งานในโบสถ์นั้นพิทยกให้ลุงหลวยเป็นคนจัดการ เพราะส่วนหลักๆเขาได้ทำการซ่อมแซมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภาพเขียนในนั้นกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง มันตื่นขึ้นมาบอกเล่าเรื่องราวในอดีตให้คนรุ่นหลังรับรู้อีกครั้ง
ภาพพระพุทธเจ้าที่เส้นวาดเฉียบคมแต่อ่อนโยน ภาพของเหล่าวานรปีนป่านต้นไม้ ภาพยักษ์และเทวากำลังตั้งท่าจะประหัตประหารกัน
และภาพขบวนแห่ของชาวบ้านที่รุจบอกว่าคือเผ่านาคาก็กลับมาโลดแล่นอีกครั้ง
ยังเหลือก็แต่รูปปั้นนั้น รูปปั้นที่ทำให้พิทถึงกับเหงื่อแตก
“ผมคิดดี ไม่มีเจตนาจะลบหลู่ ขอให้ผมได้ซ่อมรูปท่านเถิดครับ” เขาภาวนาในใจก่อนจะค่อยๆเอื้อมมือไปแตะรูปนั้นและพบว่า.....
"ไม่มีอะไรแล้วนี่นา" เขาก้มลงมองจี้ครุฑที่แขวนอยู่ก็อุ่นใจ ก่อนจะลงมือซ่อมนาคตนนั้น
...........................................................................................
ตลอดระยะเวลาสามวันที่เขาทุ่มเวลาตั้งแต่เช้ายันเย็น เป็นผลทำให้รูปปั้นนาคตนนี้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง การมองรูปปั้นนั้นอีกครั้งหลังจากเสร็จสิ้นทำให้พิทขนลุกเกลียวไปทั้งตัว เขาแต้มสีเขียวมรกตลงไปที่ดวงตาของนาคอีก เป็นการย้ำถึงการมีชีวิตอยู่อันทรงพลัง ทันทีที่ปลายพู่กันในมือเขายกขึ้นเพื่อให้รู้ว่าบทสิ้นสุดของการฟื้นคืนชีพของนาคตนนี้ได้มาถึงแล้ว เขาก็รู้สึกถึงพลังบางอย่างที่กำลังดูดกลืนวิญญาณของเขาให้เข้าใกล้อุโมงค์แห่งความหวาดกลัวและสิ้นหวัง ดวงตาน่าหวั่นคร้ามคู่นั้นจ้องมองเขาราวกับจะฉีกร่างเขาเป็นชิ้นๆ
ความรู้สึกของการจ้องดวงตานั้นทำให้พิทรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาจ้องมัน...ไม่ใช่ครั้งแรก และไม่ใช่ครั้งที่สอง
“เรียบร้อยดีมั๊ยโยม” หลวงพ่อเดินมากับเณรน้องที่ตอนนี้ท่าทางของเณรกลับลุกลี้ลุกลน จ้องมองด้านข้างๆพิทก่อนจะหลบหลัง
หลวงตาเหมือนเห็นอะไรบางอย่าง
“ครับหลวงพ่อ” เขาหยิบพู่กันและถังสีขึ้นมา “พรุ่งนี้เช้าผมจะมาเก็บรายละเอียดอีกที แล้วเย็นๆคงขอตัวหลวงตาลากลับ”
“อืม เสร็จเร็วกว่าที่คิดไว้นะ” หลวงตายิ้ม ก่อนจะหันไปพินิจรูปปั้นนั้นอย่างหวาดๆ
“อาตมาขอคุยอะไรกับโยมสักหน่อยเถอะ”