#12 รักไม่ได้ l ไม่ได้รัก
ปรนัยยืนเท้าเอวมองร่างโปร่งที่คู้ตัวซุกกับเตียงของเขา กว่าจะลากคนเมาขึ้นมาบนห้องได้ก็แทบหมดแรง นี่ไม่ต้องพูดถึงการไล่ให้มันไปอาบน้ำ เพราะลำพังแค่ทำให้เพื่อนสนิทหยุดเพ้อถึงลำไยก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
“มึงแม่ง... หลอกกูทามมาย” เสียงอู้อี้ยังงึมงำกับหมอน “ใจร้ายจังโว้ยยย”
“มันดึกแล้ว กูจะซื้อลำไยที่ไหนให้มึงได้”
“เนี่ย...เนี่ยๆๆ ชอบทำร้ายจิตใจกู ฮื่อออ”
เจ้าของห้องส่ายหน้า หมดปัญญาจะจัดการกับคนบนเตียงแล้ว
“ตกลงจะไม่อาบน้ำใช่มั้ย”
“ไม่!”
“งั้นก็เขยิบไป กูจะนอนแล้ว”
“หึ!”
“อะไรของมึงเนี่ย พีพี” คนโดนแย่งที่นอนถอนหายใจยาว หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูเวลา
ตีหนึ่งครึ่ง...
ไม่คิดจะเจรจาอีกต่อไป ร่างสูงนั่งลงบนเตียงตัวเอง ก่อนจะใช้สองมือดันอีกร่างให้เข้าไปชิดผนัง ดึงหมอนที่คนเมากอดไว้มาวางหัวเตียง ตบปุๆ แล้วก็ทิ้งตัวลงนอนอย่างรวดเร็ว
“ฮื่อออ หมอนกู”
“หมอนมึงที่ไหน หมอนกูทุกใบอะ ผ้าห่มก็ด้วย” ปอเอื้อมมือไปปิดไฟ แล้วหลับตาลง รู้สึกปวดหัวตึบๆ น่าจะเป็นฤทธิ์จากเหล้าแก้วนั้น “อะไรที่อยู่บนเตียงนี้ของกูหมด”
“ไม่จริง...” คนเมายังเถียงจนเจ้าของห้องแอบขำ หากประโยคต่อมากลับทำให้ปรนัยชะงัก “ยกเว้นกู”
คนที่ตั้งใจนอนต้องลืมตาขึ้นมาใหม่ แสงไฟด้านนอกสะท้อนเข้ามาทางประตูกระจกที่กั้นระเบียง ทำให้มองเห็นเงาลางๆ ของคนที่นอนหลับตานิ่ง
“.....”
“ง่วง” แล้วอยู่ๆ เจ้าของคำพูดปริศนาก็พลิกตัวเข้าหาผนัง กระชับผ้าห่มขึ้นคลุมไหล่แล้วก็นิ่งไปเสียอย่างนั้น
ปองุนงงจนต้องถดตัวลุกขึ้นพลางชะโงกมองคนที่นอนอยู่ข้างๆ เปลือกตาบางปิดสนิทพร้อมลมหายใจสม่ำเสมอ ทำเอาคนมองต้องเกาหัวแกรกๆ แต่เมื่อทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายเขาก็เลยต้องล้มตัวลงนอน แล้วค่อยๆ ดึงผ้าห่มส่วนที่เหลือมาห่มตัวเองบ้าง
ไออุ่นที่เพิ่มเข้ามาท่ามกลางอุณหูมิ 24 องศาของเครื่องปรับอากาศ ทำให้ร่างที่นอนขดตัวอยู่เปลี่ยนเป็นเขยิบเข้าไปชิดใครอีกคนใต้ผ้าห่มนั้น คนที่กำลังเคลิ้มหลับต้องสะดุ้งตื่นอีกรอบ เมื่อรู้สึกถึงอะไรเย็นๆ ข้างกาย หากพอก้มลงไปมอง จึงได้เห็นแก้มขาวๆ ที่วางแปะอยู่บนท่อนแขนตนเอง
“หนาวเหรอ” เอ่ยอย่างแผ่วเบาเพราะไม่ได้ตั้งใจจะถามคนหลับ ทว่าหัวทุยๆ ที่ซบอยู่ตรงหัวไหล่กลับขยับยุกยิกคล้ายพยายามตอบรับ
ปรนัยมองภาพนั้นอยู่นาน ก่อนจะเผลออมยิ้มกับตัวเอง ร่างหนาพลิกตัวนอนตะแคง แล้วปล่อยให้คนขาดความอบอุ่นได้ขยับกายเข้ามามากขึ้น ลมหายใจที่รดอยู่ตรงอกตัวเองทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงได้ที่พักพิงตามต้องการแล้ว
“สบายเลยนะ น้ำก็ไม่อาบ แล้วยังมาซุกอีก” งึมงำคล้ายดุ แต่สุดท้ายก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาจนถึงแก้มเย็นๆ นั่น และไม่ลืมควานหารีโมตแอร์ที่หัวเตียงมาปรับอุณหภูมิ ก่อนจะปิดเปลือกตาลงและหลับไปจนถึงเช้า
---------------------------------------------
อาการคอแห้งผากเหมือนกลืนทรายลงไปหลายตัน พร้อมความวิงเวียนที่จู่โจมตั้งแต่ยังไม่ลืมตาตื่น ทำให้ภาคภูมิต้องกัดฟันแน่น อีกทั้งความหนาวจนร่างสั่นสะท้านก็ยิ่งทำให้อาการดังกล่าวคล้ายจะรุนแรงขึ้นอีกหลายเท่า
“ป....” เปลือกตาหนักๆ ค่อยๆ ลืมขึ้น ภาพแรกที่เห็นคือใบหน้าของเพื่อนสนิทที่ยังหลับไม่รู้เรื่อง เขาพยายามเอ่ยเรียก แต่ไม่อาจเปล่งเสียงได้ตามต้องการ
ฝืนกายลุกขึ้นนั่งได้ก็รีบมองไปยังหัวเตียง ก่อนจะพบวัตถุที่ตามหา รีโมตแอร์แสดงอุณหภูมิ 22 องศา จึงไม่แปลกใจว่าทำไมตัวเองถึงฝันว่ากำลังลี้ภัยในขั้วโลกเหนือ
“ปอ...ปอ...” เสียงแหบเรียกเพื่อนอีกครั้ง คราวนี้ใช้มือเขย่าช่วยปลุกอีกแรง จริงๆ ก็อยากปล่อยให้มันนอนต่อ แต่ถ้าไม่ปลุกตอนนี้ อาจเป็นเขาเองที่ตายอยู่บนเตียง
“อื้อ...” เจ้าของห้องสะดุ้งตื่นขึ้นมา ทันทีที่เห็นใบหน้าซีดเผือดคล้ายจะร้องไห้ของผู้อาศัย ความง่วงงุนก็เหมือนจะสลายไปในพริบตา
“พีพี?!”
“ป..ว..ด..หั..ว” อีกฝ่ายตอบออกมาอย่างยากลำบาก ก่อนตากลมที่แดงก่ำจะเริ่มมีน้ำตาคลอ
ฝ่ามือหนาเอื้อมไปแตะหน้าผากและลำคอของคนตรงข้ามเบาๆ “เจ็บคอด้วยมั้ย”
คนป่วยพยักหน้า
สิ้นคำตอบนั้น เจ้าของห้องก็รีบผลุนผลันลงจากเตียงโดยที่ภาคภูมิก็ไม่ทันตั้งตัว
“เดี๋ยวกูไปซื้อข้าวกับยามาให้ นอนไปก่อนนะ” ร่างสูงหยิบกางเกงขาสั้นที่ผึ่งไว้มาสะบัดๆ แล้วสวมอย่างเร่งรีบ
ภูมิมองการกระทำทั้งหมดคล้ายดูภาพยนตร์จอยักษ์ ตอนนี้สมองเขาพร่าเบลอเกินกว่าจะคิดอะไรได้ทัน รู้ตัวอีกทีก็ถูกมือหนาดันให้นอนลง พร้อมสะบัดผ้าห่มมาคลุมร่างให้เรียบร้อย
“เดี๋ยวมา”
ตั้งใจจะนอนต่ออีกนิด แต่เสียงเตือนจากแอปไลน์ที่ดังถี่ๆ ก็ทำให้ภาคภูมิยอมแพ้ในที่สุด พอเห็นชื่อเพื่อนต่างคณะแล้วคิ้วเรียวก็ต้องขมวดมุ่น เมื่อคืนคุ้นๆ ว่าวินบอกจะมารับ แต่สุดท้ายแล้วไม่รู้ว่าเขามาโผล่ห้องไอ้ปอได้ยังไง
Twin (7.40): ฮัลโหลๆ
Twin (7.42): ตื่นยัง
Twin (7.42): เป็นไงบ้าง
Twin (7.43): วันนี้ไปไหนเปล่า
ตากลมหรี่ลง พยายามอ่านข้อความนั้นทั้งๆ ที่สมองยังไม่พร้อมเปิดรับอะไรเท่าไร
PPoom (7.46): แฮ้ง
Twin (7.47): หืมมม เมื่อคืนก็ไม่ได้เมานี่ ยังคุยกับเราอยู่เลย
เจอประโยคนี้เข้าไป นิ้วเรียวเลยต้องรีบสไลด์หน้าแชตขึ้นไปโดยด่วน ทำไมจำอะไรไม่ได้เลยวะ!!!
Twin (21.24) : เรากินข้าวอยู่แถวๆ ร้านพอดี จะกลับก็บอกนะ เดี๋ยวแวะรับ
PPoom (21.30) : ไม่เป็นไรๆ ดึกแน่
Twin (21.30) : นี่ก็จะไปนั่งเล่นหอเพื่อนเหมือนกัน จะกลับก็ไลน์มานะ
PPoom (21.32) : อ่อ เคๆ
แค่นี้?
ถ้าหากเป็นช่วงสามทุ่มกว่าๆ เขาก็ยังไม่เมาจริงๆ นั่นแหละ แต่หลังจากนั้น... เชี่ย ภาพตัดเฉยเลย ยิ่งพยายามคิดยิ่งปวดหัว ภูมิจึงทำได้เพียงพิมพ์ขอโทษกับคนในไลน์แล้วขอตัวไปนอนต่อ และคราวนี้วินเหมือนจะอยู่ในเกมภาษาเดียวกันกับเขาเสียที
Twin (7.55) : ได้ๆ ภูมิพักผ่อนเถอะ
ร่างบนเตียงผล็อยหลับไปอีกจนกระทั่งเจ้าของห้องกลับมา ปรนัยชะโงกดูคนที่ซุกอยู่ใต้ผ้าห่มแล้วก็ตัดสินใจให้เพื่อนนอนต่ออีกนิด ส่วนอาหารและยาที่หิ้วกลับมาก็นำไปวางไว้หลังตู้เย็นก่อน กะว่าสักเก้าโมงค่อยปลุกไอ้ขี้เมาอีกครั้ง ส่วนตัวเองตื่นแล้วตื่นเลย แม้จะยังหนักๆ หัว แต่นอนต่อยังไงก็คงไม่หลับ
ปอคว้าผ้าเช็ดตัวกับชุดใหม่เข้าไปในห้องน้ำ จัดการธุระส่วนตัวไม่นานนักก็ออกมาด้วยความรู้สึกที่สดชื่นขึ้น ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศยังหลงเหลืออยู่จางๆ แต่เขากลับชอบลมธรรมชาติที่มักจะพัดเข้าระเบียงห้องในยามเช้ามากกว่า ร่างสูงจึงเดินไปเปิดประตูระเบียงออกกว้าง และยืนมองอะไรเรื่อยเปื่อยขณะใช้ผ้าผืนเล็กเช็ดผมตัวเองไปมา
ลมอุ่นๆ จากด้านนอกลอยเข้ามาสัมผัสคนที่กำลังหลับใหล ความหนาวจางหายไปแล้ว เหลือเพียงอากาศสบายๆ กับกลิ่นแดดเช้าหอมกรุ่นที่ปลุกภาคภูมิให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ความทรมานของร่างกายทุเลาลงไปพอสมควร แต่เขายังรู้สึกคล้ายล่องลอยอยู่ในความฝัน ฝันที่มีร่างสูงโปร่งของปรนัยภายใต้แสงแดดอ่อนๆ ซึ่งกำลังส่งยิ้มละมุนให้เขาอยู่ในตอนนี้
“พีพี”
คนที่ระเบียงเรียกชื่อเจ้าของตากลมๆ ที่นอนมองเขาคล้ายยังไม่ได้สติ ท่าทางกึ่งตื่นกึ่งละเมอนั้นทำให้ปอต้องเผลอยิ้มออกมา ...เห็นแล้วนึกถึงลูกแมวใต้หอ ที่มันชอบกลิ้งตัวพันไปกับผ้าเน่าผืนประจำของมัน
“เป็นไงมั่ง” ขายาวก้าวเข้ามาในห้องก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงเตียงนอน พลางก้มหน้าลงสำรวจคนป่วย หลังแนบมือลงกับหน้าผากแล้วพบว่าอุณหูมิยังสูงอยู่ จึงเรียกให้ภาคภูมิลุกขึ้นนั่งดีๆ ก่อนตนเองจะผละไปเวฟอาหารเช้า แล้วนำมาตั้งบนโต๊ะเล็กหน้าทีวี พร้อมปูเบาะนั่งเรียบร้อย ทว่าคนบนเตียงก็ยังไม่ยอมขยับ แถมตาแป๋วๆ ยังมองตามเขาไปมาอีก
“แหน่ะ นี่ดื้อแล้ว ไม่ใช่ป่วย” เจ้าของห้องส่ายหน้า แล้วเรียกคนบนเตียงอีกครั้ง “มาเร็ว กินข้าวแล้วจะได้กินยา”
คนป่วยพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะเลื้อยลงจากเตียง พร้อมกองผ้าห่มที่ไถลตามลงมาทับร่างนั้นจมมิด คราวนี้ปรนัยหัวเราะออกมาเสียงดัง หากก็ยอมเดินไปช่วยคนที่กำลังหาทางออกจากกองผ้าแต่โดยดี
“กินโจ๊กเซเว่นไปก่อน ร้านปิดหมดเลยอะ”
ภูมิพยักหน้ารับรู้แล้วก้มหน้ากินโจ๊กไปเงียบๆ อาหารร้อนๆ ทำให้ลำคอที่เจ็บระบมรู้สึกดีขึ้นมาก แต่รสชาติเฝื่อนที่น่าจะเกิดจากต่อมรับรสผิดปกติก็ทำให้เขากินอะไรไม่ได้มากนัก
“กินอีกนิดดิ” คนข้างๆ สั่ง เมื่อเห็นมือขาววางช้อนลงหลังจากกินไปไม่กี่คำ
“ไม่ไหวแล้ว...” เสียงเครือตอบอย่างน่าสงสาร
พอเห็นหน้าหงอยๆ นั่นปอก็ยอมแพ้ เปลี่ยนเป็นแกะยาให้แทน
“อันนี้ยาแก้ปวดกับลดไข้ แต่ไม่มีแก้อักเสบนะ เภสัชบอกว่าถ้าเจ็บคอก็ให้กินน้ำอุ่นเอา”
คนป่วยส่งเสียงอือออแล้วกินยาจนครบ รู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนัก ก่อนจะก้มมองตัวเองแล้วนึกอะไรขึ้นมาได้
“กูไม่ได้อาบน้ำ?”
“เออ!!” เสียงทุ้มตอบคล้ายจะดุ แต่ปลายเสียงกลับหัวเราะ “ให้อาบน้ำก็ไม่อาบ งอแงจะกินแต่ลำไย”
ภาคภูมิฟังเรื่องเล่าน้นแล้วก็รู้สึกหน้าร้อนไปหมด ...มันต้องไม่ใช่แค่นี้แน่ๆ ...ฉิบหายแน่ๆ!!
“แล้ว...แล้วกูทำอะไรอีก...มะ...มั้ย”
คนถูกถามเลิกคิ้วสูง “จะเอาเรื่องไหนล่ะ เรื่องที่ด่าว่ากูใจร้าย เรื่องที่พยายามแย่งหมอนกู” คนเล่าเงียบไปนิดหนึ่ง “หรือเรื่องที่มานอนซุกกูทั้งๆ ที่น้ำไม่อาบ”
“ก็มันหนาว!!!” คนหน้าแดงแป๊ดเถียงทันควัน ก่อนจะไอค่อกแค่ก “เปิดแอร์ทำบ้าอะไรตั้ง 22 องศา”
“มึงฝันแล้ว กูเบาแอร์ให้มึงด้วย 26 องศาได้มั้ง” พูดจบร่างสูงๆ ก็เดินไปคว้ารีโมตแอร์มายืนยันทันที “นี่ไง ยี่สิบ...เชี่ย!! ยีบสองจริงด้วย”
คราวนี้คนป่วยทำหน้าหงิก ส่วนเจ้าของห้องได้แต่ยิ้มแหยๆ ทรุดตัวลงนั่งข้างเพื่อน แล้วเอื้อมมือมาโอบเบาๆ “กูตั้งใจปรับเป็น 26 องศาจริงๆ นะเว้ย แต่มันมืดอะ ขอโทษนะ..น้า”
ภาคภูมิไม่ได้พูดอะไรอีก เอาจริงๆ แค่นึกว่าเพื่อนสนิทต้องมาวุ่นวายกับการดูแลตัวเองยังไงบ้าง เขาก็ไม่มีหน้าไปต่อว่าอะไรแล้ว
“ไม่เป็นไร...” เสียงแหบเอ่ย “ขอยืมผ้าเช็ดตัวหน่อยดิ อยากอาบน้ำ”
“เช็ดตัวไปก่อนมั้ย เดี๋ยวไข้ขึ้นอีกหรอก” เจ้าของห้องพูดไปตามที่รู้สึก หมายถึง ‘รู้สึก’ จริงๆ เพราะฝ่ามือของเขายังสัมผัสได้ถึงความร้อนผ่าวจากต้นคอของอีกฝ่ายอยู่เลย
ภาคภูมิตัวแข็งทื่อ สัมผัสแผ่วเบาที่คอยวัดอุณหูมิอยู่นั้นกำลังทำให้เขาอาการหนักกว่าเดิม ยิ่งสบกับดวงตาคมที่ฉายแววห่วงใยก็คล้ายฤทธิ์ไข้จะกำเริบอีกรอบ
“เนี่ย...หน้าแดงไปหมด” คนที่ใช้มือตนเองเป็นปรอทวัดไข้วางหลังมือลงที่จุดสุดท้ายคือแก้มนิ่ม ที่ตอนนี้กลายเป็นสีแดงอย่างน่าเป็นห่วง
“ปอ...” ภูมิเรียกชื่อคนที่กำลังบ่นเขาไม่หยุด “ปอ”
“หืม”
“มึงคิดว่ากูเป็นเพื่อนมึงมั้ย”
ใบหน้าคมฉายแววสงสัยในคำถามนั้น “เป็นดิ”
“ถ้ามึงคิดว่ากูเป็นเพื่อน...” คนพูดผ่อนลมหายใจหนักๆ ขณะมองสบตากับอีกฝ่าย
ปรนัยเลิกคิ้วก่อนถามด้วยความงุนงง “ทำไมเหรอ”
“...เปล่า” ภาคภูมิเก็บกลืนคำพูดนั้นไว้ในใจ
...ถ้ามึงคิดว่ากูเป็นเพื่อน ก็ช่วยทำกับกูแบบที่เพื่อนควรทำให้กันได้มั้ย...“ไข้ขึ้นแล้วเพ้อเหรอพีพี” ปากก็บ่นคนป่วย แต่มือกลับเอื้อมไปซับเหงื่อบริเวณไรผมให้ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าการกระทำโดยไม่ตั้งใจกำลังทำให้ความหวังของใครงอกงามขึ้นบ้าง
...ถ้ามึงคิดว่ากูเป็นเพื่อน ก็ช่วยหยุดทำเหมือนกูพิเศษกว่าใคร...“ตกลงเช็ดตัวแล้วกันนะ เหงื่อเริ่มออกละ”
แม้คนป่วยจะยังไม่ได้ตกลง แต่บุรุษพยาบาลส่วนตัวก็ลุกขึ้นแล้วเดินผิวปากอย่างอารมณ์ดีไปเตรียมอุปกรณ์และเสื้อผ้าให้เรียบร้อย
“รอเวฟน้ำร้อนแป๊บ ใช้น้ำเย็นเดี๋ยวไข้กลับ”
...ถ้ามึงคิดว่ากูเป็นเพื่อน ก็ช่วยหยุดความใจดีแบบที่มึงก็ไม่ได้ตั้งใจ...“มึงอยากจิบน้ำอุ่นด้วยปะ จะได้เวฟเตรียมไว้ เดี๋ยวใส่เกลือด้วยนิดนึง แม่กูชอบทำให้กินเวลาเจ็บคอ” เจ้าของห้องหันซ้ายหันขวาอยู่ตรงกระจาดเครื่องปรุงข้างไมโครเวฟ ปกติเขาไม่ใช่คนทำอาหาร หรูสุดก็ต้มมาม่ากิน แต่คุ้นๆ ว่าเคยซื้อเกลือมาติดไว้อยู่เหมือนกัน
...ถ้ามึงคิดว่ากูเป็นเพื่อน ก็ช่วยให้ความร่วมมือกับการพยายามห้ามใจของกูหน่อย...“พีพี...?” เอ่ยเรียกคนที่นั่งเหม่อก่อนจะย้ำคำถามเดิมอีกครั้ง พอคนป่วยพยักหน้าตอบรับ ปรนัยก็ฉายยิ้มกว้างคล้ายสนุกเหลือเกินที่ได้ทำนู่นทำนี่ให้อีกคน ในขณะที่ภาคภูมิได้แต่ลอบถอนหายใจยาวๆ อาการปวดแปลบตรงหัวใจคงไม่ใช่เพราะฤทธิ์ไข้ หากมาจากการกระทำอันเต็มไปด้วยความห่วงใย แต่ไม่มีความหมายใดแฝงอยู่
...เพราะทุกอย่างที่มึงทำผ่านคำว่าเพื่อน มันทำให้กูคิดกับมึงแค่เพื่อนไม่ได้เลย....
.
.
หลังจัดการเช็ดเนื้อเช็ดตัวเสร็จ ภาคภูมิก็กลับมานอนอีกรอบตามคำสั่งของเจ้าของห้อง ถึงจะบอกว่าไม่ง่วงยังไง แต่ก็ฝืนสังขารตัวเองไปไม่ได้ สิ่งสุดท้ายที่เห็นคือปรนัยกำลังหอบตะกร้าผ้าลงไปปั่นด้านล่าง เสียงกำชับดังแว่วๆ ว่าให้ห่มผ้าด้วย ก่อนประตูจะปิดลง แล้วห้วงนิทรายามบ่ายก็มาเยือนอย่างรวดเร็ว
เจ้าของห้องกลับขึ้นมาพร้อมข้าวมื้อที่สองของวัน เมื่อเห็นคนที่ยืนยันว่าไม่ง่วงกลับหลับสนิทแล้วก็ต้องหัวเราะกับตัวเอง ...อยู่กับคนป่วยมันก็บันเทิงดีเหมือนกันว่ะ
คิดจะเปิดเกมเล่นแต่ก็เกรงใจคนหลับ สุดท้ายปอเลยได้แต่นั่งนิ่งๆ มองหน้าคนบนเตียงไปเรื่อยเปื่อย ช่วงที่ผ่านมาพีพีมันน่าจะอ่านหนังสือหนัก เพราะขอบตาดูช้ำไม่หาย แต่นอกเหนือจากนั้นผิวเนียนละเอียดก็ไม่มีตำหนิใดๆ ให้เห็นอีก น่าพิศวงจนอยากจับแก้มกลมๆ นั่นมาส่องดูใกล้ๆ สักที
เหมือนคนหลับจะรู้ว่าโดนนินทาในใจ ใบหน้าที่ปรนัยจ้องมองจึงขมวดคิ้วมุ่นแบบที่เจ้าตัวชอบทำในยามเผลอ เจ้าของห้องหัวเราะออกมาอีกครั้ง ก่อนจะพาตัวเองไปนอนลงข้างๆ คนป่วย โดยไม่กลัวว่าจะติดไข้ไปอีกคน
เหตุการณ์เดจาวูเหมือนเมื่อคืนเกิดขึ้นอีกรอบ ไม่ทันที่ร่างสูงจะจัดตำแหน่งตัวเองให้เรียบร้อย คนหลับก็กลิ้งตัวมาซุกราวกับรออยู่ คราวนี้คนโดนซุกไม่ได้เมา ไม่ได้ง่วง เรียกว่ามีสติเต็มร้อย และมีเวลาพิจารณาทุกอย่างอย่างละเอียด โดยเฉพาะพื้นที่ใต้อกด้านซ้ายที่เต้นตึกๆ กับวงแขนของตนเองที่วาดขึ้นโอบคนข้างกายโดยอัตโนมัติ
‘มึงคิดว่ากูเป็นเพื่อนมึงมั้ย’
อยู่ๆ คำถามเมื่อตอนสายจากภาคภูมิก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้สิ่งที่เขาได้ยินมันต่างออกไป ความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำถามง่ายๆ ดูเหมือนจะซับซ้อนกว่านั้นมากนัก ...เป็นเพื่อน?
ก็ถ้าความเป็นเพื่อน คือการอยากวิดีโอคอลหามันก่อนนอนทุกคืน
ถ้าความเป็นเพื่อน คือการชอบมองหน้ามันตอนหลับ
ถ้าความเป็นเพื่อน คือความหงุดหงิดทุกๆ คนที่ทำท่าจะสนใจมัน
ถ้าความเป็นเพื่อน คือการนอนกอดมันได้โดยไม่รู้สึกแปลก
ถ้าเป็นอย่างนั้น... เขาก็คงคิดว่ามันเป็นเพื่อนจริงๆ
แต่เพื่อนกันเค้าเป็นกันแบบนี้เหรอวะไอ้ปอ!!!------------------------------
ต่อด้านล่างค่ะ