Ai Adore You.
#ขอรักแค่คุณ
ตอนที่ 18
“เธอทำอะไรน่ะ” พิชช์ฌานก้าวออกมาจากห้องน้ำ จ้องเขม็งไปที่แขกไม่ได้รับเชิญซึ่งยังไม่กลับออกไปจากห้องพักของเขา “ฉันบอกให้ออกไปแล้วไม่ใช่หรือไง”
หญิงสาวในชุดรัดรูปสีแดงสดหน้าเสีย ซ่อนมือไว้ด้านหลังเพื่อแอบวางโทรศัพท์มือถือของชายหนุ่มคืนที่เดิมทว่ามือสั่นจนโทรศัพท์เครื่องนั้นตกลงบนพื้น เจ้าของโทรศัพท์ขมวดคิ้วฉับ ก้าวพรวดเดียวมาประชิดตัว
“เธอคิดจะทำอะไร” นักการเมืองหนุ่มถามเสียงแข็ง มือใหญ่จับที่ข้อมือของหญิงสาวเอาไว้แน่นจนเธอนิ่วหน้า
“โทรศัพท์ของคุณดังตอนที่ฉันกำลังจะกลับออกไป ฉันก็เลยจะรับให้...ปล่อยนะคะ ฉันเจ็บ”
“คิดจะสอดแนมฉันเหรอ เธอเป็นคนของพรรคไหน บอกมานะ ...จะบอกดีๆหรือจะต้องให้ใช้กำลัง” พิชช์ฌานพูดเสียงเย็นเยียบพอๆกับแววตาคมฉาบ คนมองตัวสั่นหน้าซีดเผือด “..ไม่บอกงั้นหรือ?”
“ฉันไม่ได้จะสอดแนมนะคะ มีคนโทรเข้ามาฉันก็เลยหวังดีจะรับสายให้เท่านั้นเอง” เธอพูดตะกุกตะกัก “ให้ฉันกลับออกไปเถอะค่ะ”
“คิดว่าคนที่ยุ่มย่ามกับของส่วนตัวของฉันจะได้กลับออกไปง่ายๆหรือ” พิชช์ฌานพูด “ฉันอุตส่าห์ให้โอกาสเธอกลับออกไปแล้วแท้ๆ บอกมานะว่าเมื่อกี้เธอจะทำอะไร” เขาบีบข้อมือของอีกฝ่ายแรงขึ้น
“มีคนโทรเข้ามาจริงๆนะคะ ฉันแค่กดรับสาย”
พิชช์ฌานละสายตาไปมองหน้าจอโทรศัพท์ในมือ มีสายโทรเข้ามาจริงๆ ...รายชื่อที่ปรากฏบนจอทำให้ความโกรธเกรี้ยวพุ่งสูงกว่าเดิมฉับพลัน
“เธอกดรับสายงั้นเหรอ” เขาถามเสียงต่ำในลำคอ
“ชะ..ใช่ค่ะ ฉันแค่รับสาย”
“แล้วเธอบอกว่าอะไร” เสียงของเขาแทบจะกลายเป็นเสียงคำราม หญิงสาวร้องโอดโอยพยายามจะดึงข้อมือออกจากการบีบเค้น
“ฉันไม่ได้บอกอะไร แค่บอกว่าคุณ..โอ๊ย..คุณอยู่ในห้องน้ำ”
ชายหนุ่มลากข้อมืออีกฝ่ายมาที่ประตูแล้วเปิดออก ส่งเธอให้ลูกน้องที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก “เธอยุ่งกับโทรศัพท์ของฉัน ฝากจัดการด้วย” เขาพูดเสียงเหี้ยม
“เดี๋ยวนะคะ ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ...” หญิงสาวที่ประธานบริษัทจัดมา ‘สมนาคุณ’ ให้เขาคืนนี้ร้องโวยวาย พิชช์ฌานปรายตามองด้วยหางตา “ฉันบอกเจ้านายของเธอไปแล้วว่าฉันไม่ต้องการใคร แต่เขาก็ยังไม่ฟังกัน ที่ผ่านมาฉันคงใจดีมากเกินไป ปล่อยให้พวกเขาถลุงเงินของฉันไปกับอะไรพวกนี้....จัดการซะ” ประโยคหลังเขาบอกลูกน้องที่ก้มศีรษะรับคำแล้วก็ลากหญิงสาวลงไปจากชั้นสูงสุดของโรงแรม
เสียงกรี้ดยังดังติดหูแต่พิชช์ฌานไม่ได้สนใจ ชายหนุ่มหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องพัก หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออกเบอร์ที่เพิ่งโทรเข้ามาเมื่อกี้นี้
เดินกลับไปกลับมารอสายอยู่พักใหญ่ ฝ่ายนั้นก็ไม่รับจนกระทั่งขึ้นสัญญาณให้ฝากข้อความ ชายหนุ่มวางสายแล้วกดโทรออกใหม่อีกรอบ ผ่านไปเจ็ดรอบเขาก็ถอนหายใจเฮือก อีกฝ่ายปิดเครื่องไปแล้ว
...ให้มันได้อย่างนี้ เขาคิดในใจอย่างหงุดหงิด เปลี่ยนเป็นกดโทรหามือขวาคนสนิทแทน
เจนภพกดรับสายแทบจะทันที
“ครับคุณฌาน”
“คุณอัยย์อยู่ไหน นอนหรือยัง” เขากรอกเสียงลงไป
“น่าจะนอนแล้วนะครับ ผมเห็นเข้าห้องนอนเงียบไปแล้วตั้งแต่เมื่อกี้ คุณอคินทร์ก็กลับไปแล้วด้วยครับ”
“ไปเคาะเรียกเขามาคุยกับฉัน” พิชช์ฌานสั่งห้วนๆ “เดี๋ยวนี้เจนภพ”
“นี่ก็ดึกแล้ว..”
“ไปตามเขามา” พิชช์ฌานพูดเสียงเฉียบขาดอย่างที่ไม่ได้ใช้บ่อยนัก
ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินขึ้นบันไดตามด้วยเสียงเคาะประตูเรียกจากปลายสายอยู่หลายครั้ง ทว่าไม่มีเสียงตอบกลับมาให้ได้ยินเลย
“คุณอัยย์น่าจะหลับไปแล้วนะครับ ไม่เห็นตอบเลย ล็อคห้องด้วย”
“พังประตูเข้าไป”
“อะไรนะครับ พังเข้าไปเลยเหรอครับ” เจนภพตกใจ “ให้ผมไปหากุญแจ...”
“กุญแจที่เหลืออยู่ที่ฉัน” พิชช์ฌานพูดอย่างหงุดหงิด “บอกให้พังเข้าไปไงเจนภพ ต้องให้พูดซ้ำเหรอ”
“ครับท่าน” เจนภพไม่พูดพร่ำทำเพลงอีก กระแทกประตูเสียงดังปังใหญ่ พิชช์ฌานยืนถือสายรออยู่ครู่หนึ่งกว่าประตูห้องจะเปิดออกตามด้วยเสียงโครมและเสียงร้องโอย “โอย...คุณอัยย์เป็นอะไรไหมครับ” เสียงเจนภพพูด
“เกิดอะไรขึ้น อัยย์เป็นอะไร” พิชช์ฌานหูผึ่ง
“คุณอัยย์มาเปิดประตูพอดีครับ ผมเลยหน้าทิ่มเข้าไปในห้อง” เจนภพพูดหอบๆ “คุณอัยย์ไม่เป็นอะไรครับ....คุณฌานถือสายอยู่ คุยกับคุณฌานหน่อยนะครับ” เสียงมือขวาพูดแว่วๆ พิชช์ฌานพยักหน้าอย่างพอใจ
“อัยย์ ทำไมไม่รับโทรศัพท์ฉัน” เขาพูดเสียงดัง
“คุณอัยย์ครับ คุณฌานจะคุยด้วยครับ คุณอัยย์” เจนภพร้องเรียก “คุณฌานครับ คุณอัยย์เดินหนีไปนอนแล้วครับ”
พิชช์ฌานถอนหายใจเฮือก
“เปิดกล้องซิเจนภพ แล้วเอาไปให้เขา ถ้าเขาไม่รับก็วางบนผ้าห่มหรือหมอนเขาไปเลย”
“แต่ว่า...” เจนภพอ้ำอึ้งอย่างเกรงใจ พอเจ้านายขมวดคิ้วสั่งมาอีก เขาถึงได้ย่องเข้าไปใกล้ร่างโปร่งบางที่นอนตะแคงหันหลังให้อยู่นั้น “คุณอัยย์ครับ ผมขอโทษนะครับ” ชายหนุ่มพึมพำ วางโทรศัพท์ของตัวเองลงบนหมอนใกล้ๆกับที่ศีรษะกลมหนุนอยู่ “คุยกับคุณฌานหน่อยนะครับ”
“จับโทรศัพท์ตั้งขึ้นซิเจนภพ ให้มันหันไปทางเขาหน่อย ตอนนี้ฉันมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากเพดานห้อง” เสียงพิชช์ฌานโวยวายมาตามสายอีก เจนภพลอบถอนหายใจ เอื้อมมือไปจัดโทรศัพท์ใหม่ให้ตั้งขึ้นพิงกับหัวเตียง
“ขอโทษนะครับคุณอัยย์ คุณฌานเขาบังคับผม..”
“นายออกไปจากห้องนอนฉันได้แล้วเจนภพ ไว้ฉันจะเรียกอีกที” คนปลายสายไล่เขาออกจากห้องดื้อๆ เจนภพเลยจำต้องถอยออกมาจากห้องนอนนั้น ทิ้งโทรศัพท์มือถือของตนเองเอาไว้ตรงหัวเตียงพร้อมกับใบหน้าเคร่งเครียดของเจ้านายที่กำลังจ้องไปที่ด้านหลังศีรษะของคนที่นอนอยู่เขม็ง
ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่เดาเอาจากท่าทางของคุณอัยย์กับท่าทางร้อนรนกว่าปกติของหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านแล้วก็คงไม่แคล้วทะเลาะกันอีก ทะเลาะกันอยู่ได้ไม่เบื่อบ้างหรือไง บางทีเจนภพก็อยากจะถามเจ้านายเหมือนกัน...
“อัยย์ หันมาคุยกันก่อนสิ ฉันรู้นะว่าเธอยังไม่หลับ” พิชช์ฌานพูดกับศีรษะทุยที่เห็นในหน้าจอโทรศัพท์ “อาคิราห์ เมื่อกี้เธอโทรมาหาฉันใช่ไหม”
“...........” เงียบกริบ คนที่นอนอยู่ก็ยังนอนอยู่อย่างเดิม
“คนที่รับสายเขาคุยกับเธอว่าอะไร” พิชช์ฌานถามต่อมาอย่างไม่ย่อท้อ “พอดีตอนนั้นฉันอยู่ในห้องน้ำเลยไม่ได้ออกมารับสาย ไม่นึกด้วยว่าจะมีคนรับแทน ฉันให้เขาออกไปจากห้องตั้งนานแล้วนะ” ชายหนุ่มพูดกับเส้นผมสลวยที่เห็นผ่านกล้องโทรศัพท์มือถือ
“................”
“หันมาฟังกันก่อนสิ ฉันรู้ว่าเธอกำลังเข้าใจผิดใช่ไหมล่ะ เขาแค่จะเข้ามาบริการฉัน...ไม่ใช่อย่างที่เธอคิดนะ แบบว่า...มาทำความสะอาดน่ะ เขาเป็นแม่บ้านของโรงแรม” ชายหนุ่มขยับตัวแล้วพูดเร็วขึ้น ความจริงเขาก็ไม่ได้อยากโกหกเท่าไหร่ แต่ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงว่าผู้หญิงคนนั้นถูกส่งมาปรนนิบัติเขาโดยเฉพาะ เกรงว่าพูดออกไปแล้วจะยิ่งไปกันใหญ่ ทั้งๆที่เขาไล่หล่อนออกไปจากห้องตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ “อัยย์ เธอโกรธฉันเหรอ ถ้าเธอไม่หันมาแสดงว่าเธอโกรธฉันนะ”
อาคิราห์ไม่หันมา
“โอเค เธอโกรธฉัน ฉันรู้ว่ามันก็ชวนเข้าใจผิด แต่เธอต้องเชื่อฉันนะว่ามันไม่มีอะไรเลย ไม่เชื่อเธอหันมาดูสิ ในห้องฉันไม่มีใครเลย ฉันอยู่คนเดียว” พิชช์ฌานถือโทรศัพท์ไปรอบๆห้อง “เห็นไหม เธอไม่ยอมหันมาดูก็ไม่เห็นหรอกนะ”
คราวนี้อีกฝ่ายขยับตัว เจ้าโอเมก้าดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัว
“อัยย์ เธออย่าเพิ่งคลุมโปงสิ ฉันกับผู้หญิงคนนั้นไม่มีอะไรจริงๆนะ ต้องทำยังไงถึงจะเชื่อเนี่ย” พิชช์ฌานอุทานอย่างงุ่นง่าน
อาคิราห์สูดน้ำมูกฟืดใหญ่ เอื้อมมือลอดผ้าห่มออกไปจับโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นคว่ำลงกับที่นอน เสียงโวยวายของนายพิษฌานดังลอดออกมาอู้อี้
“เธอเปิดกล้องนะอัยย์ เธอปิดกล้องเหรอ เรายังคุยกันไม่จบเลยนะ อาคิราห์” ฝ่ายนั้นพูดอะไรต่อมายาวเหยียดฟังไม่ได้ศัพท์จนสุดท้ายก็วางสายไปเอง อาคิราห์ดึงผ้าห่มลงพลางเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์เครื่องนั้นขึ้นมากดปิดเครื่องแล้วลุกขึ้นเอาไปวางเอาไว้ข้างนอกประตูห้อง
เจนภพยืนสงบนิ่งเฝ้ารออยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มถามขึ้นทันที
“คุณอัยย์คุยกับคุณฌานเสร็จแล้วหรือครับ”
“ใช่ โทรศัพท์ของคุณแบตหมดน่ะ” อาคิราห์บอกเรียบๆ “ไม่มีอะไรแล้วล่ะ ขอบคุณมากนะ” เจนภพรับโทรศัพท์คืนกลับไปแล้วก้มหัวให้
อาคิราห์กลับมานอนสงบจิตสงบใจบนเตียงต่อ เจ้าโอเมก้ากำผ้านวมผืนโปรดเอาไว้แน่น ฝืนหลับตานับแกะตัวที่หนึ่งถึงตัวที่แปดร้อยอะไรสักอย่างไปได้สามรอบก็หมดความอดทน ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเตียงเดินออกไปข้างนอกห้องนอน
.......................................................................................
พิชช์ฌานรู้สึกหงุดหงิดจนแทบจะทึ้งผมตัวเองให้หลุดออกมาจากหนังศีรษะอยู่ร่อมร่อ เวลาตีสองกว่าไม่ใช่เวลาที่เขาควรจะเดินทางกลับเลยให้ตายสิ ตอนนี้เขาควรจะนอนหลับอยู่บนเตียงอย่างสบายอารมณ์ ไม่ก็ดื่มด่ำกับเครื่องดื่มรสเลิศให้สมกับการเจรจาทางธุรกิจที่สำเร็จลงด้วยดีไม่ใช่หรือ
ชายหนุ่มกดโทรหามือขวาคนสนิทอีกรอบ รอสายอยู่ครู่หนึ่งเจนภพก็กดรับ
“ครับคุณฌาน”
“นายปิดเครื่องทำไม ฉันโทรไปตั้งหลายรอบทำไมไม่รับ แล้วนี่คุณอัยย์ยังนอนอยู่หรือเปล่า”
“อ้าว ผมนึกว่าพวกคุณคุยกันแล้ว” ลูกน้องอุทานงงๆ “เมื่อกี้แบตโทรศัพท์ผมหมดน่ะครับ เพิ่งเอามาชาร์จ คุณอัยย์เข้านอนไปนานแล้วครับ”
“ไปดูอีกทีซิ”
“นั่นคุณฌานอยู่ที่ไหนครับ ทำไมเสียงคนเยอะจัง”
“ฉันอยู่สนามบิน” พิชช์ฌานตอบกลับมาเสียงห้วน “อีกชั่วโมงให้ใครส่งรถไปรับที่สนามบินด้วย”
“คุณกลับมาแล้วเหรอครับ” มือขวาอ้าปากค้าง “นั่งเครื่องกลับมางั้นหรือ”
“ใช่ ไม่ต้องถามมาก ขึ้นไปดูคุณอัยย์ซิว่ายังอยู่หรือเปล่า”
“ผมขออนุญาตถามได้ไหมครับว่ามันเกิดอะไรขึ้น คุณมีประชุมพรุ่งนี้ต่ออีกวันไม่ใช่หรือครับ” เจนภพท้วงอย่างงุนงง ปกติพิชช์ฌานไม่ใช่คนที่จะทิ้งการประชุมสำคัญมาได้ โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องเงินทุนสนับสนุนพรรคด้วยแล้วล่ะก็
“เลื่อนไปก่อน ฉันติดธุระสำคัญ”
“มีอะไรสำคัญกว่างบประมาณพรรคอีกเหรอครับ” เจนภพแกล้งถาม พอจะปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดได้ลางๆ
“อย่าถามเซ้าซี้ รีบขึ้นไปดูซิว่าคุณอัยย์ยังนอนอยู่มั้ย ถ้ายังอยู่ก็เฝ้าเอาไว้ด้วย จะนอนหน้าห้องไปเลยก็ได้ อย่าให้เขาไปไหนจนกว่าฉันจะกลับถึงบ้านเข้าใจมั้ย เดี๋ยวฉันจะขึ้นเครื่องแล้ว เร็วๆ” อีกฝ่ายเร่งมา
เจนภพเดินขึ้นบันไดไปจนถึงหน้าห้องนอนใหญ่ ชายหนุ่มเอื้อมมือไปเคาะประตูหน้าห้องเบาๆ ไม่มีเสียงตอบกลับมาเหมือนเดิม เขาเลยถือวิสาสะหมุนลูกบิดประตูเปิดออก อาคิราห์ไม่ได้ล็อคห้องเอาไว้เหมือนครั้งแรก
ภายในห้องนอนว่างเปล่า เตียงที่เต็มไปด้วยกองเสื้อผ้าพันม้วนนั้นไม่มีเงาของร่างโปร่งบางนอนขดตัวอยู่ เจนภพใจหายวาบ รีบโทรกลับไปหาเจ้านาย
“คุณฌานครับ คุณอัยย์ไม่ได้อยู่ในห้องครับ”
พิชช์ฌานเบิกตากว้าง หัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มด้วยความตกใจตามด้วยอารมณ์โกรธจัด เขาด่าลูกน้องไปหลายคำจนเจนภพหัวหดรีบกลับลงมาข้างล่างเพื่อตามหาเจ้าโอเมก้าที่หายไป
“...ไปดูกล้องวงจรปิดซะ ถ้าฉันกลับไปถึงแล้วไม่เจออาคิราห์ล่ะก็ พวกนายเตรียมตัวตกงานได้เลย...” เสียงเจ้านายดังออกมาจากโทรศัพท์อย่างกราดเกรี้ยวตามด้วยเสียงสบถหลายคำอย่างที่เจนภพไม่ค่อยจะได้ยินบ่อยนัก ดูเหมือนฝั่งพิชช์ฌานจะต้องวางสายแล้วเพราะเครื่องบินกำลังจะขึ้น นักการเมืองหนุ่มทิ้งท้ายเอาไว้ว่าให้รีบหาตัวอาคิราห์ให้เร็วที่สุดก่อนจะตัดสายไป
เจนปวดขมับทั้งสองข้างเหมือนมีมือมาบีบแรงๆ ชายหนุ่มหัวหมุนวิ่งวุ่นเข้าไปดูวีดีโอจากกล้องวงจรปิดที่ติดเอาไว้ทั่วบ้านยกเว้นห้องนอนกับห้องทำงานส่วนตัวของคุณพิชช์ฌาน นั่งเพ่งจอมองหาร่างโปร่งบางเท่าไหร่ก็มองไม่เห็นอะไรเลย จะสนามหญ้าข้างนอกหรือสระว่ายน้ำก็เห็นแต่เงาคนของเขาที่ออกเดินตามหากันให้วุ่น
“เหลือที่เดียวแล้ว ฉันจะเข้าไปดูในห้องทำงานของคุณพิชช์ฌาน” เจนภพพูดเรียบๆ หมุนตัวเดินออกมาจากห้องนั้นตรงไปยังห้องทำงานส่วนตัวของเจ้านาย เปิดประตูเข้าไปดูข้างในห้องนั้นมืดสนิท พอเปิดไฟก็สว่างโล่งไร้เงาของใคร
“หายไปไหนของเค้าเนี่ย” ชายหนุ่มอุทานอย่างร้อนใจ
คนที่นั่งกำมือแน่นมาตลอดทางบนเครื่องบินก็กำลังคิดอยู่ในใจด้วยคำถามเดียวกัน พิชช์ฌานรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าการเดินทางโดยเครื่องบินมันช่างชักช้าไม่ทันใจเอาเสียเลย เขานั่งเคาะนิ้วกับที่นั่ง ครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้
อย่างแรกคือเขาจะต้องจับตัวเจ้าบู้บี้มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน อุตส่าห์โทรไปหาดันวางสายใส่แบบนี้ใช้ไม่ได้เลย เกิดมายังไม่เคยมีใครวางหูใส่พิชช์ฌานคนนี้เลยด้วยซ้ำ ...ถ้าบอกว่าไม่มีอะไรกับผู้หญิงคนนั้น เจ้าตัวจะเชื่อเขาไหมนะ หรือว่าจะนั่งร้องไห้โวยวายเพราะหึงหวงเขากัน ...พอคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึกพอใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น ..หึงหวงงั้นหรือ เจ้าบู้บี้หึงเขาสินะ
หึๆ ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ ใครต่อใครที่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับเขาล้วนแต่มีความรู้สึกหึงหวงเกิดขึ้นทุกครั้ง เป็นเพราะพิชช์ฌานเป็นบุคคลที่มีค่า สมควรแก่การหวงเอาไว้ในครอบครองเพียงผู้เดียว เรื่องนี้เขาก็พาจะเข้าใจได้อยู่หรอก เพียงแต่ไม่นึกว่าเจ้าโอเมก้าจะเกิดความรู้สึกเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเขาเข้าเสียแล้วนี่สิ น่ารำคาญชะมัด
อันที่จริงเขาก็ไม่ใช่พวกที่ชอบอธิบายแก้ไขความเข้าใจผิดของใครเสียด้วย แต่คราวนี้เห็นว่ามันเกินไปจริงๆ คนอย่างอาคิราห์คงไม่ยอมฟังใครง่ายๆแน่ ป่านนี้คงนั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งคิดว่าเขามีคนอื่นไปแล้วมั้ง ครั้นจะปล่อยให้เข้าใจไปอย่างนั้นก็ไม่ได้อีก
ขี้เกียจมานั่งฟังคนฟูมฟาย เผลอๆเดี๋ยวอดข้าวประท้วงจนเศษขนมเกลื่อนห้องยิ่งแล้วใหญ่ แถมตัวเขาเองก็ไม่ได้ทำผิดจริงตามที่อีกคนเข้าใจผิดด้วย
จะว่าไปก็ประสาท...แค่ผู้หญิงรับสายเอง ทำไมต้องทำถึงขั้นปิดเครื่องไม่ยอมคุยกับเขาด้วยฮึ ดีนะที่เขามีเครื่องบินส่วนตัวถึงได้สามารถบินกลับมาเคลียร์ได้ทันทีแบบนี้
“ใกล้ถึงแล้วครับคุณฌาน” ลูกน้องกระซิบบอก พิชช์ฌานพยักหน้ารับ กำที่วางแขนเอาไว้แน่นพลางสวดมนต์ในใจ เขาไม่เคยชอบตอนที่เครื่องบินกำลังลดระดับเลย พูดให้ถูกก็คือ...เขาไม่เคยชอบตอนเครื่องบินขึ้นลง จะเรียกว่าเกลียดก็ได้
ถ้าเป็นไปได้ พิชช์ฌานจะยอมนั่งรถเป็นสิบๆชั่วโมงยังดีกว่านั่งเครื่องบิน ต่อให้เป็นเครื่องบินเจ็ทสุดหรูอย่างนี้ก็เถอะ ...แน่นอนว่าไม่มีใครรู้เรื่องนี้ เพราะเขาเก็บอาการคลื่นไส้อยากอาเจียนทุกครั้งที่เครื่องขึ้นลงเอาไว้มิดชิด