“มึงรู้ที่อยู่กูได้ยังไง” ไอ้บูรณ์ถาม น้ำเสียงคมเข้มแต่แฝงไปด้วยความระแวง
“เมื่อเช้ามึงกินอะไร” ผมถามกลับคนละเรื่อง เห็นกล่องอาหารวางอยู่บนโต๊ะพับขนาดเล็กที่กลางห้องใกล้กับโทรทัศน์ขนาดสิบกว่านิ้ว ประหนึ่งว่าให้ควักลูกตาแล้วเอาไปวางติดกับหน้าจอถึงจะมองเห็นภาพ
“........” ไอ้บูรณ์ไม่ตอบ มันหลับตาเรียกสติตัวเองไปเกือบสิบวินาทีเห็นจะได้
“มึงมีอะไร” มันย้ำถามอีกครั้ง ครั้งนี้น้ำเสียงเรียบลง ดูเหมือนว่ามันไม่ต้องการคำตอบของคำถามแรกแล้ว นิสัยที่ควรจะโกรธง่ายกลับไม่เป็นอย่างที่คาดคิด ดูท่าประสบการณ์จะสอนมันได้มาก ไม่แน่ว่าคงจะไร้ความรู้สึกเร็ว ๆ นี้ล่ะมั้ง
“มึงก็ขึ้นชกเวทีใหญ่ ๆ ตั้งหลายครั้ง ไหงห้องถึงได้โกโรโกโสแบบนี้วะ เงินเก็บไปไหนหมด” ผมพูดอย่างที่คิด
“เงินเก็บก็เอาไว้ยัดห่าไง ฮึ ! ถามเหมือนไม่รู้ ก็ไม่ใช่เพราะไอ้พวกเจ้าของค่ายหัวค-วยที่วัน ๆ เอาเงินที่พวกกูหามาได้ไปทำเรื่องอัปรีย์ ๆ รึไง” อีกฝ่ายแสยะปากจงใจประชดผมเต็มที่ ผมกะพริบตาเนิบช้า เบะปากเข้าใจในความหมาย
“ปากจัดจังนะ” ผมชม ไอ้บูรณ์เงียบปากลงแต่การหายใจของมันกลับแรงขึ้น
“เพราะกูมันจนไง มึงพอใจรึยัง ถ้าไม่มีธุระสำคัญอะไรก็เชิญคนรวย ๆ อย่างมึงออกไปจากห้องโกโรโกโสของกูด้วย” มันไล่ด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายคล้ายยอมแพ้ในที่สุด
“หึ ๆ กูเพิ่งรู้ว่ามึงประชดเก่งขนาดนี้” ผมอมยิ้ม
“ไอ้ไฟ...”
“น้ำแก้วซิ” ผมสั่ง อีกฝ่ายหันขวับทำตาขวาง
“ขอน้ำกูแก้วนึง” ผมพูดซ้ำ มองหน้ามันตอบก่อนหย่อนก้นลงนั่งบนเตียง ไอ้บูรณ์ถอนหายใจยาวเฮือกใหญ่ ยอมเดินไปที่ถังน้ำที่วางอยู่บนพื้นห้อง มันนั่งยองลงจนเห็นกล้ามที่ขาชัดเจน หยิบแก้วเปล่าที่คว่ำอยู่ไปรองรับน้ำที่เทจากถัง เสร็จแล้วก็ลุกขึ้นนำน้ำแก้วนั้นยื่นมาให้ด้วยท่าทางไม่เต็มใจนัก
“ขอบใจ” ผมรับมาและยกดื่มจนหมดในครั้งเดียว ยื่นแก้วกลับไปให้เจ้าของที่ยืนค้ำหัวตรงหน้า มันเหล่มองมาที่ผมอยู่ตลอดไม่พูดไม่จา
“ได้ข่าวมาว่าพ่อมึงถูกคุมตัวอยู่ในคุกนี่ ไม่ให้ประกันด้วย น่าเศร้าฉิบเป๋ง” ผมเกริ่น เสี่ยปรีดาถูกคัดค้านการประกันตัว นอนเล่นอยู่ในคุกมาตั้งแต่วันที่ผมถูกยิงแล้ว ตำรวจปิดเรื่องนี้เงียบเชียบขนาดที่ว่านักข่าวไม่สามารถระแคะระคายใด ๆ ได้เลย
“มันจะอยู่ในคุก รึอยู่นอกคุก ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับกู” ไอ้บูรณ์แสยะปาก
“เย็นชาจัง ว่าแต่...ขอน้ำอีกสักแก้วสิ” ผมเงยหน้าขึ้นมอง เปลี่ยนเรื่องอีกครั้งทันทีทันใด
“มึง” ไอ้บูรณ์ชักสีหน้า กรามบดกันแน่น
“น้ำ...เร็วเข้า” ผมย้ำเรียบ ๆ ไอ้บูรณ์สบถไม่ได้ศัพท์ กลับไปเติมน้ำเปล่ามาให้อีกครั้ง ผมยกกระดกดื่มหมดไม่เหลือสักหยดเหมือนเดิม ก่อนอ้าปากพร้อมพ่นลมออกมายาว ๆ เมื่อดับกระหายได้
“ฮ้า ~ มีลูกอมไหม” ผมถาม
“จิ๊ มึงต้องการอะไรกันแน่วะ !” ไอ้บูรณ์ขึ้นเสียง คิ้วขมวดคล้ายหมดความอดทน
“หึ ๆ ๆ ๆ” ผมกัดฟันขำหน้ามัน ตลกดี
“ลูกอมที่ทำให้ลิ้นตรงกลางมีสีแดงน่ะ มีไหม” ผมแลบลิ้นประกอบ คาดว่าลิ้นตัวเองน่าจะแดงตรงกลางอยู่เพราะเพิ่งกินลูกอมมาเม็ดนึงระหว่างทาง
“ไม่มีโว้ยยย สัส !” อีกฝ่ายกระแทกเสียงอย่างหงุดหงิด ผมนำลิ้นกลับเข้าปากช้า ๆ พร้อมเบะปากเล็กน้อย
“ตอนเด็ก ๆ มึงไม่ค่อยได้กินสินะถึงได้อารมณ์แปรปรวนแบบนี้” ผมส่ายหัว นึกแล้วอนาถ
“รำคาญฉิบหาย มีอะไรก็พูดมา” มันว่า ผมยิ้มมอง เว้นช่วงไว้พักหนึ่ง ถ้าหน้ามันบูดเบี้ยวด้วยความหงุดหงิดมากกว่านี้ผมคงจะหลุดขำแบบไร้มารยาทแน่ ๆ
“ทำไมถึงไม่อยู่ค่ายที่พัทยาในเมื่อค่ายยังไม่ปิด” ครั้งนี้ผมตั้งคำถามดี ๆ ไอ้บูรณ์ยืนเงียบ เท้าเอวพลางเบือนหน้าไปอีกทาง ดูเบื่อหน่ายและไม่อยากตอบ
“ทำไมกูต้องตอบคำถามมึงด้วย ในเมื่อมึงยังไม่ตอบคำถามกู” เจ้าของห้องประชด
“ขึ้นเตียงกันไหมล่ะ” ผมอมยิ้มตอบกลับคนละเรื่อง
“ไอ้ไฟ !” มันขึ้นเสียง
“........” ผมเงียบ เหลือบมองไปทางกำแพงแทนที่จะให้คำตอบที่มันต้องการเกี่ยวกับการมาถึงของผม จู่ ๆ ไอ้บูรณ์ก็เข้ามากระชากคอเสื้อผมไป ผมนั่งเฉย เงยมองสีหน้าของมันในตอนนี้ที่แทบไม่เป็นรูปหน้าคนแล้ว
“โกรธกูแล้วจะทำไงต่อ” ผมเลิกคิ้ว รู้สึกสนใจขึ้นมา
“ดูสภาพมึงสิ คนอย่างมึงน่ะนะจะทำอะไรกูได้ ขนาดพ่อมึง...ที่อยากให้กูจากโลกนี้ไปใจจะขาด ก็ยังทำอะไรกูไม่ได้เลย” ผมฉีกยิ้ม ไอ้บูรณ์จ้องตาผมเขม็งด้วยอารมณ์โกรธทั้งสิ้น
“หายใจเข้าลึก ๆ แล้วกรุณาปล่อยคอเสื้อผมด้วยครับ ตัวนี้น่ะแพงกว่าค่าเช่าห้องทั้งตึกนี้ซะอีก อีกอย่าง เดี๋ยวผมมีธุระต้องไปต่อ ขี้เกียจตอบคำถามน้องชาย ไอ้น้องชายคนกลางนี่ตาไวเป็นสัตว์ประหลาดเลย” ผมพูดยิ้ม ๆ มันยอมปล่อยมือออกจากคอเสื้อโดยดีตามที่ขอ
“นั่ง” ผมสั่งห้วน ๆ เคาะนิ้วลงบนเตียงเป็นสัญญาณการสงบศึก
ไอ้บูรณ์ไม่ได้นั่งลงในทันที มันลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่สุดท้ายก็ยอมทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ ผม ผมขยับตัวหยิบบุหรี่กับไฟแช็กที่วางอยู่บนโต๊ะพับ เจ้าของมองตาม บุหรี่หนึ่งมวนถูกหยิบออกจากซอง
ผมยื่นปลายบุหรี่จ่อไปที่ปากของไอ้บูรณ์ มันยอมอ้าปากรับด้วยใบหน้าเรียบเฉย เสียงไฟแช็กดังขึ้นทำลายความเงียบระหว่างเรา บุหรี่ถูกดูดเข้าเต็มปอดก่อนที่เจ้าของจะพ่นควันออกมาพร้อมกับคีบมวนบุหรี่ออกจากปากด้วย ผมวางไฟแช็กลงที่เก่า ดูเหมือนไอ้บูรณ์จะผ่อนคลายลงแล้ว บุหรี่ถูกดูดเข้าอีกครั้ง ผมจ้องมอง ท่อนบนของมันเปลือยเปล่า กล้ามเนื้อสมบูรณ์แบบที่คงถูกใช้งานมาอย่างหนัก กางเกงบอลสีขาวที่สวมอยู่ดูท่าว่ามันจะไม่ได้ใส่กางเกงใน เพราะน้องชายเด่นเป็นรูปชัดเจนมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ละสายตาไปยังโต๊ะเครื่องแป้งที่เต็มไปด้วยฝุ่น ที่โกนหนวดและกระดาษทิชชู่ที่ถูกใช้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง สถานะเหมือนอยู่ซังกะตายไม่ผิด
“มึงนี่ โคตรจนเลยนะ” ผมชมจากใจจริง จับปลายคางของไอ้บูรณ์เพื่อให้หันมาสบตากันตรง ๆ
“...ให้ห้าหมื่น” ผมกวาดตามองต่ำมีนัยยะแฝง พูดตามตรงว่าไอ้ที่นั่งอยู่ตรงหน้านี่เซ็กซี่ฉิบหาย
“ไม่ต้องล้างด้วย เดี๋ยวกูล้างให้” ผมพูด คิ้วข้างหนึ่งกระดกขึ้นไปเองโดยอัตโนมัติ
“พ่อมึง ไอ้สัส !” ไอ้บูรณ์สติหลุดอีกครั้ง มือที่คีบบุหรี่อยู่ทำท่าจะซัดมา ผมเบี่ยงตัวหลบพลางหัวเราะ ปฏิกิริยาเป็นไปตามที่คาดเอาไว้
“โอเค ๆ” ผมยิ้ม ผายมือยอมความ อีกฝ่ายสบถเบา ๆ คิ้วขมวดเป็นโบ เบือนหน้าหนีกลับไปตามเดิม
“คนแบบมึงนี่แม่ง...” มันกัดฟันบ่นก่อนยัดบุหรี่เข้าปากอีกครั้ง
ครั้งนี้ผมยอมเงียบลงเพื่อให้อีกฝ่ายสงบก่อนที่จะเริ่มพูดเรื่องเป็นทางการ
“น้องสาวมึงไปไหนล่ะ” ผมถาม ไอ้บูรณ์ดีดตัวลุกขึ้นยืน อารมณ์โมโหพุ่งทันที มันเดินไปดับบุหรี่แล้วหันกลับมาเผชิญหน้าผมอย่างเอาเรื่อง
“เธอรู้รึเปล่าว่าพี่ชายคนเก่งอยู่ที่นี่” ผมแสยะยิ้มมุมปาก
“ถ้ามึงพูดถึงน้องกูอีกคำเดียว...”
“ถ้าพ่อมึงไม่ได้ออกจากคุกขึ้นมา จะทำยังไงต่อ” ผมต้อนถาม ไม่สนใจว่ากำลังจุดชนวนอะไรเข้าไปบ้าง
“คนอย่างมันก็สมควรตายห่าอยู่ในคุกนั่นแหละ” ไอ้บูรณ์แทบสบถ
“หึ..ไปแค้นกันมาแต่ชาติปางไหนนะ” ผมหัวเราะ ขยับตัวลุกขึ้นยืนประชันหน้ากับมัน
“คงรู้ตื้นลึกหนาบางอะไรไม่เบาสินะ” ผมเข้าประเด็นด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ สีหน้าของไอ้บูรณ์เปลี่ยนไปเป็นตื่นตระหนก
“แลกกับอะไร ?” ไอ้บูรณ์ย้อนด้วยใบหน้าเจ้าเล่ห์โดยทันที ไม่แปลกที่มันอ่านเกมออกอย่างรวดเร็ว
“มีอะไรให้ช่วยรึเปล่าล่ะ” ผมย้อนถามด้วยแววตาไม่ต่างจากอีกฝ่ายนัก ไอ้บูรณ์ชะงัก ดวงตาเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข
“มึงจะทำอะไร” มันถาม ลดเสียงเบาลงจนเกือบแทบไม่ได้ยิน
“ก็...เรื่องที่เสี่ยส่งคนไปทำร้ายมึงที่ตลาด เรื่องที่มึงขึ้นชกแทนไอ้นพคราวนั้น มึงก็เล่นพวกมันกลับมาซะเกือบตาย กูนึกว่ามึงจบไปแล้วซะอีก” ไอ้บูรณ์ขมวดคิ้วด้วยสีหน้าลังเลสงสัย
“สำคัญด้วยเหรอว่ากูจะทำอะไร” ผมเลิกคิ้ว
“แหม่ ตกลงไอ้วันนั้นนี่เป็นคนของพ่อมึงจริง ๆ สินะ” ผมยิ้มประกอบ ครั้งนี้ไอ้บูรณ์ถึงกับเงียบไปพักใหญ่
“ถ้ากูบอกทุกอย่างที่กูรู้กับมึงไปแล้ว...แล้วยังไงต่อ มึงจะช่วยอะไรกูได้ ขนาดตำรวจยังช่วยอะไรกูไม่ได้เลย” ไอ้บูรณ์เงยหน้าขึ้นมองผมด้วยสีหน้าประชดประชัน ลึกลงไปดูเหมือนกำลังตัดพ้อต่อว่าชะตาชีวิตของตัวเองเสียมากกว่า
“นอกจากกูแล้ว มึงเหลือคนให้ช่วยไหมล่ะ” ผมจงใจเย้ยหยันอีกฝ่าย
“พอเถอะ กลับไปซะ” ครั้งนี้คำพูดที่ออกปากไล่กลับฟังดูไร้พลังจากผู้พูด ผมเหตามองพื้นครู่หนึ่งก่อนมองขึ้นไปยังไอ้บูรณ์ที่กำลังก้มหน้าด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก
“กูอยากได้มึงมาเป็นนักมวยค่ายกูที่สมุทรปราการ” ผมพูด
“...พูดอะไรออกมา” ไอ้บูรณ์ตกใจ ดวงตาของมันเบิกกว้างอย่างกับกำลังได้ยินอะไรเหนือความคาดหมายอย่างนั้น
“กูต้องการนักมวยที่มีฝีมือไปช่วยที่นั่นอีกแรง เด็กมันจะได้มีกำลังใจซ้อม ดูแลนักมวยในค่าย สอนสิ่งที่มึงมี ไม่หัวหมอกับกู สร้างชื่อเสียงให้ค่ายที่สมุทรปราการให้ได้มากกว่าที่มึงเคยทำให้กับค่ายอื่น อยู่แบบเทา ๆ ไม่ขาว ไม่ดำ” ผมขยายความ นักมวยมีชื่อมารวมตัวอยู่ที่ค่ายหลักกันหมด ใจจริงผมก็คิดเรื่องนี้มาสักพักแล้ว
“กูรับรองว่าถ้ามึงทำตัวดี มึงจะมีอนาคตในฐานะของนักมวยมากกว่าที่อยู่กับเสี่ยปรีดา มีที่พักที่ดีกว่าบ้านรังหนูนี่ ได้กินอาหารห้าหมู่ครบสามมื้อ ประกัน เงิน ต้องการอะไรอีกล่ะ ถ้าอยากเกษียณตัวเองแล้วพฤติกรรมของมึงไม่แย่ถึงขนาดที่นักมวยคนอื่นส่ายหัว กูจะให้มึงเป็นครูมวยต่อ ถ้ามึงตกลง กูจะไปซื้อตัวมึงทันที...ที่กูพร้อม” ผมพูด คำพูดสุดท้าย
“ที่กูพร้อม” จงใจดักคอกวนไปอย่างนั้นเอง
“มึงทำแบบนี้ทำไม” ไอ้บูรณ์ขมวดคิ้วมองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ
“นั่นสิ” ผมตอบปนหัวเราะ
“........” ไอ้บูรณ์เงียบลงอีกครั้ง มันถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ศีรษะส่ายไปทางซ้ายหนึ่งทีคล้ายหาทางออกให้ตนเอง
“มึงไม่ได้เกลียดกูเหรอ” มันถาม ผมเกือบจะพ่นหัวเราะออกมาดัง ๆ ได้แต่ล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วจ้องมองหน้ามันยิ้ม ๆ
“ชอบด้วยซ้ำ” ผมยักคิ้ว
“ตัดสินใจได้แล้วก็บอกแล้วกัน เดี๋ยวจะให้คนติดต่อมา” ผมตัดบท
“น้องสาวกูหายไป” ไอ้บูรณ์พูดขึ้นในที่สุด เสียงของมันสั่นเล็กน้อย ที่สั่นนั่นคงเพราะไม่แน่ใจว่าควรพูดออกมาดีหรือไม่ ลูกกระเดือกขยับชัดเจนทีเดียว
“กูกู้เงินเสี่ยปรีดาไปรักษาแม่ มันจับกูเซ็นสัญญา แต่กูอ่านหนังสือไม่แตก...” ไอ้บูรณ์ทิ้งเสียงลง มันหลบตาผมคล้ายไม่อยากให้ผมมองสภาพมันในตอนนี้ ไม่จำเป็นที่ผมต้องซักถามให้ลึกลงไปกว่านี้ เดาเอาได้เลยว่าเรื่องอ่านหนังสือไม่แตกของมันคงเป็นเหตุทำให้มันมาอยู่ที่นี่ในตอนนี้ด้วย
“ไอ้เหี้ยนั่น มันบอกกับกูว่าเมื่อไหร่ที่กูใช้หนี้ของมันหมด มันจะเอาน้องกูออกมาให้ กูจำได้ว่าหนี้หมดแล้ว” ปากของมันสั่น แม้น้ำเสียงและท่าทางจะอึกอักเต็มกลืน แต่ผมก็จับจ้องมันไม่กะพริบเพื่อเป็นการยืนยันว่าผมตั้งใจฟังปัญหาของมันอยู่
“มันบอกกับกูว่า มันส่งน้องกูไปทำงานให้ไอ้กาย แต่มันไม่ได้บอกว่าที่ไหน เปล่าหรอก...หึ ที่จริงน้องกูไม่ได้ทำงานอยู่กับไอ้กายแต่แรก ไอ้เสี่ยเหี้ยนี่มันเก็บน้องกูไว้เอง ส่งน้องกูให้กับพวกเพื่อนของมัน พอมันใช้จนหนำใจแล้วมันก็ตั้งใจจะขายเธอให้กับไอ้กายอีกที กูเหมือนคนโง่ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่ามันโกหกตอแหล แต่กูก็ยังทำตามทุกอย่าง”
“กูต้องทนนั่งดูมันที่โกหกตอแหลซ้ำ ๆ ทุกวัน กูที่อุตส่าห์เสี่ยงตายคาบข่าวไปบอกตำรวจที่กูไว้ใจ แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลวไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ขนาดตำรวจยังมีสายของพวกไอ้กายยั้วเยี้ยเต็มไปหมด ใช่...อย่างที่มึงบอกนั่นแหละว่ากูไม่เหลือใครแล้ว คนที่กูจะใช้เรียกว่าเพื่อนก็ไม่มี สำหรับกู ไม่มีอะไรเส็งเคร็งกว่านี้อีกแล้ว นี่ใช่ไหมที่มึงอยากได้ยิน” ไอ้บูรณ์แสยะหัวเราะ
“ถ้ากูไม่เห็นกับตาว่าน้องกูตายแล้ว คงไม่มานั่งตัดพ้อชีวิตแบบมึง” ผมเผยอปากยิ้มเย้ยหยันอย่างอดไม่ได้
“ตัดพ้อชีวิตเหรอ คนแบบมึงจะรู้อะไร !” ไอ้บูรณ์ขึ้นเสียง ถลึงตาโตด้วยความโมโห
“ก็น้องนี่นะ” ผมหุบยิ้มลงทันที
ไม่ได้พูดเล่น อีกฝ่ายชะงักก่อนจะค่อย ๆ นิ่งลง
“ถ้าทุกเรื่องตำรวจจัดการได้หมด ถ้าเราพึ่งพาคนอื่นได้ทุกอย่าง ถ้าบนโลกนี้ทุกคนได้รับความยุติธรรมเสมอกันได้จริง คนดีคงไม่จำเป็นต้องหนีจนสุดทางเพื่อปกป้องชีวิตตัวเอง เปลี่ยนความคิดซะใหม่ด้วย” ผมพูด ตาลอยมองด้วยความว่างเปล่า สังคมมันก็เส็งเคร็งอย่างนี้แหละ
“ให้ช่วยอะไรดีล่ะ....” ผมเข้าประเด็น ครั้งนี้ไอ้บูรณ์จ้องมองผมเต็มตา ดวงตาของมันแดงนิดหน่อยแต่เต็มไปด้วยความแน่วแน่
“กูไม่มีอะไรจะเสีย ถ้ามึงคิดจะหักหลังกูเหมือนกับที่ไอ้เหี้ยปรีดาทำกับกูละก็ มึงกับกูต้องตายกันไปข้างนึง” สันกรามของไอ้บูรณ์ถูกกัดบดไว้แน่น คำพูดท้าทายชวนให้ขาของผมเดินตรงเข้าประชิด
“นี่คือข้อตกลงงั้นเหรอ งั้นแล้วถ้ามึงหักหลังกูขึ้นมา กูควรปฏิบัติตัวกับมึงยังไงดี” ผมกระซิบถาม ฉีกปากยิ้มกว้างออกกว่าเดิม
“ไม่ใช่ว่า...ใครบางคนแถวนี้คงช่วยให้เสี่ยปรีดาถูกจับสินะ” ผมนึกเดา ไอ้บูรณ์ไม่ปฏิเสธ
“กูชอบข้อตกลงแบบนี้จริง ๆ ฮิ ๆ ๆ” ผมชม นำมือข้างขวาที่ไม่ได้ล้วงกระเป๋ากางเกงขึ้นจับต้นคออีกฝ่าย ไอ้บูรณ์กำลังกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากชัดเจน
“ถือว่าตกลงตามนี้แล้วกัน” ผมตอบรับ ขยับนิ้วโป้งลูบแก้มมันเบา ๆ หน้าตามันดีจริง ๆ นั่นแหละ
ดีในที่นี้หมายถึงโหงวเฮ้งไม่น่าเลวร้าย ผมมีหมวดประเภทของบุคลิกหน้าตาแบบที่คบหาอยู่ ใบหน้าประเภทคบหาได้ ใบหน้าประเภทควรเรียนรู้แบบห่าง ๆ กับใบหน้าประเภทคบหาไม่ได้อยู่ ซึ่งมักเป็นประเภทที่มีแต่กลิ่นของความตอแหลอบอวลไปหมด โดยคัดจากประสบการณ์ส่วนตัวน่ะนะ แบบไอ้บูรณ์นี่ถือว่าอยู่ในหมวดหน้าตาคบได้ ไม่แย่เท่าไหร่นัก
“ข้อมูลของเสี่ยปรีดาที่มึงมี กูต้องการรู้ทั้งหมด มึงไม่ต้องอยากรู้ว่ากูรู้ไปทำไม แค่บอกกูมาให้หมดแบบที่ลืมไปเลยว่าไอ้หน้าไหนบนโลกนี้เคยมีบุญคุณกับมึงไว้ มันจบตั้งแต่มึงมาอยู่ที่นี่แล้ว พอมึงพูดหมดแล้ว ทีนี้...มึงก็แค่หุบปากไว้ให้เงียบ ลืมไปเลยว่าลิ้นเคยขยับพูดเรื่องอะไรไว้บ้าง หน้าที่มึงจบแค่นั้น นี่คือการแลกเปลี่ยนกับการตามหาน้องมึง ส่วนเรื่องทำงานที่ค่ายกู...
แยกกัน เข้าใจตรงกันนะ ?” ผมสรุปพร้อมเบิกตาถาม
“........” อีกฝ่ายไม่ตอบ มันเพียงพยักหน้ารับเท่านั้น แววตาได้ลดความแข็งกระด้างลงแล้วด้วย ผมล้วงกระเป๋าสตางค์ แบงก์พันถูกนับออกมาสิบห้าใบ
“กูพอมีอยู่” ไอ้บูรณ์พูดดักคอก่อนที่ผมจะยื่นเงินไปให้
“รับไป” ผมสั่ง ยื่นเงินให้ตรงหน้าแต่มันกลับเบือนหน้าหนี
“เงินนี่ไม่เกี่ยวกับที่กูอยากได้ตูดมึงหรอกน่า ระดับมึงนี่กูให้แพงกว่าหมื่นห้าอยู่แล้ว” ผมยิ้ม
“ไอ้ไฟ” ไอ้บูรณ์ขมุบขมิบปากทำท่าจะด่าผมให้ได้
“เอาไป พรุ่งนี้หาที่อยู่ใหม่ซะ แถวนี้คนเสือกโจ่งแจ้งเยอะเกิน กูไม่ชอบ” ผมตัดบท ครั้งนี้อีกฝ่ายจึงยอมรับเงินไปอย่างไม่คิดเถียง แต่ก็คงเสียศักดิ์ศรีอยู่ไม่น้อย
“ขอบคุณ” อีกฝ่ายพูดอยู่ในลำคอ
“ว่าง่ายเหมือนกันนี่” ผมพูด
“เดี๋ยวกูจะติดต่อไป แล้วก็...ระหว่างนี้หาข้าวแดกซะด้วยล่ะ จัดเต็มแบบที่ชอบสักมื้อก็ดี เผื่อพรุ่งนี้เสือกตายห่าขึ้นมาก่อนจะได้กินอะไรดี ๆ เงินกูจะได้ไม่เสียเปล่าด้วย” ผมพูด
“ต่อไปนี้
มึงคือคนของกูแล้ว กูไม่ใช่เสี่ยปรีดา แต่กู...ก็ไม่เหมือนพ่อกูเหมือนกัน ดังนั้น...กูพร้อมที่จะลากคอแล้วอัญเชิญมึงไปลงนรกนะครับ เรียนเพื่อทราบไว้ล่วงหน้าด้วย” ผมจ้องหน้าพลางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ไอ้บูรณ์ไม่พูดมากอย่างเคยแล้ว
“ขู่อยู่มั้ง” ผมฉีกยิ้มพร้อมแลบลิ้นออกมากัดไว้บริเวณริมฝีปาก เสียงหัวเราะถูกกลั้นไว้ในลำคอ หลังมือแตะลงที่กลางหน้าอกของอีกฝ่ายอย่างหยอกเอิน ไอ้บูรณ์ยืนนิ่ง ไม่ปัดมือผมออกอย่างที่ควร
“ถ้ามึงเดือดร้อน กูก็จะเดือนร้อน จะรับผิดชอบให้เอง แบบนี้อุ่นใจขึ้นไหม ?” ผมช้อนตาถาม
“อุ่นจนร้อนเลยมั้ง” ไอ้บูรณ์ประชดตอบเสียงห้วน
“ฮิ ๆ ๆ ตลกบ่อย ๆ นะ กูชอบ” ผมยิงฟันให้ นำหลังมือตีเข้าที่กล้ามหน้าท้องมันอีกครั้งก่อนชักกลับมาล้วงกระเป๋ากางเกงตามเดิม
“ลืมบอกไปอย่าง...” ไอ้บูรณ์เอ่ยปากอย่างวางท่า
“กูหมดสัญญากับค่ายของไอ้เสี่ยอัปรีย์นั่นแล้ว พวกมันไล่ว่าถ้ากูไม่กลัวอดตายก็ให้กูไสหัวไป รู้ตัวอีกที...กูก็เสือกทิ้งมันไว้กับตำรวจ แล้วก็ไสหัวตัวเองออกมา” ไอ้บูรณ์เล่าด้วยใบหน้าสงบนิ่ง
“หึ...ก็ดีนี่ กูจะได้ไม่ต้องเสียเงินไปซื้อนักมวยตัวเปล่าอย่างมึง เหลือก็แค่...กรอกใบสมัครงานแบบถูกต้อง” ผมพูด
“ตามจริง กูก็ชอบค่ายมึงอยู่หรอกนะ...” ไอ้บูรณ์พูดแทรก คำพูดของมันกำลังทำให้ผมใจเต้น
“เจ้าของค่ายคนก่อนมีศีลธรรมดี แต่กูเกลียดเจ้าของค่ายคนปัจจุบันว่ะ จังไรไปหน่อย” มันว่า ปากแสยะประกอบนิด ๆ
“พรืด !” ผมขมวดคิ้วพ่นหัวเราะอีกครั้ง
“มึงออกจะชอบกูด้วยซ้ำ ดูออกหรอกน่า” ผมพูดแทบกระซิบ ไอ้บูรณ์มองตาขวางทันที ผมขยับนาฬิกาข้อมือดู ได้เวลาที่ควรออกจากที่นี่แล้ว
“ขอบคุณสำหรับน้ำเปล่า ถึงกลิ่นมันจะแปร่ง ๆ ไปหน่อยก็เถอะ” ผมตัดบท
“ตู้กดมันเก่าแล้ว มีแดกก็พอปะ” มันย้อนเข้าให้ ผมหัวเราะ
ไอ้เหี้ยนี่ถูกใจจริง“เป็นนักกีฬาน่ะ อย่างน้อย...ก็หัดรักร่างกายหน่อย ต่อไปดื่มน้ำที่มันสะอาดกว่านี้” ผมบอกด้วยสีหน้าจริงจัง
“อ้อ ลืมอีกอย่าง” ผมชูนิ้วชี้ขึ้นกลางอากาศนึกเรื่องสำคัญขึ้นได้ เว้นจังหวะหายใจครู่หนึ่งพลางก้มหน้าลงมองพื้น
“ทำงานกับกู
ห้าม...” ผมชี้นิ้วไปยังซองบุหรี่ที่เห็นแล้วรำคาญลูกตาที่สุดในห้องนี้
“บุหรี่ เหล้า ห้าม” ผมขยายความ หันตัวเดินไปยังชั้นวางของใกล้ ๆ บนนั้นมีเสื้อผ้าของไอ้บูรณ์พับวางไว้ อยู่
“ดื่มได้ แต่ต้องไม่ใช่ในเวลางาน ไม่ใช่ในพื้นที่บริเวณค่าย ไม่ใช่ในบริเวณที่พัก พูดง่าย ๆ คือมึงห้ามแดกเหล้าจวนเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ทำผิดกฎเกินสามครั้ง งดขึ้นเวทีใหญ่ ไม่ปรับปรุงตัว เตรียมเก็บเสื้อผ้าได้เลย ที่สำคัญ...ห้ามเล่นยา บอกไว้ก่อนน่ะนะ เผื่อจะได้ปรับตัวทัน อย่าทำให้กูได้กลิ่นไม่มีอนาคตของมึง”
“เลิกซะ” ผมสรุป อีกทั้งมองย้ำเตือนอีกครั้งหนึ่งว่าไอ้มวนที่ผมประเคนใส่ปากให้เมื่อครู่นี้ ควรจะเป็นมวนสุดท้าย
“เจอกัน” ผมลา
“แล้วมึงไม่เอาเบอร์ติดต่อกูเหรอ” ไอ้บูรณ์ร้อนรน
“มีแล้ว” ผมตอบ อีกฝ่ายชะงัก สายตาเริ่มหวาดระแวงอีกครั้ง
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า กูจะปกป้องตูดมึงเอง” ผมไม่เลิกแหย่ เหล่ตามองไปยังกางเกงบอลที่มันสวมใส่อยู่
“มึงรีบ...ไสหัวของมึงออกไปซะ” ไอ้บูรณ์กัดฟันแน่น น้ำเสียงกดย้ำจริงจังพร้อมที่จะโมโห ชี้มือไล่ผมไปทางประตูห้อง
“จุ ๆ” ผมปรามเตือนว่ามันไม่ควรอารมณ์ขึ้นง่ายดายอย่างนี้ ไอ้บูรณ์นิ่งไป สายตาที่จดจ้องผมยังคงขึงขัง ผมยืนเฉย กวาดตามองมันไม่วางตา พอผมก้าวเท้าเข้าหา อีกฝ่ายก็ก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณ การระมัดระวังตัวของมันทำให้ผมหลุดยิ้มได้นิดหน่อย ผมเดินกลับไปยังประตูห้องพร้อมเปิดออกในขณะที่เจ้าของห้องยังคงยืนมองผมอยู่จากที่เดิม
“มองกูขนาดนี้...นี่อย่าบอกนะว่าตกหลุมรักกูแล้วน่ะ ?” ผมแสร้งถลึงตาเบิกโตด้วยท่าทีตกใจ
“รักพ่อมึงสิ !” ไอ้บูรณ์ด่า มันยืนเท้าเอว ปฏิกิริยาคล้ายสุดทนของมันทำให้ผมหัวเราะลั่นอย่างช่วยไม่ได้ พอออกมาก็พบว่าพี่ธานคงได้ยินทุกอย่างแล้ว ผมรับไม้เท้ากลับคืนมา พี่ธานอมยิ้มพร้อมส่ายหัว เดินตามหลังผมพลางบ่นอุบอิบถึงพ่อบังเกิดเกล้าที่จากไปแล้วของผม “สงสารคุณท่านจังครับ” ให้ลูกชายที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างผมได้ยิน...
...............(ไฟ)..............
ผู้เขียน:ตอนนี้ค่อนข้างสั้นหน่อยนะคะ ขอโทษด้วย ---แต่เบบี้ก็ได้เคยแจ้งไปก่อนหน้านี้แล้วเนอะคะ ว่าอาจมีบางตอนที่สั้นลงบ้าง เพราะแต่ละตอนมีจุดสำคัญในตอนนั้น ๆ ที่สั้น/ยาวต่างกัน
ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าป่วยยยย > < พอคิดว่าตัวเองหายป่วยแล้วก็โหมทำหลายอย่างต่อทันที พักผ่อนน้อยทำให้ร่างกายแย่ลงอีกรอบ (ดี๊ดี) 555++ พอแบ่งเวลาแล้วทำให้ไม่ค่อยมีเวลาเหลือที่จะมาเขียนเรื่องนี้ได้เต็มที่เท่าไหร่ สำหรับตอนต่อไปจะพยายามมาให้เร็วกว่านี้ ( รึเปล่านะ ? ขอดูสภาพร่างกายอันเหี่ยวเฉานี้อีกทีค่าาา T0T )
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และกำลังใจ #ไฟขี้อ่อยแถมถ่อยไม่เลือก (ฉายาจากคนอ่านท่านหนึ่ง)
#ไฟใสๆ
#สมุทรค่าตัวแพง
#ตอนนี้เขาจึงหายไป
#จะคิดถึงฉันรึเปล่า ??????ขอบคุณมากค่ะที่ติดตาม ~~~ จะปีใหม่แล้ว กรี๊ดดดดดดดดดดดดด ร้องไห้หนักมาก ฮ่า ๆ ๆ ๆ
เบบี้...