➤➤ใจเย็นกับเป็นไท ◑แจ้งข่าวตีพิมพ์หน้า 19 ค่ะ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ➤➤ใจเย็นกับเป็นไท ◑แจ้งข่าวตีพิมพ์หน้า 19 ค่ะ  (อ่าน 144442 ครั้ง)

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
บีบหัวใจค่ะ ทำไมโลกถึงบิดเบี้ยวขนาดนี้นะ
ใจเย็นคือใจเป๋มากค่ะ น้องยังไม่รู้ความจริงของชีวิต ยังไม่เข้าใจความรัก และอื่น ๆ ที่เป็นการใช้ชีวิตทั่วไป

เป็นไทจะช่วยอะได้บ้างนะ เพราะที่ผ่านมาก็อาการเดียวกัน

ออฟไลน์ Pangvivacious

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สงสารทั้งคู่เลย แต่พาร์ทนี้ใจเย็นก็มีพัฒนาแล้วนะ
อย่างน้อยก็ไปที่ศาลมาแล้ว
 :hao5:

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
ความหน่วงนี้ ฮรือออ
อ่านตรง ขอโทษที่รักไม่เป็น แล้วแบบ... จะร้องงง
นายจะเข้าใจมันในสักวัน จะต้องรักเป็นได้แน่ๆ!
ลูบหัวใจเย็นโอ๋เอ๋ เอาใจช่วยทั้งสองคนน

ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2

30 – ปราย



ปราย มาจากคำว่าปรายฟ้า แปลว่าสิ่งที่หยาดลงมาจากฟากฟ้า ปรีดาตั้งใจจะตั้งชื่อนี้ให้เด็กชายตัวน้อยที่เกิดในฤดูฝน แต่ปุริมลงความเห็นว่าชื่อคล้ายเด็กผู้หญิงไปเสียหน่อยจึงตัดคำว่าฟ้าออก ให้กลายเป็นปรายธรรมดา หากยังคงพิเศษ เพราะสำหรับปรีดา ปรายยังคงหมายถึงหยาดน้ำที่ร่วงหล่นจากฟ้า ยังความชุ่มชื่นให้แก่พื้นผิวโลก มอบชีวาให้สรรพชีวิต ฟังดูเป็นความสุข สว่างสดใส ตราบเท่าที่หยาดน้ำนั้นไม่ใช่หยาดน้ำตา

ปรายสูญเสียปุริมผู้เป็นพ่อด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ตั้งแต่ระบบจำความยังไม่เข้าที่เข้าทาง ที่จำได้เห็นจะมีเพียงความสุข รอยยิ้ม และความรัก ปรายจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพ่อจากไปตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีพ่อก็ไม่กลับมาให้เขากอดหรือขี่คออีกแล้ว ครอบครัวเหลือเพียงเขากับแม่แค่สองคน แต่ก็ไม่นานเท่าไหร่นับจากนั้นที่ปรายเหลือเพียงตัวคนเดียว

หลังจากเฝ้าดูชีวิตของแม่ที่ค่อยๆ โรยราด้วยโรคมะเร็ง เฝ้าดูอย่างละเอียดลออแม้จะเจ็บปวด เฝ้าดูเหมือนไถ่โทษที่ไม่อาวรณ์ในวันที่พ่อจากไป ปรายเก็บทุกความเศร้าให้ซึมลึกตรึงติดตัว แม้แม่จะชอบบอกให้เขายิ้ม บอกว่าเขายิ้มแล้วดูดี แต่ปรายกลับรู้สึกเหมือนตัวเองร้องไห้อยู่ตลอดเวลา ยิ่งอยู่ท่ามกลางผู้คน ปรายยิ่งอยากร้องไห้ เพราะเขาไม่รู้สึกเลยว่ามีใครอยู่เคียงข้างเขา ไม่มีเลย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขร่วมกัน ปรายไม่รู้ว่าทำไมเป็นไทถึงเกลียดเขา เกลียดขนาดที่ว่าถ้าเขาหายไปเสียจากตรงนั้นก็คงดี ขณะที่ปราณีนั้นตรงกันข้าม หล่อนไม่ได้เกลียดเขาทั้งยังดูใจดีจนต้องเกรงใจ แต่สุดท้ายแล้วปรายก็ได้รู้ความจริงว่าเขาเป็นแค่ส่วนเกิน ด้วยบ่อยครั้งที่ปราณีมักทำตัวเหมือนลืมไปว่ายังมีเขาอีกคนในครอบครัว ประหนึ่งครอบครัวของหล่อนก็มีแค่ตัวหล่อนเองกับลูกชายแท้ๆ อย่างเป็นไทเท่านั้น

เพราะแบบนั้น ลึกๆ แล้วปรายก็อิจฉาเป็นไทที่ยังมีแม่อยู่เคียงข้าง ลึกๆ แล้วก็รู้สึกว่าเป็นไทโง่จนมองไม่เห็นค่าสิ่งที่มีอยู่ ปรายไม่เข้าใจความก้าวร้าวรุนแรงของเป็นไท ไม่เข้าใจนิสัยหวงของจนเกินเหตุในหลายๆ ครั้ง ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้ร้ายกับเขานัก และปรายก็คิดว่าคงไม่มีวันจะเข้าใจ กระทั่งวันที่พายุฝนกระหน่ำลงมาพร้อมๆ กับพายุอารมณ์ของเป็นไทมาถึง

แข่งกับเสียงคำรามของท้องฟ้า เป็นไททะเลาะกับแม่ โวยวาย แผดลั่น ก่อนจะสั่นเครือคล้ายร้องไห้ ปรายไม่เคยเห็นเป็นไทร้องไห้ และเขาก็ไม่ได้เห็นมัน สิ่งที่ทำคือแค่เดินหนีขึ้นห้อง รู้ดีว่าไม่มีใครอยากให้เขาอยู่ตรงนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับเขา แต่จากที่ได้ยินสนทนาเล็ดลอดเข้าหู ปรายก็พอจะรู้แล้วว่าเป็นไทเคยถูกพ่อทำร้าย และแม่ก็เหมือนจะทำร้ายซ้ำเติมโดยการพาตัวเองกลับไปข้องเกี่ยวกับพ่ออีกครั้งเพียงเพราะเรื่องเงิน

ปรายหลับตาลงให้ทุกอย่างหม่นมืด เสียงพายุฝนดังชัด เขาเริ่มได้คำตอบแล้วว่าทำไมเป็นไทถึงได้ก้าวร้าว อาจเพราะใจมีรอยแตกเป็นทางยาวลากลามมาตั้งแต่อดีต กระนั้น กระนั้นก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะทำตัวแย่ๆ กับเขา แต่ก็อีก ปรายเริ่มรู้สึกเหมือนเข้าใจเป็นไทขึ้นมาทีละน้อย ทีละน้อย

และเริ่มคิดว่าคนที่ก้าวร้าว บางทีก็เพราะอยากสร้างเกราะหนามขึ้นมาป้องกันตัวเอง แต่แค่ไม่รู้จะทำอย่างไร

คิดแบบนั้น ฝนนอกหน้าต่างยิ่งกรรโชก ปรายไม่แน่ใจว่าที่คิดนั้นถูกหรือผิด ที่คิดว่าเข้าใจเป็นไท สุดท้ายแล้วเขาก็อาจจะไม่เข้าใจอะไรเลย

แต่นับจากวันนั้น ปรายเริ่มรู้สึกว่าเป็นไทไม่ได้มีพิษสงอะไรนัก คิดดูดีๆ แล้วก็พบว่าอีกฝ่ายไม่เคยทำร้ายเขาเลยด้วยซ้ำ อย่างมากที่สุดคือการปากระป๋องเบียร์เปล่าใส่ ที่เหลือก็เป็นการใช้วาจาถากถาง ขู่กร้าว แต่ก็ไม่เคยเห็นเลยสักครั้งว่าทำจริงอย่างที่ขู่ ถ้าให้คิดอย่างอคติก็คงมองว่าเป็นไทเป็นพวกดีแต่ปาก แต่วีรกรรมอันใช่ย่อยที่ปรายเคยได้ยินมานั้นก็หักล้างคำว่าดีแต่ปากทิ้งง่ายดาย

บางทีความเกลียดที่เป็นไทมีให้เขาคงเป็นความเกลียดที่แปลกประหลาด

ชัดที่สุดที่ปรายสัมผัสได้คือระยะหลังที่เป็นไทไม่ค่อยหาเรื่องเขาแล้ว มันเป็นเดือนกุมภาพันธ์ที่เงียบสงบ แต่ทั้งคิดทั้งรู้สึกหลายอย่างอื้ออึงในกายคล้ายเสียงฝนกระทบโลหะ หนักอึ้งจนไร้เรี่ยวแรงจะลุกไปทำอะไร เขานอนอยู่ทั้งวัน นอนจนได้ยินเป็นไทถามด้วยน้ำเสียงรำคาญใจ ถามว่าเขาไม่สบายหรือ ก่อนจะใช้หลังมือแตะเข้าที่หน้าผากจนเขาสะดุ้ง แล้วปิดท้ายด้วยคำด่าสั้นๆ ว่าสำออย

กระนั้น ปรายกลับรู้สึกว่ามันดีกว่าความเมินเฉยไม่สนใจ หลายกรณีที่ความเมินเฉยนั้นร้ายแรงยิ่งกว่าความเกลียด ปรายรู้ดีเพราะมันเป็นสิ่งที่เขาเจอมาตลอด เวลานั้นเองที่เขาเริ่มคิดย้อนว่ามันอาจเป็นสิ่งที่เขาก็ทำกับเป็นไทโดยไม่รู้ตัว แต่ปรายก็ไม่กล้าที่อยู่ๆ จะก้าวเท้าเข้าเขตส่วนตัวของเป็นไท คนขี้หวงแบบนั้นคงได้ไล่ตะเพิดเขาออกมา สิ่งที่ปรายทำจึงมีแค่ทำตัวเหมือนเดิม เงียบเชียบ เลี่ยงสนทนาที่จะเกิดเรื่องทะเลาะ

เพราะปรายไม่รู้เหมือนกันว่าจะเริ่มเข้าหาเป็นไทอย่างไรดี ไม่รู้แม้กระทั่งวันที่เขากลับบ้านไปได้ยินสนทนาของปราณีกับคนปลายสายโทรศัพท์ – คนที่เคยทำร้ายเป็นไท – คนที่แม้แต่ปรายเองก็จำหน้าไม่ได้แล้ว

“คุณอยากเจอลูกก็มาเจอสิ”

มันเป็นประโยคแรกที่ปรายได้ยิน ทั้งที่ตัวเขาเองไม่ใช่เป็นไทแต่เสียงฟ้าคำรามกลางพายุฝนวันนั้นกลับแผดลั่นในรู้สึก และประโยคต่อๆ มาก็เหมือนสายฟ้าฟาดลงมาจนชาไปหมด

ไม่เป็นไรหรอก ไทโตแล้ว

คิดว่าต้องเข้าใจ

ถ้อยคำเหล่านั้นไหลลื่นผ่านโสตประสาท ทั้งที่อยากให้มันไหลผ่านไปแต่มันกลับทิ้งร่องรอยสะท้อนเป็นเงาความรู้สึก ก่อนที่คำพูดต่อๆ มาจะพร่างพรูตาม ทับถมเงานั้นให้ยิ่งมืดดำ ปรายได้ยินบทสนทนาประมาณว่าถ้าปรับความเข้าใจกันได้ก็น่าจะไม่เป็นไร ถ้าปล่อยผ่านเรื่องราวในอดีตไปและเริ่มใหม่ได้ทุกอย่างก็จะดีเอง

วินาทีนั้น ปรายรู้สึกผิดขึ้นมาที่เคยอิจฉาเป็นไทเรื่องแม่ เพราะรู้แล้วว่าปราณีทำให้เป็นไทโดดเดี่ยวไม่ต่างจากที่เขารู้สึกเลย

ปรายคิด คิด และคิดอยู่ตลอดว่าจะบอกเรื่องนี้กับเป็นไทอย่างไรดี แต่ตอนที่ได้เจอหน้าเป็นไทที่คอนโด เขาก็ได้รู้แล้วว่าที่คิดมาตลอดทางนั้นเปล่าประโยชน์ มันสายไปแล้ว แค่ดูจากท่าทีที่เงียบงันของเป็นไทก็บ่งบอกทุกอย่าง มันเป็นความเงียบที่ทำให้รู้สึกถึงคลื่นลมทะเลที่สงบ นิ่ง คล้ายที่เขาเคยเจอกับเป็นไทเมื่อยังเด็ก

แม้จะเป็นช่วงที่ทรงจำทำงานได้ไม่ดีนัก แต่ปรายก็จำเป็นไทตอนเด็กๆ ได้ จำได้ว่าครอบครัวเขาและครอบครัวเป็นไทเคยไปเที่ยวทะเลด้วยกัน เป็นไทในตอนนั้นยังไม่แผลงฤทธิ์อะไรใส่เขา เป็นแค่เด็กเงียบๆ คนหนึ่ง เงียบ...เงียบจนเขาจำหรือกระทั่งจินตนาการเสียงของเป็นไทในวัยเด็กไทไม่ได้เลยแม้แต่น้อย พอๆ กับที่ปรายจำหน้าพ่อของเป็นไทไม่ได้ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผู้ชายคนนั้นมีปฏิสัมพันธ์กับลูกตัวเองอย่างไรบ้าง

แต่ที่รู้ตอนนี้ ปรายรู้แล้วว่าคนที่ขโมยเสียงของเป็นไทให้หายไป คนที่กดทับเสียงที่จะระบายความรู้สึกต่างๆ ออกมานั้นก็คือพ่อของเป็นไทเอง

ปรายไม่รู้ว่าเป็นไทเคยเจออะไรมาบ้าง ไม่รู้ว่าเป็นไทคิด หรือรู้สึกอะไรอยู่ เพราะเป็นไทก็แค่เงียบ นิ่ง ราวต้องการเจือจางตัวตนให้ละลายหายไปจากโลกใบนี้ แม้แต่ตอนที่นั่งอยู่ในห้องเดียวกัน ปรายก็แทบไม่รู้สึกว่าอีกฝ่ายนั่งอยู่ด้วย ที่รู้สึกได้คงมีแต่ความอึดอัด คล้ายรอเวลาระเบิดให้ทุกสิ่งย่อยยับ และสุดท้ายมันก็ไม่ผิดจากที่คิด

ความเงียบของเป็นไทคือคลื่นลมสงบก่อนพายุจะมา

เสียงสัญญาณของพายุดังลั่นในกลางดึกของเดือนเมษา มันคือเสียงโทรศัพท์มือถือของเป็นไท ดังผ่าความเงียบงันในห้องอยู่หลายครั้ง ดังจนปวดประสาทแต่เป็นไทก็ไม่สนใจราวกับไม่ได้ยินเพราะเสียงความคิดและความรู้สึกของตัวเองนั้นดังกว่า สุดท้ายปรายก็ลุกไปหยิบโทรศัพท์มือถือนั้นขึ้นมา เห็นผ่านตาว่าชื่อบนหน้าจอคือแม่ วินาทีนั้นเกิดลังเลเพราะเป็นไทอาจจงใจมองข้ามอยู่แล้ว แต่เมื่อย้อนคิดว่าเจ้าตัวไม่แม้จะหันมามองชื่อบนหน้าจอเลยด้วยซ้ำก็ทำให้ตัดสินใจเอ่ยเรียก

เป็นไท เป็นไท เรียกซ้ำอยู่สองสามครั้งก่อนที่เจ้าตัวจะหันมา ยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งได้กลิ่นฉุนของเหล้า แต่ปรายก็ไม่ได้สนใจอะไรนอกจากยื่นโทรศัพท์มือถือไปให้ ทว่า ความผิดพลาดเกิดขึ้นเมื่อมันร่วงหล่นก่อนจะถึงมือของเป็นไท เสียงตกกระทบพื้นดังชัด ก้มหน้าลงมองตามก็เห็นว่ามุมหนึ่งของหน้าจอแตกร้าว เสียงเรียกเข้ายังดังลั่นให้ปรายยิ่งร้อนลน เขาหมายจะก้มลงเก็บ แต่แล้วความตั้งใจก็ถูกทำลาย ปรายไม่แน่ใจว่าโลกเปลี่ยนเงียบงันหรือพายุพัดกระหน่ำในวินาทีนั้น

วินาทีที่หลังมือของเป็นไทฟาดลงมาบนหน้าเขาสุดแรง

ปรายหน้าหัน ตัวเซ เกือบจะล้มลง เจ็บแปลบบนใบหน้าก่อนอาการชาหนึบจะค่อยลุกลามพอๆ กับสั่นสะท้านขลาดกลัว เขารู้สึกว่าควรรีบหนีไปให้ห่าง แต่เมื่อหันกลับมองถึงรู้ว่าไม่จำเป็นต้องหนีอีกแล้ว พายุสงบลงแล้วพร้อมกับความรุนแรงเมื่อครู่ หลงเหลือค้างไว้เพียงซากปรักหักพังสั่นสะท้านของผู้กระทำ แววตาของเป็นไทตื่นตระหนก เห็นได้ชัดว่าตกใจกับสิ่งที่เพิ่งทำลงไป มือข้างที่ใช้ทำร้ายปรายสั่นระริก และน้ำในตาก็เริ่มสั่นคลอน

ตอนนั้นเองที่เป็นไทเริ่มร้องไห้ ทรุดลงกับพื้น ก้มหน้าเหมือนไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตา เก็บกลั้นเสียงสะอื้น ก่อนกลั่นคำพูดเอ่ยออกมาแผ่วเบา ขอโทษ ขอโทษ ย้ำซ้ำอย่างนั้น ย้ำซ้ำราวต้องการกรีดตะโกน ตัวตนแตกเป็นเสี่ยง มือกุมขยุ้มหัวตัวเองราวกลัวมันจะระเบิดออก และพึมพำคำถาม

“ทำยังไงดี”

ทั้งที่แผ่วเบาแต่ฟังดูราวเสียงกรีดร้อง จนตรอก

“กูไม่ได้อยากเป็นคนแบบนี้”

และกรีดร้องออกมาให้ดังยิ่งขึ้นในประโยคต่อๆ มา กรีดแทงหัวใจด้วยประโยคที่ว่าไม่อยากเป็นเหมือนกับพ่อตนเอง ไม่อยากให้ใดๆ ก็ตามเป็นเพราะพ่อ ไม่ปรารถนาอะไรทั้งนั้นที่ข้องเกี่ยวกับชายคนนั้น ปรายไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร เขาไม่รู้วิธีปลอบคนอื่น แม้แต่ตัวเองยังปลอบไม่เป็นด้วยซ้ำ สุดท้ายเขาก็ได้แค่รับฟัง แต่บางทีมันอาจเป็นสิ่งที่เป็นไทต้องการมากที่สุดแล้วในเวลานี้

ปรายทรุดตัวลงและสวมกอดคนตรงหน้าเอาไว้ สัมผัสได้ถึงความแตกร้าวแหลกสลายภายใน ไม่แน่ใจว่าจะเยียวยาได้อย่างไร แต่ที่แน่ใจอย่างหนึ่งคือต่อให้เป็นไทจะหวาดกลัวสักแค่ไหน เป็นไทคงไม่มีวันเป็นเหมือนพ่อ คนที่ร้องไห้ตอนเผลอทำร้ายคนอื่นจะเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไร เขาคิด พยายามเรียบเรียงคำพูด แต่คำขอโทษที่ยังได้ยินซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ทำให้ถ้อยคำของเขากระจายกระเจิง ปรายจึงได้แต่กอดเอาไว้ กอดเอาไว้ให้แน่นขึ้น

ถ้าเป็นไทไม่เคยโดนพ่อทำร้ายจะเป็นคนแบบนี้ไหม จะเป็นคนอ่อนโยนกว่านี้ใช่ไหม คำถามนั้นผุดผาดขึ้นกลางคิดพร้อมเจ็บปวดที่เขารับมาผ่านอ้อมกอด และเจ็บปวดทวีเท่าเมื่อคำตอบคือใช่ เป็นไทคงเป็นคนที่อ่อนโยนกว่านี้ หรือบางทีอาจจะอ่อนโยนอยู่แล้วด้วยซ้ำ

พลันเมื่อคำขอโทษสุดท้ายขาดห้วง เป็นไทผละหนีจากอ้อมกอด ลุกขึ้นและไม่หันกลับมามอง เหมือนยังคงหลบหน้าไม่อยากให้เห็นน้ำตา แต่ปรายกลับรู้สึกว่ามันเป็นการตะเกียกตะกายหนี ไม่อยากให้เขาเห็นตนเองสภาพนี้ สภาพที่อ่อนแอไร้เปลือกหนามใดห่อหุ้ม นัยหนึ่งปรายก็รู้ว่ามันน่าอับอาย แต่นัยหนึ่งปรายก็รู้ว่าเขายังไม่ใช่คนที่เป็นไทยอมแสดงความอ่อนแอที่ลึกที่สุดออกมาให้เห็น

สิ้นเสียงปิดประตูห้องของเป็นไท ความเศร้าที่เป็นไททิ้งไว้ก็กลายเป็นความเศร้าของปราย ความปรารถนาลึกๆ ที่เคยเก็บซ่อนไว้ยิ่งย้ำให้เศร้าลุกลามเหมือนโรคติดต่อ ความปรารถนาที่ว่าปรายอยากมีพี่ชายมาตลอด ถ้าอะไรๆ ไม่เป็นแบบนี้ พวกเขาคงเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันได้ คงไม่อ้างว้างเดียวดายได้ถึงเพียงนี้ทั้งที่อยู่เคียงข้างกัน ปรายจึงได้แต่หวัง หวังว่าความเจ็บปวดเหล่านั้น ถ้าไม่ใช่เขา ก็ขอให้มีใครสักคนรับเอาไว้ได้ อย่าร่วงหล่นหรือแตกสลายไปมากกว่านี้เลย

เพราะทั้งที่ทุกอย่างเงียบงัน ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากห้องที่เปิดไฟอยู่ตลอดคืน แต่ปรายรู้สึกว่าเป็นไทกำลังร้องไห้ และร้องไห้อยู่อย่างนั้นทั้งคืน








***********************************************************************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-12-2017 22:07:19 โดย แยมส้มขมคอ »

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8891
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ mamemoo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :z3: :z3: อีกแล้วววว คุณแยมมม all kill มากเลยค่ะ ตอนนี้นายขนมต้มของเราทำไมโดนทำร้ายขนาดนี้ น่าย่ำยีเพิ่มมากเลยค่ะ *โดนตี* ใจเย็นต้องช่วยพี่เป็นไทนะลูกกก เป็นไทก็ต้องช่วยน้อง ช่วยกั---- :hao6: :hao6: :hao6:
ไม่รู้จะคอมเมนท์อะไร แต่คุณแยมทำคนอ่านแตกสลายได้ทุกตอนจริงๆค่ะ แงงงงงงง
รอใจเย็นนะคะ ใจเย็นจะเป็นผู้คอยรับไว้ไม่ให้เป็นไทร่วงหล่นได้อย่างที่น้องปรายบอกได้หรือไม่ ติดตามชมตอนต่อไป :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ mam79

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ทำไมชอบทำร้ายเป็นไทของเรา ฮือออออ สงสารอีกแล้วววว

ออฟไลน์ drasil

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1690
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +95/-1
ฮือออ หดหู่ไปหม๊ดดดด

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
โอ๊ยยยยยยยย เป็นไทลูก มาค่ะมาเดี๋ยวพี่กอดปลอบหนูเอง อ่านนี้ก็น้ำตาซึมอีกแล้ว

ออฟไลน์ MOMAMi_96

  • เรื่อยๆ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 160
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-3
เนี่ยรักน้องปรายมากคนอะไรก็ไม่รู้จิตใจอ่อนโยนมากกกกก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
หายใจเข้าลึก ๆ แล้วหน่วงต่อไป

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
หน่วงงงง  :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ papapajimin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 294
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
อ่านไปเหมือนคนหายใจไม่ค่อยออก
มันทรมานไปหมด คือตอนนี้ไม่มีบทสนทนาเลยนะ
แต่บีบหัวใจมากๆ

ออฟไลน์ Pangvivacious

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สงสารเป็นไท ทำร้ายคนอื่นเองแล้วก็เจ็บเอง

 ความรุนแรงมันอาจจะฝังหัวมาตอนที่โดนพ่อทำร้ายก็ได้นะ :hao5:

(พออ่านความคิดก็อยาย้อนกลับไปอ่านเรื่องเก่าอีกแล้ววว)

ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2
31 – ฝุ่นผง


เป็นไทรู้สึกว่าเขายอมแพ้แล้วซึ่งทุกอย่าง เขาร้องไห้ไม่หยุดตั้งแต่มันเริ่มหลั่งรินออกมาต่อหน้าปราย เขาร้องไห้ ร้องไห้ และร้องไห้ ร้องจนไม่รู้เลยว่ามันจะไปจบลงที่ตรงไหน รู้สึกตัวอีกทีก็เป็นตอนที่ลืมตาตื่นจากฝัน ซึ่งคลับคล้ายคลับคลาว่านั่นก็เป็นฝันร้าย ฝันที่เขาร้องไห้อยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เด็กยันโต

และตอนที่จมลงในทะเลน้ำตา เป็นไทรู้สึกว่าถูกแววตาของพ่อจับจ้อง แววตาที่ว่างเปล่าและตอกย้ำเจ็บแสบยิ่งกว่าคำพูดไหนๆ ว่าเขามันไร้ค่า ไม่น่าเกิดมา เพราะเกิดมาก็จะประสบพบแต่ความเจ็บปวด ความแหว่งวิ่นของความรัก ความอบอุ่นที่ไม่เคยเป็นของจริง ชีวิตเขาวนเวียนอยู่แค่นี้ แม้หนีเท่าไหร่ก็ยังถูกไล่ตาม และคนที่ขัดขาให้เขาล้มลงก็เป็นแม่ของเขาเอง

แม่เป็นคนพาพ่อมาเจอเขา ชายคนนั้นนั่งอยู่ในบ้านของเขา บนโซฟาตัวที่เขาชอบนอนเล่น เมื่อภาพนั้นปรากฏสู่สายตา เป็นไทรู้สึกว่าชีวิตถูกคุกคามแบบไร้ทางหนีรอด ทันใดเขาขลาดกลัว ตัวสั่นทั้งไม่รู้ตัว รู้ตัวอีกทีเขาก็หนีออกมาจากตรงนั้นแล้ว เขาไม่เห็นว่าสายตาของพ่อเป็นอย่างไร แต่คิดว่าอย่างไรมันก็จะเป็นแววตาที่ว่างเปล่า ว่างเปล่าแต่ทำให้เขาเจ็บปวดใจ เจ็บจนที่สุดแล้วต้องจิกขย้ำเนื้อกายให้มันเจ็บปวดยิ่งกว่า

ด้วยเรี่ยวแรงสุดท้าย เป็นไทตัดสินใจกลับไปคุยกับแม่ ถามว่าทำไมต้องทำแบบนี้ ซึ่งหล่อนบอกกับเขาเพียงว่าอยากให้เข้าใจ ตอนนั้นเองที่เป็นไทอยากจะหัวเราะออกมา เข้าใจกันอย่างนั้นหรือ? แล้วแม่ล่ะเคยเข้าใจเขาบ้างไหม? ความทุกข์ทรมานของเขาน่ะเข้าใจบ้างไหม?

แต่เป็นไทก็ไม่ได้ถามถ้อยเหล่านั้นออกไป อีกครั้งที่เขาเก็บงำในใจเพราะรู้ดีว่าต่อให้พูดอะไรออกไปแม่ก็จะไม่มีวันเข้าใจเขา แม่ที่ขบคิดเรื่องราวต่างๆ แค่ในมุมของตัวเองและเพื่อตัวเอง

พลันคิดขึ้นมาว่าอาจต้องเจอชายคนนั้นอีกครั้ง หรืออาจจะนับครั้งไม่ถ้วนตราบที่แม่ยังไม่เข้าใจเขา เป็นไทก็ยิ่งจมดิ่งลงไปเรื่อยๆ และตอนที่เหมือนจะขาดอากาศหายใจ ห้วงคำนึงหนึ่งก็ดึงดันเขาให้ตะเกียกตะกายขึ้นไป

ห้วงคำนึงที่มีใจเย็นอยู่ในนั้น

ทั้งที่ไม่รู้ว่าถ้าไปพบหน้าแล้วจะกลายเป็นว่ายิ่งจมลงไปอีกไหม บางที อาจจะถูกฉุดดึงถึงก้นเหวห้วงทะเลด้วยซ้ำ

แต่นั่นแหละ เขายอมแพ้แล้ว

อีกครั้งที่ฝนตกในยามเย็นให้เหยียบย่ำบนทุลักทุเล ตกลงมาเหมือนกลั่นแกล้งหรืออาจจะรั้งเตือนเพราะอย่างไรก็เป็นฝนกลางเมษา กระนั้นเป็นไทก็ไม่คิดวกกลับ อีกทั้งเขารู้สึกว่าไม่มีที่ให้กลับไป ไม่มีที่ไหนเป็นของเขา แม้ปรายจะให้อภัยเขาได้ซึ่งทุกอย่าง แต่เขาก็ละอายกับสิ่งที่ตนเองเคยทำเกินกว่าจะกล้าพูดความทุกข์ใจให้ฟัง

พลันห้วงคิดถูกขัดด้วยสั่นเตือนจากโทรศัพท์มือถือ วูบแรกเป็นไทคิดว่าคงเป็นแม่ แต่เมื่อชื่อบนหน้าจอปรากฏเป็นอื่น เขากลับรู้สึกเหมือนจะร้องไห้ ง่ายดายเพียงนั้น

“เป็นไทอยู่ไหนครับ”


และรู้สึกว่าต้องเก็บกลั้นเสียงสั่นเครือกับคำถามโง่ๆ แค่นั้น หรืออาจจะเป็นเสียงที่เขาไม่ได้ยินมาสักพักแล้ว อะไรก็ตามแต่ เป็นไทเงียบอยู่นานก่อนจะเอ่ยออกไปเป็นคำโกหกว่าผ่านแถวคอนโดของใจเย็นพอดี

“งั้นเหรอ เดี๋ยวผมออกไปรับ”

“...รับทำไม”

“มีเรื่องอยากให้ช่วยสอน ฟิสิกส์น่ะครับ”

เป็นไทจำไม่ค่อยได้นักว่าตอบรับไปว่าอย่างไร แต่สรุปแล้วใจเย็นก็ขับรถออกมารับเขาที่อยู่ใกล้ๆ ให้ไม่ต้องเปียกปอนเหมือนครั้งที่แล้ว ท่ามกลางสายฝนในรถยังบรรเลงเพลงแจ๊ส และบรรยากาศนั้นก็ทำให้เป็นไทเผลอคิดว่ามันจะอวลไปด้วยข้ออ้างที่ไม่ใช่ของเขาฝ่ายเดียว

ข้ออ้างที่ว่าอยากเจอ

อีกแล้วที่กลิ่นชาคาโมมายล์นวลอยู่ในห้องของใจเย็นเมื่อเขามาถึง – เพราะเป็นไทไม่ชอบกินกาแฟ – เขาจำได้ และพลันคิดถึงกลิ่นดอกไม้ที่บ้านใจเย็น คิดถึงดอกสวีทพีประจำเดือนพฤษภาคมของทุกปี แต่ปีนี้อาจจะไม่ได้เห็นมันปักอยู่ในแจกันแก้วของซุ้มม่านบาหลีอีกแล้ว

“ที่บ้านเป็นไงบ้าง”

พลันหลุดถามออกไปในตอนที่ใจเย็นถือถ้วยชามาวางบนโต๊ะกาแฟตัวเดิม และนั่งลงข้างเขา รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงฝนทั้งที่ชั้นสูงของคอนโดนั้นไร้สุ้มเสียงเพียงเพราะใจเย็นเงียบอยู่ชั่วครู่ –  ไม่สิ – เงียบอยู่นาน นานจนเป็นไทนึกร้าวขึ้นมาว่าเขาอาจไม่มีสิทธิ์ถามอะไรแบบนี้อีกแล้ว

“ไม่กี่วันก่อน ผมเพิ่งพาแม่ไปขึ้นศาล”

แต่ความกังวลคลายลงเมื่อใจเย็นตอบออกมา และเป็นคำตอบที่เขาไม่คาดไว้เลยว่าจะได้ยิน เพราะเหมือนใจเย็นกำลังบอกเขาเลยว่าพยายามอยู่ พยายามเผชิญหน้ากับความจริงอย่างสุดความสามารถ

“แล้ว...คิดว่าอีกนานไหมกว่ามันจะจบ”

“นาน อีกนานเลยครับ”

ใจเย็นตอบ ย้ำคำ จนเป็นไทไม่แน่ใจว่าใจเย็นหมายถึงในระยะเวลา หรือในความรู้สึก

“เป็นไทจำที่แม่บอกกับผมได้ไหมครับ เรื่องรักเดียวใจเดียว”

“อืม จำได้”

จำได้ดีที่ใจเย็นไม่เข้าใจ – เขางำคำนี้ไว้ในใจ ปล่อยกลิ่นคาโมมายล์ที่เพิ่งจิบให้อวลในลำคอ กลบกลิ่นปวดร้าวที่แล่นแปลบปลาบเหมือนวาบแสงของท้องฟ้าที่ฝ่าผ่านเมฆหม่นมืด

“ความหมายของรักเดียวใจเดียวที่แม่บอก คือการที่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเจ็บปวดจึงมีความยับยั้งชั่งใจไม่ทำ” ใจเย็นทวนถ้อยนั้น ท้องฟ้ามืดลงอีกเฉด "“ผมไม่เข้าใจคือทำไมต้องยับยั้งชั่งใจ ถ้าต้องยับยั้งก็แปลว่ามันมีความรู้สึกไม่ดีเกิดขึ้นแล้วไม่ใช่เหรอ และเพราะเรากลัวจะยับยั้งมันไม่ได้จึงตั้งเงื่อนไขขึ้นมาป้องกัน แบบนั้นเป็นความหมายของคำว่ารักเดียวใจเดียวจริงๆ เหรอ”

ท้องฟ้ามืดสนิทเมื่อสิ้นสุดคำถาม มากมาย ละเอียดลออ แบบที่ใจเย็นเป็นเสมอมา บ่อยครั้งที่เป็นไทรู้สึกว่าคำถามของใจเย็นนั้นตอบยาก ครั้งนี้ก็เช่นกัน ทั้งที่เขาอยากจะไขข้อข้องใจให้ทุกอย่าง อยากให้อีกฝ่ายไม่ต้องตกอยู่ในมืดดำของความสงสัย แต่เขาก็ไม่รู้จะกลั่นกรองออกมาอย่างไรดี

ขณะเดียวกัน ละเอียดลออของคำถามก็แทรกซึมกัดเซาะลงในความเข้าใจของเป็นไท ไม่ใช่ว่าเขายอมแพ้ แต่เขาแค่เข้าใจ เข้าใจว่าทำไมใจเย็นถึงเป็นใจเย็นคนนี้ เหมือนว่าต่อให้ความคิดจะผิดแผกแปลกแยก แต่ก็พยายามแล้ว พยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะเข้าใจผู้อื่น ไม่ใช่แค่ทำตามที่คนอื่นเห็นว่าดีทั้งที่ไม่เข้าใจอะไรเลย

เพราะแบบนี้เขาถึงโกรธไม่ลง

โกรธไม่ลง ทั้งที่ปวดร้าวทรมาน

“แล้วเป็นไทล่ะ เป็นยังไงบ้าง”

“ไว้สอนเสร็จก่อนละกัน จะให้สอนฟิสิกส์ไม่ใช่เหรอ”

อาจเพราะตั้งตัวไม่ทันจึงทำให้เขายกไปไว้ทีหลัง ซึ่งใจเย็นก็เออออยอมตามก่อนจะลุกไปหยิบชีทเรียนมาให้ เป็นวิชาฟิสิกส์เบื้องต้นที่ไม่เกินมือเขานัก แต่ดูจากการจดสะเปะสะปะในชีทและคำตอบที่เว้าแหว่งก็ทำให้รู้ว่าใจเย็นก็ยังคงไม่ชอบวิชาเกี่ยวกับคำนวณอยู่ดี

และอีกอย่างที่เหมือนเดิม ก็ดูจะเป็นการจับจ้องตอนที่เขากำลังใช้ความคิด

เป็นไทรู้สึกมาตลอดว่าใจเย็นชอบจ้องเขา แม้จะพยายามไม่ให้รู้ตัวแต่ก็รู้สึกได้ ตอนนี้เองก็เหมือนกัน และอาจเพราะใจเขาอ่อนแอกว่าปกติ ความประหม่าจึงครอบงำ ก่อนจะสั่นสะเทือนด้วยคำถามสั้นๆ ของใจเย็น

“ไม่ควงปากกาเล่นแล้วเหรอครับ”

“ขี้เกียจ”

และเขาก็ตอบไปสั้นๆ ทั้งที่อยากถามกลับไปว่าเขาทำแบบนั้นตอนใช้ความคิดตลอดเลยหรือ รู้สึกว่ามันเป็นอีกเรื่องเล็กๆ ที่ใจเย็นสังเกตเขา สังเกตกระทั่งเรื่องที่ไม่รู้ตัว ซึ่งนั่นยิ่งทำให้จิตใจของเขาสั่นคลอนวอนไหว

“มึงยังชอบกูอยู่ไหม”

แล้วพลัน –  พลันสร้างผลกระทบเป็นวงกว้าง คล้ายผิวน้ำที่มีอะไรหล่นลงไป เกิดเป็นวงน้ำพรั่นกระเพื่อมต่อกันเป็นทอดๆ รวดเร็ว เงียบงัน แต่สั่นระริกในแววตาของอีกฝ่าย

วินาทีนั้นเป็นไทจึงรู้ตัว รู้อย่างไม่เคยมีสติรู้ขนาดนี้มาก่อนว่าเขาพลาดที่ถามมันออกไป ต่อให้จะพ่ายแพ้แล้วซึ่งทุกอย่างก็ไม่ควรถามออกไป

“ช่างมัน—”

“เคยไม่ยอมรับว่าผมชอบไม่ใช่เหรอครับ”

ใจเย็นถามกลับอย่างไม่ยอมให้เขาปล่อยผ่าน และเป็นไทก็ได้เห็นแววตาแบบที่เขาทั้งชอบทั้งชัง แววตาที่จ้องทะลุทะลวงราวจะล้วงทุกความลับในรู้สึก แววตาที่ตรงข้ามกับแววตาว่างเปล่าของพ่อโดยสิ้นเชิง

ก็ใช่ –  เขาตอบออกไป อยากให้เสียงดังแต่มันกลับแผ่วเบา เหมือนว่าเขาเถียงไม่ได้ เหมือนว่าที่เคยคิดว่าแพ้แล้วซึ่งทุกสิ่ง ตอนนี้เขาแพ้ยิ่งกว่านั้น แพ้อย่างราบคาบ และหมดรูปให้กับจูบที่ประทับลงมาอย่างแผ่วเบา

อีกแล้ว – ทั้งที่คิดแบบนี้แต่มันแตกต่างจากจูบที่เคยได้รับโดยสิ้นเชิง มันค่อยๆ พรมลงมา แนบชิด เนิบช้า อบอุ่นนุ่มนวลจนรู้ตัวอีกทีก็ถูกเปิดปากให้ความร้อนแทรกซึมเข้ามา แม้ไม่ได้บดเบียดบังคับ แต่ละเลียดละเอียดลออก็ทำให้รู้สึกคล้ายจะถูกเก็บกลืนไปหมดทั้งตัวตน กระทั่งอากาศอัตคัดขัดสน เขาส่งเสียงท้วง หากแม้แต่เสียงก็เหมือนถูกดูดกลืนไปด้วย นาน กว่าที่ใจเย็นจะยอมผละออกไป ปล่อยเขาหายใจก่อนกลับมาประทับจูบอีกครั้ง

ครั้งนี้นุ่มนวลเลือนหาย กลายเป็นร้อนรนกระเสือกกระสนตะกรุมตะกราม ดื้อรั้นดึงดันด้วยขบงับแผ่วเบาบนริมฝีปาก เขาผลักออก แต่ถูกผลักกลับมาแรงยิ่งกว่าให้แผ่นหลังกระแทกลงบนเบาะโซฟา แล้วใจเย็นจึงยอมถอนจูบ แต่ก็แค่จากริมฝีปาก เพราะเปลี่ยนไปพรมย้ำบนต้นคอ ขบเม้มให้เป็นรอยคล้ายตีตรา แล้วไล่กลับขึ้นมาจูบที่สันกราม คาง กระทั่งใบหู ได้ยินจังหวะหายใจชัด เร่งเร้า ร้อนรน ระคนสับสนทรมานจากตัวเขาเอง

แล้วเป็นไทก็รู้สึกว่าตนเองยิ่งจมลงไป จมลงไป มันเป็นอย่างที่เขาคิดว่าจะแหลกสลายกว่าเดิม จะจมลงไปถึงสุดเหวทะเล และเขาก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ปล่อยความพ่ายแพ้ให้ยิ้มเยาะอยู่ตรงหน้า – ไม่สิ – ความจริงเขาจะหนีออกไปก็ได้ หนีจากสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยคำถามแต่ไร้คำตอบ หนีจากสัมพันธ์ที่ละเอียดลออไปด้วยความเจ็บปวด และละเมียดละไมทางความทรมาน แต่ว่า – แต่ว่าเขาก็ถลำลึกเกินจะวกกลับแล้ว เพราะฉะนั้น จะเจ็บปวดก็ได้ จะทรมานก็ได้ ขอแค่ได้อยู่ตรงนี้ พลันได้ยินเสียงหัวเราะของความพ่ายแพ้ดังลั่น

“เป็นไท”

ก่อนจะถูกกลบกลืนด้วยเสียงเรียกของใจเย็น เป็นไทรู้สึกเหมือนได้สติ แต่ก็ไม่เต็มสตินัก

“รู้ไหม ผมน่ะอยากเห็นทุกๆ สีหน้าของเป็นไทมาตลอด”

เพราะเขาไม่รู้ว่าที่ใจเย็นพูดนั้นหมายถึงอะไร

“แม้แต่ตอนกลัว”

กระทั่งมือของเขาถูกอีกฝ่ายจับขึ้นมา พลันสัมผัสได้ถึงความสั่นเทาในนั้น

เขากำลังกลัว

“ตอนร้องไห้”

มือของใจเย็นเอื้อมมาปาดน้ำตาบนใบหน้าที่เขาไม่รู้เลยว่าน้ำตารินรดลงมาเมื่อไหร่ รู้แค่ว่าตอนนี้มันพร่าเบลอจนไม่รู้ว่าแววตาของคนตรงหน้าเป็นอย่างไร พลันใจเย็นซบลงมาข้างไหล่ ให้ได้ยินเสียงพร่ำพูดดังชัด ชัดจนเหมือนดังก้องกังวานไปทั้งโสตประสาต

“คิดว่ามันต้องรู้สึกดีมากที่ได้เห็น”

รู้สึกตัวในตอนนั้นเองว่าเขาเจ็บเหลือเกินที่ใต้อกข้างซ้าย

“แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม”

“ทำไมล่ะ...”

“ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังแหลกสลายตามไปด้วย”

ใจเย็นเงยขึ้นมามองหน้าเขาอีกครั้ง ภาพยังคงพร่าเบลอก่อนที่มืออุ่นของอีกฝ่ายจะปาดน้ำตาให้เลือนหาย

“แล้วคนอย่างผมก็คงบอกกับเป็นไทไม่ได้หรอกว่า...อย่าร้องไห้เลย”

พลันร้าวลึกเหมือนท้องฟ้าที่กำลังร้องไห้ส่งสายฟ้าฟาดลงกลางใจของเขา ให้มอดไหม้ทั้งที่เปียกปอนก่อนแตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ตัวตนของคนตรงหน้าเขาเองก็ด้วย แตกออกเป็นเสี่ยงไม่มีชิ้นดีและไม่รู้จะประกอบคืนได้อย่างไร ทรมาน ทรมานจนไม่รู้แล้วว่าต้องทำอย่างไรถึงจะหนีพ้น หนีจากห้วงเหวของทะเลน้ำตา แต่แล้วคำพูดต่อมาของใจเย็นก็เหมือนฉุดดึงเขาขึ้นไปช้าๆ ให้ค่อยๆ เห็นแสงสว่างของผิวน้ำที่ไม่ได้เห็นมานาน แม้กระนั้นเขาก็ร้องไห้ออกมา แต่มันเป็นน้ำตาที่สิ้นสุดแล้วซึ่งการเก็บกลั้น เป็นน้ำตาที่เหมือนได้ยินเสียงบอกว่าไม่เป็นไรถ้าจะร้องไห้ออกมา ต่อหน้าคนคนนี้

“ที่ผมทำได้มีแค่แตกสลายตาม เพราะงั้นต่อให้เป็นไทจะแหลกจนกลายเป็นฝุ่นผง ผมก็จะกลายเป็นฝุ่นแล้วปลิวตามไป”










*****************************************************************************
 :heaven ตอนนี้เลือดตาจะกระเด็น รักกันชอบกันเม้นเป็นกำลังใจหน่อยนะคะ 55
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-08-2017 10:13:10 โดย แยมส้มขมคอ »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
โอ้ จะว่ายังไงดี คือก็สงสารเด็กน้อย (ถึงอายุไม่เด็กแต่ไม่รู้อะไรที่ทำให้เรามองว่าทั้งคู่ยังเด็ก) สองคนนี้นะ
แต่บทนี้อ่านแล้วรู้สึกว่าไม่โดดเดี่ยว (มีเพื่อนทุกข์ไปด้วยกัน)
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ FeaRes

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
ไม่ร้องน้าาาา เป็นไทไม่ร้องนะ ; w ; //โอ้ๆ
สงสารทั้งคู่เลย จะเป็นไทหรือใจเย็นก็น่าสงสารร หน่วงๆ
แบ่งปันความรู้สึกกันนะ ปรับตัวเข้าหากัน ทีละนิดๆ

ออฟไลน์ Atroce

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สนุกากค่ะ เจ็บปวดดี

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ใจปลิวตามไปด้วย

ออฟไลน์ drasil

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1690
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +95/-1
เป็นตอนที่บีบคั้นความรู้สึก แต่จบได้โล่งมากเลยค่ะ รู้สึกเหมือนอะไรๆกำลังจะดีขึ้น (หรือเปล่านะ 5555)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เวลาจะทำให้ทุกเรื่องทุกอย่างดีขึ้นนะ อดทนกันอีกนิดนะเด็กๆ

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
เพราะการวางตัวเป็นคนนอกทำให้เราเจ็บปวดน้อยกว่า มันง่ายกว่าที่จะบอกกับตัวเองว่ามันไม่ใช่เรื่องของเราและไม่เข้าไปยุ่ง

เพราะเราวางตัวเป็นคนนอกมาตั้งแต่แรก เลยไม่มีวันได้เป็นครอบครัวอย่างแท้จริง

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ชอบตอนนี้ รู้สึกชอบที่เป็นไทเจ็บปวดนะ ก็เป็นคนธรรมดานี่นา

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7515
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เป็นไท  ที่เจ็บปวดรวดร้าวในใจ เหมือนจมลงไปในความทุกข์
แล้วใจเย็นก็แทรกเข้ามา

ยิ่งใจเย็นที่พูดว่ายินดีจะแหลกสลายเป็นผุยผงตามเป็นไท
ใจเย็น ได้ฉุดดึงเป็นไทขึ้นไปจากทะเลน้ำตา
ทำให้เป็นไท เห็นแสงสว่างของผิวน้ำที่ไม่ได้เห็นมานาน

มันยอดมาก ที่มีคนอยู่ข้างๆเรา ขณะที่เรามีความทุกข์
เข้าใจเรา จากที่ทุกข์อยู่คนเดียวมาตลอด
แม้เขาจะช่วยอะไรเราไม่ได้
เป็นไท ยอมรับแล้วใจเย็น  :hao5:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
คนบอบช้ำสองคนจะเข้าใจกันและกัน มันก็น่าจะดี
พร้อมจะนับหนึ่งไปด้วยกันหรือยัง  :heaven

ออฟไลน์ mam79

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ฮือออออ สงสาร รีบๆปรับความเข้าใจแล้วคบกันทีเถอะะะะ

ออฟไลน์ basbas

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 15
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เราตามอ่านเรื่องนี้มาก็นานแต่ยังไม่เคยได้มาเมนท์สักที ตามจริงเราสงสารแม่ของใจเย็นมากเพราะต้องทนกับสามีและอยากให้ใจเย็นเข้าใจด้วยว่าการที่แม่ทำแบบนั้นไม่ใช่การโกหกแต่เพื่ออยากให้ลูกโตมาในครอบครัวที่อบอุ่นแต่เราก็เข้าใจ ใจเย็นนะ เพราะการที่โตมาในครอบครัวที่พ่อเป็นแบบนี้แถมยังไม่นับตอนที่แม่เห็นพ่อควงผู้หญิงอื่นอีก เราเชื่อว่าจะผ่านไปได้และสองคนจะเรียนรู้จากกันและกัน.... :mew4: :mew4:

ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
เพิ่งมีโอกาสมาอ่าน
.
.
.
.
.
บีบคั้น เศร้าสร้อย สวยงาม เช่นเคย
ส่งใจให้ครับ

ออฟไลน์ papapajimin

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 294
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
ชอบประโยคสุดท้ายของใจเย็น ขนลุกเลยอ่ะ
ตอนนี้ก็ยังคงความหน่วง ความเศร้า ดิ่งลงไปในทะเล
แต่ว่าก็จะฉุดให้ขึ้นมาจากน้ำแล้วนี่ พยายามกันเข้าน้าา

ออฟไลน์ แยมส้มขมคอ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-2
32 – เกษรา


เกษรา มาจากชื่อหญิงงามในวรรณคดี แต่ด้วยความหลงใหลที่มีให้มวลหมู่ดอกไม้ เกษรานึกอยากเปลี่ยนชื่อเป็น ‘เกสรา’ ที่แปลว่า ‘เกสรดอกไม้’ อยู่บ่อยครั้ง กระทั่งชายหนุ่มคนหนึ่งบอกว่าชอบชื่อของหล่อน ชื่อที่สะกดแบบนี้ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น เขาชอบมันไม่ต่างจากตัวตนของหล่อน ชอบทุกอย่างที่หล่อนเป็น นับแต่นั้นเกษราจึงไม่คิดเปลี่ยนชื่ออีก

ชายหนุ่มคนนั้นคือพิทักษ์ หรือที่ใครหลายคนก็เรียกกันว่าคุณพิทักษ์ หนึ่งในทายาทของตระกูลนักธุรกิจเก่าแก่และยังติดอันดับต้นๆ ของประเทศ เริ่มแรกที่พบกันเกษราไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร รู้แค่ว่าเป็นหนึ่งในแขกที่เดินทางมาเยี่ยมชมไร่ดอกไม้ที่เป็นกิจการของตระกูลทางฝั่งแม่หล่อน ตอนนั้นหล่อนที่ยังเป็นเด็กสาวก็ต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้ม ต่อให้เขาจะเปรยทำนองว่าไม่ค่อยเข้าใจความงามของดอกไม้นักก็ตาม

“บางทีถ้าอยากเห็นความงามของดอกไม้จริงๆ คงต้องลองปลูกมันด้วยมือตัวเองสักต้นล่ะมั้งคะ ได้เฝ้ามองมันตั้งแต่ยังเป็นยอดอ่อน ค่อยๆ เติบโตกระทั่งออกดอกและผลิบาน ตอนนั้นแหละที่อาจเห็นว่ามันสวยกว่าดอกไม้ทั้งสวนนี่เสียอีก”

เกษราออกความเห็นไปตามที่รู้สึก ก่อนกระดากอายขึ้นมาเมื่อคิดว่าคนฟังคงรู้สึกว่าหล่อนฟุ้งฝัน แต่ชายหนุ่มก็ยิ้มและเอ่ยบอก

“ถ้าอย่างนั้นผมคงเห็นมันสวยกว่าที่เธอว่าสักสองเท่า”

“ทำไมล่ะคะ”

“ผมเป็นคนใจร้อน ไม่น่าจะอดทนรอได้”

ได้ฟัง เกษราก็ยิ้ม ด้วยไม่รู้สึกว่าคุณพิทักษ์คนนี้จะดูใจร้อนตรงไหน เขาดูเป็นชายหนุ่มท่าทางภูมิฐาน มีมาดความเป็นผู้นำ ซึ่งเกษราก็จดจำไว้เพียงเท่านั้น เพราะไม่คิดว่าจะได้พบกันอีกเป็นครั้งที่สอง

แต่เมื่อได้พบ หล่อนกลับจำเขาได้ดี

อีกครั้งที่เกษราไม่รู้ว่าคุณพิทักษ์เป็นใคร ไม่รู้ว่าเขาเป็นเจ้าของตึกที่หล่อนเช่าเพื่อจัดแสดงงานศิลปะของตนเอง คุณพิทักษ์บอกกับเกษราว่าภาพวาดของหล่อนอ่อนช้อยเหมือนดอกไม้ เกษราได้ฟังก็คิดว่าเป็นแค่คำหวาน ไม่คิดว่าเขาจะเข้าใจความงามของดอกไม้ กระทั่งวันที่คุณพิทักษ์ส่งดอกกุหลาบมาให้พร้อมซองจดหมายที่บรรจุรูปถ่ายของต้นกุหลาบตั้งแต่ยังไม่ออกดอกมาให้นั่นแหละ เกษราถึงรู้ว่าคุณพิทักษ์ปลูกมันเองกับมือตั้งแต่ได้พบหล่อนเป็นครั้งแรก

นั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด และไม่นานหลังจากนั้น ก่อนที่พ่อของเกษราจะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง การแต่งงานระหว่างหล่อนกับคุณพิทักษ์ถูกเร่งให้เร็วขึ้น ให้ผู้เป็นพ่อได้เห็นลูกสาวยิ้มแย้มในชุดเจ้าสาวและเข้าสู่ตระกูลอัครเสนีย์อย่างเต็มตัว พร้อมกับเริ่มถูกเรียกว่า ‘คุณเกษรา’ นับแต่นั้น

ซึ่งถ้าหากว่าพ่อของคุณเกษราได้รู้ล่วงหน้า การไม่แต่งงานกับคุณพิทักษ์อาจกลายเป็นสิ่งสุดท้ายที่พ่อขอก่อนตาย

และเพราะเรื่องราวที่หอมหวานกลับกลายเป็นขมตรมเมื่อระลึกถึง คุณเกษราจึงไม่เคยเล่าเรื่องเหล่านี้ให้ใจเย็นฟัง ไม่กระทั่งบอกว่ากุหลาบที่คุณพิทักษ์เคยปลูกและไม่ได้ใส่ใจมันอีกแล้วยังคงเติบโตอยู่ที่มุมหนึ่งของสวนบ้านอัครเสนีย์  ดังนั้นวันที่ใจเย็นเด็ดดอกไม้แทบครึ่งค่อนสวนไปโปรยเล่นกับทันใจ คุณเกษราจึงดุด่าเกินเหตุผลไม่ได้ หล่อนได้แค่บอกไปว่า ของบางสิ่งบางอย่างก็มีไว้เพียงชื่นชมเท่านั้น

โดยไม่คิดเลยว่า สิ่งที่หล่อนพร่ำสอนไปจะถูกย้อนกลับมาถามถึงในตอนที่ใจเย็นโตแล้ว

ใช่ ใจเย็นโตเป็นหนุ่มแล้ว

คุณเกษราคิดขณะจ้องมองใจเย็นที่นั่งอยู่ตรงหน้า ในร้านกาแฟของคอนโดที่หล่อนย้ายมาอยู่ชั่วคราวระหว่างสู้คดี หล่อนรู้สึกเหมือนเพิ่งได้มองลูกชายของตัวเองให้ชัดเต็มตา เต็มความรู้สึกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฟ้องหย่าคุณพิทักษ์ แม้ใจเย็นจะไม่ได้อยู่ในชุดนักศึกษา แต่ก็ไม่ได้อยู่ในชุดเสื้อยืดคอกลมแขนยาวที่ชอบใส่ หากเป็นเสื้อเชิ้ตที่หล่อนเคยคะยั้นคะยอนักหนาว่าดูดีกว่า และก็จริงดังที่คิด ลูกชายของตนตอนนี้ดูภูมิฐานไม่ต่างจากคุณพิทักษ์ ทั้งยังดูนิ่ง สงบ และเยือกเย็นกว่าด้วยซ้ำ

เขาโตเป็นหนุ่มแล้ว

คุณเกษราคิดซ้ำอีกครั้งหลังสบตาใจเย็น ที่แม้เป็นลูกชายตนเองแต่หลายครั้งก็อ่านยากว่าคิดอะไรอยู่ หากอย่างน้อย – อย่างน้อยหล่อนก็รู้ว่าก่อนหน้านี้ใจเย็นโกรธหล่อน แต่หล่อนก็คิดโทษตัวเองมาตลอดว่าสาสมแล้ว สาสมแล้วกับที่เคยหลอกลวงคนคนหนึ่งมายาวนานเทียมเท่าทั้งชีวิตของเขาเอง

ดังนั้น การที่ใจเย็นเอ่ยบอกว่าอยากพบ หล่อนจึงรู้สึกเหมือนจะร้องไห้ออกมาได้ตลอดเวลา

“สำหรับแม่ รักคือการครอบครองใช่ไหมครับ”

และพาลปวดแปลบแสบร้าวเมื่อถูกถามถึงสิ่งที่เคยลวงหลอก หล่อนรู้สึกว่าความผิดนั้นถูกตอกย้ำ ขณะเดียวกันก็ได้รับโอกาสในการแก้ไขไถ่โทษ กระนั้น – กระนั้นคุณเกษราก็ไม่รู้ว่าควรตอบออกไปอย่างไร ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ในเมื่อความรักดูเป็นเรื่องซับซ้อนเหลือเกิน ทั้งหล่อนเองก็ยังคงรักคุณพิทักษ์อยู่ ใช่... รัก รักทั้งที่ถูกทำร้ายให้เจ็บปวดใจอย่างสุดแสน รัก ทั้งที่หัวใจที่เคยได้รับเต็มดวงกลับถูกยื้อคืนและบิแบ่งให้ใครต่อใคร รัก ทั้งที่รู้ว่าเขาเป็นแบบนั้น

และรัก ทั้งที่กำลังจะตัดออกไปให้พ้นจากชีวิต

แล้วจะให้ตอบออกไปอย่างไรหรือถึงจะครอบคลุมที่สุด? ต้องตอบออกไปอย่างไรหรือถึงจะเข้าใจ?

“บางที... ที่สุดแล้วความรักอาจเป็นการปล่อยไปไม่ครอบครองก็ได้”

คุณเกษรานึกหวั่นที่จะต้องเผชิญกับแววตาของใจเย็น พลันอ่านออกว่าแววตานั้นไม่แม้จะเข้าใจคำตอบ และวินาทีถัดมานั้นเองที่หล่อนถูกถามถึงดอกไม้ในสวนที่เคยบอกใจเย็นว่าอย่าไปเด็ดดึง และนำมาครอบครองเป็นของตัวเอง

“ถ้าอย่างนั้น...ดอกไม้ก็ไม่ใช่สิ่งที่แม่รักหรือเปล่าครับ ในเมื่อแม่ก็มีแจกันไว้ใส่ดอกไม้ที่ตัดมาอยู่เต็มบ้าน”

ได้ฟัง หล่อนก็พลันนึกถึงเรื่องที่ว่าต้นไม้นั้นมีความรู้สึก ทุกครั้งที่ถูกเหยียบย่ำ ทิ่มแทง หรือขบเคี้ยวกัดกลืน ต้นไม้จะกรีดร้องในเดซิเบลที่ไม่มีใครหรือสิ่งมีชีวิตใดได้ยิน คุณเกษรานึกไปถึงดอกไม้ในสวนของบ้านอัครเสนีย์ ดอกไม้ที่ตนเคยตัดฉับเข้ากลางลำต้นเพื่อนำมันมาปักในแจกัน ไม่รู้ทำไมตอนนี้หล่อนรู้สึกเหมือนตนเองเป็นดอกไม้ดอกนั้น ดอกไม้ที่เคยบอกกับลูกชายว่าห้ามไปเด็ดไปดึง และมันก็กำลังกรีดร้องร่ำไห้ด้วยเสียงที่ไม่มีใครได้ยิน

ขณะเดียวกัน สิ่งที่พยายามเข้าใจมาตลอดก็กลับกระจ่างชัดขึ้นมาจนน่าตลก

“ใจเย็น”

คุณเกษราเอ่ยเรียกชื่อลูกชายที่ตั้งจากชื่อสัตว์เลี้ยงที่หล่อนรักและให้เกียรติมันเทียมเท่าคนซื่อสัตย์คนหนึ่ง สูดหายใจเข้าออกเนิบช้า และลึก ลึกพอที่ใต้อกข้างซ้ายจะรู้สึกถึงความรักและกลั่นกรองมันออกมาเป็นคำพูดที่เปี่ยมด้วยปรารถนาว่าใจเย็นจะเข้าใจ

“รู้ไหมว่าหลายครั้ง...ความรักก็ชี้นำเราไปในทางที่ไม่ถูกไม่ควร แต่แม่ไม่เชื่อหรอกว่าทุกคนที่เด็ดดอกไม้มาใส่แจกันจะไม่มีใครรักดอกไม้เลย เพราะรักแล้วก็ย่อมกลัวเหมือนกันหมด เช่นว่าถ้าเราไม่เด็ดมาเก็บไว้เอง ก็จะมีคนแย่งไปอยู่ดี หรือไม่ก็อาจจะกลัวว่าดอกไม้จะถูกเหยียบย่ำจนหมดความงดงาม อย่างไรซะมันก็เป็นความกังวลที่เกิดจากความรักทั้งนั้นเลย”

หล่อนเอ่ย เนิบช้า เบาบางแต่หนักแน่น จากความรู้สึก จากความรักในรูปแบบที่หล่อนมีให้คุณพิทักษ์ตลอดมา

“ขณะเดียวกัน คนที่ไม่เด็ดดอกไม้ ปล่อยให้ผลิบานและงดงามตามธรรมชาติ ใครต่อใครก็ได้เห็นความงามของมัน และก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องชื่นชมมันแค่เพียงดอกเดียว นั่นก็เป็นความรักเหมือนกัน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ขึ้นกับการตัดสินใจของดอกไม้นะรู้ไหม ว่าจะยินดีถูกตัดและย้ายไปอยู่ในแจกันเพราะกลัวถูกเหยียบย่ำทำร้าย หรือจะผลิบานอยู่ข้างทางไม่ต้องถูกขังไว้ในแจกัน”

ถึงตรงนี้น้ำเสียงของหล่อนเริ่มสั่นเครือ ทั้งที่หล่อนพยายามจะไม่นึกถึงอะไรที่ไม่จำเป็น พยายามจะไม่นึกถึงความรักที่คุณพิทักษ์เคยมีให้และยังมีให้ อา ให้ตายเถอะ คุณเกษราพูดในใจกับตัวเองเช่นนั้น ลึกๆ หล่อนรู้ตัวว่าคุณพิทักษ์ยังรักหล่อน แม้เป็นความรักที่บิดเบี้ยวและถูกบิแบ่งให้ใครต่อใครไปแล้วก็ตาม พลันความปวดร้าวถูกลดจางลงเมื่อใจเย็นเอื้อมมือมาจับมือของหล่อนเอาไว้ และบีบเข้ามาเบาๆ จนหล่อนยิ้มออกมา ไม่แน่ใจว่าฝืนยิ้มหรือเปล่า แต่ก็อยากจะยิ้ม และพูดให้จบถึงสิ่งที่ต้องการจะสื่อ

“มันไม่มีอะไรผิดเลยใจเย็น รักแบบไหนก็ไม่ผิดเลย ความรักทุกรูปแบบมีเงื่อนไขในตัวมันเองทั้งนั้น”

เอ่ย พลางประคองน้ำตาไม่ให้รินไหลออกมาจนกว่าจะถึงประโยคสุดท้าย

“เราแค่ต้องหาคนที่อยู่บนเงื่อนไขเดียวกันกับเราเท่านั้นเอง”

เพราะทุกอย่างมันก็แค่คุณพิทักษ์ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขเดียวกันกับหล่อนก็เท่านั้นเอง

ไม่แน่ใจว่าน้ำตาเอ่อล้นจนร่วงหล่นลงมากี่หยาดหยด มันอาจจะกลายเป็นเม็ดฝนบนมือของใจเย็น หล่อนจึงไม่รู้ว่าร้องไห้มากแค่ไหน แต่หล่อนก็ยังมีสติพอจะได้ยินคำพูดแผ่วเบา สั้นง่าย และเป็นคำพูดติดปากของใจเย็น

งั้นเหรอ

คำนั้น ได้ฟัง คุณเกษรายิ้มออกมา แม้ไม่รู้ว่าใจเย็นเข้าใจหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็ยอมตอบรับว่ารับรู้แล้ว ทั้งลูกชายที่เคยโกรธหล่อนก็บีบมือหล่อนเอาไว้อย่างนั้นจนกว่าฝนจากดวงตาจะหยุดลง และน่าแปลกเหลือเกินที่นับตั้งแต่ตอนนั้น คุณเกษราไม่มีสิ่งใดติดค้างคาใจอีก ไม่มีฝนตกจากดวงตาของหล่อน แต่เมฆหม่นนั้นกลับย้ายไปอยู่ที่คุณพิทักษ์เมื่อกระบวนการตัดสินของศาลสิ้นสุด หล่อนชนะคดี และได้หย่าขาดในที่สุด

คุณพิทักษ์ในวันนั้นไม่ได้แสดงท่าทีโกรธอย่างคนใจร้อน ไม่ได้เกรี้ยวกราดที่พ่ายแพ้ แต่เขาแค่เศร้า เศร้าอย่างไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ และแปลกกว่าสามีคนไหนๆ ที่พ่ายแพ้ในคดีความนี้ เขาเดินเข้ามาหาภรรยาที่กำลังจะกลายเป็นคนอื่น และเพิ่งพร่ำคำพูดที่ควรจะพูดและกระทำมาตลอดชีวิต

ผมขอโทษ เกษรา ผมขอโทษ

คุณเกษรา – หรือเรียกให้ถูกในเวลานี้ว่าเกษรา หล่อนแค่รับฟัง ไม่หือไม่อือ ไม่ยิ้มรับหรือร้องไห้ สุดท้ายแค่เดินผ่านมาเฉยๆ ขณะที่ในใจภาวนาจนแทบจะอ้อนวอนให้คุณพิทักษ์พบความสุขในชีวิตที่เหลืออยู่ในบ้านอัครเสนีย์หลังนั้น









*****************************************************************************************

สำหรับแยม ความคิดเกี่ยวกับเรื่องความรักของใจเย็นที่ผ่านมาตลอดเรื่อง ถ้าแยมไม่ได้มีส่วนคิดคล้ายกับใจเย็นบ้าง คงเขียนออกมาไม่ได้เลย และแนวคิดที่ใช้อิงว่ามนุษย์ไม่จำเป็นต้องรักเดียวใจเดียว ก็คือแนวคิดแบบเควียร์ (queer) ค่ะ ซึ่งไม่ใช่แค่การยอมรับเพศที่สาม แต่มันเป็นแนวคิดที่สลายกรอบคิดเรื่องเพศและความสัมพันธ์แบบเดิมไปอย่างสิ้นเชิง ไม่มีอะไรถูก ไม่มีอะไรผิด การจะคบหลายคนก็ไม่ผิด (ถ้าเคยดูเรื่อง Hers น่าจะเห็นภาพอยู่นะคะ และสารภาพว่าดูครั้งแรกแยมโกรธ ไม่เข้าใจ55) และแยมก็มองว่าทุกอย่างอยู่ที่การตกลงกันให้ได้เท่านั้นเลย

ปล. ถ้าเคยอ่านงานคุณวีรพร คงรู้ว่าแยมได้รับอิทธิพลสไตล์ภาษามามากเลยค่ะ เช่นการตัดคำว่า 'การ' และ 'ความ' ออกจากคำนาม อาการนาม และในเรื่องไส้เดือนตาบอดในเขาวงกตของคุณวีรพรมีแนวความคิดแบบ queer ชัดมาก เพียงแต่ในเรื่องนี้แยมมองการดำรงอยู่ของ queer ในอีกทาง อย่างที่บอกว่าทุกอย่างอยู่ที่การตกลงกัน ขนบเดิมก็ไม่ผิด queer ก็ไม่ผิด




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-09-2017 11:59:23 โดย แยมส้มขมคอ »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด