31 – ฝุ่นผงเป็นไทรู้สึกว่าเขายอมแพ้แล้วซึ่งทุกอย่าง เขาร้องไห้ไม่หยุดตั้งแต่มันเริ่มหลั่งรินออกมาต่อหน้าปราย เขาร้องไห้ ร้องไห้ และร้องไห้ ร้องจนไม่รู้เลยว่ามันจะไปจบลงที่ตรงไหน รู้สึกตัวอีกทีก็เป็นตอนที่ลืมตาตื่นจากฝัน ซึ่งคลับคล้ายคลับคลาว่านั่นก็เป็นฝันร้าย ฝันที่เขาร้องไห้อยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เด็กยันโต
และตอนที่จมลงในทะเลน้ำตา เป็นไทรู้สึกว่าถูกแววตาของพ่อจับจ้อง แววตาที่ว่างเปล่าและตอกย้ำเจ็บแสบยิ่งกว่าคำพูดไหนๆ ว่าเขามันไร้ค่า ไม่น่าเกิดมา เพราะเกิดมาก็จะประสบพบแต่ความเจ็บปวด ความแหว่งวิ่นของความรัก ความอบอุ่นที่ไม่เคยเป็นของจริง ชีวิตเขาวนเวียนอยู่แค่นี้ แม้หนีเท่าไหร่ก็ยังถูกไล่ตาม และคนที่ขัดขาให้เขาล้มลงก็เป็นแม่ของเขาเอง
แม่เป็นคนพาพ่อมาเจอเขา ชายคนนั้นนั่งอยู่ในบ้านของเขา บนโซฟาตัวที่เขาชอบนอนเล่น เมื่อภาพนั้นปรากฏสู่สายตา เป็นไทรู้สึกว่าชีวิตถูกคุกคามแบบไร้ทางหนีรอด ทันใดเขาขลาดกลัว ตัวสั่นทั้งไม่รู้ตัว รู้ตัวอีกทีเขาก็หนีออกมาจากตรงนั้นแล้ว เขาไม่เห็นว่าสายตาของพ่อเป็นอย่างไร แต่คิดว่าอย่างไรมันก็จะเป็นแววตาที่ว่างเปล่า ว่างเปล่าแต่ทำให้เขาเจ็บปวดใจ เจ็บจนที่สุดแล้วต้องจิกขย้ำเนื้อกายให้มันเจ็บปวดยิ่งกว่า
ด้วยเรี่ยวแรงสุดท้าย เป็นไทตัดสินใจกลับไปคุยกับแม่ ถามว่าทำไมต้องทำแบบนี้ ซึ่งหล่อนบอกกับเขาเพียงว่าอยากให้เข้าใจ ตอนนั้นเองที่เป็นไทอยากจะหัวเราะออกมา เข้าใจกันอย่างนั้นหรือ? แล้วแม่ล่ะเคยเข้าใจเขาบ้างไหม? ความทุกข์ทรมานของเขาน่ะเข้าใจบ้างไหม?
แต่เป็นไทก็ไม่ได้ถามถ้อยเหล่านั้นออกไป อีกครั้งที่เขาเก็บงำในใจเพราะรู้ดีว่าต่อให้พูดอะไรออกไปแม่ก็จะไม่มีวันเข้าใจเขา แม่ที่ขบคิดเรื่องราวต่างๆ แค่ในมุมของตัวเองและเพื่อตัวเอง
พลันคิดขึ้นมาว่าอาจต้องเจอชายคนนั้นอีกครั้ง หรืออาจจะนับครั้งไม่ถ้วนตราบที่แม่ยังไม่เข้าใจเขา เป็นไทก็ยิ่งจมดิ่งลงไปเรื่อยๆ และตอนที่เหมือนจะขาดอากาศหายใจ ห้วงคำนึงหนึ่งก็ดึงดันเขาให้ตะเกียกตะกายขึ้นไป
ห้วงคำนึงที่มีใจเย็นอยู่ในนั้น
ทั้งที่ไม่รู้ว่าถ้าไปพบหน้าแล้วจะกลายเป็นว่ายิ่งจมลงไปอีกไหม บางที อาจจะถูกฉุดดึงถึงก้นเหวห้วงทะเลด้วยซ้ำ
แต่นั่นแหละ เขายอมแพ้แล้ว
อีกครั้งที่ฝนตกในยามเย็นให้เหยียบย่ำบนทุลักทุเล ตกลงมาเหมือนกลั่นแกล้งหรืออาจจะรั้งเตือนเพราะอย่างไรก็เป็นฝนกลางเมษา กระนั้นเป็นไทก็ไม่คิดวกกลับ อีกทั้งเขารู้สึกว่าไม่มีที่ให้กลับไป ไม่มีที่ไหนเป็นของเขา แม้ปรายจะให้อภัยเขาได้ซึ่งทุกอย่าง แต่เขาก็ละอายกับสิ่งที่ตนเองเคยทำเกินกว่าจะกล้าพูดความทุกข์ใจให้ฟัง
พลันห้วงคิดถูกขัดด้วยสั่นเตือนจากโทรศัพท์มือถือ วูบแรกเป็นไทคิดว่าคงเป็นแม่ แต่เมื่อชื่อบนหน้าจอปรากฏเป็นอื่น เขากลับรู้สึกเหมือนจะร้องไห้ ง่ายดายเพียงนั้น
“เป็นไทอยู่ไหนครับ”และรู้สึกว่าต้องเก็บกลั้นเสียงสั่นเครือกับคำถามโง่ๆ แค่นั้น หรืออาจจะเป็นเสียงที่เขาไม่ได้ยินมาสักพักแล้ว อะไรก็ตามแต่ เป็นไทเงียบอยู่นานก่อนจะเอ่ยออกไปเป็นคำโกหกว่าผ่านแถวคอนโดของใจเย็นพอดี
“งั้นเหรอ เดี๋ยวผมออกไปรับ”“...รับทำไม”
“มีเรื่องอยากให้ช่วยสอน ฟิสิกส์น่ะครับ”เป็นไทจำไม่ค่อยได้นักว่าตอบรับไปว่าอย่างไร แต่สรุปแล้วใจเย็นก็ขับรถออกมารับเขาที่อยู่ใกล้ๆ ให้ไม่ต้องเปียกปอนเหมือนครั้งที่แล้ว ท่ามกลางสายฝนในรถยังบรรเลงเพลงแจ๊ส และบรรยากาศนั้นก็ทำให้เป็นไทเผลอคิดว่ามันจะอวลไปด้วยข้ออ้างที่ไม่ใช่ของเขาฝ่ายเดียว
ข้ออ้างที่ว่าอยากเจอ
อีกแล้วที่กลิ่นชาคาโมมายล์นวลอยู่ในห้องของใจเย็นเมื่อเขามาถึง – เพราะเป็นไทไม่ชอบกินกาแฟ – เขาจำได้ และพลันคิดถึงกลิ่นดอกไม้ที่บ้านใจเย็น คิดถึงดอกสวีทพีประจำเดือนพฤษภาคมของทุกปี แต่ปีนี้อาจจะไม่ได้เห็นมันปักอยู่ในแจกันแก้วของซุ้มม่านบาหลีอีกแล้ว
“ที่บ้านเป็นไงบ้าง”
พลันหลุดถามออกไปในตอนที่ใจเย็นถือถ้วยชามาวางบนโต๊ะกาแฟตัวเดิม และนั่งลงข้างเขา รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงฝนทั้งที่ชั้นสูงของคอนโดนั้นไร้สุ้มเสียงเพียงเพราะใจเย็นเงียบอยู่ชั่วครู่ – ไม่สิ – เงียบอยู่นาน นานจนเป็นไทนึกร้าวขึ้นมาว่าเขาอาจไม่มีสิทธิ์ถามอะไรแบบนี้อีกแล้ว
“ไม่กี่วันก่อน ผมเพิ่งพาแม่ไปขึ้นศาล”
แต่ความกังวลคลายลงเมื่อใจเย็นตอบออกมา และเป็นคำตอบที่เขาไม่คาดไว้เลยว่าจะได้ยิน เพราะเหมือนใจเย็นกำลังบอกเขาเลยว่าพยายามอยู่ พยายามเผชิญหน้ากับความจริงอย่างสุดความสามารถ
“แล้ว...คิดว่าอีกนานไหมกว่ามันจะจบ”
“นาน อีกนานเลยครับ”
ใจเย็นตอบ ย้ำคำ จนเป็นไทไม่แน่ใจว่าใจเย็นหมายถึงในระยะเวลา หรือในความรู้สึก
“เป็นไทจำที่แม่บอกกับผมได้ไหมครับ เรื่องรักเดียวใจเดียว”
“อืม จำได้”
จำได้ดีที่ใจเย็นไม่เข้าใจ – เขางำคำนี้ไว้ในใจ ปล่อยกลิ่นคาโมมายล์ที่เพิ่งจิบให้อวลในลำคอ กลบกลิ่นปวดร้าวที่แล่นแปลบปลาบเหมือนวาบแสงของท้องฟ้าที่ฝ่าผ่านเมฆหม่นมืด
“ความหมายของรักเดียวใจเดียวที่แม่บอก คือการที่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเจ็บปวดจึงมีความยับยั้งชั่งใจไม่ทำ” ใจเย็นทวนถ้อยนั้น ท้องฟ้ามืดลงอีกเฉด "“ผมไม่เข้าใจคือทำไมต้องยับยั้งชั่งใจ ถ้าต้องยับยั้งก็แปลว่ามันมีความรู้สึกไม่ดีเกิดขึ้นแล้วไม่ใช่เหรอ และเพราะเรากลัวจะยับยั้งมันไม่ได้จึงตั้งเงื่อนไขขึ้นมาป้องกัน แบบนั้นเป็นความหมายของคำว่ารักเดียวใจเดียวจริงๆ เหรอ”
ท้องฟ้ามืดสนิทเมื่อสิ้นสุดคำถาม มากมาย ละเอียดลออ แบบที่ใจเย็นเป็นเสมอมา บ่อยครั้งที่เป็นไทรู้สึกว่าคำถามของใจเย็นนั้นตอบยาก ครั้งนี้ก็เช่นกัน ทั้งที่เขาอยากจะไขข้อข้องใจให้ทุกอย่าง อยากให้อีกฝ่ายไม่ต้องตกอยู่ในมืดดำของความสงสัย แต่เขาก็ไม่รู้จะกลั่นกรองออกมาอย่างไรดี
ขณะเดียวกัน ละเอียดลออของคำถามก็แทรกซึมกัดเซาะลงในความเข้าใจของเป็นไท ไม่ใช่ว่าเขายอมแพ้ แต่เขาแค่เข้าใจ เข้าใจว่าทำไมใจเย็นถึงเป็นใจเย็นคนนี้ เหมือนว่าต่อให้ความคิดจะผิดแผกแปลกแยก แต่ก็พยายามแล้ว พยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะเข้าใจผู้อื่น ไม่ใช่แค่ทำตามที่คนอื่นเห็นว่าดีทั้งที่ไม่เข้าใจอะไรเลย
เพราะแบบนี้เขาถึงโกรธไม่ลง
โกรธไม่ลง ทั้งที่ปวดร้าวทรมาน
“แล้วเป็นไทล่ะ เป็นยังไงบ้าง”
“ไว้สอนเสร็จก่อนละกัน จะให้สอนฟิสิกส์ไม่ใช่เหรอ”
อาจเพราะตั้งตัวไม่ทันจึงทำให้เขายกไปไว้ทีหลัง ซึ่งใจเย็นก็เออออยอมตามก่อนจะลุกไปหยิบชีทเรียนมาให้ เป็นวิชาฟิสิกส์เบื้องต้นที่ไม่เกินมือเขานัก แต่ดูจากการจดสะเปะสะปะในชีทและคำตอบที่เว้าแหว่งก็ทำให้รู้ว่าใจเย็นก็ยังคงไม่ชอบวิชาเกี่ยวกับคำนวณอยู่ดี
และอีกอย่างที่เหมือนเดิม ก็ดูจะเป็นการจับจ้องตอนที่เขากำลังใช้ความคิด
เป็นไทรู้สึกมาตลอดว่าใจเย็นชอบจ้องเขา แม้จะพยายามไม่ให้รู้ตัวแต่ก็รู้สึกได้ ตอนนี้เองก็เหมือนกัน และอาจเพราะใจเขาอ่อนแอกว่าปกติ ความประหม่าจึงครอบงำ ก่อนจะสั่นสะเทือนด้วยคำถามสั้นๆ ของใจเย็น
“ไม่ควงปากกาเล่นแล้วเหรอครับ”
“ขี้เกียจ”
และเขาก็ตอบไปสั้นๆ ทั้งที่อยากถามกลับไปว่าเขาทำแบบนั้นตอนใช้ความคิดตลอดเลยหรือ รู้สึกว่ามันเป็นอีกเรื่องเล็กๆ ที่ใจเย็นสังเกตเขา สังเกตกระทั่งเรื่องที่ไม่รู้ตัว ซึ่งนั่นยิ่งทำให้จิตใจของเขาสั่นคลอนวอนไหว
“มึงยังชอบกูอยู่ไหม”
แล้วพลัน – พลันสร้างผลกระทบเป็นวงกว้าง คล้ายผิวน้ำที่มีอะไรหล่นลงไป เกิดเป็นวงน้ำพรั่นกระเพื่อมต่อกันเป็นทอดๆ รวดเร็ว เงียบงัน แต่สั่นระริกในแววตาของอีกฝ่าย
วินาทีนั้นเป็นไทจึงรู้ตัว รู้อย่างไม่เคยมีสติรู้ขนาดนี้มาก่อนว่าเขาพลาดที่ถามมันออกไป ต่อให้จะพ่ายแพ้แล้วซึ่งทุกอย่างก็ไม่ควรถามออกไป
“ช่างมัน—”
“เคยไม่ยอมรับว่าผมชอบไม่ใช่เหรอครับ”
ใจเย็นถามกลับอย่างไม่ยอมให้เขาปล่อยผ่าน และเป็นไทก็ได้เห็นแววตาแบบที่เขาทั้งชอบทั้งชัง แววตาที่จ้องทะลุทะลวงราวจะล้วงทุกความลับในรู้สึก แววตาที่ตรงข้ามกับแววตาว่างเปล่าของพ่อโดยสิ้นเชิง
ก็ใช่ – เขาตอบออกไป อยากให้เสียงดังแต่มันกลับแผ่วเบา เหมือนว่าเขาเถียงไม่ได้ เหมือนว่าที่เคยคิดว่าแพ้แล้วซึ่งทุกสิ่ง ตอนนี้เขาแพ้ยิ่งกว่านั้น แพ้อย่างราบคาบ และหมดรูปให้กับจูบที่ประทับลงมาอย่างแผ่วเบา
อีกแล้ว – ทั้งที่คิดแบบนี้แต่มันแตกต่างจากจูบที่เคยได้รับโดยสิ้นเชิง มันค่อยๆ พรมลงมา แนบชิด เนิบช้า อบอุ่นนุ่มนวลจนรู้ตัวอีกทีก็ถูกเปิดปากให้ความร้อนแทรกซึมเข้ามา แม้ไม่ได้บดเบียดบังคับ แต่ละเลียดละเอียดลออก็ทำให้รู้สึกคล้ายจะถูกเก็บกลืนไปหมดทั้งตัวตน กระทั่งอากาศอัตคัดขัดสน เขาส่งเสียงท้วง หากแม้แต่เสียงก็เหมือนถูกดูดกลืนไปด้วย นาน กว่าที่ใจเย็นจะยอมผละออกไป ปล่อยเขาหายใจก่อนกลับมาประทับจูบอีกครั้ง
ครั้งนี้นุ่มนวลเลือนหาย กลายเป็นร้อนรนกระเสือกกระสนตะกรุมตะกราม ดื้อรั้นดึงดันด้วยขบงับแผ่วเบาบนริมฝีปาก เขาผลักออก แต่ถูกผลักกลับมาแรงยิ่งกว่าให้แผ่นหลังกระแทกลงบนเบาะโซฟา แล้วใจเย็นจึงยอมถอนจูบ แต่ก็แค่จากริมฝีปาก เพราะเปลี่ยนไปพรมย้ำบนต้นคอ ขบเม้มให้เป็นรอยคล้ายตีตรา แล้วไล่กลับขึ้นมาจูบที่สันกราม คาง กระทั่งใบหู ได้ยินจังหวะหายใจชัด เร่งเร้า ร้อนรน ระคนสับสนทรมานจากตัวเขาเอง
แล้วเป็นไทก็รู้สึกว่าตนเองยิ่งจมลงไป จมลงไป มันเป็นอย่างที่เขาคิดว่าจะแหลกสลายกว่าเดิม จะจมลงไปถึงสุดเหวทะเล และเขาก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ปล่อยความพ่ายแพ้ให้ยิ้มเยาะอยู่ตรงหน้า – ไม่สิ – ความจริงเขาจะหนีออกไปก็ได้ หนีจากสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยคำถามแต่ไร้คำตอบ หนีจากสัมพันธ์ที่ละเอียดลออไปด้วยความเจ็บปวด และละเมียดละไมทางความทรมาน แต่ว่า – แต่ว่าเขาก็ถลำลึกเกินจะวกกลับแล้ว เพราะฉะนั้น จะเจ็บปวดก็ได้ จะทรมานก็ได้ ขอแค่ได้อยู่ตรงนี้ พลันได้ยินเสียงหัวเราะของความพ่ายแพ้ดังลั่น
“เป็นไท”
ก่อนจะถูกกลบกลืนด้วยเสียงเรียกของใจเย็น เป็นไทรู้สึกเหมือนได้สติ แต่ก็ไม่เต็มสตินัก
“รู้ไหม ผมน่ะอยากเห็นทุกๆ สีหน้าของเป็นไทมาตลอด”
เพราะเขาไม่รู้ว่าที่ใจเย็นพูดนั้นหมายถึงอะไร
“แม้แต่ตอนกลัว”
กระทั่งมือของเขาถูกอีกฝ่ายจับขึ้นมา พลันสัมผัสได้ถึงความสั่นเทาในนั้น
เขากำลังกลัว
“ตอนร้องไห้”
มือของใจเย็นเอื้อมมาปาดน้ำตาบนใบหน้าที่เขาไม่รู้เลยว่าน้ำตารินรดลงมาเมื่อไหร่ รู้แค่ว่าตอนนี้มันพร่าเบลอจนไม่รู้ว่าแววตาของคนตรงหน้าเป็นอย่างไร พลันใจเย็นซบลงมาข้างไหล่ ให้ได้ยินเสียงพร่ำพูดดังชัด ชัดจนเหมือนดังก้องกังวานไปทั้งโสตประสาต
“คิดว่ามันต้องรู้สึกดีมากที่ได้เห็น”
รู้สึกตัวในตอนนั้นเองว่าเขาเจ็บเหลือเกินที่ใต้อกข้างซ้าย
“แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม”
“ทำไมล่ะ...”
“ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังแหลกสลายตามไปด้วย”
ใจเย็นเงยขึ้นมามองหน้าเขาอีกครั้ง ภาพยังคงพร่าเบลอก่อนที่มืออุ่นของอีกฝ่ายจะปาดน้ำตาให้เลือนหาย
“แล้วคนอย่างผมก็คงบอกกับเป็นไทไม่ได้หรอกว่า...อย่าร้องไห้เลย”
พลันร้าวลึกเหมือนท้องฟ้าที่กำลังร้องไห้ส่งสายฟ้าฟาดลงกลางใจของเขา ให้มอดไหม้ทั้งที่เปียกปอนก่อนแตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ตัวตนของคนตรงหน้าเขาเองก็ด้วย แตกออกเป็นเสี่ยงไม่มีชิ้นดีและไม่รู้จะประกอบคืนได้อย่างไร ทรมาน ทรมานจนไม่รู้แล้วว่าต้องทำอย่างไรถึงจะหนีพ้น หนีจากห้วงเหวของทะเลน้ำตา แต่แล้วคำพูดต่อมาของใจเย็นก็เหมือนฉุดดึงเขาขึ้นไปช้าๆ ให้ค่อยๆ เห็นแสงสว่างของผิวน้ำที่ไม่ได้เห็นมานาน แม้กระนั้นเขาก็ร้องไห้ออกมา แต่มันเป็นน้ำตาที่สิ้นสุดแล้วซึ่งการเก็บกลั้น เป็นน้ำตาที่เหมือนได้ยินเสียงบอกว่าไม่เป็นไรถ้าจะร้องไห้ออกมา ต่อหน้าคนคนนี้
“ที่ผมทำได้มีแค่แตกสลายตาม เพราะงั้นต่อให้เป็นไทจะแหลกจนกลายเป็นฝุ่นผง ผมก็จะกลายเป็นฝุ่นแล้วปลิวตามไป”*****************************************************************************
ตอนนี้เลือดตาจะกระเด็น รักกันชอบกันเม้นเป็นกำลังใจหน่อยนะคะ 55