่ยนหมอน..หรือเปล่า?

ด้วยความที่ดึกมากแล้ว และวันนี้ก็เดินทางไปประชุมมาทั้งวัน อีกทั้งพรุ่งนี้ก็คงจะต้องออกตะลอนอีกทั้งวัน ณัฐวีร์จึงไม่อยากจะต้องมานั่งโต้เถียงกันเรื่องหมอนหนุน เขาจึงเดินกลับมาที่เตียงวางหมอนในมือแล้วล้มตัวลงนอนทันที ซึ่งแน่นอนว่าเขาหันหลังให้กับคนที่ยังนั่งกอดหมอนมองนิ่งและทำท่าเหมือนจะไม่ง่วงแล้วด้วย
ณัฐวีร์ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมถึงอก หลับตาและผ่อนลมหายใจตัวเองลง เขาเหนื่อยและเพลียเพราะเดินทางทั้งวัน โปรแกรมพรุ่งนี้ก็คงอีกเยอะเพราะมีงานแฟร์ที่ต้องไปเดินดู ดังนั้นการพักเอาแรงก่อนจึงเป็นเรื่องที่สมควร
คนที่อยู่เบื้องหลังขยับตัว คงจะล้มลงนอนแล้ว อาจจะหันหน้าเข้ากำแพงเพราะดูเหมือนจะขยับยุกยิกไม่หยุดเสียทีทำให้เตียงมีอาการสั่นตลอดเวลา

ณัฐวีร์ทนนอนนิ่งๆ ไปชั่วครู่รอให้ฝ่ายนั้นหยุดพลิกตัว แต่ก็ยังไม่จบเสียที เวลาผ่านไปพอสมควรก็ยังยุกยิกอยู่นั่น ณัฐวีร์ก็เลยบ่นพึม “รู้แบบนี้เอาห้องเตียงเดี่ยวไปเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องมานอนเบียดกัน”
เล่นเอาคนข้างหลังสะดุดกึก “นัทอึดอัดหรือเปล่า พี่ไปนอนที่เก้าอี้..”

“พี่แมน...” เสียงดุๆ ที่ตวัดขึ้นพร้อมกับการหันมาถลึงตาใส่ทำให้อีกฝ่ายชะงักกึก
ณัฐวีร์นั้นเป็นคนง่ายๆ ยังไงก็ได้ แต่ด้วยความที่ยังเป็นวัยรุ่น ก็จะมีบ้างที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ยาก ยิ่งเห็นอีกฝ่ายทำเรื่องให้น่าปวดหัว เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนถูกกลั่นแกล้ง อะไรจะทำเตียงเลอะจนนอนไม่ได้มาติดๆ กันแบบนี้ ต้องการอะไรกันแน่

“พี่ขอโทษ..นัทอย่าโกรธเลยนะ..”
“ผมไม่ได้โกรธ แต่ช่วยนอนหลับกันได้แล้วครับ” คนพูดหันกลับแล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่ออีกฝ่ายขยับตัวเข้ามาซ้อนหลังพร้อมทั้งโอบดึงเอาร่างของเขาเข้าไปกอดไว้ทั้งตัว
“เฮ้ย! ทำอะไรเนี่ย”
ลมหายใจพรูของคนด้านหลังรินรดอยู่ตรงซอกคอทำให้ณัฐวีร์ทำท่าจะอาละวาด
“ไหนว่าไม่โกรธไง จะนอนก็นอนได้เลยครับ”
“เมื่อกี้ไม่โกรธ แต่ที่มากอดผมนี่ผมกำลังจะโกรธแล้ว..ปล่อย!” ณัฐวีร์ตวาดดุเสียงดัง ความที่ถูกรวบไว้ทั้งตัวทำให้เขาดิ้นไม่ถนัดนัก อายก็อาย คงไม่มีผู้ชายที่ไหนยอมนอนนิ่งๆ ให้ผู้ชายด้วยกันกอดหรอก
แต่แล้ว..ณัฐวีร์ก็ตัวแข็งทื่อ
ทำให้มกรตีความได้ว่าอีกฝ่ายยอมแต่โดยดีแล้ว “อย่าโกรธเลย ถ้าให้พี่นอนกอดอกทั้งคืนคงเมื่อยกว่าไปนอนที่โซฟาอีก มือไม้มันเก้กังไปหมดแล้ว พี่กลัวว่าจะไปฟาดโดนนัท ถ้าไง นอนกอดนัทเสียจะได้หลับไปพร้อมกันไม่ต้องมาพะวง”
ณัฐวีร์ฟังเหตุผลแล้วก็ยิ่งโมโห “จะนอนแล้วอะไรมาดุนอยู่ที่สะโพกผม!”
“ก็นัทอย่าดิ้นสิ มันโดนสีมันก็ตื่นเป็นของธรรมดา ผู้ชายด้วยกันก็รู้นี่นา.. นอนเฉยๆ นอนๆ พี่จะนอนแล้วอย่าปลุกนะ ง่วงมากเลยเนี่ย เหนื่อยด้วย ปวดขาเดินทั้งวัน”
“พี่แมน!” ณัฐวีร์ร้องเรียกแต่ไม่ยอมดิ้นหนีอีก เพราะก็ห่วงที่ค้ำหลังอยู่เหมือนกัน ผู้ชายด้วยกันรู้ว่าถ้ามันตื่นขึ้นมามันจะสงบยาก
“พี่แมน!”
เรียกไปเถอะ เจ้าตัวเขาไม่รับรู้หรอกหลับนิ่งไปสนใจที่ไหนล่ะ แล้วคนที่เหนื่อย ไม่ไหวจะเคลียร์ก็กลายเป็นณัฐวีร์เอง ทั้งคู่จึงหลับไปแบบนั้นเลย

*….*

คืนถัดมา หลังจากการเดินงานแฟร์เพื่อหาข้อมูลเฟอร์นิเจอร์ และสินค้าสำหรับโรงแรมใหม่ในเครือ รวมไปถึงบริษัทที่จะซื้อขายสินค้า พอกลับมาโรงแรมกันแล้วณัฐวีร์ก็ยื่นคำขาดทันที
“ห้ามกินน้ำกินขนมบนเตียง ห้ามวางขนมบนเตียง ห้ามเข้าใกล้เตียงเข้าใจไหมครับ?”
“อ้าว แล้วพี่จะนอนยังไง?” มกรถามแล้วมองน้ำผลไม้กระป๋องในมือตัวเอง นี่ตั้งท่าจะเปิดดื่มแล้วนะ
“นั่นๆ วางเลย อยากกินเดี๋ยวผมเทให้ อยากนอนเดี๋ยวนอนพร้อมกัน พี่นอนเตียงพี่ ผมจะรักษาเตียงพี่อย่างดีเลย” ณัฐวีร์เดินไปแย่งเอาน้ำผลไม้มาถือไว้เอง เขาหยิบมันมาเทลงแก้วแล้วนั่งเฝ้าให้อีกฝ่ายดื่มจนหมด พอหมดเขาก็ให้มกรเข้าไปอาบน้ำก่อน แล้วเก็บทุกอย่างที่จะเลอะได้ออกให้พ้นเตียง แม้แต่ครีมทาผิวเขาก็ไม่ให้วางไว้บนเตียง เรียกว่าจับตาดูแทบไม่ให้เคลื่อนไหวอะไรผิดไปจากที่ควรเป็น เพราะการถูกผู้ชายนอนกอดไม่ใช่เรื่องที่จะยอมให้เกิดซ้ำสองคืนแน่ๆ
แต่มันก็มีบางจังหวะที่ณัฐวีร์ก็ต้องละสายตาไปบ้าง เช่นตอนที่เขาต้องเข้าไปอาบน้ำ เป็นต้น
“นั่งเก้าอี้นิ่งๆ ไปก่อน เดี๋ยวผมออกมาแล้วค่อยนอน!! ห้ามเข้าใกล้เตียงจนกว่าจะนอนนะครับ” ณัฐวีร์ลงเสียงหนักๆ ก่อนจะปิดประตูห้องน้ำไป
มกรก็เลยมีโอกาสทำตามแผนเดิม เขาย่องไปหยิบขวดน้ำออกมาจากตู้เย็นแล้วทำท่าจะเอาน้ำมาเทเตียงอีกรอบ แต่แล้วประตูห้องน้ำก็เปิดผลั้วะออกทำให้ชายหนุ่มถอยร่นไปอยู่มุมหนึ่งด้วยใจเต้นระทึก
“ผมเปลี่ยนใจแล้ว พี่ออกไปอยู่นอกห้องก่อนเลย ผมอาบน้ำเสร็จแล้วจะโทรเรียกให้กลับเข้ามา”
“อ้าว..”
“ไม่มีอ้าว.. ออกไป เอาโทรศัพท์ไปด้วย” ณัฐวีร์รุนหลังอีกฝ่ายให้ออกจากห้อง
“แต่ว่าพี่ใส่ชุดนอนแล้ว..”
“ไม่มีแต่ครับ..ชุดนอนพี่สามารถออกไปเดินช็อปปิ้งจตุจักรได้สบายๆ เพราะฉะนั้น..จะออกไปแล้วค่อยเข้ามา หรือจะออกไปนอนกับคนอื่นเลยผมให้เลือกแค่นั้น..” ณัฐวีร์ทำตาดุใส่...แน่นอนว่าคราวนี้เขาเอาจริงสุดๆ
และคืนนั้น ณัฐวีร์ก็นอนหลับอย่างไม่ต้องพะวงได้ตลอดทั้งคืน

******

(ต่อด้านล่าง)


หัวข้อ: Re: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพตอนใหม่แล้วจ้า [26.05.14]
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 26-05-2014 14:06:05
(ต่อ)

ในรุ่งเช้าของวันฟรี รถของโรงแรมพาพวกเขามาส่งแถวสถานีเหยามาไต๋ แมนเลือกโจ๊กฮ่องกง ปาท่องโก๋ ซาลาเปาและน้ำเต้าหู้ให้เป็นอาหารเช้าของพวกเขาทั้งคู่ พออิ่มท้องก็พากันขึ้นรถไฟไปยังสถานีดิสนีย์แลนด์กันเลย ในรถมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่มากมาย ทำให้ทั้งคู่เลือกที่จะยืนไปตลอดทาง แต่ก็ดีที่ยืนเพราะพอออกนอกเมืองมารถไฟก็วิ่งเรียบชายฝั่งทะเลมองเห็นน้ำสีสวยๆ อยู่ห่างออกไป

“สวยเนอะ..” มกรลดระดับหน้าลงมาเสมอใบหน้าของคนตัวเล็กกว่า
แต่ดูเหมือนตอนนี้ณัฐวีร์จะไม่สนใจ เขายิ้ม พยักหน้ารับ แล้วมองออกไปนอกขบวนรถ รู้สึกว่าเสียงเด็กเล็กๆที่คุยกันเจื้อยแจ้วรอบตัวเหมือนเสียงลูกนก ส่วนคนที่เอามือมาวางอยู่บนไหล่เขานี่เหมือนพ่อนก เดี๋ยวก็คงปล่อยมือออกไปเอง
พอถึงสถานีไหล่กิงพวกเขาต้องเปลี่ยนขบวนรถ แล้วก็ไปเปลี่ยนอีกทีเพื่อขึ้นสายซันนี่เบย์ต่อไปยังดิสนีย์แลนด์
การที่ผู้ชายสองคนเดินมาด้วยกันออกจะเป็นเป้าสายตาอยู่บ้างแต่เพราะชินกันอยู่แล้วกับสายตาคน พวกเขาเลยเดินมายืนคุยกันอย่างเนียนๆ พอมาถึงดิสนีย์แลนด์ มกรก็เริ่มยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูป ถ่ายตั้งแต่ยังไม่ถึงทางเข้าด้วยซ้ำ ลงจากขบวนรถก็ถ่ายเลย
“เห่อเหรอครับพี่” ณัฐวีร์ถาม
“มาก” มกรหันมายักคิ้วให้ “นี่เป็นครั้งแรกที่มาเลยนะ”
“ก็แน่ล่ะ เขาเพิ่งเปิดได้ไม่กี่ปีเองนี่ครับ”
“ใช่ๆ” มกรตอบรับแล้วก็กดถ่ายแช็กๆ ไม่ลืมที่จะหันกล้องมาทางณัฐวีร์แล้วถ่ายรูปอีกฝ่ายไว้ด้วย “พี่ไม่เคยมาสวนสนุกเลย ตอนเด็กๆ ไม่มีใครพามา โตขึ้นก็เลยพาลไม่ค่อยอยากไป เพื่อนชวนก็ไม่ไป ขี้เกียจตอบคำถามว่าทำไมตอนเล็กๆ พ่อแม่ไม่พาไป”
คนฟังถึงกับอึ้ง.. ต่อให้งานที่ร้านยุ่งแค่ไหน ป๊ากับแม่ไก่ยังปิดร้านพาเขาไปเที่ยวดรีมเวิร์ลได้เลย พอโตขึ้นหน่อยเขาก็ได้ไปกับเพื่อนด้วย
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ พี่ไม่เป็นไรหรอก..วันนี้ได้มากับนัทเป็นหนแรกคนแรก พี่ออกจะดีใจ” มกรยิ้มแล้วถ่ายรูปณัฐวีร์อีกแชะ “เราเดินเข้าไปกันเถอะ”
ดิสนีย์แลนด์เปิดให้บริการตอน 10.30 น.ตรงเวลาพอดีเป้ะ  แต่ด้วยความชิลของคนทั้งคู่ พวกเขาจึงยืนถ่ายรูปด้วยกันอยู่ด้านนอกเสียหลายใบ ก่อนจะเดินไปที่ Main Street ซึ่งสองข้างทางเป็นร้านค้าขายของที่ระลึกมากมายยาวเกือบครึ่งกิโล
ภายในสวนสนุกนั้นแบ่งออกเป็น 3 โซนใหญ่ๆด้วยกัน โซนแรกคือ Adventure land ซึ่งจะมีบ้านเกิดทาร์ซานและมีเครื่องเล่นแนวผจญภัยและล่องเรือด้วย โซนที่สองคือ Fantasy land ดินแดนในฝันปราสาทแห่งเทพนิยายและเครื่องเล่นสำหรับเด็กแบบน่ารักๆ เช่น Toy Story zone ส่วนโซนที่สามถึงจะเป็นโซนสำหรับวัยรุ่นอย่างพวกเขา โซน Tomorrow land โซนนี้มีเครื่องเล่นหวาดเสียวตื่นเต้นและไม่เหมาะกับคนเป็นโรคหัวใจที่สุด
พอกางแผนที่จากแผ่นพับเพื่อวางแผนเล่นเครื่องเล่นด้วยกัน มกรก็ส่ายหน้าให้โซน Tomorrow land ก่อนเลย
“พี่ไม่เล่นโซนนี้แล้วกัน”
“อ๊า ทำไมล่ะ?” ณัฐวีร์ร้องอย่างเสียดาย
“นัทไม่รู้เหรอว่าพี่เป็นโรคหัวใจ” มกรบอกด้วยใบหน้าน่าสงสาร
แต่คนฟังกลับทำปากยื่น ส่ายหัวดิกอย่างไม่เชื่อคำพูดนั้นสุดๆ “ใจง่ายสิพี่น่ะ อย่ามามุกเสื่อมแถวนี้ ไปเร็วคนกำลังโล่ง”
Space Mountain รถไฟเหาะท่องอวกาศที่สร้างความตื่นเต้นเป็นเป้าหมายแรกที่ณัฐวีร์เลือก บรรยากาศมืดๆกับการเหวี่ยงของเครื่องเล่นทำให้ณัฐวีร์หัวเราะอย่างสนุกสนาน จังหวะที่รถไฟเหาะนั้นจะออกจากห้วงอวกาศ จะมีการแอบถ่ายภาพคนเล่นไว้ด้วยเพื่อให้เห็น “สภาพ” ของผู้เล่นด้านในเก็บไว้เป็นที่ระลึก ซึ่งพอทั้งคู่ลุกออกจากที่นั่งมาได้ เขาก็รีบเดินมาดูว่าตัวเองทำหน้ายังไงตอนถูกแอบถ่ายในเครื่องเล่นนั้นทันที

“ฮ่าๆๆ” ปลายนิ้วชี้สั่นระริกตอนที่จิ้มลงไปบนหน้าของมกรที่แหกปากกว้างแล้วโดนแอบถ่ายภาพมาได้ คนถูกหัวเราะใส่อายหน้าแดงเดินหนีลิ่วๆ มาเลย
“พี่แมนไม่ซื้อเหรอ เก็บไว้ดูเล่นไง”
“ไม่เอาไม่ซื้อ” มกรส่ายหน้าเขาน่ะทำหน้าตาตลก ส่วนณัฐวีร์แค่หัวเราะธรรมดาเอง หน้ายังหล่อเหมือนเดิม
“งั้นผมซื้อไว้แล้วกัน อยากเก็บไว้ดูเล่น” ณัฐวีร์ยอมควักเงินจ่ายซื้อภาพไว้เป็นที่ระลึก
“เอาสองเลยก็ได้” แล้วมกรก็อดไม่ได้ ซื้อตามไปด้วย ไม่เป็นไรเดี๋ยวเอารูปเขาหล่อๆมาแปะทับไอ้หน้าตาน่าเกลียดนี่แล้วกัน
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ไปต่อที่ไฮไลท์ของโซนนี้..บัสไลท์เยียส์ มันเป็นเครื่องเล่นที่ทำให้พวกเขาเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของการปกป้องโลกร่วมกับตัวการ์ตูนชื่อดัง พอออกมาณัฐวีร์ก็ลากมกรไปแข่งประลองความเร็วสุดคลาสสิคที่ยูโทเปีย
แค่สามเครื่องเล่นนี้ก็กินเวลาเลยเที่ยงมาแล้ว แต่ดูเหมือนทั้งมกรและณัฐวีร์จะไม่ได้สนใจอาหารเที่ยงนัก
ด้วยความที่ยังไม่หิวและรู้สึกสนุกสนานกันทั้งคู่ พวกเขาจึงแค่แวะซื้อฮอทด็อกถือไปทานตอนต่อแถวเล่นเกม
“ปากเลอะแล้ว..” มกรบอกแล้วเอาทิชชู่ในมือปาดเช็ดให้ณัฐวีร์ คนถูกดูแลย่นจมูกใส่แล้วก็ยืนจัดการอาหารไปจนหมด
พวกเขากำลังเข้าคิวกันอยู่ในแถวของคนต่างชาติเพื่อรอเข้าไปล่องเรือจังเกิลริเวอร์ครูซ แถวของเครื่องเล่นนี้ถูกแบ่งออกเป็นแถวคนจีน และแถวคนต่างชาติจึงสะดวกกว่าเครื่องเล่นอื่นค่อนข้างมาก.. เพราะไม่ต้องมาห่วงว่าจะโดนคนจีนแซงคิว
มาที่นี่มีหลายครั้งที่โดนคนจีนแทรกเข้ามาโดยใช้เด็กเป็นคนนำร่อง แล้วสักพักก็จะมีแม่เด็กเดินตาม พ่อเด็กเดินตาม บางทีก็ทิ้งขยะไม่เป็นที่เป็นทาง ให้เด็กขับถ่ายตามสะดวกด้วย พอเจอบ่อยๆ เข้าณัฐวีร์ก็รู้สึกตลกคนเหล่านั้นมากกว่าจะโมโหที่โดนแทรกคิวไปเลย
ส่วนอีกคนตอนแรกก็ดูเหมือนจะหงุดหงิดมากอยู่ แต่พอเห็นณัฐวีร์ไม่ว่าอะไร ทางนั้นก็เหมือนจะไม่ว่าตามไปด้วย การโดนแทรกคิว..ทำให้พวกเขาอยู่ด้วยกันนานขึ้น ก็ได้คุยอะไรกัน ได้ถ่ายรูปด้วยกัน สนุกรอเวลาจนบางทีก็อยากให้ยืนอยู่ตรงนี้นานๆ ด้วย
หลังขึ้นจากเรือ ทั้งคู่ไปชมแท่งไม้แกะสลักที่พ่นน้ำตามจังหวะดนตรีแล้วพากันมาเดินลงแพเพื่อไปดูบ้านทาร์ซานกันต่อ มาถึงตรงนี้ก็ท้องร้องกันแล้ว
“เดี๋ยวจะมีขบวนพาเหรดล่ะ” มกรบอกตอนที่พวกเขาเดินออกมาจากโซนแอ๊ดเวนเจอร์ “แต่ตอนนี้พี่หิวแล้ว นัทหิวหรือยัง?”
ณัฐวีร์มองแสงแดดแล้วทำตาหยี “หิวนิดนึง แต่ถ้าไปกินข้าวออกมาคงไม่ทันขบวนพาเหรดใช่ไหมครับ?”
คนถามเงยหน้าขึ้นมองมกร ดวงตาคู่นั้นทำเอาคนบ่นว่าหิวรูดซิบปากไปเลย
“โอเคๆ งั้นเดี๋ยวนัทยืนรออยู่นี่นะ ตรงนี้แดดไม่ร้อนมาก พี่จะเดินไปซื้อขนมกับน้ำมาให้รองท้อง”
ณัฐวีร์ยิ้มกว้างแล้วพยักหน้าหงึกๆ ทันที “ขอบคุณครับ”
ป๊อบคอร์นที่มกรไปซื้อมาให้หมดไปด้วยความรวดเร็ว ตามด้วยไส้กรอกและน้ำหวานอีกขวด พออาหารหมดแล้วนั่นล่ะ ขบวนพาเหรดถึงมา ตามกำหนดการ ขบวนพาเหรดจะมาตอนบ่ายสามครึ่ง แต่บางทีก็เลื่อนไปบ้าง เพราะคนเยอะ ของมาก ต้องใช้เวลาเตรียมกัน
ในขบวนนั้นมีตัวละครจากการ์ตูนดิสนีย์มากมาย และใช้เวลาโชว์อยู่เกือบครึ่งชั่วโมง การที่พวกเขายืนอยู่ใต้ร่มไม้จึงดีกว่าไปยืนสู้แดดอยู่กลางลานมาก แม้ว่าในช่วงเดือนที่ไปจะเป็นช่วงที่อากาศยังเย็น แต่ถ้าต้องไปยืนท่ามกลางแดดนานๆ  ณัฐวีร์คงไม่ไหวเอาได้ง่ายๆ
ณัฐวีร์มองเจ้าชายในขบวนพาเหรดที่ยืนอยู่คู่กับเจ้าหญิงสโนไวท์ ชายคนนั้นโบกไม้โบกมือให้เด็กๆ ไปทั่ว แต่พอใกล้มาถึงพวกเขากลับมองมาตรงใต้ร่มไม้ที่ยืนกันอยู่แล้วโบกมือให้ และความที่เป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดี ณัฐวีร์ก็เลยโบกมือตอบ เล่นเอาคนข้างตัวถึงขั้นชักสีหน้าทันที
ไม่นานขบวนพาเหรดก็หมดไปแต่อารมณ์ของมกรที่หงุดหงิดอยู่กลับยังไม่เข้าที่ดี.. ถ้าเป็นเมื่อก่อน แค่คนของเขามองใคร เขาก็กระชากตัวให้ออกมาจากสถานการณ์นั้นแล้ว
แต่..ความรุนแรงอย่างทีเขาเคยทำ..มันคือสาเหตุของทุกๆ เรื่องที่เชียงใหม่นั่น ดังนั้น ตอนนี้เขาจึงเลือกที่จะเงียบ นิ่ง และพยายามบริหารอารมณ์หงุดหงิดของตัวเองให้ได้มากที่สุด
“ไปนี่กัน..”
คนพูดกางแผนที่แล้วจิ้มจึ้กลงไปที่ The Many Adventures of Winnie the Pooh มกรปรายตามองแล้วพยักหน้าไม่พูดอะไร พอณัฐวีร์เดินนำ อีกฝ่ายก็เดินตาม แต่จากที่เคยเดินเสมอกันไป กลายเป็นมกรหงุดหงิดจนเดินรั้งมาข้างหลังแทน
แม้ว่าวันนี้จะไม่ใช่วันเสาร์อาทิตย์คนไม่เยอะมากนัก แต่จะไปดูถูกพวกคณะนักท่องเที่ยวไม่ได้เลย ดังนั้น เมื่อมกรเงยหน้าไปมองหาคนตัวเล็กที่เดินลิ่วๆไม่รอกัน.. ก็กลายเป็นว่าเขาเจอแต่หัวใครก็ไม่รู้เต็มไปหมด ..และณัฐวีร์หายไปเสียแล้ว
“นัท..”
มกรร้องเรียกแล้วมองหาไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นเลย เขาน่าจะคลาดกันกับณัฐวีร์ตรงทางแยกนั่นหรือเปล่านะ มกรคิดแล้วหันเลี้ยวไปทางขวา พอเดินไปได้สักสี่ห้าก้าวเขาก็ชะงัก หรือว่าณัฐวีร์จะไปทางซ้าย ..ชายหนุ่มร้อนใจรีบหันหลังกลับแล้ววิ่งไปดูอีกทาง.. แต่ก็ไม่มี
มกรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา คิดไว้ว่าจะโทรหา..แต่แล้วเจ้าตัวก็นึกได้.. เขาขโมยมือถือน้องไปทิ้งเอง แล้วน้องจะมีโทรศัพท์ให้คอยติดตามตัวยังไงล่ะ? มกรแทบอยากจะตีหัวตัวเอง
“นัท!”  ชายหนุ่มตะโกนอย่างหมดหนทาง
“โอ้ย! เสียงดัง อายคนเขานะครับ”
เสียงที่ดังมาจากข้างหลังทำให้ชายหนุ่มหันขวับ ณัฐวีร์ยืนหน้าง้ำห่างออกไปเล็กน้อย ในมือเขามีแผนที่ที่ยังกางไว้อยู่เลย
“พี่ใจหายหมด” มกรเดินเข้าไปหาแล้วก็บ่น “โทรศัพท์ก็ไม่มีอย่าเดินห่างพี่ไปสิ”
“คือผมน่ะเดินนำหน้า พี่นั่นแหละเดินหายไป หันมาอีกทีก็ไม่อยู่แล้ว ปล่อยให้ผมคุยอยู่คนเดียวเนี่ย” ณัฐวีร์บ่นกลับบ้าง “ถ้าพี่หายไปแล้วผมจะกลับยังไง โทรศัพท์ก็ไม่มี ไม่อยากโดนตำรวจพาไปส่งโรงแรมนะครับ”
“โธ่ พี่ก็ต้องหาเราจนเจอสิ ใครจะปล่อยให้หาย” มกรยิ้มเอาใจแล้วจับมืออีกฝ่ายบีบเบาๆ “น่าๆ ใจเย็นๆ นะ โมโหเดี๋ยวไม่หล่อ”
“ผมก็ไม่ได้หล่อมาตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว แค่มีดหมอเฉือนๆตัดๆไปนิดหน่อยเท่านั้นก็เลยพอดูได้”
คำพูดนั้นทำให้คนฟังจี๊ดเจ็บเข้าไปที่หัวใจ.. เขาเอง ต้นเหตุมาจากเขานี่เอง.. แล้วพอน้องหน้าตาดีขึ้นเขาจะมาโกรธที่ใครๆสนใจน้องได้ยังไง เขาจะมาหงุดหงิดไม่ได้สิ..เพราะเขานั่นแหละที่ทำให้น้องเป็นแบบนี้
“พี่ขอโทษ..” มกรเอ่ยขึ้นเบาๆก่อนจะดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดไว้
“เฮ้ย!” ณัฐวีร์ร้องลั่นขืนตัวหลุดออกมายืนหน้าแดงทันที “จะบ้าเหรอพี่ คนเยอะแยะ”
“แสดงว่าถ้าคนไม่เยอะพี่ก็กอดได้?” มกรยังแถ
เล่นเอาคนถูกตั้งคำถามแบบนั้นยิ่งหน้าแดงหนัก “..โว้ย! ไม่คุยด้วยแล้ว” ณัฐวีร์เดินหนี
“นัท รอพี่ด้วยสิ เดี๋ยวก็หลงกันอีกหรอก” มกรวิ่งตาม ชายหนุ่มทำท่าจะยกมือโอบไหล่อีกฝ่ายแต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อคนตัวเล็กกว่าตวัดตามาจ้องพร้อมทำหน้าดุเข้ม เล่นเอามือนั้นต้องหดลงมาจับสายกระเป๋าเป้แทน “ไม่จับไว้เดี๋ยวหลง..”
แล้วคนพูดก็ยิ้มกว้างอย่างเอาใจ เดินตามณัฐวีร์ไปเข้าแถวรอดูหมีพูห์ชนิดที่ว่า ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้แล้วตอนนี้
พอออกจากหมีพูห์ ขนมที่ทานกันไปตอนดูขบวนพาเหรดก็ย่อยหมด ทำให้ทั้งคู่เลือกที่จะนั่งทานอาหารมื้อหนักกันเสียที แล้วก็เป็นมกรอีกเช่นเคยที่เดินหาซื้ออาหารโดยให้ณัฐวีร์นั่งจองโต๊ะ
“นัททานได้นะ” มกรถามพลางยกเอาข้าว และชามบะหมี่ออกจากถาด
อากาศตอนเย็นๆ  เริ่มหนาวแล้ว ลมแรงด้วย พื้นที่ทานอาหารมีทั้งที่เป็นด้านนอกอาคารแบบเปิดโล่งมีหลังคากันแดด และเป็นในห้องปิดมิดชิดแบบฟาสต์ฟู้ด แต่เพราะในห้องคนเยอะมาก พวกเขาถึงเลือกนั่งด้านนอก อากาศแบบนี้พอได้ทานน้ำซุปร้อนๆ เส้นบะหมี่นุ่นๆ มีเนื้อหมูและเป็ดรสเลิศ ก็ทำให้ณัฐวีร์อารมณ์ดีจนทานไปด้วยแล้วก็ชวนอีกฝ่ายคุยไปด้วยอย่างสนุกสนาน
พอจบมื้ออาหาร พวกเขาก็ไปที่เดอะ สมอลล์ เวิลด์ ซึ่งตอนที่อิ่มท้องสบายพุงแบบนี้ การได้ล่องเรือชมประเทศต่างๆพร้อมฟังเพลงที่ขับกล่อมโดยตัวการ์ตูนประจำชาตินั้นก็ทำให้ณัฐวีร์รู้สึกคลายเหนื่อยจากที่เดินเล่นมาทั้งวันได้เหมือนกัน
“เจ้านั่นหน้าตาตลกนะ” มกรกระซิบอยู่ข้างหูทำให้ณัฐวีร์ต้องเหลียวมองตามมือที่อีกฝ่ายชี้ พอเห็นเขาก็หัวเราะ
“ใช่ๆ หน้าตาเหมือนพี่แชร์”
คนฟังสะดุดกึก.. “อะไรเนี่ย อยู่กับพี่ต้องไปคิดถึงมันด้วย”
“อ้าว...” ณัฐวีร์ร้อง แต่พอเห็นอีกฝ่ายทำหน้ายิ้มๆเหมือนล้อเล่นเขาก็เลยยิ้มตอบแล้วชี้ให้อีกฝ่ายดูตุ๊กตาที่หมุนแขนควงขากันเป็นหมู่คณะเพื่อเต้นตามเพลงประจำชาติตัวเอง
พอออกมาจากสมอลล์เวิล์ดก็ใกล้เวลาไฮไลท์สุดท้ายโชว์การจุดพลุแล้ว พวกเขาเดินซื้อของฝากคนละถุงสองถุงก่อนจะแว้บออกจากร้านมายืนออพร้อมกับนักท่องเที่ยวรอดูพลุ
แสงสีและเสียงเพลงที่ประกอบกับพลุนั้นเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจทำให้คนดูบางคนถึงกับลืมหายใจไปเลย

.
.
.
.
.

tbc.



ขอบคุณที่เข้ามาร่วมสนุกชิงพี่แม้นกันนะคะ ^__^
ยังร่วมสนุกกันได้อยู่นะคะ คำถามยากไปนิดนึง 55555

คนแต่งฝากมาบอกว่า ---> ต่อจากนี้จะดราม่าจัดหนักจัดเต็ม!.. โหมดหวานๆ มันหมดไปแล้วนะครัชพี่แม้น  :hao3:
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพตอนใหม่แล้วจ้า [26.05.14]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-05-2014 01:22:23
จะต้องหน่วงอีกแล้วหรือนี่
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพตอนใหม่แล้วจ้า [26.05.14]
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 27-05-2014 10:01:35
ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพตอนใหม่แล้วจ้า [26.05.14]
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 03-06-2014 10:12:32
สวัสดีค่ะทุกคน ก่อนอื่นเลยอยากขอโทษที่เข้ามาประกาศรายชื่อผู้ร่วมสนุกช้าไป 2-3วัน 

คุณมอส จับรายชื่อผู้โชคดีที่ร่วมสนุกตอบคำตอบ ชิงหนังสือพี่แม้น เรียบร้อยแล้วนะคะ

เฉลยคำตอบ
จากควิสท์ที่ว่า ความหมายชื่อณัฐวีร์ หมายถึงอะไรนะคะ

หมายถึงปราชญ์ผู้กล้าหาญค่ะ
(ก็เหมาะกับลักษณะนิสัยน้องเนอะ)

ลิสต์รายชื่อผู้ตอบคำถามถูกนะคะ

**เราใช้วิธีจับสลากค่ะ**

(http://upic.me/i/r2/nqsas.jpg) (http://upic.me/show/51310959)




และผู้ที่จับขึ้นมาได้คืออออออ... แต่น แตน แต๊นนนน นน #คาดว่าน่าจะรู้กันแล้ว 5555

(http://upic.me/i/8f/l05ny.jpg) (http://upic.me/show/51311010)


ดีใจกับคุณ kavinchy Ay'e ด้วยค่ะ  o13

ขอบคุณทุกท่านที่ร่วมสนุกนะคะ ไว้รอตอนใหม่ เร็วๆนี้น๊าาา  :katai4:
หัวข้อ: Re: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพตอนใหม่แล้วจ้า [26.05.14]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 03-06-2014 17:30:52
เข้ามารอพี่แม้นศรี :z13:

ยินดีกับคนที่ได้หนังสือด้วยจ้า  :katai2-1:  :z2:
หัวข้อ: Re: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 25 [05.06.14]
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 05-06-2014 10:56:22
ตอนที่ 25




พลุลูกสุดท้ายจบลง คนต่างทยอยกันออกจากสวนสนุกแต่ยังมีบางกลุ่มที่เลือกซื้อของต่อ เพราะการรีบออกไปตอนนี้นอกจากรถติดแล้ว รถไฟก็คนแน่นมากด้วย
“พี่โทรบอกคนขับรถของโรงแรมแล้วนะ” มกรเดินเข้ามาบอกตอนที่ณัฐวีร์กำลังถือพวงกุญแจไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง และแม็กเน็ทไว้ด้วยมืออีกข้างหนึ่ง
“ครับ...” ณัฐวีร์ตอบรับแล้วก็ยกของในมือสองข้างขึ้น “พี่ว่าอันไหนดี”
มกรมองพวงกุญแจหมีพูห์กับแม็กเน็ทที่เป็นรูปทอยสตอรี่ซึ่งต่างก็ไม่ใช่แนวเขาทั้งคู่ แล้วชายหนุ่มก็ส่ายหน้า “อย่าให้เลือกเลย... นัทจะเอาให้ใครนัทก็น่าจะรู้นะว่าเขาชอบอะไร”
“อือ นั่นสินะ...” ณัฐวีร์ก้มมองของสองอย่างในมือ แล้วก็วางลงในตะกร้าไปทั้งคู่
“อ้าว ตกลงเอาสอง”
“อื้อ.. ผมเลือกไม่ถูกหรอก” ณัฐวีร์ตอบแล้วหันไปเลือกของต่อ “อันนึงฝากเพื่อนในกลุ่มอีกอันฝากแฟนละกัน..”
แล้วณัฐวีร์ก็ต่อในใจว่า มันก็กลุ่มเดียวกันล่ะนะ... แย่งกันเอาเอง แพรวน่ะใกล้บ้านมีสิทธิ์เลือกก่อน เลือกอันไหนไปอีกอันก็ของเพื่อนอีกคน..ก็มันเพื่อนเหมือนกันหมดนี่นะ
แต่ความคิดในใจนั่นไม่ได้สื่อออกให้มกรรับรู้ คนฟังจึงยืนสะอึกอึ้งไป ยิ่งเห็นณัฐวีร์ทำเฉยเลือกของฝากอย่างสนุกสนานไม่ได้สนใจกัน ความรู้สึกก็ยิ่งกดดันและเจ็บปวดหนักข้อขึ้นจนเผลอถามระบายความเจ็บปวดในอกนั้นออกมา “นัทไม่รู้หรือไงว่าพี่รู้สึกยังไงกับนัท”
คนถูกถามชะงัก มือที่หยิบจับของอยู่ละลง เจ้าตัวถอนหายใจหนักๆ อุตส่าห์คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่พูดออกมาแล้วเชียวนะ
“ผมมีแฟนแล้ว”
“แต่พี่..”
ณัฐวีร์เมินหน้าหนีอีกฝ่ายทันที “พอเถอะครับ ถ้าพี่พูดออกมาผมคงอยู่ทำงานกับพี่ไม่ได้ตลอดปิดเทอมนี้แน่”
พอเห็นท่าทางณัฐวีร์เป็นแบบนั้น มกรก็ยิ่งปวดหัวใจหนักขึ้นไปอีก มันเหมือนกับมีตะปูสักร้อยดอกถูกค้อนสักร้อยอันตอกเข้าไปที่หัวใจพร้อมกันเป็นจังหวะ ทั้งเจ็บ ทั้งยอกแสลงใจจุกไปทั้งอก แบบนี้เองที่ณัฐวีร์เคยรู้สึก การถูกปฏิเสธรัก..จากคนที่รัก ขนาดเขาโดนแค่นี้เขายังรู้สึกเจ็บขนาดนี้.. แล้วณัฐวีร์โดนหนักกว่านี้อีก..เจ็บทั้งกายและเจ็บทั้งใจ.. แค่นี้สำหรับเขายังถือว่าน้อยด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มพยักหน้าช้าๆอย่างยอมรับชะตากรรม “ได้..พี่จะไม่พูด”
แล้วร่างสูงใหญ่ของมกรก็ค่อยๆ ก้าวถอยออกมา ปล่อยให้ณัฐวีร์เดินเลือกซื้อของตามลำพัง
เกือบสิบนาทีที่ทั้งคู่ตกอยู่ในความเงียบงัน กระทั่งจ่ายเงินที่แคชเชียร์และพากันเดินออกมานั่งรอรถของโรงแรมแล้วก็ยังตกอยู่ในความเงียบนั้น คนขับโทรเข้ามาหามกรแล้วแจ้งว่ารถติดมากเพราะเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวเพิ่งจะทยอยออกไป จึงอาจจะมาช้าเล็กน้อย พวกเขาจึงเลือกหาที่นั่งหลบมุม
พอหาที่นั่งกันได้ มกรก็คิดจะหาทางออกให้บรรยากาศที่แสนจะมึนตึงนี้.. เขาไม่อยากเสียณัฐวีร์ไป ไม่อยากเสียไปอีกแล้ว.. ต่อให้ต้องอยู่ตรงนี้อย่างพี่คนหนึ่ง อย่างคนที่เจ็บปวดที่สุดเขาก็จะทน.. ถ้ายังตัดใจจากไปไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องดูแลน้องให้ดีที่สุด..
เขาไม่ต้องการกอดร่างที่เต็มไปด้วยเลือดแบบนั้นอีกแล้ว ไม่ว่าจะร่างของใครก็ตาม
มกรสูดหายใจเข้าลึกแล้วมองมือที่สั่นระริกของตัวเอง ภาพความทรงจำนั้นยังติดแน่นอยู่ในกายนี้ ใจนี้ สมองนี้... และมันไม่ใช่แค่หนเดียว แต่เป็นถึงสองหนด้วยกัน
ทั้งณัฐวีร์ ลูกเกด และมะม่วง
มกรหลับตา.. ลูกเกดคือหญิงสาวที่เขารัก แต่เพราะเขามีพฤติกรรมเลวๆ เธอจึงพยายามรั้งไม่ให้เขาออกไปข้างนอกด้วยการกระโดดลงมาจากชั้นสองของห้องที่คอนโด เธอกลิ้งลงมานอนกับพื้นพร้อมทั้งพาเอามะม่วงออกมาด้วย..
เขาต้องสูญเสียมะม่วงไปเพราะเหตุนั้น ลูกของเขา.. ลูกที่ยังไม่รู้เพศด้วยซ้ำ..
หลังจากเหตุการณ์สูญเสียนั้น ลูกเกดเองก็เพิ่งรู้ว่าเธอมีมะม่วงอยู่ในท้อง.. เธอโทษว่าเขาเป็นคนทำร้ายเธอ เธอให้พี่ชายมาตามรังควาญที่มหาวิทยาลัย ตอนนั้นพ่อและแม่ต่างจับมือกันเพื่อหยุดยั้งครอบครัวของลูกเกด ทั้งให้เงินเป็นทุนสำหรับเกดเพื่อไปเรียนต่อต่างประเทศ และพาเขาไปให้พ้นจากประเทศไทย เพื่อหนีทุกอย่างเป็นปี
พอกลับมาเขาก็ยังไม่หยุดความเลว.. เขาผลักตัวเองลงเหวหนักกว่าเดิมด้วยการทำให้ณัฐวีร์มาเป็นของเขา และ..ทำให้น้องเจ็บ
มกรส่ายหน้าช้าๆ เขาไม่อยากรู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว ไม่อยากทำให้ใครเจ็บแบบนั้นอีกแล้ว… เขาเสียเกด เขาเสียมะม่วง แต่เขาไม่อยากเสียณัฐวีร์ไปอีก ดังนั้น ทางไหนที่จะทำให้คนๆนี้มีความสุข เขาจะทำ.. เมื่อไม่อยากให้พูด เขาก็จะไม่พูด เขาจะทำให้อีกฝ่ายสบายใจที่สุด
มกรพรูลมหายใจออกมาอย่างต้องการจะระบายความอัดอั้นในอกนี้ ชายหนุ่มหยิบถุงใส่ของแล้วดึงเอาของที่อยู่ข้างในออกมา มันเป็นตุ๊กตาเบบี้พูห์ในท่านั่งที่ตัวสูงประมาณเกือบ 45 เซน แล้วเขาก็ยื่นมาให้ณัฐวีร์ “หมีตัวนี้นัทจะเอาไปทำอะไรก็ตามใจ พี่ซื้อให้นัท”
“แต่ผมบอกพี่แล้ว..”
“พี่รู้.. แต่ทั้งที่รู้พี่ก็ยังตัดใจจากนัทไม่ได้หรอก”
“ถ้ารับไว้มันก็เหมือนผมให้ความหวังพี่” ณัฐวีร์ยังใจแข็งไม่ยอมรับ
“ไม่หรอก พี่จะไม่คิดแบบนั้น..พี่สัญญา ได้โปรดรับมันไปที”
มกรก้มหน้าลง..น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมา แค่เห็นณัฐวีร์ก็ใจอ่อนยวบ เขาคว้ามันมาทันที แล้วใช้มือข้างหนึ่งจับไหล่หนาลูบไปมาเบาๆ “ไม่เอาน่าพี่ อย่าทำแบบนี้”
มกรจับมือที่สัมผัสไหล่เขาไว้แล้วบีบก่อนจะค่อยๆขยับตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นทุกที ณัฐวีร์เอนตัวจนไม่มีที่จะหนี ของก็เต็มมือ หมีพูห์อีกตัวบนตัก แล้วยัง..
มัวแต่คิดหาทางหนีก็หนีไม่ทันเสียแล้ว ริมฝีปากอุ่นร้อนทาบทับลงมาหา สัมผัสนั้นแผ่วเบาอบอุ่นแต่ไม่เรียกร้อง คนทำเหมือนกล้าๆกลัวๆแตะแล้วก็ถอยออกไป ดวงตาคมค่อยๆมองมาที่ณัฐวีร์ ใบหน้าที่เห่อซ่านร้อนระอุของเขาคงจะไม่น่าดูนัก แต่เพราะนั่งประสานตากันแบบนั้นมันคงไปกระตุกต่อมอะไรเข้า มกรถึงขยับสะโพกเข้ามาใกล้แล้วโอบไหล่รั้งร่างเล็กเข้าหา ก่อนจะบดริมฝีปากและส่งปลายลิ้นอุ่นร้อนเข้ามาโดยที่ไม่ทันให้ตั้งตัว
“อึก....”
ณัฐวีร์รู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างไร้น้ำหนัก ในหัวเขาขาวโพลนไม่รู้เลยว่าตอนนี้จะต้องทำอะไร มือที่จับตุ๊กตากำแน่นแล้วจิกลงไปบนตัวมันเหมือนจะหาที่ยึด เพราะถ้าไม่ยึดเจ้าหมีนี่ไว้ สงสัยคงเลื่อนขึ้นไปเกาะบ่ากอดเอวใครแน่ๆ
แต่แล้วอีกฝ่ายก็ผละออกไป ตอนแรกณัฐวีร์ไม่เข้าใจและยังเบลอๆกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทว่าพอเสียงดนตรีจากสายเรียกเข้าดังขึ้นเขาก็เหมือนตื่นจากฝันหวามหวานนั่น
“OK …wait awhile”
ณัฐวีร์สะดุ้งขึ้นมาทันทีที่อีกฝ่ายวางมือลงบนขา เขาลุกพรวดแล้วไม่พูดอะไรอีก ได้แต่หยิบถุงของฝากมาถือไว้ด้วยมือข้างซ้าย แล้วก็กอดเบบี้พูห์แนบอกด้วยมือข้างขวา
มกรเองก็คงเข้าใจสถานการณ์ เขาไม่พูดอะไรนอกจากลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือมาหา
“พี่ถือให้..”
ณัฐวีร์ส่ายหน้าทำให้อีกฝ่ายถอนใจ “ได้ ตามใจนัท.. รถมาแล้ว อยู่ตรงลานจอดเดินตามพี่มานะ”
แล้วทั้งคู่ก็เดินกันไปอย่างเงียบๆ
.
.
.
.
.
วันต่อมา โปรแกรมของทั้งคู่กลายเป็นการที่ณัฐวีร์ขอตามคุณมนธิชาออกไปช็อปปิ้งด้วยกันขณะที่มกรถูกทิ้งให้อยู่ที่โรงแรมเพียงลำพัง
ช่วงกลางคืนคนทั้งคู่มีแต่ความอึมครึมให้แก่กัน พอมาตอนเช้าณัฐวีร์ยังหนีไปเที่ยวกับแม่อีก ทำให้มกรเองก็รู้สึกท้อที่จะง้อคืนดีด้วยเหมือนกัน
ชายหนุ่มไม่ลุกจากเตียงจนกระทั่งเกือบเที่ยง พอลุกมาเห็นโน๊ตเล็กๆที่บอกว่าอีกฝ่ายออกไปแล้วก็เลยงดข้าวประท้วงกันเลยทีเดียว
ทว่า.. ก็ทำใจแข็งไม่ง้ออยู่ไม่นานนักหรอก
ในห้องนั้นมีของใช้ของณัฐวีร์วางอยู่ เสื้อผ้าก็อยู่.. มกรทำนิ่งไม่โทรหาอยู่ได้แค่บ่ายเกือบเย็นเท่านั้น แล้วเขาก็ทนไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องหยิบโทรศัพท์โทรหาเลขาแอมแล้วตามออกไปจนได้
การเดินซื้อของด้วยกันในสายตาผู้ใหญ่ทำให้สองคนไม่สามารถมีเวลาส่วนตัวเพื่อปรับความเข้าใจกันมากนัก ประโยคที่คุยกันได้ก็มีเพียงถามข้อมูลหรือสิ่งที่อยากซื้อเท่านั้นเอง
บรรยากาศอึมครึมต่อเนื่องไปข้ามอีกคืน ..แล้วมกรก็ทนไม่ไหวจนวันรุ่งขึ้นต้องระบายความอึดอัดออกมา
“ให้พี่ดูแลนัทเถอะ”
มกรเอ่ยขึ้นเมื่อผู้ใหญ่สองคนขอตัวไปเข้าห้องน้ำ และพวกเขาเตร็ดเตร่รออยู่ที่ร้านเสื้อผ้าแถวนั้น
“ผมก็ไม่ได้ห้ามนี่..”
“นัท..ก็เห็นๆอยู่” มกรบอกขณะมองถุงในมืออีกฝ่ายที่พูดยังไงก็ไม่ยอมให้ช่วยถือ
“ผมถือได้ มันเบาๆ”
“แต่ถือติดต่อกันหลายวันมันก็ไม่ไหวไม่ใช่เหรอ..ให้พี่ช่วยถือดีกว่า”
ณัฐวีร์เมินไปอีกทาง ใบหน้านั้นเรื่อสีแดงขึ้นเล็กน้อยขณะที่เอ่ยประโยคถัดมาด้วยเสียงแผ่วลง “ถ้าให้ช่วยถือ..สัญญาได้ไหมว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีก”
จริงๆ มกรก็อยากจะต่อล้อต่อเถียงหรอกนะ แต่เพราะบรรยากาศระหว่างกันมันไม่พาไปเสียเลย เขาจึงตอบอย่างตัดปัญหา
“...ได้” ในเมื่อไม่อยากให้ทำก็จะไม่ทำอีก “พี่สัญญา..”
ในแว่บหนึ่ง ณัฐวีร์รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ ทำไมถึงได้ยอมง่ายขนาดนั้นนะ.. ไม่เอาแต่ใจเป็นคนดีหรือแค่ไม่จริงจังกันแน่.. แค่ทำเล่นๆ แล้วพอไม่ได้ดั่งใจก็ถอยไปหรือเปล่า
ทว่า..ในอีกความคิดหนึ่งก็แทรกขึ้นมา เขาน่าจะรู้สึกโล่งใจสิ.. บรรยากาศอึมครึมอย่างที่ผ่านมาหลายวันเขาก็ไม่ค่อยชอบหรอก ถ้าอีกฝ่ายสัญญาเสียเขาก็จะเบาใจมากขึ้น แล้วก็จะได้มีข้ออ้างให้ตัวเองไม่ต้องมานั่งกังวล
“สัญญาแล้วนะ”
มกรพยักหน้า ทำให้ณัฐวีร์ยิ้มน้อยๆ
“งั้นเอานี่ไปถือ แล้วก็นัทหิวน้ำแล้ว เราชวนคุณแม่ไปนั่งพักที่คาเฟ่ตรงด้านล่างกันเถอะ”
เป็นครั้งแรกที่ณัฐวีร์หลุดเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นออกมา ทำให้มกรเบิกตาโต
“ทำไม?” คนถูกมองถามงงๆ เขายังไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าตัวเองนั้นหลุดเรียกแทนตัวว่า “นัท” ไปเสียแล้ว
อีกฝ่ายแค่ส่ายหน้าแล้วยิ้มกว้างชนิดที่ใครผ่านไปผ่านมาก็เหลียวคอดูกันเลยทีเดียว “ไปหาแม่กัน..”
อย่างน้อย วันนี้เขาก็ประสบความสำเร็จอย่างหนึ่งแล้ว.. เขาได้ ‘นัท’ คืนมาแล้ว
.
.
.
.
.
กว่าพวกเขาจะลงเครื่องมาผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมืองและรับกระเป๋าตรงสายพาน ณัฐวีร์ก็ยืนหาวหวอดอยู่ข้างๆคุณมนธิชาแล้ว เขาปล่อยให้มกรและกลุ่มทีมงานอื่นแยกออกไปยืนดูกระเป๋าที่สายพาน
“นัทไปด้วยกันคราวนี้สนุกไหม” มนธิชาเอ่ยถาม
“สนุกครับ” คนตอบหันมายิ้มกว้างให้
“ฉันเห็นพวกเธอสนุกกัน ฉันก็ดีใจ ไปเที่ยวกันมาแบบนี้คงสนิทกันเร็วขึ้นนะ” คุณมนธิชาทอดตามองแผ่นหลังลูกชาย ไหล่กว้างนั้นตั้งตรงดูผึ่งผาย บุคลิกของลูกชายเธอไม่ถือว่าเป็นรองชายหนุ่มในวัยเดียวกัน.. มีก็แต่จิตใจเท่านั้นที่ต้องเยียวยาบ้าง “จากนี้ฉันก็ฝากแมน..เอ่อ ฝากงานไว้ด้วยนะ ช่วยกันทำงานกับแมนเขา พวกเธอน่าจะได้ประสบการณ์จากงานนี้เยอะล่ะ”
“ครับ” ณัฐวีร์ยิ้มแล้วยกมือไหว้ “ต้องขอบคุณคุณแม่ด้วยที่ให้โอกาสผมได้ไปศึกษาดูงานอะไรแบบนี้”
“ที่ร้านอาหารคงไม่ได้จัดประชุมเรื่องการลงทุนสินะ” มนธิชาเอ่ยล้อ
“มีแค่สัมมนาป้าแม่ครัว เอ้ย เชฟกับพนักงานต้อนรับลูกค้าเรื่องการทำงานเป็นทีมกับเซอร์วิสมายน์บายแม่ไก่เท่านั้นเองครับ” ณัฐวีร์รับลูกแล้วสองคนก็หัวเราะกัน ส่งผลให้คนที่กำลังเข็นรถบรรทุกกระเป๋าเข้ามาหามองอย่างงงๆ
“หัวเราะอะไรกันครับ”
“คุยกันเรื่องสัมมนาน่ะแมน..กระเป๋าครบแล้วหรือ?”
“ครับ..” มกรตอบรับแล้วหันไปหาณัฐวีร์ “ไปเถอะนัท..เดี๋ยวพี่ให้คนขับรถไปส่งที่บ้านก่อน”
บรรยากาศของแม่ลูกคู่นี้เป็นเรื่องที่น่าหนักใจสำหรับณัฐวีร์ เพราะเหมือนว่าเขาเป็นตัวกลางอยู่ระหว่างคนในครอบครัวที่ฝ่ายหนึ่งก็เป็นผู้ใหญ่ อีกฝ่ายก็ตั้งแง่เหลือเกิน เขาไม่รู้ลึกๆ ว่าเหตุผลของความไม่ลงรอยกันนั้นคืออะไร แต่เท่าที่สัมผัสมา ดูเหมือนว่าเงื่อนปมในใจของมกรจะมีซ่อนลึกอยู่ โดยที่เขาไม่เคยบอกเล่าให้ใครได้ฟัง
พอผ่านขั้นตอนศุลกากรเรียบร้อยคนทั้งหมดก็เดินออกมาตรงทางออก..แล้วสิ่งที่รออยู่ก็ทำให้มกรหน้ามุ่ยไปทันที
“นัท..!” หญิงสาวใบหน้าสวยน่ารักในชุดกางเกงยีนส์และเสื้อเชิ้ตแขนกุดเข้ารูปเก๋โบกมือให้ณัฐวีร์ ที่ข้างๆ เธอมีเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดของมกรยืนอยู่ด้วย
“ไงเพื่อน..” แชร์โบกมือทักมกร เลยโดนด่าไปหนึ่งคำ “อ้าว เจอหน้ากันมึงก็ให้พรเสียแล้ว เป็นห่าอะไรครับ”
“พามาทำไม” มกรตวัดสายตามองไปทางหนุ่มสาวสองคนที่ยืนถามไถ่ความสนุกของทริปกันอยู่ไม่ไกลนัก
ณัฐวีร์เวลาอยู่กับเพื่อน..เอ่อ แฟนของเขา ก็มีการสร้างโลกส่วนตัวขึ้นมาด้วยออร่าจากการจับมือหญิงสาว ส่วนแพรวเองก็ยิ้มเก๋เกาะแขนเพื่อน..อ่า แฟนของเธอหัวเราะด้วยกันเบาๆ
มันคือภาพที่ไม่ว่าใครได้เห็น ..ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าคนสองคนนี้..เหมาะสมกัน
“มึงไหวไหม..” แชร์เอ่ยถามเพื่อน ดวงตาไม่ได้ละออกจากคนคู่นั้นเลย
“เจ็บเหี้ยๆ”
“สมน้ำหน้ามึง..แต่ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะกูด้วย ..ไม่น่าท้ามึงเลย” แชร์เอ่ยถึงเหตุการณ์ในอดีตอย่างรู้สึกสำนึกผิด
“ความผิดกูเอง มึงไม่ต้องโทษใคร” มกรเองก็มองไม่วางตา ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าณัฐวีร์มีเจ้าของ แต่อย่างไรก็ยังทำใจไม่ได้ …ไม่ได้จริงๆ “ถ้าจะโทษก็โทษกู ที่ไม่ทำดีกับเขาเสียตั้งแต่แรก.. แล้วที่ต้องมานั่งช้ำใจอยู่อย่างนี้ก็เพราะกรรมที่ทำเอาไว้เอง.. ต้องยอมรับเอง”
.
.
.
.
.
(ต่อด้านล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 25 [05.06.14]
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 05-06-2014 11:01:59
ช่วงเดือนหลังกลับมาจากฮ่องกง วิธีการทำงานของณัฐวีร์ก็ยังไม่ต่างไปจากเดิมมากนัก.. เขาต้องใช้สมาธิอย่างหนักที่จะอ่านข้อมูลต่างๆ รายงานเก่าๆ ของบริษัท ช่วงจังหวะที่ทำงานก็มีบ้างที่เขาต้องออกไปกับมกร หรือคุณมนธิชา ทั้งออกไปพบลูกค้า ทั้งออกไปดูหน้างาน และประชุม จนมีบางครั้งต้องทานข้าวเย็นนอกบ้าน
บางทีก็ไปพร้อมกันสามคน บางทีก็ไปกันแค่สองคน.. เหมือนวันนี้ที่พวกเขาได้มีโอกาสออกมาดูงานพร้อมกับทีมงาน แล้วแยกย้ายกันกลับ

“พี่หิวจัง นัททานข้าวกับพี่นะครับ” มกรเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม เขานั่งอยู่ตรงที่คนขับในขณะที่ณัฐวีร์นั่งอยู่ด้านข้าง

“วันนี้นัดกับแพรวไว้แล้วครับ สงสัยจะไปไม่ได้” ณัฐวีร์บอกแล้วก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ต่อ

มกรนิ่งไปนิด ความรู้สึกตอนนี้ของเขาคือเจ็บจนชา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอคำตอบแบบนี้ บางทีพอณัฐวีร์ตอบแบบนี้แล้วในอีกสิบนาทีต่อมาแพรวก็มารับณัฐวีร์ที่ออฟฟิศด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มยิ้มอย่างยอกในอก ถ้าหัวใจของเขาเป็นอะไรสักอย่างที่ช้ำได้ มันคงน่วมช้ำจนถึงขีดสุดของมันแล้ว พอมาถึงขั้นนี้ ช้ำหนักๆ ขนาดนี้ เดี๋ยวมันก็ตาย.. พอมันตายเขาก็จะไม่เจ็บปวดอีก

“งั้นก็ไม่เป็นไร ไว้วันหลังเราค่อยไปทานด้วยกันก็ได้”

กลางวันนัทเป็นของพี่..กลางคืนนัทจะกลับไปมีชีวิตส่วนตัวก็ตามใจ
ณัฐวีร์เงยหน้ามายิ้มแต่ไม่พูดอะไรแล้วก้มมองโทรศัพท์ต่อ โทรศัพท์เครื่องนี้มกรเป็นคนพาไปซื้อ แล้วออกค่าใช้จ่ายให้เองเสียด้วย ..เพราะขโมยของน้องมา เลยซื้อใช้น้องเสียเลย แต่ตอนนี้เขาเริ่มจะอยากขโมยอีกสักรอบ เพราะณัฐวีร์เล่นแต่โทรศัพท์ไม่คุยกับเขาเลย
กลายเป็นมกรเองที่ยังตอแยอยากจะคุยด้วย “แล้วนัดกันไว้ที่ไหน พี่จะได้ไปส่ง”

“ไม่ต้องหรอกครับ พี่ผ่านรถไฟฟ้าที่ไหนก็จอดให้นัทลงได้ นั่งรถไฟฟ้าไปไวดี”

“ไม่เป็นไร พี่ไม่มีธุระที่ไหน ขับไปส่งได้สบาย” แล้วคนพูดก็เอื้อมมือมาจับมืออีกฝ่ายดึงไปกุมไว้
กลายเป็นณัฐวีร์ต้องเงยหน้าจากจอโทรศัพท์มาให้ความสนใจอีกฝ่าย เพราะอาการแบบนี้แสดงว่าเรียกร้องให้เขาสนใจแล้ว

“ตามใจครับ ตอนนี้ก็ยังไม่ถึงเวลานัดด้วยนั่งรถเล่นกับพี่ไปเรื่อยๆก็ได้.. แพรวนัดที่พารากอนครับ”

“ได้เลย” มกรยิ้ม แค่นี้เขาก็พอใจแล้ว เดี๋ยวส่งณัฐวีร์ให้แพรวแล้วเขาค่อย..

“ปล่อยมือได้หรือยังครับ”

“อ่ะ.. ขอโทษๆ” มกรคิดเพลินจนอีกฝ่ายต้องเตือน พอเขาปล่อยปุ๊บก็มีเสียงไลน์เข้าปั๊บ กลายเป็นข้อความนั้นแพรวส่งมายกเลิกนัด ทำให้คนขับรถรีบเปลี่ยนร้านเป้าหมายทันที

มื้ออาหารเย็นที่มกรเลือก เป็นอาหารญี่ปุ่นในถนนเมนของทองหล่อซึ่งทั้งสองคนเคยมาทานด้วยกันแล้วหนหนึ่ง และณัฐวีร์ก็ติดใจปลาดิบและวิวของที่นี่มาก ร้านอาหารอยู่บนสุดของตึกสูง 7 ชั้น รอบด้านไม่ได้ตึกบังทัศนียภาพ ทำให้มองออกไปเห็นวิวยามค่ำของเมืองแถบนั้นได้ดี

“เดี๋ยวอีกหน่อยร้านก็ย้ายมาอยู่ใกล้ๆ ที่นี่แล้ว” มกรพูดขึ้นในขณะที่ณัฐวีร์ทำหน้างงๆ แล้วก็นึกได้

“หมายถึงร้านป๊าน่ะหรือครับ”

“ใช่.. ตอนนี้ตกแต่งไปถึงไหนแล้วล่ะ” มกรคีบโอทาโร่ชิ้นใหญ่ให้น้อง

“หาช่างตกแต่งภายในอยู่ครับ ตัวโครงตึกไม่มีปัญหาเรียบร้อยหมดแล้ว เหลือแต่พวกตกแต่งภายใน”
ณัฐวีร์เล่าไปก็คีบอาหารทานไป.. ร้านของเขาถูกเวนคืนที่เพราะเจ้าของขายให้ผู้ซื้อรายใหม่เพื่อเอาไปทำคอมเพล็กซ์ ทำให้ต้องหาที่ตั้งร้านใหม่ และเมื่อไม่นานนี้เองที่พวกเขาได้ทำเลที่ทองหล่อ ตึกใหม่ที่ได้เป็นอาคารพาณิชย์ 5 ห้องติดกัน แบ่งด้านล่าง 4 ห้องทำเป็นร้านอาหาร ส่วนอีกห้องก็ทำเป็นล็อบบี้และที่ตั้งของลิฟต์ ด้านบนทำเป็นหอพักทั้งหมด โดยปิดชั้นบนสุดชั้น 5 ไว้เป็นที่พักส่วนตัวของครอบครัวเขา

ตอนนี้ก็หาช่างดำเนินการซ่อมบำรุง ตกแต่งภายใน และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 3 เดือนนี้ ซึ่งคงเป็นจังหวะพอดีกับเส้นตายของตึกทางโน้นให้ย้ายออก
และ...คงให้แม่ไก่ของนัทได้ทำความคุ้นเคยกับบ้านใหม่ ก่อนคลอดน้องตัวน้อยๆ ออกมา
ถูกแล้ว.. วันที่ณัฐวีร์กลับมาจากฮ่องกง เขาได้รู้ข่าวดีว่าณฐกากำลังตั้งท้องอ่อนๆ ทำให้เรื่องสงสัยที่ว่าทำไมช่วงนั้นแม่ไก่นอนเยอะและทานอาหารจุผิดปกติมีคำอธิบาย ป๊าดีใจมากเพราะไม่คิดว่าจะมีลูกอีก ทำให้ณัฐวีร์แซวจนป๊าอายหน้าแดงว่าไปทำอีท่าไหน อายุก็ปูนนี้แล้ว

จนถึงตอนนี้แม่ไก่ก็ท้องได้ 3 เดือนนิดๆ แล้ว เป็นเด็กน้อยหลงมาเกิดโดยแท้เพราะห่างกับณัฐวีร์ตั้ง 19 ปี ทั้งครอบครัวเห่อกันสุดๆ เลยทีเดียว

“แบบนี้ถ้าย้ายมาแล้วนัทก็จะเดินทางลำบากขึ้นสิ”

“ไม่เลยครับ” ณัฐวีร์ส่ายหน้า “รถไฟฟ้าชิลจะตาย”

“แล้วจากตึกจะออกไปรถไฟฟ้ายังไง”

“ก็มอเตอร์ไซค์”

“ไม่ดีหรอก เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาคงไม่คุ้ม”

“งั้นให้ป๊าไปส่ง”

“ให้พี่มารับดีที่สุด” มกรกับณัฐวีร์เอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน พอจบประโยคทั้งสองคนก็เลยมองกันตาปริบๆแล้วก็หัวเราะกันขึ้นมา

“กว่าพี่จะมาถึง พอดีป๊าไปส่งนัทถึงออฟฟิศแล้ว” ณัฐวีร์บอก

“เดี๋ยวพี่ซื้อคอนโดอยู่แถวนี้เลย ไม่ต้องห่วง” มกรเองก็เอ่ยอย่างมุ่งมั่นเช่นกัน “พรุ่งนี้ให้แอมเขาหาข้อมูลมาให้ แล้วนัทช่วยพี่เลือกด้วยนะ”

“จะเลือกยังไง นัทไม่ได้อยู่ด้วยสักหน่อย”

“ก็ไปอยู่กับพี่ก็ได้..” มกรตีเนียน
แต่ณัฐวีร์ไม่เล่นด้วย “เดี๋ยวแต่งงานแล้วจะพาแพรวไปอยู่ด้วยนะครับ”
ประโยคนั้นทำให้มกรก้มหน้าทันที “ใจร้ายจริง คนอะไรใจร้ายจริงๆ ดีแล้วที่แพรวไม่ได้ย้ายมาด้วย ย้ายไปอยู่ห่างมากๆ มากๆ เลยยิ่งดี”

“หูย..” ณัฐวีร์หัวเราะ “นัทก็เจอกับแพรวที่มหาลัยเหอะ..”

“เจ็บมากเลย” มกรหัวเราะแต่ยังไม่ยอมเงยหน้า..
เสียงหัวเราะของเขาถึงจะดัง แต่ดวงตานั้นกลับรื้นไปด้วยหยาดน้ำ.. มันเจ็บแบบนี้เอง..เจ็บจนจะกระอักเลือดออกมาอยู่แล้ว สุดท้ายชายหนุ่มก็ทนแรงกดดันนั้นไม่ไหว เขาจึงลุกขึ้นจากโต๊ะ

“พี่ไปเข้าห้องน้ำเดี๋ยวนึงนะ เดี๋ยวมา”

“ครับ..” ณัฐวีร์ตอบรับด้วยรอยยิ้ม
คล้อยหลังของมกร ณัฐวีร์เองก็วางตะเกียบลง เขารู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร เขารู้ว่ามันไม่ดีที่โกหกไป ..แต่จะให้ยอมรับความสัมพันธ์แบบนี้ง่ายๆ มันคงเป็นไปไม่ได้

ณัฐวีร์ถอนหายใจ มันหนักอกเวลาที่มองเห็นอีกฝ่ายเจ็บปวด มัน..หวั่นไหว คงต้องยอมรับอย่างนั้นว่าเขาหวั่นไหว เวลาเห็นสายตาเศร้าๆของอีกฝ่าย เขาไม่รู้หรอกว่ามกรคิดอย่างไร เพราะเขาไม่ให้พูด มกรก็ไม่เคยพูด แต่ด้วยท่าทางแล้วเขามั่นใจว่าฝ่ายนั้นมีความรู้สึกดีๆ ให้เขาแน่ๆ

ณัฐวีร์ถอนใจอีกรอบ มือยกมาเพื่อจะหยิบแก้วน้ำ แต่แล้วมันก็ปาดไปจนหกเลอะหมด

“เฮ้ย!” ณัฐวีร์อุทานด้วยความตกใจ ยิ่งเห็นโทรศัพท์ของมกรลืมวางไว้ก็ยิ่งตกใจหนัก เขาคว้าเอาโทรศัพท์นั้นขึ้นมาแล้วใช้ทิชชู่ซับน้ำออกทันที

ปุ่มโฮมถูกนิ้วสัมผัสทำให้ภาพหน้าจอที่เป็นวอลเปเปอร์เด้งขึ้นมา

“ภาพนี่..?” ณัฐวีร์อุทานด้วยความสงสัย
มันเป็นภาพของเขาเมื่อก่อนอุบัติเหตุ หน้าตายังเป็นลูกคนจีน ตาตี่ๆ หน้าซีดๆ ยิ้มแหยๆ อยู่เลย ส่วนอีกคน มกร..ก็หล่อคงเส้นคงวา อาจจะผมยาวกว่าตอนนี้ แต่มันคงเป็นภาพเมื่อก่อนอุบัติเหตุแน่ๆ

ณัฐวีร์เพ่งมองรูปภาพนั้น เขาอยากเห็น อยากเห็นว่าข้างในนี้มีอะไร แต่ก็จนใจเหลือเกิน เพราะเครื่องนี้จะเปิดก็ต่อเมื่อมีลายนิ้วมือของมกรมาวางทาบไว้เท่านั้น เหมือนเครื่องของเขาที่ใครก็เปิดออกไม่ได้ถ้าไม่ใช่เขาเป็นคนสแกนลายนิ้วมือให้

อ่า.. ความอยากรู้มันพุ่งขึ้นสูง ยิ่งได้เห็นหน้าจอโทรศัพท์แบบนี้ยิ่งทำให้ณัฐวีร์อยากรู้ว่าจะมีอีกกี่รูปที่พวกเขาเคยได้ถ่ายด้วยกัน..
แล้วเขาก็คิดได้ เขายกโทรศัพท์ขึ้นโทรเข้าหาเครื่องนี้ สายที่เรียกเข้ามีทั้งชื่อและรูปของเขา ซึ่งเป็นรูปเก่าก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุอีกรูป

“นัท..?” เสียงเรียกทำให้เจ้าของชื่อสะดุ้ง วางโทรศัพท์ตัวเองแล้วมองหน้ามกรทันที

“นี่รูปนัท”

“อ้อ..” มกรรับโทรศัพท์กลับมาพร้อมกับมองดูภาพที่เขาเซ็ทไว้ที่หน้าจอโทรศัพท์ ภาพคู่ที่อยู่ในโทรศัพท์เขาเอง ตอนนั้นพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน.. แสงของภาพจึงดูนวลตา ใบหน้าระเรื่อพร้อมรอยยิ้มตื่นๆของณัฐวีร์ทำให้มกรยิ้มตามเด็กหนุ่มในภาพทุกครั้งที่ได้มอง

“ทำไม..?”

“ทำไมเรามีรูปคู่กันน่ะเหรอ.. ก็เราเคยเจอกัน.. แต่นัทคงจำไม่ได้ นัทความจำเสื่อมไปช่วงนั้นพอดี ไม่เป็นไรหรอกมันไม่ได้สำคัญอะไร นัทลืมไปก็ดีแล้ว” มกรพูดพลางยิ้มให้อีกฝ่าย

“แต่นัทอยากรู้” ณัฐวีร์มองคนที่นั่งลงฝั่งตรงข้าม “ทำไมถึงตั้งรูปพวกนี้เอาไว้ มันเป็นรูปเก่าแล้ว รูปใหม่ๆที่เราถ่ายด้วยกันที่ฮ่องกงก็มี ทำไมต้องตั้งภาพพวกนี้”

“พี่..” มกรมองใบหน้าอีกฝ่าย “พี่ชอบรูปพวกนี้ ชอบความรู้สึกตอนนั้นที่พี่ถ่ายมันไว้”

“ความรู้สึกอะไร..” ณัฐวีร์ถามออกมาเหมือนละเมอ ดวงตาคู่นั้นไหวระริก.. นี่เขาหวั่นไหวอีกแล้วหรือ?

“ขอโทษ...เราอย่าพูดเรื่องนี้กันเลย” มกรไม่กล้าต่อตา เขาเบือนหน้าหลบเสียแล้วเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง สุดท้ายก็ไม่ยอมอธิบายอะไรออกมาอีกเลย

.
.
.
.
.


ในห้องที่ว่างเปล่า.. ค่อยๆ ถูกเติมเต็มด้วยความทรงจำใหม่ ทีละเล็กทีละน้อย
ความทรงจำสวยงาม ความทรงจำน่าเบื่อ ความทรงจำสนุกสนาน ความทรงจำที่น่าสงสัย
ณัฐวีร์นอนกระสับกระส่ายไปมา เหงื่อกาฬแตกพลั่กทั้งที่ห้องเปิดแอร์เย็นเฉียบ

อะไร.. ทำไม..
ภาพบ้านเมืองเคว้งคว้างหมุนเหวี่ยงไปมาจนไม่สามารถจับทิศทางได้ ไม่สามารถจำภาพใดได้อย่างแม่นยำ แล้วร่างของเขาก็กระแทกพื้นถนน ทันทีนั้นเขารู้สึกได้ว่ามีหยาดน้ำไหลหลั่งลงจากหลายที่ กายปวดจนด้านชา ก้อนอะไรบางอย่างดันในคอทะลักออกทางปาก กลิ่นมันคาวคลุ้งพอๆ กับสนิมที่เกาะอยู่ในอารมณ์ในจิตใจนี้มาช้านาน เด็กหนุ่มคายออกมาหวังว่าจะทำให้ร่างนี้รู้สึกดีขึ้น

แต่เปล่าเลย.. เขาเจ็บปวดหนักหน่วง..
ความรู้สึกสุดท้ายก่อนจะดับวูบไปคือใบหน้าร่ำน้ำตาของใครคนหนึ่ง... น้ำตาที่หยดลงต้องผิวแก้ม..

อะไร.. ทำไม..
สิ่งนั้น..เขาไม่เข้าใจ
แล้วร่างที่นอนกระสับกระส่ายก็ผวาพรวดลุกขึ้นหอบหายใจแรง เขากวาดตามองไปรอบห้อง แล้วก็พรูลมหายใจอย่างรู้สึกโล่งในอก..
ฝัน..

เขาอยู่บนเตียงนอน.. ที่บ้านของเขาเอง..
ไม่ใช่พื้นถนน..ที่เชียงใหม่นั่น





***


tbc.
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 25 [05.06.14]
เริ่มหัวข้อโดย: ormn ที่ 05-06-2014 12:35:19
 :mew4: :mew4: :mew4: :mew4:อ่านตามทันแล้ว :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 25 [05.06.14]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-06-2014 16:57:18
ทั้งสงสารทั้งสมน้ำหน้ากับมกร
หัวข้อ: Re: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 25 [05.06.14]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 05-06-2014 19:06:55
อึดอัดที่สุด
ถ้านัทยังไม่รู้ความจริง เรื่องของทั้งคู่คงเดินหน้าต่อไม่ได้
หัวข้อ: Re: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 25 [05.06.14]
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 05-06-2014 20:45:29
เป็นการชดใช้ที่สมควรแล้ว และยังต้องมีอีก
เราไม้ได้เกลียดแม้นศรีนะ แต่นิสัยอีตานี่ยังต้องปรับปรุงอีกมาก

อีกอย่างสถานะคะแนนติดลบ ยิ่งตอนความจำกลับมาคงลงเหวไปเลย
ตอนนี้ทนทำคะแนนให้เยอะที่สุดเถอะ
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 25 [05.06.14]
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 06-06-2014 14:41:35
รู้สึกสะเทือนใจ :(


ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 25 [05.06.14]
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 08-06-2014 00:22:40

แอบสงสารแม้นศรัีแล้วสิเรา  :mew5:
หัวข้อ: Re: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 26 [16.06.14] แม้นมาแว้วววววววว
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 16-06-2014 09:47:46
ตอนที่ 26







เช้านี้ณัฐวีร์รู้สึกมึนๆ อาจเพราะเขาไม่ได้นอนอีกเลยหลังจากสะดุ้งตื่นเมื่อคืน ทำให้พอมาถึงที่ทำงานเขาก็ถูกแอมร้องทักขึ้นทันที

“น้องนัทหน้าซีดจังค่ะ ไม่สบายหรือเปล่าคะ”

“สงสัยเมื่อคืนนอนไม่พอน่ะครับ..” ณัฐวีร์บอกแล้วเดินเข้าห้องทำงานเลย เข้าไปก็เห็นมกรนั่งอยู่ก่อนแล้ว ฝ่ายนั้นเงยหน้าขึ้นจากเอกสารในมือแล้วยิ้มให้ แต่ไม่นานก็กลายเป็นขมวดคิ้วเช่นเดียวกับแอม
“ไม่สบายหรือเปล่านัท”

“เปล่า..” ณัฐวีร์ตอบอย่างหงุดหงิด.. อารมณ์ตอนนี้พร้อมจะเหวี่ยงคนตรงหน้าเต็มที่ เพราะต้นเหตุของการนอนไม่หลับก็คือภาพในมือถือของมกรนั่นแหละ

“ทานข้าวเช้าหรือยัง” มกรลุกจากโต๊ะทำท่าจะเดินเข้ามาหา แต่ณัฐวีร์นั้นอารมณ์เกินเยียวยาแล้ว
เขายกมือขึ้นห้ามแล้วจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง “ไม่ต้องเข้ามาเลยครับ ผมจะทำงาน”
“นัท..?” มกรยังขยับ

“บอกว่าอย่ามายุ่งกับผม!” เสียงตวาดนั่นทำให้อีกฝ่ายชะงัก ใบหน้ามกรค่อยๆแดงขึ้นเรื่อยๆจนแดงก่ำไปถึงใบหู

“ได้ครับ..” เป็นคำตอบง่ายๆ ที่ทำให้คนฟังรู้สึกเสียใจที่ใช้น้ำเสียงแบบนั้นออกไป

มกรถอยกลับไปนั่งที่โต๊ะ ณัฐวีร์เริ่มเปิดคอมพิวเตอร์ของตัวเองแล้ว แต่สายตาที่มกรมองมานั้นกลับทำให้ณัฐวีร์รู้สึกหงุดหงิด อากาศมันกดดันเสียยิ่งกว่าตอนที่อีกฝ่ายอยากจะพูดด้วยเสียอีก

“ไม่มีงานหรือไงครับพี่แมน มองผมทำไม”

“ผม..ไม่ใช่ ‘นัท’ แล้วหรือ?” มกรเลิกคิ้ว

ส่วนณัฐวีร์พอได้ยินคำถามนั้นก็รู้สึกผิดขึ้นมาอีก..
อ่า นี่เขาหงุดหงิดจนพาลทั่วไปหมดแล้ว.. นายเป็นอะไร นายเคยเป็นคนฉลาดรู้จักเลือก รู้จักหาทางที่ดีให้กับตัวเองไม่ใช่หรือ ทำไมถึงได้ทำแบบนี้ล่ะ ทำไมถึงทำเรื่องน่าโมโหใส่คนอื่นแบบนี้
ความคิดนั้นทำให้ณัฐวีร์อ้าปากจะขอโทษ.. แต่ดูท่าจะไม่ทันแล้ว

มกรกวาดมือปัดเอาแก้วกาแฟตกจากโต๊ะอย่างหงุดหงิดเช่นกัน ดีที่ห้องเป็นพื้นพรม แก้วและจานรองนั้นจึงไม่แตก แต่น้ำกาแฟในแก้วก็กระจายไปทั่ว
ณัฐวีร์ได้แต่สะดุ้งเบิกตาโต.. แล้วทิ้งทุกอย่างให้ตกอยู่ในความเงียบงัน
ใบหน้าแดงก่ำของมกรไม่ได้หันมองมาทางณัฐวีร์ เขาเบือนหน้าหนีหลับตาแน่น มือที่ปัดแก้วกาแฟกำเกร็งจนขึ้นข้อขาว และถ้าจะสังเกตให้ดี...มือนั้นสั่นน้อยๆ

“พี่แมน..”
ณัฐวีร์เรียกแต่ไม่กล้าเดินเข้าไปหา เขายังคงยืนอยู่ที่เดิม รอให้เวลาผ่านไป รอให้อาการเกร็งของฝ่ายนั้นลดลงจนยอมคลายมือแล้วลืมตาขึ้นเอง

“พี่แมน..”
ณัฐวีร์จึงค่อยก้าวออกมาจากหลังโต๊ะของตัวเอง แต่อีกฝ่ายกลับเบี่ยงตัวลุกแล้วเดินออกไปจากห้องเสีย

“เดี๋ยวพี่ไปตามแม่บ้านมาเก็บเอง นัททำงานเถอะ” พูดจบเขาก็เดินออกจากห้องไป และกลายเป็นว่าณัฐวีร์ถูกทิ้งให้อยู่ในห้องเพียงลำพัง.. โดยที่ฝ่ายนั้นไม่กลับเข้ามาในห้องอีกเลยตลอดเช้า

ตามตารางการทำงานวันนี้ ช่วงบ่ายเป็นช่วงที่พวกเขาต้องออกไปหาลูกค้าพร้อมคุณมนธิชา แต่เพราะณัฐวีร์มีอาการไม่ดีมาตั้งแต่เช้า เขาจึงถูกให้อยู่โยงในสำนักงาน และที่ณัฐวีร์ไม่ได้ดึงดันจะไปด้วย ก็เพราะคนร่วมห้องหายหน้าไปตั้งแต่เช้าไม่กลับมาอีกเลย เด็กหนุ่มจึงคิดว่าเขาควรทิ้งระยะห่างเสียหน่อยก็คงจะดี

เรื่องเมื่อเช้า เขาคงทำเกินไปจริงๆ อาการบาดเจ็บทางสมองของเขาทำให้เขาใจเย็นน้อยลง.. และอาจจะพาลใส่อีกฝ่ายเกินไป ทั้งๆ ที่เรื่องมันก็เล็กน้อยนิดเดียว

“สวัสดีค่ะ”
เสียงเอ่ยทำให้คนที่อยู่ในห้องนั้นคนเดียวกะพริบตาสติหลุดออกจากภวังค์ เขามองคนที่เยี่ยมหน้าเข้ามาในห้องด้วยความรู้สึกไม่คุ้นเคย

“ครับ?”

“พี่กลอยนะคะเป็นเลขาคุณประคอง” เธอเดินส่งยิ้มเข้ามาหาทำให้ณัฐวีร์ลุกจากโต๊ะ

“มีอะไรให้ช่วยครับ”

“คือ..” คือพูดแล้วก็เมียงมอง “พี่มาเอาแฟ้มงานให้คุณประคองค่ะ”

“แฟ้มไหนครับ”
ด้วยความที่เขามีเอกสารอยู่กับตัวเยอะมาก อ่านบ้างไม่ได้อ่านบ้าง ก็เลยต้องหมุนตัวตามคุณเลขากลอยไปด้วย

“เอ.. แฟ้มของฝ่ายบัญชี เคสคุณพรรณี”
“อืม..” ณัฐวีร์หมุนรอบตัว เขาไม่คุ้นกับเคสนี้ น่าจะยังไม่ผ่านตา พอช่วยๆกันเดินหาก็พบว่ามันไปอยู่หลังโต๊ะมกร

“เจอแล้วค่ะ” กลอยร้องบอกแล้วหอบแฟ้มขึ้นมาถือเองทั้งหมด มันเป็นแฟ้มหนาๆรวมกัน 3 แฟ้ม ทำให้ณัฐวีร์จะยื่นมือเข้าช่วย แต่เธอกลับปฏิเสธเสียก่อน “ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวพี่กลอยถือไปเองได้ไม่ต้องห่วงค่ะ แค่นี้เล็กน้อย” แล้วเธอก็เดินก้าวออกไปอย่างกระฉับกระเฉง

ณัฐวีร์ยังเป็นกังวลจึงเดินตามออกไปดูด้วยความเป็นห่วง แต่พอออกไปโผล่หน้าดูก็เลยได้เห็นว่าเธอก็มีคนมาช่วยถืออยู่แล้ว

“อ้าว มีคนมาช่วยแล้วนี่นะ” เด็กหนุ่มพยักหน้ากับตัวเองแล้วกลับมานั่งโต๊ะตามเดิม..

เมื่อกี้คิดถึงไหนแล้วนะ..อ้อ ..เขาว่าเขาน่าจะต้องโทรไปขอโทษ..เมื่อเช้าเขาทำตัวไม่ดีไป อีกฝ่ายก็แค่ห่วงว่าเขาจะไม่สบาย อยากจะเดินมาดูอาการเท่านั้น แต่เขากลับไปตวาดเสียนี่ ทางนั้นจะโกรธก็คงไม่แปลก

แต่จะเริ่มขอโทษยังไงดีนะ.. ตอนทำผิดไม่ทันได้คิดวิธีขอโทษไว้ก่อนเสียด้วย
ณัฐวีร์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเปิดไลน์..จดๆ จ้องๆ จะพิมพ์ แต่ก็ไม่ได้พิมพ์ ไม่รู้จะพิมพ์ยังไง เขากดหน้าจอออกแล้วก็วางมือถือลงได้แต่นั่งถอนใจ

นี่เขา...หวั่นไหวอีกแล้วหรือไงนะ?
แต่แล้วเสียงโทรศัพท์เข้าก็ทำให้ณัฐวีร์สะดุ้งโหยง.. “ฉันกำลังขอร้อง..อ้อนวอนเธออย่าไป..”
กำลังคิดถึงก็โทรมาเลยทีเดียว

“ครับ..พี่แมน..”
เสียงปลายสายกุกกักเล็กน้อยเหมือนเจ้าตัวกำลังเดิน แล้วเขาก็ได้ยินเสียงเปิดปิดประตู ก่อนจะมีความเงียบเข้ามาแทนที่

“พี่แมน..” ณัฐวีร์เรียกอีกครั้งเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไปนาน “มีอะไรหรือเปล่าครับ ตอนนี้น่าจะต้องอยู่ในห้องประชุมนี่นา”

ณัฐวีร์ก้มดูเวลาแล้วก็ได้ยินอีกฝ่ายถอนหายใจ... เรื่องเมื่อเช้าคงเป็นประเด็นให้คนๆนี้โทรมาหาเขา เมื่อครู่เขาเองก็ไม่กล้าจะส่งไลน์ไปหา.. ต่างฝ่ายต่างอยากพูดคุยกันแต่ก็รู้สึกได้ว่ายังมีม่านบางๆ กั้นระหว่างกันอยู่..

ในเมื่อฝ่ายนั้นยอมโทรมาหาแล้ว ทำไมเขาจะต้องมาตั้งแง่อะไรอีกล่ะ ณัฐวีร์คิดพลางเอ่ยออกไป “พี่แมน.. ผม..เอ่อ..นัทรู้สึกไม่ดีกับเรื่องเมื่อเช้า..”
“พี่ขอโทษ..” มกรพูดแทรกขึ้นมาก่อน “พี่ขอโทษที่ทำให้นัทรู้สึกไม่ดี พี่คิดว่าเราใกล้กันมากขึ้นแล้ว แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เลยสินะ”

“เปล่าครับ คือ..นัทก็ไม่อะไรนะครับ นัทแค่นอนไม่หลับแล้วก็เลยมึนหัว กลัวจะเป็นไข้แล้วติดพี่น่ะครับ” ณัฐวีร์โกหกคำโตเลยทีเดียว.. เขารู้สึกผิดขึ้นมาอีกแล้ว ตัวเองเป็นคนทำเรื่องแท้ๆยังไม่ทันได้ขอโทษเลย นี่จะมาโกหกซ้ำไปอีก

“ยังไงพี่ก็ขอโทษด้วยแล้วกันที่ทำท่าทางแบบนั้นไป.. พี่กังวลจนนั่งเฉยอยู่ในห้องประชุมไม่ได้น่ะ นี่ขอออกมาเข้าห้องน้ำแล้วก็เลยมาคุยกับนัทด้วย.. ได้ขอโทษแล้วก็สบายใจล่ะ.. ถ้าไงเดี๋ยวพี่กลับไปประชุมต่อแล้วนะครับ”

“เดี๋ยวสิครับ..” ณัฐวีร์ลังเลนิดหน่อยก่อนจะตัดสินใจชวนอีกฝ่าย “เย็นนี้พี่แมนว่างไหมครับ ไปทานข้าวบ้านนัทไหม”

พอพูดจบณัฐวีร์ก็กลั้นใจรอคำตอบ แต่ปลายสายอึ้งเงียบไปจนเขาต้องเรียกอีกครั้ง “พี่แมน..?”

“ไปครับ..ไป!”

เสียงตื่นเต้นที่แทรกขึ้นมาทำให้ณัฐวีร์อดจะยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ “งั้นเจอกันตอนเย็นนะครับ”

พอวางสายกันไปแล้ว ณัฐวีร์ก็ถอนใจเฮือก ริมฝีปากที่ยิ้มบางๆ นั้นถูกมือที่สั่นนิดๆ ยกขึ้นแตะ..
เขากำลังยิ้มงั้นหรือ..ทำไมล่ะ?

ณัฐวีร์.. นายหวั่นไหวอีกแล้วสินะ..

.
.
.
.
.

รถยนต์ยุโรปคันใหญ่แล่นออกจากที่จอดรถของร้าน ณัฐวีร์ที่ยืนอยู่ด้านหน้ามองส่งจนรถแล่นออกไปไกล

“ไม่วางตาเลยนะเรา..” ณฐกาเอ่ยแซวลูกชาย “ตามไปส่งที่บ้านเลยไหมล่ะ”

“ไม่ล่ะครับ.. นัทอยู่ดูแลน้องดีกว่า” ว่าแล้วเจ้าตัวก็เดินเข้ามาประคองมารดาเข้าไปในบ้าน แม้จะโตแล้วและแม้จะเป็นผู้ชาย แต่ณัฐวีร์ก็ยังดูเป็นเด็กขี้อ้อนสำหรับแม่ไก่เสมอเลย
คุณณฐกาท้องอ่อนๆได้สามเดือนกว่าแล้ว แต่เพราะมีอายุ 43 ปี ทำให้เธอต้องระมัดระวังตัวพอสมควร จะลุกเดินไปไหนก็ต้องคอยมีคนอยู่เป็นเพื่อน เพราะการที่มารดามีอายุมากแล้วและอายุครรภ์ยังน้อย จึงมีสิทธิ์ที่เด็กจะหลุดออกง่ายมาก

พอได้นั่งแล้วณฐกาก็เอ่ยถาม “คิดยังไงพาพี่เขามาบ้าน”

“ก็ไม่คิดยังไงครับ นัทไม่พามาเขาก็เคยมาเองนี่นา” ณัฐวีร์ทรุดตัวลงนั่งที่ข้างๆกัน ก่อนจะมองดูคุณวีรชาติที่เดินถือสมุดปกหนังเข้ามาหา

“นี่ของแมนหรือเปล่า? เด็กไปเก็บโต๊ะแล้วเจอวางอยู่ที่เก้าอี้”

ณัฐวีร์หยิบมาพลิกไปมา “ใช่ครับ เดี๋ยวนัทเก็บไว้ให้พี่เขาเอง”
ยังพูดไม่ทันขาดคำ โทรศัพท์ในกางเกงก็ดังขึ้น

“นี่ไง โทรมาแล้ว” ณัฐวีร์ว่าด้วยใบหน้ายิ้มๆแล้วเจ้าตัวก็รับโทรศัพท์พลางหยิบสมุดนั่นเดินขึ้นไปบนบ้าน “ครับ..พี่แมน.. อื้อ อยู่..”

วีรชาติยืนมองหน้าภรรยาแล้วก็ทรุดตัวลงนั่งไม่ห่างไป..
“กังวลอีกแล้วหรือคะป๊า” ณฐกานั้นอายุห่างจากวีรชาติหลายปีอยู่ เธอจึงทั้งรักและเคารพสามีเป็นอย่างดี

“ก็น่ากังวล เมื่อกี้เด็กเอาสมุดมาให้ พี่ก็ไม่รู้ว่าเป็นของใครเลยเปิดๆ ดู.. ถึงได้เห็นว่าเป็นไดอารี่ที่แมนเขาเขียน”

เธอฟังแล้วก็ได้แต่ยกมือขึ้นบีบแขนสามีอย่างอยากให้คลายกังวลเรื่องลูกลงบ้าง “น่า ..นัทโตแล้วนะคะ ลูกคงเลือกในสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองแน่ๆ ป๊าไม่ต้องกังวลไปหรอก”

“เปล่าพี่ไม่ได้กังวลเรื่องนั้น.. แต่ในสมุดเมื่อกี้มันมีเขียนบอกไว้ว่าแมนมีลูกแล้ว..”

“เอ๊ะ?”  ข้อมูลที่ได้รับรู้นั้นทำให้คุณณฐกาทำตาโต “ไก่ไม่เคยรู้”

“แบบนี้พี่ว่ามันไม่ดีกับนัทเลยนะ ..สงสัยคุณมนคงปิดไว้ไม่อยากให้เรารู้กันหรอก.. ถ้ามีลูกมีเมียอยู่แล้วก็ไม่น่าจะต้องมาวุ่นวายกับลูกเรานะ เรื่องเป็นมายังไงเราคงต้องโทรไปถามทางนั้นล่ะ”

ณฐกาพยักหน้ารับแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทันที เรื่องนี้เธอก็ร้อนใจไม่ต่างกัน ถึงเธอจะถือหางและมีความเห็นใจมกรอยู่พอสมควร แต่ถ้ามาทำร้ายความรู้สึกลูกเธอ เธอก็ไม่มีทางเข้าข้างหรอก

หลังจากได้คุยโทรศัพท์กับคุณมนธิชา ..เรื่องของ ‘มะม่วง’ จึงถูกถ่ายทอดออกมา
“แมนเคยมีแฟนชื่อเกดค่ะ เมื่อก่อนนั้นเขาก็รักกันดี แต่ด้วยความที่ยังเด็กทั้งคู่ อายุเท่าๆ กัน เวลาคบหากันก็เลยใช้อารมณ์ พอเกิดปัญหามีปากเสียงกันก็เลยพลั้งมือ แมนเขาพลาดกระทบกระทั่งกัน ทำให้เกิดอุบัติเหตุจนเกดตกบันได แล้วเกดเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังมีน้อง สุดท้ายก็เลยแท้ง ช่วยเด็กไว้ไม่ทัน”
หลังจากวางสายคุณมนธิชา ณฐกาจึงสรุปความให้สามีฟัง

“อ้าว.. สรุปว่าเด็กไม่อยู่แล้ว”

“ใช่ค่ะ เด็กเสียไปแล้ว พี่มนเล่าว่าตอนเกิดเรื่องน่ะ พี่ชายของเกดตามไปเอาเรื่องถึงมหาวิทยาลัย เขาเลยต้องส่งแมนไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศ พอเรื่องซาถึงได้พากลับมา”

“แล้วเด็กนั่นไม่เอาความหรือ?”

“คงไม่ค่ะ พ่อของแมนเขาก็ช่วยไกล่เกลี่ยให้อยู่ เห็นว่าทางนี้ให้ค่าทำขวัญกับส่งให้เรียนจนจบเท่าที่เกดอยากจะเรียน โดยมีข้อแม้ว่าอย่ามายุ่งกันอีก”

“แล้วแบบนี้กับนัทจะเอายังไงดี” วีรชาติมองขึ้นไปด้านบน ลูกชายเขาหายไปแล้วอาจจะขึ้นไปคุยโทรศัพท์อยู่จนไม่สนใจสมุดเล่มนั้นแล้วก็ได้

“ก็ปล่อยเขาไปไหมคะ..” ถึงจะบอกแบบนั้นแต่เธอเองก็หนักใจ

ในมื้ออาหารเมื่อครู่ เธอเห็นเด็กสองคนคุยเล่นและหัวเราะให้กัน เธอเห็นดวงตามีความสุขของลูกชาย และเธอก็เห็นว่ามกรดูแลลูกชายเธอมากขึ้นกว่าแต่ก่อนที่มาบ้านนี้ มาทานอาหารด้วยกันที่นี่

เมื่อก่อน มกรจะคุยกับเธอเสียเป็นส่วนใหญ่ เขาเหมือนเด็กที่อยากได้รับความสนใจจากผู้ใหญ่ อยากได้รับความอบอุ่นจากแม่ อยากมีคนคอยแนะนำ

แต่พอมาตอนนี้ มกรเปลี่ยนไป เขาให้ความสนใจกับณัฐวีร์มากขึ้น เขาคุยกับลูกชายแม่ไก่มากกว่าคุยกับแม่ เขาตักอาหารให้ และยังเดินมาหยิบทิชชู่ที่หมดเองไม่ให้ณัฐวีร์เป็นคนลุกไปด้วย

เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้..คือสิ่งที่เธอสังเกต และตกลงใจว่าคงต้องปล่อยให้ณัฐวีร์ตัดสินใจด้วยตนเอง

“จะดีหรือ..” คุณวีรชาติยังเป็นกังวล ลูกชายคนเดียวของเขาเชียวนะ

“ต้องให้เขาตัดสินใจเองได้แล้วค่ะ เขาโตแล้ว เราสองคนเองก็มีเรื่องให้ต้องห่วงเยอะแล้วนะคะ เจ้านี่ไม่รู้จะออกมาเป็นยังไงเลย ป๊าอย่าไปเครียด” ณฐกาบอกพลางลูบท้องตนเองเบาๆ ดวงตาห่วงใยของวีรชาติจึงฉายแววอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย ขณะมองส่วนท้องที่นูนขึ้นของภรรยา

แต่มนุษย์เรานั้น.. ล้วนมีความดื้อดึงในตนเอง
ไม่ให้กังวล แต่ก็ยังอดกังวลไม่ได้
ยิ่งไม่ให้ทำอะไรก็เหมือนยิ่งยั่วยุให้จิตใจจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น
สมุดปกหนังเล่มนั้นร่วงหลุดจากมือ ณัฐวีร์พลาดเปิดอ่านทั้งที่มกรบอกไว้แล้วว่าอย่าเปิด แค่หน้าแรกเขาก็ไม่อยากจะอ่านอะไรต่อไปอีกแล้ว
มะม่วง ..เขาเพิ่งรู้ว่าฝ่ายนั้นมีลูกอยู่แล้ว..

.
.
.
.
.

เช้าวันถัดมา.. เป็นอีกวันที่ณัฐวีร์รู้สึกว่าตัวเองนอนไม่พอ วันนี้เขาอึนและหน่วงในอารมณ์ยิ่งกว่าเมื่อวานเสียอีก.. แต่เพราะประสบการณ์จากเมื่อวานทำให้เขารู้แล้วว่าต้องวางตัวอย่างไรเมื่อเข้าไปในห้องทำงาน

มกรมาถึงก่อนแล้ว ในมือมีนิตยสารธุรกิจ ด้านข้างเป็นอาหารเบาๆพร้อมกาแฟ พอณัฐวีร์เดินเข้าไปในห้อง ฝ่ายนั้นก็ลุกเดินมาหาถึงโต๊ะ

“นัททานอะไรมาหรือยัง..”

“ครับ..” เด็กหนุ่มตอบรับก่อนจะยื่นสมุดต้นเหตุที่ทำให้เขาไม่ได้นอนมาตลอดคืนให้เจ้าของ “นี่ครับสมุดพี่”

ส่งให้เสร็จเขาก็หันหลังให้ทันที เขาไม่ชอบคนโกหก แต่จะไปว่าทางนั้นโกหกก็ไม่ได้ เพราะเขาก็ไม่เคยถาม ไม่เคยรู้ ไม่เคยได้คุยกันเรื่องนี้มาก่อน ดังนั้น จะไปโทษทางนั้นก็ไม่ถูก

เรียกว่ามีแค่เรื่องปิดบังจะถูกต้องกว่า เขาเองก็มีเรื่องปิดบังเยอะแยะ อย่างเรื่องของแพรวนั่นไง..  ดังนั้นจะไปตีโพยตีพายเอากับมกรไม่ได้ ..แล้วอีกอย่าง.. มกรเป็นอะไรกับเขาล่ะ ต้องมาบอกเรื่องลูกเรื่องเมียให้เขารู้ด้วย

ใช่..มีลูก..ก็ต้องมีเมียแล้ว.. เด็กน่ะเดินออกมาจากอากาศไม่ได้หรอกนะ
ณัฐวีร์หลับตาลงอย่างหงุดหงิด อารมณ์คุกรุ่นตอนนี้ทำให้เขาตั้งคำถามกับตัวเอง นี่เขาคิดมาตลอดคืนก็ยังไม่ได้คำตอบเลย.. ความรู้สึกนี้มันคืออะไร ทำไมต้องมารู้สึกเรื่องพวกนี้..ถ้าเขาไม่ได้คิดอะไรกับอีกฝ่ายเลย จะมีลูกมีเมียก็ช่างปะไร

ช่างเถอะ..

“นัท... นัท?” มกรเอ่ยเรียกแต่อีกฝ่ายกลับนิ่ง คิ้วเข้มจึงขมวดมุ่น มือกรุ่นร้อนยื่นไปแตะไหล่บางที่สะดุ้งโหยงดึงให้หันกลับมาหา

พลันความเงียบงันก็เกิดขึ้นในห้องนั้นอีกครั้ง..
มกรปล่อยมือออกจากไหล่เล็กแล้วผละเดินออกไปที่ประตูห้อง
โดยปกติแล้ว ประตูนั้นจะเปิดไว้เสมอ เพราะบางทีแอม แม่บ้าน หรือกระทั่งคุณมนธิชาจะเดินเข้ามาหาเป็นประจำ แต่เหตุการณ์ตอนนี้ทำให้มกรตัดสินใจปิดประตูและล็อคมันเสีย

เขาเดินกลับมาที่โต๊ะของณัฐวีร์คราวนี้ไม่ใช่แค่ไหล่ที่เขาดึงกลับมา แต่เป็นเก้าอี้ที่น้องนั่งอยู่.. เขาหมุนมันให้กลับมาหาเขาทั้งตัวเลย

“นัท..” ชายหนุ่มโน้มตัวลงมาหา “นัทอ่านไดอารี่ไปถึงไหน”
คนถูกถามไม่ตอบได้แต่เบือนหน้าหนี ทำให้คนถามยิ่งร้อนใจ มกรทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าอยู่หน้าน้องแล้วจับใบหน้าอีกฝ่ายให้หันกลับมามองตรงที่เขา

ดวงตาที่หลุบต่ำของณัฐวีร์เห็นแขนอีกฝ่ายอย่างพร่ามัว เขาหลับตาลงและรับรู้ได้ถึงหยาดน้ำตาที่ค่อยๆหยดลงแก้มอย่างเชื่องช้า

“อย่าร้อง..ได้โปรดอย่าร้องไห้” เสียงมกรสั่นขณะพูดประโยคนั้น เขาใช้ปลายนิ้วปาดเอาน้ำตาออกจากแก้มขาว “อ่านไปถึงไหน บอกพี่ได้ไหม”

ณัฐวีร์ส่ายหน้าแล้วสะอื้นขึ้นมาทันที “ฮึก..”

ที่ร้องไห้เพราะเขาไม่เข้าใจตัวเอง เขาอึดอัดอยู่ในอกนี้ ทุกอย่างที่เก็บไว้มันปะปนกันมั่วไปหมด ทำไมถึงหวั่นไหวได้ขนาดนี้  ทำไมต้องเสียใจขนาดนี้ มันก็แค่..อีกฝ่ายมาทำดีด้วยในขณะมีเรื่องปิดบังเขาเท่านั้นเอง.. แค่มีลูก มีเมียอยู่แล้วเท่านั้นเอง..

ทำไมต้องมาหลอกกันด้วย?

เขามีแพรวเขายังบอกเลย.. แล้วแพรวก็ไม่ใช่แฟนเขาจริงๆ เสียหน่อย..
ยิ่งคิดณัฐวีร์ยิ่งสะอื้นหนักขึ้น.. สุดท้ายเขาก็ไม่ได้มีใครเลย ไม่มีแพรว และไม่มีกระทั่งมกร..

“นัท.. พี่ทำอะไรไม่ถูกแล้วนะ” ชายหนุ่มเองก็เสียงสั่นอย่างร้อนใจ เขาดึงร่างที่สั่นเทาเข้ามากอดแล้วลูบไหล่อีกฝ่ายอย่างปลอบโยน รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายยอมซบหน้าลงกับไหล่ของเขาและมือก็จับตรงบริเวณเอว ไม่ได้กอดเขา ..แต่ก็ยังดีที่ไม่ผลักเขาออก

พอผ่านไประยะหนึ่งเด็กหนุ่มก็คลายอาการลง เขาผงกหน้าขึ้นจากไหล่กว้างที่ชื้นน้ำตาทำให้อีกฝ่ายถอยตัวออกไปเพื่อจะได้มองกันให้ถนัดขึ้น

“อ่านแค่ไหน อยากรู้อะไรถามพี่ได้นะ” มกรยังพยายามอยู่

“นัท...” เสียงที่เอ่ยออกมาแหบพร่า “ไม่เป็นไร..”

“ไม่เป็นไรได้ยังไง ร้องไห้จนตาแดงไปหมดแล้ว..” ชายหนุ่มใช้มือทั้งสองข้างประคองหน้าอีกฝ่ายไว้ “ไม่บอกไม่เป็นไร พี่จะเล่าให้ฟังเอง.. มะม่วงเป็นลูกพี่..”

“ไม่อยากฟัง!” ณัฐวีร์ยกมือขึ้นดึงข้อมือหนานั่นผลักออก

“และเขาตายไปแล้ว”
ประโยคนั้นทำให้ณัฐวีร์หยุดมือที่พยายามผลักอีกฝ่ายทันที ดวงตาที่ชื้นน้ำตาเบิกกว้างและจ้องลึกเข้าไปในดวงตาที่ฉายความเจ็บปวดของมกร “ตาย..แล้ว”

“ใช่ ตายไปแล้วโดยที่เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโลกนี้เป็นยังไง..” มกรเล่าด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ดวงตาคู่นั้นยังคงจับจ้องณัฐวีร์เหมือนว่าจะสื่อสารความจริงใจ ความอึดอัดในอกนี้ให้อีกฝ่ายได้รับรู้ “แม่ของเขาโมโหพี่ ก็เลยกระโดดลงมาจากบันได แล้วก็แท้งตอนเขาได้แค่ 2 เดือน”

“ทำไม..” เด็กหนุ่มถามพร้อมมองจ้องลึกลงไปในแววตาเจ็บปวดนั้น

“เมื่อก่อนพี่เป็นคนไม่ดี เกเร แล้วก็ชอบเที่ยว ตอนที่มีมะม่วงพี่เพิ่งอยู่ปีหนึ่งเอง คืนนั้นพี่จะออกไปเที่ยวแต่แม่เขาไม่ยอม เราทะเลาะกันแต่ยังไงพี่ก็จะออกไป เขาเลยขู่ว่าจะโดดบันไดที่คอนโด พี่ก็ไม่สนใจคำขู่หรอก เดินจะออกประตูอยู่แล้วเขาก็โดดลงมา.. ตอนนั้นเรายังไม่รู้เลยว่ามีมะม่วง มารู้ที่โรงพยาบาลว่าเขาแท้งแล้ว” มกรเล่าเรื่องนั้นด้วยเสียงเจ็บปวดและแผ่วเบา เหมือนว่าถ้าพูดให้เบาเท่าไรเขาก็จะเจ็บน้อยลงเท่านั้น

การรื้อฟื้นความหลังทำให้เขาเห็นภาพร่างที่เปื้อนเลือดอีกครั้ง มกรปิดตาลงแล้วปล่อยมือออกจากหน้าของณัฐวีร์

“การเขียนไดอารี่ถึงมะม่วง เป็นขั้นตอนนึงของการบำบัด.. นอกจากยาแล้วหมอให้พี่เขียนระบายความรู้สึกตัวเองถึงใครสักคน พี่ไม่รู้จะเขียนหาใครก็เลยเขียนหาลูก.. มะม่วงนี่พี่ก็ตั้งชื่อให้เขาเอง แม่เขาไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนแล้วก็เลยยังไม่เคยได้ขออนุญาตแม่เขาเลย เราไม่ได้ติดต่อกันอีกนับจากเกิดเรื่อง ต่อให้พี่อยากรับผิดชอบเขา แต่เขาคงไม่อยากเห็นหน้าคนที่เป็นต้นเหตุฆ่าลูกเขาหรอกมั้ง” ยิ่งพูดมกรก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น ชายหนุ่มพิงหลังกับขอบโต๊ะทำงานของณัฐวีร์ เขาปล่อยมือจากใบหน้าของเด็กหนุ่มแล้วทิ้งแขนลงข้างตัว ไหล่กว้างลู่ลงเหมือนว่าเจ้าตัวจะไร้แรง “ถ้านัทไม่เข้าใจตรงไหน นัทถามพี่ก็ได้.. พี่อธิบายได้ทั้งหมดนั่นแหละ”

ณัฐวีร์มองอีกฝ่ายแล้วรู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ.. “นัทไม่ได้สงสัยอะไร นัทบังเอิญเห็นว่าพี่พูดถึงลูกเท่านั้นเอง ไม่ได้เปิดไปหน้าอื่น.. แค่ไม่เข้าใจว่า..เอ่อ..” เด็กหนุ่มอึกอัก ดวงตาแดงๆนั่นหลุบลงหลบตาอีกฝ่าย

“หือ?.. ไม่เข้าใจอะไร” มกรเห็นอาการแล้วก็ขมวดคิ้วอย่างสงสัย เขาชะโงกหน้าโน้มตัวลงพยายามจะมองช้อนขึ้นไปที่ดวงตาของอีกฝ่าย แต่เจ้าตัวก็หลีกเลี่ยงด้วยการหันหลบ ทำให้มกรต้องใช้มือตนเองประคองหน้าอีกฝ่ายให้หันมามองกันตรงๆ อีกที

ใบหน้าในอุ้งมือใหญ่นั้นแดงเรื่อ ตาของณัฐวีร์ปิดไม่ยอมลืม
“ไม่บอกพี่ก็จะนั่งอยู่แบบนี้แหละ”

“พี่แมนอ่ะ..” ณัฐวีร์ร้องประท้วงเอามือมาดึงข้อมือหนาออกจากหน้า “ก็แค่ไม่เข้าใจว่ามีลูกมีเมียอยู่แล้วจะมายุ่งกับนัททำไม”

พอประโยคนั้นจบลงมกรก็ยิ้มกว้าง “อ๋อ..แสดงว่าตอนนี้ไม่มีลูกไม่มีเมียแล้วนี่ยุ่งได้”

“มะ...”

ไม่ทัน.. จะปฏิเสธก็ไม่ทันแล้ว

ริมฝีปากอุ่นร้อนทาบลงมาปิดคำพูดให้ถูกกลืนหายลงไปในคอ เด็กหนุ่มไม่ทันได้ตั้งตัวจึงเพียงตัวแข็งไร้ทางต่อต้านการกระทำนั้น ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายบดเบียดหนักขึ้น สมองก็เหมือนจะสว่างโล่งว่าง พอปลายลิ้นอีกฝ่ายและเล็มในเชิงขออนุญาต เขาก็เลยเผลอเผยอปากขึ้นน้อยๆเป็นเพราะไม่ทันได้คิด ไม่ได้ตั้งใจ..

อาจจะว่าเขาซึนเดเระที่สุด ปากกับใจไม่ตรงกัน..

แต่ณัฐวีร์ก็บอกตัวเองว่า ทุกอย่างที่เขาทำไป..มันเกิดจากอีกฝ่ายรุกเร้า เรียกร้องอย่างเอาแต่ใจ และเขาไม่รู้จะหาทางหลบหลีกได้อย่างไร ได้แต่ปล่อยให้ปลายลิ้นอุ่นร้อนกวาดเอาความหวานล้ำในเนื้อหัวใจเขาให้เอ่อขึ้นจนล้นทะลักไปทั้งร่าง.. ถึงขนาดว่าหน่วงๆ ท้องน้อยกันเลยทีเดียว

“พี่..”

ช่วงจังหวะที่พอจะใช้ปากตะครุบอากาศได้ ณัฐวีร์ก็เลยพยายามจะเรียกอีกฝ่ายเพื่อเตือนสติ ทว่ามือแกร่งที่เลื่อนมาบังคับตรงท้ายทอยให้แหงนเงยขึ้นรับจูบหนักหน่วง ทำให้ณัฐวีร์ไม่สามารถพูดต่อได้อีก

จากวินาทีเป็นนาที..
จนกว่ามกรจะพอใจแล้วผละออกไป ร่างที่เล็กกว่าก็ใจเต้นจนหมดแรงต่อต้าน ได้แค่เอนกายอิงอกกว้างแบบไร้ทางขัดขืน

ตึก ตึก ตึก

เสียงอะไร.. ณัฐวีร์ได้แต่ถามตัวเอง แล้วก็เข้าใจเมื่อขยับซบหน้าให้แนบอกนั้นมากขึ้นแล้วพบว่าเสียงหัวใจอีกฝ่ายก็ดังไม่แพ้ใจของเขา ฟังแล้วเด็กหนุ่มก็ยิ้มบางๆ แอบดีใจลึกๆที่เสียงหัวใจเต้นครั้งนี้ของเขาทั้งคู่ไม่ได้ดังแตกต่างกันเลย

การขยับใบหน้าของณัฐวีร์ทำให้มกรรู้สึกอุ่นซ่านขึ้นในอก ชายหนุ่มสูดหายใจลึกแล้วโอบกอดร่างนั้นไว้ ก่อนจะก้มลงจูบศีรษะที่ไม่ยอมเงยนั้นเบาๆ ย้ำๆไปหลายๆครั้ง

“พอแล้ว..” ณัฐวีร์อุบอิบ เขารู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างกันมันชักจะหวานมากเกินไป เพราะมือไม้ทางนั้นเริ่มอยู่ไม่สุข เลื้อยลูบไปเรื่อย.. เจ้าตัวก็เลยดันอีกฝ่ายออกห่าง

“อ้าว.. นึกว่าชอบ..” มกรเอ่ยยิ้มๆ เมื่อเห็นใบหน้าของร่างเล็กกว่าแดงจัด

“หยุดเลย..ไหนบอกว่าจะไม่ทำอีกแล้วไง” คนโดนรังแกประท้วง

“โดนเด็กยั่วเลยหลวมตัวไปนิด” มกรทำท่ากระซิบบอก เลยโดนอีกฝ่ายเตะเข้าให้ที่ขา

“ใครยั่ว!”

“เอ้ย.. ถึงขั้นลงไม้ลงมือกันเลยเหรอ” ชายหนุ่มร้องแล้วรีบลุกหนี

“เปล่า..ลงหน้าแข้งต่างหาก ..ถ้าทำแบบไม่ขออีกคราวหน้าจะโดนหนักกว่านี้”

“ขอแล้วให้เปล่าล่ะ..” มกรขยิบตา

“ไปขอแฟนนัทโน่น!” เด็กหนุ่มหลุดปากออกมาแล้วก็สะดุ้งเอง เขาเหลือบมองสีหน้าคนที่ยืนอยู่ใกล้อย่างไม่มั่นใจ.. คราวก่อนแค่ปัดแก้วกาแฟ คราวนี้อาจฟาดหัวแตกหรือเปล่า?

แต่มกรเหมือนอึ้งไปนิดเดียว แล้วเจ้าตัวก็ยิ้มบางๆ “ไม่ขอล่ะ แอบๆ กิ๊กกันแบบนี้ดีกว่า ขอไปเดี๋ยวเขาไม่ให้”

พูดแล้วเจ้าตัวก็ถอยกลับไปที่โต๊ะตัวเอง..มกรพูดแบบนั้นและคิดแบบนั้นจริงๆ ..ตอนนี้ให้เป็นอะไรก็ได้ แค่ให้เขามีณัฐวีร์อยู่ข้างๆแบบนี้ไปตลอดก็พอแล้ว

ไม่ต้องเป็นเจ้าเข้าเจ้าของกันก็ได้.. ขออยู่แบบนี้ไป ดูแลแบบนี้ไปตลอดก็พอใจแล้ว










tbc
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 26 [16.06.14] แม้นมาแว้วววววววว
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 16-06-2014 09:49:19
ใครสงสารแม้นบ้างยกมือขึ้นนนน!!! 
#แต่เราไม่สงสารหรอก ชิ!  :katai5:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 26 [16.06.14] แม้นมาแว้วววววววว
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 16-06-2014 17:27:33
แมนมีความหวังเล็กๆแล้ว
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 26 [16.06.14] แม้นมาแว้วววววววว
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-06-2014 18:54:37
รอดูพฤติกรรมอีก
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 26 [16.06.14] แม้นมาแว้วววววววว
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 16-06-2014 20:18:41
รักษาพฤติกรรมให้ตลอดรอดฝั่งนะแม้น
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 26 [16.06.14] แม้นมาแว้วววววววว
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 16-06-2014 20:35:03
สงสารขึ้นมานิดๆ ตรงเขียนไดอารี่ถึงลูกนี่ล่ะ

นี่แปลว่าไม่มีใครจริงๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 26 [16.06.14] แม้นมาแว้วววววววว
เริ่มหัวข้อโดย: AMINOKOONG ที่ 16-06-2014 21:02:18
พอยิ่งมารู้ความหลังของไอแมนยิ่งอยาก  :z6: มันซ้ำอีกอ่ะ
จะว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเพราะป่วย เราคงไม่เชื่อ ทุสิ่งทุกอย่างเราว่า
มันเกิดขึ้นจากสันดารเลวๆของแม้นมันล้วนๆ อาการป่วยคงเป็นแค่สิ่งกระตุ้น
ให้มันเกิดขึ้นง่ายหรือรุนแรงกว่าปกติเท่านั้น หากคนมันจะมีจิตสำนึกอ่ะนะ
ไม่รู้สินะ สิ่งที่แมนเคยทำเลวระยำกับนัทเรามองว่ามันมากมายเหลือเกิน
จนไม่รู้จะบรรยายยังไงหมด ให้ถามว่ามันเคยทำดีอะไรกับนัทยังจะตอบง่ายซะกว่า
เพราะมีน้อยเหลือเกิน ยังอยากให้แมนมันชดใช้อีกเยอะแยะเลย อยากเห็นมันรับกรรมหนักๆ
แค่นี้ยังไม่พอ ไม่สาสมเลยนะ นัทอย่าเพิ่งใจอ่อนง่ายๆนะ เพราะแม้แต่ตอนนี้
คะแนนของแมนยังติดลบอีกเยอะยังต้องชดใช้และให้มันเจ็บปวดอีกนานเลยล่ะถึงจะทำใจให้อภัยได้
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 26 [16.06.14] แม้นมาแว้วววววววว
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 18-06-2014 23:53:35

ยกมือ....เลาเป็นคนใจอ่อน //ฝน ธนสุนทรมาเอง บอกเลออออ  :o8:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 26 [16.06.14] แม้นมาแว้วววววววว
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 19-06-2014 00:32:01
ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 26 [16.06.14] แม้นมาแว้วววววววว
เริ่มหัวข้อโดย: sincere13 ที่ 19-06-2014 17:09:25
พูดเลยเกลียดพี่แม้นกับแม่มน ไม่ใช่ไม่ชอบนะเกลียดเลย พี่แมนสันดานมากไม่ใช่โรคจิตทำดา มันกลายเป็นสันดานไปแล้วอะ มาซ่อนของๆน้องทำงี้เรามารู้ทีหลังจะจับเชือด  แม่มนก็ยัดเยียดๆๆ น้องอุส่าลืมไปแล้ว ถ้าน้องจำได้น้องอาจจะเกลียดกว่าเดิมแต่เราว่าไม่เพราะน้องเป็นคนใจอ่อน(ขัดใจ) ด้วยความอินคือไม่เห็นด้วยอะ ที่จะมาอะไรๆอย่างงี้ เราเชียร์แพรวว

อีกเรื่องคือพ่อเราชื่อวีรชาติแล้วเราก็ชื่อนัท พออ่านแล้วมันอินแปลกๆ :a6: :a6: :laugh3:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 27 [24.06.14] พี่แมนมาแล้วค๊าบบ
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 24-06-2014 09:24:50
ตอนที่ 27





SWP Group เป็นอีกหนึ่งกลุ่มบริษัทที่กำลังทำการแต่งตัวเพื่อเข้าสู่ตลาดหุ้น ซึ่งอีกเพียงอาทิตย์เดียวก็จะถึงเวลาที่หุ้นของบริษัทจะเปิดขายในตลาดหลักทรัพย์

ทว่า.. ข่าวที่พาดหัวอยู่ในหนังสือพิมพ์ธุรกิจทำให้มีการเรียกประชุมด่วนในเช้าวันหนึ่ง

“SWP Group ตกแต่งงบการเงิน”

ข่าวนี้ทำให้บริษัทสะเทือน เพราะอาจต้องถูกคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยสั่งแขวนการเข้าสู่ตลาด.. ก่อนจะดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งแน่ๆ และหากยังดันทุรังเข็นหุ้นเข้าไปขายก่อนจะแก้ข่าวให้เรียบร้อย ข่าวที่ออกมาตอนนี้อาจทำให้ราคาหุ้นร่วงหนักก็เป็นได้

ตอนนี้ สายโทรศัพท์ก็แทบไหม้แล้ว..เพราะมีคนบางกลุ่มจองและจ่ายซื้อหุ้นไปล่วงหน้าแล้ว ถ้าเข้าตลาดแล้วราคาหุ้นตกลง คนกลุ่มนี้มีสิทธิ์ฟ้องเรียกค่าเสียหายกับบริษัทได้
อีกอย่าง... SWP Group จะถูกลดความน่าเชื่อถือจากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือหรือเปล่าก็ยังเป็นที่น่าสงสัย การถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัทเอกชนซึ่งเป็นที่ยอมรับกันในนักลงทุนหมดความเชื่อถือในหุ้นของบริษัทไปเลย
จริงๆแล้ว เรื่องการตกแต่งงบการเงินนี้ได้เคยถูกตรวจสอบโดยผู้ตรวจสอบภายใน และผู้ตรวจสอบของตลาดหลักทรัพย์มาหนหนึ่งแล้ว และตอนช่วงที่ทำเรื่องการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ก็ได้ดำเนินการไต่สวนและตอบข้อซักถามแก่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือไปแล้ว

แต่เมื่อมีข่าวออกสู่สาธารณะในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ สิ่งที่ทุกคนจะต้องดำเนินการก็คือ ต้องหยุดข่าวเสียด้วยการตรวจสอบซ้ำอีกครั้งเพื่อยืนยันว่า งบการเงินของ SWP Group ไม่ได้มีการตกแต่งแต่อย่างใด
การเรียกประชุมผู้บริหารในวันนี้ ทุกฝ่ายที่เข้าร่วมต้องระดมสมองในการเตรียมตัวตอบคำถามที่จะมีมา และต้องดึงเอาหลักฐานทุกอย่างที่มีเตรียมไว้ให้เข้าตรวจสอบ
หากแต่..เอกสารสำคัญบางอย่างกลับหายไป

“แฟ้มของเคสพรรณีไม่อยู่งั้นหรือ?” มนธิชาถามอย่างหนักใจ
วันนี้ณัฐวีร์ไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วยเพราะเป็นการประชุมภายในเพื่อกำหนดทิศทางของบริษัท จึงไม่ควรให้เด็กที่เป็นแค่นักศึกษาฝึกงานเข้ามาร่วมรับฟัง แต่กับทายาทอย่างมกร.. เขาจำเป็นต้องเข้ามาด้วย

“ครับ..” มกรตอบรับ

เมื่อเช้าที่ถูกเรียกเข้าประชุม เขาได้รับมอบหมายให้นำแฟ้มเอกสารในเคสพรรณีมาด้วย แต่หาเท่าไรก็ไม่พบ พอณัฐวีร์มาถึงที่ทำงาน เขาถึงได้รู้ว่าขณะที่เขาไม่อยู่นั้นมีคนมาเอาแฟ้มไป

“แล้วแฟ้มหายไปไหน ฉันบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าห้ามให้แฟ้มนี้กับใคร มันเป็นแฟ้มที่ควรต้องอยู่ในห้องฉันด้วยซ้ำ” คุณมนธิชาขมวดคิ้ว ในเวลางานเธอไม่ใช่ “แม่” แต่เธอคือ “เจ้านาย”

“ครับ..” มกรรับทราบข้อห้ามนี้ แต่ณัฐวีร์ไม่ได้รับทราบด้วย เด็กหนุ่มเอาแฟ้มให้กับกลอยซึ่งเป็นเลขาของคุณประคองไป

มกรปรายตามองไปยังคุณประคองที่นั่งถัดไปจากมนธิชา.. ทว่าฝ่ายนั้นก็นิ่ง ไม่ตอบรับใดๆ ทำให้มกรทบทวนเรื่องราวที่ณัฐวีร์บอกให้ฟังอย่างสงสัย

“คุณกลอยมาเอาแฟ้มไปตอนพี่แมนไม่อยู่ครับ นัทเลยยกไปให้หมดเลยครับ..” ณัฐวีร์เล่า “มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

มกรยิ้มแล้วส่ายหน้า “ไม่มีอะไรหรอก พี่แค่ต้องเอาแฟ้มนั้นเข้าประชุมน่ะ เดี๋ยวพี่ไปประชุมกับคุณแม่ก่อนนะ นัทอยู่ที่นี่ไม่ต้องไปหรอก”

ฝ่ายนั้นพยักหน้ารับพร้อมกับยิ้มให้น้อยๆ และเป็นเขาเองที่อดไม่ได้ต้องขอกอดให้หายคิดถึงเสียหนึ่งครั้ง แรกๆการกอดกันแบบนี้ณัฐวีร์จะทำตัวแข็ง แต่หลังๆเจ้าตัวคงเริ่มชินแล้วเขาถึงสามารถกอดแล้วโยกร่างเล็กนั่นไปมาได้..

“แล้วแฟ้มมันไปไหน..”
เสียงคุณมนธิชาดึงมกรให้กลับมาสู่เรื่องราวในปัจจุบัน ดวงตาอ่อนโยนยามนึกถึงร่างในอ้อมแขนเมื่อเช้าแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างไปทันที

“ถามคุณประคองสิครับ คุณกลอยมาขอไปจากผม” เมื่อชายหนุ่มกล่าวอ้างเช่นนั้น เจ้าของชื่อก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที

“ไม่มีนะ.. ฉันไม่เคยให้กลอยไปเอาแฟ้ม” ประคองปฏิเสธด้วยสีหน้านิ่งเฉย

“ถ้างั้นคงต้องเรียกกลอยเข้ามาถามว่าเอาไปไหน..” มนธิชาสรุป

“วันนี้กลอยลาป่วย..” ประคองกล่าว “ถ้าบอกว่ากลอยเอามาให้ผม ช่วยหาหลักฐานมาด้วย อย่ากล่าวหากันลอยๆแบบนี้”

“ผมไม่ได้กล่าวหา!” มกรตวัดเสียง เขาเชื่อใจณัฐวีร์ เพราะเด็กคนนั้นไม่มีสาเหตุอะไรให้ต้องโกหก “แบบนั้นก็ดูกล้องวงจรปิดเอาก็ได้ว่ากลอยมาเอาไปจริงหรือไม่”

“ถ้ากลอยเอาไปจริง.. แล้วเอาหลักฐานอะไรมากล่าวหาผมว่าเขาเอามาให้ผม”

“หน้าห้องคุณก็มีวงจรปิด!” มกรลุกขึ้นชี้หน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงหัวผู้ใหญ่

“แมน!” คุณมนธิชาเรียกลูกชายไว้ทันที อย่างไรเสียประคองก็ถือว่าเป็นเสาหลักของกิจการเช่นกัน

ประคองเป็นผู้ช่วยบิดาเธอมาตั้งแต่เธอยังเรียนหนังสือ พอเธอเข้ามารับตำแหน่งแทนบิดา ประคองก็ยังช่วยพยุงเธอให้ทำงานได้อย่างดีมาตลอด สิ่งที่เธอจะต้องให้ลูกเรียนรู้ก็คือการให้เกียรติคนทำงาน และการให้ความนับถือ “มนุษย์” ด้วยกัน

มกรนั้นก็เหมือนเด็กหนุ่มทั่วไป เขามักใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง ยิ่งเมื่อรู้ว่าตนเองมีอำนาจอยู่ในมือ ยิ่งคิดว่าไม่ต้องฟังใคร ไม่ต้องแคร์ใคร เขายังต้องเติบโตขึ้นอีกเยอะ ยังต้องได้รับบทเรียนในการดำเนินธุรกิจอีกเยอะ
การจบการศึกษา..ไม่ใช่ชีวิตประสบความสำเร็จแล้ว ยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมากมายเลยทีเดียว

“ผม..” คุณประคองลุกขึ้นจากที่นั่งมองกวาดไปทั่วห้องประชุม ผู้บริหารหลายคนมีสีหน้าไม่ชอบใจที่เด็กจะมาข้ามหัวผู้ใหญ่แบบนี้ หลายคนเริ่มเข้าข้างเขาและมองมกรอย่างตำหนิ

“ผมยังยืนยันว่าผมไม่ได้เอาเอกสารไป.. จะดูกล้องวงจรปิด หรือจะไปค้นที่ห้องทำงานผมก็เชิญ.. ผมหวังดีกับบริษัทนี้มาตลอด ถ้าคิดจะล้มบริษัทนี้จริงๆ ผมทำไปนานแล้ว ไม่รอมาถึงวันนี้หรอก..” ประคองกล่าวเรียบๆแล้วมองตรงไปยังมกร “ผมขอตัวครับ”

คำประกาศนั้นทำให้มกรที่ทำหน้าถมึงทึงอยู่แล้วยิ่งขมวดมุ่นหนักกว่าเดิม.. คุณมนธิชาเองก็ไม่ต่างกัน
สายตาทุกคู่มองคุณประคองเดินออกจากห้องประชุมไป ในขณะที่คุณมนธิชาเอ่ยขอให้ผู้ร่วมประชุมลองคิดหาทางออกในเรื่องเอกสารดู เธอจะไปพักชั่วครู่ เมื่อลุกออกมา เธอก็ลากเอาลูกชายออกจากห้องประชุมกลับมาที่ห้องประธานบริษัทด้วย

“ทำไมต้องไปทำท่าทางแบบนั้นใส่คุณประคอง!”

“ก็มันให้เลขามาเอาไปแต่มันไม่ยอมรับ!”

เสียงเอ็ดตะโรของสองแม่ลูกดังลั่น ทำให้ณัฐวีร์ที่อยู่อีกห้องเดินออกมายืนอยู่หน้าโต๊ะเลขาแอม คนทั้งคู่มองหน้ากันอย่างทำอะไรไม่ถูก

“เขามาเอาไปจากแมนหรือไง”

“ใช่ มาเอาไปกับมือเลย!”

“แต่แม่เคยบอกแล้วว่าอย่าเอาเคสพรรณีให้ใคร!” คุณมนธิชาตวาด “แล้วก็เคยเตือนด้วยว่าอ่านเสร็จให้เอากลับมาคืน”

“รู้แล้ว..”

“รู้แล้วทำไมยังให้คนอื่นไป”

เสียงที่ดังออกมาทำให้ณัฐวีร์ก้าวขาเข้าไปในห้อง เมื่อเช้าตอนที่มกรถามหาแฟ้มเขาก็สงสัยอยู่แล้ว มาได้ยินสองแม่ลูกทะเลาะกันแบบนี้ก็ยิ่งชัดเจน.. ถ้าแฟ้มของเคสนั้นเขาเป็นคนยกไปให้กลอยเอง เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีข้อห้ามนี้

เขาเองต่างหากที่ผิด แต่ดูเหมือนว่ามกรจะไม่ยอมพูดว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นมาเพราะเขาเป็นตัวต้นเหตุ
ณัฐวีร์ตัดสินใจก้าวเข้าไปในห้องเพื่อจะบอกเรื่องนี้แก่คุณมนธิชา แต่พอพ้นประตูห้องเข้าไปเสียงเอ็ดอึงของคุณมนธิชาก็ดังขึ้นอีก

“มีอะไรให้สบายใจบ้างไหมแมน ทำไมชอบสร้างปัญหานัก!”

มกรยืนหันหลังให้ณัฐวีร์ ขณะที่คุณมนธิชาหันหน้ามาทางนี้ และทั้งคู่มีโต๊ะทำงานของคุณมนธิชากั้นกลางไว้ ณัฐวีร์ไม่เห็นสีหน้าของชายหนุ่ม แต่การถูกแม่ตนเองต่อว่าขนาดนี้เขาไม่คิดว่ามกรจะยิ้มระรื่นรับ

“ผม..มันก็ชอบสร้างปัญหาแบบนี้แหละ” ชายหนุ่มกัดฟันมือกำแน่นจนสั่นเทิ้ม
..เขามันเป็นตัวสร้างปัญหามาตั้งแต่เกิดอยู่แล้วนี่..

“แล้วปล่อยให้ผมสร้างปัญหาให้ทำไม..?!! ทำไมไม่ทำให้สำเร็จ.. ทำไมไม่ฆ่าผมให้สำเร็จ!!”
คุณมนธิชานิ่งอึ้งไปทันที เธอจ้องมองคนพูด หัวคิ้วขมวดมุ่น “อะไรของเธอ..”

“แม่ก็ไม่ได้อยากมีผมไว้ตั้งแต่ผมอยู่ในท้องอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง!!?”
มือกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน มันสั่นเทาจนคนมองอยู่ไกลๆยังสังเกตได้

“หมายความว่า..ยังไง” มารดาถามด้วยเสียงเบาสั่น..
อย่าให้เป็นอย่างที่เธอคิดเลย ได้โปรด..

แต่คำอธิษฐานกลับไร้เสียงตอบรับ.. มกรหัวเราะลั่น เขากวาดเอาของที่อยู่บนโต๊ะทำงานมนธิชาหล่นลงพื้นโครมใหญ่ กำปั้นทุบลงบนโต๊ะเสียงสนั่นหวั่นไหว
เป็นช่วงเวลาที่อึดอัดคับข้องใจและระเบิดออกมาราวกับตั้งเวลาทำลายล้างไว้แล้ว

“ก็คุณ..” ชายหนุ่มถลึงตามอง.. “คุณกินยาขับผม! แต่ไอ้มารหัวขนอย่างผมดันหัวแข็งไม่ยอมออก คุณก็เลยต้องทุลักทุเลหนีไปต่างประเทศ ไปคลอดผมที่โน่น.. คุณไม่ได้อยากให้ผมเกิดมา! แล้วทำไมไม่ฆ่าผมให้สำเร็จ ปล่อยให้ผมเกิดมาสร้างปัญหาให้คุณทำไม!! ทำไม!!?”

ความจริงที่ออกจากปากทำให้คนที่อยู่ในห้องนั้นช็อกไปตามๆกัน คุณมนธิชาถึงกับมือสั่นและต้องทรุดลงนั่งกับเก้าอี้ด้วยใบหน้าซีดเผือด

“ไป..ไปรู้มาจากไหน”

“เรื่องเล่าของคนใช้บ้านนี้มันสนุกจะตายจริงไหมล่ะ!..”

ณัฐวีร์กำมือแน่นด้วยความตกใจ ใบหน้าคมคายของมกรแค่นยิ้มอย่างหยันเหยียดก่อนจะส่งเสียงหัวเราะออกมา.. แต่คนฟังไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสนุกอย่างที่เจ้าตัวกำลังหงายหน้าหัวเราะอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง

“นิ่งไปทำไมล่ะ.. เรื่องสนุกของตระกูลเชียวนะ ไอ้เด็กที่ไม่อยากให้เกิด มันยืนอยู่ตรงนี้แล้วไง คุณไม่เคยต้องการผม ..ไม่เคยเห็นว่าผมมีตัวตนอยู่ตรงนี้ ไม่เคยคิดว่าผมเป็นลูกมาตั้งแต่ผมเกิดแล้วไม่ใช่หรือไง!!”

ใบหน้าซีดขาวของคุณมนธิชาส่ายช้า “ไม่..ไม่ใช่..ไปเชื่ออะไรกับเรื่องซุบซิบพวกนั้น”

“จะปฏิเสธหรือไง!?”

มกรยิ่งหัวเราะหนักขึ้น..ทว่าคนฟังกลับรู้สึกว่ามันคือเสียงกรีดร้องแห่งความเจ็บปวด เมื่อเจ้าตัวเปล่งเสียงหัวเราะลั่นจนน้ำตาไหลออกที่หางตาหล่นร่วงลงมาเป็นสาย “แม่..จะปฏิเสธสิ่งที่คุยกับตาคืนวันเผายายหรือไง”

“....แมน” คุณมนธิชาเรียกลูกชายด้วยเสียงอันสั่นเครือ

จำได้สิ ทำไมถึงจำไม่ได้ คืนนั้นเป็นคืนที่ฝนตกแรง และเป็นวันที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นมากมาย
เธอต้องเสียมารดาไปในเวลาเช้าตรู่ แพทย์ลงความเห็นว่าเป็นอาการหัวใจวายเฉียบพลัน.. ถ้ามีคนอยู่ด้วยก็อาจเรียกหมอได้ทัน แต่เหตุเพราะคนรับใช้ที่มีหน้าที่ดูแลทิ้งท่านให้นอนอยู่ลำพัง แล้วออกไปคุยกับแฟนที่เป็นวินมอเตอร์ไซค์ตรงรั้วบ้าน เมื่อกลับมาที่ห้องอีกครั้ง มารดาของเธอก็สิ้นใจเสียแล้ว

บิดาจึงไล่คนใช้ออก ทว่าก่อนจากเด็กรับใช้คนนั้นยังอาฆาตแค้น “มึงจำไว้! กูจะเอาเรื่องครอบครัวมึงไปแฉให้เขารู้กันให้ทั่ว คนรวยผู้ดีตีนแดงที่มันคิดจะฆ่าลูกฆ่าหลานมันเอง กับเมียกับแม่มันก็ไม่ดูแลออกไปทำงานทุกวัน ให้กูมาคอยเช็ดขี้เช็ดเยี่ยว”

หลายวันผ่านไปเธอวุ่นวายอยู่กับงานศพมารดา ส่วนมกรก็มีเพียงคนขับรถไปรับกลับจากโรงเรียน เธอไม่มีเวลาดูแลลูก ได้แต่ปล่อยให้ทำการบ้านเอง และออกไปวิ่งเล่นอยู่ในสวน ตอนนั้นอาจเปิดช่องให้ผู้หญิงคนนั้นก็เป็นได้

ที่แน่ๆ คือเมื่อจบงานเผาศพ บิดาก็เรียกเธอมาต่อว่า
“ถ้าเชื่อฉันเสีย แม่ของเธอก็จะไม่เป็นแบบนี้ เพราะต้องไปดูแลเธอ เพราะต้องไปดูแลไอ้เด็กนั่นที่ต่างประเทศ เมียของฉันถึงได้ป่วยแบบนี้!!”

เสียงเอ็ดอึงดังลั่นบ้าน มกรอาจมาได้ยินช่วงนั้น เธอจำได้ว่าเธอเสียใจและได้แต่นิ่งเงียบไม่โต้เถียงกลับ ปล่อยให้บิดาเป็นฝ่ายพูดอยู่คนเดียว

“กินยาฆ่ามันก็ไม่ตาย ไอ้เด็กหัวแข็ง! แล้วมันยังกลับมาวิ่งเล่นให้กูช้ำใจ เมียกูก็ต้องมาตายเพราะมัน ไอ้แมน!!”

“พ่อขา พอเถอะ” เธอสะอึกสะอื้น “แมนนอนอยู่ข้างบน ถ้าลงมาได้ยินเข้าจะไม่ดีนะคะพ่อ”

“ทำไม นี่มันบ้านกู! ไอ้มารหัวขน! เมียกูตายส่วนหนึ่งก็เพราะมึง ไอ้เด็กผี ทำไมมึงถึงดื้อด้านไม่ยอมตายไปตั้งแต่แม่มึงกินยาขับนั่นวะ!!”

“...ทำไมมึงดึงดื้อด้านไม่ยอมตายไปตั้งแต่แม่มึงกินยาขับนั่นวะ…” มกรเอ่ยทวนซ้ำประโยคที่ฝังติดอยู่ในความทรงจำ “พอเถอะค่ะพ่อ ไหนๆเขาก็เกิดมาแล้ว”

มกรหงายหน้าหัวเราะ น้ำตานั้นร่วงลงมาไม่ขาดสาย
“เกิดมาแล้วก็เลยต้องเลี้ยงมันไปสินะ..ไอ้เด็กผี ไอ้สารเลวไอ้มารหัวขน ไอ้แมน!!” ชายหนุ่มยกมือทุบเข้าที่หน้าอกตัวเอง “ทำไมกูไม่ตายไปให้รู้แล้วรู้รอด..ทำไม..”

ดวงตาเจ็บปวดของคุณมนธิชาเงยขึ้นสบกับดวงตาที่ปวดร้าวกว่าของมกร แล้วร่างกำยำของชายหนุ่มที่มีหัวใจปริแตกมาตั้งแต่อายุ 7 ขวบก็ผลุนผลันออกจากห้องนั้นไป

“พี่แมน..!”
ณัฐวีร์ละล้าละลังเขาทำตัวไม่ถูกเมื่อได้มารับรู้เรื่องราวต่างๆแบบนี้ เรื่องทุกอย่างมันถาโถมเข้ามาเหมือนคลื่นลูกใหญ่.. จนตอนนี้เขารู้สึกหายใจไม่ออก

ณัฐวีร์วิ่งออกไปมองคนที่กระหน่ำกดลิฟต์แล้วหันมามองคุณมนธิชาที่นั่งหน้าซีดเผือดและตัวสั่นอยู่ตรงโต๊ะ จะตามมกรไปเขาก็ยังห่วงทางนี้

“คุณแม่..” ณัฐวีร์เอ่ยเรียกทำให้มนธิชาได้สติ เธอเงยใบหน้าซีดขาวขึ้นมาบอกว่า

“ไป.. ตามลูกฉันไปที..” เสียงบอกเบาหวิวทำให้ณัฐวีร์รีบพยักหน้ารับ เขาวิ่งออกไปในจังหวะที่ลิฟต์เปิดออก

“พี่แอม ฝากคุณแม่ด้วย” เด็กหนุ่มยังตะโกนบอกมาก่อนจะเอื้อมมือไปกันประตูลิฟต์ที่กำลังจะปิดลง “รอนัทก่อน”

“ไม่!” มกรตวาดลั่นลิฟต์ ชายหนุ่มยกกำปั้นทุบปุ่มปิดลิฟต์เสียงดังแต่ณัฐวีร์ก็ไม่ฟังเช่นกัน เขาก้าวเข้ามาด้านในแล้วตรงเข้าไปยืนประจันหน้า

“ให้นัทไปด้วย!”

“ไม่!.. ไม่” มกรส่ายหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาแล้วยกกำปั้นขึ้นสูงในอากาศ
ณัฐวีร์มองมือนั้นด้วยดวงตาเบิกโต..แล้วประตูลิฟต์ก็ค่อยๆเลื่อนปิดกั้นสายตาคนนอกเสียสิ้น






***
tbc.



หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 27 [24.06.14] พี่แมนมาแล้วค๊าบบ
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 24-06-2014 09:37:44
บ้านอิพี่แม้นนี่มัน ประสาทแดร๊กเกินสามัญ
อิคุณตานี่มันเลวว่ะ โทษเละเทะไม่สนใจเลย หัวใจวายตายนะ ไม่ได้โดนฆาตกรรม

บั้นปลายไม่เหลือใครจะรู้สึก
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 27 [24.06.14] พี่แมนมาแล้วค๊าบบ
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-06-2014 11:55:02
เจ็บปวดทั้งเรื่อง
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 27 [24.06.14] พี่แมนมาแล้วค๊าบบ
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 24-06-2014 13:09:40
คนแต่งฝากบอกว่า ..อาการป่วยทางจิตเป็นกรรมพันธุ์นะคะ 

บ้าทั้งบ้าน!!! 555555


 :katai5:   :katai5:   :katai5:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 27 [24.06.14] พี่แมนมาแล้วค๊าบบ
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 24-06-2014 16:58:32
แปลกแท้ ทำไมความคิดแปลกๆกันจัง
ยายตาย ตาดันมาโทษลูกโทษหลาน
นายที่ตัวเองต้องดูแลตายเพราะตัวเองไม่รับผิดชอบ แทนที่จะสำนึกผิด ดันโกรธแค้นนาย

อ่านแล้วงง จำไม่ได้ว่าพ่อแมนเป็นใคร ทำไมแม่ต้องกินยาขับลูก ทำไม..... มีอีกหลายประเด็นที่ยังไม่เคลียร์
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 27 [24.06.14] พี่แมนมาแล้วค๊าบบ
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 24-06-2014 22:09:41

แม้นศรี  :o12: เศร้าอ่ะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 27 [24.06.14] พี่แมนมาแล้วค๊าบบ
เริ่มหัวข้อโดย: AMINOKOONG ที่ 25-06-2014 00:53:14
สมควรตายกันทั้งบ้าน เลวกันทั้งโคตรไม่มีดีซักคน
ไม่แปลกที่แมนมันจะได้เลือดชั่วๆมาจากปู่จากแม่
จริงๆแมนน่าจะไปอาการกำเริบกับปู่นะ คำพูดคำจาน่าต่อยปากมาก
ในเมื่อมันไม่เห็นเราเป็นหลานก็อย่าไปนับญาติกับมันไอสารเลว
ชักเริ่มสงสารแมนขึ้นมาแล้วนิดนึง
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 27 [24.06.14] พี่แมนมาแล้วค๊าบบ
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 25-06-2014 14:39:04
ทำไมแมนไม่อยู่กับพ่อนะ?? เมียตายแต่โทษหลานซะงั้น หึหึ


ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 28 [21.07.14] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 21-07-2014 10:23:23
ตอนที่ 28






มือที่สั่นเทา...
คุณมนธิชามองมือนั้น ขณะคิดย้อนถึงเรื่องราวเมื่อครั้งอดีตที่ผ่านมา
เรื่องมันเกิดขึ้นมา 20 กว่าปี.. หากแต่ก็ยังชัดเจนในความทรงจำของเธอเหลือเกิน
เสียงตวาดกร้าวของบิดา เสียงร้องไห้ของมารดา เสียงกร่นด่าของญาติ กับความนิ่งเฉยของสามี

พ่อของเธอเป็นคนหัวโบราณ เจ้ายศเจ้าอย่างและระเบียบจัดเสมอ ท่านไม่เคยคาดการณ์ธุรกิจผิดพลาด ไม่เคยเจรจาแล้วไม่ได้ผลลัพธ์ที่ท่านพึงใจ ไม่เคยเสียเหลี่ยมใคร ..แต่มีเรื่องของเธอเท่านั้นที่เป็นประวัติเสียในชีวิตท่าน ลูกสาวที่ท้องก่อนแต่งจนต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศเพื่อคลอดเอาหลานที่ท่านไม่ต้องการออกมา

พ่อเป็นลูกคุณครูหัวเมืองที่มีฐานะยากจน หากก็เคร่งครัดในระเบียบมาก พอได้เข้าเมืองมาศึกษา พ่อก็มาพบกับแม่ของคุณมนธิชา
แม่เป็นลูกคหบดีมีคนดูแลอย่างดี ครอบครัวของแม่มีคนนับหน้าถือตามาก และเป็นที่รู้จักดีในวงสังคม เมื่อแม่มาพบรักกับพ่อ พ่อจึงต้องพยายามอย่างยิ่งที่จะพิสูจน์ตนเอง พ่อทำงานหนักเสมอ มีเวลาให้ครอบครัวน้อยแต่เพราะแม่เป็นช้างเท้าหลังที่ดี เป็นผู้หญิงเรียบร้อย อ่อนหวาน และรักครอบครัวมาก ทั้งคู่จึงฝ่าฟันและพิสูจน์ให้ครอบครัว ญาติพี่น้องฝ่ายแม่คุณมนธิชาได้เห็นว่าทั้งคู่เหมาะสมและคู่ควรกัน

หากแต่เพราะมรสุมในเรื่องของคุณมนธิชา พ่อจึงได้รับคำตำหนิอีกครั้ง ส่วนแม่ก็มีอาการคิดมากจนป่วยเรื้อรังและสุดท้ายก็จากไปด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน
สำหรับ..คุณลักษณ์..สามีของคุณมนธิชา
คิดมาถึงตรงนี้แล้วก็ได้แต่ปวดหัวใจ เธอไม่เข้าใจเขา ตอนที่เริ่มรักกันเขาดูแลเธอดีมาก สามปีที่คบหากันเขาไม่เคยล่วงเกินเธอ จนกระทั่งคืนนั้นที่เชียงใหม่..ด้วยบรรยากาศและความรักที่สุกงอม เธอยินดีมอบกายให้เขา..เพราะคืนนั้นเขาบอกว่าเขากำลังจะเรียนจบ และเมื่อจบเขาจะไปสู่ขอเธอ..ซึ่งมันก็แค่อีกเพียงครึ่งปีเท่านั้น

แต่เป็นครึ่งปีที่ทำให้ชีวิตเธอพลิกผันอย่างไม่น่าเชื่อ..
ใช่แล้ว...เธอท้องได้สามเดือน
ตอนรู้ว่าเธอท้องเขาดีใจมาก กระโดดไปรอบๆ ตัวเธอ กอดเธออย่างทะนุถนอม.. เธอและเขาตัดสินใจจดทะเบียนสมรสกัน เขากำลังสอบในชั้นเรียนสุดท้ายเพื่ออกมารับราชการ ส่วนเธอก็บรรลุนิติภาวะแล้ว.. ตอนจดทะเบียนกันเขายิ้มให้เธอด้วยความยินดี เขาสัญญาว่าจะดูแลเธอกับลูก

แต่เมื่อพ่อเธอรู้เรื่อง...บ้านแตกสาแหรกขาดจึงเป็นคำพิพากษาที่พ่อหยิบยื่นให้เธอ..
เธอถูกส่งไปอยู่กับญาติที่ฮ่องกง..แล้วต่อไปอเมริกาทันที ตอนที่เขาไปส่งเธอออกนอกประเทศเขาบอกจะตามเธอไปในเร็ววัน.. เพราะเขาเหลือสอบตัวสุดท้ายอีกตัวเดียว เขาสัญญาเป็นมั่นเหมาะ

แต่แล้ว.. เขาก็ไม่ยอมตามเธอไป แรกๆ เธอพยายามติดต่อเขา แต่เขาไม่ได้รับสาย บอกแค่ว่างานยุ่ง ต้องไปประจำการในต่างจังหวัดติดต่อลำบาก เธอก็เข้าใจเขา
หากพอเธอกลับมาพร้อมลูก เขาก็ไม่เคยมาดูแลใยดี ตอนนี้เองที่เธอไม่เข้าใจเขา เธอร้องไห้ทุกคืน คิดถึงเขา น้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา ถึงเธอจะเรียนจบกลับมาแล้ว แต่บิดาก็ยังไม่ยอมรับเธอ มารดาก็มาล้มป่วย..แล้วนี่เธอยังขาดที่ปรึกษาทางใจอีก.. ทว่า ชีวิตต้องเดินต่อ เธอยืนหยัดด้วยตัวเธอเอง งานคือสิ่งที่เธอยึดมั่นเพื่อจะทำให้บิดาภูมิใจในตัวเธออีกครั้ง เธอเคยพลาด แต่จะไม่ยอมพลาดซ้ำ

จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี เธอทำงานจนเป็นนักธุรกิจสาวที่มีชื่อเสียง.. แต่สุดท้ายครอบครัวกลับพังพินาศ บิดาป่วยต้องหยุดบริหารงานมาอยู่กับบ้าน วางมือจากบริษัทเพื่อให้เธอดูแล ลูกชายก็มีปัญหาไม่เว้นแต่ละวัน ส่วนลักษณ์..เธอได้ยินข่าวเขาจากเพื่อนบ้าง คนรู้จักบ้าง แต่ก็เท่านั้น ..นานๆ เจอกันที ได้ทานอาหารร่วมโต๊ะพ่อแม่ลูก.. นานมาก..ที่หัวใจเธอเจ็บจนชา
เพราะเหตุใดเธอไม่รู้.. ทำไมเขาถึงเปลี่ยนไปแบบนั้น เขาเปลี่ยนเพราะต้องห่างเหินกัน เธออยู่ต่างประเทศเขาอยู่ทางนี้หรือเปล่า?

ไม่น่าจะใช่ เธอกับเขาคบกันมาสามปีก่อนที่จะมีมกร เขาเป็นนักเรียนนายร้อย และได้พบเธอในงานเลี้ยงสังสรรค์ ตอนนั้นเธอไปกับคุณแม่ และเป็นงานแรกนับจากเริ่มเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย เธอกับเขามีความรักทางไกล ได้แต่ส่งจดหมายคุยกันเป็นส่วนใหญ่ บางครั้งใช้โทรศัพท์บ้างมาตลอดสามปี

ดังนั้น.. ไม่ใช่เพราะห่างกันแน่ๆ หรือจะเป็นสาเหตุเดียวกันกับเรื่องของแมน? หรือเพราะเขาได้ยินว่าเธอ...พยายามทำร้ายลูก
คุณมนธิชาปิดตาลง น้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่น
น้ำตานี้ทำให้เธอคิดถึงน้ำตาในคืนนั้นอีกครั้ง

คืนนั้น..เธอร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดมารดา ยาเม็ดที่มีผลทำให้มดลูกบีบตัวเพื่อขับเด็กตกเกลื่อนไปทั่ว ขณะที่บิดาอาละวาดพังข้าวของในห้องนอนของเธออย่างบ้าคลั่ง
เหตุผลเดียวที่พ่อทำลายทุกอย่างรอบตัวเธอ ก็เพราะเธอไม่ยอมกินยาขับ.. ยาพวกนั้น..พ่อหามาและพยายามบังคับให้เธอกิน พอเธอปฏิเสธ พ่อก็พยายามจะกรอกปากเธอแต่เพราะแม่มาช่วยไว้ เธอจึงรอดพ้นจากการถูกบังคับนั้นมาได้..
มันไม่ใช่ความตั้งใจของเธอ..
ที่เธอถูกส่งเข้าโรงพยาบาล เพราะเธอแค่ช็อกหมดสติไปเท่านั้น เธอไม่ได้กลืนยาแม้แต่เม็ดเดียว!
โธ่..แมน.. เพราะแบบนี้หรือ ลูกถึงได้ต่อต้านในทุกสิ่งที่แม่ทำให้..
คุณลักษณ์.. หรือจะเพราะเรื่องนี้ ..คุณถึงทิ้งพวกเราไป
แม่ขา..มนจะทำอย่างไรดี..
เธอสะอื้นออกมาเบาๆ

ทุกอย่างมันผิดพลาดเพราะเธอ เพราะสิ่งที่เธอพยายามปิดบัง พยายามจะลืมมัน พยายามจะไม่พูดถึงมันอีก เธอรับไม่ได้ที่พ่อของเธอพยายามจะฆ่าลูกในท้องของเธอ.. เธอไม่กล้ากล่าวโทษบิดา เพราะความผิดส่วนหนึ่งก็เป็นของเธอเอง.. เธอจึงพยายามลืมมันเสีย..ไม่พูดถึงมัน ..เธอเพิ่งรู้ว่า..การพยายามลืมมันก็แค่ปัญหาที่ซุกไว้ใต้พรมเท่านั้น..
เมื่อเปิดผืนพรมสวยหรูขึ้น..ขยะที่เก็บไว้ก็ปลิวว่อน สร้างความลำบากให้อยู่ดี
มนธิชาลืมตาขึ้นก่อนจะหยิบโทรศัพท์มากดหาเบอร์.. ต่อจากนี้เธอจะไม่ยอมให้ทิฐิมาทำร้ายชีวิตเธออีก เรื่องของลูกต้องรีบป้องกันไว้ก่อน.. แมนออกไปแบบนี้อาจเกิดอุบัติเหตุก็ได้..
เธอกดโทรศัพท์โทรออก รอสายไม่นานทางปลายสายก็รับ

“คุณลักษณ์ ขอคุยด้วยสักหน่อย มีเวลาไหมคะ”















***
กำปั้นที่เงื้อขึ้นสูงสั่นระริก ใบหน้าของคนตัวเล็กกว่าผินกลับมามองเขม็งยังใบหน้าของคนตัวสูงกว่า ดวงตาของณัฐวีร์แข็งกร้าวขณะมองตอบดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตานั่น

“หยุดทำตัวเป็นเด็กเสียทีพี่แมน!” ณัฐวีร์เองก็เริ่มจะหมดความอดทนแล้วสินะ “พี่จะทำอะไรนัท!!”
เด็กหนุ่มตวาดแล้วยกมือขึ้นปัดมืออีกฝ่าย

....จะกลับมาเป็นเช่นเดิม..ยอมไหม..?

มกรส่งสายตาเจ็บปวดมาที่คนตัวเล็กกว่าแล้วค่อยๆ ลดมือตัวเองลงมาปาดน้ำตาที่หน้าอย่างหมดท่า ร่างสูงใหญ่เอนพิงผนังลิฟต์ ละสายตาจากณัฐวีร์เสีย

เขา..ไม่เคยคิดจะพูดเรื่องนี้ออกมาอีก กับนายแพทย์ที่รักษาก็ไม่เคยพูดถึงประเด็นนี้.. เขาอยากจะลืม อยากจะคิดว่าเรื่องที่พูดออกไปวันนี้เป็นเรื่องในละคร ไม่เคยเกิดขึ้นจริงกับตัวเอง..

แต่สุดท้ายเขาก็ต้องยอมรับ..ว่ามันมีอยู่จริง.. มันคือชีวิตเขาจริงๆ ก็เหมือนกับความผิดต่อณัฐวีร์ ความผิดที่เขาเคยทำร้ายน้องนั่นแหละ.. มันไม่เคยเลือนไปจากความทรงจำเลย..
ทั้งที่บอกตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่ทำร้ายน้องอีก หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็จะไม่โกรธ ไม่ก้าวร้าวใส่ แต่เมื่อครู่..เขาก็เกือบจะทำร้ายณัฐวีร์ไปแล้ว
ชายหนุ่มหลับตาและรู้สึกได้ถึงหยาดน้ำตาที่ไหลลงผ่านแก้ม.. เสียใจ เขาเสียใจ.. เลวจริงๆ เขามันเลวจนไม่น่าเกิดมา..
ถ้าแม่กินยามากพอเขาคงไม่ต้องมายืนอยู่ตรงนี้
ชายหนุ่มสะอื้นแล้วยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเอง..เมื่อไหร่ชีวิตมันจะจบๆ ไปเสียที..

ณัฐวีร์ถอนหายใจเพื่อระบายความโกรธที่พุ่งขึ้น เขาปิดตาระงับอารมณ์ตัวเอง พอรู้สึกว่าจะควบคุมมันได้แล้วก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ลิฟต์ลงมาถึงชั้นที่เป็นลานจอดรถ
ประตูลิฟต์เปิดออก แต่คนตัวสูงไม่ยอมขยับ มกรยืนมองมือตัวเองด้วยความรู้สึกผิดอยู่แบบนั้น จนเมื่อณัฐวีร์คว้ามือนั่นมาจับ เจ้าตัวถึงยอมเงยหน้าขึ้น

“ไปครับ คงไม่อยากขึ้นไปอีกหนใช่ไหมล่ะ”
ชายหนุ่มเดินตามแรงฉุดจนออกมาพ้นลิฟต์ พอถูกถามถึงที่จอดรถถึงได้เปลี่ยนตำแหน่งตัวเองเป็นคนเดินนำ กระทั่งถึงบีเอ็มคันดำประจำตัว ณัฐวีร์จึงเอ่ยขึ้น

“เอากุญแจมาครับ..” เด็กหนุ่มแบมือ “อารมณ์แบบนี้ไม่ให้พี่ขับแน่ๆ”

“...” มกรลังเล เขาล้วงหยิบกุญแจรถออกมาแต่ยังไม่ให้ณัฐวีร์ ชายหนุ่มมองกุญแจในมือ แล้วจึงมองไปยังอีกฝ่ายแล้วส่ายหน้า

“นัทไม่ต้อง พี่จะกลับไปคนเดียว”
คิ้วณัฐวีร์ขมวดมุ่น ใบหน้านั้นมีคำถามเต็มเปี่ยมว่า ..ทำไม?

มกรหลบสายตา เขานิ่ง..อีกฝ่ายก็นิ่งรอคำตอบเช่นกัน..
ช่วงเวลาอึดอัดนั้นทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจพรู.. ก่อนจะเงยหน้ามองเพดานลานจอดรถด้วยดวงตาแดงก่ำ..และน้ำตาที่ไหลลงจากหางตา

“อย่า..อย่าไปที่นั่นเลย..คอนโดพี่..มันไม่..” มกรปล่อยลมหายใจออกมาอีกครั้ง “มันไม่..ดี ไม่อยากให้นัทต้อง..ไปที่นั่น”
ณัฐวีร์ยกมือสองข้างของตัวเองขึ้นประคองหน้าอีกฝ่ายแล้วดึงลงมาให้สบตากัน

“นัทจะไป! เอากุญแจมานี่เดี๋ยวนัทขับเอง”
แล้วเด็กหนุ่มก็คว้าเอากุญแจมาจากมือเจ้าของรถเปิดประตูดันให้อีกฝ่ายเข้าไปนั่ง ก่อนที่ตัวเองจะเดินไปเปิดประตูแล้วขับรถออกสู่ถนนใหญ่ทันที









tbc

======

สวัสดีมิตรรักแฟนแม้น(?)นะคะ  :mew1:

จะมีใครคิดถึงแม้นกันบ้างรึเปล่าน๊อออออ #ไม่มี๊ #เสียตะโกนมาแต่ไกล 555555

ในตอนนี้คงทราบกันว่าทำไมแม้นและครอบครัวถึงเป็นแบบนี้.. น่าสงสารนะ ทุกคนต่างก็มีปมกันหมด  #ปาดน้ำตาให้แม้น :hao5:


บอกเล่าจากคนแต่งค่ะ :
พี่มอสฝากบอกว่า ตอนนี้มาสั้นหน่อย เพราะช่วงนี้งานเข้าอย่างแรงค่ะ แล้วประมาณเกือบๆสิ้นเดือน จะมาต่อแบบยาวๆนะคะ 
ยังไงอย่าเพิ่งลืมกันนะคะ สัญญาว่าจะมาต่อให้จบจ้าาาาา  :katai4:  :katai4:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 28 [21.07.14] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Alone Alone ที่ 21-07-2014 10:52:13
ผิดที่มีตาแบบนี้สินะ เฮ้อ สงสารพี่แมนอ่ะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 28 [21.07.14] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 21-07-2014 15:16:27
แต่ละคน ก็มีปมคนละอย่า เมื่อไหร่จะคลี่คลายไปในทางที่ดีนะ
 :ling2: :ling2: :ling2: :ling2: :ling2:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 28 [21.07.14] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-07-2014 21:20:45
ผิด!!! เอาอะไรตัดสิน
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 28 [21.07.14] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 22-07-2014 00:45:24
รอ!!!! อยากอ่านอีกอ่ะ.............
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 28 [21.07.14] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 22-07-2014 00:47:31
 :katai2-1: :mew1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 28 [21.07.14] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: Fellina ที่ 22-07-2014 00:58:33
อ่านตอนนี้จบให้ความรู้สึกนัทเข้มเเข็งกว่าพี่แมนอีก
อยากให้มีความสุขกันไวๆ.
อดจิ้นไม่ได้ว่าให้นัทกดพี่แมนคืน55
เพิ่งอ่านมังงะที่รุกเตี้ยกว่าน่ารักกว่ารับมา
โคตรฟินเลยอ่าาาาา
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 28 [21.07.14] P.11
เริ่มหัวข้อโดย: jinjin283 ที่ 22-07-2014 07:18:31
ดราม่ามากๆเลยคะ แมนศรีวัยเด็กช่างมีปมอะ แต่ก็ชดเชยกับเรื่องที่ทำไม่ดีกับน้องไม่ได้นะคะ ไปห้องพี่แมนแบบนี้น้องจะนึกอะไรออกไหมนะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพเดท ตอนที่ 29 จ้า
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 23-07-2014 14:39:55
เมื่อเช้าคุณมอส เอา image พี่แม้นกะน้องนัท มาฝากทุกคนค่ะ 
ฝีมือภาพจากคุณน้องnidting เจ้าเก่าค่ะ #ไม่ผิดหวังจริงๆ >,<

พี่แม้นหล่อข่ะ เราจะเปลี่ยนฝั่งละนะ 5555555  :hao7:


 (http://upic.me/i/ms/2photo1.jpg) (http://upic.me/show/52007859)
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) image พี่แม้นกับน้องนัท [pic]
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 23-07-2014 21:27:47
โถ!! ชีวิต


ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) image พี่แม้นกับน้องนัท [pic]
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 23-07-2014 23:15:42

วั้ยยยยย....พี่แม้นหล่ออ่ะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) image พี่แม้นกับน้องนัท [pic]
เริ่มหัวข้อโดย: Buppha ที่ 12-11-2014 14:03:27
มาต่อเร็วๆนะค๊าาาาาาาา  :ling1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) image พี่แม้นกับน้องนัท [pic]
เริ่มหัวข้อโดย: shoky_9 ที่ 13-11-2014 17:31:20
กรี๊ดดดดดด  :serius2: กำลังมันส์เลย
แม้นศรี เข้าใจคุณแม่ผิดนะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) image พี่แม้นกับน้องนัท [pic]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-11-2014 20:47:57
คนเขียนหาย
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) image พี่แม้นกับน้องนัท [pic]
เริ่มหัวข้อโดย: Teddysdeath ที่ 14-11-2014 03:13:16
รออยู่นัค้าบบบ

ชอบนัทมากอะ ฉลาด ตัดสินใจดี
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) image พี่แม้นกับน้องนัท [pic]
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 14-11-2014 03:48:03
สงสารแมน เด็กเก็บกด แต่ผิด ที่ดันไปทำกับคนอื่น
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) image พี่แม้นกับน้องนัท [pic]
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 14-11-2014 15:16:52
เพิ่งมาอ่าน ชอบมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) image พี่แม้นกับน้องนัท [pic]
เริ่มหัวข้อโดย: dukdikdukdik ที่ 16-11-2014 15:40:48
ตามมาอ่าน สนุกมากกกกกกกกก มาต่อนะคะ ห้ามหายไปน๊า ^_^
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) image พี่แม้นกับน้องนัท [pic]
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 16-11-2014 22:26:20
ตามมาอ่านจากทู้แนะนำนิยาย
สนุกมากกกกกกก ชอบมากกกกกกกด
ชอบนืยายที่มีพลอตแนวๆนี้
หลังๆนี้พี่แม้นศรีน่าสงสารมาก ดราม่าครอบครัวมาเต็ม
น้องนัทกลับมารักพี่เขาอีกครั้งนะ พี่เขาไม่มีใครแล้วจริงๆ

แต่ว่าตอนนี้อยากอ่านต่อมาก อยากอ่านไปจนจบ จนรวมเล่ม
มาอัพเร็วๆนะคะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) image พี่แม้นกับน้องนัท [pic]
เริ่มหัวข้อโดย: tiktok ที่ 18-11-2014 15:06:58
เข้มข้นสุดๆอ่านไปอินไปมาต่อเร็วๆนะคะชอบมาก
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) image พี่แม้นกับน้องนัท [pic]
เริ่มหัวข้อโดย: TR ที่ 19-11-2014 00:14:18
ตามมาจากกระทู้แนะนำนิยาย
อยากจะบอกว่าไม่ผิดหวังเลย สนุกมากค่ะ
อ่านจนหยุดไม่ได้ ตอนแรกอยากกระทืบอิพี่แม้น แต่ตอนนี้สงสารนางมาก
ไม่ได้บอกว่าน้องนัทต้องรีบยกโทษให้แม้น
แต่เมื่อน้องนัทจำเรื่องได้เมื่อไหร่ไม่อยากให้น้องนัทเกลียดแม้นมากมาย อยากให้น้องนัทให้โอกาสแม้นบ้าง
อ่านแล้วอิน เป็นกำลังใจให้แม้นจัดการกับปัญหาทางอารมณ์ให้ได้ ไม่มาดีแตกทีหลัง
เชียร์ให้น้องนัทให้โอกาสพี่แม้น สงสารนางบ่องตง

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ สนุกๆ นะคะ
อย่าหายไปนานนะคะ รออ่านอยู่ค่ะ ;)
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) image พี่แม้นกับน้องนัท [pic]
เริ่มหัวข้อโดย: phoenixa ที่ 19-11-2014 02:57:04
ตามมาจากกระทู้แนะนำค่ะ
เห็นแนะนำกันเยอะมาก
เข้ามาแล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ
อ่านจนตี 3 นี่พรุ่งนี้ไม่ต้องทำงานทำการหรืออย่างไร

ชอบโครงเรื่อง ภาษา มิติ อารมณ์ของตัวละครในเรื่องมากค่ะ
มีที่มาที่ไป และสมเหตุสมผล
เรื่องราวเข้มข้น จนเราหยุดอ่านไม่ได้

ติดตามตอนต่อไปนะคะ
นัทจะไปถึงคอนโดพี่แมนหรือเปล่า
จะจำอะไรได้บ้างมั้ย
พี่แมนจะเคราะห์ซ้ำกรรมซัดหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) image พี่แม้นกับน้องนัท [pic]
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 19-11-2014 14:03:21
คิดถึงพี่แม้นนนน
 :impress2:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) image พี่แม้นกับน้องนัท [pic]
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 21-11-2014 00:06:55
อ่านรวดเดียวเลย ติดงอมแงมมาก

แม้นศรีเอ้ยยยยยย เขาไม่เห็นค่าเราก็ต้องยิ่งพิสูจน์ตัวเองหรือเปล่า แสดงออกได้ผิดมากเลยนะแม้นศรีนะ

ต้องก้าวไปข้างหน้านะแม้นศรี สู้ๆ ดูแลน้องดีๆด้วยล่ะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) image พี่แม้นกับน้องนัท [pic]
เริ่มหัวข้อโดย: ♠♥♦♣ ที่ 22-11-2014 16:24:26
สนุกมากค่า สงสารแม้นศรี
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) image พี่แม้นกับน้องนัท [pic]
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 23-11-2014 09:43:03
เอาอีกๆๆๆๆๆ กำลังสนุกเลย :ling1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) image พี่แม้นกับน้องนัท [pic]
เริ่มหัวข้อโดย: kittisak Intarasarn ที่ 23-11-2014 11:39:45
มืออาชีพมากๆครับ สมแล้วที่มีคนเชียร์เยอะ จนผมต้องตามมาอ่าน
ถ้ามีสำนักพิมพ์จะจ้างไปเป็นนักเขียนเลย
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพเดท ตอนที่ 29 จ้า
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 23-11-2014 12:17:03
ขออนุญาตแปะเอง เพราะคุณเจ้าของแอคเขาไปตามเด็กไม่ว่างโพสต์ให้

สวัสดีค่ะ..มอสมารายงานตัวค่ะ

ส่วนใหญ่จะอยู่ที่เพจในเฟส (เพจ morse แปะพิกัดได้ป่าวไม่รู้อ่ะ เอาแค่นี้แล้วกันนะคะ) ไม่ได้มาทักทายที่นี่เลย ขอบคุณสำหรับการเม้นท์เรียกกันมานะคะ ^^
ดีใจที่ได้รับเม้นท์มาเยอะแยะ และขอบคุณสำหรับการนำไปแนะนำต่อค่ะ ขอโฆษณานิดนึง ตอนนี้มี ebook ของ morse ลงที่พี่เมพแล้วนะคะ ใครสนใจติดตามสอยมาอ่านกันได้ค่ะ กำลังทยอยลงงานเก่าไว้ค่ะ

ใครคิดถึงพี่แม้นตามอ่านกันต่อได้เลยค่ะ ^^

=========

ประตูห้องเปิดออก มกรเหลือบมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังอย่างเป็นกังวล เขาลังเลก่อนจะหันไปหาอีกฝ่ายทั้งตัว หัวคิ้วของณัฐวีร์ขมวดมุ่นเข้าหากันคล้ายกับว่าฝ่ายนั้นกำลังคิดอะไรบางประการ

บางที ..ณัฐวีร์อาจกำลังคิดถึงเหตุการณ์บางอย่างอยู่ก็เป็นได้

ได้โปรด..อย่าเลย.. อย่านึกอะไรออกเลย..

เรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดให้ลืมไปแบบนี้น่ะดีแล้ว

แม้จะอยากให้นึกออกว่าเขาคือใคร.. เคยได้กอดร่างกายนี้อย่างไร แต่ก็ไม่อยากให้นึกออกว่าเขาใช้วิธีใด..เพื่อให้ได้น้องมา

เคยทำร้ายทำเลวไว้เพียงใด..ไม่อยากให้นึกออกเลย
ขอให้อยู่กับปัจจุบัน.. ให้รู้ว่ามกร.. คนที่ยืนอยู่ตรงนี้ รัก ณัฐวีร์แค่ไหน.. รักจนยอมได้ทุกอย่างแม้จะไม่ได้กอดร่างกายนี้อีกแล้วก็ยังจะรัก..และอยู่เคียงข้างณัฐวีร์ไปเพียงคนเดียวเท่านั้น
ในฐานะใดก็ตาม..มกรคนนี้.. จะรักณัฐวีร์เป็นคนสุดท้ายในชีวิต

“พี่ไม่เป็นไร เดี๋ยวจะพักที่คอนโดนี่แหละ อย่างไรพรุ่งนี้ก็จะไปทำงานไม่ต้องเป็นห่วง” ชายหนุ่มพูดโดยไม่ขยับไปจากประตู “ถ้าไงนัทเอารถพี่ขับกลับบ้านไปก็ได้ พรุ่งนี้พี่ให้คนมารับได้”

มกรห่วง..และห่วงมาตลอดทางตั้งแต่ให้ณัฐวีร์เป็นคนขับรถ  แรกทีเดียว มันคือความเศร้าเสียใจกับเรื่องสมัยที่เขายังไม่เกิดด้วยซ้ำ การที่มารดาไม่ได้ต้องการ บิดาไม่ได้เหลียวแล อีกทั้งญาติก็รังเกียจ ทำให้กลายเป็นปมด้อยมาตั้งแต่เด็ก.. เมื่อถูกรื้อฟื้นขึ้นมา เขาจึงทุรนทุราย
มันก็เหมือนแผลเก่าที่ยังไม่เคยหาย กลัดหนองจนเน่าเฟะกินลึกเข้าไปถึงกระดูก.. พอแตะโดนแม้เพียงเล็กน้อย ก็เจ็บปวดเรื้อรังจนยากจะเยียวยา..

ถึงจะรู้ว่ามีทางรักษา..แต่การอยู่กับมันมาเกือบ 20 ปี ทำให้มกรต้องใช้เวลาซ่อมบำรุงอารมณ์ตัวเองพอสมควร
กระทั่งประโยคหนึ่งดังแทรกขึ้นในห้วงอารมณ์มืดมนนั้น

“ใกล้ถึงแล้วนะครับ” เด็กหนุ่มหันมาบอกตอนที่จะเลี้ยวเข้าหัวถนน.. และนั่นทำให้มกรรู้สึกตัว เขากำลังเข้าใกล้ “สถานที่เกิดเหตุ” เข้าไปทุกที

ชายหนุ่มหน้าซีดเผือด รู้สึกคล้ายเลือดจะเหือดหายออกจากร่าง เขาพยายามโน้มน้าวให้ณัฐวีร์เลิกกังวลกับอาการของเขา แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ละความมุ่งมั่นนั้น

มกรปล่อยความรู้สึกเศร้าเสียใจกับเรื่องราวของตัวเองทันที อย่างไรเสียเขาก็อยู่กับมันมาทั้งชีวิต ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่ณัฐวีร์สิสำคัญกว่า ถ้าไปที่คอนโดแล้วเกิดฟื้นความทรงจำขึ้นมาได้จะเป็นอย่างไร.. นั่นเองคือสิ่งที่เขากังวล และพยายามยื้อไม่ให้น้องขึ้นมาบนห้อง

“นัทว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วเสียอีก” ณัฐวีร์พูดก่อนจะเดินเลี่ยงมกรเข้าไปในห้องเสียเอง

เด็กหนุ่มตรงเข้าไปนั่งลงตรงโซฟาหนังสีดำกลางห้องโถงกว้าง ซึ่งมีไว้สำหรับเป็นที่พักผ่อนของเจ้าของห้อง เพราะมันมีทั้งเครื่องเสียงและโฮมเธียเตอร์ตั้งอยู่ในบริเวณนั้นด้วย ทำให้มกรต้องเดินตามเข้ามาพร้อมกับปิดประตูตามหลังเสีย

ห้องนี้ไม่ได้ใช้งานมาพักใหญ่ๆ เพราะตั้งแต่เขาไปอเมริกา ห้องก็ถูกปิดร้างมาตลอด แต่อย่างน้อยอาทิตย์ละวันแม่บ้านจะเข้ามาทำความสะอาดห้อง เผื่อไว้สำหรับการเข้าพักฉุกเฉินและเพื่อไม่ให้ห้องปิดทิ้งไว้ตลอดเวลา อากาศจะได้ถ่ายเท

วันนี้ถือว่าโชคดี..ดูเหมือนว่าแม่บ้านเพิ่งมาทำความสะอาดไป ห้องจึงยังดูสะอาดเอี่ยม

มกรมองแผ่นหลังของคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟาแล้วถอนหายใจ เขาทำตัวไม่ถูก ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบท้ายทอย แล้วก็ได้แต่แปลกใจตัวเอง เมื่อชั่วโมงก่อนเขายังรู้สึกเหมือนโลกจะถล่มอยู่เลย แต่มาตอนนี้เขากลับต้องมากังวลเรื่องของณัฐวีร์ ดูเอาเถอะ...เขาเป็นเอามากขนาดไหน.. เมื่อก่อนเรื่องตัวเองสำคัญยิ่งสิ่งใด แต่ตอนนี้เรื่องของใครอีกคนสำคัญกว่าจนทำให้เขาลืมเลือนเรื่องของตนเองไปเลย

มกรเดินไปนั่งลงข้างๆ “ขมวดคิ้วแบบนี้ ปวดหัวหรือเปล่า”

ณัฐวีร์ก้มหน้านิ่งมีเพียงคิ้วขมวดมุ่น ทำให้มกรเอ่ยถามอย่างกังวล แต่เด็กหนุ่มกลับส่ายหน้า

“เปล่าครับ ไม่ปวดหัวหรอก.. พี่ล่ะดีขึ้นแล้วหรือยัง”

มกรยิ้มบางพร้อมกับหงายหน้าพิงพนักโซฟาอย่างเบาใจ “อืม ..ก็ไม่มีอะไรมาก พี่ก็อยู่กับเรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว”

“อยู่มานานก็ใช่ว่าจะชิน” ณัฐวีร์พูดพลางหันไปมองอีกฝ่าย คราบน้ำตาที่บริเวณหางตายังเปียกชื้น “เพราะถ้าพี่ชินแล้วพี่คงไม่ระเบิดมันออกมาแบบนี้”

มกรเหลือบตามามอง แต่พอสบตาอีกฝ่ายเขาก็ดึงสายตากลับไปมองเพดานตามเดิม “การระบายออกเป็นอีกทางในการบำบัดน่ะ”

“หมอคงไม่ได้อยากให้พี่ระบายมันออกมาแบบนี้หรอกมั้ง นี่มันระเบิดออกมาหรอก” ณัฐวีร์หัวเราะเบาๆ การได้เห็นว่าอีกฝ่ายสงบลงไม่ได้ร้องไห้ หรือไม่ได้นิ่งเงียบจนน่าอึดอัดอีกทำให้เขาเบาใจ

เด็กหนุ่มเอนร่างพิงลงไปกับพนักโซฟาแล้วจู่ๆก็เอ่ยขึ้นว่า “มาห้องนี้ก็ดีนะครับ”
มกรขมวดคิ้วก่อนจะหันไปถาม “ดียังไง?”

“ก็...” เด็กหนุ่มเหลียวมองไปรอบๆ “ส่วนตัวดี..มีครัวด้วย อยากทานอะไรหน่อยไหมครับ ถ้าง่ายๆนัทก็พอจะทำให้ได้ อิ่มแล้วจะได้นอนพักเสียหน่อย”

คนฟังกะพริบตา..ความทรงจำสมัยก่อนแล่นเข้ามาในสมอง วันที่ณัฐวีร์เข้ามาที่ห้องนี้ครั้งแรก ข้าวผัดง่ายๆกับแกงจืดหอมหวาน ทำให้เขาอิ่ม อร่อย และรู้สึกได้ว่าห้องนี้คือบ้านของเขา พื้นที่ของเขาจริงๆ หลังจากไม่ได้รู้สึกมานาน
มาวันนี้ ณัฐวีร์ก็จะให้ความรู้สึกนั้นกับเขาอีกครั้ง..

ชายหนุ่มยิ้มกว้างแล้วรีบลุกขึ้นทันที.. “พี่ว่าในตู้เย็นคงไม่มีอะไร เราออกไปซื้อของกันไหม อยากทานข้าวผัดกับแกงจืดง่ายๆ นัททำอร่อยที่สุดเลย”

ณัฐวีร์แหงนหน้าขึ้นมอง “พี่ชอบอาหารของนัทหรือ”
“ชอบสิ..อยากทานจนอดใจไม่ไหวแล้วเนี่ย ไปซื้อของกัน” แล้วชายหนุ่มก็โน้มตัวลงมาดึงเอามืออีกฝ่ายไปกุมไว้

ณัฐวีร์มองมือตัวเองแล้วก็ถอนใจออกมา เขาลุกขึ้นยืนแล้วค่อยๆดึงมือตัวเองออกจากมืออีกฝ่าย

“อย่ามาเนียนครับพี่..” เด็กหนุ่มหันหลังเดินไปที่ประตู “ซุปเปอร์ด้านล่างคงพอจะมีของที่อยากได้บ้าง พี่แมนจ่ายด้วยนะครับ นัทวิ่งออกมาไม่ทันได้หยิบกระเป๋าเงินมา”

“ยินดีเลย” มกรยิ้มแล้วเดินตามคนตัวเล็กออกไปจากห้อง

หลังจากจ่ายซื้อของเรียบร้อย ณัฐวีร์ก็ขึ้นมาจัดการกับมื้ออาหารให้ตามที่อีกฝ่ายอยากทาน ข้าวผัดง่ายๆกับแกงจืดไม่ได้ใช้เวลาในการทำมากนัก แต่การละเลียดอาหาร และการคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปเรื่อยทำให้กว่าจะเก็บล้างอุปกรณ์และกลับมานั่งนิ่งๆกันที่โซฟาก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายสอง

“อิ่มมากเลย..” มกรลูบท้องที่นูนขึ้นมาเล็กๆ ข้าวผัดสามจานทำให้พุงที่มีกล้ามของเขาป่องออกมามากกว่าเดิมเล็กน้อย

“ก็พี่ฟาดไปคนเดียวเลย นัทแค่ครึ่งจานพี่ก็ไปสองแล้ว พอนัทหมดจานพี่ก็สาม... น่ากลัวจริงๆ แบบนี้ใครได้ไปเป็นแฟนคงเลี้ยงไม่ได้แน่”
มกรยิ้มแล้วตบท้องตัวเองปุๆ “ใครเลี้ยงไม่ไหวก็ไม่เป็นไร แต่บ้านนัทเลี้ยงไหวแน่ๆ พี่เชื่อมือนัทนะ”

ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวยังเอียงหัวเข้ามาหาไหล่อีกฝ่ายด้วย
“นี่อะไรกันครับ..” คนถูกทิ้งตัวเข้าใส่ถึงกับโยกไหล่หนี “จะนั่งก็นั่งให้ดีๆ จะนอนก็ไปนอนข้างบนโน่น” ไม่พูดเปล่า ณัฐวีร์ยังชี้นิ้วขึ้นไปยังชั้นบนนั้นอีกด้วย

“โธ่..” ชายหนุ่มโอดครวญ ยังคงเอนตัวไล่พิงไปเรื่อยๆ กระทั่งคนหนีหมดทางหนี เพราะศีรษะคนตัวสูงไหลลงมาที่ตักจนได้ “โอ๊ะ ตรงนี้ก็ดีนะ..”
มกรพูดแล้วจับขาอีกฝ่ายที่เตรียมจะดึงหนีไว้ทันที ทำให้ณัฐวีร์ร้อง “พี่แมนนั่งดีๆสิครับ”

“อ่า นัทดูสิๆ เรื่องนี้สนุกนะ” มกรบุ้ยปากไปที่โทรทัศน์ซึ่งกำลังเริ่มฉายหนังดัดแปลงเทพนิยาย
ณัฐวีร์จะยื้อก็ใช่เรื่อง อยากทำอะไรก็ให้ทำไป ดีกว่าลุกขึ้นมานั่งร้องไห้ตั้งเยอะ แบบนั้นเขารู้สึกไม่ชิน ให้อาละวาดปาข้าวของ หรือให้ทำตัวเย็นชา ยังดีเสียกว่ามานั่งซึมทำหน้าโศก แบบนั้นเขารู้สึกว่าจะรับมือไม่ไหวเอาได้

พาลจะใจอ่อน..ยอมให้หมด
ณัฐวีร์เอนตัวพิงเบาะนุ่ม ปล่อยให้อีกคนคว้ามือเขาบีบๆคลำเล่น ความที่ไม่รู้จะเอามือไปวางไว้ที่ไหนอยู่แล้ว เขาจึงปล่อยเลยตามเลย

ภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่งฉายในโรงไปเมื่อปีก่อน และถูกนำมารีรันในช่องเคเบิ้ลหลายหนแล้ว ส่วนตัว เขากับแพรวเคยดูเรื่องนี้ในโรงมาด้วยกันแล้ว แต่ถ้าให้ดูอีกครั้งก็ไม่เสียหายอะไร แถมตอนนี้ก็ไม่รู้จะทำอะไรด้วย เพิ่งจะอิ่มข้าว ดูหนังเสียเพื่อให้ได้พักก็ดีเหมือนกัน..

อีกฝ่ายเองก็คงจะคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่แน่ๆ เพราะได้แต่นอนจับมือเขาเล่นลูบๆ นิ่งๆ
ถูกแล้ว.. มกรกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด.. แต่ไม่ใช่คิดเรื่อยเปื่อย เขากำลังคิดถึงเรื่องของณัฐวีร์และตัวเขาเองมากกว่า

มีเรื่องอีกหลายเรื่องที่เขายังไม่ได้บอกออกไป มันเป็นความลับที่เก็บอยู่ในใจนี้ เพราะเขากลัว กลัวว่าถ้าบอก..ทุกอย่างที่เป็นอยู่ ณ ตอนนี้จะมลายหายไป เขาไม่กล้ารื้อฟื้นความทรงจำ เขาไม่กล้าก้าวเข้าไปสานต่อความสัมพันธ์ เขาไม่กล้ารุกจีบหนัก ไม่กล้าทำอะไรทั้งนั้นเพราะกลัวจริงๆ ถ้าคราวนี้ต้องเสียณัฐวีร์ไปอีก เขาคงไม่รู้จะทำอย่างไรดี

อีกอย่าง ถ้าณัฐวีร์เกิดจำได้ว่าเขาเคยทำอะไรไว้บ้าง ..มีหวังคงไม่ให้อภัยเขาแน่ๆ เขาปล่อยความคิดตัวเองให้จมลงไปกับความรู้สึกเสียใจในการกระทำของตนเองเนิ่นนาน ก่อนจะจับมือเล็กกว่าขึ้นมามอง เขาเอามือของตัวเองลองทาบดู..มือก็เล็กเท่านี้..แต่ทำไมเขารู้สึกเหมือนว่าณัฐวีร์จะกำเขาไว้ได้ทั้งตัว ดิ้นหนีไปไหนก็ไม่รอด จะไปทางไหนก็ไม่ได้

ชายหนุ่มจรดริมฝีปากลงไปบนฝ่ามือนั้นและรอลุ้นกิริยาจากอีกฝ่าย ทว่าณัฐวีร์กลับนิ่ง ..อีกฝ่ายไม่ดึงมือกลับหรือทำอะไรเลย มกรใจเต้นถี่รัว บางทีความรู้สึกมากมายที่เขามีอาจสื่อไปถึงฝ่ายนั้นแล้วก็เป็นได้
ชายหนุ่มปรายตาขึ้นมอง ลุ้นอยู่ว่าจะเห็นสายตายังไงมองจ้องลงมา การกระทำล้ำเส้นที่เคยถูกสั่งห้ามไว้ไม่ให้ทำ แต่ก็ยังฝืนทำ อยากทำ อยากสัมผัส อยากกอด อยากจูบ อยากเป็นเจ้าของ อยากรักและอยากถูกรัก..

แต่…ท่าทางหนังจะสนุกมากจริงๆ เจ้าของมือเลยหลับไปแล้ว
มกรหัวเราะเบาๆ ตกลงใครเครียดกันแน่เนี่ย..

ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่ง พอเห็นอีกฝ่ายยังนิ่งถึงได้เขยิบเข้าไปดูใกล้ๆ หลับจริงสินะ..
เรื่องในที่ประชุมเมื่อเช้านี้ ก็น่าคิดอยู่.. ณัฐวีร์เอาแฟ้มไปจากโต๊ะของเขาเพราะเคสคุณพรรณีฝ่ายบัญชีนั้นเป็นเคสที่ณัฐวีร์เคยนำมาขอคำอธิบายจากเขา พออ่านจบก็เอาแฟ้มมาให้เขาไว้ และคงรู้ว่าเขาวางแฟ้มไว้ที่ไหน น้องไม่ผิดหรอกที่เอาให้คนนอกไป เพราะน้องไม่รู้ว่าแฟ้มนั้นมีความสำคัญอย่างไรบ้าง คนที่มาเอาคงเลือกช่วงเวลาที่น้องอยู่ลำพัง จึงขึ้นมาเอาของไป

เรื่องนี้คนที่น่าสงสัยก็มีแต่คุณประคองเท่านั้น
คุณประคองเคยเป็นรองจากตามาก่อน อยู่กับบริษัทนี้มานาน ครั้นพอแม่เข้ามา คุณประคองก็ยังเป็นรองอยู่ ไม่ได้ขึ้นเป็นผู้บริหารใหญ่เสียที เขาจึงสงสัยว่าการตกแต่งบัญชีเพื่อโกงเงินบริษัทเป็นเรื่องกลั่นแกล้งกัน

การตกแต่งบัญชีนั้นมีเป้าหมายสองอย่าง อย่างแรกก็คือยักยอกเงินออกจากบริษัท อีกอย่างก็เพื่อทำให้บริษัทเสียชื่อเสียงจนนักลงทุนขาดความเชื่อมั่น ไม่ว่าทางไหนก็ทำให้บริษัทล้มได้ ..พอถูกฝ่ายตรวจสอบจับได้แทนที่จะวางมือ กลับปล่อยข่าวเสียหายแก่บริษัทซ้ำอีก ทำกันถึงขั้นนี้แล้ว..ก็ไม่รู้จะปล่อยไว้ในบริษัทอีกทำไม ปล่อยให้มาบ่อนทำลายบริษัทไปเรื่อยๆ แม้จะผ่านครั้งนี้กันไปได้ แต่การมีหนอนบ่อนไส้อยู่ภายใน แถมอาจจะเป็นแมลงร้ายที่คอยกัดกินอยู่เรื่อยๆโดยที่เราไม่รู้ตัวนั้น.. ครั้งนี้ไม่ได้ ครั้งหน้าก็อาจจะทำอีกก็ได้

คุณประคองมีทั้งอำนาจในการจัดการ มีอำนาจบริหาร.. ถ้าปล่อยไว้มีหวังได้ทำลายหลักฐานไปหมดแน่ๆ ณัฐวีร์ก็ยืนยันว่าเลขาของเขามานำเอาเอกสารไป ถ้างั้นก็แค่รอเอาภาพวงจรปิดมายืนยันเท่านั้นเอง

ถ้าได้ภาพออกมาเมื่อไหร่ก็จะได้รู้กัน หลักฐานมัดตัวจะดิ้นไม่หลุดก็คราวนี้แหละ..
ชายหนุ่มมองร่างที่นั่งหลับนิ่งอยู่แล้วรู้สึกเมื่อยแทน.. เขาดึงร่างเล็กให้เอนลงนอน จับท่าทางให้จนดีก่อนจะถอยออกไปนั่งโซฟาอีกตัวแล้วมองดูคนหลับสบายอย่างนึกอิจฉา
***
ผ่านไปเกือบสองชั่วโมง ณัฐวีร์ตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย โทรทัศน์ยังเปิดอยู่แต่ดูเหมือนเสียงจะเบาลงไปจากก่อนหน้าที่เขาจะหลับ เด็กหนุ่มค่อยๆยันตัวลุกขึ้นนั่งก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆแล้วจึงพบว่า มกรนั่งหลับอยู่ที่โซฟาอีกตัวห่างออกไป...

เขามองร่างสูงใหญ่ที่เอนพิงหลับเหมือนเด็ก เสื้อเชิ้ตสีอ่อนกับกางเกงสแลคสีดำซึ่งเป็นชุดทำงานนั้นไม่ช่วยให้เขามองอีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่ขึ้น  ข้างในร่างนั้นยังคงเป็นเด็กน้อยที่ต้องการความรัก.. เหมือนคนทุกคนบนโลกใบนี้ที่ต้องการมัน

เพียงแต่เมื่อเด็กต้องการความรัก ก็จะเรียกร้องมันอย่างตรงไปตรงมา หากเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องการความรัก ก็จะหาทางให้ได้มาซึ่งความรักนั้น.. โดยไม่เลือกวิธี..

อย่างเขาก็เหมือนกัน.. ให้พูดตรงๆก็คือ เขาจินตนาการไม่ออก..ถ้าเกิดไปรู้ว่าตนเองไม่เป็นที่ต้องการของป๊ากับแม่ เขาจะเป็นอย่างไร เขาจะรู้สึกอย่างไร

การที่ต้องอยู่กับเรื่องแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก จึงเป็นผลให้คนๆนี้ต้องไปรักษาตัวที่อเมริกาใช่ไหม เพราะแบบนี้ คนๆนี้ถึงต้องการความรักสินะ.. ต้องการความรักจนต้องทำทุกอย่าง.. ขนาดลูกที่เสียชีวิตไปแล้วก็ยังเขียนถึง ขนาดเขาที่เป็นผู้ชาย ก็ยังต้องการให้รัก...

นั่นสิ..ทำไมต้องเป็นเขา..?

เขามีดีอะไรให้ต้องเรียกร้องกัน?

ปล่อยเขา..แล้วไปหาคนใหม่ไม่ดีกว่าหรือ? ยังมีคนอีกเป็นร้อยเป็นพันต้องการมายืนเคียงข้างผู้ชายคนนี้..
ทำไมต้องเป็นผู้ชายที่ชื่อณัฐวีร์?

เด็กหนุ่มมองร่องรอยบนแขนตัวเองแล้วถอนใจ..
ต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ใช่คนหน้าตาดี ก็แค่ตี๋ๆขาวๆ หลังเกิดอุบัติเหตุถึงได้ดูดีขึ้นมาเล็กน้อยเพราะศัลยกรรม

ณัฐวีร์หัวเราะเบาๆ ก็ยังดี ..เขาไม่ใช่ผู้หญิง ไม่งั้นถ้าแต่งงานกันไปแล้วเกิดมีลูกขึ้นมา เขาอาจถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายจากสามีว่าให้ลูกที่หน้าตาแป๊ะมากๆก็เป็นได้

“หัวเราะอะไรครับ..พี่นอนน้ำลายยืดหรือไง..?”
เสียงร้องทักทำให้ณัฐวีร์มองอีกฝ่ายยิ้มๆ “เปล่า.. นัทแค่คิดอะไรเล่นขำๆ”

“คิดเกี่ยวกับพี่หรือเปล่า”

“ไม่เกี่ยวเลย..” เด็กหนุ่มส่ายหน้า ก็ไม่เกี่ยวจริงๆล่ะนะ เรื่องศัลยกรรมกับเรื่องมีลูกของเขามันจะไปเกี่ยวกับมกรได้อย่างไร

“..อื้ม นั่นสิเนอะ” ชายหนุ่มพยักหน้า ดวงตาฉายแววหมองลงเล็กน้อย “คงจะคิดถึงคนอื่นมากกว่าพี่อยู่แล้ว”
บรรยากาศหม่นเศร้าเริ่มเข้าครอบคลุม ทำให้ณัฐวีร์ทำตัวไม่ถูก.. อะไรกันเนี่ย ขยันหาดราม่าใส่ตัวจังเลยคุณมกร

“เป็นอะไรครับ เพิ่งตื่นแทนที่จะสดชื่น นี่อึมครึมใส่นัทเสียอย่างนั้น”
“ไม่มีอะไร..” มกรส่ายศีรษะ มือสองข้างยกขึ้นปิดหน้าตัวเองอย่างพยายามรวบรวมสติ ตั้งแต่เช้าอารมณ์เขาแกว่งไปมาทั้งโมโห เสียใจ หวาดกลัว เป็นห่วง และมีความสุข พอตื่นมาความรู้สึกเหล่านั้นยังทำให้อารมณ์ของเขาไม่นิ่งพออีกด้วย

เห็นท่าทางแบบนั้น ณัฐวีร์ก็เขยิบตัวเข้าใกล้จนเข่าแทบจะชนกัน เขาเอื้อมมือไปจับขาอีกฝ่ายไว้ “เป็นอะไรครับ”
“ไม่เป็นไร...” มกรส่ายหน้าปฏิเสธทว่าท่าทางยังไม่ดีขึ้นสักนิด “เหนื่อยนิดหน่อย เดี๋ยวพักก็คงหาย พี่ว่าวันนี้อารมณ์พี่แย่มากเลยนัท กลับไปก่อนไหม เดี๋ยวพรุ่งนี้เราค่อยเจอกันที่ทำงาน”

ไม่พูดเปล่าเจ้าตัวยังลุกขึ้นเดินหนีอีกต่างหาก ทำให้ณัฐวีร์ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ.. จริงที่ว่าอารมณ์ฝ่ายนั้นท่าทางจะไม่นิ่ง และคงเป็นแบบนี้ทั้งวันแน่ๆ “พี่ทานยาหรือยัง เมื่อครู่ทานข้าวไปแล้วยังไม่ได้ทานยาใช่ไหม?”

ทุกมื้อกลางวัน เวลาไปทานข้าวด้วยกันมกรต้องทานยาตามที่แพทย์สั่ง ลักษณะยาก็จะมีฤทธิ์น้อยลงเรื่อยๆจนเมื่อประเมินแล้วว่าเขาสามารถควบคุมสภาพจิตของตนเองได้ หมอก็จะสั่งให้หยุดยาไป มียาหลายตัวที่มกรหยุดทานไปแล้ว แต่เฟสของการรักษาเพิ่งผ่านมาได้แค่ครึ่งเดียว  ทำให้เขาต้องคอยทานยาอย่างสม่ำเสมอ

มกรมองน้องค่อยๆลุกขึ้นยืนตามเขาแล้วก็ส่ายหน้า “ยาอยู่ในกระเป๋าที่บริษัท ไม่ได้เอากลับมา แต่ถ้าได้อยู่เงียบๆก็คงไม่มีอะไร”

ณัฐวีร์ฟังแล้วก็ค้านอยู่ในใจ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่มีปัญหาฆ่าตัวตายก็เพราะอยู่คนเดียวนี่แหละ
มกรยื่นกระเป๋าเงินของเขาให้กับอีกฝ่าย “นัทเอาเงินนี่ไป เอารถไปด้วย เดี๋ยวพี่จะโทรให้ที่บ้านขับมารับ”

“เมื่อไหร่ครับ?”
คำถามนั้นทำให้มกรขมวดคิ้ว

“พี่จะโทรหาที่บ้านเมื่อไหร่..โทรเลยได้ไหม นัทจะอยู่เป็นเพื่อนก่อนค่อยกลับตอนที่มีคนมารับพี่ก็ได้” เด็กหนุ่มกล่าวด้วยดวงตามุ่งมั่น “จะให้ทิ้งพี่ไว้คงไม่ดีหรอกครับ นัทเป็นห่วง”

มกรเมินไปมองทางอื่น อาการคาดคั้นเพราะความห่วงใยของณัฐวีร์ทำให้เขารู้สึกดี แต่จะคาดหวังมากๆไม่ได้  “ไว้พรุ่งนี้ค่อยโทรบอก”

“งั้นพรุ่งนี้นัทค่อยกลับ..” ณัฐวีร์ว่าแล้วถอยตัวมานั่งลงที่เก่า มองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มบางๆ
“มันก็จะเป็นการทรมานพี่เกินไป” มกรหันมายิ้มให้อย่างละเหี่ยใจ “กลับไปเถอะ ไม่ต้องห่วง มีนัทอยู่ด้วยแล้วพี่สงบใจไม่ได้เลย”

“ก็เราเจอกันอยู่ทุกวัน แบบนั้นทรมานกว่าไหม” ณัฐวีร์ท้วงอย่างหมั่นไส้  เขายกขาขึ้นขัดสมาธิบนโซฟาแล้วปักหลักอยู่ตรงนั้นทันที มือก็ดึงชายเสื้อออกจากกางเกงและปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนลงเพื่อให้คลายอึดอัด เล่นเอามกรกลืนน้ำลายเลยทีเดียว “เดี๋ยวนัทโทรบอกแม่ก่อนนะ คืนนี้นอนนี่ล่ะ”

“ไม่ต้องๆ พี่จะให้ที่บ้านมารับเดี๋ยวนี้”

ณัฐวีร์หัวเราะขึ้นทันทีมองอีกฝ่ายที่ยกมือถือขึ้นกด “ฮ่าๆ ป้อดเหรอครับ..คุณพี่”
“โห..หยามกันแบบนี้เลย” มกรชะงักมือเงยหน้าขึ้นมาร้อง

“ไม่ได้หยาม... แค่นอนค้างคืนไม่เห็นต้องกังวลอะไร เราก็โตๆกันแล้ว”
“งั้นโตแล้วก็ไม่ต้องบอกที่บ้าน?” มกรเลิกคิ้วยิ้มยั่วน้อง

“ที่ไหนล่ะ..” ณัฐวีร์แบมือเพื่อรับเอาโทรศัพท์มือถือมากดโทรหาบิดา พอบอกกล่าวที่บ้านจบ มกรซึ่งนั่งอยู่ข้างๆก็ยิ้มรับมือถือที่ส่งกลับมาให้

“ป๊าไม่ว่าอะไรใช่ไหม”
ณัฐวีร์ยักไหล่ “ไม่รู้สิครับ ได้แต่ตอบอือๆไม่เห็นพูดอะไรเลย”

มกรพยักหน้ารับ ถ้าเป็นเขาคงไม่ยอมให้มะม่วงได้ไปอยู่กับคนที่ทำร้ายร่างกายและจิตใจลูกแน่ๆ  เท่าที่ป๊าของณัฐวีร์ให้มาก็มากเกินไปแล้วด้วยซ้ำ

“ว่าแต่ ..ออกไปไหนกันไหมครับ นัทอยากดูหนัง เผื่อออกไปห้างจะได้หาข้าวทานกันเย็นนี้เลย”
“ถือเสียว่าวันนี้พักร้อน..?”

ณัฐวีร์ทำตาเจ้าเล่ห์ทันที “ลาป่วยดีกว่าครับ... พักร้อนเก็บไว้ก่อน”

มกรหัวเราะให้กับความคิดนั้นแล้วพยักหน้ารับ “เอ้าๆ ไปดูหนังก็ได้ ว่าแต่...” ชายหนุ่มเอียงศีรษะ “ไม่กลัวพี่ทำอะไรในโรงหนังหรือไง?”

ณัฐวีร์หัวเราะแล้วผลักศีรษะนั้น “ไม่ต้องมาทำน่ารักเลย.. ไม่ได้ดูดี”
“ผูกโบว์ไหมล่ะ เอาหูแมวมาใส่..”

“นึกภาพตามแล้ว...นัทไม่ไหวจริงๆครับ” เด็กหนุ่มส่ายหน้าแล้วทำท่าขนลุกขนพอง เจ้าตัวยิ้มบางๆให้อีกฝ่าย อย่างน้อยก็เบาใจขึ้นอีกนิดที่เห็นว่ามกรไม่ได้มีท่าทีแย่ลง “เดี๋ยวนัทไปล้างหน้าล้างตาแล้วออกไปกันนะครับ”

มกรพยักหน้ารับมองตามร่างที่เดินไปทางห้องน้ำแล้วฮัมเพลงเบาๆ
อยากอยู่แบบนี้ตลอดไป.. อยากให้ทุกเวลาของเขาเป็นแบบนี้ ยิ้มได้ หัวเราะได้..

แต่โลก..ก็มักจะโหดร้ายเสมอ..
ทุกครั้งที่คลื่นลมสงบดี..มักเกิดพายุใหญ่โหมกระหน่ำตามมาทุกที..
*****

หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพเดท ตอนที่ 29 จ้า
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 23-11-2014 12:17:28
วีรชาติวางโทรศัพท์มือถือลงที่เคาเตอร์เก็บเงิน ดวงตาของชายในวัย 50 ปีแลมองไปยังภรรยาที่นั่งอยู่หลังเครื่องเก็บเงิน พอณฐกายิ้มกลับมาให้เขาจึงได้บอกว่าลูกชายไปค้างบ้านใครในคืนนี้

“แมนน่ะหรือคะ?”
วีรชาติพยักหน้ารับแล้วเอ่ยบอกว่าจะไปดูในครัว ก่อนจะผละเข้าไปหลังร้าน

เรื่องภรรยาที่ตั้งท้องทำให้คุณวีรชาติต้องกังวลพอควร เพราะเขาก็อายุมากแล้ว ณฐกาเองก็อายุไม่น้อย ไหนจะต้องมาห่วงสุขภาพลูก ไหนจะต้องมากังวลสุขภาพแม่.. แล้วนี่ยังมาเรื่องลูกชายคนโตอีก  ถึงจะโตมีความรับผิดชอบเรื่องของตัวเองดี แต่ลูกก็คือลูกอย่างไรเสียพ่อแม่ก็มองว่าลูกทุกคนยังเป็นเด็กเสมอนั่นแหละ ยิ่งโดยเฉพาะกับณัฐวีร์ที่เคยผ่านเรื่องร้ายๆในอดีตมา..จนตอนนี้ก็ยังไม่เหมือนเดิม ทำให้ยิ่งห่วง

คราวนี้..การได้รับโทรศัพท์จากลูกชายบอกว่าจะไปนอนค้างบ้านอดีตคนรัก.. ทำให้คุณวีรชาติเองต้องทำใจพอสมควร..

ผู้ชายด้วยกันดูออกว่าฝ่ายนั้นรักและดูแลลูกของเขาได้ดีแค่ไหน สายตาที่มกรมองน้องทุกครั้งที่ขับรถมาส่งที่บ้านนั้นแตกต่างไปจากเมื่อสองปีก่อนมาก

เมื่อก่อน มกรอาจจะยังไม่ตกลงปลงใจที่จะคบยืดยาว อาจจะแค่สนใจ ใคร่เรียนรู้กัน คบกันด้วยความคึกคะนอง หรืออาจจะตกกระไดพลอยโจนอะไรก็แล้วแต่

ทว่า..พอกลับมาจากอเมริกาคราวนี้มกรเปลี่ยนไป สายตาที่มองณัฐวีร์มีแต่ความรู้สึกรักจนไม่อาจจะปิดบัง.. พอลูกโทรมาแบบนี้..คนเป็นพ่อเลยชักจะเคว้งคว้าง.. เพราะเท่ากับว่า เขากำลังจะเสียลูกชายให้ลูกชายคนอื่นเป็นครั้งที่สอง ที่วางแผนไว้ว่าจะพยายามดึงลูกให้กลับสู่เส้นทางปกติก็ดูเหมือนจะผิดแผนไปเสียแล้ว ขนาดดึงเอาแพรวมาช่วยก็ยังไม่สามารถล้มความตั้งใจของมกรได้.. สุดท้ายก็พาณัฐวีร์เข้าไปสู่โลกของตัวเองจนได้

“เฮ้อ..” คุณวีรชาติถอนหายใจยาว..สงสัยจะได้อดีตลูกเขยกลับมาเป็นลูกเขยเหมือนเดิมอีกแล้ว
เสียงถอนหายใจของคุณวีรชาติไม่ได้ยินมาถึงหูของณฐกาหรอก.. แต่ข้อมูลที่ว่าลูกชายจะไปค้างที่บ้านมกรทำให้เธอหวนคิดไปถึงเรื่องราวหนึ่งที่รุ่นพี่ของเธอเคยพูดไว้

“พี่มนรู้ว่าน้องไก่กำลังเดือดร้อนเรื่องที่ร้านกำลังจะถูกเวนคืน..” คุณมนธิชากล่าวเช่นนั้นตอนที่โทรมาหาเพื่อขอให้ณัฐวีร์กลับเข้าไปสู่วงจรชีวิตของลูกชายเธออีกครั้ง “อย่าถือว่านี่เป็นสิ่งตอบแทนหรือสินกำนัลอะไรเลยนะ พี่มนอยากช่วยจริงๆ พี่ซื้อตึกตรงนั้นไว้ก็เพื่อช่วยคนที่เขาเดือดร้อนเรื่องเงิน ตอนนี้เอามาให้ไก่ไว้ทำร้าน ก็ได้ช่วยไก่ตอนที่ครอบครัวไก่เดือดร้อนด้วย และไม่ว่านัทจะตอบตกลงหรือไม่ตกลงมาทำงานกับพี่ สัญญาซื้อขายระหว่างเราจะไม่เปลี่ยนแปลง ราคาที่พี่บอกไปก็จะเป็นไปตามนั้นค่ะ… อย่าได้คิดว่าพี่จะเอาณัฐวีร์มาเป็นเงื่อนไขเลยนะ” พี่มนพูดทิ้งท้ายไว้แบบนั้น..

วีรชาติและณฐกาตกลงรับเอาตึกในซอยทองหล่อที่เป็นตึกเก่าแต่ทำเลดีติดถนนมาสี่ตึก ราคาซื้อขายเป็นราคาที่แทบจะเรียกว่าได้เปล่าสำหรับทำเลดีอย่างนี้ และการซื้อขายก็สำเร็จเสร็จสิ้นลงไปแล้วด้วยดี ตอนนี้อยู่ระหว่างดำเนินการปรับปรุงตัวตึกเพื่อไปดำเนินธุรกิจต่อได้ทันทีที่ย้ายไป

ถ้าหากว่าณัฐวีร์กลับไปคบกับมกร ..คอนโดของมกรก็ไม่ห่างไปจากบริเวณนั้นนัก ถือได้ว่าสะดวกดีทั้งกับลูกชายเธอและลูกชายรุ่นพี่ของเธอ..

คุณณฐกามองเข้าไปในห้องครัว..แล้วก็มองลงมาที่ท้องโป่งนูนของตัวเอง..
หวังว่าการเสียลูกชายคนโตให้ลูกชายคนอื่นไปจะถูกเจ้าตัวน้อยในท้องนี่ช่วยเติมเต็มกำลังใจให้คุณพ่อขี้ห่วงได้บ้างนะ.. แล้วคุณณฐกาก็พรูลมหายใจออกมายาวยืดเพื่อระบายความอัดอั้นในอก

“เฮ้อ..” เสียงถอนหายใจเบาๆนั้นเป็นเสียงของคุณมนธิชา เธอละปลายนิ้วจากเม้าท์เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ภาพในกล้องวงจรปิดเป็นเลขาของคุณประคองจริงๆ กลอยหอบเอาแฟ้มเอกสารออกมาแต่ในมุมกล้องกลับไม่เห็นว่าเด็กนั่นส่งเอกสารเหล่านั้นให้ใครช่วยถือไป มันเป็นมุมอับของกล้องซึ่งคาดว่าคนที่หลบยืนตรงนั้นก็น่าจะรู้อยู่ถึงได้หลบแอบเสียจนไม่ให้คนในกล้องได้เห็น

คุณประคองเองก็เห็นภาพในกล้องวงจรปิดนี้แล้ว.. เขาไม่มีคำอธิบายอะไรมีเพียงยืนยันว่าเขาไม่ได้เป็นคนสั่งให้กลอยไปเอาแฟ้มเหล่านั้น และไม่รู้ด้วยว่าจะเอาแฟ้มไปทำอะไร เพราะข้อมูลทุจริตเหล่านี้ ทั้งเขาและเธอต่างรู้ดีว่า..คุณประคองคือเบื้องหลังในการตามล่าหาข้อมูลเหล่านี้มาจัดทำรายงานให้เธอเอง ไม่ใช่ฝ่ายตรวจสอบอย่างที่ออกข่าวกันไป

เขาต่างหากคือผู้ช่วยตามล่าหาตัวการในครั้งนี้..
ใช่..เธอเชื่อใจคุณประคองไม่ใช่แค่เพราะเขาเป็นคนเก่าแก่ในบริษัท แต่เพราะเขาช่วยสนับสนุนเธอทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องงานและเรื่องพ่อของเธอ ประคองนั้นเหมือนเป็นบิดาอีกคนของเธอเลยก็ว่าได้ เขาเป็นคนสนิทของพ่อ ที่ถูกส่งต่อมาให้เป็นคนที่เธอเชื่อถือและไว้วางใจ

ไม่งั้นเด็กเรียนจบใหม่อย่างเธอจะขึ้นเป็นนักธุรกิจหญิงแถวหน้าได้อย่างไรในเมื่อไม่มีประสบการณ์ทำงานอะไรเลย คุณประคองนี่แหละที่เป็นทั้งครูและผู้สนับสนุนเธออย่างเป็นทางการ เธอจึงเชื่อมั่นว่าเบื้องหลังของเรื่องนี้..ต้องมีอะไรมากกว่าที่เห็นจากภาพในกล้องวงจรปิดแน่ๆ
คงจะมีใครสักคนสร้างสถานการณ์ขึ้น เพื่อป้ายสีคุณประคอง

ภาพเคลื่อนไหวในจอถูกหยุดเป็นภาพนิ่ง เป้าสายตาของคุณมณธิชาคือกลอยและปลายมือของชายคนหนึ่งที่ยื่นออกมารับเอกสาร..

ทว่า..เมื่อกวาดตาออกไปจนทั่วทั้งภาพในจอ ก็พบเข้ากับสิ่งหนึ่งก็ทำให้เธอผวาเข้าใกล้จอเพื่อมองให้ชัดมากขึ้น..

ใบหน้าของณัฐวีร์ที่โผล่ออกมาตรงประตูห้องทำงาน..

ไม่ใช่มกรหรอกหรือที่ส่งแฟ้มให้กลอยไป..? ไหนเจ้าตัวบอกในที่ประชุมเมื่อเช้าว่า...
คุณมณธิชากวาดตาดูเวลาที่บันทึกไว้ และวันเวลาอีกครั้ง เธอเปิดมือถือและโปรแกรมแพลนเนอร์ของเธอขึ้น ไล่ปลายนิ้วไปตามวันที่และเวลา

อ่า...เธอเข้าใจแล้ว..
ตามวันและเวลาในคลิปนั้น..เธอให้มกรออกไปประชุมกับซัพพลายเออร์ร่วมกับฝ่ายปฏิบัติการ.. จำได้ว่าณัฐวีร์ปวดศีรษะจึงขออยู่ที่บริษัท.. เท่ากับว่ามกรออกรับแทนน้องสินะ

นี่ลูกชายของเธอ..ยอมรับความผิดแทนคนอื่นได้ด้วยงั้นหรือ
คุณมนธิชาเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย.. แม้ว่าเมื่อเช้าจะมีเรื่องหนักอก แต่ในความหน่วงหัวใจก็ยังมีเรื่องดีให้พอชุ่มชื่น..ลูกชายเธอไม่ใช่คนไร้หัวใจเหมือนเมื่อก่อน เขาไม่ใช่คนที่จะทำให้ชีวิตตนเองตกต่ำลงไปอีกแล้ว..

เพราะ..ณัฐวีร์สินะ..เด็กนั่นเหมือนอัศวินขี่ม้าขาวเข้ามาช่วยครอบครัวของเธอ.. เธออาจจะเห็นแก่ตัวในหลายๆอย่าง แต่สุดท้ายแล้วเธอรู้สึกขอบคุณณัฐวีร์จากใจจริง ขอบคุณที่มีณัฐวีร์อยู่บนโลกใบนี้

นอกจากนั้น..เป็นณัฐวีร์อีกนั่นแหละ..ที่เห็นว่าคนในมุมอับของกล้องคือใคร และเขา..น่าจะเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการหาตัวคนร้ายในเรื่องนี้ได้

ทว่า.. ตอนนี้ณัฐวีร์ไม่ได้อยู่ที่นี่..เธอพยายามโทรเข้าหามือถือเขาแล้ว แต่ปรากฏว่าเสียงมือถือมันดังอยู่ในห้องทำงานของเขานี่เอง..ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถสอบถามความเป็นอยู่ของเขาในตอนนี้ได้ อีกอย่าง เธอก็ยังไม่กล้าพอจะโทรหาลูกชายด้วย ดังนั้น ไว้พรุ่งนี้..เธอค่อยรอสอบถามจากเด็กคนนั้นทีเดียวก็แล้วกัน..
หวังว่าคืนนี้ทุกอย่างจะเป็นไปอย่างสงบ..ไม่ต้องมีโทรศัพท์มาบอกว่า “ใคร” เกิด “อุบัติเหตุ” อะไรอีก

คุณมนธิชาถอนหายใจเฮือกแล้วมองไปยังหัวโต๊ะ รูปถ่ายคู่ของเธอกับสามีในวันแต่งงานตั้งอยู่ตรงนั้น การได้คุยกับเขาเมื่อเช้าทำให้เธอเบาใจไปอีกนิด..เพราะอย่างน้อย เขาก็รับปากแล้วว่าจะส่งคนไปดูแลลูกไว้
*****

ในขณะที่ผู้ปกครองกำลังเป็นกังวลกับลูกชายตัวเอง.. ทางฝั่งมกรกลับกำลังหัวเราะอย่างสนุกสนาน
“ก็บอกว่าอย่าแกล้งไงครับ” ณัฐวีร์ปัดมืออีกฝ่ายออกให้พ้นแก้มตัวเองแต่ทางนั้นก็ยังไม่ยอมอยู่เฉย
ในโรงหนังที่ทั้งมืดและจำเป็นต้องลดเสียงพูดคุยลง ทำให้คนทั้งคู่ได้แต่กระซิบกระซาบกัน แม้ว่าในวันธรรมดาจะไม่ค่อยมีคนมาดูหนังกันนัก และแม้ทั้งแถวฮันนีมูนซีทจะมีพวกเขาเพียง 2 คนเท่านั้น แต่มารยาทในการดูภาพยนตร์ในที่สาธารณะ อย่างไรก็ยังถือเป็นมารยาทสากลที่ควรปฏิบัติ

แต่ดูเหมือน ..มกรจะไม่คิดแบบนั้น
“ไม่ได้แกล้ง..”

“เงียบไปเลย” เด็กหนุ่มหันมาเขม่น
“ก็ไม่เห็นจะมีใครใน...”

เสียงมกรเงียบไปทันที เพียงจังหวะหายใจหนึ่งความรู้สึกหลากหลายตีตื้นขึ้นในอกกว้าง ดวงตาคมกริบฉายแววซุกซนยั่วเย้าและแพรวพราวที่สุดเมื่อมือของอีกคนยื่นมาตะปบไว้ที่ปากของเขา

“เงียบได้แล้ว นัทจะดูหนัง.. “ เด็กหนุ่มถลึงตาเข้าใส่.. “ถ้าพี่ไม่เงียบนัทจะย้ายที่ ถ้ายังตามอีกนัทจะไม่ดงไม่ดูมันแล้ว”
มือนั้นบีบแน่นแล้วก็ทำท่าจะปล่อยหากแต่อีกฝ่ายกลับคว้าไว้
“นี่!!...”

มกรยิ้มกว้าง “เงียบๆสิครับ.. ถ้าเสียงดังพี่จะ..”
“จะย้ายไปนั่งที่อื่นหรือไง!” ณัฐวีร์กระซิบเสียงเข้ม
“ครับ.. จะย้ายไปนั่งที่อื่น” ชายหนุ่มยังยิ้มใส่ตาอีกฝ่าย “เช่นบนตักนัทเป็นต้น”

“หน้าด้าน..ปล่อยมือเลยนะ” ด่าเขาแล้วก็หน้าร้อนไปตามระเบียบ
“จุ๊ๆ เสียงดังอีกแล้วนะครับ”

ณัฐวีร์ไม่พูดแล้ว แต่ทำท่าเขยิบตัวจะลุกหนีแทน

“โอ้ยๆ ขอโทษ ไม่แกล้งแล้วครับ” มกรว่าแล้วก้มลงจรดริมฝีปากบนหลังมือน้องแบบฉิวๆก่อนจะถอยตัวไปนั่งดีๆ เงียบๆ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว

ณัฐวีร์รู้สึกหน้าร้อนวาบขึ้นเรื่อยๆ แต่จะให้มาเอาเรื่องคนที่ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเขาก็จะเหมือนคนบ้าเสียเอง ดังนั้น เจ้าตัวจึงทรุดนั่งลงตามเดิม

หนังกำลังจะเริ่มฉายแล้ว แต่มือของณัฐวีร์ก็ยังคงถูกเกาะกุมไว้ไม่ยอมปล่อย พยายามดึงแล้ว แต่อีกฝ่ายทำเป็นตุ๊กแก เกาะหนึบเลยทีเดียว แถมยังไต่มือมาพลิกมือเขาให้หงายขึ้นในท่าสบายๆแล้วพลิกมือตัวเองคว่ำลงกดจับสอดประสานตรึงมือณัฐวีร์ไว้กับที่ท้าวแขนอีกด้วย

เด็กหนุ่มเหลือบมองมือตัวเองที่เหมือนจะไม่เป็นของตัวเองอีกแล้ว..โดนยึดไว้ถาวรตลอดช่วงเวลาดูภาพยนตร์แน่ๆ
คิดแล้วก็ได้แต่ถอนใจ..เฮ้อ..

เป็นการระบายลมหายใจร้อนๆออกมาจากร่าง.. เผื่อหน้าตาที่ร้อนผ่าวๆอยู่นี้จะลดความร้อนลงมานิดนึง..ก็ยังดี
++++


แล้วจะแวะมาอีกนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) image พี่แม้นกับน้องนัท [pic]
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 23-11-2014 12:50:18
การกระทำที่เหมือนจะไปขุดความรู้สึกเดิม ๆ
ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อพี่แม้นศรีมากกว่าที่พี่แม้นกังวลนะ
คิดว่า  พี่แม้นควรไปกังวลเรื่องอื่นดีกว่า
เรื่องในบริษัท กลิ่นมาม่าฉุนมาแต่ไกลเชียว
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพตอน 29 (23.11.14) โดย morse moskito
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 23-11-2014 14:06:46
ฟ้าครึ้มฝนหลงฤดูทำให้คนมาอัดกันอยู่ในห้างสรรพสินค้าย่านใจกลางเมือง ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งที่มีหัวหน้ากลุ่มชื่อ “เอ”

และคงไม่มีประเด็นอะไรเลย ถ้าไม่ใช่เพราะหนึ่งในกลุ่มลูกน้องหน้าตาดีน้อยหน่อยของเอ ดันเหลือบไปเห็นมกรเดินออกมาจากโรงภาพยนตร์พร้อมกับณัฐวีร์
“เฮ้ย.. นั่นมันไอ้แมนหรือเปล่า กลับมากร่างแถวนี้อีกแล้วหรือไงวะ”

พอถูกสะกิดด้วยชื่อนั้น เอจึงหันไปมองร่างของคนสองคนที่กำลังเดินลงมาจากบันไดเลื่อนของชั้นโรงหนัง และกำลังเลี้ยวเข้าไปที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต

เอรวบช้อนส้อมแล้วยกน้ำขึ้นดื่มทันที ถือเสียว่ามื้อนี้มีกับแกล้มอาหารแล้ว ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องกินข้าวให้อิ่ม เขาลุกเดินไปดูนอกร้าน แล้วจึงเห็นว่าเบื้องหลังนั้นคือไอ้แมนจริงๆ

เรื่องราวระหว่างพวกเขานั้นเป็นเรื่องของผู้ชายสองคนที่เขม่นกันจนจะไม่ปล่อยให้ใครได้ดีก่อนหน้า หรือเรียกง่ายๆว่าอยากลากอีกฝ่ายลงนรกไปด้วยกันเลยทีเดียว มันเป็นความฝังใจมาตั้งแต่ม.ปลายที่ติดแน่นเจอกันเป็นต้องทำให้ต่างแตกหัก

เพียงแต่ มกรนั้นหลุดจากวังวนมาได้เพราะมีเรื่องของณัฐวีร์ให้สนใจมากกว่า แต่เอ.. มันยังเป็นบัวในโคลนที่ไม่ยอมวางมือจากเรื่องชั่วๆ ปล่อยให้ชีวิตตกหลุมมาจนป่านนี้
เอพาพรรคพวกปรี่ตามมกรและณัฐวีร์มา.. ตอนแรกเขาคิดว่าสองคนนั้นเดินเลี้ยวเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ต แต่ที่จริงคือเลี้ยวไปที่ลานจอดรถของห้างสรรพสินค้ามากกว่า

“เฮ้ย ทางโน้น..!”  เห็นหลังอยู่ไวๆ เอจึงบอกพรรคพวกอีกสองคนให้วิ่งตามไปทันที
ทั้งสามวิ่งเข้าไปหาตอนที่มกรกำลังจะแยกจากน้องไปทางด้านคนขับแล้ว

“ไงไอ้แมน!!” เสียงร้องทักนั้นทำให้เจ้าของชื่อหันขวับกลับมา ใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อครู่เครียดขมึงขึ้นมาทันทีที่เห็นศัตรูคู่อาฆาตเก่าที่เคยมีเรื่องกันมาตลอดตั้งแต่ม.ปลาย

มกรเดินกลับมาหาณัฐวีร์ทันที “ไอ้เอ..”

“โอ๊ะๆ มันจำกูได้...” เจ้าของชื่อหันไปหัวเราะกับพรรคพวก “มึงไปอเมริกาครั้งที่สองนี่ไปชุบตัวหรือหลบคดีอะไรอีกวะ”

“จะยังไงมันก็เรื่องของกู ไม่ใช่ธุระอะไรของมึง” แล้วมกรก็จับแขนน้อง “นัทเข้ารถไปก่อน เดี๋ยวพี่จัดการทางนี้เอง”

“....” ณัฐวีร์ไม่ตอบรับ ดวงตาจ้องคนที่มาหาเรื่องเขม็ง ก่อนจะหันมามองหน้ามกรด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากันมุ่น “ถ้าไปก็ไปด้วยกัน ถ้าอยู่ก็ต้องอยู่ด้วยกัน”

เด็กหนุ่มพูดพร้อมกับวางมือลงด้านหลังบั้นเอวของมกร ความอุ่นร้อนจากฝ่ามือนั้นแผ่ซ่านทำให้มกรยิ้มอย่างกังวล ดูท่าทางการกลับมาจากอเมริกาครั้งนี้ของเขาอาจจะได้พบอีกแง่มุมหนึ่งของณัฐวีร์ แง่ที่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นดื้อรั้นและเอาแต่ใจพอสมควรเลยทีเดียว

“หึ หึ ..แหม..รักกันดีนะ..เด็กใหม่มึงหรือไงไอ้แมน” คนพูดผิวปากอย่างยียวน มันถือว่าตัวเองพวกมากกว่า ร่างกายก็สูงใหญ่พอฟัดพอเหวี่ยงกันกับมกรจึงไม่ได้เกรงกลัวว่าทางฝั่งนี้จะทำอันตรายมันได้ มันเดินเข้ามาใกล้แล้วมองณัฐวีร์ตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำให้มกรต้องดึง
น้องหลบหลังตัวเอง

“มึงไม่ต้องมาเสือกยุ่ง”

“แล้วเมื่อก่อนมึงเสือกกับของของกูก่อนทำไม!”
มกรหัวเราะออกมาเบาๆอย่างยียวน เขาไม่เคยลืมอดีต พอๆกับที่ไม่เคยลืมว่าเมื่อก่อนตัวเอง..ผ่านอะไรมาบ้าง และจัดการกับสิ่งเหล่านั้นอย่างไร
“ถ้าไม่เสนอกูจะสนองเหรอวะ..เมียมึงมาหากูเอง”

“ไม่จริง!”
“ไปถามใครเขาก็รู้ว่าเมียมึงน่ะไปกับใครเขาทั่วไปหมด ไม่ใช่แค่กู เมียมึงมันวิ่งไปให้เขาเย่อกันตั้งแต่เชียงใหม่ยันภูเก็ต.. กูเอาแค่หนเดียวก็เข็ดตายห่า กลัวโรคติด”

“ไม่จริง!!” เอตะคอกเสียงดังก่อนจะผวาง้างหมัดเข้าไปหา
มันถือว่ามันพวกมากจึงได้เปิดศึกครั้งนี้ก่อน แต่เพราะเข้าไปอย่างไม่มีชั้นเชิง หรืออาจจะเพราะเข้าไปพร้อมอารมณ์โกรธ ฝ่ายมกรเองก็ตั้งรับอย่างระวังตัวไว้อยู่แล้ว พอร่างกำยำนั่นถลันเข้ามา ชายหนุ่มจึงยกขายันเปรี้ยงออกไปเต็มเท้า เล่นเอาร่างที่พุ่งเข้าใส่โดนบวกแรงยันด้วยตีนให้ปลิวสะท้านไปไกล

“นัทถอยไป!” มกรร้องบอกแล้วขยับดันน้องให้ถอยหลบแล้วตั้งท่าเตรียมพร้อม
ในกลุ่มเอ พอเห็นลูกพี่ร่วงไปนอนกุมท้องจุก ลูกน้องอีกสองคนก็ผวาเข้าใส่ทันที

“ไอ้สัตว์!”
หนึ่งในนั้นร้องด่านำมาก่อน เป็นคำด่าที่คงเจ็บไม่น้อยเพราะพอขาดคำหมัดรุ่นๆของมกรก็เสยเข้าปากครึ่งจมูกครึ่งร้องโอ้กเลือดโกรก

ชายหนุ่มหันกลับมาให้ความสนใจอีกคนที่ยังเหลือ แต่น้ำน้อยก็ต้องแพ้ไฟอยู่วันยังค่ำ เขาหันมาหามันไม่ไวพอ

ผลั่ก!

เสียงเนื้อกระทบโหนกแก้มดังลั่นหูจนเปี้ยะ เสียงวิ้งแล่นขึ้นสมอง ร่างกายซวนเซไปอย่างไร้ทิศทาง ชายหนุ่มรับรู้ได้ถึงรสเค็มปร่าและกลิ่นฉุนกึกของเลือดในกระพุ้งแก้ม เขาถลาลงไปที่หน้ากระโปรงรถก่อนจะร่วงรูดลงไปก่อนกับพื้น

แต่ขนาดว่าหูอื้ออย่างนั้น เขาก็ยังได้ยินเสียงร้องของณัฐวีร์..
นัท..

สติยังรับรู้ได้ดีอยู่ตอนที่สะโพกรูดลงไปแตะพื้น แต่เพราะท่อนขาใครสักคนซัดเข้ามาที่ปลายคางทำให้มกรไม่สามารถลุกไปหาน้องได้อย่างที่ตั้งใจไว้ ไม่เพียงปลายคางจะโดนหน้าแข้ง แต่หลังศีรษะยังกระแทกไปกับกันชนรถทำให้มึนและโลกมืดไปวูบหนึ่ง
“หยุด! หยุด!!”
เสียงตะโกนนั้นดังอยู่ใกล้ๆ แล้วตามมาด้วยเสียงของการต่อสู้เนื้อกระทบเนื้อ..

ใคร?

ณัฐวีร์หรือเปล่า..?
น้องโดนอะไร!?

ความคิดนั้นทำให้มกรต้องรีบสะบัดหน้าเรียกสติตัวเองทันที
“นัท”

เสียงที่ร้องออกไปแหบพร่าแต่แรงจากภายในทำให้ชายหนุ่มพุ่งตัวลุกขึ้น แรงนั้นเกิดจากภาพที่ไอ้เอกำลังกระชากคอเสื้อน้องเตรียมจะสาวหมัดเข้าใส่ณัฐวีร์อยู่แล้ว
“ไอ้เหี้ยเอ!” มกรร้องแล้ววิ่งเข้าไปคว้าตัวณัฐวีร์เอาไว้
ปึก!

เสียงกำปั้นกระทบเนื้อสะบักดัง และยังดังอีกหลายหมัด แต่มกรไม่ได้สนใจอีกแล้ว เขากอดณัฐวีร์ไว้แน่นเท่าที่แรงทั้งหมดจะมี มือก็กดศีรษะน้องที่พยายามจะผงกออกมาเพื่อร้องห้ามฝ่ายนั้น หลังก็รองรับทั้งหมัดทั้งแข้ง  เขาพยายามดันน้องให้ก้าวถอยเข้าไปในซอกรถที่จอดอยู่เพื่อให้พื้นที่ในการทำร้ายร่างกายนั้นลดน้อยลง อย่างน้อยก็จะได้มาทีละหมัดทีละเท้า แต่ความคิดเช่นนั้นก็คล้ายจะไร้ผล เพราะพวกมันตีเขากระหนาบจนไม่สามารถขยับหนีได้

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไรกว่าจะได้ยินเสียงเป่านกหวีดดังขึ้น และรปภ.ของห้างก็กรูกันเข้ามา เสียงวิ่งไล่และร้องห้ามระงมเซ็งแซ่
“โชคเข้าข้างมึงนะไอ้แมน!” เอเข่นเขี้ยวก่อนจะผละไป

“เป็นอะไรไหมคุณ” รปภ.ร้องถามพร้อมกับวิทยุไปแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคาดว่าจะให้สกัดตัวคนกลุ่มนั้นไว้
“ไม่เป็นไร ปล่อยไปเถอะผมไม่เอาเรื่อง..” มกรพูดกับทางรปภ. ปากเจ็บพูดก็ไม่ถนัด มกรจึงได้แต่พยักหน้าให้กับคนที่ยืนรายรอบ แม้หลังไหล่จะเจ็บร้าวมกรก็ยังกัดฟันขยับตัวออกเพื่อจะมองดูคนในอ้อมแขนให้ถนัดมากขึ้น

ดวงตาแดงก่ำของณัฐวีร์มองสบมา เด็กหนุ่มไม่ได้ร้องไห้เพราะพยายามที่สุดที่จะกดน้ำตาจากความตกใจเอาไว้
ณัฐวีร์แทบไม่เคยอยู่ในการประจัญบานกับใครเลย.. เขาไม่ใช่พวกที่จะพาตัวเข้าไปเสี่ยงชีวิตอยู่ในวงล้อมของการทะเลาะเบาะแว้งอย่างนี้

ต่อให้เป็นผู้ชาย แต่เขาก็ฉลาดพอที่จะหลีกเลี่ยงไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องที่พ่อแม่จะเสียใจ..
“นัท..”
เสียงเรียกนั้นทำให้น้ำตาที่พยายามเก็บกดไว้รื้นขอบตาจนใบหน้าอีกฝ่ายพร่ามัว.. คนๆนี้เอาตัวเองปกป้องเขา..โดยไม่คิดถึงอันตรายที่กำลังเกิดขึ้น..

เหมือนเขา.. ที่ยอมเสี่ยงเข้าไปป้องกันคนๆนี้ทั้งที่ไม่เคยมีประสบการณ์ชกต่อยกับใครเขาเลย

ณัฐวีร์มักเลือกการใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาดเสมอ.. ประสบการณ์สอนให้เขาหลีกเลี่ยงความเสี่ยง.. แต่วันนี้เขาพาตัวเองเข้าไปหาความเสี่ยงนั้น..
ทำไม..?

เขาถามตัวเอง.. เขาถามเผื่อไปถึงมกรด้วย..
ทำไมถึงปกป้องเขา ทำไมเอาตัวมากันเขาไว้..
ทำไม..?

ณัฐวีร์ยังไม่อยากหาคำตอบตอนนี้ เขากะพริบตาถี่ๆไล่น้ำตา เขายกมือขึ้นมาจับแก้มอีกฝ่ายแล้วใช้นิ้วโป้งปาดเช็ดเลือดออกจากริมฝีปากให้

คนฉลาดอย่างเขาไม่รู้จะเลือกคำพูดอะไรดี.. ได้แต่ถามคำถามโง่ๆออกไป
“พี่แมน..ไม่เจ็บใช่ไหม..?”

คำถามง่ายๆที่ณัฐวีร์มองว่าเป็นคำถามโง่ๆกลับทำให้คนฟังอุ่นขึ้นในอก หัวใจมันพองฟู..เติมเต็มด้วยความสุข

..ไม่มีหรอกที่จะไม่เจ็บ ทั้งหมัด หน้าแข้ง ฝ่าเท้า แต่เพราะคำถามนั้นความเจ็บที่มีก็เลยหายไป..ทำให้ชายหนุ่มยิ้มให้กับอีกฝ่าย
“ไม่เจ็บเลย ..นัทล่ะ เจ็บไหม”

เด็กหนุ่มก้มหน้าลง กะพริบตายังไงก็ไล่น้ำตาออกไปไม่ได้.. ยิ่งอีกฝ่ายถามว่าเจ็บไหมเขายิ่ง..
“ไม่..” ณัฐวีร์ตอบได้แค่นั้นแล้วเสียงก็หายไปในคอ

เสียงสั่นเครือนั้นทำให้มกรดึงร่างน้องเข้ามากอดอย่างปลอบใจ “ไม่เป็นไรนะ”
แรงขยับหน้าที่อยู่ตรงช่วงอกทำให้มกรก้มลงจูบศีรษะนั้นด้วยความยินดี ..เขาไม่ได้รู้สึกไป
เองใช่ไหม ไม่ได้คิดไปเองว่าณัฐวีร์ห่วงเขา มกรยิ้มกว้างแล้วกอดร่างนั้นแน่น

“เอ่อ..”

เสียงนั้นทำให้ณัฐวีร์สะดุ้งและถอยออกจากอ้อมแขนมกรทันที.. ลืมไปเลยว่าพวกเขาไม่ได้อยู่กันลำพัง เด็กหนุ่มยกมือขึ้นปาดน้ำตาและกระแอมในคอเล็กน้อยก่อนจะหันไปพูดลอยๆกับเสาอาคารที่จอดรถ

“นัทไปรอในรถนะครับ” แล้วคนพูดก็เดินลิ่วๆไปเลยปล่อยให้เจ้าของรถพูดกับรปภ.อยู่คนเดียว

พอเคลียร์เรื่องทางห้างจบพวกเขาก็ขับรถกลับคอนโด อาการยอกจากผลการตะลุมบอนกันกำลังเล่นงานมกร ทำให้ณัฐวีร์ต้องประคองชายหนุ่มให้ค่อยๆทรุดนั่งลงบนโซฟา
แต่..จริงๆแล้วณัฐวีร์ก็แอบมีสงสัยอยู่เหมือนกัน..

เจ็บจริงหรือแกล้งเจ็บหนักกันแน่ ..ไม่ยอมลุกออกจากรถเอง แต่ชะโงกหน้ามาหอมแก้มเขาได้ตอนประตูห้องปิดลง พอโดนดุก็ยิ้มทะเล้นเข้าใส่แล้วทำทีเป็นชี้ไม้ชี้มือที่แผล แบบนี้มันไม่น่าจะใช่..

ณัฐวีร์คิดอย่างรู้สึกถูกเอาเปรียบ ..ทว่า ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการถูกเอาเปรียบแบบนี้ทำไมเขาถึงยอมให้ ก็ออกจะรู้ทันทำไมยังยอม
อีกแล้วสินะ..คำตอบที่ยังไม่อยากรู้..

ณัฐวีร์นึกโกรธตัวเองแล้วทำท่าจะผละหนีตอนที่ส่งให้อีกฝ่ายนั่งลงกับโซฟาแล้ว แต่เพราะมกรร้องโอดโอยออดอ้อน ทำให้เขาไม่สามารถทิ้งลูกหมาบาดเจ็บไปได้

“ทำแผลให้หน่อยครับ..” มกรร้อง.. มันเป็นความเจ็บตัวแต่สบายใจ เขายิ้มได้ตอนที่ณัฐวีร์ใช้แอลกอฮอลล์เช็ดรอบแผล แล้วเทยาเบตาดีนใส่แผลสดที่แขนขา เขายิ้มได้แม้ว่าจะแสบและเจ็บยอกไปทั้งตัว.. เขายิ้ม..อย่างมีความสุข

"ยังจะยิ้มได้อีกนะ" เด็กหนุ่มว่าแล้วกดสำลีหนักมือขึ้นอย่างต้องการจะแกล้งเป็นการสั่งลา
"โอ๊ยๆ" มกรร้องแล้วคว้ามือน้องเอาไว้ "เจ็บครับ.."

"เจ็บแล้วไปมีเรื่องทำไม" ณัฐวีร์ดุแล้วดึงมือออกจากมืออีกฝ่าย มกรทำหน้าเสียดายแต่ก็ยอมปล่อยมือแต่โดยดี

"นัทก็เห็นว่าพี่ไม่ได้เป็นคนเริ่มก่อน"
"ก็เลี่ยงมาเสียสิครับ"
ได้ยินแบบนี้มกรเลยยิ้มกว้างหนักกว่าเดิม "เลี่ยงก็ไม่รู้สิว่านัทเป็นห่วงพี่น่ะ"

"พี่แมน! นัทจะโกรธจริงๆแล้วนะ" เด็กหนุ่มกระแทกเสียงพร้อมกับปาก้อนสำลีเปื้อนยาลงถังขยะ

"อย่าโกรธพี่เลยนะ เท่านี้พี่ก็ช้ำในจะแย่แล้วครับ" มกรทำหน้าละห้อยพลางขยับอย่างรู้สึกไม่สบายตัวในท่านั่งเท่าไรนัก
"เจ็บตัวแบบนี้กินยาแล้วนอนเถอะครับ" เด็กหนุ่มหันไปหยิบยามายื่นให้สองเม็ด

"เหมือนตอนนั้นเลยนะ.." ชายหนุ่มพึมพำเมื่อนึกย้อนไปถึงอดีตครั้งแรกที่พวกเขาได้มาที่ห้องนี้ ครั้งแรกนั่น เขาถูกไอ้เอเล่นงานจนต้องกินยา ครั้งนี้ก็ต้องกินยา
แต่เขาสัญญาว่าจะไม่ให้มันเกิดแบบเดิมอีกแน่นอน.. จะไม่มีการกระทำใดๆที่ณัฐวีร์ต้องบาดเจ็บอีก ..จะต้องไม่เหมือนคืนนั้น..

"พี่แมนว่าอะไรนะครับ" ณัฐวีร์หันกลับมาถามขณะเก็บอุปกรณ์ทำแผลเข้าที่
มกรยิ้มแล้วส่ายหน้า เขาหย่อนยาเข้าปากดื่มน้ำตามมากๆ แล้วอยากจะไปนอน พลันก็หวนนึกถึงการแกล้งป่วยครั้งนั้นขึ้นมาอีก ความรู้สึกผิดโถมเข้ามาในหัวใจ

"เป็นอะไรครับ?"
มกรยิ้มแต่ไม่ยอมมองหน้าน้อง "พี่แค่คิดอะไรนิดหน่อยไม่มีอะไรหรอก"
เห็นท่าทางหงอยๆแบบนั้นณัฐวีร์เลยขยับเข้าไปใกล้ เด็กหนุ่มวางมือลงบนหน้าขาแล้วบีบเบาๆ "จะขึ้นไปพักข้างบนไหม นัทจะพาไป"
มกรส่ายหน้า "ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ขึ้นไปเอง"

ให้อย่างไรเขาก็ยังไม่อยากให้ณัฐวีร์ขึ้นไปบนห้องนั้นอยู่ดี.. นี่เขารู้สึกผิดจริงๆนะเนี่ย..น่าจะเป็นเอามากล่ะ

"ดื้อจริงๆนะครับ ข้างบนนั่นมันมีอะไรหรือไง นัทถึงขึ้นไปไม่ได้น่ะ" พอพูดจบ ณัฐวีร์ก็ลุกเดินนำขึ้นไปก่อน..
"เดี๋ยวนัท" มกรเห็นท่าไม่ดีเลยรีบลุกตาม แต่กว่าจะทันกันก็เมื่อมายืนกันอยู่ด้านบนตรงหัวบันไดแล้ว เขาดึงมือเด็กหนุ่มไว้จึงได้เห็นว่าณัฐวีร์กวาดตามองไปทั่วพื้นที่ด้วยท่าทางอยากรู้

"ก็ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวนี่ครับ นึกว่ามีซ่อนใครไว้เสียอีก" คนพูดหันมายิ้มให้
"จะไปมีใครได้" มกรยิ้มตอบแล้วเลื่อนมือจากข้อมือน้องมาจับมือเล็กกว่าบีบเบาๆ "มีนัทคนเดียวก็พอแล้ว ...หลงจะแย่แล้วครับ"

ณัฐวีร์ยกไหล่หนีพาลดึงมือหนีตามไปด้วย "ไม่ต้องมาหวาน นัทขนลุก"
เด็กหนุ่มเดินนำเข้าไปในห้องนอน เตียงถูกคลุมเอาไว้เพื่อกันฝุ่นทำให้เขาเดินไปดึงผ้าออกแล้วหันกลับมาเรียกเจ้าของห้อง "มาพักเร็วครับ กินยาแล้วก็อย่าดื้อมานอนเร็วๆเข้า”


ขอแปะไว้เท่านี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวหลังวันที่ 10 จะมาลงใหม่ค่ะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) image พี่แม้นกับน้องนัท [pic]
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 23-11-2014 14:45:22
ตามอ่าน
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) image พี่แม้นกับน้องนัท [pic]
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 23-11-2014 15:53:21
จินตนาการไม่ออกว่า  ถ้าวันไหนที่นัทจำได้จะเป็นยังไง
แต่คนแต่งปูทางให้นัทเป็นคนมีเหตุผลมาตลอด
คงไม่หนีหน้าไปอยู่เกาะ  ไม่พบไม่เจอหน้าผู้คนเลยหรอกเนาะ
ถึงแม้ว่านัทจะอารมณ์ไม่ค่อยคงที่หลังจากที่ประสบอุบัติเหตุแล้วก็เถอะ
... ภาคนี้ สงสารพี่แม้นศรีเบา ๆ เหมือนพี่แม้นจะดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความเกร็งตลอดเวลา
กังวล คิดมาก น้อยใจ เสียใจ รู้สึกผิด และแอบมีอารมณ์บ้าปนมาเป็นพัก ๆ
เฮ้อ  ลุ้นไปกับทั้งคู่ด้วย ... ว่าแต่พี่แชร์หายไปไหนหลายตอนแล้วนะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) image พี่แม้นกับน้องนัท [pic]
เริ่มหัวข้อโดย: hongzaa ที่ 23-11-2014 18:11:54
ปักป้ายอยู่ทีมอิตาแม้นศรีทันไหม
แบบนะ ไม่รู้สิ นางน่าสงสารนะ จะสุขก็สุขไม่สุด
นี่ก็คิดไม่ออก ถ้าน้องจำได้จะเป็นยังไงอีก
ถ้านางเมินอีก อิพี่มันไม่ฆ่าตัวตายเลยหรอ จริงๆแล้ว
มีความรู้สึกว่าอิพี่แม้นศรีมันเหมือนเด็กอะ สงสารมันจัง
ก็หวังว่าวันที่น้องรู้ความจริง มันจะไม่แย่มาก
จนอิพี่แม้นประสาทหนักกว่าเดิมละ อีกใจหนึ่งก็กลัว
มีเรื่องอะไรที่กระตุ้นความผีบ้าของอิพี่แม้น ให้ทำอะไรน้องอีก
แล้วน้องดันจำได้ ตอนที่โดนอิพี่แม้นบ้าใส่อีก อันนั้นคือเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเลยนะโถ่ถัง
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) image พี่แม้นกับน้องนัท [pic]
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 23-11-2014 19:58:37
เย่อๆ มาต่อแล้ว
เหมือนเป็นผลกรรมที่พี่แมนทำไว้กับนัทเมืื่อในอดีตเลยนะ
สงสารพี่แมนเหมือนกัน เมื่อก่อนทำกับน้องไว้เยอะ. ก็ต้องมาชดใช้อย่างหนัก
นี่อยากให้นัทจำพี่แมนได้เร็วๆ อยากรู้ปฏิกิริยา ยังจะรักหรือหลีกหนี
แต่อีกสิ่งที่ทำให้เรารู้ พี่แมนรักนัทมากจริงๆ ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้น้องมีความสุข
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพตอน 29 (23.11.14) โดย Mor(s)e
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 24-11-2014 09:51:42
กริ๊ววววว วว  ขอโทษที่ไม่ได้มาทำหน้าที่เลยค่ะ พอดีติดเด็ก 55555 กราบขออภัย

ช่วงนี้เลยให้มอส มาอัพเองเลย มีไรทวงคนแต่งได้เลยนะคะ

ขอเวลาไปเต๊าะเด็กก่อนค่ะ >3<
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพตอน 29 (23.11.14) โดย Mor(s)e
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-11-2014 00:44:32
ยาวสะใจมาก กังวลใจถึงเรื่องนี้ตลอดเลยว่าแต่ละคนจะเป็นแบบไหนต่อ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพตอน 29 (23.11.14) โดย Mor(s)e
เริ่มหัวข้อโดย: TR ที่ 25-11-2014 09:12:46
ดีใจมากๆที่เห็นเรื่องนี้มาลงต่อแล้ววว

เหมือนนัทจะเริ่มเปิดรับพี่แม้นแล้วรึเปล่า จริงๆก็หวงพี่แม้น ใส่ใจความรู้สึกพี่แม้น
อ่านแล้วเหมือนกำลังจะไปได้สวย แต่ก็ยีงแอบอึนๆ
รู้สึกเหมือนตัวเองจะกลายเป็นอิพี่แม้นละ อ่านแล้วเครียดแทน
คือ น้องนัทเวอร์ชั่นจำอดีตไม่ได้เหมือนจะรู้สึกไปในทางที่ดีกับพี่แม้น
แต่ถ้าน้องนัทเวอร์ชั่นจำความได้ จะเป็นยังไง??? หน่วงแทนพี่แม้น

แอบหวัง เพราะน้องนัทดูมีเหตุมีผลมาตลอด และนัทในอดีตที่เคยถูกทำร้ายก็ดูจะมีใจให้แม้นอยู่นิดหนึ่ง(รึเปล่า)
เลยหวังว่า ถ้าน้องฟื้นความทรงจำ ขอให้ไม่ทำอะไรรุนแรง อย่าทิ้งอิพี่แม้นไปเลย กลัวนางฆ่าตัวตาย
ใจหนึ่งอ่านไปก็อยากให้อิพี่แม้นเป็นคนสารภาพออกมาเลย อึดอัดแทน
อยู่ไปอย่างนี้แม้นจะฟิน จะหวาน จะดีใจ จะอะไรก็ได้ไม่สุด สงสารนาง T^T

พี่แม้นอุตส่าห์โชว์เท่ห์เอาตัวปกป้องน้องนัทแล้ว น้องนัทเห็นใจนางเหอะ
อินมากเรื่องนี้ แล้วจะรอตอนต่อนะคะ ขอบคุณทั้งคนแต่งและคนโพสเลยค่ะ :)
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพตอน 29 (23.11.14) โดย Mor(s)e
เริ่มหัวข้อโดย: Teddysdeath ที่ 25-11-2014 19:15:43
อิพี่แม้นต้องเร่งทำคะแนนจิตพิสัยกลบความผิดอย่างหนักเลยสถานเดียวตอนนี้
เผื่อจะมีความดีไว้ถ่วงดุลตอนน้องจำได้ขึ้นมาบ้างนะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพตอน 29 (23.11.14) โดย Mor(s)e
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 25-11-2014 23:00:43
สนุกค่ะ อ่านตอนแรกนึกว่า นัทแกล้งความจำเสื่อม
เอาใจช่วยทั้งคู่เลย
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพตอน 29 (23.11.14) โดย Mor(s)e
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 26-11-2014 22:54:37
จ้างคนรุมกระทืบไอ้เอแพ้พ ไอ้นี่ไม่จบ น้องนัทน่ารักของพี่แม้น
แค่เป็นห่วงพี่เขาก็ดีใจมากแล้ว พระเอกฉันเป็นคนมีปม

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพตอน 29 (23.11.14) โดย Mor(s)e
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 27-11-2014 00:09:09
ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพตอน 29 (23.11.14) โดย Mor(s)e
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 27-11-2014 20:36:23
แอบสงสารพี่แมนนะ :z3:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพตอน 29 (23.11.14) โดย Mor(s)e
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 28-11-2014 02:40:46
จะสงสารหรือจะอะไรดีล่ะ ทำกับน้องไว้เยอะ
ถือว่าสมควรละเนอะ เจ๊ากันไป
แต่ปมที่บ้านของแมน มันสุดๆเลยอ่ะ
ทั้งตาทั้งแม่ คือ ตาจะมาโทษหลานแบบนี้ มันไม่ใช่ว่ะ
ไม่ดูแลเอง จะมาโทษคนอื่นได้ยังไง

สู้ๆละกันเนอะพี่แมน น้องนัท
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพตอน 29 (23.11.14) โดย Mor(s)e
เริ่มหัวข้อโดย: Brow_Ney ที่ 30-11-2014 23:17:55
ตามมาอ่านจากกระทู้แนะนำค่ะ ชอบพระเอกแนวนี้  เลวแบบ ต้นร้ายปลายดี...รึป่าว 555 รอลุ้นกันต่อไป
ส่วนน้องนัทก็ดูฉลาด ทันคน ไม่ถึงกับอ่อนแอ น่าจะรับมือกับพี่แม้นศรีได้
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพตอน 29 (23.11.14) โดย Mor(s)e
เริ่มหัวข้อโดย: mini.tori ที่ 04-12-2014 04:27:08
 :mew2: :mew2: รอ เมื่อไหร่จะมาต่อ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพตอน 29 (23.11.14) โดย Mor(s)e
เริ่มหัวข้อโดย: 045262638 ที่ 04-12-2014 12:15:23
สนุกมากค่ะถ่ายทอดอารมรณ์ความรู้ได้ถึงขั้นดี ถ้าเต็ม10 ให้ 7 เพราะอะไร? ทำไมไม่ให้เต็ม 10เพราะยังทำให้เราร้องไห้ไม่ได้(อันนี้ก็แล้วแต่บุคคล) ได้แต่น้ำซึม อันนี้ให้ในความดราม่าเพราะเราชอบอาดราม่าเลยพอจะรู้ว่าอยู่ในระดับไหน ถ้าให้ในเรื่องของความสนุกแงคิด ที่ได้รับจากเรื่องแล้วให้เต็มค่ะ พี่ถ่ายทอดและสะท้องในเรื่องที่ไม่ค่อยมีใครที่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้อยู่จริง (ไม่ได้ว่าเรื่องแต่มาจากเรื่องจริงนะ เพียวแต่คิดว่าในชีวิตจริงต้องมีเรื่องแบบอยู่จริงๆ ไม่หนึ่งในแสนก็หนึ่งในล้าน) เคยอ่านแนวนี้แต่น้อยมากที่นักเขียนจะยิบยกขึ้นมา ได้อ่านเรื่องนี้บอกเลยว่าครบทุกรสค่ะ แต่งแปลกไปจากผู้เขียนท่านอื่นมันเหมือนได้เปลี่ยนบรรยากาศจากแนวอื่นมาเป็นแนวนี้ ยังไง? ก็ตรงที่ผู็เขียนทำให้เราสงสาร "แมน" ได้ เรื่องอื่นที่เคยอ่านน้อยเรื่องที่จะให้ผู้อ่านโน้มนาวไปเชียร์ผู้ที่กระทำความผิด สุดท้ายนี้ชอบมากๆๆ รักเต็มๆเลยเรื่องนี้ สู้ๆๆกับงานเขียนต่อไปนะค่ะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพตอน 29 (23.11.14) โดย Mor(s)e
เริ่มหัวข้อโดย: naamsomm ที่ 05-12-2014 23:14:39
สนุกมากกกกกกกกก

ชอบมากๆๆจ้า
ตอนนี่เข้าใจพี่แมนแล้ว
ทำไมต้องทำเรื่องร้ายๆ  เพื่อเรียกร้องความสนใจ
หัวข้อ: มาดูความหล่อของพี่แม้นในเล่มแรกกัน >3< [09Dec14] โดย Mor(s)e
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 09-12-2014 21:08:04
อิมเมจพี่แม้นกับน้องณัฐ โดนใจใครหรือเปล่าคะ?

(http://upic.me/i/uc/28396.jpg) (http://upic.me/show/53856058)



แล้วก็ขอขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์ทุกๆข้อความนะคะ เป็นกำลังใจอย่างมากสำหรับคนแต่งเค้าเลยค่ะ
สัญญาว่าจะอัพบ่อยนะคะ
 :mew1:  :mew1:




==========
Mor(s)e : https://www.facebook.com/pages/Morse/120230658164895?fref=photo
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) มาดูความหล่อของพี่แม้นในเล่มแรกกัน >3< [09Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 09-12-2014 22:42:01
น้องนัทดูตาลอยๆจัง เหมือนโดนสูบวิญญาณ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) มาดูความหล่อของพี่แม้นในเล่มแรกกัน >3< [09Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: inpurplethief ที่ 09-12-2014 22:53:54
ก่อนศัลยกรรมน้องยังหล่อขนาดนี้หลังศัลยกรรมจะขนาดไหน
พี่แม้นหล่อจัด
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) มาดูความหล่อของพี่แม้นในเล่มแรกกัน >3< [09Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: Buppha ที่ 10-12-2014 12:50:53
 :impress2: รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) มาดูความหล่อของพี่แม้นในเล่มแรกกัน >3< [09Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: rk ที่ 11-12-2014 23:04:29
ชอบมากเลย มาต่อไวๆน่า
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 30 [14Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 14-12-2014 22:00:21
 สวัสดีค่ะ คนเขียนเองนะคะ ยืมล้อคมาใช้อีกแล้วค่า

ก่อนอ่าน..  :z2:

1. ทำใจเยอะๆนะคะ อาจมีเรื่องผิดคาด ผิดโผ และอาจมีการเปลี่ยนแปลงใหม่เสมอ

2. พระเอกจะกลายเป็นนายเอกเข้าไปสักวันหรือเปล่านะ..

3. แม้นศรีของป้านั้นดราม่าจริงๆค่ะ

4. จะมาต่อเมื่อยอดคอมเม้นท์ต่อจากคห.นี้ครบ 20 คนนะคะ 555 น่าจะอีกนาน หาทางอู้งานได้แล้วเรา
 
 :hao6:

========





ถ้าไม่นอนจะโดนทำโทษไหมเนี่ย...

แล้วโทษของคนใจร้ายคนนี้จะเป็นอย่างไรนะ

มกรได้แต่ถามสิ่งนั้นอยู่ในใจไม่กล้าเอ่ยออกไป..

เขาเดินไปขึ้นเตียงแล้วล้มตัวลงนอนอย่างว่าง่าย

"นอนพักเสียนะครับ เดี๋ยวนัทลงไปเก็บของข้างล่างแป้บแล้วจะขึ้นมาดูพี่อีกที"

มกรอยากจะรั้งอีกฝ่ายไว้แต่ก็ไม่กล้า เขาได้เพียงพยักหน้ายอมตกลงตามที่ณัฐวีร์ตัดสินแล้วมองดูเด็กหนุ่มเดินจากไป พอประตูงับลงความอยากพักผ่อนก็ไม่ได้กระเตื้องขึ้น

ชายหนุ่มได้แต่นอนมองไปรอบๆห้อง เขาคุ้นตากับทุกอย่าง แต่ไม่รู้สึกคุ้นเคยกับมัน ห้องที่จากไปนาน ไร้ไออุ่นของคนอาศัย ใจที่ร้างเจ้าของ ก็คงไม่ต่างกัน เขารู้สึกยังมีชีวิตแต่เหมือนทุกลมหายใจขาดอะไรไปบางอย่าง

เกือบสองปีที่ห่างหายการแลกเปลี่ยนไออุ่นและลมหายใจระหว่างกันและกัน

เขาไม่เคยมีอะไรกับใครได้อีกเพราะทุกครั้งที่ต้องการ เขาจะเห็นหน้าณัฐวีร์ลอยมาเสมอ พอกลับมาที่ห้องนี้ เตียงนี้ถึงได้เข้าใจว่าทำไม

บนเตียงนี้ เขากอดน้องหลายครั้ง แรกๆเขานำ เขาสอนร่างกายนั้น แต่ต่อมาเมื่อคุ้นเคยกันมากขึ้น มีหลายหนที่น้องเรียกร้องเพิ่มเอาจากเขา เหงื่อบนแผ่นหลังของเขาไหลซึมออกมา หากก็มักถูกมือเรียวขาวนั่นปาดลูบอย่างไม่รู้จะหาทางผ่อนอารมณ์ตนเองลงอย่างไร พวกเขาทั้งคู่ต่างอยู่ในอ้อมแขนของกันและกัน... บนเตียงนี้

เขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่าตนเองยังจดจำมันได้ และโหยหามันมาตลอดระยะเวลาที่ห่างกัน

สองปีที่ไม่ได้อยู่ในอ้อมแขนนั้น.. สองปีที่ไม่ได้โอบกอดร่างนั้น

มันสร้างความทรมานให้เขาไม่น้อย ทรมานจนบางครั้งต้องหลับตาแล้วฝันหวานถึง.. ปลอบประโลมร่างกายตัวเองด้วยจินตนาการ ดำดิ่งสู่ความต้องการนั้นด้วยภาพ และเสียงที่สมองขี้เลื่อยนี้จดจำไว้ได้

ใช่..เขาคือคนโง่..โง่นักที่ไม่รู้จักดูแลแก้วเจียระไนสวยแต่เปราะบาง

ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ยิ่งนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาเท่าไร ยิ่งจำได้ดีเท่าไร ความเจ็บปวดและโหยหาก็ยิ่งติดลึกในอกนี้

อึดอัดจนมกรต้องพรูลมหายใจออกมาก่อนจะพึมพำ "มะม่วง พ่อจะทำยังไงดี..พ่อจะพาแม่เขากลับมาให้มะม่วงได้ยังไงดี แม่เขามีเมียไปแล้ว เขาคงไม่มาอยู่กับเราแล้ว"

พูดแบบนั้นแล้วก็ถอนใจอีกรอบ

มกรสมมุติให้มะม่วงยังมีชีวิตดีอยู่ โดยมีณัฐวีร์เป็นแม่ของเด็ก เวลาเขียนไดอารี่ เขาก็มักจะใช้คำว่าแม่แทนตัวณัฐวีร์ แต่ตอนที่อีกฝ่ายรู้เรื่องไดอารี่ เขาไม่ได้บอกเรื่องนี้เพราะกลัวจะโดนหาว่าบ้าหนักไปอีก

อีกอย่าง ดูเหมือนณัฐวีร์เองก็ยังอ่านไปไม่ถึงไหนด้วย ก็เป็นอันรอดตัวไป จากนี้ก็แค่เก็บไดอารี่ที่ตัวพร่ำเพ้อให้ไกลหูไกลตาณัฐวีร์เสียหน่อย.. ทุกอย่างก็จะปลอดภัยขึ้น

มกรคิดสะเปะสะปะหาทางทางให้ไดอารี่ปลอดภัยจากการเปิดอ่าน แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้ชะตากรรมตัวเอง มกรจะไม่รอดก็คราวนี้ล่ะ.. เพราะณัฐวีร์เปิดประตูมาทำหน้ายุ่งใส่แล้วนั่น

"ทำไมยังไม่นอนครับ"

มกรเงยหน้ามายิ้มแห้งๆ "ก็มัน..." เขามองไปรอบๆ "ไม่ได้กลับมานาน พอกลับมาก็เลยไม่คุ้น.. อีกอย่างก็คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่จนนอนไม่หลับ..”

ณัฐวีร์นิ่งไปนิดก่อนจะผละจากประตูเดินมานั่งที่เตียงด้วย  "เรื่องที่นี่..? เรื่องแม่ของมะม่วงหรือเปล่าครับ"

มกรยิ้มมุมปากยอมรับ "ก็ใช่นะ ทั้งเรื่องมะม่วงและแม่มะม่วงด้วย"

“รักเขามากสินะครับ..”

คราวนี้มกรยิ้มกว้างเลย “รักมาก รักทั้งคู่นั่นแหละ”

เด็กหนุ่มเบือนสายตาไปทางอื่น เอ่ยถามเสียงแข็ง "แล้วเมื่อไหร่จะได้นอน!"

เสียงนั่นทำให้มกรกะพริบตาปริบ โกรธอะไรเขาหว่า..?

"ก็รอนัทมา จะได้พักพร้อมกัน"

ณัฐวีร์ชะงักเมื่อได้ยินประโยคนั้น ท่าทางแข็งขึงของเด็กหนุ่มดูอ่อนลงอีกครั้ง “ก็ทำไมต้องรอ..”

มกรยิ้มเศร้า.. “ไม่รอนัท..ก็ไม่รู้จะรอใคร.. พี่มีนัทคนเดียว จนตอนนี้ก็เหลือนัทอยู่คนเดียว” ยิ้มเศร้าๆของมกรเริ่มสั่นที่ริมฝีปาก ชายหนุ่มเม้มปากตัวเองเป็นเส้นตรง “แต่ไม่เป็นไร พี่รอได้ พี่เป็นอะไรก็ได้..ขอแค่อยู่ตรงนี้ก็พอ อยู่ข้างๆกันแบบนี้ก็พอ”

ประโยคนั้นจบลงณัฐวีร์ก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่งคล้ายหนักใจ ทำให้มกรหน้าเสีย หรือว่าเขาจะทำให้น้องรู้สึกแย่กับคำพูดของเขา..

ไม่เอา.. อย่าเป็นอย่างนี้ เขาไม่อยากให้ณัฐวีร์รู้สึกไม่ดีเพราะการกระทำหรือคำพูดของเขาอีก

"เอ่อ..พี่ขอ.."

"ก่อนพี่จะขอ ให้นัทขอก่อน.." เด็กหนุ่มเอ่ยขัด "สัญญามาได้ไหมครับ..สัญญาจะไม่โกหกนัท"

มกรไม่เข้าใจว่าณัฐวีร์หมายความว่าอย่างไรแต่ก็พยักหน้ารับ

"เคยเกิดอะไรขึ้นที่ห้องนี้ใช่ไหมครับ"

มกรอึ้งไป เรื่องราวมากมายเกิดขึ้นที่นี่..ทั้งเรื่องมะม่วง ทั้งเรื่องณัฐวีร์ เรื่องที่ไอ้เอมันเคยบุกมาพาเมียมันกลับจนเกือบฆ่ากันตาย

เขาควรจะตอบว่าอย่างไรดีเล่า?

ทำไมณัฐวีร์ถึงถามคำถามนั้น?

จะเริ่มเล่าเรื่องไหนก่อน?

หรือ..จะจำอะไรขึ้นมาได้แล้ว?

มกรรู้สึกว่าเหงื่อเย็นเยียบค่อยๆไหลจากขมับลงมา ยิ่งคาดการณ์ไปว่าณัฐวีร์อาจจำเรื่องราวระหว่างกันได้ยิ่งทำให้มกรปริวิตก

"มะม่วง..ใช่ไหมครับ?"

คำถามนั้นส่งผ่านมาพร้อมกับสายตาอ่อนโยนที่ณัฐวีร์ใช้มองร่างที่เอนกายพิงหัวเตียงอย่างอ่อนแรง

อ้อ..เรื่องมะม่วงงั้นหรือ..?

มกรเหมือนยกภูเขาออกจากอก นึกอย่างรู้สึกโล่งใจ เพราะณัฐวีร์ไม่ได้ถามในสิ่งที่เขากำลังกังวล ชายหนุ่มรีบพยักหน้า

"ใช่ มะม่วงตายที่นี่.. คนนั้นเขากระโดดลงไปจากหัวบันได” มกรปิดตาลง พอพูดแล้วก็ให้นึกภาพความสูญเสียนั้น

“มันเป็นวันที่ฝนหลงฤดูตกมาตั้งแต่เย็น จนเกือบสี่ทุ่มแล้วก็ยังไม่หยุดตก พี่มีนัดกับพวกแชร์ ก็จะไปเที่ยวตามประสา แต่คงเพราะช่วงนั้นมีคนเข้ามาเยอะ..”

พูดไปก็มองปฏิกิริยาณัฐวีร์ไป เห็นอีกฝ่ายยังวางหน้าเฉยๆ มกรเลยเล่าต่อ

“คนนั้นเขาก็เลยห้ามไม่ให้ออกไป.. แล้วเขาก็ไม่สบายด้วย พี่เห็นเขากินยาแล้วก็ควรจะได้พักอยู่บ้าน พี่ไปคนเดียว เขาก็ไม่ยอมจะให้อยู่กับเขา ให้ดูแลเขา แต่เวลานั้นพี่ไม่ได้อยากอยู่ที่นี่ ใจพี่อยากออกไปเที่ยวพี่ก็เลยไม่ฟังเขา ก็กำลังจะออกไป.. เขาเลยกระโดดลงมา”

เสียงตรงประโยคสุดท้ายสั่นเครือ มือของมกรถูกยกขึ้นมาปิดบังหน้า และเป็นมือที่สั่นจนรู้สึกได้

“พี่ไม่นึกว่าเขาจะทำแบบนั้น เห็นว่าไม่สบายยาก็กินแล้วก็จะได้พักไป แต่เขากลับ..”

ณัฐวีร์ยื่นมือออกไปดึงมืออีกฝ่ายออกจากใบหน้า “พี่แมน..”

เจ้าของชื่อยอมลดมือลงทั้งสองข้าง ตานั้นแดงก่ำแต่ยังไม่ยอมมองหน้าณัฐวีร์อยู่ดี

“พี่แมนฟังนัทนะ.. การสำนึกผิดมันเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ แต่มันทำให้เราก้าวเดินไปข้างหน้าได้ เชื่อนัทนะ มะม่วงและพี่ผู้หญิงเขาต้องรับรู้ได้สักวันว่าพี่แมนสำนึกผิดแล้ว”

มกรพรูลมหายใจออกมาอย่างอัดอั้น เขาแหงนหน้ามองเพดาน “จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าคนนั้นเขาจะให้อภัยพี่ไหม.. พี่ทำให้เขาคิดมากจนกระโดดลงมา แต่เพราะเขาไม่รู้ว่ามีมะม่วงอยู่ เขาถึงทำแบบนั้น ถ้าเขารู้ว่ามีเด็กในท้องเขาคงไม่ทำ”

“ครับ..เพราะเขาไม่รู้..” ณัฐวีร์บีบมืออีกฝ่ายแน่น.. เขายกมืออีกข้างขึ้นกุมมือชายหนุ่มไว้แล้วตัดสินใจพูด “..คนเป็นแม่ ถ้าไม่เดือดร้อนจริงๆ ..เขาไม่อยากฆ่าลูกตัวเองหรอก..”

คำพูดนั้นกระทบคนฟังอย่างรุนแรง ใบหน้านั้นค่อยๆแดงก่ำขึ้นทันตาเห็น สุดท้ายมกรก็ปล่อยให้ความอัดอั้นในอกพรั่งพรูออกมาเป็นน้ำตา

“แล้วพี่ล่ะครับ ให้อภัยอดีตที่เคยผ่านมาได้ไหม..” ณัฐวีร์ยังพูดต่อไปไม่หยุด เขาบีบมือใหญ่ที่กำมือเขาแน่นอย่างต้องการจะถ่ายทอดกำลังใจให้ “อภัยได้ไหมครับ..แม้ว่าคนที่ทำพี่เจ็บจะเป็นแม่ของพี่.. พี่จะอภัยให้กับสิ่งที่คุณแม่เคยผิดพลาดได้ไหม พี่ก็เคยเป็นเด็กมาก่อน เคยผิดพลาด ตัดสินใจพลาดมาก่อน พี่รอการให้อภัย คุณแม่ก็รอการให้อภัยเช่นกันนะครับ..”

มกรน้ำตาร่วงลงมาอีก

“นัทรู้ว่ามันยาก..แต่นัทเป็นกำลังใจให้พี่แมนนะ.. ขอแค่อย่าหลอกลวงกัน อย่าทำให้นัทเป็นตัวตลกเท่านั้น สัญญากับนัทแล้วนะครับ”

มกรสะอื้นออกมาอีกระลอก.. เขาคลายมือออกมาจากมือของน้อง ใช้กำปั้นทุบเข้าไปที่อกตัวเองที่มันอึดอัดนัก

อย่าหลอก..อย่าหยอกนัทเล่น

ทำไม...ทำไมกัน..

ใช่..การให้อภัยและการสำนึกผิดเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ แต่มันคือโอกาสให้เราก้าวเดินไปข้างหน้า ไปหาอนาคตที่ดีกว่า

อย่าหลอกน้อง.. อย่าทำให้น้องเป็นตัวตลกเหมือนที่ผ่านๆมา

มกรคิดก่อนจะตัดสินใจพูด "พี่ยังติดค้างกับคนคนหนึ่ง ต้องการให้เขาอภัย ในอดีตพี่ทำร้ายเขาไว้มากเหลือเกิน"

มกรลืมตาขึ้นมองตรงมายังณัฐวีร์ “แต่ตอนนี้..พี่สำนึกผิดแล้ว.. สำนึกผิดมากๆ”

มกรพูดแล้วก็ทุบตีตัวเองอีก กระทั่งณัฐวีร์ต้องยื่นมือเข้ามาห้าม “อย่าครับ.. ถ้าเขารู้ว่าพี่สำนึกผิด เขาก็ต้องอยากให้โอกาสพี่แน่ๆ อย่าทำร้ายตัวเองแบบนี้"

มกรพยักหน้า "สำนึกผิดสิ นัทเป็นพยานให้พี่นะ พี่สำนึกผิดแล้ว ยอมทำโทษตัวเองทุกอย่าง ถึงเขาจะไม่รับรู้ในสิ่งที่พี่ทำ แต่สักวันเมื่อพี่กล้ากว่านี้อีกนิด พี่จะบอกให้เขารับรู้ จะให้เขาไม่ต้องร้องไห้อีก.. นัทเป็นพยานให้พี่นะ"

มกรเอื้อมมือมาบีบมือเล็กของณัฐวีร์ เขาต้องการกำลังใจให้ก้าวไปข้างหน้า แน่ล่ะว่ากำลังใจนั้นย่อมมาจากณัฐวีร์ ถ้าวันหนึ่งเขาพร้อมจะเล่าทุกอย่างให้ณัฐวีร์ฟัง แม้อีกฝ่ายจะจำเรื่องราวไม่ได้ ก็หวังเหลือเกินว่าณัฐวีร์จะให้อภัยคนเลวคนนี้ คนที่หลงผิด คิดชั่ว ทำร้าย..และทำลายหัวใจน้อง

ทั้งหลอกให้รัก โกหกทุกอย่าง ก็เหมือนกับหยอกเล่นแล้วทิ้งขว้างอย่างไม่ใยดีนั่นแหละ

ณัฐวีร์มองมือที่กุมมือเขาไว้แล้วยิ้มให้ เขาบีบมือนั้นตอบกลับ ก่อนจะรู้สึกตัวว่าเงาร่างอีกฝ่ายเคลื่อนเข้ามาใกล้

"นัท.."

เด็กหนุ่มเบิกตาโตผงะถอยเล็กน้อย ทำให้มกรเองก็ชะงักไป ดวงตาฉายแววเจ็บปวดทำให้ณัฐวีร์ยิ้มบางๆ แล้วทาบมืออีกข้างที่ว่างลงบนมืออีกฝ่าย

"สัญญาแล้วนะครับว่าจะไม่โกหก ไม่หลอกลวงนัท.. สัญญาแล้วนะครับ"

มกรพยักหน้า "พี่สัญญา..จะไม่โกหก"

ณัฐวีร์มองสบตาคนพูด ดวงตานั้นฉายชัดความจริงใจทั้งหมดที่มี

มกรดึงมือน้องขึ้นมากุมไว้ เขาจรดริมฝีปากลงไปจูบมือนั้น

"สัญญาด้วยชีวิตนี้.." ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง "ด้วยหัวใจนี้"

จบคำใบหน้าคมสันนั่นก็เลื่อนใกล้เข้าไปหาวงหน้าที่ก้มน้อยๆ ใบหน้านั้นอยู่ในแสงสลัวก็จริง แต่เขาก็ยังจับเค้าความเปลี่ยนแปลงของสีผิวได้

ณัฐวีร์เป็นคนขาว..เวลาเขินอายขึ้นมาทีหน้าจะเห่อแดงซ่าน..

และตอนนี้ก็แดงไปจนถึงใบหูแล้ว ยิ่งเมื่อมกรจรดปลายจมูกลงไปที่ผิวแก้มอุ่นและนุ่มนวลนั่น ณัฐวีร์ยิ่งหน้าแดงหนักกว่าเดิม

คงจะเขินอายจนต้อง..ปิดตาลง

ณัฐวีร์เลือกที่จะไม่รับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะเรียกร้องอะไรจากเขา..ได้แต่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามทางที่อีกฝ่ายนำ

ริมฝีปากร้อนจรดไล่ลงมาตั้งแต่ปลายจมูก ไล่เลยลงมาข้างแก้ม กดฝังจมูกละเลียดอยู่ตรงนั้นราวกับต้องการจะดื่มด่ำความหอมที่ห่างหายไปนาน สัมผัสอ่อนโยนยิ่งคล้ายจะกลัวณัฐวีร์แตกหักบุบสลาย อ้อยอิ่งเชื่องช้าเคลื่อนสัมผัสเหมือนว่าโลกกำลังจะหยุดหมุนอยู่เพียงชั่วเวลานี้

ลมหายใจร้อนเป่ารดริมฝีปากบางที่เผยอขึ้นรอการเกี่ยวเก็บสิ่งที่..ไม่เคยได้รับ..

และ..เมื่อความอ่อนโยนนั้นทาบลงมา ณัฐวีร์ก็พรูลมหายใจราวกับโล่งอก ใจเต้นระส่ำดังกลบสรรพเสียงทุกสิ่ง ไม่ยินแม้เสียงสัมผัสของเนื้อผ้า ไม่ยินเสียงเคลื่อนไหวของมือที่สั่นเทา

กระทั่งมารับรู้อีกครั้งเมื่อใครคนนั้นถอยห่างออกไปหลังแตะจูบจุดความต้องการเพียงแผ่วเบาเท่านั้น

"..."

ณัฐวีร์กะพริบตา ความอ่อนโยนที่ได้รับอยู่เมื่อครู่หายไป ..ไม่ใช่เพียงผละออกเพื่อเปลี่ยนท่า แต่มกรถอยไปพิงหัวเตียงที่เดิมเลย

“อะ...อะไรกัน?” ณัฐวีร์หลุดปากถามอย่างงุนงง

มกรนั้นยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเองแล้วยิ้มกว้าง ทำเหมือนว่า..สิ่งที่ได้สัมผัสไปเมื่อครู่นั้นเป็นน้ำทิพย์ที่หล่อเลี้ยงใจเขาให้ชุ่มชื้นเพียงพอแล้ว ได้แค่นี้..ก็มีพลังแรงใจดำเนินชีวิตต่อไปแล้ว

“พี่แมน..?!” ณัฐวีร์ร้องเมื่ออีกฝ่ายยังไม่ตอบเขา

มกรลดมือที่เช็ดน้ำตาลงแล้วยิ้มให้ “ข้าวติดแก้ม เอาข้าวออกแล้ว” พูดจบก็ยักคิ้วแผล่บ แถมทำท่าจะล้มลงนอนอีกด้วย

..นั่นคือกิริยาที่เรียกว่า..ป้อด..ปอดแหก..

จริงๆมกรก็เจ็บใจอยู่นะที่ป้อดกว่าเพื่อนชื่อป้อด.. แต่ไม่กล้าแตะต้องน้องไปมากกว่านี้ เพราะกลัวจะหยุดไม่ได้ เตลิดขึ้นมาน้องอาจไม่ยอม แล้วเขาก็จะเสียณัฐวีร์ไป

แต่นายประมาทชายนัทเกินไปแล้ว..

“ไอ้เชี่ยพี่แมน!!” ณัฐวีร์ร้องด่า.. อุตส่าห์ยอมให้กอดให้จูบ ดันถอยทัพเสียอย่างนั้นล่ะ ต้องให้เริ่มเองหรือไง อย่ามาทำให้อายแค่ผิวๆนะเว้ย นี่ต้องการอายสุดๆไปยันเช้าแล้ว

ณัฐวีร์ง้างหมัดทุบอั่กเข้าให้ เล่นเอาคนทำท่าจะนอนต้องลุกขึ้นมาปัดป้องเป็นพัลวัน

“โอ๊ย! เจ็บ นัทเดี๋ยวๆ”

ณัฐวีร์หน้าแดงก่ำอย่างโมโหจนถึงขีดสุด “ไม่ให้แล้ว ไม่ให้แล้ว!!”

มกรได้ยินประโยคนั้นแล้วก็ยิ่งซื่อหนักไปกว่าเดิม มีย้อนถามน้องกลับไปอีกว่า ไม่ให้อะไร?

ณัฐวีร์เลยยิ่งเหมือนระเบิดลง เขาผลุนผลันลุกจะออกจากห้อง ทำให้มกรต้องตามรวบตัวไว้อย่างทุลักทุเล รวบตัวได้ยังไม่วายโดนหยิกที่แขน โดนทุบโดนศอกสารพัด

“เจ็บครับเจ็บ! คนขี้งอน”

“กล้าว่านัทหรือไง!” เด็กหนุ่มหันไปถลึงตา “พี่แมนทำให้นัทโกรธนะ”

“โอ้ย ไม่กล้าแล้วๆ”

“ปล่อยนัท จะลงไปนอนข้างล่าง” เด็กหนุ่มดิ้นขลุกขลัก แต่มือนั่นก็เหนียวเป็นตุ๊กแกเลย

“มาขั้นนี้ปล่อยไม่ได้แล้วครับ”

อาการแบบนี้.. คนที่เคยเป็นเสือผู้หญิงมาก่อนจะไม่รู้เชียวหรือ

ชายหนุ่มใช้เท้ายันประตูห้องให้ปิดดังปังแล้วดึงเอาร่างที่เล็กกว่าให้หันกลับมาเผชิญหน้ากัน..

“ที่พี่ลังเลเพราะพี่ไม่อยากหักหาญน้ำใจนัท พี่เคยให้สัญญาไว้ว่าจะไม่ทำอะไรนัทโดยที่นัทไม่อนุญาต.. ดังนั้น.. ตอนนี้เอ่ยปากสิครับ บอกอนุญาตให้พี่นะ”

ณัฐวีร์มองตาขวาง “มาขนาดนี้ยังมีหน้ามาถามหาอนุญาตอีกหรือไง” เด็กหนุ่มดิ้นอีก “ถ้าอ่านภาษาท่าทางไม่ออก ต้องได้ยินคำพูดเท่านั้น ..ก็อดกินไปเถอะ! ไอ้พี่แมนบะ...อื้อ!!”

แทบจะยังไม่จบประโยคด้วยซ้ำร่างของณัฐวีร์ก็ตกอยู่ในอ้อมแขนแกร่งและริมฝีปากเร่าร้อนก็บดเบียดลงมาอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว

===================================

จบไปแล้วอีกตอน ผิดคาดกันไหมอ่ะ   :mew5:

ถ้ายังไงจะมาเม้นท์เม้าท์กันใหม่นะคะ ^^

อ่า  ฝากลิ้งก์ อีบุ๊คนิดนึงนะคะ http://www.mebmarket.com/mobile/index.php?action=Publisher&id=666498&name=Morse อุดหนุนกันได้นา ส่วนถ้าสนใจเป็นเล่มหนังสือก็ติดต่อที่เพจ morse หรือไปที่เว็บเฮอร์มิทก็ได้จ้า ^^

ขอบคุณค่ะ ^^

หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 30 [14Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-12-2014 22:20:17
รู้สึกว่ามันแปลกๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 30 [14Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 14-12-2014 22:34:40
เดี๋ยวนะนัท... คือ อิพี่แม้นมันยังคิดว่านัทมีแฟนไง

คือมันก็โง่จริงอ่ะแหละ (จริงๆ ก็โง่มาทั้งเรื่อง)

แบบว่า มันไม่กล้าไง อยู่ๆ น้องจะโอเคขึ้นมากระทันหัน โง่ๆ แบบแม้นศรี ไม่เข้าใจหรอกนะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 30 [14Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: phoenixa ที่ 14-12-2014 23:14:42
ดูท่าว่าพี่แมนจะตามน้องนัทไม่ทันล่ะ
พี่แมนก็นะ ตั้งแต่สำนึกผิดก็หัวช้าลงเยอะ
น้องนัทต้องทำใจนิดนึง
คิดว่าถ้าปรับความเข้าใจกันได้ทั้งหมด พี่แมนก็จะกลับมาหัวไว มือไวเหมือนเดิมนั่นแหละ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 30 [14Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: TR ที่ 14-12-2014 23:19:48
พี่แม้นนางดราม่ามากมาย
เอาใจช่วยพี่แม้นให้กล้าสารภาพบาปกับน้องนัทไวๆ
และหวังว่าน้องนัทจะไม่เกลียดพี่แม้นนะ

แต่น้องนัทก็ดูอ่อนลงให้เยอะมากแล้วนะ ยอมให้เฮียแม้นกอดจูบ อร๊ายยย
พี่แม้นนี่ก็ยังไง จากอดีตเป็นเสือ ปัจจุบันกลายเป็นเสือป๊อด เสือซื่อ
น้องนัทแสดงออกว่ายอมขนาดนั้น เฮียยังซื่อเซ่อ จนน้องต้องเอ่ยปาก 555

แล้วจะรอตอนต่อนะคะ คิดถึงพี่แม้นและน้องนัท ;)
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 30 [14Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: milkshake✰ ที่ 14-12-2014 23:27:45
ซึ้งฉากแม้นกับมะม่วงมากๆ เลยอ่ะ
ฮืออออ T T;
อ่านแล้วตกหลุมรักพี่แมน
ขอให้มีความสุขกันไวๆ นะ

เราไม่ชอบมาม่า ชอบไวไว
ถึงมาม่าจะมีโปรฯ สิทธิ์แลกซื้อก็ไม่เอาค่า
 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 30 [14Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 14-12-2014 23:44:47
หลังจากนี้พี่แม้นคงกลับมารุกน้องเหมือนเดิมแน่ ๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 30 [14Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: Teddysdeath ที่ 15-12-2014 01:09:49
พี่แมนมันจะมาเป็นคนดีเอาผิดเวลา เกือบอดแล้วมั้ยนั่น :laugh:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 30 [14Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 15-12-2014 04:17:46
555555555555
พี่แม้นอยากเป็นคนดี
น้องนัทไม่ให้ความร่วมมือเลย 55555
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 30 [14Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 15-12-2014 05:23:55
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 30 [14Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 15-12-2014 05:57:19
 พี่แม้นศรีก็ดราม่ากันไป บ่อน้ำตาตื้นจริงนะ เอะอะก็ร้องไห้ พี่เข้มแข็งหน่อยดิ

พี่น่ะเป็นพระเอกของเรื่องนะ(หรือไม่ใช่หว่า?)

น้องนัทก็เข้าใจปลอบและให้กำลังใจได้ดีทีเดียว ขอชื่นชมนะจ๊ะ

แต่ว่าทำไมต้องตัดจบที่ฉากที่กำลังจะฟินพอดี แล้วแบบนี้ตอนหน้าจะมีให้อ่านมั้ยนะ

บทรักของพี่แมนกับน้องนัทในครั้งนี้ มันจะต้องนุ่มนวลและอ่อนหวานมากแน่ๆ

ขออ่านนะคะในตอนหน้า :hao6:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 30 [14Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 15-12-2014 06:26:06

มารอค่ะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 30 [14Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 15-12-2014 07:27:46
พี่แม้นเอ้ย
ตั้งแต่กลับมาคราวนี้ ตุ๊ดแตกนะเราน่ะ
5555555555555555555555555555
 :laugh: :pigha2:
ล้อเล่นๆ ยังไงเปนพระเอกเจ้าน้ำตาก็ดีกว่าเป็นไอ้ห่านเหมือนเมื่อก่อนอ่ะนะ
สู้ๆๆ
 o13
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 30 [14Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 15-12-2014 07:53:45
บทจะเป็นคนดี ก็ดีจริงเลยพ่อแมน
แม้เกือบอดแล้วไหมล่ะ :z1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 30 [14Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: naamsomm ที่ 15-12-2014 07:57:18
คนแต่งกลับมาแล้ววววว
คือพีแมนดูเป็นเด็กน้อยมากอ่ะ
ดูกล้าๆกลัวๆไปหมด
น้องนัทจัดเองเลยลูก
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 30 [14Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: Wereena ที่ 15-12-2014 08:27:59
อิพี่แม้นป๊อดดด555 เกือบอดแล้วไหมละ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 30 [14Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 15-12-2014 09:29:31
แม้นคะ กลับมาคราวนี้นางเคะมากนะคะ
น่าสงสารมาก ๆ เลย จะทำอะไรก็กลัวน้องระบบไม่ได้
ส่วนน้องก็ชัดเจนขึ้นทุกทีว่าเป็นคนอ่อนนอก แต่เข้มแข็งมาก ๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 30 [14Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: ROCKLOBSTER ที่ 15-12-2014 13:13:42
นับเม้นท์แล้ว ใกล้20และ ฮ่าๆๆ
 เพิ่งได้อ่าน จึงเพิ่งได้เม้นท์ อ่าน2วันไม่หลับไม่นอน
ปมด้อยก็คือปมด้อย  ขอเคลียปมทุกอย่างได้ไหมคนเขียน คือไม่ได้เร่งนะ แต่แบบถ้าเรื่องจบแล้ว ขอแค่ทุกอย่างเคลีย แค่นั้นจริงๆ
ความรู้สึกนึกคิดของคุณลักษณ์ที่มีกับคุณมนธิชา แล้วก็ลูกอย่างแมน ที่เหมือนโดนทิ้งตั้งแต่เกิด ก็ไม่เข้าใจ ทำไมว่าพ่อของแมนถึงได้ตั้งป้อม ไม่ยอมเข้าใกล้ลูกตัวเอง ท้องก่อนแต่งก็คุณที่ทำ คุณตาของแมนก็นะ  ไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ หรือความคิดอย่างคนแก่ ที่คิดจะปลงกับสังขารอะไรเลย เข้าวัดเข้าวาบ้างก็ดีเนาะตาเนาะ
ผู้ชายในเรื่องนี้เห็นดีจริงๆ มีอยู่2คน แชร์ ที่เลวแต่กลับคิดสำนึกได้ กับอีกคน  โม ตัวประกอบที่แมนโคตร อยากได้อย่างนี้สักคน
 เอ้า  สุดท้าย รักคนเขียนกับคนโพส
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 30 [14Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: Buppha ที่ 15-12-2014 16:19:26
 :ling1:  :ling1: ฉาก  :oo1: นี้ตัดไปหน้ายยยยยยยยยยยย งื้ออออ :ling1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 30 [14Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 15-12-2014 23:47:06
อย่าแหย่เสือค่าน้องนัท นั่นเสือแม้นค่ะ น้องนัทนี่ฮา #อ่อยนะรู้ยัง ติดแท็กนี่ให้เลยลูก
อีพี่แม้นป๊อดมาก แต่เข้าใจแกนะ แกรัก แกหวง ถนอมของแก แต่น้องเขามาป้อนขนาดนี้ละ กินดิพี่! ฮุ้ว
พระเอกชั้นกลายร่างเป็นเด็กได้เสมอ

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 30 [14Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: 045262638 ที่ 16-12-2014 08:15:21
โอ๊ยค้างอ่าาาา  มาต่อไว้ๆนะค่ะ รอๆๆ ปั่นๆๆ อิอิ  :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 30 [14Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: Buppha ที่ 16-12-2014 08:29:43
 o13  มาให้กำลังใจค่ะ  :L1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 30 [14Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 16-12-2014 18:05:17
 เพิ่งได้ตามมาอ่าน.....คือมันดีอ่ะ ดีมากเลย!!!! แต่งได้สุดยอดไปเลย....
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 30 [14Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 16-12-2014 22:07:33
อารมณ์ตอนนี้ประมาณว่านัทจะเป็นฝ่ายรุกแทนแม้นศรีเสียกระมัง

แม้นนี่ Emotional มากๆท่าทางคงอีกนานกว่าจะเป็นคนธรรมดากับชาวบ้านเขาได้

นัทนี่กลัวตอนที่น้องจะจำเหตุการ์ณที่ลึมไปได้  กลัวว่าพอน้องจำได้แล้วน้องจะทิ้งพี่แม้นแล้วพี่แม้นก็จะเฮิร์ทไปชั่วชีวิต

ไม่ใช่ว่านางไม่เลวนะ แต่ตามนางมาแล้ว รู้ปูมหลังของ ครอบครัวนางที่สุดจะ Disfunctional แล้วก็ยังอยากจะให้นางมีความสุขกลับตัวกลับใจเรียนรู้ที่จะรักคนอิ่น ไม่ทำคนอิ่นลำบากเดือดร้อน  แล้วเราคนอ่านก็เฮิร์ทตามแม้นศรีไปอีกนาน

คนเขียนแต่งเก่งมากค่ะ ทั้งสนุก ทั้งหน่วงจนกลัว  ถ้าหากว่าเป็นแฮ็บปี้ เอนดิ้ง น่ากลัวแม้นศรีจะได้อยู่ใต้ฝ่าเท่าภริยาไปจนตายแน่ๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 31 [16Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 16-12-2014 22:43:57
 มาต่อตามที่บอกไว้ร้าวววววว  :hao7:

ขอบคุณสำหรับเม้นท์นะก๊ะ  :hao5:

ตอนนี้น้องๆหนูๆ 18บวกๆ นะคะ ใครต่ำกว่า 18 ข้ามๆไปเนอะ  :hao6:

*********************



ปลายลิ้นร้อนที่เคยกล้าๆกลัวๆ และเล็มเพียงผิวเผินกลับสอดเข้ามาอย่างวางอำนาจ และถือสิทธิ์ครอบครองอย่างชอบธรรม

ไม่นึกว่าการอนุญาตใครสักคนจะให้อำนาจแก่คนๆนั้นได้ขนาดนี้.. เมื่อก่อนมกรเคยจูบเขาแต่เพราะสัญญาที่เคยให้กันไว้ มกรจึงไม่กล้าทำอะไรรุ่มร่าม

แต่พอได้รับอนุญาตปุ๊บ มือไม้ปลาหมึกก็มาเลย ..ทว่า..ณัฐวีร์ไม่มีเวลาให้มานั่งเสียใจกับการอนุญาตนั้นหรอก เพราะมกรเรียกร้องมากกว่าที่เขาคิดนัก

มืออุ่นร้อนที่โอบประคองแผ่นหลังบางไว้ ลูบไล้สัมผัสไปทั่วสรรพางค์ แถมยังล่วงล้ำเข้าไปภายในเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งที่ณัฐวีร์ยืมเอาเสื้อเก่าๆในตู้ของมกรที่พอเหลืออยู่บ้างมาใช้อีกด้วย

เมื่อเนื้อสัมผัสเนื้อ ความร้อนทุกอย่างก็ทวีสูงขึ้นแล้วแผ่ซ่านไปรอบกาย.. กระทั่งวิ่งเข้าหาจุดศูนย์กลางลำตัวทำให้มันปวดหนึบจนณัฐวีร์ต้องขยับตัวอย่างอึดอัด

ลมหายใจร้อนรุ่มที่เป่ารดอยู่ตอนนี้ทำให้เด็กหนุ่มหอบตามอย่างรู้สึกหายใจลำบากและติดขัด ปลายลิ้นที่ไล่ต้อนเขาไปทั่วโพรงปากเกี่ยวกระหวัดเรียกร้องให้เขาตอบรับ ทำให้เขารู้สึกมึนงงไปกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วจนตามแทบไม่ทัน

จริงๆณัฐวีร์ก็ปากเก่งไปอย่างนั้นแหละ เขาก็ไม่ได้ช่ำชองเรื่องบนเตียงอย่างนี้นัก.. ที่กล้าให้ ก็เพราะ..

ร่างบางกระตุกเฮือก..

“..อ๊า!”

เสียงครางหลุดรอดออกมาเมื่อปลายนิ้วมือของฝ่ายนั้นบดขยี้ยอดอกราวกับรู้ว่าส่วนใดคือจุดอ่อนไหวของณัฐวีร์

มือขาวคว้ากอดร่างสูงใหญ่เพื่อยึดไว้เป็นหลัก แข้งขานั้นสั่นเทาเหมือนจะไม่สามารถประคองร่างกายให้ยืนหยัดสู้กับอีกฝ่ายได้อีกต่อไป

เสียงครางของร่างที่เล็กกว่าทำให้มกรใจเต้นเป็นรัวกลอง ร่างกายนี้ที่เคยสัมผัส..ให้ร้างห่างกันไปเขาก็ยังจำได้ว่าตรงส่วนใดคือจุดอ่อนไหวของฝ่ายนั้น..ชายหนุ่มเคลื่อนริมฝีปากเข้าหาใบหูน้อยๆที่แดงระเรื่อ แล้วอ้าปากงับไปเบาๆ

“อะ..”

กายนั้นสะดุ้งเฮือกขึ้นมาอีกหน ณัฐวีร์เอียงหน้าหลบไม่ยอมให้เขาได้แตะต้อง แต่หนียังไงมกรก็ไม่ยอมให้ถอยไปแน่ๆมือข้างหนึ่งกอดเอวกระชับแน่น สะโพกตึงและปวดชาบดเบียดกันและกัน ส่วนมืออีกข้างก็คลึงเล่นเย้าหยอกยอดอกที่ขมึงเกร็ง

พอเอียงหน้าหลบ อกก็แอ่นเบียด..

แน่ล่ะ มันเป็นไปตามทิศทางของการเคลื่อนไหวของร่างกาย หลบอย่างหนึ่งก็ไม่สามารถหลบอีกอย่างหนึ่งได้

“พะ..พอ..พอก่อน”

ณัฐวีร์ร้องขอ..ซึ่งถ้ามีใครบ้าจี้ทำตามที่เด็กหนุ่มห้าม.. เจ้านั่นก็น่าจะซื่อบื้อเต็มทน..

ซึ่งก็..มีหมาน้อยซื่อบื้อยืนอยู่นี่จริงๆเสียด้วย..

มกรหยุดการกระทำของตัวเองลง เขาลดมือและผละริมฝีปากออกจากใบหูระเรื่อนั่น

เสือผู้หญิงเก่าอย่างเขาจะสิ้นลายก็คราวนี้ล่ะมั้ง?

ไม่ใช่เลย...

ชายหนุ่มเพียงผละออกเพื่อจะช้อนเอาร่างของณัฐวีร์ขึ้นอุ้มเท่านั้น

“เหวอ!!”

เด็กหนุ่มร้องเสียงหลง เพราะมกรก้มลงใช้ท่อนแขนแกร่งรวบรัดพยุงที่ต้นขาใต้สะโพกณัฐวีร์ ยกเด็กหนุ่มให้ลอยสูงขึ้นจากพื้น และทำให้เขาต้องกอดไหล่กว้างแน่นทั้งสองแขน

“พี่แมน..พี่แมน!”

เขาร้องอย่างหวาดกลัว.. จะไม่ให้กลัวได้ยังไง มกรมีอาการบาดเจ็บอยู่นะ.. เกิดเข่าอ่อนแรงเดินสะดุดขาตัวเองมีหวังล้มหัวฟาดน็อคกันพอดี

อุบัติเหตุนั่นรอดมาได้.. คราวนี้เกิดซวยไม่รอดขึ้นมาจะทำไงล่ะ นี่ก็หล่อเพราะมีดหมอเสียเงินมาเยอะแล้วนะเนี่ย

ความกลัวทำให้ณัฐวีร์โอบศีรษะมกรแน่น ทำให้ชายหนุ่มหน้าแนบอยู่กับอกแบนๆนั่นแหละ

“ไม่ต้องกลัวๆ เดี๋ยวก็ถึงแล้ว..”

เขาพูดด้วยเสียงหัวเราะแล้วค่อยๆเดินประคองพาร่างไปยังทิศทางของเตียง

“ถึงแล้วๆ ปล่อยนัท ปล่อยนัทลง!”

“จะรีบให้พี่กอดขนาดนั้น?” มกรยังแกล้ง เขาเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่เขม็งตามอง

“ไม่ตลก!”

ใกล้เตียงแล้วจะทำอะไรก็ได้ ณัฐวีร์เลยเอามือดึงหูอีกฝ่ายเสียเลย ดึงไปซ้ายทีขวาทีสนุกมือเขาล่ะ

“โอ้ยๆ ทำร้ายร่างกาย.. เจ้าข้าเอ้ย..!! แบบนี้เห็นทีจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แล้ว วันนี้ถ้าไม่ล้างอายอย่ามาเรียกพี่แมน!”

มกรประกาศกร้าวแล้วพุ่งพรวดเข้าหาหน้าอกที่อยู่ไม่ห่างนัก ขยี้หน้าลงกับอกแบนๆไม่มีอะไรนั่นแหละ

“หยุด! ยู๊ด!!”

ณัฐวีร์ร้องอ้ากดิ้นขลุกขลักจนมกรเสียการทรงตัวล้มลงบนเตียงไปด้วยกันทั้งคู่

“พี่แมน ไอ้บ้า หนักนะ!”

“บ้าเหรอ ว่าใครบ้าห๊า..” มกรหัวเราะแล้วเกลือกหน้าลงกับพุงของณัฐวีร์จนน้องต้องร้องยอมแพ้เจ้าตัวถึงได้หยุดและหอบหายใจหนักๆตามร่างที่อ่อนระทวยอยู่เบื้องล่าง

ณัฐวีร์หมดแรงแล้วจริงๆ เขาแปะมือไว้กับไหล่หนาไม่สามารถดันให้อีกฝ่ายออกห่าง ได้แต่นอนหอบเพราะถูกแกล้งเล่นอยู่แบบนั้น

มกรยิ้มกว้าง “ถ้าพี่จะบ้า..ก็บ้ารักนัทนั่นแหละ”

ณัฐวีร์มองตาอีกฝ่ายแล้วยิ้มตอบกลับ เขาเลื่อนมือไปดึงใบหน้าคมสันนั้นลงมากอดแนบอก

“งั้นสงสัยนัทจะบ้าเหมือนกัน..”

เสียงหัวใจเต้นระรัวในอกณัฐวีร์ คนที่เอาหูแนบอกอยู่นี้ได้ยินชัดที่สุด ชายหนุ่มกอดตอบน้องอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงคลายมือดันร่างตัวเองขึ้น

นิ้วชี้ของมกรจิ้มลงไปบนหน้าอกที่ตัวเองซบอยู่เมื่อครู่..

“ตรงนี้น่ะ..จะมีใครคนอื่นอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้.. แต่ขอพื้นที่พี่บ้างแล้วกันนะ” เขาเงยหน้าขึ้นมายิ้มใส่ตาณัฐวีร์ “ถ้าได้อยู่ข้างในนี้คงสนุกทั้งวัน ..เพราะเสียงเต้นเจ้านี่มันดังดี..”

“อ๊ะ!”

ณัฐวีร์ว่าจะอ้าปากด่าที่มาแซวเขาซะหน่อย แต่ไม่ไหวจริงๆ นิ้วชี้นั่นสะกิดปลายยอดอกผ่านเนื้อผ้า เล่นรังแกที่จุดอ่อนไหวกันแบบนี้ที่ตั้งใจจะเงื้อมือขึ้นทุบก็ได้แต่วางแปะลงไปบนลาดไหล่หนา แล้วห่อไหล่ตัวเองอย่างต้องการจะหนีสัมผัสหวามไหวนั่น

มกรไม่ใช่คนดี ยิ่งพอรู้ว่าแกล้งแล้วอีกฝ่ายมีปฏิกิริยา ก็เลยยิ่งแกล้งหนักมือจนร่างข้างใต้หอบสะท้าน ไม่เพียงปลายนิ้วเท่านั้น..ริมฝีปากอุ่นร้อนยังพุ่งไปหายอดอกอีกด้านแล้วหยอกเย้ามันเล่นอย่างโหยหา

ณัฐวีร์จิกเล็บลงไปบนไหล่นั้นเกร็งตัวสั่นเมื่อฟันคมขบเย้าเล่นพาให้กระแสไฟฟ้าแล่นพล่านไปทั่วร่าง

“อ๊า..พะ..พี่..”

เขากรีดร้องเมื่อการรุกรานไม่ได้เพียงด้านบนเท่านั้น ฝ่ามืออุ่นยังไต่ไล่เรื่อยไปถึงหว่างกลางที่แข็งขึงรอการปลดปล่อยจากพันธนาการด้วย

ฝ่ามือนั้นบดเบียดราวจะปลุกเร้าและเรียกให้อารมณ์ในส่วนลึกที่หลับอยู่ข้างในกายนี้ให้ตื่นขึ้น ทางนี้เองก็ตื่นแล้ว..สัตว์ป่าที่นอนหลับสงบมาช้านานกำลังแผ่กงเล็บตะครุบเหยื่อที่ล่ามาได้ และกัดกินความทุกข์ร้อนทั้งปวงลงไปคงเหลือไว้เพียงความหฤหรรษ์ที่ร่างเล็กข้างใต้นี้จะได้รับ

มกรค่อยๆเปลื้องเสื้อผ้า ปลดพันธนาการทุกสิ่งออกจากร่างน้องทีละชั้น เขาค่อยๆละเลียดและดื่มด่ำ เสพสุขเอากับจังหวะใจที่เต้นรัวยามได้เห็นผิวกายสีขาวสะอาดตา สูดดมกลิ่นหอมของความสุขที่ห่างหายไปนาน แตะปลายลิ้นลิ้มเลียเนื้อกายละเอียดนุ่มนวล ขบกัดแอ่งชีพจรเพื่อรับรู้ว่าร่างน้อยนี้มีชีวิต..มีหัวใจ..อยู่กับเขา ภายใต้ร่างกายเขา และตอบรับทุกสัมผัสของเขา

มกรยิ้มทั้งปาก ตา และหัวใจ..

ยิ่งยามเมื่อณัฐวีร์ใช้มือขาวที่สั่นเทาค่อยๆแกะเอากระดุมเสื้อนอนของเขาออก เขายิ่งใจสั่น ครั้นพอน้องปลดตะขอกางเกงแล้วเลื่อนฝ่ามือต่ำลงไป ชายหนุ่มยิ่งเตลิดในสัมผัสนั้น

“อือ..”

ท้องนิ้วโป้งของมกรขยับเสียดสีอยู่ตรงปลายยอดที่แข็งขึง น้ำใสๆที่เอ่อออกมาช่วยหล่อลื่นให้เขาขยับได้ดี

สะโพกเล็กขยับเบียดรับสัมผัส ใบหน้าแดงซ่านของณัฐวีร์แหงนเงย คอขาวถูกริมฝีปากร้อนขบเม้มแสดงความเป็นเจ้าของจนเป็นจ้ำผื่นแดง มันเป็นรอยจูบแดงเรื่อจากการที่เส้นเลือดฝอยแตกอยู่ภายใต้เนื้อผิว.. เลือดที่มกรเรียกออกมาด้วยริมฝีปากนี้ เป็นเลือดที่ณัฐวีร์เต็มใจและยืดคอแอ่นอกรับ

“พี่แมน..อะ”

เด็กหนุ่มร้องเรียกหาเมื่อฝ่ายนั้นผละร่างถอยลงไปจูบที่หน้าอกแล้วไล่เรื่อยลงไปที่หน้าท้อง จบลงที่หว่างขา

ณัฐวีร์ผงกร่างขึ้นมอง ฝ่ายนั้นเองก็ประสานสายตามองมาเช่นกัน มกรจับจ้องดวงตาฉ่ำฉาบความต้องการของณัฐวีร์..ตรึงให้สายตาของร่างเล็กไม่ขยับหนีไปไหน

ทว่า..ไม่หยุดการเคลื่อนไหว

มกรจรดริมฝีปากลงไปข้างผิวเนื้อเอ็นที่แข็งชูชัน จูบทักทายราวกับเป็นสิ่งที่คุ้นเคยกันมานาน โหยหาถึงเพราะห่างหายไปเสียนาน และสุดท้ายก็ลองลิ้มชิมรส.. ดูซิ..ว่ายังหอมหวานเหมือนเดิมหรือไม่

ณัฐวีร์เบ้หน้าอย่างเสียวซ่าน มือขาวกำผ้าปูที่นอนแน่น

มกรยิ้มแล้วจูบลงไปอีกครั้ง “เหมือนเดิมเลย..” เขาพึมพำแล้วไล่ลิ้นจากล่างขึ้นถึงปลายยอด ทำให้ณัฐวีร์ทนมองการกระทำนั้นไม่ได้อีกต่อไป เด็กหนุ่มทิ้งร่างลงนอนราบ ยกมือขึ้นปิดหน้าหอบหายใจสะท้านราวกับวิ่งทางไกล ยิ่งเมื่อชายหนุ่มครอบริมฝีปากลงไปยิ่งทำให้ร่างนั้นสะท้านเยือกขึ้น

โลกมืดเพราะมือที่ปิดตาไว้กลับยิ่งทำให้สัมผัสทุกอย่างชัดเจนขึ้น การถูกกระตุ้นด้วยความร้อนชื้นในโพรงปากทำให้ณัฐวีร์ไร้ทางต่อต้าน

มือใหญ่ยกขาทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มให้งอขึ้น นั่นยิ่งเผยให้เห็นทุกอย่างชัดเจน สะโพกขาวถูกมกรใช้มือบีบขยำ ปากช่องทางถูกนิ้วอุ่นร้อนค่อยๆไล่นวดสัมผัส

“อ๊า!..อะ..”

ณัฐวีร์ครางหนักเมื่อปลายนิ้วบางส่วนผลุบหายเข้าไปในร่าง ทั้งที่ด้านหน้าก็ยังได้รับการปรนเปรออย่างไม่บกพร่อง

ขาเรียวขาวสั่นเทาจนเหมือนจะหมดแรง ที่ยังยกงออยู่ได้ก็เพราะมีลาดไหล่และมือแกร่งช่วยดันไม่ให้มันลดลงมา และการทำแบบนี้ก็ช่วยให้ความอึดอัดจากการสอดนิ้วเข้าไปที่ช่องทางด้านหลังลดน้อยลงด้วย

“พี่..พี่ มะ..ไม่ไหว จะ..อ๊า”

ยิ่งร้องเช่นนั้นมกรยิ่งกระทำมากขึ้น เหมือนไปกดโดนปุ่มกลั่นแกล้งเลย

“หยุด..ไม่ ไม่ไหวแล้ว”

ณัฐวีร์พยายามผลักศีรษะนั้นออก แต่เขาไร้เรี่ยวแรงเต็มที แล้วพออีกฝ่ายไม่หยุดเขาก็สุดกลั้นเช่นกัน เด็กหนุ่มปลดปล่อยความต้องการออกมาอย่างสุดตัว ฉีดพุ่งเข้าสู่ริมฝีปากอุ่นร้อนที่กลั่นแกล้งเขาไม่หยุดหย่อน

ปลายนิ้วที่สอดค้างอยู่กระตุ้นต่อแม้ว่าณัฐวีร์จะปลดปล่อยออกไปแล้ว ช่องทางที่ห่างหายไปนานต้องได้รับการตระเตรียมมากหน่อย มกรดูแลจนมันอ่อนนุ่มดีแล้วจึงได้สอดปลายนิ้วเข้าไปเพิ่ม

“โอเคไหม นัท?”

เสียงถามดังขึ้นข้างหูทำให้ณัฐวีร์ปรือตาขึ้นมองพลางพยักหน้ารับ ร่างกายเขาตื่นตัวขึ้นมาอีกหนแล้ว เพราะมีคนกระตุ้นไม่เลิกนั่นแหละ มือใหญ่อุ่นโอบประคองร่างกายที่ฟื้นตัว ลูบโลมมันเบาๆ ส่วนด้านหลังก็คว้านลึกกระทั่ง...

“อ๊า!..”

เด็กหนุ่มร้องเพราะรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าพล่านทั่วร่างยามเมื่อปลายนิ้วนั้นบดเบียดลึกเข้าไปยังจุดหนึ่ง

“ตรงนี้สินะ..” มกรหัวเราะเบาๆแล้วกดย้ำลงไปอีก

“พี่แมน..ยะ”

น้ำใสไหลออกจากส่วนปลายอีกครั้ง การถูกกระตุ้นอย่างนี้ทำให้ณัฐวีร์เตลิดมาไกลเกินกว่าจะหยุดสะโพกตนเองไม่ให้ขยับไหวได้

“พี่อยู่นี่..”

มกรกระซิบแล้วจูบลงบนริมฝีปากที่เผยอหอบ เขาป้อนความมึนงงลงไปในจูบนั้นขณะค่อยๆเอานิ้วออกจากช่องทางแล้วสลับเอาบางอย่างเข้าไปแทนที่ มือก็ยังกระตุ้นด้านหน้าของน้องไม่ว่างเว้น ปากก็ยังไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายร้องห้ามหรืออะไรได้

“อื้อ!!”

ณัฐวีร์ร้องเมื่อรู้สึกว่าตนเองถูกรุกรานด้วยสิ่งแปลกปลอมที่ใหญ่กว่าเดิม เขาจิกแผ่นหลังร่างเบื้องบนแล้วหลับตาแน่นขณะพยายามผ่อนคลายตัวเองให้ได้มากที่สุด

“เก่งมาก..นัท เก่งมาก อีกนิดเดียว”

มกรปลอบโยนอีกฝ่าย แล้วค่อยๆขยับร่างกายเทอะทะของตัวเองเข้าสู่เบื้องลึก ความอ่อนโยนที่โอบล้อมรอบร่างของเขานั้นทำจะทำให้เขาหลั่งรินออกมาทันทีที่เข้าไปสุดทาง

“ขอบคุณ..ครับ..” มกรเอ่ยกระซิบ “ขอบคุณที่อดทน..คนเก่งของพี่”

เขาจูบแล้วปลอบโยนร่างข้างใต้ให้หายอึดอัดด้วยการกระตุ้นส่วนหน้าและยอดอก โดยไม่ยอมขยับกายของตนเองไปเพิ่มความอึดอัดให้น้องเลย

ทั้งที่ทรมานแทบขาดใจ อยากได้แทบจะตายอยู่แล้ว แต่มกรก็กัดฟันทน ทนให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นอีกนิด

“...เถอะครับ”

ณัฐวีร์กระซิบแผ่วจนมกรต้องร้องหื้อในคอ

เด็กหนุ่มจึงลืมตาขึ้นมองสบแล้วเลียริมฝีปากอย่างขัดเขิน “ทำสิครับ..ทรมานไม่ใช่เหรอ”

ปลายหางตาของณัฐวีร์มีน้ำตาไหลลงมา ทำให้มกรโน้มตัวจูบซับเบาๆ

“รักครับ..รักนัทนะครับ..”

เสียงแผ่วๆที่ดังอยู่ข้างหูทำให้ในอกพองฟู.. ในที่สุด..

ณัฐวีร์โอบกอดไหล่หนาแน่นพลางพยักหน้ากับอกกว้าง

ท่วงทำนองแห่งรักในค่ำคืนนั้น บรรเลงเพลงร้องดังก้องไปในห้องกว้าง จนกระทั่งค่อนคืน..คนทั้งคู่จึงได้ผล็อยหลับไป

หากแต่ก็ยังตระกองกอดกันไว้ไม่ยอมให้ขยับห่าง

สัญญานะ...

คำร้องขอนั้นดังแผ่วอยู่กับอก

ได้..พี่สัญญา..

***********************

อีกนานเลยกว่าจะมาเจอกันใหม่  :katai5:

ปีใหม่แล้วไปไหนก็ขอให้ปลอดภัยนะคะ แล้วพบกันหลังปีใหม่จ้า.. อะคึอะคึ  :katai3:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 31 [16Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 16-12-2014 22:56:14
กรี๊ดๆๆๆ  :ling1: ใกล้กันเข้าไปอีกหน่อยแล้ว (ก็เข้าไปจริงๆแหละ)

ประทับใจตรงตำกระซิบกับคำจอบรับนี่แหละ ฟินสุดๆ  :hao5:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 31 [16Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: ROCKLOBSTER ที่ 16-12-2014 23:11:08
ไม่อยากอ่านคำเตือนเลย  มันสะเทือนใจ แบบว่าผ่านมาหลายปีเกิน รับไม่ด๊ายยยยยย ว่าแก่ :ling3:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 31 [16Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 16-12-2014 23:43:42
ในที่สุดพี่แม้นก็สมหวัง แต่หลังจากนี้คงไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องแยกจากกันอีกนะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 31 [16Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-12-2014 00:38:24
ขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 31 [16Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 17-12-2014 00:49:04
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 31 [16Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 17-12-2014 01:19:41
ขออย่าให้มีเรื่องอะไรเลย
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 31 [16Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: sweetbasil ที่ 17-12-2014 01:34:56
 :haun4:ไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 31 [16Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: Teddysdeath ที่ 17-12-2014 02:49:19
มันทั้งหื่นทั้งอยากจะร้องไห้ไปพร้อมๆกัน
เราอินไปใช่ไหมนี่ :monkeysad:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 31 [16Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: choijiin ที่ 17-12-2014 06:41:44
อยากจะร้องไห้ให้อิพี่แม้น
สำเร็จแล้วนะแก้
 :hao5: :mew4:


หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 31 [16Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: Buppha ที่ 17-12-2014 07:45:28
 :hao5:  :hao5: ขอบคุณค่ะ รักแม้นศรี น้องนัท และคนเขียน ส่วนฉากที่ติดเรทไม่ต้องห่วงครบ 18 ปีวันนี้แหละค่ะ คึๆ ต่อให้ไม่ครบก็อ่านอยู่ดี  :laugh:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 31 [16Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: navintazaza ที่ 17-12-2014 07:50:04
ชอบมากๆเลยครับ มาต่ออีกน้าา ฮาๆ  :pig4:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 31 [16Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 17-12-2014 07:52:32
พี่แม้นศรีมันได้กินน้องนัทสมใจอยาก หลังจากที่อดอยากปากแห้งมานาน

รอบนี้มาแบบกล้าๆกลัวๆ ทะนุถนอมน้องมาก. ก็เข้าใจแหละเคยทำร้ายน้องสาหัสขนาดไหนใครๆก็รู้

จะทำรักกับน้องก็เลยกลายเป็นแม้นศรีคนใหม่ไปเลย แบบนี้ก็ดีนะ เบื่อแม้นที่อารมณ์ร้ายๆแล้วเหมือนกัน

แต่จากนี้จะมาหลังปีใหม่เลยเหรอ นานไปอะ :mew2:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 31 [16Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: NIMME ที่ 17-12-2014 12:01:12
เพิ่งตามอ่าน ชอบมาก เข้มข้นมาก
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 31 [16Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: phoenixa ที่ 17-12-2014 13:50:22
ในที่สุดก็ได้มีวันนี้
พี่แมนทะนุถนอมน้องมาก แต่คงมากขึ้นอีกเรื่อยๆ นะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 31 [16Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 17-12-2014 23:38:49
ร้องไห้...ดีใจ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 31 [16Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: สายลมที่หวังดี ที่ 18-12-2014 11:02:45
ตอนแรกอ่านแล้วเกลียดพระเอกจับใจเกือบไม่ได้อ่านต่อแล้วแต่ก็พยายามอ่านต่อมาเรื่อยๆเพราะต้องมีจุดอะไรที่ทำให้พระเอกเลวได้ขนาดนั้น ตอนนี้ติดแล้วอยากให้มาต่ออีกไวๆน้า อยากให้มีแบบหวานแหววบ้างสงสารทั้งคู่เลย
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 31 [16Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 18-12-2014 16:27:02
แม้นศรีได้กินน้องสมใจ :hao7:


รอดูต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 31 [16Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: Buppha ที่ 18-12-2014 20:41:28
 :กอด1: คิดถึงนะคะ  :mew2:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 31 [16Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 20-12-2014 00:06:19
 :impress2: แล้วน้องนัฐก็โดนพี่แมนกินตับ(อีกรอบ)  เดาทางไม่ถูกเลยว่า ถ้าน้องนัฐเกินจำอดีตขึ้นมาได้จะเป็นอย่างไง  เพราะดูน้องเขาปลอบพี่แมน แม้นศรีจะดูเป็นผู้ใหญ่ สู้ๆ ค่า แม้นศรี  รออยู่นะคะ รีบๆมาแต่งต่อเถอะ เรื่องนี้สนุกมาก
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 31 [16Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: TR ที่ 21-12-2014 18:26:01
กรี๊ดดดดดดดด ปาดน้ำตา ดีใจแทนพี่แม้น
มันไม่ใช่แค่ร่างกายที่น้องนัทยอมให้พี่แม้น
แต่แอบสัมผัสได้ว่าใจน้องนัทเองก็ยอมให้พี่แม้นแล้วเหมือนกัน
ตอนนี้ทั้งหวาน เร้าร้อนและฟิน!!!!!!

หวังว่าในายภาคหน้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าน้องนัทจะความจำกลับคืนมา
แต่ขอให้น้องนัทอย่าปล่อยมือพี่แม้นไปนะ
แล้วจะรอตอนต่อนะคะ ;)
(ถึงแม้หลังปีใหม่จะฟังดูยาวนาน แต่ก็จะรออย่างใจจดจ่อ) ^^
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 32 [3Jan2015]
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 03-01-2015 08:53:39
หยดเลือดสีแดงตรงมีดแหลมไหลเลื่อนไปตามด้านคมและหยดไหลลงสู่พื้น มือที่สั่นระริกค่อยๆปล่อยมีดนั้นหล่นร่วงตามลงไป เสียงตกกระทบดังสะท้อนไปในความเงียบงัน
มันก็เหมือนฉากฆาตกรรมในนิยายสยองขวัญสั่นประสาททั่วไป ที่จะเห็นร่างๆหนึ่งทรุดฮวบลงไปกับพื้นด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวเจ็บปวดจากบาดแผลซึ่งเขาเป็นผู้กระทำ
ใบหน้านั้นเป็นใบหน้าที่คุ้นเคย ดวงตากลมโตจ้องตรงมองมาด้วยความสับสน สงสัย ปนเจ็บปวด
คงจะสงสัยว่าทำไมเขาถึงทำร้าย.. และแผลนั้นคงจะเจ็บปวดที่สุดเพราะมันเป็นแผลลึกที่ทำให้เลือดสีสดไหลซึมเป็นวงกว้างอยู่บนอกข้างซ้าย
ร่างน้อยทรุดฮวบลงกองกับพื้น ดวงตาเบิกโพลง แต่เหมือนจะมองไม่เห็นผู้กระทำ..เพราะดวงตานั้นลอยคว้างไม่จับจดกับสิ่งใด ปากสีชมพูสดที่เคยยิ้มให้เขาอยู่เสมอกำลังอ้าตะครุบอากาศเฮือกยาว แล้วค่อยๆ ..สั้นลง... สั้นลง จนหยุดนิ่ง..
“นัท..”
เสียงที่ร้องเรียกคือเสียงที่เจ้าตัวตั้งใจจะตะโกนออกไป
ทว่า..คล้ายกับมันอยู่แค่ในลำคอ เสียงนั้นกลืนหายไปในความมืดมิด ร่างสูงใหญ่ของมกรซวนเซ ในอกบีบคั้นจนเจ็บปวด
“นัท!”
เสียงร้องยังคงดังก้องไปทั่วห้องกว้าง ร่างที่ทะลึ่งพรวดขึ้นนั่งมีเหงื่อไหลโทรมกาย แผ่นอกเปลือยเปล่าสะท้อนขึ้นลง ดวงตาเบิกกว้างจับจ้องอยู่ที่มือขวาของตนเอง มันสั่นระริก...แต่ไม่มีเลือด..
ฝันหรือ?.. มกรถามตัวเองอย่างมึนงง
เขายกมือทั้งสองขึ้นลูบที่หน้าตัวเองหวังจะช่วยให้ตื่นจากฝันร้าย
ทว่า.. ความรู้สึกเหนียวมือและกลิ่นแปลกๆทำให้ต้องแบมือออกมาดูให้ถนัดตา
ท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆมือซ้ายกลับเต็มไปด้วยเลือด
“ว๊าก!!”
มกรร้องออกมาอย่างสุดเสียงเขาตวัดขาก้าวลงจากเตียงแล้วจึงพบว่าเหยียบเข้ากับอะไรบางอย่างที่เปียกชื้นและข้นคลั่ก พอสายตาละจากมือลงไปมองเขาก็พบร่างนั้น..
ดวงตากลมโตที่ถลึงกว้าง เคียดแค้นและชิงชัง เลือดสีแดงฉานกระจายล้อมรอบวงหน้า ศีรษะคงโดนจับกระแทกพื้นเพราะเลือดออกมาจากบริเวณนั้น
มกรใช้มือซ้ายที่เปื้อนเลือดเอื้อมออกไปคว้าร่างนั้น
“นัท!!”
เป็นการตะโกนเรียกอย่างสุดเสียง สุดกำลังเท่าที่คนผวาตื่นจากฝันร้ายจะเรียกได้
ฝันร้ายซ้อนด้วยฝันที่ร้ายแรงกว่า..
มกรรู้สึกราวกับเลือดในกายจะเหือดหาย เขากระชากตัวเองลุกขึ้นจากเตียงมองมือทั้งสองข้างแล้วตาลีตาเหลือกเหลียวไปมองกระจกเพื่อให้เห็นว่าใบหน้าของเขาซีดขาวไร้สีเลือด ไม่มีเลือดใครติดอยู่..ขนาดเลือดตัวเองยังไม่มีอยู่เลย
มกรหมุนตัวมองไปรอบๆห่วงว่าอาจมีร่างของใครกองอยู่ที่พื้น..ก็ไม่เห็น
เจ้าตัวยังไม่วางใจ เขากระชากเอาผ้าห่มออกเพื่อจะมองให้แน่ใจว่าไม่มีใครนอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียงจริงๆ แล้วถึงได้พบว่าเตียงนั้นยับย่น มีร่องรอยรัก..ทว่าว่างเปล่า
ณัฐวีร์ไม่ได้อยู่บนเตียง.. ไม่อยู่ที่ใดเลยในห้อง
มกรใจหายวาบ..นี่มันคือฝันร้ายของจริงเลยต่างหาก
ณัฐวีร์หนีเขาไปแล้ว..
“นัท!”
มกรร้องเรียกเสียงดังลั่น เมื่อคืนวานคนทั้งคู่อยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน บางที ..เมื่อตื่นมาในเช้าอีกวัน ณัฐวีร์อาจเสียใจกับการกระทำนั้นจนคิดหนีหายไปจากเขาก็เป็นได้
“นัท!!”  มกรร้องขณะคว้าเอาเสื้อคลุมมาใส่ทำท่าจะวิ่งไปที่ประตูห้องนอน
แต่กลับมีเสียงตอบรับเบาๆดังมาจากในห้องน้ำ ชายหนุ่มชะงักเท้าแล้วหันไปมอง..
แสงไฟลอดออกมาเล็กน้อย..
น่าจะเป็นเพราะเขารีบรนเกินไปจึงไม่ได้ยินเสียงน้ำในห้องอาบน้ำ ใบหน้าของคนที่เขากำลังค้นหาโผล่มาระหว่างช่องว่างของประตู มองเขาด้วยดวงตาตกใจ
“ร้องเรียกเสียงดังขนาดนั้นมีอะไรครับ นัทอาบน้ำอยู่”
“เปล่า..” มกรยิ้มอย่างโล่งอก เขาส่ายหน้าไปด้วยขณะมองอีกฝ่ายขมวดคิ้วงงๆแล้วปิดประตูไป
ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบใบหน้า มันเป็นฝันร้ายที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่ก็กลัวว่าจะเกิดขึ้น
เลือดที่หลั่งออกมาไม่ว่าจะเกิดจากการกระทำของเขาหรือของใคร.. มันมักทำให้เกิดความสูญเสียเสมอ
มกรถอยตัวลงมานั่งอยู่ที่เตียง เขาเลื่อนมือลูบไปบนพื้นผ้าปูที่ยับย่น ร่องรอยรักบนเตียงทำให้เขารู้สึกอุ่นขึ้นมาในอก มันซ่านขึ้นมาจนถึงใบหน้า แล้วสร้างรอยยิ้มบางๆฉาบไว้
บางทีฝันร้ายนั่นอาจจบลงแล้วเมื่อเขาตื่นขึ้นและพบว่า..ณัฐวีร์ยังอยู่ในห้องนี้ไม่ได้จากเขาไปไหน
ฝันนั่นอาจเป็นความกลัวสุดท้ายที่จะเกิดขึ้น.. นับจากนี้ฝันร้ายแบบนั้นจะไม่หลอกหลอนเขาอีก
มกรยิ้มกว้างเมื่อคิดมาถึงตรงนี้
แกร้ก..
ณัฐวีร์เปิดประตูห้องน้ำออกมาพบว่าเจ้าของห้องนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่บนเตียง สายตาก็มองตรงจุดที่...นั่นแหละ .. เด็กหนุ่มเห็นท่าทางแบบนั้นแล้วก็หน้าร้อนขึ้นมาบ้าง เขาเบือนสายตาหนีภาพก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกข่มความอาย แล้วเดินตรงเข้าไปหามกร
“พี่แมนไปอาบน้ำสิครับ สายแล้วเดี๋ยวนัทต้องไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านก่อนเข้าบริษัทนะ”
มกรหันกลับมายิ้มหวานให้ “ลาพักสักวันไม่ได้เหรอ ดูนัทสิ เดินไม่สะดวกนี่นา”
เห็นได้ชัดว่าเรื่องเมื่อคืนส่งผลกับท่าทางการเดินของณัฐวีร์พอสมควร  เขาเดินช้าลงกว่าเดิมเพราะมีอาการปวดบั้นเอว และยังรู้สึกขัดๆตรงด้านหลัง
มกรนั่งอ้าขากว้างแล้วคว้าร่างที่อยู่ในชุดคลุมอาบน้ำเข้ามากอด มืออุ่นก็ไล่บีบนวดไปที่บั้นเอวเล็กเบาๆ
“เมื่อวานเราก็ออกกันมาตั้งแต่สายๆนะครับ.. ไม่รู้ที่นั่นจะวุ่นวายกันไปถึงไหนแล้ว”
ณัฐวีร์ยกมือทั้งสองขึ้นวางไว้บนบ่ากว้าง เพื่อเปิดทางให้อีกฝ่ายบีบๆนวดๆได้สะดวกขึ้นเขายอมรับว่าตัวเองรู้สึกไม่สบายตัวจริงๆ ดังนั้นจึงไม่ปฏิเสธการดูแลนั้น
“ก็ไม่เห็นจะโทรมาเรียกให้กลับไปนี่นา” มกรบอกเช่นนั้นจึงทำให้ณัฐวีร์เปลี่ยนที่วางมือจากไหล่เป็นหน้าอีกฝ่าย เขาบังคับใบหน้านั้นให้แหงนขึ้นจนดวงตาของคนสองคนสบกัน
“ไหนเมื่อวานเราคุยกันแล้วไงครับ..”
มกรเม้มปาก ไม่ถนัดนักหรอกเพราะณัฐวีร์บีบแก้มเขาจนบู้ แถมยังหนักมือขยี้เล่นจนหน้าเบี้ยวอีกด้วย
“รู้อยู่..น่า.. ไปก็ไป” ชายหนุ่มขมุบขมิบบอก ทำให้ณัฐวีร์เผยรอยยิ้มกว้างละมือจากแก้มมาลูบผมที่ยุ่งเหยิงให้
“เนอะ..ไปทำงานกัน..อาบน้ำเร็วครับ..”
มกรพยักหน้าแล้วคว้าร่างนั้นมากอดแน่นอีกหนึ่งหนก่อนจะปล่อยมือเพื่อให้อีกฝ่ายไปแต่งตัว เขาเองลุกจากเตียงเตรียมจะไปอาบน้ำ ขณะที่ณัฐวีร์เอ่ยขึ้นลอยๆ
“เดี๋ยวนัทยืมมือถือโทรหาที่บ้านหน่อยนะครับ แม่ไก่จะได้ไม่ห่วง”
“ครับผม” ชายหนุ่มร้องบอกแล้วก้าวเข้าไปในห้องน้ำ พอปิดประตูไปแล้วก็เริ่มบีบยาลงบนแปรงสีฟัน ก่อนจะนึกได้ว่าโทรศัพท์ตัวเองเป็นแบบสแกนนิ้วมือและใส่รหัสผ่าน  ซึ่งถ้าไม่รู้รหัสก็จะไม่สามารถใช้โทรศัพท์ได้
แต่.. ไว้อีกสักเดี๋ยวค่อยออกไปปลดล็อคให้น้องโทรแล้วกัน เพราะตอนนี้แปรงฟันติดพันอยู่
มกรออกมาจากห้องอาบน้ำก็พบว่าณัฐวีร์ยืนหล่ออยู่ตรงหน้ากระจกเสียแล้ว ขนาดไม่มีครีมทา ไม่มีแป้งฝุ่นให้หรือไม่มีแว็กซ์เซ็ทผม ณัฐวีร์ยังหล่อขนาดนี้ เขานี่โชคดีจริงๆที่ได้น้องกลับมาอีกครั้ง
และครั้งนี้เขาจะไม่ยอมปล่อยมืออีกเป็นอันขาด
มกรเดินไปหยิบเสื้อผ้าตัวเองมาใส่ เป็นเสื้อยืดตัวเก่าที่เหลือติดตู้เสื้อผ้าอยู่แต่ก็ยังพอใส่ได้ เดี๋ยวก่อนเข้าบริษัทเขาไปส่งน้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วอาจจะแวะที่ห้างสรรพสินค้าสักที่ซื้อเสื้อผ้าใหม่ ชายหนุ่มวางแผนไว้เช่นนั้น
การจะกลับเข้าบ้านตัวเองเพื่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมาทำงาน.. ถ้าไม่เจอใครก็ดีไป แต่ถ้าเจอตา.. วันดีๆอาจกลายเป็นวันไม่ดีไปได้
เขาเคยรู้ประวัติตามาบ้าง แต่ไม่เคยรู้ว่าก่อนหน้าจะแต่งงานกับยายน่ะ ตาเป็นยังไงมาก่อน.. รู้แต่ว่าพอแต่งงานเข้าบ้านยายแล้วตาก็เข้มงวดกับทุกอย่าง ทุกคน.. จนตอนนี้ก็ยังไม่เลิกเข้มงวด
จริงๆเขาจะไม่เข้าไปที่ออฟฟิศเลยก็ได้.. ถ้าเป็นเขาคนเมื่อก่อนคงไม่เข้าไป แต่ตอนนี้..เขาไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว ดังนั้น.. การหนีปัญหาไม่ใช่ทางแก้ที่ถูกต้อง เขามีแต่ต้องเผชิญกับมันให้ได้เท่านั้น
มกรวางเสื้อคลุมลงบนเก้าอี้ กลัดกระดุมกางเกง ขณะกำลังเอี้ยวตัวมองว่าณัฐวีร์อยู่ตรงไหนมือก็เอื้อมไปหยิบเสื้อยืดมาสวม
ณัฐวีร์นั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะกระจก ห่างจากเขาไปพอสมควร และกำลังมองมาทางนี้ด้วยดวงตาใสๆคู่นั้น
"มองคนหล่อทำไมครับ" มกรถามยิ้มๆขณะดึงเสื้อใส่อย่างเรียบร้อย
ณัฐวีร์ย่นจมูกใส่ "ไม่รู้จะมองอะไร ก็เลยมองไปงั้นล่ะครับ รออยู่เนี่ย จะแต่งให้หล่ออีกนานไหม"
มกรก้มลงมองตัวเองแล้วก็พยักหน้า "หล่ออยู่แล้วใส่อะไรก็หล่อ.."
เด็กหนุ่มเบือนหน้าเบ้ปากหนี "งั้นไปกันเถอะครับเดี๋ยวจะหล่อไม่เสร็จกันสักที"
"ใจร้าย.." มกรขมุบขมิบบ่นแล้วมองดูอีกฝ่ายค่อยๆลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ "ปวดเอวมากเหรอ" เขาเดินเข้าไปหา
ณัฐวีร์ก้มหน้านิดๆ ใบหูนั้นแดงหน่อยๆขณะพูดว่า "ก็น่าจะปวดไหมล่ะครับ.."
คนฟังยิ้มกว้างเอื้อมมือไปดึงณัฐวีร์เข้ามากอดแน่น "พี่ขอโทษนะ อดใจไม่ไหวจริงๆ หนักมือไปหน่อย คราวหน้าจะขอไถ่โทษด้วยการทำให้นัทมีความสุขสุดๆ"
ชายหนุ่มเอาคางเกยไปบนศีรษะที่แนบอยู่กับอกเขาแล้วหลับตารับสัมผัสจากอ้อมกอดของน้องที่เกาะอยู่ตรงบั้นเอวตัวเอง
"ถ้านัทเป็นคนใจร้าย พี่แมนก็ขี้โกงสุดๆล่ะครับ" ณัฐวีร์พูดขณะฟังเสียงหัวใจของอีกฝ่ายด้วยใบหน้าร้อนผ่าว
จะมีคราวหน้า จะมีครั้งต่อไป.. พวกเขาจะไม่จบกันเพียงเท่านี้
มกรยิ้มอย่างมีความสุข "พี่ไม่อยากลืมตา ไม่อยากออกไปจากห้องนี้ ไม่อยากปล่อยนัทจากกอดอุ่นๆของพี่เลย"
"โหย.. คนหล่อครับ.. เลิกหยอดได้แล้วครับ..ยอมแล้ว" ณัฐวีร์พูดด้วยเสียงหัวเราะ เขาส่ายหน้าน้อยๆ บางทีก็ไม่อยากจะเชื่อตัวเองว่าช่วงเวลานี้จะมาถึงแล้ว "มันหวานจนนัทร้อนหน้าไปหมดแล้วพี่แมน ไม่ไหวแล้วจริงๆ พอเหอะครับ"
ณัฐวีร์ว่าแล้วยันตัวออกจากอ้อมแขนอีกฝ่าย เหมือนจะเบาหวานขึ้น ความดันโลหิตพุ่งจริงๆนะเนี่ย เด็กหนุ่มยังรู้สึกไม่ชินก็เลยขอพักรบไว้ชั่วคราวผละออกมาจากอ้อมกอดอีกฝ่ายแล้วเดินหนีไปที่ประตูเอาดื้อๆ
"อย่าเพิ่งสินะ.." มกรเดินตามมาอ้อน เขาอ้อมแขนกอดณัฐวีร์จากเบื้องหลัง ดึงน้องไว้ไม่ให้ก้าวออกจากห้องนอนไปก่อน
"เดี๋ยวก็สาย.."
"ขออีกนิด..ไม่อยากออกไปรับรู้เรื่องราวข้างนอกนั่นจริงๆ ขอกำลังใจอีกหน่อย" มกรกระซิบบอก
เสียงอ้อนนั่นเล่นเอาณัฐวีร์ใจอ่อน.. นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกกันว่าเสือผู้หญิงไม่ทิ้งลายน่ะ เด็กหนุ่มทำปากขมุบขมิบแล้วยกมือตัวเองวางกดลงไปที่มืออีกฝ่ายซึ่งอยู่ตรงเอว เขาเลื่อนมือลูบแขนแกร่งที่กอดตัวเองไว้เพื่อปลอบโยน เพื่อให้กำลังใจ และเคลื่อนปลายนิ้วสอดประสานเข้าไปในนิ้วของอีกฝ่าย บีบกระชับเพื่อให้อีกฝ่ายจับมือเขาไว้ ส่งผ่านกำลังใจไปให้
"สู้ๆนะครับ.. เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป" ณัฐวีร์กระซิบบอก "พี่แมนยังมีนัทนะครับ จำที่นัทบอกได้ไหมครับ เรื่องในอดีตคุณแม่ไม่ได้อยากให้เกิดขึ้นหรอก มันก็แค่การทำผิดพลาดของช่วงวัยรุ่น.. พี่แมนต้องเข้าใจคุณแม่นะครับ"
"..."
มกรไม่ตอบ เขาแค่บีบมือณัฐวีร์เอาไว้แล้วดึงร่างเด็กหนุ่มเข้าใกล้กอดกระชับมากขึ้น
ณัฐวีร์สัมผัสถึงความไม่สบายใจนั้น..
จริงอยู่ว่าเขาสามารถดึงความมีเหตุผลของมกรขึ้นมาได้บ้างแล้ว.. แต่มกรอยู่กับเรื่องนี้มานาน นานตั้งแต่เขายังเด็ก เวลามันเป็นสิบปี.. การพูดประโยคเดียวจากใครก็ไม่รู้ หมอก็ไม่ใช่.. การจะให้ยอมรับเรื่องต่างๆในคืนเดียว เปลี่ยนความคิดคนที่ฝังหัวมานานเป็นเรื่องยากจนบางทีอาจเป็นไปไม่ได้เลย ..ต้องค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้นเรื่อยๆ
ณัฐวีร์คิดเช่นนั้นแล้วยกมือขึ้น เลื่อนไล้ไปจับใบหน้าคมสันของคนที่อยู่เบื้องหลัง ก่อนจะเอี้ยวตัวเองเขย่งปลายเท้าขึ้น โน้มคออีกฝ่ายลง แล้วทาบริมฝีปากไปหาริมฝีปากอุ่น
"ลืมหรือยังครับ.. เมื่อคืนนัทบอกว่ายังไง"
มกรจ้องตาอีกฝ่าย จ้องอยู่ชั่วครู่ก็พยักหน้าแล้วยิ้มกว้าง..เอนใบหน้าคมสันของตัวเองซุกซบลงตรงไหล่ของน้อง
"ไม่ลืม.." เขากระซิบแล้วโยกตัวเบาๆอย่างมีความสุข "ไม่มีทางลืม.."
"ดีครับ.. จำไว้นะครับ.." ณัฐวีร์หลับตา เอนหลังพิงร่างกับอกกว้างอบอุ่น “ไม่ว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น.. ขอให้พี่แมนจำคำที่นัทบอกเมื่อคืนเอาไว้.. รับรองผ่านฉลุยครับ”
มกรยิ้มบางๆพยักหน้าน้อยๆ ..คำเมื่อคืน.. ครับ..พี่จะจำไว้
ชายหนุ่มมาดหมายคำนั้นในใจ ก่อนจะส่งริมฝีปากร้อนทาบลงที่ต้นคอ แล้วค่อยๆไล่มาที่สันกราม จูบเบาๆที่ใบหูและขมับ แล้วซบหน้าลงที่ข้างแก้มน้อง
"เก็บเพลงรักนี้..ไว้ให้เธอ.. เมื่อวันใดที่เจอะเจอฉันก็พร้อมและยินยอมมอบความรัก และจิตใจ ชั่วนิรันดร์" ชายหนุ่มฮัมเพลงรักคุณเข้าแล้วเบาๆ "เก็บใจของฉัน ไว้ให้นาน และจะนานจวบจนกาลเวลาล่มสลาย ก็เพราะฉันนั้นมีเธอ ใจฉันนั้นมีเธอและตัวฉันนั้น จะรักเธอเท่านั้น"
เสียงเพลงทุ้มต่ำที่ข้างหูทำให้ณัฐวีร์หลับตาฟังด้วยใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอีกรอบ เขายิ้มและรู้สึกได้ถึงความสุขที่เอ่อล้นหัวใจ
มกรจรดริมฝีปากที่ขมับน้องแล้วบ่น "โอย.. อยากพาไปที่เตียง ขออีกสักทีจะเป็นพระคุณ"
"พี่แมน!..." ณัฐวีร์ขึ้นเสียงแล้วถองศอกเข้าที่พุงไขมันต่ำไปหนึ่งที "หมดกันเลย อุตส่าห์จะพยายามซึ้ง.."
"อูย.. นี่ก็อายเหมือนกันครับผม อยากซึ้งต่ออีกนิดเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนัทไม่ซึ้งด้วย" มกรขยิบตามือคลำท้องป้อยๆ ยอมปล่อยน้องให้ไปยืนห่างตัวจนได้
"ไม่สนใจพี่แล้ว กลับบ้านเร็วครับ" ณัฐวีร์เดินหนีไปด้วยความว่องไว
"อ๊ะ อย่าเดินเร็วครับ เดี๋ยวเอวเจ็บนาน พี่จะรอเหี่ยว"
เสียงสวดจากคนที่เดินพ้นประตูห้องไปแล้วดังขรม ทำให้มกรรีบก้าวตามออกไปทันที
คนทั้งคู่ออกจากชั้นที่พักอยู่ลงมายังชั้นที่เป็นลานจอดรถ คุยกันมาตลอดทาง อารมณ์หวามหวานที่ต่อเนื่องจากเมื่อคืนทำให้มกรรู้สึกว่าตัวเองอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ส่วนณัฐวีร์เองก็โดนหยอกจนจะกลายเป็นตัวนิ่มไปอยู่แล้ว ถ้าขืนปล่อยไว้แบบนี้นานๆเข้า คงกลายเป็นณัฐวีร์เชื่อม.. น้ำตาลเกาะตั้งแต่ปลายผมจรดปลายเท้าแน่ๆ
“อ้าว.." มกรร้องขึ้นขณะลิฟต์เปิดที่ชั้นลานจอดรถแล้ว
"มีอะไรครับ?" ณัฐวีร์ถามเมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นตบกระเป๋ากางเกงตัวเอง
"สงสัยพี่จะทำกระเป๋าเงินหล่นไว้ข้างบน" มกรจำได้ว่าใส่กระเป๋าเงินไว้ในกางเกง ตอนที่หยิบมาใส่อาจจะร่วงไปก็เป็นได้ "เอางี้ เดี๋ยวพี่จะขึ้นไปดู นัทเดินไม่ไหวใช่ไหม เดี๋ยวนั่งรอพี่อยู่ตรงนี้แล้วกันนะ พี่ขึ้นไปดูแป้บนึง ก่อนเข้าบ้านจะได้แวะซื้อยาทาด้วย”
ณัฐวีร์พยักหน้าหงึกๆแล้วมองหาเก้าอี้นั่ง เขาภาวนาให้มีเบาะนุ่มๆ แต่เก้าอี้ที่เห็นเป็นเก้าอี้พลาสติกธรรมดาที่ต้องประคองตัวนั่งพอสมควร สงสารตัวเองจริงๆ
เห็นท่าทางลังเลจะนั่งแบบนั้นแล้วมกรก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เขานึกถึงเมื่อสองปีก่อน ช่วงแรกๆที่เขาจัดน้องหนักๆ ณัฐวีร์ก็มักจะมีอาการปวดเอว เจ็บสะโพกบ่อยๆ ตอนนี้ก็อาการเดิม แค่เขาดูแลน้องได้ดีขึ้น.. เขาไม่เคยหายาทาให้น้อง นี่เขาคิดจะแวะซื้อยาเลยนะ
มกร..แกก็พัฒนาแล้วเหมือนกันนะเนี่ย..
ชายหนุ่มคิดอยู่ในใจตัวเองแล้วยิ้มกว้างขึ้นอีก
"ยิ้มอยู่ได้ ขึ้นไปเอาของได้แล้วครับ"
"ก็คนมันปลื้มใจ.." มกรพูดแล้วเข้ามาช่วยพาเด็กหนุ่มไปนั่ง "รออยู่นี่แป้บนึงนะ เดี๋ยวมาครับ"
ชายหนุ่มเดินไปกดลิฟต์แล้วก็นึกขึ้นได้ เมื่อกี้เขายังไม่ได้ปลดล็อคโทรศัพท์ให้ณัฐวีร์เลยนี่นา นี่ก็คงยังไม่ได้คุยกับที่บ้านน่ะสิ
"นัทเอาโทรศัพท์ไปคุยไหม.." เขาเอ่ยถามขณะปลดล็อคไปด้วย
"ไม่เป็นไรครับ นัทคุยแล้ว" ณัฐวีร์บอกทำให้มกรพยักหน้าอย่างงงๆ
“ลิฟต์มาแล้วพี่แมน.. รีบไปรีบมานะ”
“ครับ..” มกรก้าวเข้าลิฟต์และปล่อยความสงสัยไปเมื่อลิฟต์ปิดประตู เขาขึ้นไปถึงห้องพักแล้วตรวจหากระเป๋าเงิน จึงได้พบว่ามันหล่นอยู่ที่ปลายเตียง คงเป็นตอนที่เขาหยิบกางเกงมาใส่แล้วไม่ทันระวังนั่นเอง
ชายหนุ่มออกจากห้องกลับลงไปที่ชั้นจอดรถอีกครั้ง เขารีบเดินออกจากลิฟต์และหวังว่าจะพบกับณัฐวีร์ที่นั่งรออยู่
..แต่.. ตรงนั้นกลับว่างเปล่า
***************************

เห็นแววต้มมาม่ามาไวๆ  :katai4:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 32 [3Jan2015]
เริ่มหัวข้อโดย: Wereena ที่ 03-01-2015 09:16:06
ฮ่วย!!  บ่เอามาม่าชามใหญ่เด้อค่ะ  ขอของหวานแบบนี้ดีกว่า  :sad4:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 32 [3Jan2015]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-01-2015 09:43:51
อะไรอีกล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 32 [3Jan2015]
เริ่มหัวข้อโดย: Buppha ที่ 03-01-2015 10:32:56
 :a5: ห้ะ กำลังจะไปได้ดี แล้วมันเกิดอะรายขึ้นนนนนนนนน  :hao5:
Happy New Year 2015 นะคะ แล้วมาต่อเร็วๆน้าาาาาา  :bye2:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 32 [3Jan2015]
เริ่มหัวข้อโดย: สายลมที่หวังดี ที่ 03-01-2015 10:48:31
อะไรกันเนี้ยยย กินมาม่าอืดท้องแบ้วกินของหวานสองตอนเอง จะได้กินมาม่าอีกแล้ว  :ling2:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 32 [3Jan2015]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 03-01-2015 12:59:52
อ้าว จะมีมาม่าอีกเหรอ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 32 [3Jan2015]
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 03-01-2015 14:18:19
มาม่ามาแล้ว จะบ้าตาย น้องนัททำแบบนี้ เดี๋ยวพี่แมนก็คลุ้มคลั่งอีกหรอก

หรือนัทปลดล็อคโทรศัพท์ได้ แล้วไปเจออดีตในนั้น. เลยทำให้รู้สึกไม่ดี

ไม่น่าเลยจริงๆกำลังหวานได้ที่ ต้องมากินผงชูรสในมาม่าอีกละ

สู้นะแม้นศรี
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 32 [3Jan2015]
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 03-01-2015 20:24:36
ต้มน้ำรอ...
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 32 [3Jan2015]
เริ่มหัวข้อโดย: imac ที่ 03-01-2015 20:55:40
อ่านช่วงแรกรับแมนไม่ได้อย่างแรง ตอนหลังพอรู้ว่ามีปมในวัยเด็กก็พยายามทำความเข้าใจแมนมากขึ้น
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 32 [3Jan2015]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 03-01-2015 21:44:20
ปวดตับรอเลยทีเดียว 
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 32 [3Jan2015]
เริ่มหัวข้อโดย: NIMME ที่ 03-01-2015 22:01:16
น้องหายไปไหน อย่าบอกนะว่าจำได้แล้วววว
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 33 p.15 อัพแล้วค๊าบบบบบบ
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 06-01-2015 09:48:19
สวัสดีค่าาา าาาา ^0^

 เมื่อน้ำต้มสุกแล้ว ก็ใส่เส้นมาม่าลงไป
วันนี้ง่วงมาก เพิ่งออกจากห้องประชุมก็มาจัดการตอนต่อเลย พรุ่งนี้มีประชุมต่ออีก ป๋ม..อยากเอาหัวปักหมอนแล้ว
ดังนั้น ขอโพสต์ที่เพจอย่างเดียวนะ.. ไม่โพสต์ที่เล้าละ หมดแรง..
มีเพื่อนชวนเพื่อน มีญาติชวนญาติ อัญเชิญมาอ่านกันที่นี่นะคะ
ขอแปะแล้วไปสลบละ ขอให้อร่อยกับมาม่ารสต้มยำ
(จริงๆคือ โพสต์แล้วชิ่ง)
-----------------------------------------------

มกรชะเง้อหาณัฐวีร์ แต่ก็ไม่เห็นว่าเด็กหนุ่มจะอยู่ที่ใดในบริเวณนั้น
"หรือจะไปรอที่รถ?" เขาคาดเดาพลางเดินอย่างเร่งร้อนไปยังที่จอดรถ แต่ยิ่งเข้าไปใกล้ก็ยิ่งใจไม่ดี เพราะตรงรถก็ไม่เห็นเงาใครอยู่เลยสักคน
กระทั่งไปถึงก็เป็นจริงดังที่กลัว.. ณัฐวีร์ไม่ได้อยู่ที่นั่น
"นัท..ไปไหนเนี่ย"
มกรใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาหันรีหันขวางแล้วล้วงกระเป๋าหยิบมือถือทำท่าจะโทรหาน้อง แต่ก็นึกได้ว่าณัฐวีร์ไม่มีมือถือ จะโทรเข้าบ้านน้องก็ไม่ได้ เพิ่งห่างกันแค่ห้านาทีน้องยังไม่ไปไหนไกลแน่ๆ
เขาคิดอย่างละล้าละลัง บางทีณัฐวีร์อาจจะโกรธเรื่องเมื่อคืน เกลียดที่เขาทำรุนแรง และไม่ชอบที่เขากอดจนตัดสินใจหนีเขาไป เหมือนครั้งแรกที่เจอกัน ณัฐวีร์ก็เคยเล่นละครหลอกเขามาแล้ว หลอกให้เขาเชื่อใจแล้วหนีเขาจนเขาฟิวส์ขาดทำร้ายน้อง
ชายหนุ่มกำหมัดแน่นเมื่อคิดถึงเรื่องนั้น
หากแต่สติก็บอกเขาว่า เป็นไปไม่ได้ คราวนี้เขาไม่ได้หลอกณัฐวีร์เหมือนคราวนั้น เรื่องจะโดนหลอกกลับจนปล่อยให้อะไรๆเลยเถิดมาป่านนี้ แล้วคิดจะหนีไปดื้อๆก็คงไม่ใช่
แล้วน้องไปไหน? ถ้าไม่ได้หนีเขาแล้วไปไหน?
..บางทีณัฐวีร์อาจเบื่อที่จะรออยู่ข้างล่าง แล้วตามขึ้นไปบนห้องจนคลาดกันหรือเปล่า??
มกรว่าสิ่งที่คิดน่าจะเข้าทางมากที่สุด เพราะด้วยระยะเวลาหรือสถานการณ์ต่างๆ ..มันก็น่าจะเป็นเช่นนั้น
ชายหนุ่มจึงหมุนตัวคิดจะเดินไปที่ลิฟต์
ทว่า..เมื่อหันกลับมาเขาก็พบว่าตัวเองต้องเผชิญหน้ากับคนที่ไม่อยากเจออีกคนแล้ว
"ไง..ไอ้แมน.. ไม่เจอกันนานนี่"
คำร้องทักนั่นทำให้เลือดในกายเย็นเยียบ มกรตัวแข็งทื่อ แล้วค่อยๆรู้สึกถึงบางอย่างที่สะเทือนจากภายในตัวเขาเอง ผุดขึ้นทีละนิดๆ
มันเป็นความหวาดกลัวในอดีตที่ค่อยๆทะลักล้นมาจากก้นบึ้งของกรุความทรงจำ
เปล่า.. เขาไม่ได้กลัวคนตรงหน้า เขาไม่เคยกลัวการปะทะกับใครทั้งสิ้น แต่สิ่งที่เขากลัวก็คือ..ทุกครั้งที่เขาเห็นหน้าคนๆนี้ เขามักจะคิดถึงคนอีกสองคน..
...ลูกเกด..และ มะม่วง
"ทำหน้าแบบนั้นจำกูได้ล่ะสิ" คนพูดอัดบุหรี่เข้าปอดเฮือกใหญ่ๆแล้วพ่นควันลอยอ้อยอิ่งออกมาจากปาก "เสียดายที่กูยังไม่ทันได้ทำอะไรมึงก็หนีไปอเมริกาเสียก่อน ไงล่ะชีวิตหลายปีมานี่คงสบายดีใช่ไหมมึง.."
มกรกัดกรามแน่น.. "ถ้ามึงไม่มีอะไรก็หลบทางกู กูรีบ"
"มึงจะรีบไปไหนเล่า.." กรุง พี่ชายลูกเกด พ่นควันบุหรี่ออกมาจากปากอย่างยียวน "เรายังมีเรื่องต้องเคลียร์กันอีกไม่ใช่หรือไง"
"เราไม่มีอะไรต้องเคลียร์กันแล้วต่างหาก กูชดใช้ให้ทุกอย่างตามที่น้องมึง ครอบครัวมึงร้องขอแล้ว... หลีก!!" มกรเอ่ยเสียงดุแล้วก้าวผ่านอีกฝ่ายไปอย่างระแวดระวัง
"ทำไม.. มึงจะรีบไปทำธุระที่ไหนหรือไง..ไอ้ฆาตกร!"
ถ้อยคำนั้นทำให้มกรชะงักเท้า..ฆาตกร
"กูพูดจี้ใจดำสิถึงได้ชะงักไปแบบนั้น.. มึงฆ่าลูกตัวเองไม่พอ ยังฆ่าน้องสาวกูทั้งเป็นด้วย"
มกรหันขวับ จริงอยู่ว่าเมื่อก่อนนั้นเขาเคยยอมรับผิดตามที่ลูกเกดใส่ความ ตอนนั้นเธออาจจะกลัวความผิด จึงโยนทุกอย่างมาลงที่เขา เธอบอกว่าเขาผลักเธอตกลงมาจนแท้ง และไหนๆเขาก็เลวอยู่แล้วในสายตาของผู้ใหญ่ ไม่มีใครอยากฟังความ ได้แต่ส่ายหน้าใส่.. การจะแก้ตัวไปก็ไร้ประโยชน์เปล่า
อีกทั้งตอนนั้นเขาเพิ่งรู้เรื่องลูก เขาจึงไม่มีกระจิตกระใจจะต่อล้อต่อเถียง ได้แต่ปล่อยให้ทุกคนเข้าใจผิดว่าเขาเป็นผู้กระทำ.. มาตอนนี้..มกรกลับคิดจะพูดความจริงขึ้นมาเสียแล้ว
ความจริงที่เขาได้บอกกับณัฐวีร์ไปเมื่อคืนก่อนแล้วนั่นเอง
ชายหนุ่มอ้าปากจะพูดความจริง ทว่าก็ไม่ทันอีกฝ่ายที่สวนขึ้นมา "อย่างมึงอย่าหวังจะไปมีคนรักที่ไหนเลยไอ้สัตว์.. เดี๋ยวจะไปฆ่าเขาทั้งเป็นอีก"
มกรสะดุดกึก..มันหมายความว่ายังไง
คนรัก..งั้นหรือ?
หรือว่า...?!
"มึง..เอานัทไปไว้ไหน!"
กรุงหัวเราะขึ้นอย่างสะใจ "เอาไปไว้ในที่ๆห่างไกลจากฆาตกรอย่างมึงไง ปลอดภัยกว่าอยู่กับมึงเป็นร้อยเท่าพันเท่า"
"ไอ้สัตว์!!" ชายหนุ่มผวาเข้าหาแต่อีกฝ่ายฉากหลบแล้วส่งหมัดเข้ากระแทกท้องมกรเข้าอย่างจัง
ร่างสูงถึงกับเซถอยไปหลายก้าว และยังถูกตามมาต่อยเข้าที่โหนกแก้มจนร่างทรุดลงไปกับพื้น
"มึงอย่านึกว่ามีมือมีตีนคนเดียวไอ้แมน พ่อมึงใหญ่ แต่พ่อกูก็มีเงิน ที่มึงหายไปอย่านึกว่าพวกกูจะย่ำอยู่กับที่ รอให้พ่อแม่มึงเอาเงินเอาอำนาจมารังแกกัน ..อีกอย่าง อย่านึกว่ากูไม่รู้เรื่องราวเหี้ยห่าของมึง เพียงแต่มึงมันตกต่ำมากเกินกว่ากูจะต้องลดตัวลงไปสั่งสอน!..”
กรุงหัวเราะเย้ยหยัน “แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน มึงกำลังมีความสุข ก็อย่าได้คิดว่าความสุขจะอยู่กับมึงไปยืนยาว กูจะไม่ยอมให้มึงมีโอกาสได้อยู่อย่างสงบสุขหรอก น้องสาวกู..คนที่มึงฆ่าเขาทั้งเป็น  ผลักเขาตกบันไดลงมาจนแท้งลูก หลานกู คนที่มึงฆ่าทั้งที่มันยังไม่ลืมตาดูโลก!! กูจะให้มึงชดใช้ไปชั่วชีวิต!!" กรุงตะคอก เขาคว้าคอเสื้อมกรขึ้นมา หมัดที่กำแน่นเงื้อขึ้นสูง
"ถึงกูฆ่านั่นก็เมียกูลูกกู!! กูจะทำอะไรก็ได้!" มกรประชดกลับ
"ไอ้สารเลวเอ้ย! มึงมันไม่มีทางสำนึกความเลวที่มึงทำไว้หรอกไอ้แมน!" กรุงตะคอกดังแล้วผลักมกรจนกระแทกไปกับพื้น "กูไม่อยากจะทำร้ายมึงให้เสียมือ แค่นี้ก็เสนียดติดมือกูแล้ว.. มึงมันเสียแรงเกิดเป็นคนไอ้แมน หมามันยังรักลูกของมัน"
"ถึงกูจะเลวกว่าหมา ฆ่าได้กระทั่งลูกตัวเอง มันก็ชีวิตกู มึงไม่เกี่ยว!"
"ถ้านั่นไม่ใช่น้องในไส้กู กูก็ไม่อยากจะยุ่ง มึงจะเป็นยังไงกูก็ไม่สนใจ"
มกรขยับตัวลุกขึ้น อาการปวดระบมจากเมื่อวานที่ไปตะลุมบอนกับไอ้เอ มาวันนี้เจอเรื่องไม่คาดคิดกับไอ้กรุง เปรียบไม่ได้กับอาการเจ็บร้าวในอกเมื่อรู้ว่าณัฐวีร์อยู่ในมือของพวกมัน และยิ่งรู้สึกแทบคลั่งเมื่อเอ่ยถึงการตายของลูก..มะม่วง
ถึงพูดความจริงออกไปเขาก็ไม่ได้มะม่วงกลับมา.. ดังนั้น เขาจึงจะหาทางทุกวิธีให้ได้ณัฐวีร์.. ให้ได้แม่ของมะม่วงคืนมา!! ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม!
"นัทอยู่ที่ไหน.." มกรถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่ดวงตาแข็งกร้าว
"อยู่ในที่ๆมึงจะไม่มีวันเอื้อมถึงอีกต่อไป.." กรุงเองก็เอ่ยอย่างเยือกเย็นไม่แพ้กัน
"กูจะถามเป็นครั้งสุดท้าย..นัทอยู่ไหน!?! เมียกูอยู่ไหน!!"
ยังไม่ทันได้คำตอบมกรก็ผวาเข้าไปหากรุงเสียแล้ว เขากระหน่ำต่อยเข้าไปอย่างบ้าคลั่งชนิดเลือดเข้าตาและไม่ยั้งมือ แม้ฝ่ายนั้นจะฉากหลบและสวนคืนได้หลายหมัดแต่เหมือนว่าหมัดที่ต่อยโดนมกรจะเป็นหมัดไร้น้ำหนักสำหรับชายหนุ่ม ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่เข้าเป้าไปยังท้องหรือแก้ม มกรจะหันมาหาและเดินเข้าใส่ด้วยดวงตาลุกวาว และพุ่งทั้งหมัดและเท้าเข้าหากรุงไม่ยั้ง จนกระทั่ง...
"อั่ก!"
กรุงร่วงลงไปกองกับพื้น โดยมีมกรคร่อมอยู่บนตัว มือที่เปื้อนเลือดกระชากเอาร่างของกรุงขึ้นมาแล้วเข่นเขี้ยวถาม
"กูมันเลวใช่ไหม.. กูมันไม่มีดีใช่หรือเปล่า!" มกรแสยะยิ้ม "ไอ้เหี้ย!.. มึงก็รู้นี่นาว่ากูฆ่าได้แม้แต่ลูกตัวเอง กูผลักน้องมึงที่กำลังท้องตกบันไดลงมาจนแท้ง.. เพราะน้องมึงมันโง่!! มาขวางไม่ให้กูไปเที่ยวกับผู้หญิงอื่น ก็สมควรที่จะโดนแบบนั้นแล้ว.. มานอนกับกูจนมีลูก แค่กูจะออกไปเที่ยวมีสิทธิ์อะไรมาห้ามกู! กูไม่ฆ่าทั้งแม่ทั้งลูกก็บุญแล้ว.. กูจะบอกอะไรให้ไหม..กูเหี้ยได้ยิ่งกว่านั้นอีก.. ถ้ามึงไม่ส่งเมียกูออกมาตอนนี้.. กูจะกระทืบมึงให้ตาย แล้วตามล่าพวกของมึง ไปเรื่อยๆจนกว่าจะเจอเมียกู! และถ้ายังไม่เจออีก กูจะตามล้างไปถึงครอบครัวมึง น้องมึง กูจะไม่มีทางปล่อยมือ!! มึงก็รู้นี่ว่ากูเหี้ยได้มากขนาดไหน!.. ถ้ามึงยังฉลาดก็ส่งณัฐวีร์ออกมา!"
กรุงชะงักเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนั้น ใบหน้าถอดสีแต่ก็ยังหัวเราะอย่างหยามเหยียด "กูบอกมึงแล้ว.. มึงจะไม่มีวันเอื้อมมือถึงเขาอีก"
มกรเค้นเสียงลอดไรฟันที่ขบกันแน่น "มึงอยากตายใช่ไหม!!"
"พ่อมึงใหญ่ ฆ่ากูอีกสักคนจะเป็นไร!!" กรุงเองก็ไม่ยอมถอยเช่นกัน
"มึง..รนหาที่ตายเองนะไอ้สัตว์!!" มกรเงื้อหมัดขึ้นสูงกระแทกเข้าไปที่เบ้าตาของอีกฝ่ายจนเลือดทะลักติดมือ แม้ว่ากรุงจะยกมือขึ้นตั้งรับไว้ แต่มือนั้นก็ไร้แรงเกินจะป้องกันตัวเองได้ พอหมัดที่สองกระซวกตามลงมา กรุงก็เลือดท่วมจมูกและปาก
"เฮ้ยๆ.."
เสียงร้องนั้นทำให้หมัดที่สามชะงักไป มกรเงยหน้าขึ้นจากร่างที่แทบจะไร้แรงต่อต้าน แล้วจึงพบว่าศัตรูอีกหนึ่งของเขาหยุดยืนอยู่ไม่ไกลนัก
"พอได้แล้วไหมไอ้แมน..เดี๋ยวได้ตายกันพอดีหรอก.." เสียงห้ามนั้นดูเหมือนจะไม่จริงจังนัก แถมยังปนเสียงหัวเราะเข้ามาอีกด้วย เหมือนจะบอกว่า ..กูไม่ได้ห่วงว่ามึงจะติดคุกหรือถูกลงโทษหรอก.. กูแค่ห่วงว่ากูจะไม่ได้สนุกเหมือนตอนนี้อีก ไม่อยากให้มึงเข้าคุก เพราะกูอยากทรมานมึงเองมากกว่าจะส่งมึงให้ใครไปทรมานเล่น..
มีร้อยเอาบาทเดียว.. คนอย่างไอ้เอ.. ไม่เคยคิดดีคิดห่วงไอ้แมนหรอก
มกรลุกจากร่างที่นอนไร้ทางสู้แล้วถอยออกไปตั้งหลัก ยิ่งเห็นไอ้เอเดินเข้ามาแบบนี้เขายิ่งต้องระวังตัวมากขึ้น.. ถ้าพวกมันสองคนจับมือกัน.. นี่เท่ากับเขาจะเจอศึกสองด้านตีกระหนาบและอาจหาณัฐวีร์ได้ยากขึ้น
ทางไอ้กรุง เขาพอจะรู้ว่ามันไม่ใช่อันธพาล เกเร มันแค่รักครอบครัว หวงน้อง แต่ไอ้เหี้ยเอนี่สารเลวตัวจริง.. มันเล่นหมด ผู้หญิง อาวุธ และยา.. แถมพ่อมันก็ไม่ใช่ย่อย มีอำนาจพอตัว แม้ว่าตอนนี้การเมืองจะเปลี่ยนหัวเปลี่ยนขั้วไปบ้างแล้ว แต่เส้นสายทางพ่อมันก็ยังมี บุญเก่ามันยังเยอะ ดังนั้นเมื่อคนหนึ่งมีเงินและความแค้น อีกคนมีอำนาจและความเลวระยำ เมื่อมาพ่วงรวมกันมกรจึงเหมือนหมาจนตรอก
แต่แล้ว.. ก็ยังเหมือนจะมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อยู่บ้าง
เพราะดูเหมือนไอ้เอจะมาคนเดียว ไม่ได้พาลูกน้องมาด้วย แล้วก็ไม่มีอาวุธมาแต่อย่างใด
มันเดินเข้าไปประคองร่างที่นอนอยู่กับพื้นขึ้นมาแล้วดูสภาพอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม "อะไรวะ.. หมดท่าเลยไอ้กรุง ก็บอกแล้วให้กูพาคนมาช่วยตั้งแต่แรกก็ไม่เอา"
มันส่ายหน้าทำท่าเหมือนจะระอาหน่อยๆ กรุงเหลือบตาที่บวมปิดขึ้นมองแล้วยอมให้อีกฝ่ายพยุงตัวเองจะเดินไปที่รถ
"พวกมึง!! แล้วเมียกูอยู่ไหน!" มกรยังไม่ละความพยายาม เขาวิ่งไปกระชากไหล่ไอ้เอให้หันกลับมา
"มึงไม่ได้ยินที่ไอ้กรุงมันบอกหรือไง.. เขาอยู่ในที่ๆมึงเอื้อมไปไม่ถึงแน่" แล้วไอ้เอก็กระตุกไหล่ออกจากมือแข็งที่บีบไหล่แน่น พลางใช้สายตาแลเลยไปด้านหลังของมกร
เงาร่างหนึ่ง..ยืนอยู่ตรงนั้น
มกรหันไปตามสายตาของไอ้เอจึงได้เห็นว่าณัฐวีร์ยืนอยู่หลังเสาไม่ห่างจากรถที่จอดอยู่เท่าไรนัก
“นัท!!..”
มกรร้องเรียกชื่ออย่างรู้สึกโล่งใจ เกินเอื้อมอะไรกัน ณัฐวีร์ก็อยู่ตรงนี้นี่ไง
ชายหนุ่มยิ้มพร้อมกับก้าวออกไปหาร่างนั้น เขายกมือขึ้นซับเลือดออกจากมุมปากและหางคิ้ว เสื้อยืดที่ใส่ดูมอมไปหน่อยชายหนุ่มจึงปัดๆขณะเดินเข้าไปหาน้อง มือที่เลอะเลือดก็เช็ดกับกางเกงเสีย.. กลัวว่ามันจะเลอะไปที่เสื้อผ้า ที่เนื้อตัวน้อง
“ไม่ต้องห่วงนะนัท พี่ไม่ได้เจ็บอะไรมาก เมื่อกี้แค่อันธพาลมันมาหาเรื่องน่ะ พี่ไล่มันไปแล้ว”
“คนนั้น... พี่ชายของคุณลูกเกด ส่วนอีกคนชื่อเอสินะ..”
ริมฝีปากสั่นเทาของณัฐวีร์เอ่ยทักขึ้น ทำให้คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันทันที
“นัท..รู้ได้ยังไง?”
คนถามเดินเข้ามาใกล้ในระยะเอื้อมถึงกัน ดวงตาของณัฐวีร์ที่เหลือบขึ้นมามองทำให้มกรใจหายวาบ
มันคือดวงตาที่แดงก่ำฉายชัดความเกลียดชัง ไม่เหลือร่องรอยรักเหมือนเมื่อสิบนาทีก่อนอีกแล้ว
“จะ..จำได้แล้วหรือนัท?”
คนถูกถามส่ายหน้าริมฝีปากนั้นยิ่งสั่นเทา “..ผมไม่คิดว่า...พี่มันจะเลวจนกู่ไม่กลับขนาดนี้!”
แล้วแขนที่กอดอกอยู่ก็ตวัดซัดหลังมือเข้าที่โหนกแก้มของมกรจนใบหน้าคมคายสะบัดไปตามแรงมือ
ดวงตาคมฉายความสับสนแลกลับมามองหน้าณัฐวีร์..อย่างสงสัย
นี่มัน...เกิดอะไรขึ้น?
เขาโดน..ตบ.. โดนณัฐวีร์ตบงั้นหรือ?
ทำไม?
"..ฆาตกร" ณัฐวีร์พึมพำออกมาแผ่วเบา ทำให้คนฟังใบหน้าถอดสี
ณัฐวีร์ได้ยินสิ่งที่เขาพูด..ทั้งหมด ...
แล้วถ้อยคำหนึ่งก็แล่นเข้ามาในความทรงจำของมกร
---- สัญญามาได้ไหมครับ..สัญญาจะไม่โกหกนัท
---- ได้..พี่สัญญา
คำกระซิบเมื่อคืนนี้ก่อนจะผล็อยหลับไปดังสะท้าน
---- มึงก็รู้นี่นาว่ากูฆ่าได้แม้แต่ลูกตัวเอง กูผลักน้องมึงที่กำลังท้องตกบันไดลงมาจนแท้ง.. เพราะน้องมึงมันโง่ มาขวางไม่ให้กูไปเที่ยวกับผู้หญิงอื่น ก็สมควรที่จะโดนแบบนั้นแล้ว..
มกรคิดถึงตอนนั้นแล้วก็ส่ายหน้า..ไม่ใช่.. ไม่ใช่นะนัท
พี่ไม่ได้ทำ ไม่ได้ผลักเขาตกลงมา ที่เคยเล่าให้นัทฟังเมื่อวานคือความจริง เขากระโดดลงมาเอง.. กระโดดลงมาเอง!
เขาโมโหไอ้กรุง มันเอาตัวณัฐวีร์ไป เลยแค่รับสมอ้างเหมือนเมื่อก่อน เพื่ออยากจะข่มขู่มันเท่านั้น เมื่อก่อนที่เขาไม่ได้ปฏิเสธคำกล่าวหา ก็เพราะเขาอยากจะประชดทุกคน ในเมื่อมองว่าเขาเลว เขาก็ยอมรับว่าเลวเองก็ได้
แต่..ในความเป็นจริง เขาไม่ได้ผลัก ต่อให้มีประวัติชกต่อยบู๊ไปทั่วแต่เขาไม่เคยทำร้ายผู้หญิงสักครั้ง
"นัท.." มกรยื่นมือสั่นๆออกไปหา.. แต่ก็จริงดังที่ไอ้สองคนนั้นว่า น้องอยู่ในที่ๆเขาเอื้อมไปไม่ถึงเสียแล้ว ณัฐวีร์ปัดมือเขาทิ้งทำให้มกรต้องรีบบอก "ฟังพี่ก่อน พี่..."
"จำได้งั้นหรือ.." ณัฐวีร์ระเบิดเสียงขัดออกมาเพื่อตอบคำถามของมกร
---- จำได้แล้วหรือนัท?
เด็กหนุ่มยกปลายนิ้วชี้เคาะไปที่ศีรษะของตัวเอง "ให้ผมลืมจริงๆได้ก็ดี จะได้ไม่ต้องจำ.. ไม่ต้องจำว่าเคยรู้จักคนไม่รักษาสัญญาอย่างนี้!! คนขี้โกหก.."
ความจริงแล้ว..ณัฐวีร์จำเรื่องราวทุกอย่างได้ดี
เมื่อสองปีก่อนที่ตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลเขาอาจจะเบลอด้วยฤทธิ์ยา หรืออาจจะความจำขาดหายไปจริงๆ แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ฟื้นความจำขึ้นมาได้เป็นปกติ ...ใช่ ..เขาจำได้.. แต่เลือกที่จะไม่จำ เลือกที่จะพยายามไม่จำ เพราะให้ใครๆเข้าใจว่าเขาไม่เหลือความทรงจำนั้นเสีย มันก็เท่ากับว่าเขาสามารถล้างไพ่ เริ่มใช้ชีวิตใหม่ได้โดยไม่ต้องไปแก้ไขอดีต
จะว่าเขาหนีความจริงก็ได้ แต่เขาไม่เห็นทางอื่นที่จะคลายปมปัญหา..นอกจากตัดมันทิ้ง
ตรงไหนที่เป็นปมก็ตัดทิ้งไปเลย จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาแก้
ใครๆพยายามหลีกเลี่ยงการพูดคุยกับเขาเรื่องอุบัติเหตุ แต่เขาจำได้ดีว่าอุบัติเหตุนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร
ทุกครั้งที่เห็นแชร์อยู่ที่ร้าน เขาจะรู้สึกเกลียดขี้หน้าจนไม่อยากคุยด้วย มีแต่คนสงสัยว่าทำไม ทั้งที่แชร์ก็ช่วยดูแลเขาเป็นอย่างดี.. เหตุผลก็เพราะเขาจำได้...
---- พี่จะไม่ปล่อยให้ผมถูกเขาทำร้ายอีกนะ
---- ไม่ ..ไม่ สัญญา
---- พี่สัญญานะ..
---- สัญญาสิ..
แต่แล้วคำสัญญาก็ถูกฉีกทิ้งด้วยประโยคเดียว
---- ดีเลยไอ้แชร์ มึงจับตัวมันไว้
---- ทำไมพี่ทำกับผมแบบนี้
เหตุการณ์ก่อนเกิดอุบัติเหตุ.. เขาจำได้ดี แม้หลังจากนั้นแชร์จะพยายามเสนอการอำนวยความสะดวกแค่ไหน อยากดูแลเขาแค่ไหน เขาก็ไม่ต้องการ เขายังยึดติดภาพสุดท้ายคำพูดสุดท้ายของผู้ชายคนนั้นอยู่เลย
สำหรับมกร ความเจ็บปวดที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้ มันฝังแน่นติดอยู่ในความทรงจำ.. จนไม่อาจสลัดมันทิ้งไปได้ ได้แค่แกล้งลืม แกล้งไม่คิดถึงมัน
..แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนลึกในจิตใจนี้..เขายึดติดและคิดถึงคนคนนี้อยู่ตลอดเวลา คิดถึงว่าทำไมต้องเป็นเขา ทำไมเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นกับเขา ทำไม...
ทว่า..ในความทรงจำของเขาไม่ได้มีเพียงความเจ็บปวดเท่านั้น.. เรื่องราวระหว่างกัน เรื่องที่เขาเคยรู้สึกดีๆกับอีกฝ่าย..มันก็ยังอยู่ในความทรงจำด้วย.. ทุกครั้งที่คิดถึงมัน เขาก็ได้แต่เจ็บปวดและเฝ้าถามตัวเองว่าทำไม.. ทำไมต้องชอบคนคนนี้.. ทำไมต้องติดอยู่ในความทรงจำดีๆบางอย่างแบบนี้
รูปคู่นั่น รอยยิ้มนั่น..อ้อมกอดนั่น.. ทำไม..
ครั้นเมื่อต้องมาพบเจอกันอีกครั้ง เขาวางตัวเองให้อยู่ห่างจากผู้ชายคนนี้ บอกกับตัวเองว่าให้ระวังทุกการกระทำของผู้ชายคนนี้..แต่..เขากลับลืมเตือนตัวเอง..ลืมเตือนหัวใจตัวเอง
แล้วก็ได้พบว่าผู้ชายที่ติดแน่นอยู่ในความทรงจำ คนที่เขาทั้งรักและทั้งเกลียด.. ต่างออกไปจากเดิม ..คนอีกคนอยู่ในตัวผู้ชายคนนี้ คนที่น่าสงสาร คนที่อ่อนโยน คนที่แสนดี.. คนที่จะดูแลเขาได้
เขาเคยถามตัวเองว่านี่คือสิ่งหลอกลวงที่อีกฝ่ายทำให้เขาตายใจหรือไม่
คิดอยู่นาน... แต่เพราะคำถามสุดท้ายทำให้เขาหยุดคิดเรื่องนี้..คำถามนั้นคือ แล้วมกรจะหลอกให้เขาตายใจทำไม?
ถ้าต้องการเอาชนะเขา เพื่อให้ได้ร่างกายนี้.. มกรยังมีตัวเลือกอีกมากมาย เพราะมกรทั้งรวยและหน้าตาดี บุคลิกไม่แย่ ด้านรูปร่างไม่มีอะไรให้ต้องตั้งแง่รังเกียจ ด้านสังคมไม่มีอะไรให้เดียดฉันท์ สาวๆหรือแม้กระทั่งหนุ่มอื่นที่ดีกว่าเขาสามารถเป็นคู่ให้มกรได้สบาย ไม่ว่าจะคู่รัก หรือคู่นอน ไม่จำเป็นต้องมาเลือกและวางเป้าหมายไว้ที่เขาเลย ไม่จำเป็นต้องมาทำดีกับเขา เพื่อให้เขายังวนเวียนอยู่ในชีวิตเลย
ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องหลอกให้เขาตายใจ ทำดีให้เขายังอยู่ใกล้เพื่อตลบหลัง
พอหาเหตุผลได้แบบนั้นก็เบาใจไประดับหนึ่ง กระนั้น.. เพื่อความแน่ใจเขาจึงขอคำสัญญา เมื่อวานนี้เองที่เขายอมตกลงแลกคำสัญญาว่าจะไม่โกหกกัน..กับหัวใจของเขา..
---- พี่สัญญา..
---- อย่าลืมนะ สัญญาแล้วว่าจะไม่โกหกกัน
คำกระซิบนั้นเป็นเพียงลมปากของมกรหรือไร
แล้วคำของเขาที่กระซิบตอบไว้ล่ะ.. มันไม่มีความหมายเลยหรือไง?
ณัฐวีร์สะอื้นจนตัวโยน ..ทำไมต้องทำร้ายกันแบบนี้..น้ำตาร่วงลงรินอาบแก้ม ดวงตาเจ็บปวดของณัฐวีร์มองไปยังดวงตาของชายหนุ่มที่แฝงไว้ด้วยความหวาดกลัวไม่แพ้กัน.. แล้วร่างที่สั่นเทาก็ค่อยๆก้าวถอย
“นัท..?”
มือที่ยื่นมาทำท่าคว้าแต่ไม่ทันเสียแล้ว ณัฐวีร์กลับหลังหันวิ่งหนีออกมาจากที่นั้น
ปื้น!!
เสียงแตรรถบีบดังสนั่นมาพร้อมกับเสียงห้ามล้อ ภาพของรถยนต์ที่กำลังจะพุ่งเข้าชนณัฐวีร์ทำให้ความทรงจำเมื่อครั้งอุบัติเหตุที่เชียงใหม่วนกลับมาอีกครั้ง
“นัท!!”
ไม่มีอาการรั้งรอ ..มกรวิ่งเข้าไปหาร่างที่กำลังตกตะลึงทำอะไรไม่ถูกแล้วคว้าเอาร่างนั้นมากอดไว้แนบอกรอการปะทะที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่เดชะบุญเหลือเกินที่รถคันนั้นวิ่งอยู่ในลานจอดรถทำให้ไม่ได้ใช้ความเร็วมากจึงได้เบรคทันก่อนจะชนเข้ากับคนทั้งคู่
เสียงสะอื้นของคนในอ้อมแขนทำให้มกรรีบดันร่างนั้นออกเพื่อดูว่าอีกฝ่ายมีส่วนไหนเจ็บปวดหรือไม่
“นัท..นัท ไม่เป็นไร.. ไม่เป็นไรแล้วนะ” มืออุ่นลูบหลังลูบไหล่ให้ เขาประคองน้องให้หลบเข้าข้างทางเพื่อให้รถเคลื่อนผ่านไป
แต่ก็เหมือนผีห่าซาตานที่รอซ้ำเติมคนตกอับ.. กระจกรถเลื่อนลงพร้อมกับใบหน้าเยาะหยันโผล่ออกมา
"มึงกอดเขาได้แต่ตัวหรือเปล่าไอ้แมน..."
เสียงหัวเราะดังลั่นแล้วรถที่ไอ้เอเป็นคนขับก็แล่นผ่านไป
มกรมองท้ายรถคันนั้นอย่างเดือดดาล แต่ร่างในอ้อมแขนที่ยังสั่นเทาและสะอื้นไห้ทำให้เขาไม่สามารถทิ้งเด็กหนุ่มไปได้
“นัท..ไม่เป็นไรแล้ว” มกรพยายามปลอบหากแต่อีกฝ่ายก็ยังคงร้องไห้ไม่หยุด “ชู่ นัทไม่เป็นไรแล้วนะ..รถมันไปแล้ว"
ณัฐวีร์เสียขวัญสะอื้นจนตัวโยน และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดร้องไห้ได้ง่ายๆ เขาเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนมกร ใช้มือปิดหน้าตัวเองแต่ก็ยังสะอื้นฮักและตัวสั่นไม่หยุด
เหตุการณ์นี้ทำให้เขานึกถึงภาพความเลวร้ายขึ้นมาอีก..
ไม่ไหวแล้ว ไม่ทนแล้ว!!
มกรทำอะไรไม่ถูก เขาพยายามตามลูบหลังน้อง ก้มลงมองใบหน้าณัฐวีร์ที่เบี่ยงหลบสายตา ทำท่าจะกอดและประคองร่างนั้นให้ไปที่รถ แต่ณัฐวีร์ไม่ให้ความร่วมมืออะไรสักอย่าง เด็กหนุ่มพยุงตัวลุกขึ้นยืนทั้งที่ขายังสั่นเทา ใบหน้านั้นแดงก่ำและเปรอะเปื้อนน้ำตา ทั้งยังจะพาตัวเองตรงไปยังลิฟต์ของคอนโดอีกด้วย
เพราะณัฐวีร์ตั้งใจจะเรียกรถแท็กซี่กลับบ้านเอง..จึงพยายามหนีมือที่ประคองร่างอยู่ไม่ห่างนั่น
ส่วนมกรก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว ยิ่งเห็นใบหน้าจริงจัง เสียใจอย่างสุดบรรยายของน้อง มกรยิ่งเสียใจมากกว่า เขาเคยสัญญากับตัวเองไว้ว่าจะไม่ทำให้น้องร้องไห้ จะไม่ทำให้ณัฐวีร์ต้องเสียใจกับการกระทำของเขาอีก
แล้ววันนี้.. วันนี้คือวันโลกแตกหรือยังไง!!
มกรสบถใส่ตัวเองอย่างหมดท่า
"นัทจะตีพี่ จะตบพี่อีกก็ได้ แต่อย่าร้องไห้เลย พี่ขอร้อง... ได้โปรดเถอะนัท.. ขอโทษด้วย" ทั้งที่ไม่รู้ว่าตัวเองผิดอะไร แต่มกรก็ยังเอ่ยขอโทษ.. ถ้าจะทำให้น้องรู้สึกดีขึ้น เขายินดีทำ "พี่ขอโทษ..ที่รัก”
เสียงห้าวลึกขาดหายไป มันกลายเป็นก้อนสะอื้นก้อนโตที่ประดังขึ้นมาจนมกรแสบจมูก ภาพของณัฐวีร์พร่ามัวเพราะน้ำตาที่รื้นอยู่ที่ขอบตา มืออุ่นจนร้อนจับเอามือเล็กกว่าขึ้นมาและตีเข้าที่หน้าตัวเอง
“ตีพี่อีกก็ได้..แต่อย่าไป.. อย่าหนีพี่ไปแบบนี้ ตรงนี้..” มกรใช้กำปั้นตัวเอง ทุบเข้าที่อกข้างซ้ายของตัวเอง “ตรงนี้..มันเหมือนจะขาด มันจะหยุดเต้น ถ้านัทเป็นอะไรไปอีกครั้งพี่คงอยู่ไม่ได้..จะตีพี่ จะด่าพี่ จะทำอะไรกับพี่ก็ได้ แต่อย่าหนีพี่ไป อย่าทิ้งพี่..พี่ขอโทษ พี่ยอมทำทุกอย่าง.. ได้โปรด..”
มือของณัฐวีร์ถูกจับให้ตีที่แก้มของอีกฝ่ายอย่างเต็มแรง กระทั่งเขาพยายามยื้อไว้อีกฝ่ายถึงได้หยุดการกระทำนั้นลง มือเล็กนั่นเปื้อนเลือดที่ไหลออกมาจากหางคิ้ว แม้จะไม่ใช่เลือดที่เยอะมากมายนัก แต่ก็เป็นสีแดงจนเขาไม่กล้ามอง
“ปล่อย.. ปล่อย” ณัฐวีร์ดึงมือตนเองพร้อมร้องไปอย่างไร้เรี่ยวแรง เท้าของเขาก้าวถอยแต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมปล่อยตามคำบอก
“นัท..พี่ขอร้อง” มกรทรุดเข่าลงกับพื้นแทบเท้าของณัฐวีร์ เขายอมปล่อยข้อมืออีกฝ่ายแต่ก็ปล่อยเพื่อโอบแขนรั้งไว้ทั้งร่าง เอวบางถูกกอดไว้แน่น ใบหน้าที่เปื้อนเลือดและน้ำตาซบอยู่กับช่วงท้องของณัฐวีร์ “อย่าไป.. อย่าไปไหนเลย”
ณัฐวีร์สะอื้นฮัก.. เขาทุบไปบนไหล่ของมกรเพื่อหวังจะให้อีกฝ่ายปล่อยตัว แต่จนเจ็บมือไปหมดมกรก็ยังไม่คลายแขน
เด็กหนุ่มร้องไห้ เปลี่ยนจากทุบมาใช้ปลายเล็บจิกไปที่หลังที่ไหล่ที่ต้นแขน อีกฝ่ายก็ได้แต่ร้องว่า..ขอโทษ ขอร้อง..และอย่าทิ้งพี่ไป
เป็นนานกว่าณัฐวีร์จะยอมหยุดมือ..
อีกนานกว่าเด็กหนุ่มจะยกฝ่ามือนั้นเช็ดน้ำตาที่ใบหน้า แล้วเรียกผู้ชายที่พยายามเหนี่ยวรั้งเขาไว้อย่างสุดชีวิตขึ้นจากท่านั้น
“ลุกขึ้น..อย่ามานั่งอยู่แบบนี้..” ณัฐวีร์เบือนหน้าออกจากร่างที่ยังคงทรุดอยู่กับพื้น “ผมอยากกลับบ้าน”
“ได้ๆ เราไปคุยกันที่บ้านนะ” มกรรีบลุกขึ้นทันที




tbc.
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 33 p.15 อัพแล้วค๊าบบบบบบ
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-01-2015 10:17:59
แต่ละตอนเล่นเอาจุกตลอดคงจะมีแต่ตอนที่แล้วละมั้งที่ปกติและหวานสุดแล้ว
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 33 p.15 อัพแล้วค๊าบบบบบบ
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 06-01-2015 11:45:56
เศร้า หดหู่รันทด หม่นหมอง

โอ๊ย อยากจะร้องไห้ ทำไมมันน่าเห็นใจกันถึงเพียงนี้

น้องนัทเข้าใจพี่แมนผิดนะลูก ให้โอกาสพี่เขาอธิบายสิ

ต้องเชื่อมั่นในตัวพี่เขาสิ อย่าทิ้งพี่แมนไปเลยนะ. พี่เขาอยู่ไม่ได้จริงๆถ้าไม่มีนัท

หวังว่าตอนจบจะแฮปปี้นะคะ งั้นหนังสือไม่ซื้อนะ ขู่ไว้ก่อน
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 33 p.15 อัพแล้วค๊าบบบบบบ
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 06-01-2015 12:02:48
คุยกันก่อนนะ  โหยยย ... ไม่รู้จะสงสารใครเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 33 p.15 อัพแล้วค๊าบบบบบบ
เริ่มหัวข้อโดย: NIMME ที่ 06-01-2015 12:07:27
เศร้า
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 33 p.15 อัพแล้วค๊าบบบบบบ
เริ่มหัวข้อโดย: TR ที่ 06-01-2015 12:11:29
กินมาม่าตั้งแต่ต้นปีเลยทีเดียว
น้องนัท ใจเย็นก่อน เชื่อพี่แม้นเถอะนะ พี่มันแค่ปากมอมประชดไปเรื่อย
พี่แมันไม่ได้โกหกนัทนะ ดูที่การกระทำทุกวันนี้สิ อย่าไปฟังคำพูด อย่าไปเทียบกับเรื่องอดีต
ไม่อยากให้มาม่านานเลย สงสารพี่แมัน T^T
นังลูกเกดคะ โผล่มาแค่ชื่อก็อยากตบนาง
กระโดดก็กระโดดลงมาเอง แต่ไปบอกชาวบ้านว่าพี่แม้นผลัก
นางรู้ไหมว่าพี่ตัวเองมาล้างแค้นพี่แม้นเพราะคิดว่าพี่แมันผลักนาง?!!!
โอ้ยยยย ค้างคา รอตอนต่ออยู่นะคะ ;)
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 33 p.15 อัพแล้วค๊าบบบบบบ
เริ่มหัวข้อโดย: murasakisama ที่ 06-01-2015 13:10:56
 :ling3: หมอห้ามกินมาม่าอะเพ่ แวบมาแปะ เดี๋ยวมาอ่านทีหลัง :z3:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 33 p.15 อัพแล้วค๊าบบบบบบ
เริ่มหัวข้อโดย: Buppha ที่ 06-01-2015 14:08:38
 :hao5: ทำไมถึงทำกับฉันได้ยยยยย มันทรมาน ฮืออออออ  :hao5:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 33 p.15 อัพแล้วค๊าบบบบบบ
เริ่มหัวข้อโดย: ycrazy ที่ 06-01-2015 16:46:50
 :hao5:
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 33 p.15 อัพแล้วค๊าบบบบบบ
เริ่มหัวข้อโดย: wi_OoO_wi ที่ 06-01-2015 17:19:36
ขอไอคิวกระป๋องให้พี่แม้นหน่อยค่ะ เเหมม แหมมม ตกหลุมง๊ายยยยยยยง่าย นัทอย่าไปเอามันลูก ง่าวไป แม่ไม่ปลื้ม :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 33 p.15 อัพแล้วค๊าบบบบบบ
เริ่มหัวข้อโดย: สายลมที่หวังดี ที่ 06-01-2015 17:32:51
ให้คนอ่านกินมาม่าอีกแล้วววว ไม่รู้จะสงสารใครดี  เพราะความเจ็บในครั้งก่อนยิ่งมาเจอครั้งนี้แก้ตัวยังไงก็ไม่เชื่อ เข้าใจกันเร็วน้า :hao5:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 33 p.15 อัพแล้วค๊าบบบบบบ
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 06-01-2015 19:30:28
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 33 p.15 อัพแล้วค๊าบบบบบบ
เริ่มหัวข้อโดย: Thelalitasai ที่ 08-01-2015 23:46:50
แงงงงง มาม่าท่าจะอืดดดดด
กำลังอิ่ม ไว้จะแวะมากินมาม่านะะะ  :sad4:
แงงงงงงงง แปะไว้ก่อน จะรีบมาอ่านน้าาา  :hao5:
ขอบคุณมากค้าา
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 33 p.15 อัพแล้วค๊าบบบบบบ
เริ่มหัวข้อโดย: Teddysdeath ที่ 09-01-2015 04:51:05
 :ling1: เครียดดดดดดดด
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 33 p.15 อัพแล้วค๊าบบบบบบ
เริ่มหัวข้อโดย: jing_sng ที่ 22-01-2015 20:04:38
สนุกมากค่ะ ทุกคนทีเหตุผลของตัวเอง
พระเอกเลวเพราะครอบครัวเป็นแบบนั้น
มีเยอะนะในสังคมที่เป็นแบบนี้ ถึงแม้ครอบครัวไม่อบอุ่นจะไม่ใช่ข้ออ้าง แต่ปฎิเสธไม่ได้เลยนะ เด็กจะดีจะเลวอยู่ที่ครอบครัว
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 33 p.15 อัพแล้วค๊าบบบบบบ
เริ่มหัวข้อโดย: ycrazy ที่ 23-01-2015 02:00:36
มารอแล้วนะะ
กลับมาย้อนอ่านอีกรอบก็เศร้า
 :hao5:
ใจเย็นๆนะนัท
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 33 p.15 อัพแล้วค๊าบบบบบบ
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 23-01-2015 02:37:16
โถ  แม้นศรีของป้า   ไม่แก้ตัวแทนแม้นศรีนะเพราะว่าแม้นทำไว้เยอะจริงๆ แค่อยากจะบอกว่าบางครั้งสิ่งเล็กๆน้อยๆที่คนส่วนใหญ่มองข้ามเช่นการตบไหล่ให้กำลังใจ  การเดินเข้าไปถามคนที่มีสีหน้าทุกข์ร้อนว่าคุณโอเคไหม? ของพวกนี้ช่วยคนได้เยอะเลยนะ เหมือนเป็นหยดน้ำเล็กๆน้อยๆให้กับผึนดินที่แห้งผากให้มีกำลังใจต่อไป  ของพวกนี้เป็นสิ่งที่แม้นไม่เคยได้รับ ต่อให้พ่อมีอำนาจชี้เป็นชี้ตาย แม่มีเงินมากขนาดเผาเล่นได้ แต่ยังไงก็ช่วยไม่ได้ถ้าในใจของแม้นมันแห้งจากคำว่าน้ำใจ ความรัก ความดี ความสามารถในการแยกแยะว่าสิ่งไหนผิดสิ่งไหนถูก

แม้นไม่บอกข้อเท็จจริงเพราะว่ามันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว แม้นไม่ได้แคร์ว่าคนอื่นจะคิดกับตัวเองว่าอย่างไร ที่สำคัญที่สุดก็แค่คนที่ตนรัก   อ่านๆไปบางทีก็รู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่ของแม้นนี่เป็นการทรมาณจริงๆ  ถ้าหากว่าเสียคนที่รักไปแม้นจะอยู่ได้เหรอ? สงสัยต้องตายแล้วเกิดใหม่กระมังถึงจะล้างบาปได้  คนที่สมควรลืมหรือความจำเสื่อมที่จริงควรจะเป็นแม้นนะ ไม่ได้เกลียดแม้นมากขนาดนั้นหรอกแต่สงสาร สงสารทุกคนในเรื่องเพราะว่าพัวพันเป็นวัวพันหลักจากการกระทำของคนนั้นคนนี้

ขอให้หาทางออกที่ดีให่กับทุกคนด้วยเถอะค่ะ  โดยเฉพาะแม้นที่เราเห็นเป็นเด็กที่เจ็บในวิญญาณมากๆ  ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 33 p.15 อัพแล้วค๊าบบบบบบ
เริ่มหัวข้อโดย: 045262638 ที่ 25-01-2015 18:50:05
โอ๊ยยยไรต์หายยย มาต่อเหอะๆๆ รออ่านนน
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 33 p.15 อัพแล้วค๊าบบบบบบ
เริ่มหัวข้อโดย: SimpleZ ที่ 26-01-2015 17:14:19
รออ่านต่อนะคะะะ
 แหม เราม่าซะบ่อยอืดจนแน่นท้องไปหมดละ หวานแปปๆกำลัจะน่ารักก็เอาอีก 5555
สู้ๆนะคะ่ :hao7:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 33 p.15 อัพแล้วค๊าบบบบบบ
เริ่มหัวข้อโดย: ioohja ที่ 26-01-2015 19:54:45
 :hao5:  :o12:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 33 p.15 อัพแล้วค๊าบบบบบบ
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 26-01-2015 23:13:24
คืออ่านตอนนี้จบ แมนลองฆ่าตัวตายดีมะ ตาย ๆ ไปซะดีไหม คือ คิดเชี่ยมากอะ ยอมรับ แต่การเป็นแมนมันเหนื่อยจัง ทำไรก็ผิด พูดอะไรก็ไม่มีคนเชื่อ แม้แต่คนที่รักยังไใฟังเลย ตายดีกว่าแมน ไหน ๆ พ่อแม่ ปู่ย่าตายายมก็ไม่ได้อยากจะให้เกิด ตายตอนนี้อย่างน้อยก็ได้ตอบแทนบุญคุณแม่เขาละมั้ง เผื่อใครมันจะได้ฉุกคิดได้บ้าง  ทำไมทุกคนต้องมองแม้นศรีเลวด้วยอะ คนเลวไม่มีสิทธิ์กลับตัวหรอ คือที่บ่นมา เหนื่อยแทนพี่แมน เอาเถอะนัท จะไม่ฟีงก็ได้มั้งเหตุผล ทั้งที่ ตัวเองเป็นคนฉลาดจะตาย ลองคิดดูดีดีดิ
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 33 p.15 อัพแล้วค๊าบบบบบบ
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 27-01-2015 02:56:31
ไอ้กรุงก็บ้านะ คือแบบเข้าใจว่ารักน้อง โกรธแทนน้อง แต่ชีวิตก็ต้องไปต่อปะวะ? มึงยังจะตามมาย้ำเพื่ออะไร ไม่ได้อะไรเลย

นัทนี้แบบล้ำดี แอ๊บลืมล้าไผ่ได้ดีมาก แต่ก็นะมันยังผูกใจกันอยู่ มันก็เลยมีหลุดใจอ่อนเข้าใจกัน

แม้นศรีมาตอนหลังดีขึ้นเยอะ จิตเภทจะหายได้ถ้าผู้ป่วยยอมรับตัวเอง แต่ตอนล่าสุดนี้แบบว่า
บำบัดแล้ว กินยาแล้ว ยังโมโหอาละวาดได้ขนาดนี้ ถ้าไม่บำบัดละก็สงสารนัทจริงๆ

เรื่องนี้เป็นแนวพระเอกร้ายที่ต่างจากเรื่องอื่นมากๆ เรื่องอื่นปมพระเอกไม่ซับซ้อน ไม่น่าสงสารแบบนี้
และพระเอกแม่งไม่เคยคิดว่าตัเองผิด ไม่มีการพัฒนา แต่เรื่องนี้ไม่ใช่พระเอกผิด คิดได้ รักษา พยายาม
อ่านแล้วตอนแรกเกลียดพระเอกมาก แต่หลังก็เห็นใจ แต่ก็ยังกลัวเรื่องอารมณ์ตาแม้น ยังมีรุนแรงเป็นช่วงๆ

ตามลุ้นและเป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 34 อัพอัพ 01.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 01-02-2015 21:07:40
มาต่อแล้วค่ะ  :katai5:
=========

อากาศเมืองไทยในช่วงต้นเดือนเมษายน ใครๆก็คิดว่าร้อนจนไม่สามารถจะยืนอยู่กลางแดดได้เกินหนึ่งชั่วโมง.. ยิ่งบนถนนที่รถติดเป็นตังเม ควันจากท่อไอเสียและความร้อนจากเครื่องยนต์ด้วยแล้ว คนที่ทนอยู่บนถนนเมืองกรุงได้นี่ต้องสุดยอดจริงๆ ซึ่งคนที่สามารถเดินฝ่าแดดอยู่บนท้องถนนได้นั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น คนขายพวงมาลัยนั่นเอง
เธอเป็นหญิงผิวคล้ำแดดกร้านลมมีพวงมาลัยหลายสิบพวงอยู่ในมือ เดินลัดเลาะผ่านรถคันโน้นมายังรถคันนี้โดยไม่เร่งฝีเท้านัก เพราะก็รู้กันอยู่ว่าถ้าติดล่ะก็แยกนี้นาน.. ไม่มีทางไปได้เร็วๆแน่
ดังนั้นเมื่อเข้ามาใกล้รถหรูก็ยังไม่แตกตื่นรีบร้อน ได้แต่เดินผ่านช้าๆ

เธอไม่ได้หวังจะให้คนในรถเปิดกระจกมาซื้อ เพราะเธอรู้ว่ารถประเภทนี้ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของเธอ ไม่มีรถหรูในกรุงเทพคันใดเปิดกระจกมาซื้อพวงมาลัยบ่อยๆหรอก นอกจาคนใจดีที่ช่วยอุดหนุนเด็กตัวเล็กๆ ซึ่งเธอนั้นห่างกันคำว่าเด็กตัวเล็กๆไปมากโข
หญิงขายพวงมาลัยเดินมองหารถคันเป้าหมาย.. มันเป็นแท็กซี่ที่อีกไม่ไกลนักก็จะถึง แต่ที่ต้องสะดุดเพ่งมองเข้าไปในรถหรูที่ดำคันนั้น ก็เพราะชายที่นั่งตรงฝั่งคนขับ มีเลือดหยดจากหางคิ้วเป็นทาง เจ้าตัวดูเหมือนจะยกมือขึ้นเช็ดเลือด แต่อีกสักพักมันก็ไหลลงมาอีก พอปล่อยให้ไหล มันก็หยดแหมะลงมาเปื้อนที่อก พอยกมือขึ้นเช็ดมือก็เลอะ เล่นเอาป้ายหน้าจนแดงไปหมด

คนขายยังแลเลยไปที่นั่งด้านข้าง  มีผู้ชายอีกคนซึ่งผินหน้าหนีออกไปนอกรถ แถมยังหลับตาเสียด้วย เธอเมียงมอง ยิ่งเข้าไปใกล้ยิ่งเห็นชัดว่าฝ่ายที่เมินหน้าหนีนั่งกอดอกอยู่ไม่ใช่ว่าหลับ ส่วนฝ่ายคนขับก็ป้ายมือกับเสื้อจนเลอะไปหมด บางครั้งยังยกแขนเสื้อขึ้นปาดเช็ดด้วย

การเป็นคนขายของบนถนนนั้น นอกจากบรรดาพวงมาลัยแล้ว เธอจะมีของเล็กๆน้อยๆ พวกลูกอม หนังสือพิมพ์ และกระดาษทิชชู่ขายด้วย และเธอก็มักจะพกของเล็กๆน้อยๆเหล่านั้นมาในกระเป๋าผ้ากันเปื้อนของเธอ

เธอหยิบห่อทิชชู่ขึ้นชูที่ข้างคนขับ แต่เหมือนเขาจะไม่เห็นเพราะมัวแต่ซับเลือด ทำให้เธอตัดสินใจเคาะกระจกรถนิดๆ
ปกติเธอไม่กล้าเคาะ แต่คราวนี้เธอตัดสินใจเคาะเพราะอยากให้เขามีกระดาษไว้ซับเลือด

คนในรถส่ายหน้า ..เธอเข้าใจว่าเขาอาจจะเห็นแค่พวงมาลัย และไม่เห็นทิชชู่ เธอจึงเคาะกระจกอีกครั้ง คราวนี้แรงขึ้นกว่าเดิม พร้อมกับเอาทิชชู่วางลงบนกระจกหน้ารถให้เขาเห็นถนัด พอสายตาเขามองจับที่ห่อทิชชู่แล้ว เธอจึงหยิบออก
แล้วความพยายามก็เป็นผล ชายหนุ่มในรถลดกระจกลง ก่อนจะยื่นแบงค์ 20 ให้เธอ...แล้วปิดกระจกไป..

"เอ้าคุณ ไม่เอาทิชชู่หรือ?.." เธอพยายามโบกทิชชู่ไปมา แต่พอเขาโบกมือไล่เธอถึงได้เข้าใจ.. เขาก็แค่ตัดรำคาญด้วยการให้เงิน 20 บาทแก่เธอ

"ก็ตามใจ.." เธอยักไหล่แล้วเก็บของ เก็บเงินเข้ากระเป๋าแล้วเดินขายของต่อไป ทิ้งให้รถคันนั้นตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง
มกรยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่ไหลลงมาแล้วปาดมือเช็ดกับเสื้อ เลือดไหลออกมาน้อยลงแล้ว แต่ก็ยังซึมออกมาจนถ้าไม่เช็ดอาจจะไหลเข้าตาและทำให้เขาขับรถไม่ได้

ปริมาณรถในช่วงเวลาเกือบเร่งด่วนอย่างนี้มีเป็นแพ พวกเขาอยู่บนถนนมาเกือบ 30 นาทีแล้ว และดูเหมือนจะติดอยู่แยกนี้อีกสักระยะแน่ๆ คงติดจนเลือดหมดตัว
ก็ดี...มันก็สมควรกับคนเลวอย่างนี้แล้ว

ความคิดยังไม่ทันจบ มือขาวของคนที่นั่งข้างๆก็ยื่นมาพร้อมทิชชู่
เห็นแบบนั้น..มกรก็ใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง
"นัท.." เขายื่นมือไปหยิบจากมือน้อง "ขอบใจที่ห่วงพี่นะ.."

ณัฐวีร์หยิบกล่องทิชชู่จากคอนโซลรถมาวางไว้ให้ตรงที่พักแขน
"ไม่เป็นไร ..ผมห่วงตัวเอง ไม่อยากมาตายบนรถนี่เพราะเลือดเข้าตาจนพี่ขับรถไม่ได้"
เด็กหนุ่มยกมือกอดอกและหันหน้าหลับตามองเมินไปอีกทาง ทำเหมือนไม่มีเรื่องที่จะเสวนากับมกรอีก
ใจที่พองฟูอยู่เมื่อครู่เหี่ยวแฟ่บลงตามเดิม และดูเหมือนจะหนักกว่าเดิมเข้าไปอีกเมื่อมกรยิ้มเยาะตัวเอง เขากดทิชชู่ที่น้องหยิบให้ซับเลือดก่อนจะโยนกล่องทิชชู่ไปเบาะหลัง ใช้เพียงกระดาษในมือกดซับแผลเอาไว้
หยิบมาให้แค่นี้เขาก็จะใช้แค่นี้...

ณัฐวีร์หันหน้ามาเล็กน้อย ปรายตามองบริเวณที่พักแขนซึ่งเจ้าตัวเคยวางทิชชู่ไว้ ก่อนจะตวัดสายตาเมินเฉยขึ้นมองมกรอีกครั้ง แล้วก็เมินหน้าไปทางเดิม..นอกตัวรถ

ความเงียบในรถทำให้ได้ยินกระทั่งเสียงถอนหายใจเบาๆจากฝั่งคนขับ
รถค่อยๆขยับแล้ว.. จากนั้นอีกเกือบชั่วโมงรถก็มาถึงแถวบ้านของณัฐวีร์

ตอนนี้ที่ร้านอาหารขนของไปตึกใหม่เกือบหมดแล้ว กำหนดเปิดร้านใหม่ก็คือช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ดังนั้นจึงมีเวลาอีกพอสมควรในการเตรียมงาน และเตรียมขนย้าย

ป๊ากับแม่ยังพักอยู่ที่บ้านเดิม แต่คนงานบางส่วนย้ายไปที่โน่นบ้างแล้ว ทำให้ตึกเก่าลดความพลุกพล่านไปเยอะ
ทั้งไม่มีคนงาน ทั้งไม่มีลูกค้า ลานจอดรถจึงโล่ง หน้าร้านก็ไม่มีรถจอดริมฟุตบาทอีก
พอมกรขับรถเข้ามาถึงจึงกลายเป็นว่าณัฐวีร์เปิดประตูก้าวลงเดินเข้าร้านได้ทันที

"นัท!"
มกรเปิดประตูออกมาจากรถแล้ววิ่งตาม ทันได้เห็นว่าเมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้วน้องยกมือไหว้ป๊ากับแม่ไก่ก่อนจะวิ่งพรวดเดียวถึงบันไดเลย

"นัท! พี่ขอคุยก่อน นัท"
พอมกรร้องเรียกณัฐวีร์ก็ตะโกนขึ้น "ป๊า อย่าให้คนอื่นตามนัทขึ้นมานะครับ นัทอยากพัก"
แล้วเด็กหนุ่มก็วิ่งขึ้นบันไดไปเลย

"นัท!"
มกรกำลังจะถึงบันไดแล้วตอนที่มีคนมาจับแขนเขาเอาไว้ ชายหนุ่มหันกลับมาทันที
"ไอ้แมน มึงทำอะไรน้อง!" คนพูดมองสำรวจอีกฝ่ายไปทั่ว "แล้วนี่มึงไปฟัดกับหมาที่ไหนมา?"
มกรมองแล้วจึงเปิดปาก "แชร์..กู.."
ชายหนุ่มมือสั่นและขาสั่น ความกลัวทำให้เขาหน้าซีดลงจนเพื่อนต้องพยายามดึงจะพาไปนั่งที่โต๊ะ

"ไม่.." มกรส่ายหน้าทำท่าจะก้าวขึ้นบันได "ให้กูขึ้นไปเคลียร์กับน้องก่อน"
"ไม่ได้ น้องไม่ให้ขึ้นก็อย่าเลยมึง มาคุยกับกูก่อน" แชร์รั้งไว้จนได้ เขาหันไปเรียกเพื่อนของณัฐวีร์ "แพรวจ๋า.. ฝากขึ้นไปดูข้างบนหน่อยได้ไหม"

แพรวพยักหน้ารับก่อนจะวิ่งขึ้นไปโดยมีมกรมองตามไปจนลับตา
นั่นเขาแฟนกัน.. แล้วกูล่ะเป็นอะไร
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกอย่างยอมจำนน  ได้แต่ถอยตัวลงมานั่ง ไหล่ที่เคยตั้งตรงลู่ลงเหมือนคนหมดอาลัยทำให้คนที่เห็นภาพนั้นต่างมองหน้ากัน

"เดี๋ยวป๊าไปเอาผ้าขนหนูกับน้ำมาให้ แล้วจะเอายามาให้ด้วย" คุณวีรชาติบอกก่อนจะแยกตัวออกไป เขาวางมือลงบนบ่าภรรยาเล็กน้อยให้กำลังใจกัน เพราะเห็นว่าณัฐวีร์ไม่ได้มีแผลที่ไหน เขาจึงเบาใจไปได้นิดนึง แต่ถ้ามกรมีแผลขนาดนี้ก็ไม่มีทางจะเบาใจได้ทั้งหมดหรอก

คุณวีรชาติหายขึ้นไปไม่นานก็กลับลงมาพร้อมอุปกรณ์ทำแผลกล่องใหญ่ ความที่เป็นร้านอาหารต้องใช้ของมีคม ที่บ้านเลยมีอุปกรณ์เผื่อไว้เสมอ พอเอาลงมาให้ก็ยังเห็นว่ามกรมองขึ้นไปด้านบนไม่ยอมเลิก ถึงเบาใจว่ามีแชร์นั่งคุมอยู่ แต่คุณวีรชาติก็ยังไม่มั่นใจจนต้องลากเก้าอี้มาประกบแล้วเริ่มลงมือทำแผลให้
"ไม่ต้องห่วง..ข้างบนแพรวเขาคุยอยู่"

คุณวีรชาติบอกขณะที่เริ่มใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำเช็ดคราบเลือดและสิ่งสกปรกออกให้ มือทำไปปากก็ถามไป
"เล่าได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?"
เพราะคำถามนั้นมกรจึงเบือนสายตาลงมามองหน้าอีกฝ่าย ดวงตาของผู้สูงวัยกว่ามีความอ่อนล้า ใต้ตาคล้ำทั้งที่ไม่น่าจะตรากตรำทำงานเพราะตอนนี้ปิดร้านอยู่
หรือว่า..

"ป๊า ..รอน้องทั้งคืนเลยหรือครับ?" มกรถามด้วยความสงสัย
คุณวีรชาติชะงักมือไปนิดหนึ่งก่อนจะขยับมือต่อ
"ถ้าเธอมีลูกชายที่เคยเกิดอุบัติเหตุสองครั้งใหญ่ๆตอนไปค้างที่อื่น ครั้งแรกแขนหัก ครั้งที่สองรถชน เธอจะไม่มีวันนอนหลับถ้าลูกไม่ได้อยู่ใกล้ๆเธอ"

มกรมีสีหน้าสลดลง เขาหลุบตามองมือตัวเอง ขณะเดียวกันอีกฝ่ายก็เริ่มใช้แอลกอฮอล์เช็ดรอบบาดแผลจนเย็นไปรอบบริเวณ
"ไม่รู้สิครับ.. บางทีผมก็จินตนาการไม่ออกว่าถ้าผมมีลูกแล้วผมจะห่วงเขาได้อย่างที่ป๊าห่วงนัทหรือเปล่า.." มกรหลับตาลง.. หัวตาของเขาร้อนและแสบโพรงจมูก บางส่วนอาจเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ลที่เช็ดอยู่ใกล้ดวงตากระมัง
"ทำไมล่ะ.." คุณวีรชาติเริ่มลงเบตาดีนโดยใช้สำลีซับไปที่แผลแล้วเตรียมผ้าก๊อตและพลาสเตอร์ปิดขณะรอฟังคำตอบนั้น

"เพราะพ่อของผมไม่เห็นเป็นแบบนี้กับผมเลย"
ผ้าก๊อตถูกวางและพลาสเตอร์ถูกปิดลงมา หัวนิ้วโป้งจากกำปั้นมือขวาลูบพลาสเตอร์ให้ปิดดี และคุณวีรชาติก็ลูบมันอยู่อย่างนั้นขณะพูดตอบไปว่า

"คนเราต่างมีเบ้าหลอมมาไม่เหมือนกัน คงจะคาดหวังให้พฤติกรรมของพ่อทุกคนเหมือนกันไม่ได้หรอก.. เขาอาจจะพบอะไรมาต่างจากฉันก็ได้" คุณวีรชาติยังใช้นิ้วโป้งลูบพลาสเตอร์ แต่เขาคลายฝ่ามือที่กำไว้ออกแล้ววางลงบนศีรษะของมกรขณะใช้หัวนิ้วโป้งค่อยๆลูบที่พลาสเตอร์ซึ่งปิดอยู่ตรงหางคิ้ว
"ไหนเล่ามาสิว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมนัทถึงได้หนีขึ้นไปแบบนั้น"
แล้วคุณวีรชาติก็ลดมือลง ขณะมกรถอนใจเฮือก มองตามมือนั้น.. ด้วยดวงตาพร่ามัว
ความอบอุ่นของ.. พ่อ..
เป็นแบบนี้นี่เอง

"นัทเข้าใจผมผิด.."
คุณวีรชาติพยักหน้ารอฟังความ
มกรเหลือบตาขึ้นมอง "แต่ก่อนหน้านั้น.. เขาบอกว่าเขาจำความได้มาตั้งแต่แรก ป๊ารู้เรื่องนี้หรือเปล่าครับ..?"
คุณวีรชาติขมวดคิ้วแล้วเงยหน้าขึ้นมองไปทางภรรยาที่นั่งอยู่อีกฟากของโต๊ะ เธอส่ายหน้าน้อยๆ คุณวีรชาติจึงมีสายตายุ่งยากใจขึ้นมาทันที

"เราสองคนไม่รู้เรื่องนี้..นัทบอกเองหรือ?"

"ครับ.." มกรพยักหน้าแล้วหลุบตาลงมองมือตัวเอง ที่ณัฐวีร์ไม่กล้าบอกครอบครัวเรื่องที่จำความได้แล้วก็อาจเพราะไม่อยากเล่าให้บิดามารดาทราบถึงเรื่องราวในอดีตก็เป็นได้
ณัฐวีร์คงไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนอุบัติเหตุ จึงแสร้งทำเป็นจำความไม่ได้เสีย
มกรสูดลมหายใจเข้าลึก ในเมื่อเขาไม่อยากให้เล่าก็จำเป็นจะต้องไม่เล่า?
ชายหนุ่มหลับตาลง..

--- คนโกหก
ใบหน้ายามที่ณัฐวีร์ต่อว่าเขาซ้อนขึ้นมาในมโนสำนึก
ไม่ได้.. โกหกต่อไปอีกไม่ได้แล้ว..

มกรขยับนั่งตัวตรง มองหน้าแชร์ เพื่อนของเขาเองก็เป็นหนึ่งในผู้ร่วมทำความผิดมาด้วยกัน.. แต่เขาจะรับมันไว้เอง ความผิดนี้เขาจะรับมันไว้เอง
--- มึงไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้นะไอ้แมน ปล่อยน้องมันไปกูยอมแพ้
--- ไม่ได้ กูไม่ปล่อย!

คำพูดในความทรงจำเมื่อสองปีก่อนยังชัดเจน แชร์มันห้ามเขาแล้ว แต่เขาไม่สามารถหยุดตัวเองได้..
ทำไมถึงหยุดไม่ได้.. ตอนนี้เขารู้คำตอบตัวเองแล้ว..
ชายหนุ่มหันไปมองคุณวีรชาติอย่างตัดสินใจได้
"ผมมีเรื่องจะสารภาพครับ.."
-----
แพรวก้าวลงบันไดมาจากชั้นบนสวนทางกับเจ้าของบ้านที่พยุงภรรยาท้องกลมโตขึ้นบันไดมา
"ป๊าวี.. จะพาแม่ไก่ขึ้นห้องหรือคะ ให้น้องแพรวช่วยไหม?"

คนถูกทักเงยหน้าขึ้นมองแล้วยิ้มบางๆให้ ใบหน้านั้นดูอิดโรยมากกว่าแรกที่เธอเห็นเมื่อเช้านี้เสียอีก
"ไม่เป็นไร เดี๋ยวป๊าพาทางนี้ไปพักแล้วจะแวะเข้าไปดูนัท.. ตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง"

แพรวยิ้มอย่างปลอบใจส่งมาให้ "ไม่มีอะไรค่ะ ร้องไห้บ้างแต่ทุกอย่างโอเค แพรวเอาอยู่.. เมื่อครู่บ่นปวดหัว แพรวเลยให้นอนพักไปก่อนค่ะ นี่ลงมาหาอะไรให้เขาทาน ถ้าขึ้นไปยังไม่หลับก็จะบังคับให้ทานอาหารและยาสักหน่อยค่ะ"
วีรชาติพยักหน้ารับ "ขอบใจแพรวมากนะ ถ้าแบบนั้นป๊าจะได้ไม่เข้าไป ขอพักสักหน่อยบ่ายๆค่อยมาคุยกับเขาอีกที"

"ค่ะป๊า.." เธอหลีกทางให้เจ้าของบ้านเดินผ่านไปทั้งคู่ แต่คล้อยหลังนิดเดียวคุณวีรชาติก็หันกลับมา
"ว่าแต่..แพรวรู้ใช่ไหมว่านัท..ไม่ได้ความจำเสื่อม?"
คนฟังสะดุ้งนิดๆ ก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะพยักรับ "ค่ะป๊า"

"อืม.." วีรชาติทำเสียงตอบรับในคอแล้วพยักหน้ากับคุณณฐกา "ป๊ากับแม่จะไปนอนแล้ว.. ฝากนัทด้วยแล้วกันนะ"
"ค่ะ.." แพรวยกมือไหว้คุณวีรชาติ "ขอโทษและขอบคุณค่ะป๊า"
ผู้ใหญ่ทั้งสองคนรับไหว้พลางส่งยิ้มมาให้

"ไม่เป็นไรจ้ะ.. แม่ไก่ต่างหากที่ต้องขอบคุณน้องแพรว เป็นเพื่อนที่ดีกับนัทมาตลอดเลย.. ขอบคุณนะ"
แพรวมองส่งเจ้าของบ้านด้วยความรู้สึกตื้อและตีบตันในอก เธอปิดความลับนี้ไว้กับตัวเองเพราะณัฐวีร์ขอร้อง เขาไม่อยากให้พ่อแม่ต้องมาเป็นกังวลกับเรื่องในอดีตของเขา เธอจึงไม่อยากขัดใจ หากเรื่องมันไม่เหลือบ่ากว่าแรงนักเธอก็อยากจะช่วยเหลือเพื่อน
ทดแทนกับวันนั้นที่เธอช่วยอะไรเพื่อนไม่ได้เลย

..เธอรู้ว่าเพื่อนเจออะไรมามาก ถึงจะไม่รู้ละเอียด..แต่เธอก็รู้ว่าคนสองคนไม่ได้เริ่มคบกันเพราะความรักที่มีให้กันและกัน.. เป็นเพื่อนของเธอเพียงฝ่ายเดียว ที่..รัก.. ไอ้บ้านั่นจนหัวปักหัวปำ ขนาดเจ็บหนักมาอย่างนี้ก็ยังไม่เข็ดที่จะลองรักดูอีกที
แล้วเป็นไง..เจ็บตัวคราวก่อนไม่พอ..คราวนี้เจ็บใจอีกด้วย
มันน่า...!!

เธอเข่นเขี้ยวแล้วเดินลงไปที่ด้านล่าง กะเอาไว้ในใจว่าลงไปถึงเมื่อไร สิ่งที่จะทำสิ่งแรกก็คือ..เฉ่ง!
เฉ่งไอ้คนที่ทำให้เพื่อนเธอเสียน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่า..
ครั้นพอลงไปถึงเธอก็พบร่างไร้สติของมกร..ที่นอนทอดตัวยาวอยู่บนโซฟา โดยมีผ้าคลุมไหล่ของคุณณฐกา คลี่คลุมไว้บนอก
พอเห็นอย่างนั้นคนที่คิดจะเหวี่ยงใส่ไอ้ตัวก่อเรื่องให้สมใจก็ได้แต่ร้อง

"เฮ้อ..."
ก็ขนาดพ่อแม่ผู้เสียหายเขายังสามารถ..อภัย..
ทำไมเธอจะ..อภัยและปล่อยวางลงไม่ได้ล่ะ

"แพรว.."
คนเรียกโผล่หน้าออกมาจากครัว..พร้อมกับกวักมือให้เธอเดินเข้าไปด้านใน
ครัวนั้นเหลืออุปกรณ์ทำครัวไม่มากแล้ว จึงดูโล่งจนผิดตา ตรงหน้าของแชร์มีอ่างแก้วสำหรับเข้าเวฟอยู่ใบหนึ่ง ข้างในมีข้าวต้มกระดูกหมูควันฉุยใส่เอาไว้ ดูเหมือนจะเป็นอาหารที่คุณวีรชาติเตรียมตั้งแต่เช้า

"ทำอะไรน่ะ"
"กำลังจะเอาไปให้นัท เมื่อกี้คุณอาจะเอาขึ้นไปเอง แต่พี่อาสาทำให้ คุณอาเลยพาแม่ไก่ขึ้นไปพัก"
แพรวพยักหน้า เธอยกแขนขึ้นกอดอกแล้วเอนตัวพิงกรอบประตู "ทำตัวเป็นประโยชน์ก็ดีค่ะ.."
หญิงสาวมองอีกฝ่ายเทข้าวต้มลงชามแก้วอย่างระวัง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น "แล้วนี่เพื่อนพี่เขาทานแล้วเหรอคะ?"

"เรียบร้อยจ้า เมื่อครู่โดนบังคับให้ทานข้าวทานยาแล้วอาวีก็บอกให้นอน นี่ยาคงออกฤทธิ์ถึงได้หลับไปแล้ว ไม่งั้นก็นั่งมองแต่บันไดขึ้นข้างบน"

"ก็ดีที่หลับ ไม่งั้นแพรวคงวีนใส่เขาแน่ๆ"
แชร์หยิบกระดาษทิชชู่เช็ดขอบชาม ยกชามนั้นวางในจานรองแล้วจึงเอาใส่ถาดอลูมิเนียมให้อีกที เขาหันไปคว้าเอาน้ำดื่มในตู้เย็นออกมาแล้ววางลงในถาดนั้น แต่ไม่ได้หยิบแก้วหรือหลอดให้เพราะรู้ว่าข้างบนมีแก้วประจำตัวของณัฐวีร์อยู่แล้ว

"เท่านี้ไอ้แมนมันก็รู้สึกผิดจะแย่แล้วล่ะค่ะ..น้องแพรวก็ใจเย็นๆกันมันนิดนึงนะคะ"
"ก็ไม่ได้อยากจะเป็นนางร้ายนะคะ" แพรวหมุนตัวเดินนำออกมาจากห้องครัว เธอปรายตามองคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนโซฟาแล้วถอนหายใจเล็กๆ มือขาวสวยยื่นไปหยิบแผงยาพารามาถือไว้ แล้วจึงย่นจมูกใส่ร่างที่นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอีกรอบ แลบลิ้นใส่อย่างหมั่นไส้
"แพรวจะขึ้นไปอยู่กับนัท พี่แชร์ก็ดูแลเพื่อนของพี่แชร์ไปแล้วกัน" เธอพูดแล้ววางยาลงในถาดทำท่าจะยกถาดขึ้นไปเอง

"อ้าว..ไม่ให้พี่ขึ้นไปส่งเหรอ?"
"อย่าเลย เดี๋ยวเกิดสะดุ้งตื่นมาไม่เห็นใครจะวิ่งพล่านไปทั่ว แพรวไม่อยากให้มาเพ้ออะไรตอนนี้ แพรวห่วงเพื่อนแพรว"
“หืม?..”

“ใช่สิ.. พี่ก็ห่วงเพื่อนพี่ แพรวก็ห่วงเพื่อนแพรว ผิดตรงไหน”
แชร์ยิ้มกว้าง "ไม่ผิดค่ะ ตามใจแพรวเลย เดินขึ้นไปดีๆนะ"
ชายหนุ่มยกมือขึ้นบ๊ายบายทำให้หญิงสาวขมวดคิ้วมองงงๆ ยังก้าวไม่พ้นบันไดเธอก็ได้ยินเสียงผิวปากลั้นลาสุดชีวิต ยังงงอยู่ว่าเจ้าตัวเป็นอะไร..

"เพื่อนของแพรว เพื่อนของแพรว.."
ประโยคนั้นแว่วดังขึ้นมาทำให้เธอหน้าแดงแป้ด ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ..
นี่เธอ..ลืมสถานะตัวเองไปได้ยังไง ..ซวยแล้ว
"บ้าพอๆกับเพื่อนเลยพี่แชร์นี่" เธอบ่นอุบแล้วรีบเดินขึ้นไปที่ห้องของณัฐวีร์
---------
แชร์นั่งอยู่ด้านล่างเพื่อเฝ้าเพื่อนซึ่งยังหลับสนิท เขาใช้หนังสืออ่านฆ่าเวลา และเพิ่งจะอ่านไปได้ไม่กี่หน้าเอง แต่ก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะสั่นเครือ
ชายหนุ่มคว้าเอาขึ้นมาไว้ไม่อยากให้เจ้าของโทรศัพท์ตื่นตอนนี้ พอก้มดูจึงได้เห็นว่าเป็นชื่อของมารดาไอ้มกรมัน..
ไอ้นี่ก็แปลก คนส่วนใหญ่เวลาเซฟเบอร์แม่ตัวเองในโทรศัพท์ก็จะเซฟว่าแม่บ้าง หรืออะไรก็แล้วแต่ที่แสดงความสนิทสนมกัน.. แต่มันกลับเซฟไว้แค่ว่า "คุณมนธิชา" ห่างเหินเสียไม่มี

ถึงพวกเพื่อนจะรู้ว่ามกรไม่ค่อยลงรอยกับครอบครัวนัก แต่ไม่มีใครในกลุ่มเพื่อนที่รู้เรื่องความบาดหมางนั้นดีเท่าณัฐวีร์อีกแล้ว แชร์จึงได้แต่สงสัยในความแปลกประหลาดนั้นจนถึงทุกวันนี้

"สวัสดีครับคุณน้า..แชร์ครับ" ชายหนุ่มกรอกเสียงลงไปเบาๆแล้วเดินผละไปที่ครัวเพื่อไม่ให้มกรต้องตื่นขึ้น
"ตอนนี้แมนอยู่ที่บ้านนัทครับ.. ไม่เป็นไรมากครับ นอนพักกันอยู่ ..ไม่มีอะไรหรอกครับ ทะเลาะกันนิดหน่อย เดี๋ยวก็ดีกันเอง..ผมว่าวันนี้คงไม่ได้เข้าไปที่ออฟฟิศ.."

ชายหนุ่มเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังคร่าวๆ มนธิชาจึงบอกว่าถ้ามอบหมายให้คุณประคองอยู่เคลียร์กับตำรวจเรียบร้อยแล้วคุณมนธิชาจะมาหาที่นี่ทันที ให้ช่วยดูแลมกรไว้ให้หน่อย
"ได้ครับคุณน้า ไม่ต้องห่วงครับ"

ชายหนุ่มกดวางสายแล้วเดินออกมาจากห้องครัว ..จึงได้พบว่าตรงบริเวณที่มกรนอนอยู่นั้นว่างเปล่าไปเสียแล้ว
"ออกไปนะออกไป!" เสียงแหวของแพรวทำให้แชร์เงยหน้าขึ้นไปทันที
"ตายห่าแล้วไอ้แมน!!"
-----

หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 34 อัพอัพ 01.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 01-02-2015 21:08:42
แชร์รีบวิ่งขึ้นไปด้านบนแล้วจึงได้พบว่าคุณวีรชาติเปิดประตูห้องออกมาเช่นกัน ชายทั้งคู่รีบวิ่งขึ้นไปยังชั้นสามซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องพักณัฐวีร์ แล้วจึงได้เห็นว่าแพรวยืนตัวสั่นอยู่หน้าห้องนั้น
"แพรว" คุณวีรชาติเรียก แต่คนที่ถึงตัวหญิงสาวก่อนคือแชร์ เขาคว้าแขนเธอให้หันมาหาตัวเองแล้วสำรวจใบหน้าประหวั่นนั่นอย่างรวดเร็ว

"ไอ้แมนทำอะไรหรือเปล่าคะ?!"
คนถูกถามส่ายหน้าแต่รีบมองเข้าไปในห้อง ทำให้ทุกสายตาหันเข้าไปเช่นกัน
เจ้าของห้องนั่งพิงอยู่ตรงหัวเตียง ในขณะที่ผู้บุกรุกคุกเข่าอยู่ข้างๆเตียงนั่นเอง
คนสองคนมองตากันนิ่ง ไม่มีคำพูดใดเลยหลุดออกมา นิ่งจนเหมือนจะลืมหายใจ.. ราวกับเวลาจะผ่านไปช้าเสียยิ่งกว่าช้า ไม่มีใครกล้าขยับ ไม่มีใครกล้าส่งเสียง ราวกับดวงตาของคนสองคนได้หยุดทุกสิ่งให้ไร้การเคลื่อนไหว
นิ่งจนเหมือนอากาศธาตุ และนิ่งราว..ไร้ตัวตน

ณัฐวีร์เป็นฝ่ายเบือนสายตาออกจากดวงตาเว้าวอนนั่น เขามองนิ่งไปที่หมอนบนตักตัวเองและไม่นำพาร่างที่ทำท่าจะขยับเข้ามาหาอยู่หลายครั้งเลย
ไหล่กว้างของมกรลู่ลงก่อนจะค่อยๆสั่นสะท้านอย่างยากจะควบคุม
"ฮึก.."

เสียงสะอื้นเบาๆทำให้ณัฐวีร์หลับตาลง เขาหยิบหมอนออกจากตัวแล้วเลื่อนลงนอนหันหลังให้กับทุกๆคน
ถ้าไม่ต้องรับรู้อะไรอีกก็ดีสิ..

เด็กหนุ่มปิดตาลง ยกหมอนขึ้นปิดหน้าบังหูปล่อยให้คนข้างหลังใช้ดวงตาที่ฝ้ามัวเพราะหยาดน้ำตาจ้องมองร่างน้อยอย่างหมดแรง
คนที่คุกเข่าอยู่ข้างเตียงค่อยๆทิ้งตัวลงนั่งทั้งที่ไหล่สั่นสะท้าน มือใหญ่ยกขึ้นปิดหน้าตัวเอง น้ำตาแห่งความเสียใจไหลอาบลงมาที่มือ แต่มันเทียบได้ไม่เท่ากับน้ำตาที่อีกคนเสียไปเลย..
แพรวขยับมือในอุ้งมือของแชร์เป็นเชิงเตือนสติอีกฝ่าย
"ไปพาออกมาเถอะ.. ถ้าลองนัทโกรธแล้วล่ะก็อย่าฝืนยื้อเลย เดี๋ยวจะไปกันใหญ่"
แชร์พยักหน้าแล้วบีบมือเล็กๆที่กุมไว้นิดหน่อยเหมือนปลอบใจอีกฝ่ายแล้วจึงปล่อยออก ชายหนุ่มค้อมตัวเดินผ่านคุณวีรชาติเข้าไปในห้องก่อนจะตบบ่าเพื่อนเบาๆ

"มึง..ให้น้องพักเถอะ.. น้องคงเหนื่อยแย่แล้ว"
มกรเงยหน้าขึ้นจากฝ่ามือตัวเอง แต่สายตายังจับจ้องหลังบางของณัฐวีร์
"มึง.. กูรู้แล้ว.. กูรู้แล้ว.." มกรพึมพำออกมาเบาๆ ตายังไม่ละจากน้อง
แชร์จึงเอ่ยถามอย่างสงสัย "รู้อะไรวะ.."

"รู้..กู ..ขาดเขาไม่ได้.." พอพูดจบมกรก็สะอื้นออกมาอีก
แชร์ทำอะไรไม่ถูกแล้วจริงๆ ชายหนุ่มตบบ่าเพื่อนอย่างปลอบใจ พยายามจะดึงมันขึ้นมันก็ตัวหนักเกินกว่าเขาจะลากมันออกไปได้ ทำให้เดือดร้อนคุณวีรชาติต้องเดินเข้ามาช่วยอีกแรง
มือใหญ่อุ่นวางลงบนไหล่อีกข้างของมกร ทำให้ชายหนุ่มหันมองมือนั้นก่อนจะเงยมองใบหน้าของคุณวีรชาติ

"ป๊า.."
เสียงแหบเครือเอ่ยเรียกก่อนจะเอนใบหน้าซบแขนคุณวีรชาติอย่างหมดท่า
"เออๆ ไม่ต้องร้อง.." คุณวีรชาติลูบหัวมกรเบาๆ "ลงไปพักข้างล่างให้น้องได้พักผ่อนก่อนนะแมน.. มานั่งอยู่แบบนี้มันไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก"

"ป๊าช่วย..ผมด้วยนะ.." มกรเอ่ยอย่างขอร้อง เสียงอ้อนวอนนั้นฟังดูเหมือนว่าเจ้าตัวกำลังจะขาดอากาศหายใจลงไปเสียเดี๋ยวนี้
"ไม่ต้องห่วง.." คุณวีรชาติบอกเบาๆแล้วช้อนใต้แขนข้างหนึ่ง ให้แชร์ช่วยพยุงอีกข้างหนึ่ง รั้งมกรลุกขึ้นยืนจนได้ "ลูกป๊าทั้งนั้น ไม่ช่วยลูกแล้วป๊าจะไปช่วยใคร" คุณวีรชาติตบบ่ามกรเบาๆ "ลงไปกันก่อนเถอะ ให้นัทได้อยู่เงียบๆก่อน"
สุดท้ายมกรจึงยอมเดินออกมาจากห้องโดยมีแชร์เป็นคนพยุง ส่วนคุณวีรชาตินั้นเหลียวกลับไปมองลูกชายตัวเอง แล้วเดินไปที่เตียง ก้มตัวลูบหัวลูกชายเบาๆ

"เราก็เหมือนกัน จะคิดจะทำอะไรก็ค่อยๆคิดค่อยๆทำ ป๊าเชื่อว่านัทฉลาดพอจะเลือกทางเดินของตัวเอง นัทไม่ใช่เด็กที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ชีวิตคนเรามันมีอุปสรรคเสมอ แต่ป๊าก็เชื่อว่านัทจะผ่านมันไปได้.. มีอะไรก็คุยกับป๊าได้ตลอดนะลูก"
เด็กหนุ่มพยักหน้าน้อยๆทำให้บิดาละมือออกแล้วเดินออกมาจากห้อง
คุณวีรชาติปิดประตูเสียให้เลยแล้วบอกกับแพรว "ลงไปพักด้านล่างเถอะ ให้เขามีเวลาเป็นของตัวเอง จะได้คิดอะไรได้ ไปอยู่เป็นเพื่อนคนด้านล่างนั่นดีกว่า.."

คุณวีรชาติหัวเราะเบาๆแล้วพูดต่อ "สงสัยป๊าจะมีลูกเต็มบ้านเต็มเมืองโดยไม่ต้องเหนื่อยเลี้ยงเองแล้วมั้งเนี่ย"
----
คุณมนธิชามาถึงตอนเกือบจะบ่ายอยู่แล้ว ทันทีที่มาถึงเธอก็ตรงเข้าไปกอดลูกชายของเธอและนั่งอยู่ข้างๆจับมือของเขาไว้โดยไม่ถามอะไรทั้งสิ้น เธอเพียงพูดแค่ว่า

"แม่รักแมนนะลูก..เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป เดี๋ยวมันก็จะดีขึ้น"
แล้วเธอก็กอดเขาแน่นที่สุดเท่าที่เธอจะกอดได้
ไม่นานจากนั้น คุณลักษณ์ก็มาถึงพร้อมคนขับรถส่วนตัว หลังจากพูดคุยกันในหมู่ผู้ปกครอง ทางนี้จึงได้ข้อสรุปว่าจะพามกรกลับบ้านไปก่อน

คราวแรกมกรก็ไม่ยอมกลับ เขายังอยากจะอยู่รอให้ณัฐวีร์ลงมาคุยกันก่อน แต่เพราะทุกคนช่วยกันกล่อม มกรจึงต้องยอมกลับอย่างเสียไม่ได้
ก่อนกลับเขายังขอไปเห็นหน้าน้องอีกรอบ.. ทว่าคุณวีรชาติมีประโยคเด็ดที่ทำให้มกรยอมยกมือไหว้ลากลับทันที

"ถ้ายอมกลับไปดีๆ ป๊าจะช่วยคุยให้ แต่ถ้าดื้อป๊าจะปล่อยให้นัทเขาตัดสินใจเอง"
นั่นเองที่ทำให้มกรยอมถอย.. เพราะถ้าให้ป๊าวีช่วย เขาก็ยังพอมีหวังอยู่บ้าง ถ้าให้นัทตัดสินใจเอง เขาคงเหลือหวังริบหรี่เต็มที
รถแล่นเข้าจอดที่ลานหน้าบ้านคุณมนธิชา คนขับรถกดเปิดประตูอัตโนมัติทำให้คุณลักษณ์ก้าวลงจากรถมาก่อนเป็นคนแรก คุณมนธิชา แล้วจึงเป็นมกรที่ก้าวตามลงมา

ด้านหลัง รถส่วนตัวของคุณลักษณ์จอดต่อคันกันอยู่ทำให้คุณมนธิชามองไปนิ่งๆ
"ขอบคุณที่รีบมานะคะ" คุณมนธิชาเอ่ยขึ้น "เห็นว่ากำลังยุ่งเรื่องโยกย้ายตำแหน่งกันอยู่แต่ก็ยังปลีกเวลามาให้"
"ไม่เป็นไร.. แมนก็ลูกผมเหมือนกัน" คุณลักษณ์บอกแล้วตบไหล่ลูกชายเบาๆ "พักเสีย พรุ่งนี้พ่อจะโทรมาหา"
มกรพยักหน้ารับแล้วยกมือขึ้นไหว้ลา ชายหนุ่มขอตัวกลับไปยังบ้านพักตัวเองที่เป็นเรือนแยกอีกหลังไม่รวมกับบ้านใหญ่
พอคล้อยหลังลูกคุณลักษณ์ก็เหมือนจะปลีกตัวไปเช่นกัน ทั้งที่ยังไม่ทันได้กล่าวลาเลยด้วยซ้ำ

"เดี๋ยวสิคะ.." มนธิชาเอ่ยเรียกทำให้อีกฝ่ายชะงักแล้วหันมามองอย่างต้องการจะถามว่ามีธุระอะไรกับเขาอีกหรือไง
"คืนนี้พักด้วยกันได้ไหมคะ.." เธอเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม "ฉันคิดว่าลูกต้องการคนอยู่เป็นเพื่อนนะคะ"
คุณลักษณ์เลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ ยังไม่ทันจะพูดอะไรตอบคุณมนธิชาก็ต่อประโยคอีก

"ฉันเองก็อยากปรึกษาคุณเหมือนกัน..นะคะ"
เธอจบประโยคนั้นแล้วยื่นมือมาแตะเข้าที่แขนของสามี ทำให้คุณลักษณ์ขมวดคิ้วแล้วตอบกลับไป "พ่อคุณคงไม่ชอบใจหรอกกระมัง"
"ไม่เป็นไรค่ะ เราไปพักที่บ้านหลังโน้น ไม่ต้องพบคุณพ่อก็ได้" เธอขยับมือกุมมืออีกฝ่ายเบาๆ "เรามีเรื่องต้องคุยกันเยอะเลยนะคะ"
คุณลักษณ์มองหน้าภรรยาแล้วชั่งใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะดึงมือออก ทำให้ใบหน้าคุณมนธิชาซีดลงไปถนัดตา
ทำไม..ถึงหนีเธอ?

เธอถามคำถามนั้นในใจแต่ไม่กล้าแม้จะเอ่ยออกมา
ความห่างเหินมันเกินจะเยียวยากันแล้วหรือไง..
"เดี๋ยวผมไปบอกคนขับรถก่อน ให้เขาไปเอาเสื้อผ้าจากคอนโดมาให้ คุณรออยู่นี่ล่ะ"
คุณลักษณ์ว่าแล้วเดินออกไปท้นที

คุณมนธิชาเม้มริมฝีปากและเบิกตาโต.. เธอพรูลมหายใจโล่งอกออกมาพร้อมรอยยิ้มคลายกังวล
โธ่ ตกใจแทบแย่..
เธอนึกอย่างโมโหตัวเอง..
ไม่นานจากนั้นคุณลักษณ์ก็เดินกลับมาหาเธอที่ยืนรออยู่อย่างสงบ แล้วคนทั้งคู่ก็เดินเคียงกันไปตามทาง ซึ่งทอดผ่านไปยังบ้านหลังเล็กที่มกรใช้อาศัยแยกจากเรือนหลัก
------

อาจจะเปิดจองหนังสือเร็วๆนี้นะคะ แต่คงเปิดจำนวนจำกัดเพราะตอนนี้สั่งทำของแถมไปแล้ว

ถ้ายังไงสามารถติดตามได้ที่เพจ morse นะคะ ^^
https://www.facebook.com/pages/Morse/120230658164895?ref=hl

หรือถ้าใครอยากหานิยายเก่าที่เคยเขียนไว้อ่านเล่นๆ ชอบเป็นเล่มๆก็ติดต่อที่อินบอกซ์ในเพจได้ค่ะ
ถ้าสนใจ ebook ก็เชิญที่ meb market ตามลิ้งค์นี้ได้เลย
http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=18715


ขอบคุณค่ะ :hao3:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 34 อัพอัพ 01.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 01-02-2015 21:14:34
คือ อารมเกลียดแม้นศรียังอยู่เต็มนะ แต่ก็เผลอรักไปแล้วนิดนึง เลยอภัยได้ ขอให้นัทฟังหน่อยนะ นัทแค่ฟัง แล้วหาความจริงด้วยตัวเองนะนัท อย่าฟังคนอื่น
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 34 อัพอัพ 01.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 01-02-2015 21:50:42
เฮ้ออออ ..... ถอนหายใจยาว ๆ ไปเลย
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 34 อัพอัพ 01.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 01-02-2015 21:56:52
ลุ้นทุกบรรทัด ทุกตัวอักษรเลย
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 34 อัพอัพ 01.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 01-02-2015 22:35:42
ป๊าใจดีจัง
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 34 อัพอัพ 01.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: AMINOKOONG ที่ 01-02-2015 22:56:13
เราว่าแมนมันเป็นคนที่โชคดีมากนะที่อย่างน้อยๆพ่อแม่ของนัทยังยกโทษให้
ที่ที่ตัวแมนเองมันทำเลวทำชั่วกับนัทมามากมายสารพัดขนาดนั้นยังใจดีใจกว้างกล้าปล่อยลูกตัวเองไปกับมัน
ซ้ำยังคอยดูแลสนับสนุนมันอันอีก หากถามว่าสงสารแมนมั๊ย เราตอบเลยว่าไม่อ่ะ สมควรแล้วที่โดนซะบ้าง
ขอให้นัทใจแข็งมากๆด้วยเถอะ เพราะเอาตรงๆแม้แมนมันจะทำตัวดีขึ้นมาแค่ไหน แต่ก็ต้องยอมรับ
ว่าภาพในความเลวของมันอดีตมันยังคอยติดตาหลอกหลอนอยู่เลย เลยทำให้เราใจอ่อนสงสารแมนมันไม่ลงจริงๆ
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 34 อัพอัพ 01.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 01-02-2015 23:27:59
แม้นชั้นยังเกลียดแม้นนะ แต่ก็สงสารอ่ะ

แม้นเองก็พยายามเปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนได้เยอะมากด้วย แต่เรื่องที่เคยทำก็คือ เคยทำล่ะนะ ต้องรอให้นัทตัดสินใจเอง
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 34 อัพอัพ 01.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 01-02-2015 23:51:45
มาถึงขั้นนี้แล้วทำให้แม้นมันความจะเสื่อมไปเลยดีกว่า
จะได้ไม่ต้องจำ ไม่ต้องยึดติด
Find some peace for yourself.

การยึดติดเป็นเหมือนปมของชีวิต
ที่ผูกเป็นเงื่อน ยิ่งนานไปเส้นทางชีวิตมันก็ไม่ตรง

แม้นทำเรื่องโคตรร้ายไว้เยอะ
ตอนนี้เราเห็นการพยายามทำดีของแม้น
ตอนที่แม้นคุยกับพ่อของณัฐ เห็นชัดเลยว่าแม้นไม่เข้าใจความรักของคนเป็นพ่อแม่
เราที่เติบโตมากับพ่อแม่ที่อาจจะด่า ทะเลาะกัน
ไม่สามารถมองเห็นหรือเข้าใจความรู้สึกของแม้นได้หรอก
เพราะว่าถึงพ่อแม่จะทะเลาะกันด่ากันก็มีแสดงอารมณ์ความรู้สึก ความใกล้ชิด
แต่แม้นมันไม่ได้พวกนี้เลยนะ
แม้นไม่เข้าใจ empathy  (ความสามารถในการเข้าใจความยากลำบากของผู้อื่น หรือ การมีส่วนร่วมในอารมณ์กับผู้อื่น)

โกรธหรือไม่ยกโทษก็คือการยึดติดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดึตกับปมที่มาหน่วงในชีวิต
ยกโทษให้แต่ไม่จำเป็นต้องมาอยู่ด้วยกันหรือรักกันก็เป็นอีกทางหนึ่ง
เราพยายามทำความเข้าใจกับแม้น เหมือนที่พ่อของณัฐ กำลังทำ และรับฟังแม้น
จะมีสักกี่คนที่พยายามทำความเข้าใจในตัวแม้น แม้กระทั่งเพื่อนของแม้นเองก็ยังไม่พยายามเข้าใจแม้นเลย
คนที่เติบโตมาด้วยความรักและความเข้าใจจะกระทำต่อคนอิ่นด้วยความรักและความเข้าใจเหมือนกัน
คนที่เปลี่ยนแม้นได้น่าจะอยู่ตรงจุดนี้

เราไม่ได้โลกสวย แต่เพราะว่าโลกที่เจอมามันบิดเบี้ยวและไม่น่าอยู่ ถึงได้พยายามทำให้มันน่าอยู่ขึ้นด้วยการคิดบวก

คนเขียนคะ  ตอนที่แม้นบอกพ่อของณัฐ ว่าไม่เข้าใจความรู้สึกแบบนั้น เราตบหน้าผากเลยค่ะ
เพราะว่ามันชัดเจนมาก เสียดายที่ลูกของแม้นตายไปแล้ว ไม่งั้นแม้นจะเข้าใจอะไรดีขึ้นโดยการเลี้ยงลูก
ขอบคุณมากค่ะ มายาวๆแบบนี้ถูกใจมากๆ  รู้สึกเหมือนเป็นแม่แม้นเลยแฮะ
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 34 อัพอัพ 01.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 02-02-2015 01:02:50
โอีญอึดอัด ยิ่งอ่านยิ่งอึดอัด เมื่อไรจะพ้นดราม่าเนี่ย อดทนรอต่อไป
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 34 อัพอัพ 01.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: สายลมที่หวังดี ที่ 02-02-2015 02:10:23
ไม่รู้จะสงสารใครดี น้องนัทก็ถูกกระทำร้ายๆซ้ำซาก พี่แมนก็มีปัญหาครอบครัวถึงขั้นเป็นโรคจิต ถ้านัทไม่ให้อภัยคงได้เสียใจตายเป็นแน่ เห้อ :เฮ้อ:


เอาใจช่วยให้สองฝ่ายคืนดีกันแบบแฮปปี้นะคะ(คาดว่าใกล้จบแล้ว) :กอด1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 34 อัพอัพ 01.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: ppoi ที่ 02-02-2015 03:10:21
สงสารทั้งแมนทั้งนัท... แต่ก็เกลียดแมนด้วย เอาจริง สิ่งที่แมนเจอ คนอีกมากมายก็เจอ รู้ว่าแม่เคยพยายามทำแท้ง แล้วไง อย่าโลกสวย ไม่ต้องโดนบังคับ คิดว่ายังเด็กอยู่เลย มาท้อง พ่อด่าจนแทบจะควักมดลูกออกมาให้ อิคนรักก็ช่วยไรไม่ได้ จะมีวูบที่คิดว่าจะทำ ยังไม่ผิดเลย คือคนมันก็มีสับสน หาทางไปไม่ได้ป่ะ แล้วมีอิพ่อที่แม่มชั่วร้ายขนาดนั้น แต่สุดท้ายแล้ว แม่ก็รัก ถึงจะไม่ค่อยมีเวลา ถึงจะเหมือนไม่มีพ่อ แต่ก็ไม่ใช่ถูกเลี้ยงมาอย่างลูกอิเย็นนางทาสนะ คิดว่าแม้นศรีเยอะไปอ่ะ อะไรจะปมเว่อขนาดนั้น คือถ้าเป็นเด็กๆอาจจะรู้สึกเยอะนะ แต่พอโตจนคิดได้ มันก็เข้าใจได้ป่ะ

งานนี้คนที่ทุเรศคืออิพ่อของแม้นค่ะ คือท้องอ่ะค่ะ ไม่ได้ทำได้คนเดียว ไม่ป้องกัน ไม่ระวัง ทำเค้าท้อง พูดตรงนะ ถ้าดีถ้ารัก แถมโตกว่าด้วย ไม่คิดถึงชีวิตคนรักมั่งเลยหรอ ว่าจะเป็นไงถ้าท้อง ทำไมตอนทำไม่คิด ตอนลำบากก็ช่วยเห้ไรไม่ได้ พอมารู้ว่าเค้าเคยพยายามทำแท้ง (โดนบังคับ สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ) แล้วมาโกรธ เฮ้ย มรึงมีสิทธิ์โกรธด้วยหรอคะ ต่อให้ขุ่นแม่คิดทำแบบไม่มีใครบังคับเลย เอ้า คือตอนลำบาก มรึงก็ช่วยเห้ไรไม่ได้ไง ถ้าเค้าจะมีวูบแบบไม่ไหวแล้ว เค้าผิดหรอ มรึงมาสู้กะเค้าด้วยหรอ อยู่เคียงข้างเค้าหรอ ตอนเค้าไร้ที่พึ่งอ่ะ คิดสิคิด พออ่านมาถึงว่า เพราะรู้ว่าเคยจะทำแท้งเลยมึนตึง สุดท้ายเหมือนปล่อยให้ขุ่นแม่สู้ชีวิตอยู่คนเดียว งี้ เห้มากค่ะขุ่นพ่อ

ส่วนอิขุ่นตาพ่อขุ่นแม่อิแม้น คงไม่ต้องพูดถึง ถ่อยค่ะ จบ...

งานนี้ ที่น่าสงสารมากสุดคือ ครอบครัวของนัท ทั้งครอบครัวเลยรวมนัทด้วย สงสารพ่อแม่ที่ไม่รู้ความจริงทั้งหมด จนตอนล่าสุด มันคงเจ็บที่เคยยอม เคยส่งลูกให้อิแม้นด้วยตัวเองด้วยความไม่รู้ จุดนี้สงสารขุ่นพ่อมาก ถ้าเป็นเราได้รู้ความจริง คงกระทืบอิแม้นไส้แตกตายกลายเป็นตอนจบไปล่ะค่ะ คือมันเจ็บปวดนะที่เคยส่งลูกไปทรมานด้วยตัวเองเลย ทั้งๆที่ตอนนั้น ลองดูสภาพนัทที่โรงพยาบาล เอาจริงนะ ต่อให้เป็นแฟนกันจริง คือโดนข่มขืนแน่นอนค่ะ มันไม่ได้ปล้ำอย่างละมุนละม่อมล่ะนะ มีซ้อมมีต่อยอ่ะ คืออิแม้นโกหกได้ไม่สมจริงสุดๆ สภาพโคตรไม่น่าเชื่อ ขุ่นพ่อใจกว้างมาก ที่ไส้อิแม้นยังขดอยู่ครบ และพอรู้งี้แล้วนะ เป็นพ่อเป็นแม่นัทอ่ะ คงแบบแอบรับขุ่นแม่แม้นไม่ได้เนอะ ว่าเอาแต่ห่วงลูกตัวเองซะ ไม่เห็นหัวลูกคนอื่นเลย ทั้งๆที่ไม่ใช่คนอื่นคนไกลกันด้วยนะ

เรื่องนี้ ครอบครัวนัทและน้องแพรวคือได้โล่เลยค่ะ ช่างเป็นคนดีศรีสังคมมาก

เฮ้อ แต่อิแม้นก็พยายามมาเยอะ ก็เอาเหอะ รอดูกันต่อไป ก็นะ ปิดเค้ามานาน จะดีก็ดีไม่สุด จะบอกก็บอกไม่หมด เจอคนอื่นช่วยบอกให้ สะใจเลยไม๊

555 เม้นท์ซะยาว ดีเทลจัดเต็ม ให้กำลังใจคนเขียน รออ่านต่อนะตัวเทอว์
//อิพี่ชายขุ่นแม่น้องมะม่วง งานนี้ต้องมีจัดหนักให้นางบ้างล่ะ ส่งแชร์ไปล่าไล่ปล้ำเบยยยยย
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 34 อัพอัพ 01.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: yymomo ที่ 02-02-2015 10:08:43
 :katai1: :katai1: :katai1: อร๊ากกก มันช่างบีบหัวจ๊ายยย ว่าน้องนัทจะตัดสินใจยังไง  แต่ก็แอบสงสารนุ้งแม้นศรีนะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 34 อัพอัพ 01.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: NIMME ที่ 02-02-2015 18:37:37
เฮ้ออออออ อึมครึม
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 34 อัพอัพ 01.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: tong_pub ที่ 03-02-2015 08:32:24
ตามอ่านทันถึงตอนปัจจุบัน
มีคำถามเดียวเลยค่ะ... จบแฮปปี้มั้ยคะ
ตอนนี้แทบไม่มีน้ำหล่อเลี้ยงในหัวใจ สงสารมกรมาก
คือทำไรไม่ได้ รู้สึกผิดสุดๆแถมมีอาการทางจิตอีก อีกฝ่ายก็แทบไม่เห็นความพยายามของแมนเลย
เห้อ...แฮปปี้เถอะนะคะ คาดว่าถ้าเศร้าโศกไปมากกว่านี้คงมีคนอ่านนี่แหละค่ะที่ขาดใจตายก่อน...


 :undecided: :undecided:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 34 อัพอัพ 01.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: theG ที่ 04-02-2015 15:38:50
เพิ่งตามอ่านทัน

บอกเลยว่ามาถึงตรงนี้ก็ยังไม่สงสารแมนอะ
ที่มันเลยเถิดมาอย่างนี้ก็เพราะแมนทำตัวเองทั้งนั้น ไม่เห็นว่าจะทำตัวดีขึ้นว่าเดิมสักเท่าไหร่เลย ยังใจร้อนชอบใช้กำลังเหมือนเคย ที่ตอนนี้นัทเข้าใจผิด เพราะแมนก็ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เปล่า?? จะทำนิสัยเลวๆ แบบนี้ด้วยเหตุผลว่าตัวเองมีปมตัวเองเป็นโรคจิตเภทมันไม่ได้หรอกนะ เอาเปรียบคนอื่นเกินไปมั้ย?

แล้วที่สารภาพกับพ่อแม่น้องน่ะ สารภาพเรื่องอะไรบ้าง? ไม่ค่อยเคลียร์ คือแบบ มันนานมากเลยนะกว่าแกจะกล้าสารภาพเนี่ย ไม่ได้แมนสมชื่อเลย ตอแหลปลิ้นปล้อนมาตลอด

ก่อนหน้านี้ที่ต้องอดทนกับความเจ็บปวดเรื่องนัทกับแพรว เราก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นการอดทนหรือเจ็บปวดสักเท่าไรเลย ก็ยังเห็นหาโอกาสลวนลามแต๊ะอั๋งนัทได้ตลอด หลายครั้งก็หลุดโมโหนัทแรงๆ นี่คืออดทน?? แล้วการที่เห็นคนที่เรารักไปรักคนอื่น แค่นั้นเจ็บปวด? เคยโดนนัททุบแขนให้หักคืนมั้ย? เคยโดนนัทซ้อมคืนมั้ย? เคยโดนนัทข่มขืนจนได้เลือดหรือเปล่า?

ถ้าเรื่องแค่นี้ยังทนไม่ได้ สู้ไม่ได้ก็ตายๆไปเหอะแมน

ความรักไม่ใช่แค่รักก็จบหรอกนะ จะมาร้องตะโกนว่ารักอยู่ปาวๆ แต่ทำตัวระยำใส่คนที่รักมันก็ไม่ได้หรอก 

หลายคนบอกจะให้แมนกลับตัวเป็นคนดีบ้างไม่ได้เลยหรอ จะให้อภัยไม่ได้หรอ แต่ประโยคเดียวที่อยากบอกแมน

...แค่นี้มันยังน้อยไป...
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 34 อัพอัพ 01.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 11-02-2015 11:27:31
ยังไม่ได้ลงตอนใหม่นะคะ เห็นคุณมอสบอกว่าจะมาอัพตอนใหม่ 22กุมภา นี้ค่ะ  :katai4:


#############

มีเวลาว่าง(มาก) เลยลองทำสารบัญมาให้ค่ะ จะได้อ่านกันง่ายขึ้น ^^

สารบัญ
ตอนที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2523086#msg2523086)
ตอนที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2525370#msg2525370)
ตอนที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2530535#msg2530535)
ตอนที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2533335#msg2533335)
ตอนที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2538584#msg2538584)
ตอนที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2545269#msg2545269)
ตอนที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2551606#msg2551606)
ตอนที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2558461#msg2558461)
ตอนที่ 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2563828#msg2563828)
ตอนที่ 9.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2569482#msg2569482)
ตอนที่ 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2574408#msg2574408)
ตอนที่ 10.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2577990#msg2577990)
ตอนที่ 10.2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2582841#msg2582841)
ตอนที่ 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2586122#msg2586122)
ตอนที่ 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2597144#msg2597144)
ตอนที่ 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2597147#msg2597147)
ตอนที่ 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2613160#msg2613160)
ตอนที่ 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2620729#msg2620729)
Special Part : Late Valentine's Day (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2626875#msg2626875)
ตอนที่ 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2627657#msg2627657)
ตอนที่ 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2638028#msg2638028)
ตอนที่ 18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2638031#msg2638031)
ตอนที่ 19(End) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2638034#msg2638034)


ตอนที่ 20 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2681811#msg2681811)
ตอนที่ 21 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2686859#msg2686859)
ตอนที่ 21.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2691325#msg2691325)
ตอนที่ 22 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2697382#msg2697382)
ตอนที่ 23 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2707452#msg2707452)
ตอนที่ 24 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2719622#msg2719622)
ตอนที่ 25 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2727325#msg2727325)
ตอนที่ 26 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2736647#msg2736647)
ตอนที่ 27 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2743645#msg2743645)
ตอนที่ 28 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2767640#msg2767640)
imageพี่แม้นกะน้องนัท (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2769448#msg2769448)
ตอนที่ 29 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2883023#msg2883023)
ตอนที่ 39.1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2883103#msg2883103)

imageแม้นนัท(ภาคแรก) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2899294#msg2899294)

ตอนที่ 30 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2903602#msg2903602)
ตอนที่ 31 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2905386#msg2905386)
ตอนที่ 32 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2920901#msg2920901)
ตอนที่ 33 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2924016#msg2924016)
ตอนที่ 34 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=39753.msg2951357#msg2951357)


#################

เดี๋ยวไปแปะไว้ที่หน้าแรกให้ด้วยค่ะ ^^  :katai5:

อ้อ! ปีที่แล้วมีตอนพิเศษ Valentine's Day ..แล้วปีนี้จะมีไม๊นะ #พูดลอยๆ  5555555
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 34 อัพอัพ 01.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 11-02-2015 14:40:13
อ่านทันแล้วค่ะ

ขอกราบคารวะป๊าวี ป๊าเป็นทั้งพ่อและสามีที่ดีที่สุดเลย พระเอกตัวจริง  (เป็นพ่อคนอื่น แม้นศรีคงเดี้ยงซ้ำหลังสารภาพ)

รู้ผิดรู้ให้อภัย ความสุขของลูกคือที่สุด น่าอิจฉาคุณมนที่ได้สามีดีเยี่ยงนี้ น่าจะมีลูกอีกหลายๆคนนะคะ พันธุ์เค้าดีจริง

ไม่แปลกใจที่นัท เข้มแข็งได้ขนาดนี้ เพราะมีพ่อแม่ที่ดีมากๆนี่เอง

แม้นศรี เราให้อภัยคุณแล้ว น่วมตลอดเลย ภาคสองเนี่ย ถ้าเป็นกระท้อนคือโดนทุบจนเกินอร่อยไปแล้ว :laugh:

ปากพาซวยตลอด มาม่าก็อิ่มมากแล้ว อยากได้ของหวานบ้างจังค่ะ  :กอด1: นักเขียน

หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 34 อัพอัพ 01.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: comai0618 ที่ 12-02-2015 18:24:17
อ่านทันสักที!!! สงสารนัทมากมายยยย :sad4:
จริงๆก็สงสารทั้งคู่แหละ แต่พี่แมนก็เหลือเกินนนน ชอบจังไอ้ประชดประชันเนี่ยยยยยย เฮ้ออ
ขอให้ตอนหน้าคุณพ่อคุณแม่ดีกัน ครอบครัวอบอุ่นทีเท้ออออออ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 34 อัพอัพ 01.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 14-02-2015 18:11:18
 เสียน้ำตาตลอดนะพี่แมน ช่วงนี้บ่อน้ำตาแตกบ่อยจริง
ก็สงสารพี่นะ รู้ว่าชีวิตนี้คงขาดน้องไม่ได้ แต่พี่ต้องให้เวลานัทบ้างนะ
นัทผ่านสิ่งเลวร้ายที่พี่กระทำไว้มามากมาย น้องมันไม่อยากกลับไปสู่วังวนเดิมอีก
แต่เราก็รู้ว่าพี่จะไม่มีวันกลับไปทำตัวแบบนั้นอีกแล้ว
ก็ขอเป็นกำลังใจให้พี่แล้วกัน หัวใจนัทไม่หายไปไหนหรอก
มันอยู่ที่พี่มาตั้งนานแล้ว
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 48 อัพอัพ 22.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 22-02-2015 23:37:15
Can I..? 48

มื้ออาหารเย็นเป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่มีอาหารพิเศษจากภัตตาคารใด เป็นแค่ผัดผัก แกงจืด และของทอดอีกสองสามอย่างเท่านั้น
ทั้งๆที่วันนี้พ่อและแม่ร่วมโต๊ะกันด้วยบรรยากาศแปลกออกไป แต่มกรกลับไม่ได้รับรู้มัน เขาจมอยู่กับความคิดของตนเอง ขนาดว่าคุณมนธิชาตักอาหารมาใส่จานให้ ลูกชายคนเดียวของเธอยังเขี่ยไปมาไม่ยอมตักทานเลย
มกรนั้นมีสีหน้าดีขึ้นกว่าเมื่อตอนกลางวัน เพราะพอกลับมาบ้านเขาก็ได้พักผ่อนเต็มที่ และได้รับยาที่มารดาจัดเตรียมไว้ให้ แผลก็ทำความสะอาดแล้วเป็นอย่างดี
ทว่า..แววตากลับยังเคลือบแฝงไว้ด้วยความกังวล
คุณลักษณ์วางช้อนลงทั้งที่เพิ่งทานไปได้ไม่ถึงครึ่งจาน พาลให้ภรรยาเองก็ฝืนทานต่อไม่ไหว ทั้งคู่มองหน้ากันแล้วก็จับจ้องไปยังลูกชายที่แทบไม่แตะอาหารเลย
"แมน.."
ในที่สุดคุณมนธิชาก็เอ่ยเรียกลูกชาย ..คนถูกเรียกเงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อย พอเห็นว่าบิดามารดาวางช้อนแล้วเขาก็เลยวางบ้าง
ภายในมันรู้สึกโหวงๆ ไม่หิวเลยสักนิด ..ความกังวลทำให้เขาไม่อยากอาหาร
"ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวเข้าห้องก่อน" เขาเอ่ยเบาๆ แล้วทำท่าจะลุกขึ้น ทว่าบิดาที่นั่งอยู่ใกล้คว้าแขนเขาไว้เสียก่อน
"เราไปคุยกันหน่อยดีไหม? มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า"
ในที่สุดคุณลักษณ์ก็เอ่ยถามออกมาจนได้
ลูกชายคนนี้ของคุณลักษณ์ เป็นลูกชายที่ถูกกีดกันความสัมพันธ์แบบพ่อลูกจากครอบครัวของแม่เด็กอย่างสิ้นเชิง
เขาถูกกีดกันอย่างไรน่ะหรือ?
คุณลักษณ์เคยได้รับจดหมายจากบิดาของมนธิชาเป็นข้อความสั้นๆที่นึกถึงขึ้นมาทีไรก็ยอกแสลงใจเสมอ ..จนวันนี้ก็ยังเป็นหนามแหลมคอยทิ่มตำทุกครั้งที่หยิบภาพลูกชายออกมาดู
---เด็กนั่นทางนี้จะดูแลเอง ไปตามทางของแกเสีย!
คุณลักษณ์หลุบตาลงมองมือตัวเอง เขาไม่กล้ามองหน้าภรรยา เกรงว่าสายตาตัดพ้อของตัวเองจะทำให้อีกฝ่ายเห็นความอ่อนแอ
---มนก็ไม่ได้ต้องการเด็กไว้ รวมถึงไม่ต้องการแกด้วย
ในอกปวดแปลบทุกครั้งที่นึกถึงคำพูดในจดหมายนั้น
เขาถูกปฏิเสธจากมนธิชา เธอไม่ต้องการลูกของเขา ไม่ให้เขาเดินทางไปหาที่ต่างประเทศ และสุดท้าย..เธอส่งหนังสือหย่ามาให้..
หนังสือหย่าฉบับนั้นเขาฉีกมันทิ้ง ละเอียดจนไม่มีชิ้นดี เขาส่งกลับไปให้เธอ
เธอที่ใจร้ายเหลือเกิน..
ที่เชียงใหม่.. ครั้งที่เธอและเขาเป็นของกันและกัน จนกระทั่งมีแมนเป็นโซ่ทองคล้องใจ เธอกล่าวคำรักให้ฟังอย่างอ่อนโยน
ทว่า พอมีปัญหาเรื่องลูกขึ้นมา เธอกลับคิดจะเอาลูกออก เขาได้ข่าวว่าเธอเข้าโรงพยาบาลอันเป็นผลมาจากการกินยาเพื่อให้แท้ง แต่โชคยังเข้าข้างที่ลูกของเขาไม่เป็นอะไร
พอเขาจะไปหา ไปถามว่าเพราะเหตุอะไร เธออาจจะเครียดจนหาทางออกไม่ได้จนต้องทำแท้ง ซึ่งถ้าเธอบอกเขาแบบนี้ เขาก็พร้อมจะให้อภัยเธอ
แต่..เธอไม่ให้เขาพบ เธออ้างว่าญาติมาเยี่ยมมาก ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเธอท้องกับเขา เธอยังไม่ได้บอกใคร เธอส่งจดหมายมาพร้อมทะเบียนสมรสให้เขาเซ็น พอเซ็นกลับไปให้ เธอก็กอดทะเบียนนั้นแล้วบินไปอยู่ต่างประเทศ พร้อมกับคำกล่าวที่ว่า
---ไม่ต้องตามไป ต้องการพักผ่อนลำพัง
เธอทิ้งให้เขาสงสัยอยู่เกือบครึ่งปี ครั้นพอกลับมาประเทศไทย ใบหย่าก็มาถึงบ้านพร้อมกับบอกว่า ..เด็กเป็นของเธอ ..เธอจะดูแลคนเดียว.. เขาไม่มีสิทธิ์ในตัวลูกอีกต่อไป..
แต่เขายังรัก.. รักลูกของเขาเสมอ
ดังนั้น.. เธอจึงได้แต่เศษใบหย่าที่ถูกฉีกจนละเอียดเป็นคำตอบจากเขา..
หลังจากนั้น เขามาหาลูกบ่อยครั้ง แต่ไม่เคยได้รับอนุญาตให้เข้ามาถึงในบ้าน ความน้อยใจในคนรัก และครอบครัวของเธอที่กีดกันเขา ทำให้เขาต้องหนีหน้าไปอยู่ต่างจังหวัด ไปรับใช้ราชการอยู่ไกลๆเพื่อให้ห่างกัน เพื่อให้ทำใจ..
หลังจากนั้นเขายังได้รับใบหย่าอีกสองสามครั้ง แต่หัวเด็ดตีนขาดยังไงเขาก็ไม่ยอมหย่า เขาส่งใบหย่าคืนให้แก่เธอ ทำให้มีจดหมายมาข่มขู่อยู่เนืองๆว่าภรรยาจะฟ้องหย่าเขา..
เขาเองก็เฝ้ารอหมายนัด..ถ้าต้องหย่ากันจริงๆเขาจะได้ฟ้องในสิทธิ์เลี้ยงดูลูกบ้าง
ตอนนั้นครอบครัวของเขายังเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย ถึงเป็นตำรวจก็เป็นตำรวจยศทั่วไป ไม่ได้มีเส้นสายอะไรให้พอจะมีใครมาคอยนับหน้าถือตาได้.. แต่เพราะบิดาของเขาได้โอกาสดี มีเพื่อนเป็นนักการเมืองระดับรัฐมนตรี หน้าที่การงานของบิดาก็โดดเด่น ทำให้ต่อมาได้เลื่อนยศขึ้นอย่างว่องไว เขาเองก็พลอยได้อานิสงส์จากการทำงานอย่างขยันขันแข็งที่ต่างจังหวัดมาตลอดด้วยเช่นกัน พอเลื่อนตำแหน่งกลับมาอยู่ในกรุงเทพฯ ..สุดท้ายทางนี้ถึงได้เลิกตื้อจะหย่าไป..
ข่าวสังคมลงหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยๆว่านักธุรกิจสาวรุ่นใหม่ไฟแรงประสบความสำเร็จในโครงการต่างๆ เธอออกสังคม ไปงานการกุศลมากมาย.. แต่เขาไม่เคยเห็นลูกของเขาไปออกงานด้วยเลย
มีครั้งหนึ่งเขาไปหาลูกที่โรงเรียน..แต่กลับถูกปฏิเสธจากอาจารย์ประจำชั้น
---คุณมนธิชาห้ามไม่ให้ใครพบน้องค่ะ
---แม้แต่พ่อของเด็กหรือครับ?
อาจารย์คนนั้นอึกอักเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า
---ห้ามทุกคนค่ะ
ตอนนั้นเขายังเป็นตำรวจชั้นผู้น้อย แม้จะมีครอบครัวหนุนหลังอยู่บ้างแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเอานามสกุลที่บ้านมาวางอำนาจได้.. เขาจึงทำได้แค่มองลูกชายตัวเองอยู่ไกลๆ
และ..ห่างเหินกันมาจนถึงตอนนี้
แม้ระยะหลังจะดีขึ้นบ้าง ได้พบลูกบ่อยขึ้น ได้ทานอาหารร่วมกัน
แต่เพราะไม่เคยพูดคุยกัน ลูกก็มีโลกส่วนตัว ภรรยาก็มีงานยุ่งเหยิง เขาเองก็มีภาระหน้าที่ ต่างจึงทำทุกอย่างไปด้วยหน้าที่ เจอกันไม่นานก็แยกย้ายไปทำธุระของตนเอง
กระทั่งเมื่อวานนี้.. ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่ผู้หญิงเก่งอย่างมนธิชา ผู้หญิงที่ไม่ยอมก้มหัวให้เขามาตลอด ยกหูโทรศัพท์ต่อสายมาเองโดยไม่ผ่านเลขา เธอขอร้องเขาด้วยเสียงอ่อนหวาน ขอให้มาดูแลลูกชาย.. ทั้งที่เมื่อก่อนเธอไม่อยากให้เขาได้เจอลูกชายตัวเองด้วยซ้ำ
และยังต่อด้วย..ขอร้องให้เขาช่วยติดตามเรื่องภายในบริษัทเธอ จนเกือบจะสำเร็จลุล่วงด้วยดีอยู่แล้ว.. วันนี้เธอก็ให้เขาพักอยู่ที่นี่ด้วยกันเพื่อดูแลลูกชาย..
ทั้งที่เธอ ครอบครัวของเธอ.. กีดกันเขามาตลอด..
แต่ก็ช่างเถอะ เขาไม่อยากเสียเวลามาหาเหตุผลของการกีดกันและการเปลี่ยนแปลงไปของเธอตอนนี้ เพราะอย่างไรเขาก็ได้มาดูแลลูกชายอยู่ที่นี่แล้ว
ดวงตาของมกรที่มองตอบกลับมานั้น เคลือบแคลง สงสัย และเหมือนจะไม่เข้าใจในเวลาเดียวกัน
มกรไม่เคยถูกพ่อถามว่าเป็นอะไรไหม? ไม่สบายใจหรือเปล่า?
พอถูกถาม มกรถึงงุนงง สงสัย และทำอะไรไม่ถูก
เขาเดินตามบิดาออกไปที่ห้องนั่งเล่น พอคุณลักษณ์นั่งลงบนโซฟาตัวยาว เขาจึงทำท่าจะหย่อนตัวลงนั่งที่โซฟาเดี่ยว
"มานั่งนี่เถอะ"
คุณลักษณ์ตบที่ว่างข้างตัว แล้วรอจนมกรขยับมานั่งด้วยกันก่อนจะถามต่อ
"ว่าไง..มีอะไรอยากจะเล่าให้พ่อฟังไหม?"
มือใหญ่ของมกรกุมเข้าหากัน เขาวางมันสบายๆลงบนตัก และจับจ้องมือที่กุมกันไว้ ..นิ่ง..นาน
หางตาเห็นว่ามารดาเดินมาสมทบ แล้วนั่งลงที่โซฟาเดี่ยวไม่ห่างไป แค่เอื้อมมือก็ถึงกัน
มารดา..ก็นิ่งรอเช่นกัน
เกือบสิบนาที..
ครอบครัวนี้ต่างอยู่ในความเงียบงัน
สายตาของพ่อและแม่จับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของลูก
กระทั่งลมหายใจก็ยังถูกจับจ้อง.. และรอ.. รอให้ลูกพร้อมจะเปิดประตูออกมา
คุณมนธิชารู้ว่ามกรทราบเรื่องผิดๆมา และคาดเดาเอาว่าคุณลักษณ์เองก็อาจจะรู้อะไรไม่ถูกต้องมาเช่นกัน.. เธอจึงต้องการการเปิดใจจากทั้งสองคน
แต่ปัจจุบัน..เรื่องลูกสำคัญกว่าเรื่องของเธอเอง สำหรับคุณลักษณ์ ไว้เธอค่อยอธิบายก็ได้ แต่สำหรับลูกชาย.. เรื่องของลูกต้องเดี๋ยวนี้
คุณลักษณ์เอง..ด้วยความห่างเหินมาเนิ่นนาน และด้วยรู้ว่าลูกไม่สบายทางด้านจิตใจ จึงได้รอ... รอให้ลูกชายเอ่ยออกมาด้วยตัวเอง ไม่อยากบีบคั้น
การรอของคนทั้งคู่..กลายเป็นความใส่ใจ ความอบอุ่นใจที่มกรไม่เคยได้รับมาก่อน..
พ่อแม่ของเขา..นั่งอยู่ตรงนี้.. รอให้เขาเล่า.. ให้เขาบอกทุกอย่างที่อัดอั้นอยู่ในใจ
มือของบิดาวางอยู่ที่หน้าขา สายตาของมารดาจับจ้องมายังเขาไม่เมินไปทางอื่น..
--- อดีตมันเปลี่ยนไม่ได้หรอกนะครับ
คำพูดของณัฐวีร์ดังก้องอยู่ในความทรงจำ..
ใช่ เขาเปลี่ยนอดีตไม่ได้.. แต่ตอนนี้ พรุ่งนี้ และอีกต่อๆไปนี้.. เขาเปลี่ยนได้..
เรื่องในอดีตที่เกิดขึ้น เขาจะพยายามปล่อยวางมันลง ความเจ็บปวดทั้งหลายที่เขาเคยได้รับ ถึงเวลาต้องทิ้งมัน และไม่ใช้มันมาเป็นเหตุผล..ไม่ใช่สิ.. เขาต้องไม่ใช้อดีตที่แก้ไขไม่ได้มาเป็นข้ออ้างในการทำชั่วทำเลวอีกต่อไป
เขาต้องยอมรับสิ่งที่ตัวเองกระทำ และรอผลของการกระทำนั้น ..ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น บทลงโทษที่สาสมจะเป็นอย่างไร เขาต้องยอมรับมันให้ได้..
--- สัญญานะครับว่าจะไม่โกหกอีก
ณัฐวีร์เอ่ยขอสัญญานั้นกับเขา.. และเขาก็ควรจะยึดมั่นกับคำสัญญาที่เคยให้ไว้
"ผม..." มกรหลุดเสียงแผ่วเบาออกมา..
ริมฝีปากของเขาสั่นเล็กน้อยจนเจ้าตัวต้องเม้มไว้เป็นเส้นตรง ทำให้คุณมนธิชายื่นมือมากุมมือลูกชายเอาไว้เพื่อให้กำลังใจเขา
มกรเงยหน้าขึ้นมองมารดา ก่อนที่จะรู้สึกได้ว่าไหล่ของตัวเองก็ได้รับการโอบกอดจากมืออุ่นของบิดาด้วย เขาหันไปมองหน้าบิดา แล้วพบว่าท่านส่งยิ้มให้บางๆ
"เป็นลูกผู้ชาย..ต้องเข้มแข็งสิ"
พ่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นคง
ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่มกรรู้สึกได้ถึงคำว่าครอบครัว..
ชายหนุ่มยิ้มด้วยริมฝีปากสั่นๆ อารมณ์ว่าเขากำลังขำตัวเอง.. โตจนป่านนี้เพิ่งจะมารู้ว่าครอบครัวตัวเองนั้นอบอุ่นอย่างไร..
"ผม.." เขาเอ่ยออกมาในที่สุด สายตาหันกลับมามองไปยังเบื้องหน้าจรดนิ่ง
ไม่ได้กลัวจนต้องหลบสายตา
เขาแค่มองไปยังอดีตที่ผ่านมาของตนเอง
"ผมมีเรื่องจะบอกครับ.."
ทั้งคุณลักษณ์และคุณมนธิชาเหลือบมองหน้ากันเล็กน้อยแล้วตั้งใจฟังในสิ่งที่ลูกชายจะพูด
"เรื่องนี้ผมเล่าให้ป๊ากับแม่ไก่ฟังแล้ว.. และเพื่อไม่ให้เป็นการโกหกกันต่อไปผมจึงขอเล่าให้พ่อกับแม่ฟังด้วย.."
ทั้งสองคนพยักหน้ารับ
"เรื่องของผมกับนัท...มันเกิดขึ้นจากความคึกคะนองของผมเอง.. เมื่อสองปีก่อน คืนแรกที่คอนโด.." มกรเสียงแหบพร่า "ผมทำร้ายเขา ผมขาดสติ ผมโกรธที่เขาหลอกผม ผมเลยทำร้ายจนแขนเขาหัก และดูเหมือน.." ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอพร้อมกับหลับตาลง "ดูเหมือน..ผมเกือบจะข่มขืนเขาได้สำเร็จ"
"วะ..ว่ายังไงนะ?" คุณมนธิชายกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ
เธอไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน..รู้เพียงว่าลูกชายรักน้องมากจนยอมทำทุกอย่างเพื่อเข้ารับการบำบัดและกลับมาอยู่กับน้องให้ได้
มกรพยักหน้าน้อยๆก่อนจะลืมตาขึ้นมองคนทั้งคู่ "ผมโกหกตั้งแต่แรก.. เราไม่ได้เป็นแฟนกัน ผมพนันกับเพื่อน แต่เพราะมันผิดแผนไปหน่อยผมเลยทำร้ายนัท และเหตุการณ์คืนนั้นก็เกิดขึ้น"
"แมน..."
มกรมองหน้าบิดา "ยังไม่หมด.. ผมขู่น้อง ขู่จะทำร้ายครอบครัวเขา นัทถึงต้องยอมคบกับผม วันนั้นที่โรงพยาบาล ผมโกหกทุกคนว่านัทรักผม เรารักกัน"
มกรหลับตาลงอีกหน จะพูดอีกกี่ครั้งมันก็คือความผิดของเขาเอง ความผิดที่ไม่น่าให้อภัยได้
"พอมาอยู่ด้วยกัน ผมก็ยังข่มเหงเขาสารพัด แต่เพราะนัทเป็นคนฉลาด เขาทำให้ผมรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่อยู่ใกล้ จนเข้าขั้นหวงทุกครั้งที่มีใครพยายามมาพูดคุยหรือตีสนิท ผมหวงแต่ก็ไม่รู้จะดึงเขาให้กลับมาสนใจตัวเองได้ยังไงนอกจากทำร้ายเขา ยื้อให้เขาอยู่กับผมคนเดียว กดดันไม่ให้เขามีทางออกได้ เขาจะได้มีแต่ผมเท่านั้น.. ผมพยายามให้เขากลัว กลัวจนไม่กล้าทำอะไร เขาจะได้มองมาที่ผมคนเดียว ผมจะมีสิทธิ์ขาดเหนือหัวใจเขา.."
ชายหนุ่มถอนหายใจเมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เขานิ่งไปนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ "ที่เชียงใหม่.. ผมหึงเขาจนไม่ลืมหูลืมตา.. แต่ตอนนั้นผมแทบไม่รู้ใจตัวเองเลย ผมคิดแต่ว่าเขาเป็นสมบัติของผม เป็นของชิ้นหนึ่งของผม ต้องเชื่อฟัง ต้องอยู่ในอำนาจ จนลืมนึกไปว่าเขาเองก็มีหัวใจ อุบัติเหตุครั้งที่สอง มันก็เกิดขึ้นเพราะผมเป็นคนกดดันเขาเอง ถ้าผมไม่ไล่ตามเขา.. เขาคงไม่ต้องหนีจนถูกรถชน"
คุณมนธิชาเอื้อมมือมาบีบมือลูกชายอย่างให้กำลังใจ สีหน้าของคนพูดแสดงออกถึงความเจ็บปวดกับอดีตที่ผ่านมา และรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ
"เรื่องนี้ผมเล่าให้ป๊ากับแม่ไก่ฟังแล้ว"
คนพูดนึกถึงตอนที่เขาเล่าเหตุการณ์นี้ให้ครอบครัวณัฐวีร์ฟัง
ใบหน้าของผู้ใหญ่ทั้งคู่ซีดเผือดสลับแดงก่ำ เหมือนตกใจและกำลังอดกลั้นความโมโหอย่างเต็มที่ สิ่งที่มกรทำเมื่อเล่าจบ ก็คือการยกมือขึ้นไหว้พร้อมกับคำพูดที่ว่า
"ผมสำนึกผิดแล้ว.. และผมพร้อมจะได้รับการลงโทษตามที่ป๊า แม่ไก่ และนัทเห็นสมควร จะไม่ร้องขอให้ยกโทษให้ จะยอมให้ลงโทษจนพอใจ"
มกรพูดประโยคนั้นซ้ำอีกครั้งต่อหน้าพ่อแม่ตัวเอง
"ผม..พูดจบแล้วก็ก้มกราบเท้าป๊ากับแม่ไก่ ถ้าตอนนั้นป๊ากระทืบผม.. ผมก็ยอมรับ" มกรเล่าเรื่อยๆ ให้ครอบครัวตัวเองฟัง "แต่ป๊าไม่ทำอะไรเลย ป๊าก้มลงตบไหล่แล้วก็บอกว่าให้นัทเป็นคนตัดสินใจ..."
เสียงตอนท้ายประโยคเครือสั่น..
"มันยิ่งกว่าที่ป๊า.. ยิ่งกว่าที่ป๊า..กระทืบผมเสียอีก" มกรเอ่ยด้วยเสียงขาดหาย ก้อนสะอื้นจุกขึ้นมาที่คอ ดวงตาแดงก่ำเพราะเจ้าตัวพยายามจะสะกดน้ำตาเอาไว้ โพรงจมูกแสบร้อน "ผมทำเลวไว้มาก.. แต่ป๊าไม่ลงโทษผมสักนิด ป๊าให้น้องเป็นคนตัดสินใจ ป๊าบอกว่า.. ถ้าน้องจำได้..แต่เลือกจะกลับมาหาผม แสดงว่าน้องต้องไตร่ตรองมาดีแล้ว.. ป๊าถึงอยากให้น้องเป็นคนตัดสินใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตทั้งหมด นัทจะลงโทษผมยังไง จะตัดสินใจแบบไหน ป๊าบอกว่านัทคงมีเหตุผลอะไรสักอย่าง และคงกำลังรออะไรสักอย่างอยู่แน่ๆ"
มนธิชาฟังแล้วก็ถอนหายใจหนักๆเช่นกัน เธอสงสารลูก..แต่ไม่เท่ากับที่สงสารณัฐวีร์.. เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่ามกรทำร้ายณัฐวีร์ไว้มากเพียงนี้ เธอคิดว่าเด็กสองคนนี้รักกัน แต่เพราะอุบัติเหตุทำให้ณัฐวีร์ลืมลูกชายของเธอไป เธอจึงพยายามให้สองคนได้ใกล้ชิดกันเพื่อเปิดโอกาสให้ทั้งคู่ได้เรียนรู้กันอีกครั้ง
แต่..เธอไม่รู้อดีตที่เลวร้ายนี่ ถ้ารู้เธอคงไม่มีหน้าไปขอให้ณฐกายกลูกชายคนเดียวให้มกรแน่ๆ
เธอมองสบตาสามี เขาเองก็ดูเหมือนจะผิดคาดกับเรื่องนี้เช่นกัน ความจริงที่ได้รับรู้ทำให้ทั้งคู่ต้องกำหนดท่าทีเสียใหม่ เพื่อหาทางแก้ไขสถานการณ์ให้บอบช้ำกันน้อยที่สุด
"เอาล่ะ.. ในเมื่อรู้ว่าตัวเองผิด จากนี้ก็ต้องขอโทษอย่างจริงใจ และรอฟังว่านัทจะว่าอย่างไรก็แล้วกัน.." คุณลักษณ์สรุปในที่สุด "ส่วนเรื่องของผู้ใหญ่ พ่อจะไปจัดการคุยให้ ถ้าเขาจะเรียกร้องค่าชดเชยที่ทำให้ลูกเขาเสียใจ และเรื่องทำร้ายร่างกายนั่น ก็ต้องยอมฟังการเรียกร้องนั้น สิ่งที่เราทำไว้อาจตีเป็นมูลค่าความเสียหายทางเงินไม่ได้ แต่ยังไงก็น่าจะต้องมีการชดใช้ทางด้านจิตใจบ้าง เรื่องนี้ให้ผู้ใหญ่คุยกันก็พอ"
มกรพยักหน้ารับก่อนจะยกมือไหว้ "ขอบคุณที่ช่วยเหลือผมครับ.."
คุณลักษณ์คว้ามือลูกชายไว้ทันที "พ่อเป็นพ่อ.. ต้องช่วยเหลือลูกอยู่แล้ว.. เมื่อก่อนพ่ออาจจะไม่ค่อยได้คุยกับเรา แต่อยากให้รู้ไว้ว่าพ่อก็รักและห่วงเราไม่แพ้ใคร ..แมน.. เราโตแล้ว ถ้ามีอะไรเหลือบ่ากว่าแรงนักก็โทรหาพ่อได้เสมอ หรือถ้าอยากไปอยู่กับพ่อ.."
"เราค่อยคุยกันเรื่องนี้ดีไหมคะคุณ" มนธิชาเอ่ยแทรกขึ้นมา
ถ้าเธอปล่อยให้คุณลักษณ์พามกรไป.. ความเข้าใจผิดก็จะยังเคลือบคลุมจิตใจของทุกคนอยู่อย่างนั้น ทั้งๆที่เธออยากจะแก้ความเข้าใจผิดนั้นใจจะขาด.. แต่มันยังไม่ใช่เวลานี้
คุณลักษณ์ก็นิ่งอึ้งไปเมื่อได้ยินประโยคขัดความตั้งใจของเขา.. เอาอีกแล้วสินะมนธิชา ลูกโตจนป่านนี้เธอก็ยังกีดกันฉันจากลูกอีกหรือ?
"ให้ลูกได้พักก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันจะโทรหาน้องไก่แล้วเราค่อยมาปรึกษากันในเรื่องทางด้านผู้ใหญ่อีกที.. แมน..ไปพักเถอะลูก" มนธิชาจับแขนลูกชายบีบเบาๆ
คุณลักษณ์มองหน้าลูกชาย ถึงเขาจะโกรธ แต่ก็จำต้องปล่อยเรื่องขัดใจนี้ไว้ก่อน ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของมกรต่างหาก..
มกรเองก็เพลียมาทั้งวันแล้ว สมองตึงเครียดจากเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาทั้งล้าและเหนื่อย บวกกับยาที่รับเข้าไปเริ่มออกฤทธิ์ การได้พักจึงน่าจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับเขา
ชายหนุ่มขอตัวลุกขึ้นจากโซฟา เดินตรงขึ้นด้านบนซึ่งเป็นห้องนอนตนเอง ตอนที่จะก้าวพ้นเหลี่ยมบันได เขาเห็นมารดาย้ายที่นั่งไปนั่งใกล้กับบิดาแล้ว
-----------

หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 49อัพอัพ 22.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 22-02-2015 23:38:56
Can I..? 49

ณฐกาวางสายโทรศัพท์ลงก่อนจะมองหน้าสามีอย่างยุ่งยากใจ
"เขาโทรมาขอโทษ?"
คนถูกถามพยักหน้ารับ "ค่ะ ดูเหมือนแมนจะเล่าให้ที่บ้านฟังเหมือนกัน"
"แสดงว่าทางนั้นก็เพิ่งรู้"
ณฐกาพยักหน้า "ใช่ค่ะ พี่มนขอโทษไก่ใหญ่เลย บอกว่าแมนเพิ่งเล่าให้ฟังเมื่อครู่นี้เอง เห็นพี่มนเขาว่าอยากจะรับผิดชอบเรื่องทุกอย่างด้วยค่ะ"
"ก็ไม่ต้องมารับผิดชอบอะไรหรอก ตอนนัทป่วยเขาก็ดูแลอย่างดี ค่ารักษาพยาบาล ไหนจะหมอที่พาไปจากกรุงเทพฯอีก เขาก็ดูแลดีมากทั้งที่ยังไม่รู้เรื่องอยู่แล้วนะ ถือว่าอโหสิกรรมกันไปแล้วกัน เด็กก็สำนึกผิดแล้ว และยังมีอาการป่วยด้วย พี่ว่าก็ไม่ต้องไปอะไรกับเขาหรอก เรื่องรับผิดชอบอะไรก็ไม่ต้อง นัทเองก็ดีขึ้นแล้วไม่ได้ป่วยเป็นอะไร" แล้วคนพูดก็หัวเราะออกมาเบาๆ "แถมต้มทั้งเราทั้งฝ่ายนั้นเสียเปื่อยเลย..เรื่องความจำเสื่อมน่ะ"
"ไก่ฟังแล้วแทบเป็นลมเลยค่ะ ไม่นึกว่านัทจะโกหกพวกเรามาได้เป็นปีๆ" ณฐกาค่อยๆเอื้อมมือเอาโทรศัพท์มือถือไปวางไว้ที่โต๊ะเครื่องแป้งของเธอ "เดี๋ยวต้องอบรมกันหน่อยแล้วค่ะ ให้พวกเราเป็นห่วงแทบแย่"
"ค่อยๆหน่อยแล้วกัน รู้สึกจะยังนอยด์ไม่หาย.." คุณวีรชาติยิ้มบางๆ "อันที่จริงพี่ก็สงสัยอยู่นะ มันมีหลายอย่างที่พี่ว่าความจำของนัทดูแปลกๆ อย่างเมื่อปีที่แล้วไก่จำได้ไหม ตอนงานวันเกิดคุณชมน่ะ"
ณฐกาทำท่านึกแล้วก็ส่ายหน้า "จำไม่ได้ค่ะ งานที่บ้านพี่ชมใช่ไหมคะ"
"งานนั้นแหละ.. น้องแพรวเขาเซอร์ไพรส์คุณแม่เขาทุกปี ปีนี้ก็มีเค้กที่ทำจากรูปคุณชม"
"อ๋อ ใช่ค่ะ..แล้วเรื่องนัทนี่ยังไงหรือคะ"
"ก็นัทพูดขึ้นว่าเสียดายที่เมื่อปีก่อนไม่ได้มา.. เลยอดเห็นเซอร์ไพรส์ปีก่อน ถ้านับเวลากันแล้วสองปีก่อนก็คือช่วงที่นัทไปอยู่กับแมนที่คอนโด ซึ่งเขาน่าจะลืมเวลาช่วงนั้นไป ไม่น่าจะบอกว่าเสียดายที่ไม่ได้มา แต่น่าจะบอกว่าเสียดายที่จำไม่ได้ว่ามีเซอร์ไพรส์อะไรมากกว่า"
ณฐกาพยักหน้าทันที "ตอนนั้นเห็นน้องแพรวทำหัวเราะแล้วพาเปลี่ยนเรื่องไป ไก่เองก็ไม่ได้คิดอะไร"
"พี่ฟังแล้วก็มีสงสัยนะ แต่เห็นนัททำเฉยๆ แล้วบรรยากาศตอนนั้นก็สนุกสนานกัน เลยไม่ได้สนใจ นี่ก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้.. แล้วก็ไม่ใช่เหตุการณ์เดียวที่นึกออกด้วยสิ" วีรชาติขำตัวเอง "เจ้านัทนี่มันน่านัก"
"เดี๋ยวไก่จะต้องทำโทษเสียหน่อย ปล่อยให้ใครต่อใครห่วงกันทั่วบ้านทั่วเมือง" เธอพูดแล้วเดินออกจากห้องนอน มีคุณวีรชาติเดินตามไปด้วย
"ก็อย่าไปอะไรเลย แค่ดุก็กลัวจะแย่แล้วมั้ง อีกอย่าง คงโดนอะไรมาไม่น้อย ถึงได้แกล้งทำเป็นลืมแมนไปแบบนั้น"
"พ่อแม่ไม่มีให้พึ่งแล้วหรือไง ถึงเลือกที่จะโกหกกันอย่างนี้น่ะ" ณฐกายังบ่น เธอก้าวขึ้นบันไดไปชั้นบนโดยมีสามีคอยประคอง
ห้องพักเธออยู่ชั้นสอง ส่วนห้องณัฐวีร์อยู่ชั้นสาม เวลาจะขึ้นไปหาก็เดินขึ้นไปไม่ลำบาก บางทีลูกก็ลงมานั่งเล่นที่ลานตรงหน้าห้องชั้นสองบ่อยๆก่อนจะขึ้นไปห้องตัวเอง
"พี่ว่านัทไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ คงไม่อยากเล่าให้เราเป็นห่วงน่ะ ถ้าเป็นไก่ ไก่ก็คงไม่อยากทำให้คุณแม่ไม่สบายใจใช่ไหมล่ะ"
"ใช่ค่ะ.. คงไม่อยากทำให้คุณพ่อคุณแม่ไม่สบายใจ แล้วก็ไม่อยากทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในภาวะลำบากด้วย" ณฐกามองหน้าสามี "นี่ไก่ไม่เข้าใจนัทเลยนะคะ ในเมื่อตัดสินใจว่าจะลืมกัน ทำไมถึงเลือกที่จะกลับไปวนเวียนอยู่ในชีวิตเขาอีกครั้งล่ะคะ แบบนี้มันให้โอกาสกันชัดๆเลย"
วีรชาติเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เขาพยุงภรรยาก้าวขึ้นบันไดขั้นสุดท้ายแล้วบอก "เดี๋ยวก็ลองคุยกับนัทดู พี่ว่านัทเป็นเด็กที่มีเหตุผลนะ พี่เลี้ยงมากับมือ ถ้าอยากบอกเขาคงบอกเองนั่นแหละ ไก่ก็ระวังตัวหน่อยอย่าไปเครียดจนเจ้าตัวเล็กนี่รู้สึกไม่ดีไปด้วยแล้วกัน" ป๊าวีลูบท้องนูนของแม่ไก่เบาๆ "มีเจ้าตัวน้อยนี่อีกคนให้ต้องห่วงนา"
"ค่า.." เธอตอบแล้วเดินอย่างระมัดระวัง
ทั้งคู่ตรงไปที่ห้องของลูกชาย แพรวกลับบ้านไปแล้วคงเหลือแต่คุณชายณัฐวีร์ที่วันนี้รับประทานอาหารเย็นในห้องส่วนตัว ไม่ยอมลงไปชั้นล่างร่วมโต๊ะกับพ่อแม่.. ไม่รู้ว่ายังเสียใจ หรือเป็นเพราะไม่กล้าสู้หน้าบิดามารดากันแน่.. เพราะแพรวคงบอกเรื่องความแตกให้รับรู้ไปแล้ว
"นัท..เปิดประตูให้ป๊าหน่อย"
คุณวีรชาติเคาะประตูเรียก ยืนรอแค่ชั่วอึดใจลูกชายก็เปิดประตูออก
ดวงตาบวมแดงไม่มีหยาดน้ำตาแล้ว แต่มีความกังวลฉายอยู่เต็มเปี่ยม
"ป๊า.. แม่.." เสียงแหบๆทำให้รู้ว่าเจ้าตัวผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักแค่ไหน
"เข้าไปได้ไหม?" คุณวีรชาติเอ่ยถามลูกชาย เจ้าของห้องจึงพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเปิดประตูกว้างแล้วช่วยพยุงมารดาเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้คอมที่เคยนั่งอยู่เป็นประจำ วีรชาติหย่อนตัวนั่งลงบนเตียงลูกชาย ขณะที่ณัฐวีร์ยืนละล้าละลังจะนั่งพื้นใกล้ๆก็ตะขิดตะขวง เพราะตัวเองมีชนักติดหลัง จะยืนบิดอยู่แบบนี้ก็ดูจะยังไงอยู่
"นั่งๆ อย่ามายืนให้เมื่อย เรามีเรื่องต้องคุยกันยาว.." ณฐกาทำเสียงเข้มเข้าใส่ทำให้หน้าลูกชายถอดสีลงไปอีก
ณัฐวีร์หย่อนตัวนั่งขัดสมาธิค่อนเขยิบมาทางบิดา เพราะแม่ไก่ตาเขียวปั้ดแล้ว
"ไหน เล่ามาสิว่าทำไมความจำดีขึ้นมาแล้ว.."
เด็กหนุ่มยกมือไหว้ทันที "ขอโทษครับ..ขอโทษป๊า ขอโทษแม่.. ขอโทษครับ"
ณัฐวีร์ไม่เพียงแต่ไหว้ เขายังคลานเข้าไปกราบตักมารดา แล้วก็กราบเท้าบิดาอีกด้วย
"ขอโทษที่ทำให้ห่วงครับ เพราะไม่อยากให้ห่วงมากกว่านี้เลยจำเป็นต้องโกหกครับ"
"ไม่อยากให้ห่วง หรือไม่อยากตอบคำถามกันแน่.." คุณวีรชาติดักทางก่อนจะก้มลงพยุงลูกชายให้ลุกขึ้นมานั่งที่เตียง ประจันหน้ากันกับทั้งพ่อและแม่
"มัน..ไม่มีอะไรนี่ครับ.." ณัฐวีร์อ้อมแอ้ม "แค่ตอนนั้นยังไม่อยากกลับไปอยู่คอนโดพี่แมน แล้วก็เบื่อๆพี่แมนแล้วด้วยเลยไม่อยากกลับไปคบกันอีก"
"เราน่ะ ..ไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร ..ทางโน้นเขาเล่ามาหมดแล้ว" ณฐกาเอ่ยพร้อมกับชี้นิ้วคาดโทษ
ครั้งแรกที่ฟังประโยคนั้น สมองของณัฐวีร์ยังประมวลผลได้ไม่ดีนัก สีหน้างุนงงจึงฉาบอยู่บนใบหน้าของเด็กหนุ่ม แต่ครั้นพอหันมองหน้ามารดาและบิดาสลับกันแล้ว เขาก็ค่อยๆหน้าแดงก่ำขึ้นเรื่อยๆ ตาที่แห้งเหือด มีน้ำตาเอ่อขึ้นมาอีกครั้ง
"เขา.. เขาเล่าอะไร"
ณฐกามองหน้าสามี ก่อนจะให้สามีเป็นคนบอก
"เล่าทุกเรื่อง ตั้งแต่ทำนัทแขนหักยังไง ทำร้ายนัทยังไง ข่มขู่ แล้วก็เรื่องอุบัติเหตุที่เชียงใหม่นั่นด้วย เขาบอกว่าเขาบังคับนัทเองทุกอย่าง นัทไม่ได้เต็มใจ"
ณัฐวีร์กำมือแน่นเมื่อได้รับฟังอย่างนั้น
"ขอโทษ.. นัทขอโทษที่ปิดป๊ากับแม่ไก่.." เด็กหนุ่มสะอื้น แล้วน้ำตาก็ไหลลงมาช้าๆอย่างไม่สามารถสะกดกลั้นไว้ได้
"ไม่ต้องร้อง.." วีรชาติลูบบ่าที่สั่นสะท้านของลูกชาย "ร้องจนตาบวมไปหมดแล้ว"
เด็กหนุ่มส่ายหน้า "นัทน่าจะเป็นคนเล่าเรื่องนี้เอง นัทไม่น่าให้ป๊ากับแม่ต้องมาได้ยินเรื่องนี้จากปากคนอื่น"
"เอาเถอะจ้ะ.." ณฐกาโบกมือเหมือนจะบอกว่าไม่เป็นไร "จะรู้จากปากใคร ขอแค่ให้ได้รู้ความจริงก็พอแล้ว.. ขอแค่ให้รู้ว่านัทยังโอเคป๊ากับแม่ก็จะเบาใจขึ้น"
ณัฐวีร์ยกมือขึ้นปาดน้ำตา "นัทโอเค โอเคแล้ว.. นัทยอมรับมันได้แล้ว ทบทวนมาสองปี นัทยอมรับได้" เด็กหนุ่มพูดด้วยปากที่สั่นระริก
"แต่วันนี้รับไม่ได้?" คุณวีรชาติลองเอ่ยถามขึ้น ทำให้น้ำตาที่ปาดเช็ดจนแห้งเอ่อขึ้นมาอีก
ณัฐวีร์ส่ายหน้าช้าๆ "ไม่ไหว.. นัทไม่รู้ว่าเรื่องไหนเขาพูดจริง เรื่องไหนเขากำลังหลอกนัท เรื่องในอดีตระหว่างกัน นัทพอจะทำใจยอมรับได้ เพราะอดีตมันก็คืออดีต แต่ปัจจุบันเขาดีกับนัท ดีมากจริงๆ แต่วันนี้ พอมาได้ยินเรื่องคุณเกด เรื่องมะม่วง.. นัทไม่ไหว ป๊ารู้ไหมครับ เขาบอกนัทว่าคุณเกดกระโดดลงมาจนแท้งลูก แต่อีกทางเขาก็ยอมรับกับพี่ชายคุณเกดว่าเขาตั้งใจผลักคุณเกดให้ตกบันได จะได้แท้งลูก นัทคิดไม่ออกว่าเขาทำจริงหรือเปล่า ถ้าเขาโกหกนัท แล้วเป็นคนผลักคุณเกดลงมาเพราะไม่อยากให้มะม่วงเกิดมาล่ะ เขาก็คือฆาตกรนะป๊า"
วีรชาติลูบหัวลูกชายอย่างปลอบโยน เรื่องนี้มกรก็เล่าให้พวกเขาฟังแล้วเช่นกัน แถมยังเล่าด้วยว่าทำไมณัฐวีร์ถึงเข้าใจผิด "นัทคงทำใจไม่ได้ที่จะอยู่กับฆาตกร ใช่ไหม?"
"ใช่ป๊า ทำใจไม่ได้ ถ้าเขารู้เรื่องมะม่วง แล้วไม่อยากให้เด็กเกิดมา ผลักคุณเกดตกลงมาจนแท้ง เขาก็โหดร้ายเกินไป ต่อให้บอกว่าป่วยอยู่ก็ให้อภัยไม่ได้หรอกป๊า"
ณัฐวีร์ปลายตามองท้องมารดาที่นูนออกมา "เด็กทั้งคน .. นั่นคือชีวิตเลยนะ"
"งั้นเอาแบบนี้.. นัทลองคิดดีๆ" วีรชาติพูดเตือนสติลูกชาย "ถ้านัทเป็นคนฆ่าลูก ตั้งใจให้ลูกตาย นัทจะทำยังไง"
"นัท.. นัทคงไม่อยากจะพูดถึงเด็กคนนั้นอีก" ณัฐวีร์บอกเบาๆ
"ป๊าถามอีกนิด.. นัทคิดว่าแมนเขาจะทำยังไง ถ้าฆ่าลูกโดยเจตนา"
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว "ก็คงเหมือนกัน..ถ้าตั้งใจทำ คงจะโล่งใจแล้วก็เก็บเรื่องนี้ไว้เงียบๆคนเดียว"
"แล้วตอนนี้เขาเป็นยังไง นัทอยู่ใกล้เขาคงพอจะตอบคำถามป๊าได้"
ณัฐวีร์คิดไปถึงเรื่องราวต่างๆตลอดสองสามเดือนที่โคจรมาพบกันอีกหน ทั้งเรื่องที่เป็นปมด้อยในวัยเด็กของมกร ทั้งเรื่องไดอารี่.. เขาสามารถบอกได้ว่าผู้ชายคนนี้ต้องการลูก ต้องการมะม่วงมาก.. ไม่มีทางที่เขาจะทำร้ายเด็ก เหมือนที่ตัวเขาเองเคยถูกกระทำ
ใช่.. เรื่องนั้นเป็นอีกเรื่องที่เขามั่นใจ
เด็กตัวเล็กๆไร้เดียงสา ..มกรจะไม่ทำอันตรายเด็กเหล่านั้นแน่นอน
ดวงตาเบิกโพลงของณัฐวีร์ทำให้วีรชาติกับณฐกามองหน้ากัน ก่อนที่ณฐกาจะเอ่ยออกมาว่า "นัทมีคำตอบของนัทแล้วสินะ"
เด็กหนุ่มกะพริบตาแล้วมอง .. ใช่ เขามีคำตอบแล้ว..
คุณวีรชาติเองก็พยักหน้า "เรื่องของเกด แมนก็คงจะเล่าความจริงเหมือนกัน"
"เขาเล่าด้วยหรือครับ?" ณัฐวีร์เบิกตาโต
"ดูเหมือนจะเล่าทุกอย่างเลย.. เรื่องในบริษัทเมื่อวานก็เล่า" ณฐกาเสริมขึ้น "แต่เรื่องนั้นเป็นเรื่องภายในบริษัทเขา.. ก็คงต้องปล่อยให้เขาจัดการกันเอง"
"ป๊าสอนอะไรเขาไปนิดหน่อย.. ดูจะรับฟังดีหรอกนะ อีกหน่อยป๊าอาจจะได้เพื่อนไปปฏิบัติธรรมด้วยกันก็ได้ นัทไม่ไปกับป๊าเสียที" คุณวีรชาติหัวเราะร่วน
"โธ่ป๊า.." ณัฐวีร์ร้อง.. รู้สึกว่านี่จะเป็นยิ้มแรกตั้งแต่เกิดเรื่องเลยทีเดียว
"เอาล่ะๆ พักได้แล้วไหม ในเมื่อเข้าใจตรงกันแบบนี้ เราเองก็โตแล้ว ตัดสินใจทำอะไรก็คิดให้ดีๆแล้วกัน.. ป๊ารู้ว่านัทเก่ง ถ้าคิดตกแล้วก็บอกแมนไปแล้วกัน อย่าให้เขารอนาน เดี๋ยวขาดใจไปเสียก่อน"
"ครับป๊า.." ณัฐวีร์รับปาก
"อ้าว..เดี๋ยวสิคะ พ่อลูก สรุปกันเองเสียแล้ว ทางนี้ยังคาใจอยู่เลย.." ณฐการ้อง
"ยังคาใจอะไรล่ะไก่?" ป๊าวีหันมาหัวเราะเบาๆ พยักหน้ากับลูกชายคนโตเป็นเชิง ..ดูแม่แกนะ..
"นี่ยังไม่รู้เลยว่าในเมื่อทำเป็นลืมเขาไปแล้ว ทำไมถึงยอมกลับไปหาเขาน่ะหื้อ?"
ณัฐวีร์เหมือนโดนหินก้อนใหญ่ๆอัดใส่ตัว เล่นเอาชาวาบกระดุกกระดิกไม่ได้เลย ณฐกาเป็นคุณแม่ที่ใจดี แต่ในทางกลับกัน อย่าให้ไก่ได้จิกเชียว จิกไม่ปล่อยแน่ๆล่ะ
"คือ.." ณัฐวีร์อ้ำๆอึ้งๆ
"มีเหตุผลอะไรเล่ามาเลย คนอื่นเขาเล่าให้แม่ฟังแล้วว่าทำไมถึงปักใจกับเรานัก แต่เราน่ะ แม่ยังเดาไม่ออกว่าทำไมถึงกลับไปหาคนที่ร้ายกับเราอย่างนั้น"
เด็กหนุ่มมองหน้าบิดาหาตัวช่วย แต่ดูเหมือนบิดาเองก็อยากจะรู้เช่นกัน สายตาคาดคั้นทำให้ณัฐวีร์ถอนหายใจอย่างยอมจำนน เขานิ่ง กรอกตาไปมาอยู่ชั่วครู่ก็ถอนใจอีกเฮือกแล้วบอก
"แม่จ๋า.. นัทจะเล่ายังไงดีเนี่ย"
ลองแม่จ๊ะแม่จ๋าอย่างนี้..เดี๋ยวณัฐวีร์ก็หาทางรอดไปจนได้
คุณณฐการู้แกวลูกชายดีอยู่ ยิ่งเห็นว่าลูกขยับจากเตียงมานั่งที่พื้นแทบเท้าเธอ.. ลงแบบนี้มีหวังยังไม่ได้ข้อมูลอะไรแน่ๆ
"เอาแบบนี้ได้ไหมแม่ ไว้นัทเล่าให้ฟัง.." เด็กหนุ่มนั่งขัดสมาธิบีบๆนวดๆมารดา
"เราน่ะขี้โกง.." คุณณฐกาว่าแล้วยกมือขึ้นลูบศีรษะลูกชาย คราวนี้ณฐกาไม่ยอมวางมือง่ายๆแน่ เธอยกเอาเหตุผลขึ้นมาทันที "ชอบทำให้พ่อแม่เป็นห่วง.. เรื่องความจำเสื่อมก็อย่าง เรื่องแมนบังคับก็อีกอย่าง.. นี่ยังจะอมพะนำ ไม่ยอมเล่าเหตุผลอีกหรือไง"
"หูย.." เด็กหนุ่มหลับตาปี๋ เอนเอาแก้มแนบต้นขาแม่แล้วกอดเบาๆ "ขอคิดแป้บ..จะเล่ายังไงดี"
"อย่าคิดนานจ้ะป๊ากับแม่รออยู่.." ณฐกาลูบศีรษะลูก นิ่ง และรอให้เขาพร้อมจะเล่า เธอเชื่อว่าลูกของเธอมีเหตุผล.. แต่จากการที่เก็บเรื่องร้ายๆไว้เงียบคนเดียวไม่ยอมบอกกัน มันทำให้เธอกังวล..
ยังมีอะไรที่เธอต้องรู้อีกหรือเปล่า เธอจะได้ช่วยลูกได้บ้าง ลูกจะได้ไม่ต้องแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียวอีกต่อไป..
อย่างน้อย ช่วยรับฟัง ช่วยอยู่เป็นเพื่อนกัน ทำอะไรไม่ได้ก็รับฟังลูก และอาจจะช่วยแนะนำสักนิดให้ลูกตัดสินใจได้
พ่อแม่ที่ดี.. คือพ่อแม่ที่สนับสนุนลูกให้เดินในทางที่ถูกควรและเหมาะสม.. ไม่ใช่หรือ?
วีรชาติและณฐกาเป็นพ่อแม่ที่ดี ทั้งคู่ไม่ปิดกั้นความคิดของลูก พร้อมที่จะให้คำแนะนำเพื่อว่าสมองลูกจะได้เลือกด้วยเหตุผล ใจลูกจะได้เลือกอยู่ในที่ๆอยากอยู่
เพราะความรัก.. ไม่ได้ใช้สมองอย่างเดียว แต่ใช้หัวใจด้วย
ณัฐวีร์ขยับเอาคางเกยต้นขามารดาแล้วยิ้ม..
แบบนี้คุณณฐการู้.. เขาพร้อม.. พร้อมจะให้เหตุผลแล้ว
เจ้าคนโตนี่ฉลาดเป็นกรด ดีว่าฉลาดอย่างเดียว ไม่ได้ฉลาดแกมโกง.. ไม่งั้นเธอคงปวดหัวแย่ นี่ก็หวังว่าเจ้าตัวเล็กในท้องนี้ จะไม่ทิ้งลายพี่ชาย.. ฉลาดน่ะดี แต่ฉลาดด้วยโกงด้วยนี่ไม่เอานะ..
ณัฐวีร์เอื้อมมือมาลูบท้องของแม่ไก่ "นัทมีนิทานจะเล่าให้น้องฟัง"
แล้วนิทานสำหรับน้องก็ดังขึ้นในห้องนั้น
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสิงโตจ้าวป่าตัวหนึ่ง มันสง่างามแต่ก็เกะกะเกเร เที่ยวกลั่นแกล้งสัตว์น้อยใหญ่ไปทั่ว ทำให้สัตว์น้อยใหญ่ในป่าต่างเกรงกลัวและรังเกียจมัน.. สัตว์ส่วนใหญ่มักบอกว่ามันเป็นตัวร้ายของป่าแห่งนี้
อยู่มาวันหนึ่ง หนูนาพลัดถิ่นหลงเข้าไปในถ้ำของสิงโตและถูกสิงโตจับได้ สิงโตตัวนั้นมักจับสัตว์ที่มันไม่ชอบหน้ามากลั่นแกล้งเป็นประจำ ทำให้มันขังเจ้าหนูนาไว้ในกรงเล็กๆบนหลังของมัน โดยบอกเจ้าหนูนาว่า "ถ้าทำตัวดีๆ ยอมไปเที่ยวกับเรา เราจะปล่อยเร็วขึ้น"
หนูนาพยักหน้ายอมนั่งอยู่ในกรงอย่างเรียบร้อย และเฝ้ามองสิงโตเที่ยวออกไปเดินเล่นในป่าใหญ่ แต่ยิ่งนานวันมันยิ่งไม่เข้าใจสิงโตตัวนั้น เจ้าสิงโตจอมเกเรมักจะทำตัวแย่ๆให้สัตว์น้อยใหญ่เกลียดมันเสมอ แต่ไม่ใช่กับลูกสัตว์ตัวเล็กๆที่ต้องการอาหาร
"มาเอานี่ไปกินเสียสิ นี่เหลือแล้ว" เจ้าสิงโตพูดแล้วดันผลแอปเปิลที่กัดได้เพียงคำเดียวไปให้ลูกกวาง พอลูกกวางรับไปกินเจ้าสิงโตก็เดินจากมา
แต่หนูนาเห็น.. เจ้าสิงโตจอมเกเรไม่ได้อิ่มหรอก มันแวะหาผลไม้ข้างทางกินต่อไปเรื่อยๆ พอเจอลูกสัตว์ตัวน้อยที่ไร้เดียงสา มันก็จะแบ่งผลไม้ให้ลูกสัตว์เหล่านั้นเสมอ
เจ้าหนูนาที่อยู่บนหลังสิงโตเฝ้ามองพฤติกรรมนั้นอย่างสงสัย มันเกเรกับผู้ใหญ่แต่กลับใจดีกับเด็กน้อย ..เพราะอะไรกันนะ
เจ้าหนูนาสงสัยจึงได้เฝ้าสังเกตจนได้รู้ว่า.. ที่จริงแล้ว เจ้าสิงโตพูดไม่เก่ง มนุษยสัมพันธ์ไม่ดี จึงมักจะแสดงออกในทางตรงกันข้ามกับความรู้สึกตัวเองเสมอ ในทางกลับกัน..มันเป็นสิงโตที่ดีต่างหาก เพียงแต่ไม่รู้จะแสดงออกอย่างไรเท่านั้นเอง
เจ้าหนูนาจึงตกลงใจว่าต่อให้สิงโตปล่อยมันออกจากกรง มันก็จะอยู่เป็นเพื่อนสิงโตตลอดไป เพื่อให้สิงโตตัวนั้นได้เรียนรู้คำว่าเพื่อน ไว้ใจ และรัก
"นิทาน..ก็จบลงแค่นี้" ณัฐวีร์สรุป
"อ้าว..ทำไมไม่จบที่ว่า แล้วหนูนากับสิงโตก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข" ณฐกาถามลูกชาย
ส่วนเจ้าตัวก็แค่เอียงแก้มซบต้นขาแม่ ละมือจากน้องในท้องแล้วมากอดขาแม่เหมือนเดิม "เพราะนิทานเรื่องนี้จะไม่มีวันจบ.. หนูนายังไม่รู้เลยว่ามันจะอยู่กับเจ้าสิงโตไปได้ไกลแค่ไหน.. เพราะสิงโตเองก็ยังไม่พร้อมจะมีเพื่อนเหมือนกัน"
ณฐกาเงยหน้ามองสามีทันที.. ดูเหมือนเรื่องนี้จะต้องให้คุณวีรชาติจัดการเสียแล้ว
"ก็ไม่เห็นยากนี่นา.." วีรชาติรับไม้ต่อทันที "เราก็แค่อยู่กับปัจจุบัน.. วันนี้เราอาจจะยังไม่รู้ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร เราแค่ต้องเตรียมตัวรับสถานการณ์ไว้ หากเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นก็แก้ไขกันไป หากไม่เกิดอะไรก็ถือว่าดี เราแค่อยู่กับตัวเราในตอนนี้"
ณัฐวีร์พยักหน้ารับเบาๆ โดยไร้ถ้อยคำใด
เรื่องในอนาคต..ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต
เรื่องในอดีต ..ปล่อยให้มันเป็นอดีตไป
เราอยู่ในปัจจุบัน.. พิจารณาเพียงปัจจุบัน..
จะเป็นอะไรไหม ถ้าไม่เป็นไร .. ถ้าเป็นอะไรแล้ว ไม่เป็นไรได้ไหม
ป๊าวีสอนประจำ.. แต่ด้วยความที่ยังเด็กทำให้เขายัง ‘ช่างเถอะ’ ได้ไม่ดีเท่านั้นเอง
------
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 50 อัพอัพ 22.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 22-02-2015 23:41:20
Can I..? 50


มกรเดินลงมาจากชั้นบน เขาพาดสูทไว้ที่แขนข้างขวาและมีเนกไทอยู่ในมือข้างซ้าย เสื้อสูทและกางเกงแสลคเข้ารูปขับเน้นให้ผู้สวมใส่มีบุคลิกดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
ใบหน้าคมสันนิ่งเฉย ผมสั้นถูกจัดทรงมาอย่างเรียบร้อย ติดแค่ว่ามุมปากมีรอยช้ำจนม่วง.. ไม่งั้นชายหนุ่มคนนี้จะดูเป็นผู้บริหารที่ภูมิฐานคนหนึ่งเลยทีเดียว
มนธิชาเงยหน้าขึ้นจากการอ่านข่าวธุรกิจจากอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ เธอมองลูกชายเดินเข้ามานั่งที่ประจำก่อนจะเอ่ยถาม "อ้าว..แม่นึกว่าแมนจะไม่ไปทำงานวันนี้"
มกรส่ายหน้า "ผมไปไหว วันก่อนก็โดดงานไปติดๆกันแล้ว วันนี้ไม่อยากเสียงานอีก"
คุณมนธิชามองอย่างทึ่งๆ "ไม่นึกว่าจะได้ยินคำนี้.."
มกรยกกาแฟขึ้นดื่มก่อนจะเริ่มจัดการกับอาหารของตัวเอง "ผมก็ไม่นึกว่าจะได้มานั่งทานข้าวเช้ากับแม่แบบนี้เหมือนกัน .. พ่อไปแล้วหรือครับ"
"เห็นว่ามีงานเช้านะ"
มกรพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ เขาจัดการอาหารเช้าขณะที่มารดาเริ่มเล่าเรื่องที่ทำงานเป็นเชิงชวนคุย
"แม่เห็นจากคลิปในกล้องวงจรปิดแล้วนะ ..คนที่เอาแฟ้มไปไม่ใช่คุณประคอง"
มกรขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นมาทันที
“แล้วเป็นใคร?”
“ตอนนี้ยังจับไม่ได้ แต่ที่พวกผู้บริหารสงสัยกันก็คงเป็นหนึ่งในรองกรรมการผู้จัดการนั่นแหละ วันนี้พ่อเขาคงให้ตำรวจเข้ามาเก็บหลักฐานกับสอบปากคำอีก”
มกรพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ทำให้คุณมนธิชาพูดต่อ
"แล้วก็คนที่เอาแฟ้มให้กลอยไปก็ไม่ใช่แมนเหมือนกัน" เธอมองหน้าลูกชายตรงๆ "แมนออกรับแทนน้องเพราะกลัวว่าแม่จะตำหนิน้องใช่ไหม"
มกรมีสีหน้าประหม่าขึ้นมาทันที โหนกแก้มเป็นปื้นแดงด้วยความอายที่ถูกมารดาจับได้ แต่เขาก็ไม่ยอมตอบรับหรือปฏิเสธคำถามนั้น
"เอาเถอะ จะยังไงก็แล้วแต่ เรื่องนี้คลี่คลายแล้ว เหลือแต่ตามตัวคนร้ายมาเท่านั้นล่ะ"
ชายหนุ่มกระแอมเบาๆก่อนจะเอ่ยถามขึ้น "แล้วอีกนานไหมครับ"
"ไม่นานหรอก.. ยังไงวันนี้เข้าบริษัทแล้วไปขอโทษคุณประคองด้วยแล้วกันนะแมน คุณประคองเขาก็เหมือนผู้มีบุญคุณกับแม่.. เหมือนเป็นพ่ออีกคนเลยก็ว่าได้"
มกรพยักหน้ารับ "ครับ.."
ชายหนุ่มทานอาหารเช้าต่อไป ในขณะที่มารดาก้มอ่านข่าวเศรษฐกิจโลก..
ความเงียบที่ปกคลุมระหว่างกันมีบรรยากาศไม่เหมือนทุกวัน.. มันคือความเงียบที่ไม่มีแรงกดดันใดๆ ให้รู้สึกอยากหนีออกไปให้พ้นๆ มันก็แค่เงียบเพื่อฟังลมหายใจของกันและกัน เพื่อให้รับรู้ว่ายังมีครอบครัวที่นั่งข้างกันอยู่ตรงนี้
พอมกรทานอาหารเช้าหมด เขาจึงเอ่ยขอตัวออกจากห้องทานอาหารก่อน อย่างไรเสียเขากับแม่ก็ยังแยกรถกันไปทำงานอยู่ดี เพื่อความสะดวกในการออกไปติดต่องานข้างนอก แม่มีคนขับรถ ส่วนเขาขับไปเอง
ชายหนุ่มกำลังหยิบเสื้อสูทตอนที่คุณมนธิชาเอ่ยขึ้นเบาๆ "จริงๆก็ไม่ใช่แค่เรื่องของคุณประคองหรอกนะที่แมนต้องขอโทษน่ะ.."
"..ครับ?" คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเมื่อจู่ๆมารดาวางไอแพดในมือลง
"แมน..ต้องขอโทษแม่ด้วย" มนธิชาเอ่ยแล้วลุกขึ้นยืน เธอเดินเข้ามาหาลูกชายที่จ้องเธอเขม็ง
"แมน..ใส่ร้ายว่าแม่ไม่รัก ..ทั้งๆที่แม่มีลูกอยู่คนเดียว แม่อาจจะแสดงความรักไม่เก่ง แต่แม่กล้าบอกได้เต็มปากว่าแม่รักแมน ..รักมากด้วย" เธอเอ่ยด้วยใบหน้าจริงจัง จ้องตรงไปที่ลูกชาย "แม่ไม่เคยคิดจะทำแท้งลูก ไม่เคยกินยา ไปได้ยินอะไรมาไม่รู้ แต่อยากให้เชื่อมั่นว่าแม่ไม่เคยคิดแบบนั้น"
มกรกลั้นหายใจอยู่ชั่วครู่ ในอกเต็มตื้นแล้วค่อยๆรู้สึกเหมือนมีบางอย่างพองฟูขึ้นมาเรื่อยๆจนล้นและแน่นจุกไปหมด เขาเผลอกะพริบตาช้าๆแล้วเบือนสายตาหลบ
"ผม..ก็อยากจะบอกแม่เหมือนกัน.. เมื่อก่อนผมอาจจะคิดมากกับอะไรหลายๆอย่างที่ได้ยินมา แต่วันนี้ผมจะค่อยๆปล่อยมันแล้ว.. แม่ไม่ต้องห่วง ผมจะไม่เอาเรื่องพวกนั้นมาทำให้ชีวิตผมเดินไปผิดทางอีก จากนี้ไปผมจะเข้มแข็ง ผมจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้น จะไม่ยอมให้เรื่องพวกนั้นมาสั่นคลอนผมได้" มกรยิ้มออกมาแล้วคว้าเสื้อสูทขึ้นพาดแขน "ผมขอโทษที่มองความรักของแม่ผิดไป จากนี้คิดว่าเราสองคนคงมีอะไรให้ปรับตัวเข้าหากันอีกเยอะเลยนะครับ"
คุณมนธิชายิ้มแล้วสวมกอดลูกชายก่อนจะปล่อยให้อีกฝ่ายเดินออกไปทำงาน
คำพูดของมกรทำให้มนธิชารู้สึกว่า..ความจริงจะเป็นอย่างไรไม่สำคัญอีกต่อไป ลูกชายของเธอพร้อมจะปล่อยให้อดีตเป็นเพียงอดีต โดยทำปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุดแล้ว
 
--------
เข็มนาฬิกาบอกเวลาเกือบจะสิบโมง..
แต่ณัฐวีร์ก็ยังไม่มาทำงาน จะมีก็แต่มกรที่นั่งตรวจแฟ้มเอกสาร และใช้คอมพิวเตอร์ไปอย่างไม่มีสมาธิ
เขาหยุดงานไปสองวัน มีงานวางกองอยู่บนโต๊ะรอให้เขาดูพอสมควร ถึงแม้เขาจะยังไม่ได้มีอำนาจลงนามในเอกสารอย่างเป็นทางการ แต่งานที่ต้องดูแลและเซ็นกำกับเพื่อรับทราบความคืบหน้าของงานก็ยังมีให้อ่านอยู่เนืองๆ
มกรมองมือถือตัวเอง ก่อนจะมองโต๊ะทำงานของน้องที่มือถือและกระเป๋าเงินของณัฐวีร์ที่ยังคงอยู่ในลิ้นชัก
ถ้าโทรเข้าบ้านจะรับไหมนะ
ชายหนุ่มคว้าโทรศัพท์มาไวเท่าความคิด ทำท่าจะกดหาหมายเลขบ้าน..แต่แล้วก็ชะงักมือไป
โทรไปตอนนี้น้องจะอยู่หรือ? บางทีณัฐวีร์อาจออกจากบ้านมาทำงานแล้วอยู่ระหว่างทางก็ได้? หรือถ้าอยู่แล้วจะรับโทรศัพท์ไหม? แล้วถ้ารับจะพูดอะไรกันดี? ขอโทษก่อนดีไหม? หรือควรอธิบายอะไร?
แล้วถ้าตอนนี้.. นัทอยู่กับแฟนนัทล่ะ? เขาจะพูดอะไรต่อไป?
ความลังเลทำให้มกรค่อยๆลดมือลง ปล่อยโทรศัพท์วางลงบนโต๊ะแล้วหันไปหยิบแฟ้มเอกสารมาแทน
ถ้าวันนี้น้องไม่มาทำงานจริงๆ ยังไงเสียเย็นนี้เขาก็ต้องแวะไปหาอยู่แล้ว.. ค่อยเข้าไปพูดคุยกันตอนนั้นน่าจะดีกว่าโทรไปไม่เห็นหน้า
มกรตัดสินใจตั้งสมาธิทำงาน
----
ปริมาณงานค่อยๆลดลง เมื่อชายหนุ่มเคลียร์เอกสารไปได้ตามที่ตั้งใจไว้ แต่แล้วเสียงโทรศัพท์สายในบนโต๊ะทำงานก็ดังขึ้น
มกรขยับตัวไปรับ "ครับ.."
"คุณมกรคะ มีแขกมาขอพบค่ะ" เสียงหญิงสาวซึ่งเป็นโอเปอเรเตอร์ที่อยู่ชั้นล่างของตึกเอ่ยขึ้น
"ใครครับ?"
"เธอบอกว่าชื่อคุณแพรวค่ะ"
ชื่อนั้นทำให้มกรขมวดคิ้ว.. แพรวงั้นหรือ?
"มีธุระอะไร? ให้ผมคุยสายหน่อย" ชายหนุ่มเสียงเย็นขึ้นมาทันที ก็ไม่อยากจะขุ่นเคืองหรอกนะ..แต่พอได้ยินชื่อแล้วรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเฉยๆเลย
โอเปอเรเตอร์รับคำแล้วส่งสายให้กับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเธอกรอกเสียงลงไป
"สวัสดีค่ะ"
"ครับ..มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ"
คนฟังยิ้ม พูดมาแบบนี้เธอล่ะอยากจะยั่วโมโหเลยทีเดียว "ไม่มีอะไรค่ะ แฟนให้มาเอาของให้"
"..." ปลายสายเงียบเสียงไปชั่วครู่ก่อนจะบอกว่า "..ครับ เดี๋ยวจะให้เลขาเอาลงไปให้ รอที่ล็อบบี้นะครับ"
"อย่าพูดห่างเหินกันอย่างนั้นสิคะ.. แพรวว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันนะคะ"
"เรื่องอะไรครับ?"
"ไม่ใช่เรื่องของแพรวหรอกค่ะ.. แต่เป็นเรื่องของนัท.." แพรวลดรอยยิ้มลง "คุณจะให้แพรวขึ้นไปหา หรือจะลงมาทานอาหารเที่ยงกับแพรวคะ"
มกรยังไม่ตอบรับ เขากำลังชั่งใจอยู่ว่าควรทำอย่างไรดี
ตอนนี้ก็เหมือนมีข้าศึกมาประชิดตัว เธอยื่นข้อเสนอที่เขาไม่สามารถปฏิเสธได้ ทั้งสองทางเลือก อย่างไรก็คือต้องเจอกับเธออยู่ดี
"เดี๋ยวผมลงไป.."
"ค่ะ.. งั้นแพรวจะไปนั่งรอที่ร้านข้างบริษัทนะคะ..” เธอพูดจบแล้วก็ส่งสายให้กับโอเปอเรเตอร์ไป
ยังไงวันนี้เธอต้องคุยกับแม้นศรีให้รู้เรื่อง!
---
ตอนที่หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ในห้องอาหารติดแอร์ข้างๆออฟฟิศ มกรก็เขม่นมองหน้าคนที่มานั่งรออยู่ก่อนแล้วอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ
"มองอะไรของมึง"
มกรพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด "ทำไมไม่โทรเข้ามือถือกู"
"ก็น้องแพรวเขาอยากคุยเอง" คนพูดหัวเราะเบาๆ ยิ่งเห็นมกรโวยแบบนี้แชร์ก็ยิ่งยิ้มกว้าง
"ทานอะไรดีคะ.. ของเราสองคนสั่งไปเรียบร้อยแล้ว"
"ไม่เป็นไร ผมยังไม่หิว" มกรบอกแล้วหันไปสั่งแค่น้ำดื่มเท่านั้น "นี่กระเป๋ากับโทรศัพท์ที่นัทลืมไว้ ดูเหมือนแบตจะหมดแล้ว"
ชายหนุ่มยื่นของมาให้ แต่แทนที่แพรวจะรับไปกลับกลายเป็นแชร์ยื่นมือมารับให้แทน
"ขอบคุณค่ะ" เธอบอกเรียบๆแล้วเริ่มเข้าเรื่อง "คุณพาแฟนแพรวไปไหนมา เมื่อวานเขาร้องไห้เยอะมาก คงไม่ได้ทำร้ายอะไรเขาใช่ไหมคะ"
มกรกระแทกตัวพิงพนักเก้าอี้ ในเมื่อเธอเปิดฉากเข้าเรื่องมาก่อน เขาก็ไม่จำเป็นต้องสงวนท่าทีหรอกมั้ง "เป็นแฟนกันก็ถามกันเอาได้นี่นา เขาตอบว่ายังไงล่ะ"
"เพราะเขาไม่ตอบน่ะสิ แพรวถึงต้องมาหาคุณเอง"
มกรเมินมองไปทางอื่น "ผมก็ไม่มีอะไรจะบอกเหมือนกัน.."
"อย่านึกว่าแพรวไม่รู้นะคะ"
คนฟังหันขวับมาหรี่ตามองทันที "รู้อะไร..?"
"แพรวไม่ใช่เด็กๆที่จะมองไม่ออกว่านัทหายไปไหนมาทั้งคืน" หญิงสาวเองก็ไม่ยอมถอยเหมือนกัน เธอยกมือขึ้นกอดอกเอนตัวพิงเก้าอี้จ้องหน้ามกรเขม็ง
ชายหนุ่มแค่นหัวเราะ "รู้ก็ดี" เขาว่าแล้วยกแขนขึ้นมากอดอกเช่นกัน
"คุณต้องการอะไรจากนัท.."
"ผมต้องการอะไรมันก็เรื่องของผม"
"จะเรื่องของคุณคนเดียวไม่ได้ เพราะตอนนี้คุณลากเอาแฟนแพรวไปเอี่ยวด้วย หายไปด้วยกันทั้งคืนจะมาบอกว่าเป็นเรื่องของคุณคนเดียวได้ที่ไหน.. แพรวต้องการจะรู้ว่าคุณต้องการอะไรจากนัท ถึงได้มาตามราวีเขาไม่เลิกแบบนี้"
มกรเมินไปทางอื่นอีกหน "มันเป็นเรื่องของผมกับนัท ยังไงคุณก็ไม่เกี่ยว"
"เกี่ยว ฉันเป็นแฟนเขา ต้องรู้ทุกเรื่อง!"
"งั้นก็รู้ไว้ว่าเขาเป็นเมียผม!! เป็นเมีย ไม่ใช่แค่แฟน!" มกรกระแทกเสียงบอก เล่นเอาคนในร้านหันมาเมียงมองกันยกใหญ่
"แล้วไง.." แพรวเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มยียวน "ไม่เห็นจะแคร์ เขาเต็มใจเป็นเมียคุณหรือเปล่าก็ไม่รู้"
"เต็มใจ! เมื่อคืนก่อนเขาอนุญาตเอง"
"แล้วทำไมวันต่อมาถึงเป็นแบบนั้น ทำไมเขาร้องไห้หนักแบบนั้น เพราะคุณไม่ได้ต้องการเขาจริงๆน่ะสิ" แพรวถลึงตาอย่างโกรธเกรี้ยว
"คุณรู้ได้ยังไงว่าผมไม่ได้ต้องการเขา ถ้าไม่รักผมจะยอมทำทุกอย่างให้ได้อยู่กับเขาหรือไง ถ้าไม่รักผมจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองขนาดนี้ทำไม ผมจะต้องไปรักษาตัวทำไม เมื่อวานคุณก็เห็นว่าผมพยายามแค่ไหน แต่เขาไม่คุยด้วย.." มกรหันกลับมามองแพรว "ทั้งๆที่ผมบอกว่ารัก.. แต่เขาคงไม่รับฟัง..เพราะเขามีคุณอยู่แล้ว"
แพรวยักไหล่และยิ้มยียวน "ใช่ค่ะ เขามีเพื่อนดีๆอย่างแพรวอยู่ทั้งคน.."
หญิงสาวยิ้มกริ่ม
"ก็นั่นสิ..เขามี.." มกรทวนประโยคนั้น ก่อนหัวคิ้วจะขมวดและดวงตาจะฉายความงุนงงออกมาอย่างชัดเจน "คุณว่าอะไรนะ.."
หญิงสาวหัวเราะเบาๆ "มีเพื่อนดีๆอย่างแพรวไงคะ"
"เพื่อน..." มกรย้ำเสียงเบาด้วยท่าทางยังประมวลผลไม่เสร็จ ชายหนุ่มไม่อยากเชื่อหูตัวเอง เขาจึงต้องการการยืนยัน ชายหนุ่มปลายตามองไปทางแชร์ก็เห็นไอ้เพื่อนตัวดีหัวเราะเบาๆเหมือนกัน..ไอ้ห่า..แม่งรู้นี่หว่า
"เพื่อนค่ะ.. นัทเป็นเพื่อนแพรว..วันนี้แค่อยากมาขอคำยืนยันจากพี่แมนว่ารักนัทจริงๆ จะมาฝากให้ดูแลนัทให้ดี"
"เอ่อ..." มกรรับมุกไม่ทัน ได้แต่อ้ำอึ้ง
"แมลงวันบินเข้าปากแล้วมึง" แชร์หัวเราะร่วน "ตามนั้น.. นี่เพื่อนนัท..” แชร์ชี้ไปที่แพรว ก่อนจะย้ายนิ้วมาชี้ตัวเอง “ส่วนกูนี่ แฟนเพื่อนนัท.."
"ห๊า!!" คราวนี้มกรถึงกับลุกขึ้นยืนเลยทีเดียว
"เฮ้ย ใจเย็นๆ นั่งลงๆ คนอื่นตกใจหมด"
มกรถึงกับมึนไปเลย “กูงงไปหมดแล้ว”
แชร์หัวเราะแล้วกวักมือให้เพื่อนนั่งลง พอเห็นว่ายอมนั่งลงมาแล้วเขาถึงได้บอก “ตอนแรกที่รู้ว่าเขาเพื่อนกันก็เหมือนมึงเนี่ย.. อึ้ง.. แต่พอรู้แล้วนี่นิ่งไม่ได้เลย ผมนี่ก็จีบซะ..”
แชร์หันไปยักคิ้วหลิ่วตากับแพรว หญิงสาวเองก็หัวเราะให้กับท่าทางตลกๆนั่น ดูเป็นคู่รักที่เข้าขากันดีจริงๆ
“มาเข้าเรื่องนัทกันดีกว่าค่ะ พี่แมนน่ะจริงจังกับเพื่อนแพรวมากแค่ไหนคะ”
มกรหันมามีสมาธิกับเรื่องตัวเองอีกครั้ง
“มากขนาดที่ว่าตัวพี่เองยังคิดไม่ถึง”
แพรวหรี่ตาลงอย่างจ้องจะจับผิด “งั้น.. พี่แมนจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้นัทสบายใจไหมล่ะคะ”
“ยอมสิ.. พี่ยอมทำทุกอย่างที่นัทต้องการ” ชายหนุ่มพูดอย่างหนักแน่น
“แล้วถ้านัทให้ไปตายล่ะคะ?”
คำถามนั้นเล่นเอาแชร์หันขวับมามองแพรวอย่างตกใจ มกรเองก็เช่นกัน.. เขานิ่งขึงมองคนถามราวกับจะอ่านไปให้ลึกถึงใจเธอ
สุดท้าย ชายหนุ่มก็ส่ายหน้า.. พาให้แพรวเขม่นตามองทันที
“นัทไม่มีทางบอกให้พี่ทำแบบนั้น ..นัทไม่ใช่คนแบบนั้น นัทไม่ใช่คนที่จะทำร้ายใคร ไม่มีทางบอกให้ใครไปตายหรอก”
แพรวกับมกรต่างมองตากัน แล้วสุดท้ายก็เหมือนจะเป็นฝ่ายหญิงเสียเองที่หัวเราะออกมาเบาๆอย่างยอมรับคำพูดของฝ่ายชายโดยดุษณี
“โอเคค่ะ..แพรวเชื่อว่าพี่แมนจริงจังกับนัท ถ้ายังไงก็ขอให้พี่แมนอดทนหน่อยแล้วกันนะคะ ณัฐวีร์น่ะบทจะหนีขึ้นมา แม้แต่หน้าเขาก็ไม่ยอมให้เห็นค่ะ” แพรวบอกด้วยรอยยิ้ม “เดี๋ยวแพรวขอตัวไปห้องน้ำแป้บนึงนะคะ”
เธอเอ่ยแล้วลุกออกมาจากโต๊ะ ปล่อยให้เพื่อนสองคนนั่งรอไป พอเลี้ยวเข้ามาในห้องน้ำได้เธอก็เปิดกระเป๋าถือตัวเองออก แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา
ที่หน้าจอมือถือมีแสงไฟสว่างอยู่ ทำให้เห็นว่าโทรศัพท์กำลังถูกใช้สื่อสารกับใครบางคนอยู่
แพรวยกโทรศัพท์แนบแก้ม “ว่าไงล่ะคุณชายณัฐวีร์... ได้ยินชัดเจนแล้วใช่ไหมคะ”
เธอพูดด้วยเสียงหัวเราะรื่นเริง
---------
หุ หุ หุ หมดแล้วๆ อัพ 3 ตอนพอนะคะ หมดสต๊อกแล้ว 5555
 :katai4:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 48-49-50 อัพอัพ 22.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 23-02-2015 00:05:05
นัทร้ายกาจ แบบนี้ละเอาพี่แมนอยู่
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 48-49-50 อัพอัพ 22.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 23-02-2015 00:21:40
ง่าาาา. เอาอีกๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 48-49-50 อัพอัพ 22.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: 045262638 ที่ 23-02-2015 00:26:16
นัทเจ้าเล่ห์จริงงงๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 48-49-50 อัพอัพ 22.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: bun ที่ 23-02-2015 00:33:21
แพรวนี่สุดยอด เจ้าแผนการจริง ๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 48-49-50 อัพอัพ 22.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-02-2015 00:36:17
 o13 ให้บ้านนัท
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 48-49-50 อัพอัพ 22.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: ycrazy ที่ 23-02-2015 01:15:09
แพรวอย่างเจ๋ง o13
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 48-49-50 อัพอัพ 22.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: สายลมที่หวังดี ที่ 23-02-2015 03:57:37
แพรวเธอร้ายกาจจริงๆ แชร์เลยจีบซะเลย หวังว่าตอนหน้าคงดีกันได้แล้วน้า :กอด1:
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 48-49-50 อัพอัพ 22.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 23-02-2015 09:07:11
ชอบที่นัทฉลาดแบบนี้แหละ  เลยทำให้ชวนอ่านชวนติดตามไปได้เรื่อย ๆ
ภาคสองนี่ พี่แม้นเปลี่ยนไปจนแทบลืมคนเดิมที่เชี่ยมาก ๆ นั่นไปเลย
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 48-49-50 อัพอัพ 22.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 23-02-2015 09:38:57
พี่แม้นนี่คลั่งรักมากจริงๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 48-49-50 อัพอัพ 22.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: Infinity 888 ที่ 23-02-2015 09:52:38
 :กอด1: แมน รอหน่อยนะ

รอให้นัทมั่นใจอีกนิด  :mew1:

ชอบคุณพ่อคุณแม่ทั้งสองบ้านเลย เข้าใจลูกๆดีจัง
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 48-49-50 อัพอัพ 22.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 23-02-2015 16:22:35
 :pig4:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 48-49-50 อัพอัพ 22.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 23-02-2015 22:21:26
นัทเจ้าเล่ห์น่าดู สงสารแมน
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 48-49-50 อัพอัพ 22.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: moneza ที่ 23-02-2015 22:45:20
ผิดบอร์ดไปนิด แต่ลุ้นคู่คุณพ่อคุณแม่แมนด้วยอ่ะ สงสารมากกกกก รู้สึกแบบเรื่องแมนกะร้องคนให้กำลังใจเยอะ แต่คุณพ่อคุณแม่นี่น่าสงสารมาก ให้เค้าดีกันเร็วๆนะ5555

น้องกะพี่แม้นน่าจะเข้าใจกันแระชิมิ หวานกันเถอะ เก๊าขอร้องงง
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 48-49-50 อัพอัพ 22.02.2015
เริ่มหัวข้อโดย: ju11221 ที่ 26-02-2015 23:54:17
 :m15: :monkeysad: ขอร้องงงงง มาต่อไวๆๆน้าค้าาาา กำลังติดงอมแงมเลยยย

อยากให้จบแบบแฮปปี้ๆ  :ling3:
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนพิเศษ 02.03.15
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 02-03-2015 14:16:41
ตอนพิเศษ สั้นจุ้ดดุ้ด


เสียงประทัดดังตั้งแต่หัวถนนยันท้ายถนน ทำให้รู้ว่า แม้แต่ในย่านการค้าและที่พักอาศัยแถบทำเลเงินทำเลทองอย่างทองหล่อ ก็ยังมีหลายร้านที่ยึดประเพณีไหว้เจ้าทุกวันตรุษจีนอยู่

หน้าร้านอาหารของคุณวีรชาติก็ด้วย
ทุกเทศกาลตรุษจีน ทางร้านจะกำหนดให้หยุดเป็นเวลา 7 วัน โดยเริ่มตั้งแต่ก่อนวันจ่าย 1 วัน พอเข้าสู่วันจ่าย ซึ่งคือวันเมื่อวานนี้ ทางร้านก็จะเตรียมของหลายอย่าง แบ่งแยกเอาไว้เป็นกองหลายสิบกอง กองใหญ่บ้างเล็กบ้างแล้วแต่ว่าลูกค้าจะสั่งอะไรไปไหว้ ทางร้านจะเตรียมของให้ตามออเดอร์ก่อนที่ช่วงบ่ายๆลูกค้าจะทยอยมารับของตามที่สั่งไป

มาวันนี้วันไหว้ คุณวีรชาติก็ให้เด็กในร้านตั้งโต๊ะตั้งแต่เช้ามืด ประกอบด้วยเครื่องไหว้โหงวแซ เหล้า น้ำชา และพวกกระดาษเงินกระดาษทอง พอสายหน่อยก็เตรียมตัวจะไหว้บรรพบุรุษต่อ ตอนนั้นเองที่มีรถเบ็นซ์ซีคลาสสีดำเลี้ยวโฉบเข้ามาในที่จอดรถ คนขับลดกระจกลงเล็กน้อยเมื่อเห็นลูกชายเจ้าของร้านชะโงกมาดู ก่อนจะแยกเขี้ยวใส่เมื่ออีกฝ่ายทำปากบอกให้เร็วๆ

ร่างสูงกำยำอย่างคนออกกำลังกายสม่ำเสมอกำลังกวาดเอาของที่เบาะหลังรถและบนคาร์ซีทสำหรับเด็กมาไว้ในมือหนึ่ง อีกมือก็พยายามดึงเอากล่องเลโก้ขนาดยักษ์ออกมาจากช่องประตู แต่เสียงร้องทักจากด้านหลังทำให้เขาต้องละมือลงทันที

"ทำอะไรน่ะครับ"
ชายหนุ่มเอี้ยวตัวมองข้ามไหล่ลงมาเห็นณัฐวีร์ยืนหล่อหน้าบูดอยู่ด้านหลัง

"ของฝากเดี๋ยวค่อยลงมาเอา รีบไปไหว้ก่อนครับ ป๊ารออยู่เดี๋ยวเลยฤกษ์"
มกรพยักหน้ารับแล้วยอมวางมือจากกล่องเลโก้ เขายอมถอยออกจากตัวรถแล้วใช้มือข้างว่างปิดประตูรถเสีย

"มา..นัทช่วยครับ"
คนตัวเล็กกว่าก้าวเข้าไปพร้อมกับยื่นมือจะช่วยถือ แต่ก็พลาดเพราะอีกฝ่ายดึงมือหนีแล้วคว้าเอวเจ้าตัวลากเข้าไปกอดไว้ทั้งอย่างนั้น

"คิดถึงจัง.."
เสียงกระซิบเบาๆทำให้ณัฐวีร์ที่กำลังตกใจการกระทำอีกฝ่ายชะงักไปไม่กล้าต่อว่า ยิ่งปลายจมูกของคนตัวสูงกดลงที่แก้ม ณัฐวีร์ยิ่งไม่รู้จะทำตัวยังไง

นี่คือห่างกันไปเกือบเดือน เพราะมกรต้องไปทำงานที่สิงคโปร์ กำหนดกลับจริงๆ คือเมื่อคืน แต่ก็จำต้องเลื่อนไฟล์ทเพราะเกิดปัญหาหน้างานขึ้น คือทำงานกันจนหยดสุดท้ายก่อนวันไหว้ตรุษที่จะหยุดกันยาว ทางสิงคโปร์เองก็ได้หยุดหลายวันเช่นกัน มกรถึงจับไฟล์ทเช้าสุดมาไทยได้

"อยู่ทางโน้นเร่งงานเยอะมาก เมื่อคืนก็ไม่ได้นอน มางีบบนเครื่องไปได้แป้บเดียวเอง" มกรบ่นแล้วซบหน้าลงบนไหล่ณัฐวีร์ "อยากกลับมาหานัทใจจะขาด คนอะไรใจร้าย บอกให้บินไปหากันบ้างก็ไม่ไปเลย.. เราจะกลับมาก็ไม่ยอมให้กลับ ไม่คิดถึงกันบ้าง"

"อย่าพูดแบบนั้นสิครับ.." ณัฐวีร์บอกแล้วกอดตอบอีกฝ่าย พร้อมกับเอามือลูบหลังเป็นเชิงปลอบใจ "นัทไป งานนัทก็ไม่เสร็จ แล้วก็จะลาพักร้อนยาวๆไม่ได้ ไปเที่ยวกับพี่แมนสบายๆแบบไม่ต้องห่วงงานไม่ได้นะครับ.."

"ก็รู้..จูบที" มกรยื่นหน้าเข้ามาหา แต่ณัฐวีร์กลับเอนตัวหนี

"ไม่ได้ ป๊ารออยู่.."

"น่า จูบที.."

"ไม่เอา" ณัฐวีร์ยังยืนกราน

"งั้นหอมสิบที" อีกฝ่ายทำแก้มพองป่องยื่นมาให้

"พี่แมน..ช้าแล้วนะครับ"

"นี่ไง.." ชายหนุ่มทำหน้าม่อย "ไม่คิดถึงกันจริงๆ ด้วย"

"ไม่ใช่.." ณัฐวีร์กรอกตา "แต่มันช้าแล้วเดี๋ยวก็ไม่ทันไหว้ แล้วนี่มันลานจอดรถนะครับ ทำอะไรประเจิดประเจ้อเดี๋ยวใครมาเห็นเข้า"
ตรงลานจอดรถนี้เป็นลานจอดของร้านอาหารส่วนหนึ่ง และเป็นของคนในห้องเช่าด้านบนอีกส่วนหนึ่ง ถ้าเป็นเวลากลางวันอย่างนี้ผู้พักอาศัยจะออกไปทำงานกันหมด รถก็จะไม่ค่อยมี แต่ก็ยังไม่ปลอดภัยอยู่ดีสำหรับความคิดของณัฐวีร์

"เถียงกันไปเถียงกันมาถ้าทำจริงๆ ก็เสร็จไปแล้ว.." มกรบ่นเป็นยุงเลย
ณัฐวีร์มองหน้าอีกฝ่ายแล้วก็ได้แต่ถอนใจ.. "นี่..ดราม่าอะไรมาครับ.. ทำตัวเป็นเด็กไปได้"
มือเล็กโน้มไหล่อีกฝ่ายลงมากระซิบเข้าที่ข้างหู ".. ไม่รอคืนนี้หน่อยหรือครับ"

"หือ?.." มกรเลิกคิ้ว "วันนี้ไม่ต้องอยู่บ้านหรือ.."

"ไหว้เสร็จ นัทว่าจะพาพี่แมนกลับไปพักที่คอนโด หรือไม่อยากไป?"
มกรยิ้มกว้าง "ไป.."

"งั้นก็เลิกดราม่า ไปหาป๊ากันครับ"

"แต่คืนนี้กับตอนนี้มันต่างกันนะ.." ชายหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ "มาจูบก่อนแล้วจะปล่อย"

"พี่.."

ไม่ทันแล้ว..ปากที่จะร้องห้ามถูกประกบปิดปลายลิ้นอุ่นร้อนที่แทรกเข้ามาทำให้ณัฐวีร์ขยับตัวประชิดกอดอีกฝ่ายมากขึ้น เมื่อได้สัมผัสความคิดถึงก็เอ่อล้น

ใครบอกว่าเขาไม่คิดถึง ใครบอกว่าเขาไม่โหยหา.. ห่างกันไปเป็นเดือนต้องให้บอกไหมว่าเขาถึงกับอยู่ที่คอนโดไม่ได้ มองไปทางไหนก็แทบจะทนไม่ไหวจนต้องหนีกลับมาอยู่บ้าน ต้องให้บอกไหมว่าเขาเอาเสื้อของอีกฝ่ายมานอนกอดทั้งคืน ต้องให้บอกไหมว่า..รักมาก่อนตั้งนาน คิดถึงมาก่อนตั้งนาน

ณัฐวีร์เปิดปากตอบรับจูบเรียกร้อง มือก็โอบกอดแผ่นหลังกว้าง ร่างก็เบียดเข้าหาอีกฝ่ายอย่างไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
กระทั่งมกรยอมลามือไป ณัฐวีร์จึงถอนใจออกมาเบาๆ ดวงตานั้นยังหลับปิดไว้เพื่อสะกดความต้องการของตัวเอง เขาเบี่ยงหน้าหนีซุกเข้าไปที่ซอกไหล่กว้าง รับสัมผัสของแก้มและคางแข็งๆที่กดแนบลงมาตรงบริเวณขมับ

อ้อมแขนเพียงข้างเดียวยังอุ่นขนาดนี้ ถ้าได้กอดด้วยสองแขนแข็งแกร่งนั่น ณัฐวีร์คงได้คลายความคิดถึงลงบ้าง คงได้พอชุ่มชื่นหัวใจที่หลังจากนี้อาจจะต้องห่างกันอีกเดือน หรือถ้ายืดเยื้ออาจจะสองเดือน

"คิดถึงพี่แมนนะครับ.."
ณัฐวีร์กระซิบบอก แล้วจูบลงบนสันกรามที่มีไรหนวดเขียว แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่มีเวลาดูแลตัวเองเลย
มกรหัวเราะ "ไม่ไหวๆ อยู่ตรงนี้เดี๋ยวได้ลากไปปล้ำในรถแน่ๆ ..ไปกัน เดี๋ยวป๊ารอ"

ณัฐวีร์คลายอ้อมกอดลงแล้วพึมพำ "ทำอย่างกับไม่เคย.."

"ว่าอะไรนะนัท?" มกรหันมาเลิกคิ้ว

"ไปเร็ว ป่านนี้รอกันแย่แล้วครับ" ณัฐวีร์เดินเข้าไปในร้านก่อน ที่จะมาช่วยถือของก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย พอเข้าไปในร้านทั้งคู่ มกรจึงปลีกตัวไปวางของแล้วค่อยปรี่ไปไหว้แม่ไก่กับป๊าวี เอาหน้ามากกว่าลูกชายตัวจริง

"แม่ทำแกงจืดหมูสับที่แมนชอบเอาไว้ เดี๋ยวไหว้เสร็จแล้วแม่จะอุ่นให้นะ" ณฐกาบอกลูกชายคนโตแบบนั้น
มกรเป็นคนกินง่าย ทำอะไรให้ก็ชอบไปหมด แต่ดูเหมือนที่เจ้าตัวติดใจจะเป็นอาหารมื้อแรกที่ณัฐวีร์ทำให้ลองกิน ข้าวผัดกับแกงจืดหมูสับ

ชายหนุ่มเดินเข้าไปสวัสดีคุณวีรชาติก็ได้แรงมือตบไหล่มาสองปุพร้อมกับถาม "กลับมาพักกี่วัน?"

"7 วันครับ ทางโน้นหยุดยาวกว่าเราแล้วผมเลยลาเพิ่มมา"

"เมื่อคืนงานเสร็จเรียบร้อยดีใช่ไหม"

"เรียบร้อยครับป๊า" ชายหนุ่มตอบแล้วก็มองหา "แล้วนี่ตัวเล็กไปไหนล่ะครับ"

"ยังนอนอยู่เลย นี่ป๊าว่าจะขึ้นไปปลุกให้ลงมาไหว้บรรพบุรุษด้วยกัน"

มกรยิ้ม "งั้นเดี๋ยวผมไปปลุกเอง อยู่ที่ห้องนัทใช่ไหมครับ"

"ขอบใจนะ อยู่ที่ห้องนัทนั่นแหละ"
ชายหนุ่มตอบรับคำบอกนั้นแล้วเดินขึ้นไปยังชั้นบน ที่ตึกใหม่นี้ห้องของณัฐวีร์อยู่ชั้นเดียวกันกับบิดา ห้องกว้างขวางและมีห้องน้ำในตัว จัดแต่งแยกโซนที่พัก กับโซนนั่งเล่นไว้ต่างหาก ของตกแต่งด้านในบางอย่างป๊าก็หามาให้ บางอย่างสองคนเขาก็เลือกซื้อกันมาเอง.. แต่ที่เพิ่มมาคือเตียงเด็ก เตียงเล็กๆที่ตกแต่งเป็นรูปทะเล มีหมอนและหมอนข้างใบน้อยๆเป็นรูปปลาและเปลือกหอย มีผ้าห่มเป็นลายหาดทรายพร้อมคลื่นซัด

แต่มกรกลับไม่เห็นเจ้าของเตียง.. ชายหนุ่มปิดประตูอย่างเบามือแล้วย่องไปที่เตียงใหญ่ จึงได้เห็นเด็กน้อยนอนขดอยู่ใต้ผ้าห่ม เขายิ้มแล้วเดินเข้าไปหา พอเปิดผ้าห่มขึ้นพุงขาวๆของตัวเล็กก็ลอยเด่นมาเลย
มกรหัวเราะแล้วเอื้อมมือไปดึงเสื้อลงมาปิดพุง เด็กน้อยเกือบจะอายุครบห้าขวบแล้ว.. และเขายังจำตอนที่พาไปโรงเรียนได้อยู่เลย
เขากับณัฐวีร์เถียงกันแทบตายตอนที่จะพาไปเข้าเรียน เขาน่ะไปปรึกษาหมอมาด้วยซ้ำว่าควรให้เข้าเรียนแล้วหรือไม่ แล้วก็ลากยาวกันมาจนถึงสามขวบถึงได้เข้าเรียนจริงจัง

อย่างแรกที่เขาไม่อยากให้รีบเข้าเรียนเพราะกลัวตัวเล็กจะไปติดหวัด กลัวสุขภาพจะไม่พร้อม แต่นัทเองก็มีเหตุผล ป๊ากับแม่ต้องทำงาน นัทก็ต้องทำงาน ไม่มีใครดูน้อง จะทิ้งไว้กับพี่เลี้ยงก็ไม่ดี ตอนนั้นก็เถียงกันน่าดู สุดท้ายคุณมนธิชาพาตัวเล็กไปดูแลเฉยเลย บอกเดี๋ยวช่วยเลี้ยงหลาน เลี้ยงไปได้เกือบเจ็ดเดือน จึงได้ยอมให้เข้าเรียน กลางวันอยู่กับคุณมนธิชา กลางคืนถึงให้มกรและณัฐวีร์รับกลับมาบ้าน

"ตัวเล็กๆ ตื่นครับ" มกรจับแขนน้อยพลิกไปพลิกมา
ตัวเล็กเป็นเด็กไม่งอแง และไม่ใช่เด็กชอบเรียกร้องความสนใจ แถมยังได้รับความรักความอบอุ่นเต็มที่จนเติบโตมาอย่างที่มกรไม่เคยได้รับในวัยเด็ก ดังนั้น เมื่อถูกปลุก ตัวเล็กจึงไม่ได้งอแงโวยวาย แค่ลืมตาขึ้นมามองว่าใครเรียก แล้วพอเห็นว่าใครก็เลยยิ้มหวานให้

"แมน ..แมนมาแล้วเหรอ"

ตัวเล็กร้องพร้อมกับยื่นมือมาหาทำท่าจะกอด..แต่กลับไม่ยอมลุก
นี่ก็อีกคน บทจะดื้อก็ดื้อได้ใจเหมือนกัน ใครพูดอะไรก็ไม่ค่อยฟังหรอก
มกรถึงต้องโน้มตัวลงไปหายอมให้ตัวเล็กเกี่ยวคอไปกอด

"ตื่นเร็ว ไปไหว้กันป๊าให้มาตาม" ชายหนุ่มพยายามช้อนเอาตัวเล็กขึ้นมาจากเตียง ติดห้อยเป็นลูกลิงขึ้นมาเลย แต่ตัวเล็กก็คือตัวเล็ก.. มีจุดพิฆาตคือลูกอ้อนระดับยี่สิบกระโหลก

"แมน..ขอห้านาทีได้ไหม"

"ขอห้านาที..? จะนอนอีกสิเราน่ะ" มกรจับจมูกเล็กอย่างหมั่นเขี้ยว

เด็กน้อยส่ายหน้า "ห้านาทีนะ นะ"

"เอาๆ ..อะไรห้านาที?" มกรยอมปล่อยมือจากตัวเด็ก ทำให้ตัวเล็กถอยไปล้มแผละลงนอนอีกเหมือนโดนที่นอนดูด

"อ้าว ไหนว่าไม่นอน"

"เปล่าไม่ได้นอน.. นี่กำลังรอ.." ตัวเล็กบอกแล้วตบเตียง "รอแมนมานอนด้วยกัน ห้านาที นะ รอให้แมนอยู่ตรงนี้แค่ห้านาทีก็ยังดี คิดถึง แมนหายไปนาน มาๆ เดี๋ยวเล่าเรื่องที่โรงเรียนให้ฟัง แมนนอนๆ"

แล้วก็กลายเป็นมกรยอมล้มตัวลงนอนตามคำเชิญชวนของตัวเล็กจนได้
เขาเพลินฟังเรื่องที่โรงเรียนของตัวเล็ก.. ตัวเล็กชอบเล่าเรื่องที่โรงเรียน วันไหนไม่ได้ฟังก็จะเกิดอาการขาดอะไรไปสักอย่าง ทำให้ต้องมารอฟังอัพเดทจากณัฐวีร์

ช่วงเดือนที่ผ่านมานี่ก็ได้ฟังทางวีดีโอคอลอย่างเดียว นี่พอได้มาฟังสดๆ ห้านาทีคงแค่แป้บเดียว..





----------
แต่มันนานเกินกว่าที่ณัฐวีร์จะรอได้..

เขาเดินขึ้นมาตามมกรที่ห้อง เพราะเห็นว่าหายขึ้นมาชั้นสองนานเกินจะรอ พอเปิดประตูเข้าไปจึงได้พบว่า..
โลกที่เงียบสงบของสองคนนั้น..คือโลกแห่งนิทรารมย์

ชายหนุ่มส่ายหน้ากับตัวเองก่อนจะเดินเข้าไปดึงเสื้อปิดพุงตัวเล็ก..และก้มจูบหน้าผากคนรัก
ฝันดีครับ..
เขาเอ่ยเบาๆก่อนจะถอยออกมางับประตูให้..



--------
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนพิเศษ 02.02.15
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 02-03-2015 14:24:26
น่ารักไปนะ ตอนนี้น่ะ  อิ อิ อิ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนพิเศษ 02.02.15
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-03-2015 15:13:59
ต้องรออีกนานใช่ไหมสำหรับฉากหวานๆน่ารักๆแบบนี้
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 51 08.03.2015
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 08-03-2015 11:45:12
มาต่อแล้วค่ะ  :katai4:
มีใครรอแม้นศรีคนงามอยู่ไหมนี่?  :mew2:

-----
เข้าช่วงบ่ายกว่าๆ
คุณลักษณ์ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาสอบปากคำคนภายในอีกเล็กน้อยเพื่อหาหลักฐานและพยานเพิ่มเติม แต่แทบจะเรียกได้ว่ามาเพื่อปิดคดีชี้เป้าผู้กระทำความผิดอยู่แล้ว เพราะตอนนี้กลอยและผู้ชายในคลิปหนีหายออกจากบ้านไป ทางตำรวจจึงกำลังออกหมายเรียกสอบ

จากคำให้การที่รวบรวมได้ ทางตำรวจพุ่งเป้าไปที่ผู้บริหารคนหนึ่งของบริษัท ทางการสอบสวนทราบว่า ผู้บริหารคนนั้นเสียผลประโยชน์ต่างตอบแทนจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างบริษัทเพื่อเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ จึงไม่อยากให้บริษัทเข้าตลาดได้สำเร็จ การปล่อยข่าวเสียหายทั้งเรื่องตกแต่งบัญชี เรื่องทุจริตภายใน จึงเป็นหนทางที่จะชะลอการเข้าตลาด เพื่อยักย้ายถ่ายเทสิ่งที่ยังตกค้าง และหาวิธีกลบปิดความผิดของตัวเองให้มิดชิด

ดีว่าจับได้ไล่ทัน เพราะถ้าไล่ไม่ทัน ผู้บริหารคนนี้จะยังอยู่ที่นี่ต่อไปและกลายเป็นเหลือบคอยสูบความเจริญของบริษัทไม่หยุดหย่อน

คุณมนธิชา คุณประคอง และมกรนั่งอยู่ในห้องประชุมเล็กข้างห้องประธานบริษัท และกำลังปรึกษากันเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพื่อแถลงกับสื่อและหาทางออกที่สวยงามที่สุดสำหรับบริษัท ซึ่งการให้ข่าวใดๆจะต้องออกจากฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ที่คุณประคองดูแลอยู่เท่านั้น

ประชุมกันตั้งแต่บ่ายจนเกือบจะลับแสงอาทิตย์ ข้อสรุปจึงออกมาเรียบร้อย มกรได้รับหน้าที่ให้สรุปรายงานการประชุมครั้งนี้ เพราะชั้นความลับของบริษัทระดับนี้ แอมจะไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วย
จนกระทั่งคุณประคองลุกขึ้นยืนเพื่อจะเดินออกจากห้องประชุม คุณมนธิชาจึงเรียกไว้เสียก่อน

"รอสักครู่เถอะค่ะ"
คนถูกเรียกหันใบหน้าสงสัยกลับมามอง แต่คุณมนธิชากลับเบือนหน้าไปทางลูกชาย
มกรเองเมื่อเห็นจังหวะที่แม่ส่งมาให้ เขาจึงยกมือไหว้และกล่าว "ขอโทษครับ" ออกไปทันที
ผู้ใหญ่อย่างคุณประคองเมื่อได้รับคำขอโทษก็ยิ้มให้อย่างใจดี "ไม่เป็นไร จำไว้เป็นบทเรียนแล้วกันนะหลานชาย"

"ครับ.." มกรตอบรับ "คราวหน้าผมจะระวังคำพูดให้มากขึ้น"
"ดีแล้ว.. คำพูดเป็นนายเรา เวลามันหลุดจากปากไปแล้วเรียกคืนได้ยาก เอาเถอะ ยังไงลุงก็ไม่ถือสาล่ะนะ ไว้มาคุยกันใหม่แล้วกัน" คุณประคองเอ่ยอย่างติดตลกแล้วขอตัวออกจากห้องไป ปล่อยให้สองคนแม่ลูกยังนั่งอยู่ในห้องประชุมนั้น

"เดี๋ยวผมจะไปเขียนรายงานการประชุมส่งให้คืนนี้" ลูกชายพูดแล้วทำท่าจะรวบรวมเอกสารออกไปจากห้อง
"พรุ่งนี้ก็ได้.. วันนี้ต้องรีบไปหาน้องไม่ใช่หรือไง"

"รีบครับ.." เขาก้มลงดูนาฬิกา "แต่ยังพอมีเวลา ผมอยากทำงานให้เสร็จก่อน"
คุณมนธิชายิ้ม ลูกชายเธอมีความรับผิดชอบมากขึ้น พอๆกับที่เข้าใจชีวิตมากขึ้น ไม่ได้เอาตัวเองเป็นใหญ่อีกแล้ว
แต่ด้วยความเป็นแม่ ต่อให้ลูกโตแค่ไหน เธอก็ยังห่วง "แล้วนัทเขาจะกลับมาทำงานเมื่อไรล่ะ ได้ถามเขาไหม?"
มกรชะงักไป เขาได้แต่ส่ายหน้า "ผมเองก็ไม่รู้ ตั้งแต่เมื่อวานจนวันนี้ยังไม่ได้พูดกันสักคำ"

"เอ๊ะ..? ทำไมเป็นแบบนี้.." คุณมนธิชาถามอย่างสงสัย "ไหนเล่าให้แม่ฟังหน่อย"
"เรื่องเกดที่เล่าให้ฟังเมื่อวานน่ะครับ.. เขายังเข้าใจผิดและผมก็คิดว่าเขายังไม่พร้อมจะคุยกับผมด้วย ก็เลยยังไม่ได้โทรไป"

"อ้าว ยิ่งเขาเข้าใจผิดเรายิ่งต้องรีบอธิบาย ปล่อยให้ความเข้าใจผิดมันยืดเยื้อไม่ได้นะแมน" คุณมนธิชาบอกลูกแล้วก็หวนคิดถึงเรื่องของตัวเอง..
นั่นสิ..ปล่อยให้ความเข้าใจผิดมันยืดเยื้อต่อไปจะดีหรือ..?

เธอยังไม่พร้อมจะบอก ยังหาจังหวะจะพูดไม่ได้ ..แล้วเธอจะไปกำหนดกฎเกณฑ์ให้ลูกทำในสิ่งที่เธอก็ยังทำไม่สำเร็จได้อย่างไร
มนธิชาส่ายหน้ากับตัวเอง เธอนี่ไม่ไหวเลย ชีวิตครอบครัวไม่ใช่ธุรกิจ.. จะมาใช้จังหวะชิงไหวพริบอะไรกันไม่ได้หรอก ..มันมีแต่ต้องใช้ใจคุยกันเท่านั้นแหละ

"ผมเข้าใจครับ.. เดี๋ยวเย็นนี้ว่าจะไปหาเขาที่บ้าน อยากไปคุยให้รู้เรื่องเหมือนกัน"
"ถ้าน้องไม่ยอมคุยล่ะ"
มกรหันมามองหน้ามารดาแล้วก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ "ก็คงต้องรอดูว่าเขาจะยอมฟังผมเมื่อไร"

"จะให้แม่ช่วยอะไรไหม? อย่างเช่นบอกเขาว่าเขาต้องมาให้ปากคำเพื่อเป็นพยานในคดีนี้"
มกรส่ายหน้า.. "ให้เป็นไปตามรูปคดีเถอะครับแม่ ถ้าตำรวจต้องสอบปากคำเขาก็ให้ทำหมายไป หรือให้ตำรวจโทรไปเอง อย่าไปกดดันให้เขาต้องมาเลย.." ชายหนุ่มใช้สายตาแน่วนิ่งมองมารดา "อย่าให้เราต้องไปบังคับหรือหลอกลวงอะไรเขาอีกเลยครับ แค่นี้ผมก็รู้สึกผิดมากพอแล้ว"

คุณมนธิชามองใบหน้าลูกชายด้วยความชื่นชม
"แม่เชื่อว่าสักวันน้องจะเห็นความจริงใจของแมน.. น้องต้องเข้าใจแมนสักวัน"
"ครับ..ผมก็หวังอย่างนั้น"

มารดาก้าวเข้ามาหาลูกชาย เธอโอบแขนกอดร่างสูงกำยำนั่นแล้วใช้มือลูบหลังและไหล่หนาอย่างให้กำลังใจ

"แม่ภูมิใจที่แมนเข้มแข็งขึ้นนะ.. ถ้ามีปัญหาหนักหนานักก็ปรึกษาพ่อกับแม่ได้นะลูก"
การเอ่ยคำชื่นชมอย่างพอดีและจริงใจ เป็นอีกหนึ่งคำแนะนำที่แพทย์ให้ไว้ ซึ่งคุณมนธิชาก็เพิ่งจะได้เอ่ยอย่างจริงใจก็วันนี้เอง
ที่สำคัญ มกรรับรู้ได้ถึงความจริงใจนั้น เขากอดตอบมารดาเบาๆก่อนจะถอยออกเพื่อมองหน้าแม่ให้ชัดเจน

"ไม่ต้องห่วงครับ..เรื่องนี้ผมจะจัดการเอง"
------
บอกว่าจะจัดการเอง..
แต่สองอาทิตย์แล้วที่เขาไม่ได้เห็นหน้าณัฐวีร์เลย

ทุกเย็นหลังจากเลิกงาน มกรจะเทียวไปหาณัฐวีร์ไม่ได้ขาด ไปทานข้าวที่บ้าน ไปช่วยเก็บของ อยู่ที่นั่นจนเกือบเที่ยงคืนจึงยอมขับรถกลับ บางคืนเหนื่อยจากงานมากๆ ก็เผลอหลับบนโซฟา มารู้สึกตัวตอนตีหนึ่งตีสอง คุณวีรชาติมาปลุกก็จึงจะได้กลับบ้าน

บางทีไปถึงน้องอยู่บ้าง ไม่อยู่บ้าง ออกไปเที่ยวกับแพรวบ้าง ดูหนังกันบ้าง ทางนี้ก็ได้แต่ตั้งตารอ เผลอตัวนิดเดียว อาจจะเข้าห้องน้ำ หรือหันไปช่วยป๊าวีจัดข้าวของนิดหน่อย ณัฐวีร์ก็จะหนีขึ้นชั้นบนไปโดยที่เขาจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน
มีครั้งหนึ่ง มกรถูกแม่ไก่ใช้ให้ขึ้นไปตามน้องลงมาทานอาหารเย็น..
สิ่งที่ได้กลับมาหลังจากเคาะประตูไปสามครั้ง คือ ความเงียบ..

กลายเป็นป๊าวีเดินขึ้นมาตามเขาลงไป..จนเขาได้รู้ว่าน้องไลน์ไปบอกป๊าวีว่าจะไม่ทานข้าวพร้อมเขาแน่นอน
เขากำลังถูกหลบหน้าอย่างสมบูรณ์แบบ..

ไม่ให้ได้ยินกระทั่งเสียง..
ไม่ให้ได้เห็นแม้แต่ปลายนิ้วมือ..

รู้ว่าแค่พังประตูเข้าไปก็ได้เจอ.. แค่ทำตัวเกเรหน่อยก็ได้คุยกัน ..แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง นั่นไม่ใช่สิ่งที่ณัฐวีร์ยินดีแน่ๆ เขาจะใช้กำลังและความมุทะลุมาแก้ไขปัญหาอีกไม่ได้
ต้องโตเป็นผู้ใหญ่เสียที..
--------

จนเข้าสัปดาห์ที่สาม
วันนั้นเองที่มกรหักห้ามใจตัวเองไม่ได้
เขากำลังเลี้ยวรถเข้าไปในลานจอดตอนที่ณัฐวีร์กำลังออกจากรถแท็กซี่พร้อมกับแพรว ทำให้ชายหนุ่มรีบจอดรถแล้วลงจากรถวิ่งเข้าไปในบ้านทันที
ตอนที่ก้าวเข้าไป เขาเห็นหลังณัฐวีร์ไวๆกำลังจะพ้นเหลี่ยมบันได มกรจึงรีบพุ่งขึ้นตามไปโดยไม่ได้สังเกตว่าใครอยู่บริเวณนั้นหรือไม่

"แมน.." คุณณฐกายกมือค้างจะห้ามก็เรียกไม่ทัน

วันนี้เธออยู่บ้านกับเด็กในร้านแค่สองคนเท่านั้น สามีออกไปดูงานก่อสร้างที่ทองหล่อ เพราะเห็นว่าใกล้เสร็จสมบูรณ์รับมอบงานได้แล้ว ช่วงนี้จึงต้องเทียวไปเทียวมาบ่อยๆ ส่วนณัฐวีร์ วันนี้ออกไปมหาวิทยาลัยเพื่อลงเรียน นี่ก็เพิ่งจะกลับเข้ามาเมื่อครู่ แพรวที่ไปมหาวิทยาลัยมาด้วยกันก็เพิ่งแยกกลับบ้านไป แล้วก็มีแมนนี่แหละที่วิ่งตัวปลิวตามเข้ามาเรียกไว้ไม่ทัน

คุณณฐกาชะเง้อขึ้นไปข้างบน แต่ความเงียบก็ทำให้เธอเบาใจจนก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไป
*******
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 52 08.03.2015
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 08-03-2015 12:04:52
มาต่อๆ  :katai2-1:


ณัฐวีร์กำลังจะปิดประตูห้องอยู่แล้ว ตอนที่มีมือใครบางคนแทรกผ่านประตูเข้ามาและดันมันไว้ ทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยงเพราะไม่ทันได้คิดว่าจะมีใครโผล่พรวดพราดขึ้นมาบนนี้

"นัท..พี่เอง"

คำเรียกนั้นติดเสียงหอบมาเล็กน้อย แรงดันแขนทำให้ประตูเปิดออกและพบว่ามกรอยู่ในชุดเชิ้ตทำงานที่ปลดเนกไทออกแล้ว
ณัฐวีร์ใจเต้น คิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความหงุดหงิดตัวเอง การไม่ได้เจอกันมาเกือบครึ่งเดือนทำให้เขารู้สึกคิดถึง ยิ่งมาเห็นหน้ากันแบบนี้ก็ยิ่งคิดถึง อยากกอด อยากหอม อยากจะยอมไปเสียทุกอย่าง

..ใช่ เขารู้ใจตัวเองดีว่าอ่อนแอแค่ไหน
ยอมตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน มาถึงตอนนี้ก็ยังยอมให้ไม่ว่างเว้น

ถ้ามกรจะจับจุดถูก.. ถ้าผู้ชายตรงหน้านี้จะ "รู้ตัว" สักนิด
ณัฐวีร์ก็คงไม่มีทางไปไหนได้อีกแล้ว..

ณัฐวีร์กัดฟันอย่างหงุดหงิดตัวเอง
"ขึ้นมาทำไมครับ.." เขาใช้เสียงเย็นชาสาดใส่อีกฝ่าย ทำให้ฝ่ายนั้นเหมือนจะชะงักไปเล็กน้อย

"อยากคุยด้วย อยากมาคุยกันให้รู้เรื่อง"
ณัฐวีร์ยืนนิ่งแข็งขึงอยู่ได้อีกเพียงครู่เดียว เด็กหนุ่มก็ละมือออกจากลูกบิดแล้วหันหลังหนี ปล่อยให้อีกฝ่ายแทรกตัวเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูตามหลัง

ถึงจะไม่ได้ยินเสียงล็อคประตู..
แต่นี่ก็เป็นในห้องส่วนตัวที่พอปิดประตูแล้วก็เท่ากับพวกเขาอยู่ด้วยกันเพียงลำพังสองคน

ณัฐวีร์รู้สึกว่าตัวเองใจไม่สงบ เขาจึงหาถ้อยคำเชือดเฉือนและตัดเยื่อใยพูดออกมา "ผมว่าเราไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้วนะครับ"
"มีสิ มีหลายเรื่องที่พี่อยากอธิบายให้เราได้เข้าใจกัน" มกรเดินเข้ามาใกล้ ขณะที่ณัฐวีร์เดินไปหยุดลงที่โต๊ะหนังสือ

เด็กหนุ่มเอากระเป๋าสะพายออกจากไหล่วางลงบนโต๊ะ แล้วจึงคลายกระดุมเสื้อลงหนึ่งเม็ดด้วยความร้อน
เดือนพฤษภาคมเป็นเดือนที่ร้อนระอุ บรรยากาศภายนอกก็ร้อน ในใจนี้ก็ร้อน..                                                                             

"ผมเข้าใจ เรื่องที่เกิดขึ้นผมเข้าใจดี"
"แต่อาจจะเข้าใจผิด.."

"เพราะสิ่งที่ทำมันผิดและบิดเบี้ยวมาตั้งแต่ต้นต่างหาก ถ้าผมจะเข้าใจผิด มันก็เป็นเรื่องที่ผมได้รับประสบการณ์ตรงมาเอง..ไม่ใช่
ผิดเพราะไปฟังใครเขาเล่ามา"
"อย่างเรื่องของเกด.." มกรพยายามแย้ง
"เรื่องคุณเกดเป็นเรื่องในอดีตที่พี่ต้องไปเคลียร์ตัวเอง ไม่ใช่เรื่องของผม" ณัฐวีร์หันขวับมามองหน้า

"นัทกำลังเข้าใจผิด พี่ไม่ได้ทำอย่างที่ไอ้กรุงมันบอก"
ณัฐวีร์เมินหน้าหนี "นั่นก็คือเรื่องที่พี่ต้องไปเคลียร์กับครอบครัวนั้นเอาเอง ผมไม่เกี่ยว.."
"แต่ว่า.."

"ผมยืนยันคำเดิมว่าผมไม่เกี่ยว" เด็กหนุ่มกอดอกพิงสะโพกไว้กับโต๊ะหนังสือของตัวเอง "เราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน"
คนฟังแทบจะล้มทั้งยืน "ไม่เกี่ยวกันงั้นหรือ?"
ณัฐวีร์เห็นใบหน้านั้นแล้วก็รู้สึกสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง.. แต่ความตั้งใจของเขายังไงก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง.. มกรต้องได้รับบทเรียนเสียบ้าง นักโทษที่ทำความผิดยังต้องติดคุกเป็นการไถ่โทษ ดังนั้นจะมาละเว้นความผิดให้เพราะเขา "รัก" ..ไม่ได้หรอก..

"ใช่..ไม่เกี่ยวกัน"
"แต่พี่รู้เรื่องแพรวแล้วนะ แพรวไม่ใช่แฟนของนัท"
เด็กหนุ่มยักไหล่ "แล้วยังไง เรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกันสักหน่อย ผมจะเป็นแฟนกับแพรวหรือไม่ พี่ก็ไม่เกี่ยว แพรวก็ส่วนแพรว พี่แมนก็ส่วนพี่ ผมก็ส่วนผม เราสามคนไม่เกี่ยวข้องกัน"
ด้วยคำตอบนั้น มกรกลับปราดเข้ามาคว้าแขนน้องไว้ทั้งสองข้าง

"แล้วที่มีอะไรกัน ที่ยอมให้พี่กอด.."
ณัฐวีร์มองมืออีกฝ่ายเขม็ง แล้วก็เงยหน้าที่โมโหกรุ่นขึ้นสบดวงตาคมที่มองมาอย่างคาดคั้น

"มันก็แค่บรรยากาศพาไป.. ไม่เคยหรือไงกันครับ เวลาคนเรามันอยากมันก็ทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ.. ผมก็แค่อยากสนุกไปตามเรื่องตามราว พี่คิดว่าผมจะยอมทำดีกับคนที่เคยทำร้ายผมเพราะอะไรล่ะ" ณัฐวีร์หัวเราะเบาๆ "มันก็แค่เรื่องบนเตียงหรอกพี่..อย่าไปคิดมาก"

"ไม่จริงหรอก นัทไม่ใช่คนแบบนั้น” มกรส่ายหน้าปฏิเสธ “นัทไม่เหมือนพี่ สมัยก่อนพี่สามารถนอนกับใครก็ได้ แค่ต้องการก็นอนด้วยได้ แต่นัทไม่เหมือนกัน นัทไม่ใช่เด็กแบบนั้น”
ณัฐวีร์เมินมองไปทางอื่น ..ก็จริง ใช่เลย เขานอนกับคนที่ไม่ได้รักไม่ได้หรอก.. แต่จะให้ยอมรับออกไปก็ดูจะกระไร

“เรื่องในอดีตที่ทำร้ายนัท พี่รู้ตัวว่าผิด พี่ขอโทษ พี่พยายามทำดีทุกอย่างเพื่อไถ่โทษ อยากให้นัทให้อภัย..มันอาจจะอีกนานกว่านัทจะให้อภัยพี่ได้ แต่พี่ก็จะพยายามทำ พี่ทำนัทแขนหัก บอกตามตรงว่าตอนนั้นพี่ไม่รู้สึกตัวเลย พี่โมโหและขาดสติไม่รู้สึกตัวจริงๆ พี่ขอโทษมากๆ" มกรพูดด้วยความพยายามแสดงออกถึงความจริงใจของตัวเอง “และถ้ามันจะช่วยให้ดีขึ้นบ้าง พี่ก็อยากจะบอกว่าพี่ไม่เคยได้นัท.. ครั้งแรกของเราคือที่บ้านนัท ครั้งที่นัทยอมให้พี่ได้กอดอย่างเต็มใจครั้งนั้น”
คนฟังรู้สึกตกใจแล้วชาวาบไปทั้งตัว..ว่ายังไงนะ?

“ไม่..ไม่จริง..” คนพูดส่ายหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“ตอนนั้นพี่แค่พยายาม แค่พยายามจะเข้าไปเท่านั้น แต่ไอ้พวกเพื่อนพี่มันมาถึงห้องทัน พอรู้สึกตัวพี่เพิ่งเข้าไปเอง แต่เพราะพี่ดึงดันและคงรุนแรงมันก็เลยฉีก นัทก็เลยคิดว่าพี่ทำไปแล้ว..จริงๆคือยัง.. ยังเลย”
“ไม่เชื่อ..”

“นัทจะไม่เชื่อพี่ก็ได้ แต่พี่ยืนยัน.. พี่ยังไม่เคยกับนัท ครั้งแรกของเราคือที่บ้านนัทวันนั้น วันที่เราทำข้อตกลงกัน..ว่าเราจะเป็นแฟนกัน วันนั้นคือครั้งแรกของเรา"
"ไม่เชื่อ!" ณัฐวีร์ตะโกนใส่หน้าอีกฝ่าย และเริ่มดิ้นเพื่อจะพาตัวเองให้หลุดออกจากมือของมกรให้ได้

"ต้องทำยังไงนัทถึงจะเชื่อ" มกรเอ่ยอย่างหมดแรง "ต่อให้พี่มีพยานนัทก็คงไม่เชื่อปากไอ้พวกนั้นอยู่ดี มันก็.."
ณัฐวีร์ชะงักไปทันที "พยาน..?? ตอนนั้น?"

มกรพยักหน้า "พี่จะไม่โกหกอีก..ตอนนั้น นัทใจเย็นๆแล้วฟังพี่นะ คือ ..พี่อาจจะผิดที่ตั้งกล้องแชร์ภาพให้ไอ้พวกนั้นเห็น แต่ถ้าถามพวกนั้นดูนัทจะรู้ว่า..”
"ออกไป..ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!!"

ณัฐวีร์ตะโกนออกมาสุดเสียง เขาใช้แรงทั้งหมด ทั้งผลัก ทั้งถีบเพื่อให้ตัวเองหลุดออกมา แต่มกรก็ตัวใหญ่กว่ามาก พอชายหนุ่มรวบกอดร่างน้องไว้น้องก็หมดหนทางจะดิ้นหนีแล้ว
"ปล่อย! ปล่อยกู!!"

ณัฐวีร์ร้องเสียงดัง ทั้งหมัด ทั้งศอกเขาพยายามประเคนเข้าใส่แต่ด้วยระยะห่างที่ไม่มากมันจึงไม่มีน้ำหนักพอจะทำให้อีกฝ่ายปล่อยร่างเขาได้

"นัท! ใจเย็นๆ ฟังพี่ก่อน นัท.." มกรพยายามใช้แรงของตัวเองกอดน้องไว้แนบตัว แต่ณัฐวีร์ก็ผู้ชายคนหนึ่ง แรงไม่ได้น้อยนัก ดังนั้นกว่าจะสยบน้องลงได้มกรก็โดนไปหลายหมัด เล่นเอาทั้งเหนื่อยทั้งจุก
จนกระทั่งหมดแรงแล้วนั่นแหละน้องถึงได้หยุดยืนหอบอยู่ในอ้อมแขนแกร่งที่สาบานกับตัวเองไว้ว่าจะไม่ยอมปล่อยคนๆนี้ไปอีกเด็ดขาด

"พี่ขอโทษ แต่พี่อยากบอกให้รู้ ทุกเรื่องที่พี่ทำผิดกับนัทไว้ พี่อยากบอกให้รู้ทุกอย่าง พี่สัญญาว่าจะไม่ปิดบัง จะไม่โกหกอีก พี่ถึงต้องบอก ต้องให้นัทได้รู้ความเลวที่พี่เคยทำไว้" มกรพูดไปก็หอบไป แรงขืนจากณัฐวีร์ยังมีอยู่บ้าง แต่คงเพราะเหนื่อยแล้วถึงได้ไม่มากเท่าเดิม "พี่ขอโทษ ขอโทษจริงๆ ขอโทษมากๆ ตอนนี้จะให้พี่ทำอะไรก็ยอมหมดเลย แค่อยากให้นัทอภัยให้พี่บ้าง"
ร่างที่อยู่ในอ้อมแขนของมกรสั่นเทา เสียงสะอื้นเบาๆดังออกมาอย่างไม่มีทางออกให้กับตัวเอง..

เขาตั้งใจที่จะให้บทเรียนกับมกร ต้องการลงโทษช่วงระยะเวลาหนึ่ง..แต่เรื่องราวความจริงใหม่ๆก็ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ มาบั่นทอนความรู้สึกของเขาอีกเรื่อยๆ

"นัทอย่าร้องไห้เลย พี่ขอโทษ"
มกรยอมปล่อยน้องก่อนจะหันไปลากเอาเก้าอี้ออกมาเพื่อพาร่างที่คล้ายจะหมดแรงนั่งลง พอน้องนั่งได้เขาก็คุกเข่าลงตรงหน้า

"อย่าคิดมากนะนัท พี่บอกความจริงเพราะอยากให้ได้รู้ ไอ้พวกนั้นไม่เคยพูดถึงเรื่องแคมเลย" มกรพยายามพูดให้คลายใจ โดยไม่รู้ว่านั่นยิ่งไปย้ำให้ณัฐวีร์โมโหหนักขึ้นมาอีก
ฝ่ามือเล็กเลยฟาดมาอีกเปรี้ยงที่ใบหน้าคมสัน เล่นเอามกรหน้าหันไปเลย
ชายหนุ่มร้องอูย ส่ายหน้าหน่อยๆอย่างมึนงง ในอุ้งปากได้รสสนิมมาด้วย

"มือหนักเหมือนกันนะเนี่ย.." เขาบ่นพลางหันมายิ้มหวานอย่างเอาใจ "นัทจะตีพี่อีกก็ได้ เอาที่นัทสบายใจเลย"
"ถ้าจะให้สบายใจคือมึงออกไปจากบ้านกู ไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!"
"นัท.." มกรเรียกอย่างอ่อนแรง เขาจับเข่าน้อง เพราะถ้าแค่มือยังพอไหว ถ้าขามาด้วยนี่ก้านคอสลบแน่ “พี่ขอร้อง ..ให้โอกาสพี่บ้าง”

"ได้.." ณัฐวีร์ยอมตอบออกมา เขายกแขนขึ้นกอดอก "ผมเกลียดที่พี่ทำรุนแรงกับผม ดังนั้น ผมจะไม่ทำอะไรแบบนั้นกับพี่แน่.. เอาล่ะ ถ้าไม่อยากให้เรื่องมันเลยเถิดไปมากกว่านี้ พี่ก็ควรกลับไปเสีย อย่ามาให้ผมเห็นหน้า"
"เดี๋ยวสินัท.." มกรพยายามประนีประนอม
"ผมโกรธมากที่พี่เคยทำร้ายผม ผมพยายามให้อภัยแล้ว และจะคิดเสียว่าเรื่องทั้งหมดมันแค่ฝันไป พี่ไปจากชีวิตผมเสียเถอะ.."

"นัท.." มกรทำอะไรไม่ถูกยิ่งเมื่อณัฐวีร์วางเฉยแล้วลุกขึ้นเดินไปที่ประตูเปิดมันออก เขายิ่งมองอีกฝ่ายอย่างตัดพ้อ
"กลับไปเสียเถอะครับ.."

"แต่พี่รักนัท..พี่จะไม่.."
"แต่มันไม่มีค่าสำหรับผมเลยครับ" ณัฐวีร์ตอบอย่างชัดเจน ทำให้มกรลุกขึ้นเดินมาหา

"นัท.. อย่าตัดความหวังพี่แบบนี้สิ"
เด็กหนุ่มส่ายหน้า "เปล่าเลยครับ ผมไม่เคยให้ความหวังพี่อยู่แล้ว ที่ผมพูดผมหมายความตามนั้น..คำว่ารักของพี่มันเชื่อถือได้มากแค่ไหนกัน ผมจะรู้ได้ยังไงว่าพี่ไม่ได้ไปรับคำท้ามาจากใครอีก ผมจะรู้ได้ยังไงว่าพี่ไม่ได้ไปเล่นพนันที่ไหนไว้อีก.. เราจะคบกันได้ยังไงถ้าผมยังไม่ไว้ใจ.. สักวันมันก็จะเกิดเรื่องอีกอยู่ดี เกิดเพราะความที่ผมไม่ไว้ใจเนี่ยแหละ.."

"นัท..โธ่" มกรฟังแล้วแทบอยากจะชกตัวเอง นี่อดีตมันย้อนรอยเขาขนาดนี้เชียวหรือ "ขอให้เชื่อใจพี่ได้ไหม..พี่ไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นจริงๆ"
ณัฐวีร์ยิ้มอย่างเลือดเย็น "ผมเคยเชื่อใจ.. แต่สุดท้ายมันก็เป็นเหมือนที่ผ่านมาไงครับ ดังนั้น ผมไม่อยากถูกหลอกซ้ำอีก คราวแรกพี่ก็ทำดีหลอกให้ผมตายใจ คราวนี้.. มันอาจจะเป็นแบบเดิมก็ได้ใครจะไปรู้.."

"ต้องทำยังไงให้นัทเชื่อพี่ล่ะ" มกรพูดอย่างอ่อนใจ..
"ออกไปจากที่นี่.. ออกไปจากชีวิตผมเสียที" ณัฐวีร์เอ่ยอย่างมั่นคง "อย่ามาให้ผมเจอหน้าพี่อีก แบบนั้นผมถึงจะเชื่อใจได้"

"แต่ว่า.."

"แค่นี้พี่ก็ทำไม่ได้แล้ว.. จะให้ผมเชื่อใจพี่ได้ยังไง!" ณัฐวีร์ตวาด "ออกไปจากห้องผมเดี๋ยวนี้ ผมอยากพักผ่อน!"
มกรจำต้องเดินออกมาจากห้องน้อง เขาส่งสายตาเว้าวอนไปให้แต่ดูเหมือนณัฐวีร์จะไม่ได้สนใจ น้องปิดประตูใส่หน้าทิ้งร่างสูงยืนเคว้งอยู่หน้าห้องนั่นเอง
-----
อีกหลายวันหลังจากนั้น มกรก็ยังพยายามเทียวมาหาณัฐวีร์ที่บ้านอยู่ดี คราวนี้เขาได้พบหน้าฝ่ายนั้นบ้าง แต่กลายเป็นว่าเขาคืออากาศธาตุที่ไม่มีตัวตน ไม่ว่าจะชวนคุย หรือพยายามทำอะไรให้ ณัฐวีร์จะเมินเฉยเสียทุกครั้ง

แต่มกรก็ยังไม่ละความพยายาม เขาเชื่อว่าสักวัน เขาจะทำให้ณัฐวีร์เชื่อใจได้
จากนั้นอีกกว่าสองอาทิตย์ที่บรรยากาศมืดมัวยังคงแผ่ปกคลุมไปทั่ว

กระทั่งครอบครัวนี้ย้ายไปอยู่ที่ทองหล่อแล้ว มกรก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะชนะใจณัฐวีร์ได้ หนำซ้ำดูเหมือนจะหนักขึ้นกว่าเดิม เพราะจากที่หลบหน้า มาสู่การเมินเฉย จนถึงขั้นถัดไปที่ณัฐวีร์ทำยิ่งกว่า
-----

โพสต์ไปอีก 2 ตอน..ฮูเร้

ใกล้จะจบแล้วนะคะ นี่ก็ว่าจะเปิดจองแล้วล่ะ ถ้ายังไงติดตามรายละเอียดที่เพจกันได้นะคะ ถ้าเปิดจองจะโพสต์แจ้งไว้ค่ะ

อีกอย่างคือ งานสัปดาห์หนังสือ ทาง morse ไปออกบูธกับสนพ.สะพาน และเบเกอรี่บุ๊คด้วยนะคะ นักอ่านท่านไหนสนใจเรื่องเก่าๆก็ไปลองดูได้ค่ะ

มอสคงไปที่บูธเบเกอรี่บุ๊ควันที่ 29 มีนาคมค่ะ ถ้ามีใครแวะไปก็ทักทายกันได้นะคะ ^^
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 51-52 08 03 2015
เริ่มหัวข้อโดย: PoPuAr ที่ 08-03-2015 12:35:35
นึกว่าจะได้คืนดีกัน เลวร้ายกว่าเดิมลงไปอีก
สงสารพี่แมนมาก พยายามต่อไปนะพี่ น้องนัทรักพี่อยู่แล้ว
เพียงแต่น้องยังขาดความเชื่อใจในตัวพี่ คนที่เคยเจออย่างนัทเมื่อในอดีต
ก็ย่อมที่จะไม่เชื่อใจอะไรง่ายๆอีกแล้ว พี่ต้องทำให้นัทกลับมาเชื่อใจพี่ให้ได้
ให้เวลาน้องนัทเค้าได้คิดทบทวนอะไรก่อนนะ เชื่อว่ารักไม่ทิ้งพี่ไปแน่นอน
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 51-52 08 03 2015
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-03-2015 13:36:53
หนักกว่าเดิมอีกแต่รู้สึกสะใจมาก คือมันใช่อะ สำกรับคนที่โดนทำขนาดนี้แล้วจะมาขอให้อภัยให้กันง่ายๆมันใช่หรือ มันก็ต้องมีบทเรียนกันบ้าง ถึงจะรักขนาดไหนก็ตาม ชอบนัทจริงๆ
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 51-52 08 03 2015
เริ่มหัวข้อโดย: heaven13 ที่ 08-03-2015 17:24:56
ไม่อยากอ่านดราม่าแล้ววววว

รอตอนต่อไป ขอหวานๆนะคะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 51-52 08 03 2015
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 10-03-2015 19:57:49
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 51-52 08 03 2015
เริ่มหัวข้อโดย: disney ที่ 11-03-2015 01:19:45
แมนดูน่าสงสารนะ แต่อีกใจก็สมน้ำหน้า เอ๊ะ ยังไง 555

แต่ยังไงก็อยากให้สมหวัง happy กันทั้งคู่แหละ

แมนอดทนง้อหน่อยละกัน
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 51-52 08 03 2015
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 11-03-2015 02:08:24
อยากจะบอกแมนว่า พอเดะวะ นัทไม่ต้องการจะตามทำไม ทำไปมีแต่นัทรำคาญ หึหึ ประชดนะ
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 53 / 16032015
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 16-03-2015 20:15:00
มาต่อแล้วค่ะ  :katai4:
ว่าจะลงตั้งแต่เมื่อวาน แต่เน็ทไม่เป็นใจเลย
*******

อีกหลายวันหลังจากนั้น มกรก็ยังพยายามเทียวมาหาณัฐวีร์ที่บ้านอยู่ดี คราวนี้เขาได้พบหน้าฝ่ายนั้นบ้าง แต่กลายเป็นว่าเขาคืออากาศธาตุที่ไม่มีตัวตน ไม่ว่าจะชวนคุย หรือพยายามทำอะไรให้ ณัฐวีร์จะเมินเฉยเสียทุกครั้ง

แต่มกรก็ยังไม่ละความพยายาม เขาเชื่อว่าสักวัน เขาจะทำให้ณัฐวีร์เชื่อใจได้
จากนั้นอีกกว่าสองอาทิตย์ที่บรรยากาศมืดมัวยังคงแผ่ปกคลุมไปทั่ว

กระทั่งครอบครัวนี้ย้ายไปอยู่ที่ทองหล่อแล้ว มกรก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะชนะใจณัฐวีร์ได้ หนำซ้ำดูเหมือนจะหนักขึ้นกว่าเดิม เพราะจากที่หลบหน้า มาสู่การเมินเฉย จนถึงขั้นถัดไปที่ณัฐวีร์ทำยิ่งกว่า

รถยนต์คันสวยแล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าร้านตอนเวลาเกือบจะสามทุ่มแล้ว มกรที่นั่งอยู่ด้านในชะเง้อออกไปดู แล้วจึงเห็นว่าคนที่ก้าวลงมาจากรถก่อนคือณัฐวีร์

"ใครมาส่ง"
คุณวีรชาติเองยังเอ่ยถาม รถคันนั้นไม่คุ้นหน้าคุ้นตามาก่อนเลย ที่สำคัญณัฐวีร์ไม่เคยขึ้นรถใครกลับมาจากมหาวิทยาลัย เพราะตัวเองก็มีรถขับ แต่บางครั้งที่ไม่ได้ขับไป ณัฐวีร์ก็จะนั่งรถไฟฟ้าหรือรถสาธารณะกลับ ไม่เคยมีใครมาส่ง

มกรผุดลุกขึ้นทันทีที่เห็นคนขับรถก้าวลงมา ชายแปลกหน้าที่เขาไม่รู้จัก ช่วยณัฐวีร์ถือของจากหลังรถเดินเข้ามาส่งถึงในบ้าน ร้อนถึงคุณวีรชาติต้องออกโรงเรียกมกรเอาไว้

"เดี๋ยวแมน.. รอก่อน"

ป๊าวีนั้นเดาใจลูกชายไม่ถูก อาจจะอยากแกล้งมกร หรืออาจจะแค่เพื่อนกันมาส่งที่บ้านธรรมดาก็เป็นไปได้ ดังนั้น จึงจำต้องสงวนท่าทีรอดูณัฐวีร์ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ

มกรมีท่าทางลังเล เขามองไปนอกร้านเห็นสองคนนั่นยืนคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนานก็อยากจะออกไปยืนเป็นก้างขวางคออยู่เหมือนกัน แต่เพราะป๊าวีเรียกไว้ทำให้เขาต้องถอยตัวลงมานั่ง

มือใหญ่ของชายสูงวัยตบลงบนบ่าหนาเบาๆ "ใจเย็น นิ่งๆไว้เดี๋ยวดีเอง"
คุณวีรชาติก็ไม่รู้หรอกว่าจะดีหรือไม่ แต่จะอนุญาตให้มกรไปลุยก็ไม่ใช่เรื่อง

ยี่สิบนาทีผ่านไป การโบกไม้โบกมือลากันจึงทำให้เส้นความอดทนของมกรหมดลง อีกฝ่ายเดินไปขึ้นรถแล้ว ณัฐวีร์ก็ยังยืนอยู่นอกร้านเหมือนยืนส่งกันจนน่าจะรอให้ท้ายรถลับตาไป..เหมือนว่ายัง..อาลัยอาวรณ์..

เห็นแบบนั้นก็สุดจะทนแล้วจริงๆ มกรลุกขึ้นหันมาไหว้ลาวีรชาติและณฐกา "ผมกลับก่อนดีกว่าครับ.. น้องเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆจะได้พักผ่อน"
"อ้าว..ไม่รอ.." ยังไม่ทันที่วีรชาติจะเอ่ยจบประโยค มกรก็หันตัวเดินลิ่วๆออกไปที่ประตูแล้ว

จังหวะนั้น ณัฐวีร์ผลักประตูเข้าร้านมาพอดี สายตาของเด็กหนุ่มจึงมองสบกันกับมกรเข้า แต่แทนที่ณัฐวีร์จะเมินไปก่อน..กลับกลายเป็นมกรที่เมินหนี แล้วร่างสูงก็เบี่ยงตัวหลบเดินออกไปที่ลานจอดรถไม่หันกลับมาเลย

ณัฐวีร์มองตามแล้วก็หงุดหงิด ใครกันแน่ที่ต้องเป็นฝ่ายเมิน นี่เขายังไม่ได้ยกโทษให้เลยนะ!
เด็กหนุ่มเดินมานั่งลงที่โต๊ะ ใบหน้านั้นบูดสนิท เขายกน้ำที่คนงานในร้านเอามาให้ดื่มทำท่าจะดื่ม แต่ก็คาใจจนดื่มไม่ลง ต้องวางแล้วบ่น "เป็นอะไรของเขาอีก"

เสียงบดห้ามล้อดังเอี้ยดเหมือนคนขับรถจะใส่น้ำหนักเท้าเหยียบคันเร่งอย่างไม่คิดชีวิต ณัฐวีร์จึงรีบหันไปดูที่นอกถนน
รถคันนั้นเลี้ยวออกมาจากลานจอดรถตีโค้งปาดหน้าใครต่อใครแล้วไปเบรคจ่ออยู่ตรงถังขยะที่ตั้งล้ำจากขอบทางออกมาเล็กน้อย..

ถ้าไม่เบรคเสียก่อนมีหวังคงแหกโค้งเสยทั้งถังขยะและเสาไฟฟ้าแน่ๆ
ณัฐวีร์อุทานอย่างตกใจทำท่าจะวิ่งออกไปดู.. แต่แล้วรถคันนั้นก็ถอยหลังเล็กน้อยให้พ้นเหลี่ยมชน แล้วเร่งออกไปทันที
อาการยืนคว้างของณัฐวีร์ทำให้คุณวีรชาติกับคุณณฐกามองหน้ากัน
"นี่เขาเป็นบ้าอะไรของเขาอีกเนี่ย!" ณัฐวีร์บ่นแล้วก็ถอยตัวกลับมานั่งลงที่เก้าอี้



"ก็เรานั่นแหละ ต้นเหตุ" ณฐกาเอ่ยกับลูกชาย “นัทมีชีวิตของนัท แล้วแต่การตัดสินใจของลูก แม่ให้อิสระเสมอ แต่นัทควรจะต้องรู้นะว่านัทกำลังทำอะไร”

ณัฐวีร์ถึงกับเหวอ.. ทำไมเขาโดนดุล่ะ?
"เดี๋ยวนะฮะแม่ไก่ นัทไปทำอะไร นัทเดินเข้ามาเฉยๆ"

"แล้วพาใครมา?" แม่ไก่ของลูกแมนออกอาการแทนลูกเขยเสียแล้ว
"เพื่อนครับ.. วันนี้ต้องขนของจากสโมฯมาไว้ที่บ้านก่อน พรุ่งนี้ค่อยเอาไปทำกิจกรรมนอกสถานที่กัน"
"แล้วทำไมไม่ไว้ในรถเพื่อนคนนั้น" คราวนี้กลายเป็นวีรชาติถามขึ้นมาบ้าง

ณัฐวีร์ก็อ้ำอึ้ง.. บอกตามตรงคือเขาเสนอตัวเอง คะยั้นคะยอให้เพื่อนมาส่ง ส่วนหนึ่งก็เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองด้วย เขาแค่อยากเห็นว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไรเวลาที่เขามีใครอีกคนคุยด้วย เหมือนที่เขาเคยรู้สึกหรือเปล่า.. ตอนที่ฝ่ายนั้นทิ้งไปคุยกับใครต่อใคร ไปทำตัวเหมือนไม่มีเขาไปด้วยกัน

เพราะเขายังไม่สามารถให้อภัยกับอดีตที่ผ่านมาได้ เขาจึงแก้คืนในส่วนที่เคยถูกกระทำ
อาการอ้ำอึ้งของณัฐวีร์ทำให้บิดาส่ายหน้า "อย่าเล่นกับความรู้สึกคนแบบนี้นะนัท"
ประโยคนั้นทำให้ณัฐวีร์อ้าปากจะปฏิเสธ แต่พอเห็นทั้งป๊าและแม่มองกลับมาอย่างไม่ชอบใจ ณัฐวีร์ก็ได้แต่อ้อมแอ้ม "นัทจะทำโทษเขาบ้าง เขาทำนัทไว้ตั้งเท่าไรเขายังไม่เคยสงสารนัทเลยนะป๊า"

"แล้วเราต้องทำอย่างเขาหรือ เขาทำไม่ดีเราก็รู้ว่าเขาทำไม่ดี แล้วเราก็ทำไม่ดีตามเขาหรือ" วีรชาติถามลูกชาย
"นัทโตแล้ว นัทต้องรู้แล้วว่าสิ่งไหนดีไม่ดี" ณฐกาซ้ำทันที

เมื่อก่อนถ้าป๊าดุแม่จะปลอบ หรือถ้าแม่ดุป๊าจะโอ๋ ..ตอนนี้ไม่มีแล้ว.. ทั้งป๊าทั้งแม่ เข้าข้างคนอื่นมากกว่าลูกไปแล้ว ณัฐวีร์ทำตาปริบๆ

"ถ้าโมโหเขามาก ไม่อยากยุ่ง ไม่อยากเห็นหน้าก็บอกเขาตรงๆ และไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันอีก บอกไปเลยว่าเกลียด ไม่อยากเจอ อย่าให้ความหวัง ต่างคนต่างแยกย้ายไปมีชีวิตของตัวเอง"
"ป๊า.." ณัฐวีร์เอ่ยเบาๆเมื่อเห็นว่าวีรชาติกำลังเอาจริง

"ป๊าไม่เคยสอนให้นัทเป็นคนแบบนี้"
"นัทขอโทษ" เด็กหนุ่มยกมือขึ้นไหว้บิดาและมารดา "คราวหลังจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว"

คุณวีรชาติพอเห็นลูกอ่อนลงก็ยกมือขึ้นลูบศีรษะเบาๆ "จำไว้นะณัฐวีร์.. ถ้าไม่อยากให้ใครทำอะไรแย่ๆกับเรา เราก็อย่าไปทำแย่ๆกับเขา"

ลูกชายพยักหน้ารับ "ครับ.. นัทจะไม่ทำแบบนั้นอีก นัทจะพูดให้ชัดเจน ถ้าเขารับได้ ยอมทำตามที่นัทบอก นัทก็จะยอมเชื่อใจเขาอีกครั้ง"
ณัฐวีร์บอกแก่บิดาและมารดาด้วยใบหน้ามุ่งมั่น

-------
สี่วันแล้วที่มกรไม่มาที่บ้านทองหล่ออีกเลย
แต่ยังพอวางใจได้ว่าตอนแม่ไก่โทรไปหาคุณแม่มน ก็ได้รับข่าวว่าเขายังไปทำงานดี ไม่ได้ป่วยหรือไปเสยเสาไฟฟ้าที่ไหน
ณัฐวีร์นั่งมองมือถือแล้วเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ.. ไม่ใช่แค่ตัวที่หายไป การติดต่อสื่อสารต่างๆก็หายตามไปด้วย
ไม่มีไลน์ ไม่มีเมล ไม่มีการกดไลค์หรือคอมเม้นท์ใดๆที่เฟส..

ว่าแล้วณัฐวีร์ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กอีกที.. ไม่มีการแจ้งเตือนใหม่ และเฟสของฝ่ายนั้นก็นิ่งมาได้สี่วันแล้วเช่นกัน ไม่มีการอัพรูป ไม่มีอัพสถานะ ไม่มีเช็กอิน เหมือนเป็นเฟสร้าง มีแต่คำบอกเล่าจากแม่มนว่า

"กลับดึก.. เห็นที่บริษัทบอกว่านั่งทำงานอยู่เกือบสามทุ่ม เมื่อวานก็เข้าไปเคลียร์งาน"
ณัฐวีร์วางโทรศัพท์ลงอย่างหงุดหงิด.. เคลียร์งาน.. วันเสาร์เนี่ยนะ?

ปกติวันเสาร์จะเป็นวันที่มกรจะมาคลุกอยู่ที่บ้านเขาทั้งวัน ต่อให้เขาไม่อยู่ หรือเขาไม่ยอมพูดคุยด้วย ฝ่ายนั้นก็จะพยายามมาป้วนเปี้ยน วนเวียนให้เห็นในสายตา ให้ได้ยินเสียง หรือให้ได้กลิ่นโคโลญจน์กันบ้าง ไม่ต้องจุดธูปเรียก เดี๋ยวก็มา..

แต่นี่หายไปสี่วันแล้ว.. เกินกว่าสามวันอันตรายแล้ว ทำไมยังไม่เห็นตัวเห็นหัวกันเลย
การต้องมานั่งอยู่กับบ้านในบ่ายวันอาทิตย์นี่มันน่าเบื่อดีแท้ ณัฐวีร์สอดส่ายสายตามองไปรอบร้าน อีกห้าวันร้านจะเปิดตามฤกษ์ที่ป๊าวีไปหามาได้ วันนี้ป๊ากับเด็กที่ร้านอีกสองคนเลยออกไปตั้งแต่สายๆ เพื่อหาซื้อของเข้าร้าน ปล่อยให้เขาอยู่ดูแลแม่ไก่กับเด็กผู้หญิงที่ร้านอีกคน

ณัฐวีร์มองความเงียบเชียบ แล้วก็มาหยุดสายตาลงที่โทรศัพท์อีกครั้ง.. ไม่รู้จะทำอะไรก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูการแจ้งเตือน เข้าไปในหน้าเฟสของมกรอีกจนได้
---

"ไอ้..ควาย.."

คำด่าสุดจะหยาบคายดังมาทางโทรศัพท์ ทำเอามกรหัวเราะร่วนให้กับคนด่า
"มึงจะสรรหาคำด่าที่มันดูทันสมัยกว่านี้ไม่มีแล้วหรือไงวะ.. ด่ากูอยู่แต่คำเดิมๆเนี่ย"

"ไม่รู้จะหาคำไหนมาอธิบายมันสมองมึงไอ้แมน.. ไปบอกทำไมเล่าเรื่องแบบนี้ใครเขาให้ชี้แจงแถลงไข เก็บเงียบไว้ก็ไม่มีใครรู้ ที่สำคัญน้องก็ไม่รู้หรอกถ้ามึงไม่บอกว่าตั้งกล้องไว้น่ะ" แชร์สวดยับเลยทีเดียว

"ก็จริงใจ.. อยากให้นัทเห็นว่ากูบอกแล้วทุกเรื่อง"

"บางเรื่องมึงปิดไว้บ้างก็ได้.. ไอ้บลูซัฟฟาย"

“มึงคงไม่ได้ด่ากูเป็นอัญมณีมีค่าขนาดนั้นใช่ไหม” มกรหัวเราะแล้วขยับเปลี่ยนโทรศัพท์มาถืออีกมือ คุยกันมานานพอควรเขาก็เลยเมื่อยบ้าง คราวนี้เขาเอาข้อศอกท้าวไว้กับประตูรถช่วยค้ำให้คลายเมื่อยไปอีกแรง สายตาก็มองไปยังประตูร้านอาหารที่ยังปิดเงียบ เพราะกว่าจะถึงฤกษ์เปิดร้านก็คงจะอีกหลายวัน

"ไม่เอาอ่ะ อยากจะบอกให้ครบ ไม่อยากให้เขามารู้เอง.." มกรทอดเสียงอ่อนลง เรื่องราวก่อนหน้านี้ที่ณัฐวีร์ได้ยินจากไอ้กรุง ไอ้เอ มันบั่นทอนความมั่นใจของเขาไปมากโข วันนั้นทุกอย่างเกือบจะดีอยู่แล้วถ้าไม่เจอไอ้พวกนั้น ไม่ถูกพูดในสิ่งที่บิดเบือนจากอดีต ถ้าเมื่อก่อนเขาจะไม่ประชดชีวิต ยอมรับความจริง พูดความจริง เรื่องราวก็คงไม่ย่ำแย่ลงอย่างนี้

ดังนั้น.. ถ้ามีอะไรที่เขายังไม่ได้บอก เขาก็จะบอกณัฐวีร์ให้หมด จะไม่ปิดบังเอาไว้อีก
แชร์เองก็นิ่งไปเช่นกัน.. เขาเองก็มีบางเรื่องที่ยังไม่ได้บอกเพื่อน

ตอนที่ตั้งกล้องไว้ เขาก็กดอัดคลิปตามปกติที่เคยทำกัน.. แต่ที่เขายังไม่ได้บอกเพื่อนก็คือ คลิปนั้นถูกทำลายไปตั้งแต่อุบัติเหตุที่เชียงใหม่เมื่อสองปีก่อนแล้ว

ซึ่งเขาก็ควรบอกเพื่อนให้รับรู้ไว้ว่ามันไม่มีอยู่บนโลกนี้อีกแล้ว.. เพื่อนจะได้ไม่วิ่งโร่ไปแจ้งณัฐวีร์ว่าเคยอัดคลิปไว้ เดี๋ยวจะเป็นเรื่องหนักกว่าเดิม

พูดตามตรง ต่อให้ใจแข็งหรือสารเลวแค่ไหน.. เห็นคนเจ็บนอนอยู่บนพื้นถนนต่อหน้าแล้วยังกล้าเก็บคลิปบนเตียงนั่นไว้ดูอีกก็ไม่ใช่คนแล้ว

"เออ เรื่องคลิปน่ะ..กูว่าจะบอกอยู่.. คือ.." แชร์ตัดสินใจจะพูดออกไป แต่แล้ว..
"นัท?.." มกรเรียกชื่อนั้นออกมาก่อนจะขยับตัวเพ่งมองไปยังหน้าร้าน

"เฮ้ย..อะไร?" แชร์เอ่ยถามเมื่อเพื่อนร้องอุทานอย่างตกใจออกมาอีกคำ
แต่มกรก็รีบตัดบททันที "เออๆ แค่นี้ก่อน เดี๋ยวกูไปดูทางนั้นก่อนแล้วจะโทรไป"

มกรกดตัดสายแล้วเหยียบคันเร่งพุ่งรถออกไปยังร้านที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เขาเห็นณัฐวีร์กำลังยืนละล้าละลังอยู่ที่หน้าร้าน หมุนไปหมุนมาเหมือนกำลังมองหาอะไรสักอย่าง ที่สำคัญถ้ามองไม่ผิด ..เสื้อยืดที่ใส่อยู่กับบ้านตัวเก่งที่เห็นชอบใส่ประจำ..มีคราบเลือด..
มกรจอดรถแล้ววิ่งลงไปหาน้องทันที นั่น..เลือดจริงๆเสียด้วย

"นัท!"
เสียงเรียกทำให้ใบหน้าซีดขาวของณัฐวีร์หันมาหา เขาเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าคนเรียกเป็นใคร

"พี่.."
มือเล็กๆที่เปื้อนเลือดนั่นสั่นระริก ณัฐวีร์ยื่นส่งมาหาทำให้มกรก้าวไปคว้ารวบเอาไว้ทั้งสองมือ
"เกิดอะไรขึ้น?!"

มกรถามด้วยความเป็นกังวล แต่ยังไม่ทันที่น้องจะตอบ เสียงไซเรนของรถพยาบาลก็ดังใกล้เข้ามา ณัฐวีร์เหลียวไปมอง น้ำตาของเขาไหลออกมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เขาหันกลับมาลนลานดึงมือออกจากการเกาะกุมแล้วเปิดประตูกว้าง จนมกรมองเข้าไปเห็นร่างที่นั่งเอนอยู่บนเก้าอี้

"..แม่..แม่.."

ณัฐวีร์ร้องเรียกมารดาที่ใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด เด็กคนงานในร้านที่นั่งจับมือณฐกาเป็นเพื่อนกันก็หน้าซีดๆไม่แพ้กัน
ตอนนี้คนที่ดูจะนิ่งที่สุดกลับกลายเป็นมกร.. ชายหนุ่มวิ่งลงไปที่ถนนโบกเรียกรถพยาบาล เมื่อรถจอดเขาก็ตรงมาเปิดประตูร้านออกให้กว้างที่สุดเท่าที่จะกว้างได้เพื่ออำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่ได้พาณฐกาออกมา

ตอนที่ยกเปลที่มีร่างของแม่ขึ้นรถพยาบาล ณัฐวีร์และมกรก็ปรี่ขึ้นรถตามไปเช่นกัน ตอนแรกเจ้าหน้าที่กันไว้ทั้งคู่ "คนไม่เกี่ยวข้องขึ้นไม่ได้นะครับ"

แต่คำพูดของณัฐวีร์ทำให้เจ้าหน้าที่ปล่อยพวกเขาทั้งคู่ขึ้นรถไปจนได้ "ผมเป็นลูก ส่วนนี่ลูกเขย"
แล้วณัฐวีร์ก็ลากแขนมกรขึ้นไปบนรถด้วยกันไม่ได้รอฟังคำอนุญาต และเพราะจะมัวชักช้าอยู่ไม่ได้ เจ้าหน้าที่จึงจำต้องปล่อยมกรขึ้นไป

พอรถเคลื่อนตัวออก เจ้าหน้าที่ก็เริ่มปฐมพยาบาลเบื้องต้น ผู้ชายสองคนที่นั่งอยู่ในรถด้วยต่างก็พยายามจับแขนและบีบมือแม่ไก่ให้กำลังใจ แต่ไม่รู้ว่าให้กำลังใจแม่ที่เคยคลอดลูกมาแล้ว หรือให้กำลังใจตัวเองที่เพิ่งเคยเห็นการคลอดลูกสดๆร้อนๆชนิดริงก์ไซส์
พยาบาลที่อยู่ด้านท้ายร้องบอกเป็นระยะ "คุณแม่ใจเย็นๆนะคะ หายใจเข้าลึกๆ น้องเริ่มโผล่หัวออกมาแล้ว"

คุณพยาบาลอธิบายพร้อมให้กำลังใจคุณแม่ แต่กลับทำให้ชายสองคนในรถมองหน้ากันด้วยใบหน้าซีดเผือด
“ถึงมือหมอแล้วนะ ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว”

มกรโอบไหล่น้องเข้ามากอดอย่างให้กำลังใจ อีกมือก็จับแขนณฐกาไว้ ส่วนณัฐวีร์ มือข้างหนึ่งก็จิกขามกร อีกข้างก็จับมือแม่
ใจนั้นสุดจะกังวล ยิ่งพยาบาลแจ้งว่าเปิดแล้วกี่เซน กี่เซน โทรหาคุณหมอประสานกับโรงพยาบาลตลอด ณัฐวีร์ยิ่งกังวล
แม่เพิ่งจะท้องได้ 7 เดือนกว่าๆเท่านั้น จู่ๆแม่ก็บอกว่าน้ำเดินแล้วให้เรียกรถพยาบาล วางสายจากการเรียกรถไปได้แป๊บเดียวเลือดก็
ไหลออกมาจนเขาทำอะไรไม่ถูก

"ใจเย็นๆนะ แม่ไก่ต้องไม่เป็นอะไร"

มกรกระซิบบอกพร้อมกับกระชับอ้อมแขนอย่างให้กำลังใจน้อง ณัฐวีร์เองก็พยักหน้ารับโดยไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตามันไหลลงมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่

ทั้งแตกตื่นตกใจ ทั้งอุ่นใจในเวลาเดียวกัน..

ตกใจเพราะไม่คิดว่าแม่จะคลอดก่อนกำหนด ไม่เคยมีสัญญาณมาก่อน หมอกับป๊าก็ไม่เคยบอก แต่ตอนนี้อุ่นใจ.. อุ่นใจที่มีใครคนหนึ่งอยู่ข้างๆกัน.. คอยแบ่งปันช่วงเวลาที่น่าระทึกนี้ด้วยกัน

เมื่อตอนที่เห็นว่ามกรเลี้ยวรถเข้ามา เมื่อตอนที่ร่างสูงพุ่งเข้ามาหาและจับมือกันไว้..
ณัฐวีร์รู้สึกถูกเติมเต็มหัวใจ..

หัวใจที่เหี่ยวเฉาและรอคอยมานาน..

วันอาทิตย์แบบนี้รถพยาบาลใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึงโรงพยาบาล ความวุ่นวายโกลาหลเริ่มต้นขึ้นเมื่อรถฉุกเฉินเปิดประตู สองหนุ่มวิ่งตามเตียงพยาบาลไปจนถึงห้องเตรียมคลอด ทั้งแพทย์และพยาบาลมากมายยืนรออยู่ที่ห้องนั้นแล้ว
ทันทีที่ห้องคลอดปิดประตูลง ณัฐวีร์ก็เหมือนจะหมดแรงนั่งแปะลงตรงนั้นเอง
-----------------------

แฮ่ จบไปอีกตอนค่ะ
  :mew1:

มีข่าวมาประชาสัมพันธ์นิดหน่อย ณ งานสัปดาห์หนังสือ วันที่ 29 เวลาประมาณบ่ายโมงถึงบ่ายสาม มอสไปช่วยเบเกอรี่บุ๊คขายหนังสือนะคะ ใครแวะไปแถวนั้นวันนั้นทักทายกันได้ค่ะ

มาเม้าท์มอยกันเน้อ  :katai3:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 53 / 16032015
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-03-2015 21:32:57
โหย ตื่นเต้นมากเลยอะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 53 / 16032015
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 16-03-2015 23:13:15
ง่าาาา ขอให้ปลอดภัยทั้งคู่นะ  :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 53 / 16032015
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 17-03-2015 00:03:41
ผู้ปลุกปลอบชีวิตใหม่ของแม้นกำลังจะมาถึงแล้ว

จะโกรธก็โกรธไปแต่ก็อย่าลืมใจตัวเองด้วย
พ่อวีร์นี่เลี้ยงลูกดีจริงๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 53 / 16032015
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 17-03-2015 01:32:16
รักพ่อของนัทมากขึ้นทุกวัน ^^
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 53 / 16032015
เริ่มหัวข้อโดย: wargroup ที่ 22-03-2015 20:14:32
พึ่งได้เข้ามาอ่านค่ะ สนุกมาก ชอบมาก ทางเขียนโดนใจ เก็บรายละเอียดเนียน ชวนติดตาม
เป็นพระเอกสายเลวเล้วเลว ที่น่าเอาใจช่วยมากที่สุดเรื่องหนึ่งเลย
และเขียนได้เคลียร์ใจคนอ่านมากๆ จนเชียร์พระเอกอ่ะคิดดู ปรกติแช่งชักหักกระดูก
ลุ้นวันที่แม้นศรีและณัฐวีร์จะแฮปปี้กัน ชอบนายเอกแบบณัฐมากๆด้วย ฉลาด เอาตัวรอดได้ดี
นี่ไปกดไลค์เพจมาแล้ว รอจองหนังสือเลยค่ะ +1 ให้คนโพสท์ด้วยแจ้


หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) รายละเอียดการเปิดจอง Can I (P.17)
เริ่มหัวข้อโดย: FahFon ที่ 24-03-2015 22:24:49
โพสนิยายยังไม่จบ คนแต่งเปิดจองก่อน ระวังโดนพี่โมฯดุนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) รายละเอียดการเปิดจอง Can I (P.17)
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 25-03-2015 07:33:38
โพสนิยายยังไม่จบ คนแต่งเปิดจองก่อน ระวังโดนพี่โมฯดุนะคะ ^^

ลืมกฎข้อนี้ไปเลย ขอบคุณมากค่ะที่เตือน
ยังไงก็จะลงพี่แม้นจนจบค๊าบบบบ ^^
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอนที่ 54-55 27.03.58 (P.17)
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 27-03-2015 14:11:31
 มาแบ้วแจ้...
สั้นๆก่อนนา เดี๋ยวอีกตอนค่อยลงยาวๆ (ถ้าทันอ่ะนะ)
----.


มกรส่งกระดาษเช็ดมือแบบเปียกมาให้ พร้อมกับน้ำดื่มและถุงขนม
ณัฐวีร์มองทุกอย่างที่ยื่นมาพลางคิดว่า..อีกฝ่ายคงไม่รู้วิธีที่จะดูแลใครสักคนจริงๆ ถึงได้ไม่ดูเวล่ำเวลา ไม่เข้าใจสถานการณ์แบบนี้ เด็กหนุ่มรับมาเพียงน้ำกับทิชชู่เปียก ส่วนขนม เขาแค่เหล่มองแล้วก็เมิน
พี่แมน.. ยังไม่พร้อมจะดูแลใครเลย..
"ขอบคุณครับ"
พอน้องบอกเช่นนั้นคนพี่จึงนั่งลงข้างๆ เทขนมออกจากถุงพลาสติก แล้วเปิดถุงอ้ารอให้น้องทิ้งขยะลงมา
ณัฐวีร์เช็ดไปก็มองการกระทำของอีกฝ่ายไป จะเรียกว่าไม่พร้อมดูแลใครก็ไม่ได้ อยากดูแลให้ดี แต่ก็แค่ยังไม่พร้อมสมบูรณ์ต่างหาก
เด็กหนุ่มหย่อนขยะลงถุง แล้วจึงหันไปรับขวดน้ำดื่มจากมกร
“โทรบอกป๊าแล้วยังครับ” มกรเอ่ยถามพลางใช้ทิชชู่เปียกเช็ดแขนน้อง
“โทรแล้วครับ เดี๋ยวป๊ามา”
ชายหนุ่มหยิบขวดแอลกอฮอล์มาเทใส่สำลีที่ซื้อมาจากร้านซุปเปอร์แล้วเริ่มลงมือเช็ดแขนเช็ดมือน้อง แต่ณัฐวีร์คงรู้สึกได้ถึงสายตาของเจ้าหน้าที่แถวนั้น เขาจึงคว้าเอามาเช็ดเอง
“ผมจัดการเองพี่..”
มกรทำตาละห้อย ตัวเขาเองไปล้างทำความสะอาดที่ห้องน้ำมาแล้ว แต่น้องไม่ยอมไป เขาจึงหาทางที่ดีที่สุดมาให้ ซึ่งดูเหมือนน้องก็ยังไม่ถูกใจอยู่ดี
นั่งมองน้องอยู่ครู่เดียว เขาก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากหน้าห้องคลอด มกรเปิดประตูกระจกออกไปยืนข้างนอกเพื่อหยิบโทรศัพท์มาโทรหาคุณวีรชาติ การออกมาใช้เสียงนอกบริเวณ ก็เพื่อว่าจะได้ไม่รบกวนใคร
“ป๊าวี ผมเองครับ ..ครับ ตอนนี้อยู่กับนัท ป๊าอยู่ไหนแล้วครับ”
ปลายสายบอกสถานที่มา ซึ่งก็ไม่ห่างจากโรงพยาบาลเท่าไรแล้ว ชายหนุ่มจึงยิ้มแล้วตอบ “ตอนนี้ได้แต่รอครับ ไม่ต้องรีบก็ได้.. ครับขับรถปลอดภัยนะครับ ทางนี้เดี๋ยวผมดูแลน้องให้”
ขณะที่พูดแบบนั้น ชายหนุ่มก็หันไปมองด้านใน จึงได้เห็นว่าณัฐวีร์เองก็มองมาเช่นกัน เด็กหนุ่มเหมือนจะสะดุ้งเล็กน้อยก่อนเบือนหน้าไปทางอื่น
มกรยิ้มอีกครั้ง “สวัสดีครับป๊า”
เขาวางสายแล้วลดโทรศัพท์ลง บอกตามตรงว่าตั้งแต่เกิดเรื่องฉุกเฉินกับแม่ไก่ เขารับรู้ได้ว่ามีบางอย่างในตัวณัฐวีร์ที่เปลี่ยนไป อาจจะไม่ถึงกับแสดงออกนอกหน้าว่ายินดีที่ได้เจอเขาอีกครั้ง แต่ค่อนข้างมั่นใจว่าณัฐวีร์ยินดีอยู่บ้างที่ได้เห็นว่าเขายังอยู่ตรงนี้ไม่ได้ไปไหน
มกรยิ้มให้กับความคิดนั้น เขายืนกอดอกอิงกำแพงและมองดูณัฐวีร์ที่นั่งอยู่ด้านใน.. สังเกตดูว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างไรถ้าเขาไม่ได้เข้าไปหา จะหันมามองไหม จะพะวงถึงเขาไหม..
แล้วเพราะเขาเริ่มสังเกต ถึงได้เห็นว่าความสนใจของอีกฝ่าย ก็โอบล้อมอยู่รอบๆตัวเขานี่เอง
ณัฐวีร์มักหันกลับมามองแต่พอเห็นเขายืนมองอยู่ ฝ่ายนั้นก็จะทำเป็นเมินหลบตาไป เป็นอย่างนี้อยู่สองสามหนมกรก็หัวเราะเบาๆอย่างมีความสุข
คุณวีรชาติมาถึงในเวลาไม่นานจากนั้น และเมื่อบิดาเข้ามาบรรยากาศดีๆระหว่างคนสองคนก็ถึงเวลาต้องพักไว้ก่อน
ณัฐวีร์ตรงเข้าไปหาบิดาเมื่อทักทายพูดคุยกันทั้งคู่ก็นั่งรออยู่หน้าห้องคลอด มกรเองก็เดินกลับเข้ามาสมทบ ทำให้ผู้ชาย 3 คนนั่งรอชีวิตใหม่กันอย่างใจจดใจจ่อ
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ในที่สุดประตูห้องคลอดก็เปิดออกมา นายแพทย์หนุ่มเดินออกมาพร้อมรอยยิ้มและข่าวดี
“น้องเป็นเด็กผู้ชายครับ.. คุณแม่ปลอดภัยดี แต่คลอดก่อนกำหนดแบบนี้หมอขอให้น้องอยู่ในตู้อบก่อนนะครับ ไม่ต้องคิดมากกันนะครับ น้องตัวเหลืองเท่านั้นเองไม่มีอะไรมาก เดี๋ยวยังไงเชิญคุณพ่อตามพยาบาลไปเซ็นเอกสารทางนี้นะครับ”
ทั้งหมดรับรู้ด้วยความโล่งใจ ต่างเดินตามบิดาเพื่อไปจัดการเอกสาร เมื่อจัดการเรื่องเกี่ยวกับเอกสารเรียบร้อยหมดแล้ว ทั้งสามคนจึงพากันมาหยุดที่ห้องเด็กเพื่อยืนมองเด็กน้อยคนหนึ่งที่กำลังนอนหายใจนิ่งๆอยู่ในตู้อบ
ความรู้สึกหลากหลายที่ประดังประเดเข้าใส่มกร เป็นเรื่องที่เขาไม่สามารถอธิบายออกมาได้หมดภายในเวลาอันสั้น เพราะมันหลากหลายอารมณ์ปนเปกันเหลือเกิน ทั้งเต็มตื้นใจ ยินดี และ..หวาดกลัว
เต็มตื้นที่เขาได้เป็นประโยชน์แก่คนบ้านนี้
ยินดีที่ได้เห็นหนึ่งชีวิตใหม่..
..แต่เขากลับไม่เข้าใจความหวาดกลัวที่เกิดขึ้น หัวใจเขามันเต้นแปลกๆเวลาเห็นกราฟหัวใจที่วิ่งขึ้นลงนั่น กลัวว่าสิ่งที่เห็นจะเป็นเพียงความฝัน เด็กน้อยที่เกิดมานี้อาจหยุดหายใจไปเมื่อไรก็ได้ อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ติดเต็มตัวไปหมด อาจไม่สามารถช่วยยื้อชีวิตน้อยๆนี้ไว้ได้..
เขา..คงทนรับความสูญเสียเช่นนั้นไม่ไหวอีก
ชีวิตเล็กๆที่เพิ่งเกิดขึ้นมา เขาอยากให้เติบโตต่อไป อย่างปลอดภัย ..และงดงาม
ถ้าเกิด..เส้นนั้นไม่ขึ้นลง และมันกลายเป็นเส้นตรงไปต่อหน้าต่อตา..
มกรสบถให้กับความคิดนั้น ชายหนุ่มส่ายหน้าแต่ไม่อาจสลัดแรงกระตุ้นภายในที่ตีตื้นขึ้นมาจนแน่นอกได้ โพรงจมูกมันแสบร้อนจนรู้สึกว่าน้ำตาจะรื้นขอบตา ยิ่งเมื่อเด็กตัวเล็กๆคนนั้นขยับตัว มกรยิ่งสัมผัสได้ถึงชีวิตอีกชีวิตที่เพิ่งจะลืมตาดูโลก
น้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่น แล้วมกรก็ไม่อาจห้ามตัวเองได้อีกต่อไป
"เอ้า ร้องไห้ทำไมกันพี่ชาย.."
เสียงนั้นทำให้มกรรีบยกนิ้วขึ้นแตะใบหน้าตัวเองแล้วเบือนไปมองบิดาของณัฐวีร์ ก่อนจะพบว่า..คนที่ถูกแซวไม่ใช่เขา..
วีรชาตืจับศีรษะลูกชายแล้วโยกไปมา "เป็นพี่ชายแล้ว ไม่ขี้แยสิ"
"ก็มันดีใจ ป๊าอย่าเสียงดังสิ" ณัฐวีร์เอ่ยเบาๆพร้อมกับปาดน้ำตาไปด้วย
คุณวีรชาติหัวเราะแล้วจึงหันมาหามกร "ว่าไงเรา.. นี่ก็ร้องไห้กับน้องเหมือนกันหรือไง.." เขาตบบ่าหนา "ไม่เอาๆ ไม่ต้องร้องนะพี่เขย"
มกรยิ้มกว้างรับคำนั้นทันที
วีรชาติมองใบหน้าของลูกชายคนใหม่ และมองเลยไปยังลูกชายคนเดิมของเขาพลางก็คิดถึงคำพระสอน “เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป สุขก็ให้รู้ ทุกข์ก็ให้เห็น ไม่มีสุขถาวร ไม่มีทุกข์ตลอดไป ทุกอย่างมีเกิด และก็มีดับ คนสองคน โกรธกันเดี๋ยวก็ดีกัน ชีวิตคนเราก็มีเพียงเท่านี้”
คุณวีรชาติคิดอย่างปลงๆ ก่อนจะจับมือคนทั้งคู่ไว้ด้วยกันแล้วบอกว่า "ตอนนี้ป๊ามีเจ้าตัวเล็กต้องดูแล เราสองคนก็ดูแลกันเองนะ ป๊าว่าป๊าจะไม่ยุ่งล่ะนะ คุยกันเอง"
"ป๊า..!!" ณัฐวีร์เรียกบิดาด้วยใบหน้าแตกตื่น
"นัทก็อย่าดื้อ อย่าเจ้าคิดเจ้าแค้นนักเลย ปล่อยให้เรื่องเก่าๆมันเป็นแค่อดีตไปแล้วมาช่วยป๊าคิดดีกว่า ว่าเราจะเลี้ยงเจ้าตัวเล็กนี่ยังไง จะดูแลพี่แมนเขายังไง"
วีรชาติเอ่ยพร้อมบีบมือลูกชาย เขานำมือของณัฐวีร์วางลงในอุ้งมือมกร ก่อนจะบอกว่า "ป๊าฝากเด็กดื้อไว้ด้วย แมนเคยทำผิด แมนรู้อยู่แก่ใจ จากนี้ก็เอาความผิดนั้นมาเป็นบทเรียน และอย่าทำซ้ำ ป๊าคงช่วยได้เท่านี้ ฝากณัฐวีร์ด้วย.. อ้าว เลยร้องไห้ใหญ่เลย.. ไม่เอาน่า"
วีรชาติเอ่ยเช่นนั้นแล้วตบเบาๆลงบนมือลูกชายทั้งคู่ เขายิ้มให้เด็กสองคนก่อนจะมองมือของมกร ที่จับมือณัฐวีร์ไว้ไม่ยอมปล่อย
"เอาล่ะ สองคน.. ป๊าว่ากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันดีกว่า ทางนี้ป๊าจะดูแลเอง กลับไปแล้วก็คุยกันเสียให้รู้เรื่อง.. มาอีกทีขอให้มีคำตอบมาให้ป๊า.. เรื่องแรก จะตั้งชื่อเล่นน้องชายเราว่ายังไงดี กับเรื่องที่สอง เราจะยังไงกันดี.. เราสองคนน่ะ มาเย็นๆเลยก็ได้ ป๊าอยู่ทางนี้เอง"
ณัฐวีร์พยักหน้ารับ เขาปรายตามองใบหน้ากับตาแดงๆของอีกคน พอทางฝั่งนั้นมองตอบกลับมา ณัฐวีร์ก็จ้องอยู่เช่นนั้นไม่หลบ
"ป๊า.. ชื่อเล่นของน้อง ..เป็นชื่อมะม่วงได้ไหมครับ?"
คนฟังสองคนต่างอารมณ์หลากความรู้สึกกันออกไป
คุณวีรชาตินั้นสงสัยใคร่อยากรู้ว่าทำไมลูกชายถึงอยากได้ชื่อนี้ หากแต่เมื่อเห็นผู้ชายอีกคนสะอื้นฮักขึ้นมา มือหนึ่งกุมมือน้องแน่น อีกมือยกปิดหน้าไม่กล้าสบตาน้อง คุณวีรชาติจึงเข้าใจ ชื่อนี้มีความสำคัญกับมกรแน่ๆ และเขาคิดว่าเมื่อถึงเวลา ลูกชายก็จะเล่าออกมาเอง
ส่วนอีกคน ความรู้สึกหลากหลายที่มกรมีแทบจะทำให้ชายหนุ่มหลุดเสียงสะอื้นออกมาดังๆ เขาอยากร้องไห้ให้เหมือนเด็ก ปลดปล่อยทุกอย่างออกมาให้หมด
ทุกอย่างที่เขาติดค้างคาอยู่ในใจ เขาอยากระบายออกมาเสีย
น้องยอมรับเขา
--- “นี่ลูกเขย..”
น้องยอมรับมะม่วง
--- “เป็นชื่อมะม่วงได้ไหมครับ..”
น้อง..ไม่ได้รังเกียจ
--- มือที่กุมกันไว้..ณัฐวีร์เองก็ไม่ได้ปล่อยอุ้งมือให้นิ่งเฉย น้องบีบมือตอบกลับมาเหมือนกัน
วีรชาติยิ้มบางๆ พยักหน้ายอมรับชื่อนั้นโดยไม่พูดอะไร เขายกมือตบไหล่ลูกสองคน แล้วเดินออกไปหาพยาบาลเพื่อขอเข้าไปดูมะม่วง..
ขั้นตอนที่จะเข้าไปก็มีความยุ่งยากและต้องเตรียมความพร้อมพอสมควร ทำให้เสียเวลาอยู่บ้าง ครั้นเมื่อเขาหันไปมองที่หน้าห้องเด็กอีกที ลูกชายสองคนก็หายไปจากตรงนั้นเสียแล้ว
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 54-55 (27.03.15) P.17
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 27-03-2015 14:13:03
รถแท็กซี่แล่นเข้ามาจอดหน้าร้าน คนงานในบ้านที่เฝ้ารอการกลับมาของเจ้าบ้านรีบเดินมาเปิดประตูรับ
"แม่กับน้องไม่เป็นไร ทุกคนโอเค เดี๋ยวนัทไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อนนะ เดี๋ยวเย็นจะกลับไปที่โรงพยาบาลใหม่"
ณัฐวีร์บอกเช่นนั้นแล้วเดินนำขึ้นมาชั้นบน มีมกรเดินตามขึ้นมาด้วย เมื่อถึงห้องนอน เด็กหนุ่มก็หันกลับไปมองหน้าอีกฝ่ายเล็กน้อย คล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็เลือกที่จะเงียบและเดินนำเข้าห้องไป รอจนอีกฝ่ายเดินตามเข้าไปแล้วปิดประตูนั่นแหละ ณัฐวีร์จึงหันกลับมา
"วันนี้ขอบคุณมากนะครับ.." เขาเอ่ยแล้วยิ้มให้ ก่อนจะเริ่มจับชายเสื้อตัวเองดึงถอดออกทางศีรษะ
ผิวเนื้อขาวสะอ้านไม่ได้เปรอะเปื้อนใดๆ เพราะตอนอยู่โรงพยาบาลมีคนดูแลให้แล้ว ดังนั้นเมื่อณัฐวีร์ถอดเสื้อออกและหันหลังเดินไปที่เตียง คนมองจึงใจเต้นผิดจังหวะอย่างช่วยไม่ได้
"อย่างน้อยมะม่วง..เอ่อ..น้องปลอดภัยพี่ก็ดีใจแล้ว.."
"ครับ มะม่วงปลอดภัยก็ดีเกินพอแล้ว" ณัฐวีร์ยิ้ม "ว่าแต่..มานี่เถอะครับ"
เด็กหนุ่มยื่นมือออกไปหาอีกฝ่าย มกรที่กำลังใจเต้นจึงยิ่งใจเต้นหนักมาก
"คือ.." ชายหนุ่มอ้ำอึ้ง จนเมื่อณัฐวีร์อ้าแขนออกทั้งสองข้าง เขาจึงได้เข้าใจ
เขาเดินไปที่เตียง เมื่อนั่งลงแล้วก็โอบเอาร่างเล็กกว่าเข้ามากอด ผิวเนื้อบนอกเนียนเขาเคยสัมผัสและยังจำได้ดี ตอนนี้มือที่ลูบไล้แผ่นหลังนุ่ม ก็กำลังรื้อฟื้นสัมผัสนั้นอีกครั้ง
"กอดปลอบผมที..ได้ไหมครับ" ณัฐวีร์กระซิบเบาๆก่อนจะจูบเข้าไปที่สันกราม
มกรนั้นตัวแข็งทื่อ ให้พูดตรงๆก็คือไม่เข้าใจ เขาไม่ได้คาดหวังว่าเมื่อกลับมาบ้านจะเจอกับเหตุการณ์แบบนี้  เขาคิดว่าน้องจะกลับมาพัก เปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำอาบท่าแล้วก็ค่อยออกไปโรงพยาบาลกันอีกรอบ ส่วนเขาอาบน้ำที่นี่ เสื้อยืดเก่าก็ยังพอมีเปลี่ยน
หรือว่า..ความกลัวที่ตึงเครียดมาตลอดชั่วโมง อาจทำให้ณัฐวีร์ต้องการใครสักคนมาปลอบใจ
มกรคิดเช่นนั้นเมื่อริมฝีปากเด็กหนุ่มไล่จูบจากสันกรามเรื่อยมาเกือบถึงขอบปาก เขาจึงไม่อยากจะคิดอะไรมาก หากน้องต้องการการปลอบใจ ต้องการความอบอุ่นจากเขา เขาก็พร้อมจะให้น้องเสมออยู่แล้ว
เขาอยู่ตรงนี้เพื่อณัฐวีร์..
มกรคิดเช่นนั้น แล้วใช้ริมฝีปากอุ่นร้อนเลื่อนสัมผัสคนตรงหน้า ได้ยินเสียงครางเครืออย่างพึงพอใจก็ยิ่งหัวใจพองโต มือเลื่อนไล้จากแผ่นหลังมาบดเบียดส่วนหน้า ยอดอกที่เคยเล็มเลียเมื่อสัมผัสด้วยปลายนิ้วบดขยี้ ร่างกายน้อยๆนั่นก็สั่นสะท้าน
มือขาวนิ้วเรียวสะอาดของณัฐวีร์เลื่อนปลดกระดุมเสื้อให้กับอีกฝ่าย จากหนึ่งเม็ด ไล่ลงไปเม็ดที่สอง เม็ดที่สาม จนหมด และสามารถเปิดออกได้ตลอด แผงอกที่มีกล้ามเนื้อสวยงามจึงเผยให้เห็นในสายตา
ณัฐวีร์เลื่อนมือขึ้นลูบไล้กล้ามเนื้อหน้าอกนั่น ก่อนจะเลยขึ้นไปที่ไหล่เพื่อปลดเอาเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายออก ตอนที่ดึงเสื้อออกจากแขนที่แข็งเกร็งไปด้วยมัดกล้าม ณัฐวีร์ก็ยิ้มอีก
"เป็นอะไรครับ วันนี้ดูยิ้มบ่อยมาก ดีใจที่ได้น้องชายหรือไง"
ณัฐวีร์เงยหน้ามองคนถามแล้วก็ยิ้มกว้าง "เปล่า.. ผมดีใจที่ได้กอดพี่แมนแบบนี้.. รู้ไหม ผมสัญญากับป๊าไว้ว่าผมจะซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเอง  ตอนนี้ผมก็เลยดีใจที่ผมรู้สึกและทำตามที่ตัวเองต้องการได้ ผมซื่อตรงกับความคิดของตัวเองได้ ผมอยากให้พี่กอดผมนะ.. อยากนอนกอดกัน กอดแน่นๆ ให้พี่รู้ว่ามันนานมากแล้วที่เราไม่ได้กอดกันแบบนี้.."
มกรฟังที่น้องพูดแล้วก็ยิ่งอิ่มเอมในหัวใจ เขาได้รับการให้อภัย เขาได้รู้ว่าอีกฝ่ายยังต้องการอ้อมกอดนี้ ไม่ใช่เพียงเขาเท่านั้นที่หลงเพ้อไปเพียงฝ่ายเดียว
ร่างสองร่างเอนหลังลงไปบนที่นอน มือใหญ่ค่อยๆปลดเอากางเกงผ้าขาสั้นออกจากกายคนเบื้องล่าง  ณัฐวีร์เองก็เช่นกัน เขาปลดเข็มขัดหนังของอีกฝ่ายออกเพื่อจะเลื่อนมือปลดกางเกงยีนส์สีเข้มให้เลื่อนหลุดพ้นสะโพก กางเกงชั้นในสีขาวถูกดึงออกและค่อยๆเลื่อนลงจนเห็นสะโพกแน่น มือขาวเลื่อนมาบีบสะโพกนั้นเบาๆ ทำอย่างที่ต้องการจะทำ ทั้งที่ไม่เคยได้ทำมาก่อน
มกรเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้ห้ามปราม เขาเป็นผู้ชาย และณัฐวีร์ก็เป็นผู้ชาย ความคึกคะนองของผู้ชายในเรื่องเพศนั้นทำไมมกรจะไม่รู้ เขาแค่รู้สึกแปลกใจเมื่อเด็กหนุ่มบดเบียดสะโพกตัวเองเป็นเชิงเรียกร้องมากกว่าทุกครั้ง
เหมือนว่า หากฟ้าจะถล่มทลายลงไปตรงหน้า ณัฐวีร์ก็จะไม่ยอมให้เขาปล่อยมือไปอีก
ไม่ใช่ว่ามกรจะต้องการปล่อยมือ เขาเองก็อยากจะยึดมือนั้นไว้ให้แน่นเช่นกัน
ต้องการความรักของกันและกันอย่างที่สุดแล้ว..
ท่วงทำนองเพลงรักค่อยๆทวีความรุนแรง เสียงหอบหายใจดังสะท้านไปทั่วทั้งห้องนอนนั้น
ดูเหมือนนี่จะเป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามาที่ห้องใหม่ของณัฐวีร์ แต่มกรก็คุ้นเคยกับกลิ่น และเครื่องใช้ต่างๆเกินกว่าจะคิดว่าได้เปลี่ยนบรรยากาศใหม่.. เขาจดจ่ออยู่กับร่างข้างใต้ ปรนเปรอให้มีความสุข และป้อนเอาความต้องการมากมายที่กักเก็บไว้ให้อีกฝ่ายได้รู้
จวบจนเสียงกระแทกกระทั้นเปลี่ยนจากจังหวะเนิบช้าเป็นเร็วแรงมากขึ้น.. เสียงกรีดร้องด้วยความสุขสมดังประสานกันไป อ้อมแขนที่ต่างกอดกันไว้ยิ่งสนิทแนบแน่น
ต่างถ่ายทอดความรักที่มีในใจให้กันและกัน
ต่างทุ่มเทแรงทั้งหมดที่มีแสดงให้อีกฝ่ายได้รับรู้ว่า..ใจนี้..ไม่สามารถมีใครอื่นได้อีกแล้ว
ณัฐวีร์..ต้องการบอกให้รู้ว่า..ใจของเขาได้ให้แก่ผู้ชายที่เขากำลังกอดอยู่นี้ไปจนหมดใจแล้ว
มกร..ต้องการบอกให้รู้ว่า..ใจของเขาพร้อมวางไว้ในอุ้งมือของคนที่เขากำลังกอดอยู่นี้เช่นกัน
ร่างเปล่าเปลือยของคนสองคนที่นอนเคียงกัน ตระกองกอดร่างของกันและกันไว้แน่น
..เขาทั้งคู่ต่างข้ามผ่านเวลาแห่งความฝันอันสุขล้นมาแล้ว
ถึงเวลาก้าวเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริงกันเสียที
ณัฐวีร์หลับตาผ่อนลมหายใจ ขณะที่อีกฝ่ายค่อยๆลูบไล้ผิวเนื้อไหล่เนียนและพรูลมหายใจออกมาอย่างอิ่มเอม ความสุขจากการได้รักใครสักคนมันเป็นแบบนี้เอง มกรยิ้ม เขาเอนตัวไปจูบร่างในอ้อมแขนอย่างแสนรัก ช่วงเวลาดีๆที่เพิ่งผ่านไปทำให้ผิวเนื้อนั้นอุ่นร้อน แต่เขาก็ยังรู้สึกดีจนอยากจะกอดร่างนี้ให้ร้อนขึ้นมากๆ จนละลายหายเข้าไปในอกได้ยิ่งดี จะได้ไม่มีใครมาพรากไปจากเขาอีก
"นัท..." มกรเรียกเบาๆเมื่อเห็นอีกฝ่ายก็นอนลืมตาเหมือนใช้ความคิดอยู่
"ครับ?"
"ขอบคุณที่ตั้งชื่อนั้นให้น้องนะ"
คนฟังพยักหน้าอยู่กับอกของเขา "ชื่อนี้ก็น่ารักดี... ห้ามเอามาตั้งหรือเปล่าครับ"
"ไม่ๆ ตั้งได้.." มกรบอกแล้วยิ่งยิ้มกว้าง "พี่ดีใจที่นัทตั้งชื่อนี้ให้น้อง"
"ครับ" ณัฐวีร์ตอบรับง่ายๆแล้วเงียบไปอีกหน
"พี่ดูแลเขาเอง จะดูแลอย่างดีเลย" มกรยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ "ไว้เราไปซื้อของให้น้องกันนะ พี่เคยเห็นที่แผนกเด็กอ่อนมีเปลแบบไกวเองอัตโนมัติ อยากซื้อให้ ไว้ไปซื้อด้วยกันนะครับ"
ณัฐวีร์ไม่ได้ตอบคำ เขานิ่งเงียบไปได้แต่นอนกอดมกรอยู่นิ่งๆแบบนั้น แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ
มกรยังยิ้มและรู้สึกอิ่มใจจนกระทั่งเอ่ยประโยคที่จะทำให้โลกทั้งโลกเหมือนจะแหลกลงไปตรงหน้า
"แล้วก็ต้องขอบคุณด้วยที่ให้อภัยพี่..."
ณัฐวีร์หลับตาลง.. กระชับอ้อมแขนตัวเองเบาๆก่อนจะปล่อยออกแล้วดันตัวลุกขึ้นนั่ง
สายตามองแน่วนิ่ง.. หัวใจยิ่งต้องนิ่งมากกว่า
อย่าได้อ่อนแอ.. อย่าได้ยอมแพ้
อย่าได้แสร้งทำลืมอีก.. การหนีปัญหาเหมือนเมื่อสองปีก่อนเป็นความผิดพลาด มันไม่ใช่ทางออก แต่มันคือยิ่งเพิ่มพูนปัญหาให้มากขึ้น
ทุกอย่าง ทุกคนต้องเดินหน้าต่อไป...ต้องมีภาระหน้าที่ ต้องรู้รับผิดชอบ และต้องยอมรับความจริงกันเสียที
"ผมยังไม่ได้อภัยให้..."
ณัฐวีร์เป็นเด็กดื้อ..ป๊าวีแม่ไก่เคยเตือนมกรแล้ว
"...นัท"
ใบหน้าเปื้อนยิ้มของมกรพลันค่อยแปรเปลี่ยนไป ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นคว้าแขนอีกฝ่ายไว้ทันที "ทำไม?"
ณัฐวีร์ส่ายหน้า "เป็นอย่างที่ผมพูด.. ผิดก็คือผิดครับ"
"แต่นัทก็ยังยอมให้พี่กอด ..หรือจะเพราะต้องการ? ..เป็นความต้องการของผู้ชายอย่างนั้นหรือนัท"
คนฟังส่ายหน้า "ทุกครั้งที่ผมให้พี่กอด ผมทำเพราะผมเต็มใจ วันนี้ผมเต็มใจ และขอบคุณมาก แต่เรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันคนละเรื่องกัน"
ฟังแล้วมกรก็ยังไม่เข้าใจ
"ผม..จะพูดครั้งนี้ครั้งสุดท้าย" ณัฐวีร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ถ้าพี่ต้องการไถ่โทษ พี่ต้องรับบทลงโทษ คนทำผิดยังต้องเข้าคุก พี่ก็ไม่ควรได้รับยกเว้น"
มกรหรี่ตาลงมองอย่างไม่อาจคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้ เท่าที่ผ่านมาเขายังไถ่โทษไม่เพียงพอหรือ ต้องการอะไรอีก ต้องการให้เขาตายไปต่อหน้าเลยหรือเปล่า
ไม่ใช่หรอก..ณัฐวีร์แค่ต้องการเวลาเท่านั้น...
เวลาเพื่อเรียนรู้ที่จะรักและถูกรัก..
เวลาที่จะรอและเชื่อมั่นว่าอีกฝ่ายเติบโตเพียงพอแล้วจริงๆ
"พี่แมน... ผมเคยบอกแล้วว่าอย่ามาเจอกันอีก ผมหมายความตามนั้น"
มือที่กุมแขนณัฐวีร์ไว้กระตุกไปพร้อมกับจังหวะหัวใจ ..ต้องการแบบนั้นจริงๆหรือ?
ตอนแรกเขานึกว่าที่พูดตอนนั้นณัฐวีร์ล้อเล่น แต่เปล่าเลย เด็กหนุ่มเอาจริง ไม่อยากเจอหน้าเขาจริงๆ แววตานั้นมันแสดงออกมาชัดเจน
"แต่นัท..."
"ตามนั้นครับ" ณัฐวีร์ย้ำ "เราจะไม่เจอกันอีก.."
"นัท!"
เจ้าของชื่อค่อยๆเอื้อมปลดมืออีกฝ่าย "ผมไม่อยากจะย้ำซ้ำๆ แต่คงต้องบอกว่า พี่ยังไม่พร้อมจะดูแลใคร ผมเองก็ยังไม่ใช่คนที่พี่จะดูแลได้ ผมยังขาดความเชื่อใจในตัวพี่ เพราะพี่เองก็ยังไม่ได้พิสูจน์อะไรมากมายว่าพี่มั่นคงกับผมจริงๆ เราสองคนยังไม่พร้อมจะมีกันและกันครับ ดังนั้น ตอนนี้เราอย่าเจอกันดีกว่า"
ณัฐวีร์ลุกขึ้นจากเตียง เขาหันหลังให้อีกฝ่ายแล้วเดินไปหยิบผ้าขนหนูก้าวเข้าไปในห้องน้ำ พอปิดประตูห้องน้ำได้ น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้อย่างสุดความสามารถก็ค่อยๆเอ่อท้นและหล่นร่วง ยิ่งเมื่อเวลาผ่านไป น้ำตาก็ยิ่งไม่สามารถหยุดไหล
เสียงขยับเคลื่อนไหวภายนอกดังมาเป็นระยะ คล้ายว่าอีกคนจะลุกจากเตียง เดินมาที่ประตูห้องน้ำ ยืนลังเล เดินกลับไปนั่งที่เตียง ลุกจากเตียง เดินมาห้องน้ำ แล้วเดินกลับไปกลับมาเช่นนั้น คล้ายหนูติดจั่น คล้ายว่ายังไม่มีทางออก
จนเมื่อเวลาผ่านไป จากนาที เป็นชั่วโมง..
ไร้เสียงพูดคุยโต้เถียง ไม่มีเสียงเดิน ไม่มีเสียงใดๆ เหมือนว่าคนข้างนอกเองก็กำลังใช้ความคิดมากมาย..
จนกระทั่ง..
เสียงเปิดและปิดประตูห้องด้านนอกดังขึ้น
ณัฐวีร์จึงรีบเปิดประตูห้องน้ำออกมาอย่างรู้สึกใจหาย
ใช่...ใจหายไปกับชายคนนั้นเสียแล้ว
กระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่บนเตียง ที่ซึ่งเมื่อครู่คนสองคนยังกอดกันไว้
ดวงตาเด็กหนุ่มพร่ามัวขณะเดินไปหยิบมันขึ้นมาอ่าน น้ำตาหยดแหมะลงไปบนประโยคสองบรรทัดนั้น
พี่รักนัทและจะรอให้นัทเชื่อใจ
ระหว่างนั้น พี่เองก็จะทำตัวให้น่าเชื่อใจรอนัทเช่นกัน
........


แดเมจรุนแรงมาก
คนเขียนนี่จิตใจทำด้วยอะไรนะ
ทำให้สุขแล้วกระชากลงจากสวรรค์ทั้งเป็น
คึ คึ คึ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 54-55 (27.03.15) P.17
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 27-03-2015 19:31:28
เฮ้ออออ ใจแข็งจริงๆนัท.  สงสารพี่แมน :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 54-55 (27.03.15) P.17
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-03-2015 20:13:31
ไม่จบไม่สิ้นกับปัญหา
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 54-55 (27.03.15) P.17
เริ่มหัวข้อโดย: @rnon ที่ 27-03-2015 20:51:00
 :a5:

ใจร้ายมากๆๆๆๆๆ







คนเขียน   


     :z6:

ขอทีเหอะ ชิส์ๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 54-55 (27.03.15) P.17
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 27-03-2015 21:23:54
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 54-55 (27.03.15) P.17
เริ่มหัวข้อโดย: มาโซซายตี้ ที่ 27-03-2015 23:24:22
ตามอ่านทันแล้ว
ยังคิดว่าเรื่องมันง่ายไปมั้ย
ดีกันเร็วจัง
แต่แล้วน้องนัท ก็ยังสวมบทราชินี ตวัดแส้ขวั่บๆ ต่อได้อีก

ยังไม่พอสินะ

หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 56 (28.03.15) P.17
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 28-03-2015 16:00:16
 ตัดตอนมาให้อ่านกันก่อนค่ะ
เพราะดูท่าทางจะไม่ได้อัพอีกนานเลย ฮึกๆ
---------


 
หิมะกำลังโปรยปรายใส่ผู้คนที่เดินอย่างเร่งรีบในเมืองโตเกียว ไม่ว่าที่ใดผู้คนต่างก้มหน้าก้มตารีบเดินเข้าหาที่กำบัง กายที่หนาวสั่นเพราะความเปียกชื้นจากละอองหิมะพลันเมื่อเข้าสู่บริเวณที่อบอุ่นร่างนั้นก็รู้สึกดีขึ้นตามลำดับ และสามารถก้าวต่อไปยังจุดหมายได้ทันที
จังหวะการเดินอย่างเร่งรีบบอกให้รู้ว่าเจ้าของฝีเท้ากำลังต้องไปพบใครบางคนตามที่นัดหมายไว้ และดูเหมือนมันก็ใกล้เวลานั้นแล้ว
ผู้คนที่คลาคล่ำแต่กลับไร้เสียงพูดคุย ภายใต้ชุดแต่งกายสีโมโนโทน พาให้ใจเหงาเปล่าดาย ประหนึ่งว่าบนโลกใบนี้อ้างว้าง ไร้ผู้คน
มกรคิดเช่นนั้น เพราะแม้จะมีผู้คนขวักไขว่ แต่ก็ไม่มีคนเพียงหนึ่งที่เขาต้องการ
ชายหนุ่มก้าวยาวๆเมื่อใกล้ถึงที่หมายเต็มที กระเป๋าเอกสารในมือมีพร้อมทั้งเอกสารสัญญา และรายงานให้แก่ผู้ถือหุ้น
สองปีแล้วที่มกรปลีกตัวหนีจากกรุงเทพมาอยู่ที่นี่ การทำธุรกิจค้าขายสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัทเขา โตเกียวเป็นเพียงหนึ่งสาขาที่เขาเลือกมาเรียนรู้งาน ซึ่งอีกเพียงสามอาทิตย์เขาจะได้กลับไปกรุงเทพ โดยมีแผนต่อไปที่สิงคโปร์
ตรงบริเวณจุดนัดพบ ชายและหญิงสูงวัยคู่หนึ่งยืนรอเขาอยู่ตรงนั้น
มกรยิ้มและเดินเข้าไปหาพร้อมกับยกมือไหว้
"แมน ไม่เจอกันเสียนานเลยลูก" คุณมนธิชารับไหว้แล้วตรงเข้าสวมกอดลูกชายอย่างคิดถึง
"สวัสดีครับ พ่อกับแม่มารอนานหรือยัง" ชายหนุ่มกอดตอบมารดา พลางเงยหน้ายิ้มให้บิดา
ตั้งแต่คุณตาท่านเสีย สองคนนี้ก็กลับมาอยู่บ้านเดียวกันอีกครั้ง และดูเหมือนจะรักใคร่กันหวานหยดจนมกรรู้สึกอิจฉา การมาเที่ยวครั้งนี้ก็เหมือนการมาฮันนีมูนกันไปในตัว
คุณลักษณ์เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง เมื่อเดินทางมาท่องเที่ยวส่วนตัว ก็ยังมีผู้หวังดีติดต่อผ่านสถานทูตให้จัดรถและล่ามมาบริการ สิบห้าวันของการท่องเที่ยว จึงไม่ได้ลำบากในการเดินทางภายในญี่ปุ่นมากนัก กระทั่งเหลือเพียงสามวันสุดท้ายนี้ คุณลักษณ์จึงขออยู่กับครอบครัวเพียงลำพัง และปฏิเสธสิทธิพิเศษโดยสิ้นเชิง
อารมณ์หนุ่มอยากพาแฟนสาวเที่ยวเล่นด้วยกันลำพัง..ก็ยังมีอยู่ในใจคุณลักษณ์อยู่เสมอ..
คุณลักษณ์ยิ้มแล้วตบบ่าลูกชาย "ไม่นานๆ เพิ่งลงจากชินกังเซนเมื่อครู่เอง"
คนทั้งคู่ไม่ได้พบลูกชายมานานแล้วเพราะมกรไม่ได้กลับบ้านไปปีกว่านับตั้งแต่งานศพคุณตา
"เอกสารอยู่ในกระเป๋าแล้วครับ เดี๋ยวตอนเราทานอาหารกันผมจะเอาให้ดู คุณแม่จะเอากลับเองเลยหรือครับ"
"ไหนๆมาแล้วเดี๋ยวเอากลับไปให้คุณลุงประคองเลยก็ได้ แต่ตอนนี้ไม่ค่อยอยากคุยเรื่องงานน่ะ แม่อยากถามชีวิตความเป็นอยู่ของเราทางนี้มากกว่า ไม่ใช่ว่ามาก็อัพเดทแต่งานให้ฟังทุกที เราน่ะจะทำงานมากไปหรือเปล่า" คุณมนธิชาถามด้วยความเป็นห่วง ขณะเดินคล้องแขนลูกชายออกมาหน้าสถานีโตเกียวเพื่อเรียกแท็กซี่ไปร้านอาหารที่จองไว้
"ไม่มากหรอกครับแม่ ยังมีเวลาดูแลตัวเองอยู่" มกรบอกเช่นนั้นแล้วหัวเราะเบาๆเมื่อแม่บีบกล้ามแขนของเขา
"เชื่อแล้วๆ แม่ว่าเราตัวหนาขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยนะ"
"ครับ ช่วงนี้ไปฟิตเนสทุกวัน"
"เจรจาเสร็จเรียบร้อยดีก็เลยสบายหน่อยนะ"
มกรหันไปพยักหน้ารับคำพูดบิดา "ครับ เตรียมแพ็กของกลับบ้านอย่างสบายใจได้เลย"
มื้ออาหารเย็นของครอบครัวผ่านไปด้วยการสอบถามเรื่องจิปาถะ จนเวลาล่วงเลยมาดึกพอควร มกรจึงไปส่งพวกเขาที่โรงแรม
คุณลักษณ์และภรรยาจะพักอยู่ที่นี่สามคืน ส่วนมกรปฏิเสธที่จะเข้าพักด้วย เพราะจากอพาร์ทเม้นท์ที่เช่าไว้เดินทางไปทำงานสบายกว่ามาก
กระเป๋าเดินทางของคนทั้งคู่ถูกส่งมาโดยบริการจัดส่งจนถึงโรงแรมแล้ว ทำให้การเดินทางจากโอซาก้ามาไม่ต้องห่วงเรื่องกระเป๋าอีก
เมื่อถึงโรงแรม คุณมนธิชาก็รั้งลูกชายไว้ให้อยู่คุยกันต่อที่ล็อบบี้
"ไม่เห็นแมนถามถึงน้องเลย..จะถอดใจแล้วหรือเปล่า"
แค่ขึ้นต้นด้วยประโยคนั้น มกรก็วางสีหน้าเรียบเฉย "แม่พูดอะไรน่ะครับ ผมไม่มีทางถอดใจแม่ก็รู้"
"จ้า.. ก็เห็นไม่ได้ถามอะไรเลย"
"ถ้าแม่จะกรุณาเล่าก็ขอบคุณครับ"
สองปีมานี้แม่มีส่วนสำคัญในการช่วยให้เขายังสามารถได้รับข่าวคราวจากครอบครัวนั้นอยู่บ้าง การเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่พลิกผันไม่ทำให้มกรรู้สึกวูบโหวงเท่าครั้งก่อน คราวนั้นเขาไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยว ไร้จุดหมายเพราะยังมองไม่เห็นอนาคต.. แต่คราวนี้ต่างกัน.. เขารู้ว่ามีหวัง และมีสักวันที่หวังจะเป็นจริง แค่รู้จักที่จะรอ และเตรียมรับ.. เมื่อหวังนั้นมาถึง เขาก็แค่ดูแลให้ดีที่สุด
เขารู้ว่าณัฐวีร์ยังรอ และเขาเองก็รออีกฝ่ายอยู่เช่นกัน
ต่างรอให้พร้อมด้วยกันทั้งคู่ รอให้เชื่อใจ และทำตัวให้อีกฝ่ายเชื่อใจ..
หลังจากวันที่เขาเดินออกมา ป๊าวีโทรมาหาในวันรุ่งขึ้น ตอนนั้นเขาอยู่ในที่ประชุม จึงขออนุญาตโทรกลับไปอีกครั้ง ..แน่นอน เขารู้หน้าที่ตัวเอง เขารู้ว่าอะไรเป็นเรื่องเร่งด่วน.. สิ่งใดคือรอได้
ดังนั้น เมื่อเขาโทรกลับไปจึงได้รับรู้ว่าป๊าวีมาอยู่ที่โรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว บทสนทนาก็คือเรื่องที่ป๊ารู้สึกขอบคุณที่ช่วยให้มะม่วงเกิดมาได้อย่างปลอดภัย อัพเดทอาการแม่ไก่โดยไม่พูดอะไรถึงณัฐวีร์เลย แต่เขาค่อนข้างมั่นใจว่าป๊าวีรู้เรื่องแล้ว เพราะประโยคสุดท้ายก่อนวางสายไปป๊าวีบอกว่า
"ให้ใจเย็นๆ ยังไงก็ลูกป๊าทั้งสามคน ยังไงป๊าจะดูแลทางนี้ให้ดี ส่วนทางแมนมีอะไรก็โทรมาคุยกับป๊าได้"
มกรวางสายนั้นไปด้วยความเบาใจ จนตอนนี้เขาก็ยังรอ รอให้ป๊าเรียกตัวกลับไปเป็นลูกที่อยู่ติดบ้านเสียที
ชายหนุ่มก้าวลงจากรถแท็กซี่หลังจากจ่ายชำระค่าโดยสารแล้ว ค่าครองชีพในเมืองที่ติดอันดับอัตราค่าครองชีพสูงเช่นนี้ไม่ใช่ปัญหาของมกร บ้านเขามีเพียงพอ
แม้ตอนนี้ความรักความเข้าใจของคนในบ้านจะมีทิศทางดีขึ้น แต่โตเกียวก็สร้างความว้าเหว่ให้ใจของเขาได้เสมอ
เขามักเลือกที่จะทำงานอยู่จนดึก เพื่อให้ตัวเองไม่ว่างและฟุ้งซ่าน แต่เมื่อโปรเจ็คจบลงเมื่อสองเดือนก่อน เขาก็ผ่อนแรงกับงานลง แค่เฝ้าติดตามผลของงานและรายงานกลับบริษัทแม่ที่กรุงเทพเท่านั้น เขาหันมาใส่ใจตัวเองมากขึ้น ออกกำลังกายเยอะขึ้น แต่ปฏิเสธการดื่มหลังเลิกงานเหมือนเคย
ชีวิตเรียบง่าย มีแต่งาน ครอบครัว และตัวเอง
แต่กลับทำให้เขารู้สึกสงบสุขกว่าชีวิตวุ่นวายตอนวัยรุ่นมาก
มกรยิ้มเมื่อกำลังจะปิดกระเป๋าเงินเพื่อเก็บมัน แล้วพบว่ารูปของใครบางคนที่อุ้มมะม่วงอยู่กำลังส่งยิ้มมาให้ ในรูปมะม่วงเพิ่งมีอายุแค่ 8 เดือนเท่านั้นกำลังจ้ำม่ำน่าฟัดได้ที่ คนอุ้มก็ยิ้มกว้างเป็นการยิ้มทั้งปากและตา รอยยิ้มที่เขาชอบและอยากได้เห็นจริงๆมากที่สุด
รูปนี้คือรูปแรกหลังจากห่างหายกันไปไม่ได้เห็นหน้าตากันเลย ตอนที่ได้รับเขาถือโอกาสโทรไปขอบคุณป๊า.. ในสายได้ยินเสียงอ้อแอ้และเสียงพูดของคนที่เฝ้าคิดถึงรอดมาตามสายด้วย
ตอนนั้นมกรรู้สึกได้ถึงความสุขที่อบอวลอยู่โดยรอบ แค่นี้เขาก็มีความสุขมากแล้ว ยิ่งเมื่อได้รู้ว่ารูปนี้..ได้รับอนุญาตให้ส่งมา.. เขาก็ยิ่งอุ่นซ่านในอกมากขึ้น
ต่อจากนั้น มีรูปส่งมาอีกหลายรูป เขาเก็บไว้เป็นอัลบั้ม แต่ส่วนใหญ่จะเป็นรูปของมะม่วงมากกว่ารูปของณัฐวีร์
ดังนั้น เขาจึงเลือกรูปนี้มาใส่พกไว้ติดตัว เวลาเหนื่อยๆกับงานพอเปิดดูแล้วก็มีพลังทำงานขึ้นอีกโขเลย
มกรปิดกระเป๋าเงินเก็บลงกระเป๋ากางเกง ก่อนจะเดินผ่านเข้าประตูแมนชั่นหรูย่านชินางาว่า ที่นี่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าฝั่งเหนือแค่ 5 นาที ถือว่าสะดวกสบายมาก และยังมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี มีพาสเวิร์ดเข้าตัวอาคาร และยังมี...
มกรชะงักกึก ขาที่กำลังก้าวเดินหยุดลง ดวงตานั้นเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อในสายตา
นี่..เป็นไปไม่ได้..
คนที่กำลังยืนยิ้มให้เขานั้น.. ไม่น่าจะใช่
ถ้าขยี้ตาแล้วภาพหายไปก็อาจจะเป็นไปได้ แต่เสียงทักทายและฝีเท้าที่กำลังก้าวตรงมา... ไม่น่าจะใช่
"สวัสดี..แมน.. ไม่เจอกันนานเลยนะ สบายดีไหม"
มกรมองตอบแล้วพยักหน้ารับอย่างพยายามรวบรวมสติตัวเอง
"ก็ดี.. มายังไงเนี่ย..เกด.."

-----



อวู้... ตัวปัญหามาอีกหนึ่งตัว
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 56 (28.03.15) P.17
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-03-2015 16:49:42
เกือบ เกือบแล้ว เกือบหุบยิ้มไม่ทันนึกว่านัทจะโผล่มา *จะหายไปนานเลยหรือ คิดถึงเรื่องนี้แย่อะ อยากอ่านอีกเยอะๆเลย
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 56 (28.03.15) P.17
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 28-03-2015 20:26:57
อ้าวว. นังเกดมาเพื่ออออ.
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 56 (28.03.15) P.17
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 28-03-2015 21:37:56
เป็นเรื่องที่ดีนะคะ ทำให้เรานึกถึงปัญหาครอบครัวที่ส่งผลถึงเด็ก
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ

ปล.ยังรอดูอยู่ว่าเกดจะเดินกลับเข้ามาในชีวิตพี่แมนเพื่อปลดปล่อยจากความรู้สึกผิดที่เคยทำไว้ หรือจะมาเพราะเหตุผลอื่น
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 56 (28.03.15) P.17
เริ่มหัวข้อโดย: disney ที่ 29-03-2015 17:50:27
นัทใจแข็งเกิ๊น สงสารแมนอ่า

แล้วยังมีตัวปัญหาเพิ่มมาอีก
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ 57-59[end] และ การเปิดจอง can i จ้าาา P.18
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 02-04-2015 10:18:08
ตอนที่ 57



"ก็ดี.. มายังไงเนี่ย..เกด.."
"ก็มาฮันนีมูน เห็นว่าแมนอยู่ที่นี่ เลยแวะมาหาตามประสา...เพื่อนเก่า" เธอยิ้มกลับมาให้ขณะมองสำรวจมกรไปด้วย "หล่อขึ้น ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น รู้สึกว่าเท่ขึ้นจมเลย"
มกรทำหน้าแปลกๆกับคำชมนั่น
"แต่เกดน่ะ ไม่ยึดติดรูปกายภายนอกอีกแล้ว ตอนนี้มีลุงอายุสามสิบตอนปลายมาขอแต่งงานด้วย รูปร่างไม่ดี แต่เขารักเกดมาก  แค่นี้เกดก็พอใจแล้วล่ะ..ว่าแต่แมนมีเวลาสักครู่ไหม เกดอยากคุยด้วย"
"พอได้อยู่หรอก เสร็จงานหมดแล้ว ไม่มีอะไรแค่ขึ้นห้องไปพัก"
"งั้น...เกดขึ้นไปบนห้องแมนได้ไหม"
ชายหนุ่มรีบส่ายหน้าทันที "ขอโทษด้วย.. ห้องเรารกมาก ห้องผู้ชายอยู่คนเดียวมันก็สกปรกแบบนี้ล่ะนะ พวกเราคุยกันข้างล่างดีกว่า ค็อฟฟี่ช้อปตรงหน้าสถานียังเปิดอยู่ ถ้าเกดไม่รังเกียจไปคุยที่นั่นก็ได้"
"ระวังตัวจังนะ ทำเหมือนเกดไม่เคยเห็นห้องแมนไปได้" หญิงสาวหัวเราะ
มกรฟังแล้วก็หรี่ตามอง "เรา..ว่ามันไม่เหมาะ สามีเกดจะว่าเอาได้"
คนฟังหัวเราะ "เปลี่ยนไปเยอะเลยนะ เดี๋ยวนี้หัดคิดถึงคนอื่นด้วย ที่บอกว่าห้องรกก็รักษาน้ำใจเกดใช่ไหม"
มกรไม่ตอบรับ แต่ก็ไม่ปฏิเสธ.. เขาอยู่ในฐานะคนรักเก่า เธออยู่ในฐานะคนมีสามีแล้ว การจะขึ้นไปที่ห้องของเขาสองต่อสองคงไม่ดีนัก แต่การจะบอกปัดอย่างมีมารยาทที่สุดก็ควรจะทำให้บัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น
"ขอบคุณนะ" หญิงสาวยิ้ม "เราคุยกันที่นี่ก็ได้ เกดมาแค่แป๊บเดียว คุณสามีรออยู่ที่สถานี"
มกรพยักหน้ารับแล้วพาเธอเดินมานั่งลงตรงบริเวณรับแขกที่ทางนิติบุคคลของอาคารชุดจัดไว้ให้
"เกดมีอะไรหรือเปล่า.." มกรเป็นฝ่ายเปิดฉากถามก่อน
"เรามาขอโทษ..เรื่องที่เราโกหกทุกคน"
มกรพยักหน้ารับอย่างเข้าใจอีกฝ่ายดี ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาพยายามตั้งคำถามกับตัวเอง ทำไมต้องยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายใส่ร้ายเขา อยากประชดใครหรือเปล่า
ต้องยอมรับว่าใช่ ส่วนหนึ่งเขาอยากประชด
แต่อีกส่วนซึ่งเป็นส่วนใหญ่กว่าก็คือ..เธอเสียลูก และเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่พอแล้ว เขาไม่ต้องการจะซ้ำเติมเธอด้วยการผลักภาระความจริงให้เธอเป็นผู้แบกรับไว้คนเดียว..
หากเธอสบายใจจะบอกแบบนั้น..เขาก็ยินดีรับความทุกข์ของเธอมาไว้ในภาระเขาเช่นกัน แต่ถ้าเธอคิดจะขอโทษ เขาก็ไม่มีความคิดจะโกรธเคืองอะไรอีก
"ไม่เป็นไร เรื่องมันผ่านไปแล้ว"
ลูกเกดทำตาโต..ก่อนจะหัวเราะเบาๆ "เป็นเมื่อก่อนเราคงโดนต่อยมั้งเนี่ย"
"เราก็ไม่ใจร้ายกับผู้หญิงขนาดนั้น.." ชายหนุ่มหัวเราะขื่นๆให้กับอดีตของตัวเอง ภาพลักษณ์ดูแย่จริงๆนั่นแหละ
"เอาล่ะ..เป็นอันว่าแมนยกโทษให้เรา?.."
คนถูกถามพยักหน้ารับ "แล้วไปแล้ว เราก็ดูแลเกดไม่ดีพอจริงๆ ไม่งั้นคงไม่เสีย.."
มกรหยุดคำพูดลง ถึงแม้ตอนนี้เขาจะทำใจได้แล้ว แต่เขาไม่รู้ว่าลูกเกดทำใจได้มากน้อยแค่ไหน
หญิงสาวยิ้มขื่นเมื่อนึกรู้ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อ และเพื่อให้บรรยากาศไม่แย่ลงไป เธอจึงเอ่ยขึ้น "เกดบอกเรื่องนี้กับที่บ้านแล้ว ..แล้วก็ได้ข้อความจากครอบครัวและพี่กรุง ฝากมาขอโทษแมนและครอบครัวด้วย"
"อือ..ครับ" มกรยกมุมปากยิ้ม มลทินที่เคยมีก็คงจบสิ้นกันไปเสียที
"ยังมีอีกเรื่องที่ต้องบอก..." ลูกเกดจับกระเป๋าถือตัวเองอย่างมั่นคง ดวงตาเธอตกต้องมองมือที่กุมกันไว้ "เกดคิดว่า..เด็กคนนั้นอาจไม่ใช่ลูกของแมน"
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น ร่างทั้งร่างแข็งทื่อ
"เกดพลาดกับผู้ชายคนอื่นตอนที่คบกับแมน.. ตอนนั้นแมนไปต่างประเทศเดือนนึง เกดก็ปาร์ตึ้ นึกว่าดื่มเหล้าสนุกๆ พอตื่นมาอีกทีก็นอนอยู่กับใครไม่รู้ ..หลายคน" เธอเล่าด้วยเสียงเบาลงตามลำดับ "ตอนนั้นเกดคะนอง และคิดว่าไม่เป็นไร ไม่ได้สนใจป้องกันเพราะเห็นว่าพลาดไปแค่ครั้งเดียว.. ตอนรู้ว่าท้องเลยเครียดมาก หาวิธีจะเอาเด็กออก แต่ตอนที่ลองเกริ่นกับแมนเรื่องเด็ก ที่เราสมมุติว่าท้อง เราเห็นว่าแมนสนใจเด็กมากเราก็ยิ่งเครียด เครียดมากจริงๆ กลัวเด็กออกมาแล้วแมนรู้ว่าไม่ใช่ลูกจะเกลียดเกด ช่วงนั้นเกดเครียดไม่หลับไม่นอน และคงเพราะแบบนั้นเกดถึงได้ตกเลือด"
"ตกเลือด..?" มกรหรี่ตาถาม
"ใช่..เกดมีเลือดออกอยู่ก่อนแล้ว ไม่มากหรอกแมน แต่ก็ออกมาเรื่อยๆอยู่สองสามวันติดกัน แต่ก็ปวดท้องมากเหมือนมีบางอย่างจะหลุดออกมา เกดไม่อยากไปหาหมอเพราะคิดว่าออกมาก็ดี จะได้ไม่ต้องรู้สึกเครียดและรู้สึกผิดกับแมน แต่อีกใจก็กลัวนะ..กลัวตอนที่แมนบอกว่าจะออกไปข้างนอกน่ะ เกดกลัวจะต้องเผชิญกับเรื่องทุกอย่างเพียงลำพัง เกดยังเด็ก คิดอะไรก็เห็นแก่ตัว เอาตัวเองรอด ไม่ทันได้คิดถึงใจแมน ตอนนั้นเลยกระโดดลงมา เพราะมันปวดจนทนไม่ไหว อยากให้มันจบๆไป แล้วก็จบจริงๆ ระหว่างเรานี่จบไม่สวยเอาเสียเลย" เธอเงยหน้ามายิ้มด้วยริมฝีปากสั่นระริก "แมนจะโกรธเราก็ได้ เกลียดเราก็ได้ วันนี้เรามาเพื่อมาเผชิญความจริง มาบอกให้รู้ว่าแมนไม่ใช่คนผิด เด็กคนนั้น..ไม่ใช่ลูกแมน"
มกรฟังแล้วก็ถอนหายใจออกมา ไม่ใช่เพราะโล่งอก แต่เพราะได้ยินเรื่องราวทั้งหมดเสียที เรื่องที่ยังค้างคาใจ ชายหนุ่มหลุบตามองพื้นก่อนจะตัดสินใจยิ้มแล้วมองหญิงสาวได้เต็มทั้งสองตา "เกดพูดอะไร จะลูกเราหรือไม่ใช่ เราก็ผูกพันกับเขามาตั้งนานแล้ว ดังนั้น..เกดไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดหรอก  เราโอเค ..ตอนนี้เราโอเค และขอบคุณที่ให้ความกระจ่างแก่เรา" มกรบอกแล้วยิ้มให้อีกครั้ง
หญิงสาวคว้าเอาทิชชู่ออกมาจากกระเป๋าและซับหัวตา "เราลังเลมาตั้งนาน ถ้าบอกแมนเร็วกว่านี้ก็ดี..
มกรส่ายหน้า เขาไม่เห็นด้วยกับความคิดนั้น "ดีแล้วที่มาบอกเอาตอนนี้  เรารู้จักคิดมากขึ้น อารมณ์เย็นมากขึ้น รับฟังและยอมปล่อยวางได้ดีขึ้น ไม่งั้นเราคงรู้สึกแย่กว่านี้"
"เราขอโทษ"
เขาส่ายหน้าให้ "ไม่เป็นไรจริงๆ"
"ขอบคุณ เกด ขอบคุณแมนมากๆ" เธอสะอื้นออกมาจนได้  ทิชชู่ที่เตรียมมาในกระเป๋าถูกหยิบออกมา มกรได้แต่ปล่อยให้เธอร้องไห้เบาๆจนพอใจ เมื่อเธอหยุดร้องเขาก็ยิ้มให้อีก
"ป่านนี้สามีรอแย่แล้วหรือเปล่า?"
"อุ้ย จริงสิ.. มัวแต่ร้องไห้อยู่นั่นแหละ เกดนี่ไม่ไหวเลย ไม่รู้จักโตเสียที" หญิงสาวซับน้ำตาให้แห้งแล้วลุกขึ้นยืนเพื่อทำท่าจะขอจบบทสนทนา
"งั้นเดี๋ยวเราเดินไปส่งที่สถานี"
"ไม่ต้องๆ เกดไปเองได้.." หญิงสาวเดินนำออกมาหน้าแมนชั่น มีมกรเดินออกมาส่งด้วย เมื่อมองไปทางขวา จะเห็นผู้คนยังเดินขวักไขว่เพื่อไปยังสถานี และญี่ปุ่นก็ไม่ใช่เมืองที่มีอาชญากรรมรุนแรงให้ต้องระมัดระวังขนาดเดินไปส่งให้สามีเขาหึงเล่น
มกรจึงรอให้อีกฝ่ายโบกมือลา แล้วค่อยเดินกลับเข้าไปในแมนชั่นหวังจะขึ้นลิฟต์ไปห้องเพื่อพักผ่อนเสียที
"เดี๋ยวแมน..เดี๋ยว"
คนเรียกคือเกดที่วิ่งกลับมากระหืดกระหอบ มกรหันกลับมามองแล้วพยักหน้าให้พนักงานรักษาความปลอดภัยของแมนชั่น ก่อนจะเดินออกมาหาเธออีกหน
"มีอะไรจะบอกอีกหรือ?"
เกดหอบนิดหน่อยขณะค้นของในกระเป๋าถือแล้วหยิบซองจดหมายออกมา
"ไม่ใช่เรา ... แค่มีคนฝากจดหมายนี้มาให้แมน เขาไปหาเราถึงออสเตรเลียเลยนะ" เธอยิ้มแล้วยัดจดหมายใส่มือมกร "เอาไป เรารีบ ไปก่อนนะ"
เธอโบกมือลาพร้อมกับซอยขาวิ่งไปตามทาง  ไม่นานก็ลับมุมตึกหายไป มีเพียงมกรที่ยืนมองจดหมายฉบับนั้นด้วยใจเต้นระทึก
ใครกันนะที่ไปหาเกดถึงออสเตรเลีย..
เขา..? หรือจะเป็น...??
มกรรีบแกะจดหมายออกทันที ข้างในนั้นมีการ์ดเล็กๆหนึ่งใบ เขียนด้วยลายมือคุ้นตา
ชายหนุ่มรู้สึกว่าในอกเหมือนมีกลองศึกมาตีกระหน่ำ และมีแรงดันจากภายในมากมายที่ทำให้เขาใกล้ระเบิดออกมา
เขากวาดตาอ่านกระดาษโน้ตแผ่นนั้น
“เก็บเพลงรักนี้ให้เป็นของขวัญ
ให้เธอได้รับได้รู้หัวใจของฉัน
แม้คืนวันจะเปลี่ยนแปลงสักแค่ไหน
แต่ใจของฉันที่รักเธอนั้นต่อให้ต้องลงนรกหรือขึ้นสรวงสวรรค์
ฉันก็จะไม่มีวันมอบให้ใคร
จะมีเพียงเธอแค่เพียงคนเดียว
และจะมีแต่เธอ เธอแค่เพียงคนเดียว
และจะเป็นเพียงคนเดียวเสมอไป
ที่ฉันฝากชีวิต ทั้งหมดไว้..โดยไม่มีวันทวงกลับคืน..”
ก่อนที่ท้ายจดหมายจะเขียนต่อไว้ว่า
“....อยากให้พี่แมนกลับมาฟังนัทร้องเพลงนี้จังครับ...”

หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 02-04-2015 10:21:21
ตอนที่ 58



เครื่องบินแอร์บัส เอ330 บินตรงจากนาริตะกลับมากรุงเทพฯ ร่อนลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิตามเวลาที่กำหนดไว้ พอสัญญาณปลดเข็มขัดดับลง มกรก็ลุกขึ้นหยิบสัมภาระที่อยู่เหนือศีรษะขึ้นไป
ชั้นธุรกิจนั้นมีเบาะกว้างและที่เก็บของก็ไม่น้อย ทว่า..ชายหนุ่มก็ใช้พื้นที่เสียคุ้มค่า
เขามองของในมือแล้วขำตัวเอง เลโก้ หุ่นยนต์ รถบังคับ ขนม ช็อกโกแลต.. นี่ไม่รวมที่โหลดอยู่ใต้ท้องเครื่อง กับที่ส่งคาร์โก้มาก่อนหน้านี้ด้วย เห็นอะไรมกรซื้อดะไปหมด ของเล่นที่ซื้อส่งมาให้ทุกเดือนว่าเยอะแล้ว คราวนี้ที่ถือมาเองเยอะกว่าอีก
เหมือนคุณพ่อติดลูกเลย..
ชายหนุ่มหัวเราะขำให้กับการกระทำของตัวเอง
แต่ทำแล้วมีความสุขดีจริงๆ
เมื่อประตูเครื่องเปิด ชายหนุ่มลงจากเครื่องเป็นกลุ่มแรกๆ รถกอล์ฟที่ติดต่อไว้ตั้งแต่ตอนบุ้คกิ้งจอดรออยู่แล้ว เมื่อเขาขึ้นนั่งรถก็แล่นออกไปทันที แต่ไม่มีอะไรทันใจเขา.. เพราะที่ด้านนอกเกท..มีใครบางคนรอเขาอยู่
มกรแตะเบาๆในกระเป๋าเสื้อแจ๊กเก็ตที่ใส่อยู่ เพื่อดูว่าของบางอย่างในนั้นยังอยู่ดีหรือไม่
กว่าจะผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง รอกระเป๋า.. มกรก็ใช้เวลาจากเครื่องลงเกือบครึ่งชั่วโมง เขาผ่านด่านตรวจสินค้าต้องสำแดงก่อนจะเข็นรถออกมาภายนอก แล้วพบว่า คนกลุ่มหนึ่งยืนรอเขาอยู่ คนพวกนั้น คือครอบครัวที่เขารัก
พ่อ ป๊า แม่มน แม่ไก่ แชร์ แพรว.. และ.. มะม่วง..
เด็กน้อยถูกอุ้มอยู่ในวงแขนบิดา ตัวจ้ำม่ำจนไม่รู้ว่าป๊าอุ้มไหวได้ยังไง..
ชายหนุ่มกวาดตามอง พยายามหา..
แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่า..ไม่มี..
ไม่มีณัฐวีร์อยู่ในบริเวณนั้น..
มกรยิ้มแห้งๆ แต่ก็ยังยินดีที่ได้เห็นครอบครัวและเพื่อน มาพร้อมหน้ากันแบบนี้
"...แม้น.." เสียงแหลมของเด็กน้อยดังลั่นขึ้นมาก่อนที่ชายหนุ่มจะเข้าถึงกลุ่ม พาให้คนที่ยืนอยู่แถวนั้นหันมามองเป็นตาเดียว
มกรหัวเราะแล้วเร่งฝีเท้ามากขึ้น พอเข้าไปถึงก็ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทุกคน แล้วจึงทักทายเพื่อน
มาถึงตรงนี้มะม่วงก็เริ่มดิ้นจะลงพื้น ทำให้ป๊าต้องปล่อยตัว..
เด็กชายวิ่งเข้าไปหามกรจากด้านข้าง เพราะเขายังทักทายเพื่อนไม่เสร็จ
"..แม้น.."
คราวนี้เรียกเบาลง แต่พลังทำลายล้างสูงกว่าเดิม..เพราะมะม่วงวิ่งเข้าไปเกาะขาแล้วแหงนหน้าขึ้นมอง เอาคางเกยต้นขามกร แล้วเปล่งเสียง "..แม้น.."
คนถูกเรียกถึงกับชะงัก ชายหนุ่มมองตากลมๆในเปลือกตาชั้นเดียวเหมือนเมล็ดอัลมอนด์ ยิ่งมองก็ยิ่งนึกไปถึงอีกคน..ณัฐวีร์น่ะตอนเล็กๆหน้าตาก็คงอย่างนี้แหละ.. คิดแล้วก็ยิ่งเอ็นดู เขาอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาในวงแขนก่อนจะตอบรับ "ครับ.. มะม่วง.."
ชื่อเรียกของเด็กน้อยทำให้เขานึกถึง "แม่" ในไดอารี่ของตัวเอง
ณัฐวีร์คือคนที่เขาอยากให้เป็นแม่ของมะม่วงมากที่สุดแล้ว แต่ตอนนี้ดันกลายเป็นพี่ชายไปเสียได้
"ณัฐวีร์ไปไหน พี่นัทไปไหนครับ"
เด็กน้อยส่ายหน้า แล้วยิ้มแป้น.. "นัทไม่มา.."
"ทำไมไม่มารับพี่แมนล่ะ.."
มะม่วงส่ายหน้า "ม่วงมา..นัทเฝ้าบ้าน"
"ว้า.. ก็อดเจอสิ.."
"เดี๋ยวๆ เจอ.." มะม่วงบอกแล้วเอามือเล็กๆจับสองแก้มชายหนุ่มไว้ "แม้น...คิดถึงม่วงไหม"
มกรยิ้มกว้าง ช่างซักจริงๆ "คิดถึงมากครับ"
"ม่วงก็คิดถึง นั่งดูรูปแม้นทุกวันเลย" เด็กน้อยอ้าแขนกอดแล้วเอาหน้าซบแก้ม
มกรออกจะงงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกัน เขาไม่คิดว่ามะม่วงจะติดเขาและยอมสนิทสนมด้วยขนาดนี้
บางทีในมื้ออาหารของครอบครัวนี้อาจมีแมนเป็นกับแกล้ม และบางทในเวลาน้ำชา อาจมีรูปถ่ายวางคู่กับคุ้กกี้อร่อยๆสักชิ้นเป็นของหวาน
สุดจะเดาและหาคำตอบ แค่รักเขามากๆ แค่นี้ก็ดีใจแล้ว
มะม่วงติดเขาพอสมควร ขนาดขึ้นไปนั่งบนรถ ก็ยังเรียกให้เขาไปนั่งคันเดียวกัน คันที่มีคาร์ซีท เวลานั่งอยู่ด้วยกันก็จับมือไปตลอดทาง
เป้าหมายของการเดินทางในครั้งนี้คือร้านที่ทองหล่อ ซึ่งเขาคิดว่า ณัฐวีร์น่าจะรออยู่ที่นั่น
คุณวีรชาติเป็นคนขับรถ มีณฐกาอยู่ข้างคนขับ เจ้าตัวเล็กนั่งอยู่หลังป๊าวี มกรจึงอยู่หลังแม่ไก่
"เป็นไง งานการที่โน่นสนุกดีไหมแมน.."
"สนุกดีครับป๊า.. มีปัญหาให้แก้เยอะ คนที่โน่นทำงานกันอย่างเป็นระเบียบและอยู่ในกฎเกณฑ์มาก ตอนแรกก็เครียดนะครับ แต่พอปรับตัวได้นี่สบายเลย กลายเป็นทำงานทุกอย่างต้องเป๊ะไปหมด นี่ก็ชักจะชิน ไม่รู้กลับมาทำงานกับคนไทยเราจะวางตัวยังไง"
ชายหนุ่มบอกขณะขยับมือเด็กน้อยเล่นไปด้วย
มะม่วงหัวเราะชอบใจเมื่อเขาทำมือไต่เป็นแมงมุมไปที่แขนจนถึงไหล่ เด็กน้อยเอียงตัวหนีหลับตาปี๋
"เดี๋ยวทำงานไปเราก็ปรับตัวได้ ถ้าจะทำงานให้มีความสุข ก็แค่เอาใจเขามาใส่ใจเรา เวลา เป็นเจ้านายก็ลองคิดว่าตัวเองเป็นลูกน้องดู พอเป็นลูกน้อง ก็ลองคิดว่าถ้าได้เป็นเจ้านายจะต้องการอะไร.. เป็นคนขาย เป็นลูกค้า  แบบนี้ก็คิดได้เหมือนกัน"
มกรยิ้ม เขามักได้ข้อคิดดีๆอย่างนี้เสมอ สองปีที่ห่างกันแต่ตัว ทว่าเขายังขอคำปรึกษาจากป๊าอยู่บ่อยๆ ป๊าชอบบอกว่ากำไรน้อยแต่ยั่งยืน กำไรมากแต่อยู่ไม่นาน..ให้เลือกเอา
ข้อคิดนี้ทำให้เขาย้อนกลับมาดูตัวเอง..ก่อนจะเข้าใจ..
เออหนอ..รักรอเขาอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับเขาอยากมีรักที่ยั่งยืน หรือรักวูบวาบเท่านั้น
เขาถึงได้รอ.. รออยู่จนกว่าจะถึงเวลาของเขา
จนวันนี้ก็มาถึง..
ที่ปลายทางนั่นมีณัฐวีร์รออยู่
แต่..คิดอะไรเพลินๆ ..รถกลับเลี้ยวไปอีกทาง..
"เดี๋ยวป๊าไปธุระแป๊บนึง ไม่ไกลๆ" คุณวีรชาติบอกด้วยใบหน้ามีความสุข
ใจมกรนั้นไม่ได้อยากไปธุระที่ไหนอีก อยากกลับบ้านเต็มที อยากเจอ อยากกอด แต่แล้วความคิดหนึ่งก็แว่บเข้ามา เออหนอคนเรา..รอมาได้ตั้งสองปี อีกแค่ชั่วโมงสองชั่วโมงจะไม่ไหวเชียวหรือ
ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบไป "ตามสะดวกเลยครับป๊า ผมดูน้องมะม่วงให้เอง"
"ม่วงโตแล้ว.." เด็กน้อยรีบบอก "นัทบอกโตแล้วต้องดูแลตัวเอง"
"เหรอ.. ใครสอนให้ดูแลตัวเอง"
"นัทสอน นัทน่ารักนะ แต่ก็ดุ" มะม่วงบ่นอุบอิบนิดหน่อยทำให้มกรเห็นอีกมุมของณัฐวีร์ด้วย.. สงสัยจะไม่ได้ใจแข็งกับเขาคนเดียวเสียล่ะมั้ง น่าจะใจแข็งกับน้องด้วย
"ก็มะม่วงดื้อ.." ณฐกาหันมาบอก
"มะม่วงไม่ดื้อ" เด็กน้อยส่ายหน้า "เป็นเด็กดี.."
มกรหัวเราะท่าเด็กดี เพราะเจ้าตัวน้อยยกมือขึ้นมาส่งจูบรัวๆ
"ไหนเด็กดี บอกสิว่าพี่นัทสอนอะไรบ้าง" มกรจับมือข้างว่างมาเล่น
"เยอะแยะ สอนแปรงฟัน สอนใส่เสื้อผ้า สอนให้เก็บของ แล้วก็ชอบบอกว่าห้ามทำอัลบั้มรูปเลอะ"
"ทำไมล่ะ ทำไมห้ามทำเลอะ"
"นัทไม่ชอบของเลอะ นัทเอาผ้าเช็ดให้ตลอด" มะม่วงจับนิ้วของชายหนุ่มเล่นไปด้วย เพราะบนนิ้วนั้นมีแหวนสีเงินสวยวงหนึ่ง และที่ข้อมือก็มีนาฬิกาเรือนโตที่มะม่วงเห็นแล้วต้องบิดเล่นไปมา
"ไม่บอกพี่เขาไปล่ะ มะม่วงน่ะชอบเอาอัลบั้มไปนั่งดูตอนกินข้าว กินขนม ถึงได้เลอะเทอะ"
เด็กน้อยอายม้วนเมื่อแม่ไก่เปิดเผยความลับ
มกรเห็นแล้วก็ยิ้ม แต่ที่เขาอยากรู้คือ "แล้วอัลบั้มรูปใครครับแม่.."
"จะเป็นรูปใคร ก็.."
"แม้น..แมน" มะม่วงพูดแทรกแม่ขึ้นมาทันที "รูปแม้นแมน นัทชอบเอามาดู"
คุณวีรชาติหัวเราะร่วน.. "เอาพี่ชายมาขายเสียแล้วมะม่วง"
คิ้วน้อยๆขมวดเข้าหากันเมื่อได้ยินคำพูดนั้น.. "ขาย..? ขายนัทแล้วใครจะซื้อ"
คุณป๊ากับคุณแม่ยิ่งหัวเราะให้กันใหญ่ แล้วก็เลยพาลไม่ได้ตอบลูกชายคนเล็กไปด้วย มะม่วงอยู่กับร้านขายอาหารมานาน จึงได้ซึมซับการค้าขายมาบ้าง เด็กน้อยถึงได้เขย่ามือมกรแล้วถามว่า "ถ้านัทขายไม่ออกจะทำยังไง?"
มกรยิ้มกว้างแล้วลูบหัวเจ้าหนูที่ชอบซักอย่างเอ็นดู "ไม่ต้องห่วงๆ เดี๋ยวพี่ช่วยซื้อไว้เอง รับรองขายออก"
พอบอกไปแบบนี้ มะม่วงก็ยิ้มกว้างแล้วเอานิ้วก้อยมาเกี่ยวนิ้วแม้นแมนไว้ "สัญญานะ"
"จ้า สัญญา" ชายหนุ่มเขย่านิ้วไปมา
การได้คุยกับมะม่วงทำให้เขาล้วงความลับช่วงสองปีมาได้หนึ่งอย่าง.. นั่นคือ ไม่ใช่แค่ทางนี้ส่งรูปไปทางโน้นเท่านั้น แต่ทางนี้ยังรับรูปจากทางโน้นด้วย ซึ่งก็ไม่รู้หรอกว่าใครเป็นคนแอบถ่ายส่งมาให้ อาจเป็นเลขา หรือล่ามที่ช่วยประสานงานในโครงการก็เป็นได้.. แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร เขาก็อยากจะขอบใจคนเหล่านั้นจริงๆ
รถค่อยๆจอดลงโดยที่เขาไม่รู้ทิศทาง พอเงยหน้าขึ้นมาจากมะม่วง ป๊าวีก็กระแอมเบาๆ
มกรออกจะงุนงงอยู่บ้างในช่วงแรก แต่เมื่อได้มองออกไปนอกรถจึงเห็นว่าเป็นสถานที่ที่เขาคุ้นเคยมาก..
"นี่กุญแจ.." วีรชาติส่งพวงกุญแจมาให้ "คราวนี้เอาให้อยู่มือเสียทีนะแมน ป๊าเบื่อลูกเล่นของนัทเต็มที่แล้ว"
กุญแจนั้นดูกี่ทีก็ใช่.. นั่นมันกุญแจคอนโดของเขานี่นา
ชายหนุ่มรับมันมาอย่างคาดเดาเรื่องราวทุกอย่าง เขายิ้มกว้างแล้วยกมือไหว้ "ขอบคุณครับป๊า"
พูดจบเขาก็เปิดประตูลงไปทันที ขายาวๆก้าวเร็วๆจนเกือบจะเป็นวิ่ง
"แมน.."
ทว่า เสียงเรียกจากคุณวีรชาติทำให้ชายหนุ่มชะงักฝีเท้าหันมา
"รู้ไว้ก่อนนะ ร้านป๊าไม่รับเปลี่ยน ไม่รับคืน ซื้อแล้วซื้อเลย ..โอเค้?"
มกรยิ้มกว้างยกมือขึ้นไหว้อีกหนก่อนจะรีบบอก "โอเคสุดๆครับ ไม่เปลี่ยน ไม่คืน ของหายากแรร์ไอเท็ม กว่าจะได้มาก็ต้องรอตั้งนาน ผมไม่มีทางคืนแน่ครับ จะเก็บไว้อย่างทะนุถนอมสุดๆเลย ขอบคุณนะครับป๊าที่ไว้ใจให้ผมเก็บไว้กับตัว"
คุณวีรชาติพยักหน้าหงึกๆแล้วมองชายหนุ่มวิ่งเข้าไปในคอนโด
"เฮ้อ..." คุณณฐกาถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอยิ้มให้สามีและเฝ้ามองเด็กคนนั้นวิ่งหายไปในตัวอาคารอย่างเป็นสุข "เราก็หมดหน้าที่แล้วสินะ..เหมือนมาส่งตัวเข้าหอเลย"
"นั่นสิ.." คุณวีรชาติยิ้มแล้วหมุนพวงมาลัยวนออกจากลานน้ำพุของคอนโดหรู "แต่ลูกก็อายุ 20 ปีแล้ว บรรลุนิติภาวะแล้ว เราก็ปล่อยเขาคิดเองตัดสินใจเองแล้วกัน"
"ค่ะ..หวังว่าคราวนี้คงจะโอเคแล้วนะคะ"
"ก็หวังแบบนั้น.."
คุณณฐกาถอนใจโล่งอกอีกรอบแล้วหันมามองลูกชายคนเล็ก ตอนนี้มะม่วงชะเง้อตัวเอี้ยวจนจะหลุดจากที่นั่งของเด็กอยู่แล้ว ถ้าไม่มีสายเบลท์คาดไว้ มีหวังเจ้าตัวดีได้ปีนเบาะนั่งในรถแน่ๆ
"เอ้าๆ มะม่วง เดี๋ยวก็ร่วงไปหรอก ป๊าออกรถแล้วนะครับ"
เด็กน้อยหันมาทำปากจู๋ แล้วจึงยอมนั่งนิ่งๆกอดอก เหมือนขัดใจเสียเต็มประดา "ไม่ชอบเลย.."
"ไม่ชอบอะไรครับมะม่วง" แม่ไก่ถามอย่างสงสัย
"นัทก็ไม่อยู่ แมนก็ไม่อยู่ ม่วงจะเล่นกับใคร"
คุณพ่อคุณแม่หัวเราะให้กับความช่างพูดของลูก "เดี๋ยวพวกพี่เขาก็กลับมา พรุ่งนี้คงได้เจอกันนั่นแหละ"
ได้ยินแม่บอกอย่างนั้น มะม่วงก็ปากยื่นอีกรอบ
ตั้งพรุ่งนี้...
-------

หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 02-04-2015 10:23:23
ตอนที่ 59



มกรไขกุญแจเปิดประตูเข้าไปในคอนโด กลิ่นอาหารหอมฟุ้งทำให้เขาสูดลมหายใจเข้าไปอย่างกระหายหิว ไม่ใช่ว่าบนเครื่องไม่มีอาหารเสิร์ฟ ชั้น Business Class มีให้กินแบบไม่อั้นด้วยซ้ำ แต่เพราะเขารู้ว่าอาหารนั้นใครเป็นคนทำต่างหาก เขาถึงได้กระหายหิวนัก
ชายหนุ่มรีบก้าวยาวๆตรงไปที่โต๊ะอาหาร จึงได้เห็นว่ามีอาหารอยู่สามอย่างวางอยู่แล้วบนโต๊ะ ไข่เจียวหมูหยอง แกงจืดเต้าหู้ไข่หมูสับ ทะเลทอดกระเทียมพริกไทย และน้ำจิ้มซีฟู้ดสีจัดจ้านอีกถ้วย
เสียงกึกกักดังมาจากในครัว ทำให้มกรเดินเข้าไปมอง
ร่างสูงเพรียวที่ไม่ได้เห็นมานาน ผมสั้นที่ตัดพอดีกับศีรษะทุย ไหล่ตั้งตรงเหมือนผู้ชายที่โตขึ้นเต็มที่แล้ว สายที่คอนั่นคงเป็นผ้ากันเปื้อนผูกอยู่ โบว์ที่เอวก็เช่นกัน ณัฐวีร์โตขึ้น สูงขึ้นนิดหน่อย แต่ดูเหมือนจะเอวบาง สะโพกกลมเหมือนเดิม
ความคิดถึงมันแล่นขึ้นมาจุกที่อกจนมกรไม่สามารถหุบรอยยิ้มบนหน้าคมคายนั่นได้
เขาเดินเข้าไปใกล้ ทำเสียงกระแอมเล็กน้อยให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาเข้ามาถึงตัวแล้ว ซึ่งเท่าที่สังเกต เขาว่าณัฐวีร์จะรู้ตัวตั้งแต่ไขกุญแจเข้ามาแล้ว เพราะดูเหมือนจะไม่ยอมหันหน้ามาหากันเลย
มกรก้าวช้าๆเข้าไปมองว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร ..ข้าวผัดกุ้งกำลังถูกเทลงบนจานสองใบ ที่เหลือก็เอาลงอ่างกระเบื้องใบกลางเพื่อไว้ให้เติม
เห็นแล้วท้องร้องขึ้นมาเลยทีเดียว..
มกรยิ้มเมื่อเห็นมือสั่นๆนั่นตักเอาแตงกวาและผักชีวางแปะให้บนจานทั้งสองใบ เขาพยายามมองหน้าอีกฝ่าย แต่ก็ดูเหมือนณัฐวีร์จะยังไม่สามารถต่อตากับเขาได้ แก้ม คอ ใบหู..เอาเป็นว่าทั้งหน้านั่นแหละ แดงเรื่อไปหมดแล้ว
"มองอยู่ได้.. เอาข้าวไปที่โต๊ะอาหารสิครับ"
"มองคนใจดีก็ผิดด้วยหรือ"
ณัฐวีร์แยกเขี้ยวใส่ แต่ไม่ยอมหันมามอง "เขินนะครับ"
พอพูดประโยคนั้นจบ ณัฐวีร์ก็ตวัดตาค้อนไปวงหนึ่ง
คนที่ยืนมองอยู่รีบยกมือขึ้นปิดปากปิดจมูกตัวเอง "โอย..ไม่ไหว.." แล้วชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้น
ณัฐวีร์รีบหันมามองทันที "อะไรกัน เลือดกำเดาไหลหรือครับ"
เขาหันรีหันขวางมองหาทิชชู่ แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าแล้วก้าวเข้าประชิดตัว มือข้างที่ปิดปากปิดจมูกปล่อยออก รวบเอาร่างณัฐวีร์เข้ามากอด แถมอีกมือก็ตามไปสมทบกดไว้ไม่ให้ร่างนั้นดิ้นหนีไปไหนได้
ที่ปิดไว้..เพราะยิ้มกว้าง ยิ้มเยอะ ยิ้มเรี่ยราด..จนไม่ไหวแล้ว เดี๋ยวเสียความเท่หมด น้องจะคิดว่าดีใจเว่อร์ไป เดี๋ยวจะพาลไม่ยอมให้ดีใจนานๆ
"คิดถึงนัทที่สุดเลย.." ชายหนุ่มกระซิบเบาๆ มือก็กอดร่างเล็กกว่าไว้แน่น "ใจจะขาดเสียให้ได้ตอนไม่เห็นนัทที่สนามบินน่ะ"
"เกินไปครับ.." ณัฐวีร์บอกแล้วกอดตอบอีกฝ่าย เขาซุกหน้าลงกับอกกว้าง "คิดถึงพี่แมนนะครับ.."
"คิดถึงมากไหม?"
"คิดถึงมากครับ" ณัฐวีร์ไม่มีกำแพงใดๆอีกแล้ว สิ่งที่ต้องการรู้เขาได้หาคำตอบจนครบถ้วนแล้ว ต่อจากนี้มีเพียงวางใจ เชื่อใจ รักได้เท่าที่อยากรัก พูดความรู้สึกได้เท่าที่อยากพูด และกอดคนๆนี้ได้เท่าที่เวลาทั้งหมดจะมี
มกรซบหน้าลงกับศีรษะน้อง "ชื่นใจจัง.." เขากระซิบอย่างเปี่ยมสุขแล้วก็ต้องขยับออกเมื่อคุณชายเบี่ยงตัวเล็กน้อย
ณัฐวีร์ยิ้มหวานเมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาคู่นั้นฉายประกายแห่งความสุขจริงๆ ไม่ได้เสแสร้ง
"ไปอยู่ญี่ปุ่นมาตั้งนาน ไม่ติดนิสัยคนญี่ปุ่นมาหรือครับ"
"หือ?..."
ณัฐวีร์ยิ้ม "ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับ"
"อ๋อ..." มกรหัวเราะ "กลับมาแล้วครับคุณภรรยา"
"ดีมาก.." ณัฐวีร์พูดแล้วจึงโน้มคออีกฝ่ายลงมาหา..
ริมฝีปากสัมผัสแตะกัน  บางเบา เมื่อผละออก มกรก็เลียริมฝีปากตัวเอง แล้วก้มจูบน้องอีกครั้ง ปากนุ่มชื้นเผยอให้ปลายลิ้นอุ่นร้อนสอดแทรกเข้ามา
เป็นจูบที่นานมากแล้วไม่ได้สัมผัสมัน ความอุ่นซ่านแผ่ปกคลุมจากจุดที่เชื่อมต่อกันแล้วกระจายไปทั่วร่าง ณัฐวีร์ไม่รู้ว่าตัวเองเบียดร่างเข้าหาอีกฝ่ายมากแค่ไหน แต่เขารู้ว่าหัวใจเต้นถี่รัวพอๆกันกับหัวใจอีกฝ่ายที่เต้นตุบอยู่ชิดอกนี้
รัก..
เขากล้าพูดได้เต็มปากว่ารักผู้ชายคนนี้จนหมดหัวใจ
แต่ความรักอย่างเดียวไม่สามารถนำพาให้ชีวิตรักของคนสองคนไปกันตลอดรอดฝั่งได้ เขาจึงต้องการความไว้ใจจากอีกฝ่าย ต้องการให้มกรได้เรียนรู้ว่ารักที่เขามีจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และอยากให้เชื่อใจด้วยว่าเขาพร้อมแล้วที่จะก้าวผ่านอุปสรรคทั้งมวลเพื่อเดินเคียงข้างกันไป
เวลาที่พอเหมาะพอดี ทำให้อีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ณัฐวีร์เองก็เติบโตขึ้นเช่นกัน เขาเรียนรู้ที่จะให้อภัย และอยู่กับปัจจุบัน มากกว่าจะเห็นอดีตเป็นเรื่องสำคัญ
ใครทำเราเจ็บ เราก็แค่จำไว้ระวังตัว.. โกรธไปก็เผาตัวเราเอง.. ทำให้เราร้อนรนเอง
นี่ไม่ได้ไปปฏิบัติธรรมที่ไหน ป๊าวีสอนมาล้วนๆ
ณัฐวีร์สุดลมหายใจยาวเมื่ออีกฝ่ายยอมปล่อยริมฝีปากเขาเป็นอิสระ ปลายนิ้วแกร่งที่เลื่อนมาปาดริมฝีปากช้ำจนแดงเรื่อให้วางสัมผัสเบามือ อ่อนโยนจนไม่คิดว่ามือใหญ่อย่างนั้นจะให้สัมผัสแผ่วเบาราวขนนกได้อย่างนี้ ณัฐวีร์ยิ้ม ความอบอุ่นที่อีกฝ่ายสื่อมาถึงเขามันแทรกซึมเข้ามาถึงเนื้อหัวใจนี่
ทั้งอ่อนโยนและหวานล้ำ.. รู้สึกดีจนน้ำตารื้นขึ้นที่ขอบตาแล้วค่อยๆไหลลงมาที่แก้มทั้งสองข้าง
มกรเห็นแบบนั้นก็ยิ้มบางๆ เขาใช้ปลายนิ้วเกลี่ยน้ำตาก่อนจะจูบซับให้ทั้งสองข้าง  “คนเก่งของพี่แมน เด็กดี..ไม่ต้องร้องไห้นะครับ รักนัทนะครับ..”
ณัฐวีร์พยักหน้าหงึก แล้วป้ายหน้าไปมากับเสื้ออีกฝ่าย มกรหัวเราะก่อนกอดศีรษะนั้นให้แนบกับอกกว้าง
“อืม.. จริงๆพี่ไปญี่ปุ่นกลับมาก็น่าจะติดนิสัยคนญี่ปุ่นกลับมาจริงๆนั่นแหละ” มกรเอาคางเกยศีรษะน้องแล้วโยกตัวเล่น “ใส่ผ้ากันเปื้อนแบบนี้ อยากเห็นคุณภรรยาใส่แค่ผ้ากันเปื้อนผืนเดียวจัง”
พูดจบชายหนุ่มก็หัวเราะร่วน ทำให้คนที่มีน้ำตาเมื่อครู่แยกเขี้ยวใส่ทันที
“นิสัยลามกเหมือนพวกวีดีโออย่างนั้นไม่เอาสิครับ”
“เขาเรียกเอวี ..แสดงว่าไม่เคยดู” มกรยั่วเย้าอีก
“ใครจะไปเชี่ยวชาญเหมือนพี่ล่ะ อยู่ที่โน่นมันแหล่งนี่นา สบายเลย”
“เปล่านะ..ดูรูปนัทพี่ก็ฟินแล้ว” มกรกระซิบที่ริมใบหูแล้วงับเบาๆ เล่นเอาอีกฝ่ายสะดุ้งโหยงกระโดดหนีทันที
“เฮ้ย..ไม่เอา กินข้าวก่อน..” ณัฐวีร์ถอยออกมา ทำให้มกรรีบเดินตาม “เอาจานข้าวมาด้วย อย่ามาเดินชิลๆ”
“คร้าบ..” ชายหนุ่มหันไปหยิบจานข้าวผัดเดินตามเมีย เอ้ย ตามมา  “ถ้ากินข้าวเสร็จแล้วกินนัทได้ใช่ไหม?”
ณัฐวีร์เอาผ้ากันเปื้อนออกจากคอ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ “มาเร็วครับ นัทหิวแล้ว นี่ทำเองหมดเลยนะ”
“คนใจร้าย ไม่ตอบคำถามแม้น” มกรบ่นแล้วเรียกชื่อนั้นออกมา ทำให้ณัฐวีร์หลุดพรืดหัวเราะร่วน
“เดี๋ยวนะ ไปเอาชื่อนี้มาจากไหน..”
“มะม่วงเรียก..สนิทกันแล้ว” ชายหนุ่มยักคิ้ว วางจานข้าวให้อีกฝ่ายแล้วหย่อนตัวนั่งลงตรงข้ามกัน “อย่ามาเฉไฉ.. กินข้าวแล้วกินนัทต่อเลยได้ไหม”
“ไม่ได้..” ณัฐวีร์หยิบช้อนขึ้นตักข้าวตักกับ “เพิ่งกินอิ่มใหม่ๆเดี๋ยวจุก.. พักแป้บนึงอาบน้ำอาบท่าแล้วค่อยว่ากันครับ”
“ค่อยว่ากันเหรอ.. แสดงว่ายังไม่อนุญาต.. เศร้านะเนี่ย” มกรทำสลด เอาช้อนเขี่ยข้าวไปมาไม่ยอมตักกิน
“ไม่ต้องเลยครับ.. ถ้าถึงเวลาแล้วไม่ยอมกิน เดี๋ยวนัทจะกินพี่แมนเอง..” ณัฐวีร์พูดแล้วเริ่มตักอาหารเข้าปาก เขากล้าพูดเช่นนั้นเพราะเท่าที่ผ่านมา เขาแสดงออกชัดเจนเสมอเวลาที่เขามีความต้องการ
ชายหนุ่มทำตาโต นึกย้อนไปเมื่อตอนที่ณัฐวีร์โมโหที่เขาไม่ยอมแตะต้อง.. ตอนนั้น น้องก็ต้องบอกเองเหมือนกัน คราวนี้ไม่ต้องบอก นี่ล้างมือรอกินเรียบร้อยตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่องด้วยซ้ำ
“ค่อยว่ากันก็ได้ครับ..” ชายหนุ่มกระซิบบอกด้วยสายตาเจ้าเล่ห์สุดๆ “พี่ยังมีเวลาอยู่กับนัทไปตลอดชีวิตนั่นแหละ”
ณัฐวีร์ยิ้มหวาน..  “ครับ.. นัทก็มีเวลาอยู่กับพี่ไปทั้งชีวิตเหมือนกัน”
มกรตักข้าวเข้าปากคำโต “สงสัยมื้อนี้จะน้ำตาลขึ้น..หวานเป็นพิเศษเนอะ..”
“อยากได้อย่างโหดไหมล่ะครับ ขมเฝื่อนนัทก็จัดให้ได้นะ” คนพูดตักอาหารเข้าปากแล้วทำท่าเคี้ยวกร้วมๆข่มขวัญ
“อูย กลัวแล้วครับ”
“กลัวแล้วก็กินข้าวไปครับ ห้ามบ่นหวาน เดี๋ยวจะอดของหวานนะครับ”
“ครับผม.. ถึงว่าทำไมมะม่วงบ่นว่าดุ”  มกรอุบอิบแล้วตักข้าวเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ
“ว่าอะไรนะครับ..”
ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก สำลักค่อกๆออกมาทันที มกรยกมือขึ้นปิดปากหันหน้าหนีโต๊ะอาหาร ก่อนจะไอแรงๆจนณัฐวีร์ต้องลุกขึ้นไปลูบหลังให้
“ไหวไหมครับ นี่น้ำ” ณัฐวีร์ยื่นแก้วน้ำให้
แต่อีกฝ่ายกลับโบกมือว่าไม่เอา เขายังไอค่อกๆเหมือนมีอะไรติดคอทำให้ณัฐวีร์ต้องวางแก้วมาลูบหลังลูบไหล่อย่างทำอะไรไม่ถูก
มกรคว้ามือน้องไปกุมไว้ ท่าทางจะทรมานกับการไอพอสมควร เพราะหูแดงหน้าแดงไปหมดแล้ว
ณัฐวีร์อารามว่าเป็นห่วงจึงไม่ได้ดึงมือออก เข้าโน้มตัวลงเพื่อดูว่าอีกฝ่ายเป็นยังไงบ้าง แต่แล้วก็โดนเล่นงานเข้าจนได้ ร่างทั้งร่างถูกดึงให้นั่งลงไปบนตัก เมื่อเสียการทรงตัว ณัฐวีร์จึงต้องเกาะไหล่กว้างไว้เป็นหลักยึด
“พี่แมน!”  น้องร้องเสียงหลงขณะที่คนพี่รวบเอวน้องกอดสบายอารมณ์ไป
“นี่ เกิดหกล้มหกลุกขึ้นมาจะทำยังไงกันครับ!” ณัฐวีร์ร้องลั่น มือที่เกาะไหล่อยู่ยกทำท่าจะทุบอีกฝ่าย
แต่เพราะความรู้สึกแปลกประหลาดที่มือตัวเอง ทำให้ณัฐวีร์ชะงักการลงไม้ลงมือกับผู้ก่อเหตุ แล้วหันมองมืออีกที
แสงตกกระทบมุมตัดเจียระไนของเพชรเม็ดโตซึ่งฝังอยู่ในวงแหวนสีเงินของทองคำขาว ทำให้ณัฐวีร์ลดมือลงมามองมัน เขาจ้องจนรับรู้ได้ว่ามันเป็นแหวนที่อยู่บนนิ้วนางข้างขวาของตัวเอง และรับรู้ว่ามันเพิ่งจะมาอยู่บนนิ้ว และเขาเพิ่งจะเคยเห็นมันเป็นครั้งแรกวันนี้เอง ซึ่งเท่ากับว่า..คนที่ใส่มันให้กับเขาก็คือ..
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองใบหน้ายิ้มหวานของมกร ใบหน้านั้นเป็นสีแดงก่ำด้วยความเขินอาย
“แหวน..?” ณัฐวีร์เอ่ยขึ้นเป็นเชิงถาม ทำให้อีกฝ่ายพยักหน้ารับแล้วเลื่อนมือมาจับมือของน้องไว้
“แหวน..พี่ตั้งใจซื้อมาให้ เอาเงินเดือนตัวเองซื้อมา.. พี่อาจไม่ได้คุกเข่าลงตรงหน้า ไม่มีดอกไม้ช่อใหญ่ๆมาให้นัท..แต่นัทครับ..แต่งงานกับพี่นะ” มกรกระซิบชิดแหวนวงนั้น ก่อนจะบรรจงจูบลงบนหลังมือที่สั่นเทาและเย็นเฉียบ
ณัฐวีร์ตัวสั่นอยู่บนตักอีกฝ่าย น้ำตาแห่งความยินดีหลั่งลงมาอย่างไม่สามารถห้ามไว้ได้ เด็กหนุ่มเผยอปากที่สั่นระริกขึ้น
“...”
แล้วก็ไม่สามารถเปล่งเสียงใดๆออกมาได้
มกรนั้นทั้งลุ้นทั้งกลัวไปในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มเหลือบตามองทำท่าน่ารักเข้าใส่ขณะร้อง “นะ นะ นะ”
ณัฐวีร์ใช้มือข้างว่างหยิกแขนที่กำลังจับมือเขาไว้จนมกรร้องโอ้ย ก่อนเจ้าตัวจะยิ้มด้วยริมฝีปากสั่นๆนั่นแล้วบอก  “บ้า..”
“อ้าว ให้ตกลงแต่งงานครับ ไม่ใช่ให้มาร้องบ้า ไม่เอาๆ พูดใหม่เร็วคนดีของพี่แมน”
ณัฐวีร์พูดไม่ออก ครั้นจะเล่านิทานเหมือนที่เล่าให้ป๊ากับแม่ฟังก็ดูจะไม่ใช่มุกที่เข้ากันกับช่วงเวลานี้ เขาคิดแล้วหลับตาลงก่อนจะเปิดริมฝีปากขึ้นใหม่..
“เก็บเพลงรักนี้ไว้เป็นของขวัญ ให้เธอได้รับได้รู้หัวใจของฉัน แม้คืนวันจะเปลี่ยนแปลงสักแค่ไหน ..แต่ใจของฉันที่รักเธอนั้น ต่อให้ต้องลงนรกหรือขึ้นสรวงสวรรค์ ฉันก็จะไม่มีวันมอบให้ใคร.. จะมีเพียงเธอแค่เพียงคนเดียว และจะมีแต่เธอ เธอแค่เพียงคนเดียว ..และจะเป็นเพียงคนเดียวเสมอไป ที่ฉันฝากชีวิต ทั้งหมดไว้ โดยไม่มีวันทวงกลับคืน”
ณัฐวีร์ร้องด้วยเสียงกระพร่องกระแพร่ง ผิดคีย์เสียงหายเป็นระยะ แต่เพราะกำลังใจจากอุ้งมืออีกฝ่าย และแรงกระตุ้นจากอ้อมกอดกระชับ ทำให้สุดท้ายเมื่อร้องเพลงจบเขาจึงลืมตาขึ้น “..คำตอบของนัท ไม่เคยเปลี่ยนแปลง.. นัทรักพี่แมนครับ ..ตกลงครับ..”
ชายหนุ่มยิ้มกว้างเมื่อได้รับคำตอบนั้น
“ว่าแต่.. พี่แมนจะเปลี่ยนมาใช้นามสกุลนัท หรือจะให้นัทเปลี่ยนไปใช้นามสกุลพี่แมนล่ะ” ณัฐวีร์ถามอย่างสัปยอก แล้วก็หัวเราะร่วน
มกรทำท่าคิดแล้วบอกว่า “เรื่องแบบนี้ต้องปรึกษาผู้ใหญ่ก่อนนะครับ ถ้าเป็นพี่ พี่ว่าเพื่อความมั่นคงของสกุลพี่ บ้านนัทมีมะม่วงแล้ว ดังนั้นเปลี่ยนมาใช้นามสกุลสามีก็ดีนะครับ”
มกรขยิบตาเจ้าเล่ห์ ก่อนจะจูบปิดปากน้องพร้อมกับรวบมือทั้งสองข้างของณัฐวีร์ไปกดไว้แนบหัวใจ..
ภายใต้ฝ่ามือขาวนี้ เสียงหัวใจของมกรจะเต้นอยู่ตลอดไป..
จะเต้นเป็นจังหวะรัก..และรักเสมอไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
----



เรื่องนี้ก็จบลงแล้วนะคะ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านกันมา กำลังใจดีๆของทุกคนทำให้เราเขียนจบจนได้
ขอบคุณพี่เป้ที่อุตส่าห์อยากอ่านแนวตบจูบ
ขอบคุณนักอ่านทุกท่าน ทั้งท่านที่ร่วมสนุกกันกับทางเพจ ท่านที่ให้ข้อมูลกับเรา ท่านที่คอยกระตุ้นให้เราเขียน รักทุกคนเลย
ขอบคุณแม่และแมวที่คอยอยู่ข้างๆเสมอ ขอบคุณที่ให้เราเอาแต่ใจจนถึงที่สุด เยิ้ฟยู

หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 02-04-2015 10:35:04
แย้วๆๆ ในที่สุด พี่แม้นกับน้องนัทก็จบลงด้วยดี 5555

ขอบคุณคนแต่งนะคะที่เขียนและดันพี่แม้นให้จบอย่างแฮปปี้นะค๊าบบบบบ


และนี่คือรายละเอียดการสั่งจองค่ะ หรือใครสะดวกงานหนังสือก็ไปได้ที่บูธสะพาน หรือบูธเบเกอรี่ ได้นะคะ ^^


สนใจสั่งจองเชิญกดดูรายละเอียดในลิ้งค่ะ
https://docs.google.com/document/d/1K5880YBKYqrbdRcBDXsYBLOwSBXqDa5pzyT3I8ZpCsI/mobilebasic?pli=1


ขอบคุณทุกคนทีอ่านและคอยให้กำลังใจค่ะ
รอนิยายเรื่องหน้ากันด้วยนะคะ (ถ้ายังไม่เบื่อกันซะก่อนน๊าาา )  :mew1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-04-2015 12:33:55
ผาเรืรองราวอะไรต่างมาก็เยอะ มีความสุขซะทีน่ะทุกคน แอบอยากอ่านอนพิเศษของมะม่วงอะจะมีไหมค่ะ
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: NOPKAN ที่ 02-04-2015 13:39:38
ในที่สุด แม้นของม่วงก็แฮปปี้จริงๆซะที ^^
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 02-04-2015 19:35:54
จบแว้วววววว. น้องมะม่วงน่ารักมากๆๆๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) ตอน 30 [14Dec14]
เริ่มหัวข้อโดย: beebeekung ที่ 02-04-2015 20:11:32

มกรพรูลมหายใจออกมาอย่างอัดอั้น เขาแหงนหน้ามองเพดาน “จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าคนนั้นเขาจะให้อภัยพี่ไหม.. พี่ทำให้เขาคิดมากจนกระโดดลงมา แต่เพราะเขาไม่รู้ว่ามีมะม่วงอยู่ เขาถึงทำแบบนั้น ถ้าเขารู้ว่ามีเด็กในท้องเขาคงไม่ทำ”
ตอนนี้คือแมนยังไม่รู้ใช่ไหมว่ามีมะม่วงหรือว่ารู้แล้วมี

แต่ว่าตอนนี้
"ตอนนั้นเกดคะนอง และคิดว่าไม่เป็นไร ไม่ได้สนใจป้องกันเพราะเห็นว่าพลาดไปแค่ครั้งเดียว.. ตอนรู้ว่าท้องเลยเครียดมาก หาวิธีจะเอาเด็กออก แต่ตอนที่บอกแมนว่าท้องแล้วเห็นว่าแมนสนใจเด็กในท้องมากๆ เกดก็ยิ่งเครียด เครียดมากจริงๆ กลัวเด็กออกมาแล้วแมนรู้ว่าไม่ใช่ลูกจะเกลียดเกด ช่วงนั้นเกดเครียดไม่หลับไม่นอน และคงเพราะแบบนั้นเกดถึงได้ตกเลือด"
เหมือนแมนรู้อยู่แล้วว่าท้อง  หรือเราอ่านข้ามตรงไหนหรือเปล่า :hao3:
เพราะว่าตอนที่พูดกับพี่ชายเกดก็เหมือนแมนแค่พูดเท่านั้นเอง
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 02-04-2015 22:57:13
อุต้ะ!!! เราพลาดเอง คุณมอสแก้ในเพจแล้ว แต่เราไม่ได้ก็อปอันแก้มาโพส ขอโทษด้วยที่พลาดค่ะ (ไปอ่านในเฟสก่อนได้นะคะ) พรุ่งนี้เราจะมาแก้ให้ค่ะ. >,<

ขอบคุณ คุณbeebeekung ที่ท้วงมามากๆเลย รู้เลยว่าอ่านทุกตอนและจำเนื้อเรื่องได้แม่นกว่าเรา(คนก็อปแปะ)อีก จับกอดสองที 555
ขอบคุณมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: Teddysdeath ที่ 02-04-2015 23:38:14
เหนือชั้นมากๆเลยเรื่องนี้
สุดยอดดดด
ฝากตัวเป็นติ่งคนเขียนตลอดกาล
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 03-04-2015 01:07:42
นัทใจแข็งพอดู ที่สุดก็จบหวานถูกใจค่ะ
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: Tsubamae ที่ 04-04-2015 09:00:05
ชอบบบ แนวโปรดด โหดหยองไปนิดตอนแม้นทุบแขนนัท
แถมนัทเจ็บตัวแต่ละครั้ง โหดๆๆทั้งน้านน
แต่ตอนเอาคืนสะใจดี แม้นศรีตอนกลับตัวหงอยๆน่ารักมากกก
งี้น่าให้นัทเราพลิก ส่วนสูงไม่มีผลในแนวราบแต่กล้ามหนานี่
สงสัยนัทจะสู้ไม่ไหว กร้ากกกก พ่อแม้นศรีเอ้ยพ่อแม้นแมนแม่นัท
หนูมะม่วง ครอบครัวสุขสันต์ พ่อแมนมีลูกแล้วน้า อึ้ง ทึ่ง ความจริง
จากเกดมากก นี่เท่ากับว่าแม้นศรีจมกับความผิดที่ไม่ได้ก่อมานานนม
แต่ตอนนี้ก็มีความสุขแล้วเนาะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: NIMME ที่ 05-04-2015 19:10:03
ตามเรื่องนี้มาราธอนมาก เสียน้ำตาไปเป็นลิตรๆ
แต่ก็ตามมาอ่านจนถึงตอนจบ สนุกมาก บอกเลยไม่ผิดหวัง
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: Youi_chin ที่ 07-04-2015 03:23:36
ชอบบ รักเเม้นศรี รักหนูนัท รักหนูมะม่วง รักคนเขียน ลุ้นกับเรื่องนี้มากเพราะกลัวกับตอนจบ เเต่สุดท้ายก้อเเฮปปี้เอนดิ้ง เย้! 
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: КίmY ที่ 07-04-2015 21:04:20
อ่านแล้วหลงรักเลย  :impress2:
:pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: abcee ที่ 08-04-2015 01:07:38
แรกๆ สงสารนัท อยากให้นัทเอาคืนแมนให้หนักๆ หลังๆสงสารแมน ทุกอย่างมันมีเหตุปัจจัยของมัน ชอบเรื่องนี้นะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: pupae2528 ที่ 08-04-2015 02:34:21
กว่าจะhappy ending คนอ่านลุ้นๆๆๆๆๆๆเค้นหัวใจ :pig4:
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: disney ที่ 11-04-2015 14:30:50
เป็นตอนจบที่ happy ending และหวานมากจริงๆค่ะ

คุ้มค่ากับสิ่งที่แมนและนัทอดทนรอเพื่อให้มีวันนี้
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: nutty ที่ 16-04-2015 01:23:05
เพิ่งอ่านจบค่ะ ชอบพลอตประมาณนี้
สนุกดี สะใจตอนน้องเอาคืน&แม้นกลับใจ
ปกติถ้าลองเลวขนาดนี้ตอนต้นเรื่อง
ส่วนใหญ่จะคิดได้แต่ทำไม่ได้
พระเอกเรื่องนี้พอดัดได้อยู่
พ่อแม่ป๊ะม้าเรื่องนี้น่ารักเข้าใจลูก
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 05-05-2015 05:09:29
ตามมาอ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ
สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ตอนนี้รอหนังสือ วิ้วๆๆๆๆ จะเอาน้องกับพี่แม้นศรีมาไว้ในครอบครอง


สู้ๆค่ะ

รอเรื่องต่อไป  เย้ๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 05-05-2015 08:28:07
ขอบคุณครับ ตามลุ้นกันนานเลย
ตอนต้นเรื่องแมนนี่นิสัยเลวจริงๆ แต่ก็โดนเอาคืนไม่น้อย
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: sunipum ที่ 01-06-2015 14:13:32
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ  สนุก ชอบเรื่องนี้อ่ะ กว่าจะสมหวังกันจริงก็ใช้เวลาหลายปีแต่มันก็สมเหตุสมผลกับที่ผ่านมาแล้ว ขอบคุณมากๆเลยนะค่ะสำหรับนิยายดีๆ ^^
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: PlangPai ที่ 01-06-2015 20:04:33
เพิ่งได้เข้ามาอ่านและอ่านจนจบช่วงพักสมองจากโปรเจ็คค่ะ
สนุกมาก หยุดอ่านไม่ได้กันเลยทีเดียว ขอบคุณนิยายสนุกๆนะคร๊าาา

ปล.ชอบพี้นฐานการคิดของน้องนัทมากค่ะ ทำวิธีไหนก็ได้ที่จะให้ตัวเองไม่ทุกข์ สุดยอด
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: shironeko ที่ 02-06-2015 02:01:52
 :L2: ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 02-06-2015 23:00:46
สองคนนี้น่ารักจัง ภาคแรกก็ดราม่าซะน้ำตาตก พอมาภาคสองก็น่ารักจังเลย
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: New_Tai ที่ 03-06-2015 10:13:52
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 04-06-2015 00:29:09
 :pig4: เพิ่งได้มาอ่านเรื่องนี้ สนุกมากอ่านรวดเดียวจบเลย เสียน้ำตาไปเยอะมาก สงสารทั้งแมนและนัท คนแต่งแต่งได้ดีมากๆ ให้ข้อคิดดีดีหลายอย่างเลย
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: duckka ที่ 07-06-2015 11:41:09
พี่แม้นนนนนนนน ฮึ่ยเกเรมากอ่ะ ตอนอ่านภาคแรกนี่แม้นนี่
นิสัยแย่สุดๆทำกับนัทได้ ตอนจบภาคแรกแอบสะใจเลยอ่ะ
คิดว่าจะหนีไปพ้นซะละภาค่อคนที่เลือกะเดินกลับมาเองคือนัท
นี่ก็แอบมีดราม่านิดหน่อย บทเรียนนี้แม้นแมนคงจำไปอีกนาน
ไม่โทษเรื่องการทำตัวไม่ดีเพื่อเรียกร้องความสนใจนะ แต่โทษ
ที่ชอบตัดสินใจเองโดยที่มองข้ามความรู้สึกของอีกฝ่าย โดนซะ
มั่งจะได้รู้ว่านัทเจ็บปวดมากแค่ไหน สุดท้ายชอบมะม่วงมากค่ะ
น้องน่ารัก ชอบเรื่องนี้ ขอบคุณนักเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 07-06-2015 12:44:59
อ่านรวดเดียวจบเลยครับ สนุกมาก มีหลายอารมณ์มากๆ
ลุ้นกับทั้งแมนและนัทด้วยว่าจะลงเอยยังไง
สุดท้ายก็เข้าใจ จบแบบมีความสุข

และสุดท้าย น้องมะม่วงน่ารักมากๆ ชอบสุดๆ เสียดายโผล่มานิดเดียว
พี่แม้นของมะม่วง 5555+ น่ารักมากๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: kungyung ที่ 07-06-2015 20:27:46
 o13
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 09-06-2015 20:55:22
จบแล้วอ่า ชอบมะม่วงจัง น่าร๊าก
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: kaewvahaha ที่ 10-06-2015 01:11:10
อิหมาแมน :katai1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 10-06-2015 18:29:55
โอ้โห เรื่องนี้มีครบทุกแบบจริงๆ สนุกและก็เครียดมาก  :ling1:
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 11-06-2015 13:50:24
สวัสดีค่ะ ขอบคุณทุกคอมเม้นนะคะ ^__^

มีคำพูดฝากมาจากคนแต่งค่ะ

ยังไงก็อย่าลืมติดตามผลงานกันต่อไปเรื่อยๆนะคะ

(http://upic.me/i/pe/8capture.jpg) (http://upic.me/show/55826131)


ขอบคุณทุกคนนะคะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: Ningg.Destiny ที่ 12-06-2015 07:59:20
จบแฮปปี้มากกกกก
แต่ไปๆมาๆหลงรักมะม่วงสุด
นางพูดเก่ง น่ารัก โอ้ยยย ชอบบบบ
หัวข้อ: Re: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: pummy09 ที่ 15-06-2015 15:02:11
อ่านจบแล้ว  ตอนแรกๆๆ อ่าน โคดเกลียดพระเอกเลยอะ  อะไรจะโหดร้ายรุนแรงขนาดน้านนนน

แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าเป็นโรคจิตนิดๆๆ

ในที่สุดก็จบลงด้วยดี ฮ่าาาาาา

ขอบคุณผู้แต่งมากค่ะ สำหรับเรื่องราวที่แต่งมาให้ได้อ่านกัน ขอบคุณมากค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) อัพ ตอนที่ 57-59[end] และรายละเอียดการเปิดจอง P.18
เริ่มหัวข้อโดย: ckk ที่ 28-06-2015 09:22:14
 o13
หัวข้อ: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: pae666 ที่ 06-07-2015 09:55:06
สวัสดีค่ะทุกคน ไม่เจอกันนานเลยคิดถึงแม้นกันไม๊คะ  :hao7:

วันนี้เอาตอนพิเศษของพี่แม้นกับน้องนัทมาฝากค่ะ #จริงๆได้มาหลายวันแล้วแต่เพิ่งว่างลง 555

ป่ะ.. อ่านพร้อมกัน  :hao7:

.
.
.
.
.
.
.

Can I..?
เป็นฉันได้ไหมที่ในหัวใจนั้น
Special Part


เช้าในวันที่เร่งรีบอย่างวันจันทร์ของทุกสัปดาห์ ปริมาณรถในถนนไม่รู้ว่ามีมากกว่าเดิมหรือมีเท่าเดิม แต่ณัฐวีร์มักพบว่าตนเองจะติดอยู่บนถนนมากกว่าวันอื่นๆเสมอ
ซึ่งเช้านี้ก็เช่นกัน..
เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู พอเห็นว่าไม่น่าจะทันเข้าเรียนแล้วก็ได้แต่ทำหน้าเซ็ง คาบแรกเริ่มตั้งแต่ 8.30 น. นี่จะ 8.00 น.แล้วเขายังไม่เขยิบไปพ้นเอ็มควอเทียเลย เด็กหนุ่มได้แต่ถอนใจเบาๆก่อนจะทอดตามองไปที่ท้ายรถเบื้องหน้า.. ยาวไป ยาวไปอีก.. เหอะ ไฟเขียว แต่ไม่กระดิกสักมิล
ณัฐวีร์ส่ายหน้าแล้วหันไปเปิดเพลงในรถแทน เขาเลือกเอาแผ่นเพลงที่ฟังสบายเพื่อให้คลายความเครียดจากการจราจร ปกติแล้วจะใส่ไว้ประมาณสี่แผ่นเพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียนฟัง แต่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่สองสามเพลงก็ยังไม่เป็นที่ถูกใจเสียที ทำให้เขาได้แต่ยอมแพ้ ปล่อยให้เครื่องเสียงในรถเล่นเพลงที่กดล่าสุดไปตามเรื่องตามราว
หลายครั้งหลายหนที่มอเตอร์ไซค์ลัดเลาะเข้ามาใกล้รถแล้วเสียงสัญญาณเตือนจะร้องขึ้น จนณัฐวีร์ชินกับเสียงเหล่านั้นแล้ว รอให้รถขยับด้วยการเคาะปลายนิ้วเรียวยาวไปบนพวงมาลัย
รถยังไม่ขยับ.. แต่โทรศัพท์ที่วางอยู่ตรงเบาะข้างคนขับขยับและส่งเสียงเรียกเข้าดังขึ้น
เสียงพิเศษที่ณัฐวีร์ตั้งเป็นเสียงเรียกเข้า.. ฟังแล้วเขาก็ยิ้มแล้วเบี่ยงมือไปกดรับสายที่พวงมาลัยรถ
แน่นอนว่าเสียงเรียกข้าวของพี่แมนนั้น เจ้าตัวไม่เคยได้ยินหรอกว่าเป็นเพราะอะไร เพราะเวลาพี่แมนโทรมาก็คือจะอยู่ห่างออกไปไกลจนไม่ได้ยินเสียงทุกที
"ครับ พี่แมน" เขากรอกเสียงลงไปแล้วรอฟังเสียงนุ่มๆจากปลายสายตอบกลับมา
"อยู่ไหนแล้วนัท.."
"แถวหน้าเอ็มครับ พี่แมนล่ะอยู่ถึงไหนแล้ว เมื่อคืนก็คุยกันจนดึกเลย ตื่นไหวไหมเนี่ย"
เสียงหัวเราะจากปลายสายดังเบาๆ "ตื่นไม่ไหวจะมาขุดจากเตียงไหม"
ณัฐวีร์ส่ายหน้าให้กับเสียงหัวเราะที่ดังก้องไปในห้องโดยสาร "เดี๋ยวส่งมะม่วงไปช่วยฉุด"
"ใจดีจัง.. แต่เก็บมะม่วงไว้บ่มที่บ้านเถอะ ตอนนี้พี่อยู่ที่ทำงานแล้วครับ"
"ไปถึงเช้าจัง ยังไม่แปดโมงเลยนะครับ" ณัฐวีร์พูดแล้วทำตาโต
"พี่ชินแล้วน่ะ ตอนอยู่ที่ญี่ปุ่นก็ต้องตื่นเช้าหน่อย เพราะไม่อยากไปเบียดช่วงเร่งด่วนกับเขา"
"เมื่อคืนก็นอนดึก"  ณัฐวีร์เอ่ยอย่างห่วงๆ เพราะกว่าจะออกจากร้านไปก็เกือบห้าทุ่ม ถึงบ้านเที่ยงคืน ไหนจะอาบน้ำทำอะไรส่วนตัวอีกกว่าจะได้นอน
"เมื่อเช้าพี่ไม่ได้ขับรถเองครับ มากับแม่ ก็ได้พักไปนิดนึง"
"อ้าว แล้วรถไปไหนล่ะครับ"
"เมื่อเช้าเหมือนจะรวนนิดหน่อยน่ะ สตาร์ทไม่ติด ตอนแรกว่าจะเอารถอีกคันนึงออก แต่เห็นว่าวันนี้ไม่ได้ไปไหน แล้วก็..อยากเจอแฟนครับ" เสียงตอนท้ายประโยคติดลูกอ้อนมาเยอะเลยทีเดียว ทำให้คนฟังถึงกับหน้าร้อน
"งั้นตอนเย็นนัทไปรับที่ทำงานนะครับ แล้วกลับคอนโดกัน"
ปลายสายคงหน้าบานยิ้มกว้างไปแล้วมั้ง เพราะเสียงตอบรับกลับมานี่ระรื่นเหมือนกระดี่ได้น้ำสุดๆ
พวกเขาคุยกันต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะตัดการสื่อสารระหว่างกัน ทำให้ณัฐวีร์กลับมาจ่อมอยู่บนถนนลำพังอีกครั้ง
แต่คราวนี้การรอคอยไม่ได้น่าเบื่ออีกแล้ว เพราะพี่แมนโทรเข้ามาจุดฉนวนความคิดให้เลือกเพลงมาฟังจนได้
ณัฐวีร์กดเพลงนั้นขึ้นมาฟังไปตลอดการเดินทาง ฟังวนซ้ำๆ ร้องได้และจดจำได้อย่างแม่นยำ
เพราะมันเป็นเพลงของพวกเขาเอง..


......


พอตกเย็นเด็กหนุ่มก็ออกจากคณะแล้วขับรถมาที่ทำงานของมกรที่ตั้งอยู่บนตึกสูงบริเวณสาทร ด้วยความที่เขาเข้านอกออกในเป็นประจำ จึงมีบัตรพนักงานเป็นของตัวเอง พอจอดรถเรียบร้อยก็เอาบัตรแขวนแล้วเดินเข้าตึกได้เลย ไม่ต้องแลกบัตรที่ประชาสัมพันธ์คนสวยอีก
ความเป็นลูก..เอ่อ ลูกสะใภ้ของเจ้าของบริษัท.. ไม่อาจทำให้เขาละเลยกฎระเบียบ หรืออยู่เหนือกว่าพนักงานคนอื่น ขนาดมกรยังต้องห้อยบัตรพนักงานเลย ดังนั้นเขาก็ไม่อาจทำตัวเหนือกฎเกณฑ์ได้
ลิฟต์ตัวในสุดเป็นลิฟต์ของผู้บริหาร มีรปภ.ยืนอำนวยความสะดวกอยู่ด้วย ส่วนคนที่จะใช้ลิฟต์นี้ได้ก็จะมีแค่ลูกค้าและผู้หลักผู้ใหญ่ที่มาติดต่อกับบริษัทเท่านั้น
"สวัสดีครับคุณณัฐวีร์" รปภ.เดินตรงเข้ามาทำความเคารพเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่ได้เดินเข้าไปที่ลิฟต์ตัวใน ทำเพียงยืนรอลิฟต์พนักงานอยู่ด้านนอก
"สวัสดีครับ" คนถูกทักผงกศีรษะให้ รปภ.คนนี้เขาคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ปกติถ้ามาพร้อมคุณมนธิชา หรือมกร เขาก็จะได้เห็นหน้าและยิ้มให้รปภ.คนนี้เป็นประจำ
"ไม่ขึ้นลิฟต์ตัวในหรือครับ ผมเปิดให้ครับ"
"ไม่เป็นไรดีกว่าครับ" เด็กหนุ่มรีบโบกมือ "ผมไปลิฟต์ธรรมดานี่แหละ เผื่อตัวนั้นจะมีลูกค้าหรือมีผู้ใหญ่ใช้งาน"
เด็กหนุ่มยิ้มให้ความหวังดีนั้น เขาเดาว่ารปภ.คงอยากอำนวยความสะดวกให้ แต่เพราะเขาไม่ได้รีบ และไม่ได้มากับผู้บริหาร เขาก็ไม่ควรจะต้องไปใช้ลิฟต์ตัวในให้เปลืองไฟ
จังหวะนั้นพอดีกับที่ลิฟต์ตัวแรกเปิดออก เขาจึงเอ่ยขอตัวแล้วเดินเข้า ลิฟต์หยุดเป็นระยะ พนักงานบางคนที่พอจะคุ้นๆหน้าเขาก็ยิ้มให้เป็นเชิงทักทาย แต่ไม่มีใครกล้าพูดด้วยสักคน แลดูเกร็งๆกันไปหมด ..จริงๆนี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ต้องมีลิฟต์ผู้บริหารกับลิฟต์พนักงานล่ะมั้ง
ขนาดเขาไม่ใช่ผู้บริหาร เป็นแค่คนใกล้ชิด พนักงานที่เจอยังยืนกันเสียตัวลีบ.. ถ้ามกร หรือผู้หลักผู้ใหญ่ท่านอื่นมาอยู่ในลิฟต์ด้วย มีหวัง พนักงานพวกนี้คงลงไปนั่งพับเพียบแน่ๆ
..ไม่นาน ณัฐวีร์ก็เดินเข้าไปในห้องทำงานของมกร
"คุณแม่ไม่อยู่หรือครับ พี่แอมก็ไม่เห็น" ณัฐวีร์ร้องถามขณะเดินเข้าไปใกล้ชายหนุ่มที่เงยหน้ายิ้มกว้างส่งมา
"ออกไปประชุมข้างนอกกับท่านรองนายกน่ะ เห็นว่ามีโปรเจกของรัฐบาลให้ช่วยเรื่องการส่งออก" ชายหนุ่มพูดไปสายตาก็จับจ้องแฟนหนุ่มไปด้วย ณัฐวีร์กำลังเดินเอากระเป๋าไปวางลงตรงเก้าอี้ที่อยู่ด้านหน้าโต๊ะทำงาน และทำท่าจะนั่งลงตรงนั้นเลย ทำให้มกรต้องรีบเรียก "เดี๋ยวสิครับ"
ชายหนุ่มยื่นมือออกไปหา ทำให้อีกฝ่ายยิ้มเขินๆนิดหน่อยแล้วค่อยวางมือลงไป มกรดึงน้องให้เดินอ้อมโต๊ะทำงานไปหาเขาจนได้ พอไปยืนอยู่ตรงกลางหว่างขาที่อ้าออกแล้ว มือของณัฐวีร์ก็ถูกจับให้วางลงบนไหล่หนา ส่วนมือของอีกฝ่ายก็ยึดสะโพกเขาไว้เป็นตัวประกันไม่ให้หนีไปไหน
"ไม่ได้เจอกันแป๊บเดียว ทำไมหล่อจังครับ" คนพูดเงยหน้าขึ้นมองณัฐวีร์ที่หัวเราะด้วยความเขิน
"พี่แมนอย่ามาหยอดกันแบบนี้สิครับ" มือของคนเขินก็เสยไปที่ท้ายทอยอีกฝ่าย ลูบเล่นแก้เขิน
"ไม่ได้หยอด พี่พูดจริงๆ ดูสิ เมียพี่หล่อไปยันพุงเลย" ว่าแล้วเจ้าตัวก็ซบเข้าไปแล้วอ้อมแขนกอดช่วงเอวไว้เสียแน่น
"ไม่เอาแล้วพี่แมน เดี๋ยวพี่แม่บ้านมาเห็นนะครับ" ถึงแม้ผู้ใหญ่จะไม่มีใครอยู่ แต่พี่แม่บ้านก็ยังเดินไปเดินมาแถวนี้นี่เอง
"หล่อไม่พอ หอมด้วย"
นี่ก็ยังไม่เลิก แถมนอกจากซบพุงแล้วยังละมือมาแหวกกระดุมเสื้อเอาจมูกซุกเนื้อพุงอีกต่างหาก ถึงจะไม่ค่อยมีพุงนิ่มๆให้ซบ แต่เจ้าตัวก็ยังเกลี่ยจมูกกับผิวเนื้อเนียนขาวนั่นเล่น
"โอ๊ย พอแล้ว!" ณัฐวีร์ร้องแล้วถอยฉากออกมา โดยเอามือยันหัวไหล่ฝ่ายนั้นไว้แล้วโน้มตัวเอาหน้ามาเสมอกับคนนั่ง
พอลดใบหน้าลงมาเท่ากัน มกรก็หัวเราะร่วน เพราะณัฐวีร์นั้นหน้าแดงก่ำไปหมดเลย ไม่รู้เพราะเขินหรือจั๊กจี้พุง
"ถ้ายังจะแกล้งอย่างนี้อีกเดี๋ยวจะโดนลงโทษนะครับ.."
"ยอม..ยอมให้ทำโทษเลย" ชายหนุ่มเอนตัวพิงพนักวางมือลงไปกับเท้าแขนทำหน้ากระหยิ่มอย่างคนที่รู้ดีว่าการลงโทษของณัฐวีร์จะเป็นอย่างไร
เด็กหนุ่มโน้มใบหน้าลงไปหาทำให้อีกฝ่ายหลับตารอรับโทษทัณฑ์
..แต่ถ้าคิดว่าจะเหมือนเดิม..ก็ออกจะคิดผิดไปนิด.. ประมาทณัฐวีร์ไปเยอะ
ปลายนิ้วเรียวขาวหยิกแก้มทั้งสองข้างของคนที่หลับตาพริ้มรอจูบจากเขา จับได้แล้วก็ยืดๆๆ
"โอ๊ยๆๆ พอแล้ว พอแล้ว.. เจ็บแล้วครับเจ็บ"
"นี่แน่ะๆ อย่าทำอะไรรุ่มร่ามเข้าใจไหมครับ..นี่มันที่ทำงาน ประตูก็ยังไม่ได้ปิด"
มกรพยักหน้าน้ำตาปริ่ม ปากนี่เบะจนพูดไม่ได้ไปแล้ว เห็นแบบนั้นณัฐวีร์ก็หัวเราะร่วนแล้วปล่อยออกเดินหนีไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามทันที
ท่าทางลูบแก้มป้อยๆของมกรทำให้เด็กหนุ่มหัวเราะชอบใจ ยิ่งแก้มแดงๆ น้ำตารื้นขอบตาแบบนั้น น่าเก็บภาพไว้ชะมัด
คิดแบบนั้นณัฐวีร์ก็หันไปหยิบกระเป๋าหนังแบบเชสท์แบ็กใบเล็กของตัวเองขึ้นมาแล้วเริ่มต้นหาโทรศัพท์
แต่..พลิกคว่ำตะแคงหงายยังไงก็หาไม่เจอ
"อ้าวๆ อะไรล่ะนั่น" มกรทักอย่างงงๆเมื่อเห็นเด็กหนุ่มลุกขึ้นหมุนหาของไปรอบตัว ก้มดูใต้เก้าอี้ตบกางเกงตัวเองก็ไม่มี
ณัฐวีร์เงยหน้าขึ้นมาทำตาเหมือนจะร้องไห้ "โทรศัพท์นัทไปไหนไม่รู้"
"อ้าว..คิดดีๆ ไปทำตกไว้ไหนหรือเปล่า.." มกรถามแล้วรีบลุกมาช่วยเดินหา
"ไม่นะ เมื่อตอนก่อนออกจากมหา’ลัยนัทยังใช้คุยเรื่องงานกับเพื่อนอยู่เลย" เด็กหนุ่มบอกแล้วทำหน้าเสีย "ไม่รู้จะตกตอนเดินมาที่รถหรือเปล่า ตอนนั้นนัทถือหนังสือกับชีทเรียนพะรุงพะรัง ก็เลยไม่ได้สนใจโทรศัพท์"
"ลองโทรเข้าดูไหม?"
มกรทำท่าจะเดินกลับไปหยิบโทรศัพท์ตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะ แต่ณัฐวีร์เร็วกว่า เขาก้าวไปที่โทรศัพท์พื้นฐานบนโต๊ะทำงานแล้วกดโทรออกทันที
เครื่องนั้นเป็นเครื่องที่เพิ่งซื้อมา ใช้ยังไม่ถึงครึ่งปีเลย แต่เพราะเป็นเครื่องที่เขาได้ใช้เมื่อแต่งงานกับมกรแล้ว ในเครื่องจึงมีความทรงจำมากมายที่เซฟเก็บไว้ในนั้น บางคลิป บางรูปก็ยังไม่ได้แบ็คอัพด้วย ถ้าหายไปเขาต้องร้องไห้แน่ๆ
เสียงเรียกเข้าไม่มีคนรับสาย มันดังอยู่อย่างนั้นสิบกว่าครั้งแล้วก็ตัดไป เด็กหนุ่มพยายามโทรเข้าไปอีกหนโดยมีมกรเดินวนช่วยดูให้ทั้งในและนอกห้อง แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็คว้าน้ำเหลว ไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์สักแอะ
"เป็นไง" ชายหนุ่มเอ่ยถามเมื่อณัฐวีร์ทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง
"ไม่มีคนรับ.. คงมีคนเอาไปแล้วล่ะครับ" เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยความเสียดาย เขานั่งตาแดงๆทำให้มกรวางมือลงบนบ่าเล็กแล้วบีบเบาๆอย่างให้กำลังใจ
ชายหนุ่มรู้ว่าณัฐวีร์เพิ่งซื้อโทรศัพท์นั้นมา รูปพวกเขา รูปครอบครัว และอะไรอีกมากมาย ดังนั้น การจะบอกง่ายๆว่า "เดี๋ยวซื้อให้ใหม่" จึงไม่ควรพูดตอนนี้เป็นอย่างยิ่ง
มกรโอบอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ไหล่ของณัฐวีร์อิงอยู่ตรงสะโพกของคนตัวสูง การยืนอยู่ของมกรจึงไม่ได้เห็นใบหน้านั้นชัดเจนนัก รู้แต่ว่าอีกฝ่ายดูหงอยไปเลย เห็นอย่างนี้แล้วรู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ
"เอาแบบนี้ดีไหม.." มกรว่าแล้วทรุดตัวลงนั่งยองๆ จะได้มองหน้าน้องถนัดๆ "เราลงไปดูที่รถกันอีกทีเผื่อตกอยู่ที่รถ"
ณัฐวีร์พยักหน้ารับแล้วรีบลุกขึ้นทันที เขาดึงกุญแจรถออกมาแล้วนำไปที่ลิฟต์ คราวนี้ลิฟต์ผู้บริหารถูกเรียกใช้แล้วเพราะเขาต้องการความเร่งด่วนจริงๆ
ลงไปถึงรถ เปิดประตูได้ มกรก็ลองโทรเข้าทันที แล้วเสียงเพลงแผ่วๆก็ดังขึ้นจากเบาะหลัง
มันเป็นเสียงทุ้มนุ่มของใครคนหนึ่ง.. คนที่ชื่อมกร
"ฉันขอมอบชีวิต ทั้งหมดไว้ โดยไม่มีวันทวงกลับคืน"
เขาอัดแล้วส่งให้ณัฐวีร์ทางโปรแกรมไลน์ ส่งไว้ให้นานแล้วและก็ไม่คิดว่าณัฐวีร์จะใช้มันเป็นเสียงเรียกเข้า
"เจอแล้วๆ" เจ้าของเครื่องร้องด้วยความดีใจจนลืมไปว่า เสียงเรียกเข้าที่ตัวเองตั้งไว้แล้วไม่อยากให้อีกคนได้ยิน มันดังจนคนร้องเพลงไว้เขินจนหน้าแดง
เด็กหนุ่มคุ้ยกองหนังสือก็พบว่าโทรศัพท์ซุกอยู่ในกองของที่เขาเอาวางไว้ที่เบาะหลังนั่นแหละ เขาหยิบขึ้นมาตอนที่มกรวางสายไปแล้ว พอถอยตัวออกมาจากรถเพื่อโชว์ว่าเจอจริงๆ ก็เห็นอีกฝ่ายยืนหน้าแดงหูแดงอยู่ด้วย..เล่นเอาณัฐวีร์งงไปเลย
"พี่แมน...เป็นอะไรครับ?" เด็กหนุ่มโบกมือถือไปมาแล้วยิ้มกว้าง "เจอแล้วนา อยู่หลังรถ"
มกรทำปากขมุบขมิบ "ก็เพราะเจอนี่แหละ.."
"อะไรนะครับ?" ณัฐวีร์ทวนถาม พอเห็นอีกฝ่ายเมินหน้าแดงๆไม่พูดอะไรเลย เขาถึงเพิ่งเข้าใจ มองหน้าพี่แมนสลับโทรศัพท์ไปด้วย
"เขินเรื่องเสียงเรียกเข้าหรือครับ" ไม่ใช่แค่ฝ่ายนั้นที่เขิน ทางณัฐวีร์เองก็เขิน แต่ดูจะน้อยกว่า เขาจัดการล็อกรถ เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงแล้วเอื้อมมือมากุมมืออีกฝ่ายไว้
"นัทโดนล้อจนหายเขินแล้วครับ ป๊ากับแม่ชมว่าพี่แมนเสียงดีด้วย ปีหน้าจะพาไปประกวดเดอะว๊อยซ์ เพราะอายุปูนนี้คงไป AF ไม่ไหวแล้ว ถึงหน้าจะหล่อใช้ได้ แต่.."
"พอเถอะครับ จะเอาให้พี่สุกเลยหรือไง หน้าร้อนไปหมดแล้วเนี่ย" มกรหน้าแดงก่ำยกมืออีกข้างขึ้นปิดหน้า
ณัฐวีร์หัวเราะแล้วเดินตามคนจูงมือไปขึ้นลิฟต์
ระหว่างทาง.. ด้วยความทะลึ่งทะเล้นของเด็กผู้ชาย ณัฐวีร์ก็เลยกระซิบบอก "พรุ่งนี้อาจารย์ยกเลิกคลาสเช้าครับ ..คืนนี้ก็เลยว่าจะค้างที่คอนโด" เด็กหนุ่มทำตาพราวขณะมองอีกฝ่ายที่มองตอบกลับมา "นัทก็ว่าจะให้เอาจนสุขเลยนะครับ.. หรือพี่แมนไม่อยาก?"
มกรหันหน้าแดงๆกลับมาหรี่ตาลงอย่างเจ้าเล่ห์ทันที  "งั้นคืนนี้กลับไปทานข้าวที่ร้านใต้คอนโดก็พอ? จะได้มีเวลาเยอะๆ"
ณัฐวีร์หัวเราะร่วน แล้วหันหน้าไปจุ๊บลงบนไหล่ของคนที่ยืนข้างๆกันอย่างมีความสุข
…เวลาของคนสองคน มันเพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้น..

....

Fin

หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: lune ที่ 06-07-2015 19:40:00
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: Wereena ที่ 06-07-2015 20:44:57
อั๊ยยยยยยย  มาทีเล่นเอาความหวานของนัทกะพี่แม้นสยบความคิดถึงหายวับไปเลยย   :hao7: :ling1: :katai5: พี่แม้นนี่น่ารักสำหรับนัทเสมอเลยนะ อิอิ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 07-07-2015 04:13:06
ไม่คิดว่าจะมีตอนพิเศษให้อ่านกัน  :pig4:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: Meowww ที่ 24-08-2015 18:04:47
สนุกมากกกกกก คนเขียนแต่งเรื่องได้เก่งมากค่ะ  o13
ชอบนายเอกแบบนัทมากด้วย ดูเข้มแข็ง ดูเป็นคนมีความคิดความอ่านดี ก็คงจะได้มาจากการได้อยู่ในสภาพแวดล้อมดีๆครอบครัวที่ดี เพื่อนที่ดี เลยทำให้นัทดูเป็นคนที่ค่อนข้างคิดบวกกับชีวิตดีค่ะ  :mew1:
ส่วนพี่แม้นศรีนั้นก็ถือว่าโชคดีนะที่ชีวิตนี้ได้มาเจอนัท นัทเลยเหมือนตัวดึงดูดแต่สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตพี่แม้นศรีด้วย 5555
ขอบคุณคนเขียนที่แต่งเรื่องดีๆมาให้อ่านค่ะ จะพยายามหาซื้อหนังสือเรื่องนี้ไว้ในครอบครองนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: DREAM COME TRUE ที่ 27-08-2015 08:06:36
เรื่องนี้สนุกมากกกกครับ มีหลายอารมณ์มาก
ตอนแรกเกือบทำใจอ่านต่อไม่ไหว พระเอกเลวอะ
แต่พอเปิดปมๆมาแล้วก็สงสารนิดๆนะ
เอาจริงๆนายเอกน่าสงสารมาก
แต่ตอนหลังน้องมะม่วงเกิดแล้วยังเล่นตัวอีกหน่อยก็อดแอบหมั่นใส้ไม่ได้

ขอบคุณผู้แต่งมากครับ ^^
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: Aumy8059yaoi ที่ 28-08-2015 17:21:36
เป็นตอนที่น่ารักมากๆๆๆๆๆๆ และทั้งคู่ดูมีความสุขจากใจจริงๆมากที่สุดในเรื่องเลยยยย :man1: :man1:
ขอบคุณคนเขียนค่ะ  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: TiwAmp_90 ที่ 29-08-2015 01:00:08
เป็นเรื่องที่หนักหน่วงมากจนรู้สึกว่าอยากจะหยุดไว้ ไม่อ่านต่อแล้ว ใจมันจะขาดตาม
สุดท้าย...ก็ข่มใจอ่านจนจบได้ ดีใจมากที่ไม่หยุดอ่านไปตอนนั้น

ตัวละครที่ชอบที่สุด คือ น้องมะม่วง >//////<'
ตกหลุมรักน้องตั้งแต่ตอนที่พี่แมนคุยกับน้องในไดอารี่

สุดท้าย ขอให้รักกันไปนานๆนะคะ โดยเฉพาะพี่แมนที่เสียน้ำตาไปหลายโอ่ง ร้องเยอะกว่านัทอีกนะ 5 5555
ปล.ขอบคุณนักเขียนที่เขียนเรื่องราวดีๆมาให้อ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: littlepink ที่ 31-08-2015 20:46:31
ตอนแรกๆไม่ชอบแมมเลย แต่พอหลัง ๆก็อดจะสงสารไม่ได้ นัทใจแข็งจริง ๆ ขอบคุณสำหรับนิยายสนุก ๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 02-09-2015 23:09:43
สนุกมากๆ ประทับใจเลย
ช่วงดราม่านี่ น้ำตาไหลตลอด สงสารนัทบ้าง เห็นใจแมนบ้าง พระเอกอะไรไม่รู้ขี้แยที่สุด โอ๋เอ๋ๆ

ขอบคุณผู้แต่งสำหรับนิยายดีๆ
บวกๆนะจ๊ะ^^
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: Baruda ที่ 15-09-2015 22:33:13
เข้มข้นดีจริงๆ สนุกมากๆค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: You MakeMe ที่ 30-10-2015 05:10:23
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: up2goo ที่ 03-11-2015 02:42:09
บางตอนก็สงสารแม้นอยู่เหมือนกันนะ น้องนัทใจแข็งเหลือเกิน
แต่ถ้าคิดตามจริงแล้ว มันก็ต้องแบบนี้แหล่ะ ถึงจะสมเหตุสมผล
นัทโดนกระทำมาตั้งเท่าไร ถ้าจะอภัยง่ายๆ คนอ่านก็คงคิดค้านอยู่ในใจเหมือนกัน

เพราะฉะนั้น....สมน้ำหน้าตาแม้นว่ะ!!! :laugh:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: Wut_Sv ที่ 04-11-2015 19:27:08
โอ้ยยยยย อ๊ากกกก ฟินมากเกินไปแล้ว :ling1: :ling1: :ling1:

เรื่องมีหลากหลายอารมณ์มาก หวานพาฟิน หน่วงจิต สงสาร ซาบซึ้ง มีความสุขกับการอ่าน  :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 05-11-2015 03:04:44
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 05-11-2015 15:29:32


กว่าคนเราจะรักกันได้

มันไม่ง่ายเลยจริงๆ

กว่าจะหวานได้

ลุ้นอยู่ตั้งนาน

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: cartoons ที่ 05-11-2015 22:03:50
อร๊ายยยยยยย ครบทุกรส สุข เศร้า เหงา ร้องไห้ บีบคั้น สงสาร โอ่ย หลากหลายอารมณ์มากกก สนุกมากค่ะ
ตอนแรกสงสารนัท ต่อมาได้สงสารพี่แม้นอีก กว่าจะลงเอย เล่นเอาจุกเลย เห้อออออ

อ่านแบบไม่ยอมละจากหน้าจอเลยทีเดียว ฝ่ายคุณพ่อคุณแม่ก็น่ารักและอบอุ่นมากกกกก น้องมะม่วงก็น่าร๊ากกกกก 5555 ชอบมากๆเลยค่ะเรื่องนี้

ขอบคุณทั้งคนแต่ง(แต่งเก่งมาก)และคนโพสนะคะ ที่นำเรื่องสนุกๆมาให้ติดตาม จะติดตามต่อไปค่ะ

รอๆๆๆๆ ตอนพิเศษที่คนเขียนจะกรุณาแต่งและคนโพสกรุณาเอามาให้คนอ่านอ่านนะคะ 

 :hao7:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: yin ที่ 09-11-2015 12:04:30
น่ารักมากๆเลย มีสุข ลุ้น เศร้า ฟินเวอร์ ขอบคุณที่แต่งน่ารักขนาดนี้..ร้องไห้ตามเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 13-11-2015 10:24:22
ดราม่าน้ำตาตกเลย
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: Persoulle ที่ 28-12-2015 23:49:32
โอววว แรงมากน้องนัท แต่ก็ดีคราวนี้รักกันไปนานๆเลยน้าา  :mew1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: suginosama ที่ 03-01-2016 22:16:21
พี่แมน น้องนัทน่ารัก
อ่านรวดเดียวจบ สนุกมากๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: -Otto- ที่ 20-03-2016 23:30:13
ประทับใจมากเรื่องนี้ หลากหลายอารมณ์สนุกสุดๆ :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 27-08-2016 21:35:26
 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13

 :3123: :3123: :3123: :3123: :3123: :3123: :3123:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 13-09-2016 18:18:46
สนุกมากกกก
แรกๆเหมือนตบจูบทั่วไป
แต่พอถึงตอนเชียงใหม่กลายเป็นคดีพลิก
ทุกอย่างเปลี่ยนหมด
เหมือนภาคแรกดำเนินโดยนัท
ภาคสองดำเนินเรื่องโดยแมน
ตอนสุดท้ายก็หวานมาก
กลบมาม่าชามโตหมดเลย
จะรอตอนพิเศษนะคะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: imseries ที่ 13-09-2016 22:22:03
เลวมากกกกบอกได้คำเดียวอีพี่แมนเลวกว่านี้มีอีกไหม :z3:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: neno.jann ที่ 17-09-2016 00:16:09
โอ้ยยย ฟินมากก นี่อ่านรวดเดียวจบ ทั้งวันเลย ชอบครอบครัวของเรื่องนี้มาก มีบทบาทความเป็นพ่อแม่ที่ดีมากๆเลย
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: ดึงดาว ที่ 24-09-2016 16:45:58
อ่านภาคแรกจบแล้ว ร้องให้หนักมากกกกก  ขอทำใจแป็บเดี่ยวมาอ่านต่อ นะครัชช
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: ดึงดาว ที่ 24-09-2016 16:46:24
อ่านภาคแรกจบแล้ว ร้องให้หนักมากกกกก  ขอทำใจแป็บเดี่ยวมาอ่านต่อ นะครัชช
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 25-09-2016 15:22:09
ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆค่ะ

เสียน้ำตาไปเป็นปี้บเพราะเข้าใจในความเป็นแม้นศรี

ดีใจที่แมนมีความสุขจริงๆสักที ขอบคุณนัทที่อภัย

 :mew1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: ดึงดาว ที่ 25-09-2016 15:31:33
จบล่ะขอบคุณ คนเขียนคนโพส
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: taltal020441 ที่ 01-10-2016 12:53:05
สนุกมากกกก  ชอบมากค่ะ
อ่านติดงอมแงมรวดเดียวจบเลย
ในทุ่สุดก็จบแบบแฮปปี้ นี่ปวดใจไปหมดเลย
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: MosKito ที่ 18-10-2016 18:26:45
 :hao3:

สวัสดีค่า..คนเขียนเองนะคะ

ขอบคุณมากสำหรับคอมเม้นท์จากหลายๆท่านค่า  :mew1:

แล้วพบกับเรื่องใหม่เร็วๆนี้ค่า
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: КίmY ที่ 16-12-2016 20:36:35
โอ้ยยย อ่านไปลุ้นไปตลอด  :mew1:
  :L2: :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: ice-cream ที่ 24-04-2017 16:19:32
สนุกมากกกกกกกก มีหลากหลายอารมณ์ดีค่ะ ภาคสองช่วงแรกๆนี่น้ำตาซึมตลอดเลย ช่วงหลังลุ้นมาก เกือบจะดีอยู่แล้วก็มีนู่นนี่เข้ามาอีก
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: Natti ที่ 03-07-2017 20:17:50
 :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 27-09-2017 18:08:51
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: MacaroonCookie ที่ 06-11-2017 16:07:31
สนุกมากค่ะ พล้อตดีมีหลายอารมณ์มากๆ เป็นเหตุเป็นผลค่อยๆคลี่ปมของแต่ละคน ขอบคุณผู้แต่งสำหรับนิยายดีๆค่ะ อ่านแล้ววางไม่ลงเลย
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 12-11-2017 03:55:14
 :pig4:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: Maymon ที่ 13-12-2017 11:18:05
ขอบคุณมากๆค่ะ สนุกมากค่ะ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 11-02-2018 17:44:07
ช่วงแรก ๆ น้ำตาท่วมจอ  :m15:

ช่วงหลังจากวาร์ปสองปี..น้ำตาลยังแพ้คู่นี้  :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: airjang ที่ 30-09-2018 00:26:33
สนุกมาก ครบรส พีคบีบหัวใจ แค้น เกลียด สงสาร แทนนัท

จริงๆก็แอบอยากเห็นว่านัทสะบัด กระทืบ แม้นให้กระอัก จมดิน

แล้วนัทเดินหันหลังสวยๆ จากไป ไกลๆๆๆ ไม่เหลือแม้นเงา
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: Maymon ที่ 03-11-2018 20:04:54
ขอบคุณค่ะ ความรักของคู่นี้มนมีเรื่องราวมากมายจริงๆ
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 22-04-2019 22:20:16
กว่าจะลงเอยกันได้
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: Charmy ที่ 25-04-2019 09:37:29
 :hao5:
หัวข้อ: Re: "Can I...?" (แคน ไอ...?) Special Part [06.07.15] P.19
เริ่มหัวข้อโดย: AgotoZ ที่ 03-07-2019 19:15:16
 :pig4: