10.“อิ่มแล้วก็พาน้องไปดูสระบัวที่ท้ายสวนสิ”
ผมมองพยักหน้าให้แม่ ก่อนจะตอบ “ช่วยแม่เช็ดจานให้เสร็จก่อน..”
“ไปเถอะ เดี๋ยวแม่ช่วยเอง” แม่มลพูดแทรกขึ้นมาก่อนผมจะพูดจบ “ชวนกันไปทั้งสามคนละ”
“ครับ”
สุดท้ายผมก็ต้องเดินออกมาชวนทั้งน้องมันทั้งเขาไปเดินเล่นที่ท้ายสวยสวนหลังบ้าน และทั้งที่ผมคิดว่าเขาคงจะปฏิเสธแล้วบอกให้ผมไปกับบิ๊กแค่สองคน แต่กลับกลายเป็นว่าตอนนี้เรากำลังเดินไปที่ศาลาริมสระนั่นพร้อมกันสามคน
ไม่เข้าใจว่าเขาทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน หรือเขามาเพื่อตัดปัญหาไม่ให้พวกพ่อแม่สงสัยว่าเรากำลังทะเลาะกันอยู่หรือเปล่า ?
“มีเรือให้พายด้วย” ผมพยักหน้าให้น้องมัน ก่อนจะหันไปมองเขาที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในศาลา “ลงไปพายเรือเล่นกันไหม”
“พายเป็นเหรอ” ผมถาม นึกแปลกใจที่น้องมันทำอะไรแบบนี้เป็นด้วย
“เปล่าอะ ผมกะจะนั่งแล้วให้พี่พายไง”
“...”
“อย่าบอกนะว่ามีเรืออยู่ในบ้าน แต่ไม่เคยพาย”
“อืม” ผมตอบก่อนจะเหลือบมองคนที่มักจะพายเรือให้ผมนั่งเป็นประจำ “ปกติเป็นหน้าที่มีน”
“...”
“จะให้ลองไปขอให้ไหม” ผมถามเมื่อเห็นน้องมันเงียบ “เดี๋ยวพี่..”
“ช่างเหอะ ผมไม่อยากนั่งแล้ว”
“...”
“ไว้ผมไปหัดมา แล้วค่อยพายให้พี่นั่งแล้วกัน”
ได้ยินน้องมันพูดอย่างนั้นผมเลยพยักหน้าสองสามครั้ง เป็นอันรับปากว่าผมจะนั่งไปด้วยหากมันพายเป็นแล้วจริง ๆ “กูจะรอ”
“นั่งลงดิพี่” น้องมันว่าแล้วฉุดแขนผมให้นั่งลงด้วยกัน “สีดูเก่า แต่ไม้มันยังแข็งแรงนะ”
“อืม” ผมครางรับเป็นเชิงว่าเห็นด้วย “ตาเป็นคนทำไว้”
ผมบอกก่อนจะเล่าให้ฟังว่าตอนเด็ก ๆ มาวิ่งเล่นที่นี่บ่อยแค่ไหน ทั้งศาลาทั้งท่าน้ำที่สร้างจากไม้ตรงนี้ เคยใช้เป็นที่วิ่งเล่น ก่อนจะกลายมาเป็นที่นั่งอ่านหนังสือของทั้งผมและเขาในเวลาต่อมา
เราใช้เวลาอยู่ด้วยกันตรงนี้บ่อย ๆ เพราะมันห่างไกลสายตาของพ่อแม่ เราสามารถจะพูดคุยหรือบอกรักกันในสถานะอื่นได้ ไม่ใช่แค่ในสถานะเพื่อนอย่างที่พวกพ่อแม่คิดว่าเราควรจะเป็น
“มีความทรงจำไหนของพี่ที่ไม่มีพี่มีนบ้าง”
ผมหันไปมองน้องมันทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น “มึง..”
“ผมแค่คิดว่าพวกพี่สนิทกันจัง” น้องมันพูดแล้วหัวเราะออกมา “จะเหลือที่ให้ใครแทรกเข้าไปได้ไหม”
“บิ๊ก”
“ขอโทษครับ” ผมถอนหายใจออกมา ขณะที่น้องมันคว้ากิ่งไม้ที่หล่นอยู่ขว้างลงสระไปโดนดอกบัวดอกหนึ่งจนกลีบร่วงหลุดไป “ไม่คุยเรื่องนี้แล้วดีกว่า”
“...”
“เรื่องตอนเด็ก ๆ ของพี่ ไม่ต้องเล่าให้ผมฟังแล้ว”
ผมหันไปมองน้องมัน ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าที่กำลังมืดลงเรื่อย ๆ “ก็นะ..ขนาดกูยังเบื่อเรื่องของตัวเองเลย”
“...”
“ขอนอนพักหน่อยได้ไหม” ผมเอนตัวลง ยกแขนขึ้นมาหนุนต่างหมอน “อิ่มมาก”
“ผมให้ยืมตักเอาไหม”
ผมลืมตาขึ้นมามองคนถาม ก่อนจะตอบกลับไป “อย่าเลย”
“มันไม่ชอบให้ปลุก”
“แต่ยุงเริ่มมาแล้ว”
“ก็หาอะไรมาพัดไล่ให้มันสิ”ผมลืมตาขึ้นมาทันประโยคสุดท้ายของบทสนทนาพอดี “อะไรกัน”
“ก็พี่มีนดิ ห้ามไม่ให้ผมปลุกพี่” ผมเหลือบตามองเขา ก่อนจะหันกลับมามองคนฟ้อง “แถมยังบอกให้นั่งไล่ยุงแทนที่จะปลุกให้กลับไปนอนที่บ้าน”
คนโดนว่าไม่ตอบโต้อะไรกลับ ทำแค่ลุกเดินจากไปเฉย ๆ ผมเลยยันตัวลุกขึ้นมา “มันรู้ว่าพี่ไม่ชอบให้ปลุก”
“...”
“ขนาดเคยนั่งเฝ้ากันเกือบค่อนคืนยังมี”
ผมหัวเราะออกมา ก่อนจะหันไปมองพื้นที่ว่างกว้าง ๆ ตรงข้างศาลาริมน้ำ พื้นที่ว่างที่ผมกับเขาเคยคุยกันว่าจะมาสร้างบ้านหลังเล็ก ๆ อยู่ด้วยกันหากเรียนจบจนมีงานทำแล้ว
ถึงฟังดูเหมือนจะคล้ายเรือนหอ แต่ตอนนั้นพวกเราก็ยังเด็กเกินกว่าจะคิดอะไรแบบนั้นได้ อีกอย่างตอนนั้นผมก็แค่คิดว่ามันจะเป็นบ้านที่ผมสามารถนอนมองดอกบัวในสระได้จนหลับไป โดยไม่ต้องถูกปลุกให้กลับไปที่ไหนอีก
“กลับกันเหอะ” ผมว่าแล้วลุกขึ้นยืน “ป่านนี้พ่อแม่เข้านอนกันหมดแล้ว”
Ma-NuD_LaW
ขอโทษครับ..แต่ละตอนมันสั้นจริง ๆ
คือผมว่างวันละประมาณสองชั่วโมงได้ ก็จะแต่งแล้วอัพเลย ดูไปก็คล้ายจะเป็นฉากหนึ่งต่อตอน(คิดแบบละคร) ได้ทวนหนึ่งรอบก่อนลง เลยจะมีคำผิดบ้าง เรื่องก่อน ๆ ก็จะอัพได้วันละตอน แต่ช่วงนี้ผมติดอะไรหลายอย่างเลยมาๆ หายๆ กลายเป็นสองวันอัพทีบ้าง คิดว่าพ้นช่วงวุ่น ๆ คงจะมาได้ทุกวันตามที่เคยทำ
ขอโทษคนอ่านจริง ๆ ครับที่ทำให้ค้างคา จะพยายามทำให้ดีขึ้นนะครับ
ขอบคุณทุกความเห็นครับ