EP.2 "...ยังแก้ไม่ได้เหรอ"
หลังจากได้รับการลงเกมเวอร์ชันทดสอบในสมาร์ตโฟนของตัวเอง ผมก็กลับมาทำหน้าที่หนูทดลองที่ดีด้วยการตรวจสอบว่าการพัฒนาคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว บางส่วนที่ติดขัดตั้งแต่ครั้งก่อนได้รับการแก้ไขแล้ว รวมถึงความสมจริงที่เพิ่มขึ้นมาด้วย
ก็เหลือแต่คำสั่งตอนแพ้นี่แหละที่ยังเหมือนเดิม
ปุ่มกดมีเพียงแค่คำสั่ง 'เริ่มต้นใหม่' เพียงอย่างเดียวให้เลือก ผมส่งเสียงจิ๊จ๊ะแบบไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก คราวนี้ผมสามารถผ่านไปได้จนเคลียร์ช่วงแรกเกือบหมดแล้ว ดันไปพลาดไม่รู้ว่าถ้าจะขึ้นชั้นสองจะต้องไปปิดคำสั่งควบคุมแสงไฟก่อน เลยเน่าตายอยู่ในลิฟต์ไป
อารมณ์ไม่ค่อยดีเลยอยากออกเกม ก็ดันมีแต่คำสั่งให้รีสตาร์ทอีก
"ตรงไหน"
คนพัฒนาบอกว่าอยากรู้ความคืบหน้า คืนนี้ผมเลยถูกลากมาค้างที่ห้องด้วย ผมกับเขาเหมือนกันตรงที่ต้องเช่าหอพักอยู่ ผมเป็นเด็กต่างจังหวัดเข้ามาเรียนในเมือง ส่วนเขาบ้านอยู่อีกฝั่งของเมืองจนต้องยอมย้ายที่อยู่ชั่วคราวเพื่อให้สะดวกต่อการเรียน
"ที่เดิม ไม่มีให้ออกเกม"
"กูว่าแก้กูแล้วนะ"
ยกไหล่ขึ้นแทนการปลอบผสมกับตอกย้ำ "ก็อย่างที่เห็น"
"ไว้ค่อยแก้ มีงานอื่นอีก"
"อันนี้คือทำเล่นๆ เหรอ"
ก็ถ้าเป็นงานที่ต้องใช้ส่งคงไม่บอกว่าเอาไว้ทำเมื่อว่างหรอก อีกอย่างนอกจากงานที่มีคะแนนแล้วเขายังรับงานนอกเองด้วย ยังไงงานที่ได้เงินมันก็ต้องมาก่อนอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ
"ทำไปเรื่อย ทดสอบฝีมือ"
ความท้าทายไม่กี่อย่างของพวกคลั่งไคล้ภาษาอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากการเขียนตัวอักษรให้กลายเป็นภาพปรากฎบนหน้าจอแล้วการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนเป็นเรื่องที่ปล่อยวางไม่ได้ ตั้งแต่รู้จักกันมาสถิติแก้โค้ดที่นานที่สุดคือสามสิบสองชั่วโมงไม่ได้พัก แบบที่ผมมาหาตอนเช้า นอน แล้วตอนที่ตื่นก็ยังเห็นเขาอยู่ตรงหน้าคอมพิวเตอร์แบบเดิม
"จะรอเล่นอีกรอบแล้วกัน"
"คงอีกสักพักใหญ่เลยล่ะ ชอบเกมนี้?"
"มั้ง"
เรียกไม่ถูกเหมือนกันว่าชอบหรือไม่ชอบ ส่วนหนึ่งอาจมาจากนิสัยไม่ค่อยยอมแพ้กับอะไรง่ายๆ ด้วยแหละ อย่างเกมของเขาทุกเกมที่ผ่านมือของผมจะต้องจบด้วยคำว่าชนะถึงจะยอมเลิก
ตัวเองนอนกลิ้งไปมาบนเตียง ส่วนเจ้าของห้องนั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้น สายตาจับจ้องแต่แสงไฟบนโน้ตบุ๊กบนตัก ผมมองเขาพรมนิ้วมือไปบนแป้นเป็นจังหวะที่ไม่มีความสม่ำเสมอสลับกับใช้เมาส์ลากไปมา เห็นท่านั่งที่ไม่ค่อยส่งผลดีกับสุขภาพเลยต้องเตือนหน่อย
"นี่ นั่งหลังตรงอย่างที่สอนสิ"
พอมาเรียนแบบเจาะลึกแล้วก็กลายเป็นคนโรคจิตที่ระแวงโรคใกล้ตัวไปเสียทุกอย่าง โดยเฉพาะกับโรคที่เกิดจากการใช้ร่างกายในท่าเดียวกันเป็นเวลานานจนเป็นปัญหาเรื้อรัง อะไรที่ป้องกันเอาไว้ได้ก่อนก็ควรที่จะทำตามไปเถอะ มันไม่คุ้มกับการต้องไปรักษาภายหลังหรอกนะ
คนโดนสั่งหันมาทำหน้าเบื่อใส่ก่อนจะปฏิบัติตามโดยดี ผมหลุดขำให้มุมเด็กน้อยของเขา คือยังไงก็จะทำตามแหละ แต่ก็ขอให้ได้แสดงออกหน่อยว่าก็ไม่ได้อยากจะทำเท่าไหร่
"ขำตรงไหน?"
"ก็ตรงที่หันมาไง"
"เฮอะ..." ยิ่งพ่นลมหายใจออกมาอย่างนั้นแล้วก็เหมือนเด็กเข้าไปใหญ่ "แค่ก้นกูแตะที่นั่งก็ต้องท่องสเต็ปที่มึงเคยสอนแล้ว หลอนหูฉิบหาย"
"สอนข้างหูอย่างนั้นไม่หลอนให้มันรู้ไป"
คิดว่าตัวเองก็เป็นลูกช่างแขวะเหมือนกัน ผมวางโทรศัพท์ของตัวเองลงเมื่ออีกคนลุกออกจากที่นั่งแล้วก้าวขึ้นเตียงมาอยู่ด้วย เปลี่ยนต้นขาของผมให้กลายเป็นหมอนหนุนโดยการทิ้งทั้งศีรษะลงมาตามความเคยชิน ผมที่เริ่มยาวแล้วไม่ทำให้อาการระคายแทรกเข้ามาผ่านเนื้อผ้าได้ง่ายเช่นทุกครั้ง
"ครูมึงรู้คงประทับใจอะ สอนตอนที่เรามีเซ็กส์กันเนี่ยนะ"
"ถ้าเป็นเวลาอื่นมึงก็ไม่ฟังกูนี่"
บทสนทนาเรียบง่ายราวกับเรื่องดินฟ้าอากาศ ซึ่งสำหรับเราสองคนแล้วมันก็เป็นเรื่องธรรมดาจริงๆ นั่นแหละ
"ฟังตลอดเถอะ"
"แต่นี่ก็จำได้แล้วไง ถือว่าประสบความสำเร็จก็พอแล้ว"
ยังจำสีหน้าในวันนั้นได้อยู่เลย ตอนที่เขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายผมแล้วหยุดชะงักไปมันน่าขำมากเลยนะ
เขาพลิกตัวในเสี้ยววินาทีจนผมไม่มีเวลาได้ป้องกัน ใช้แขนทั้งสองข้างกักผมเอาไว้ใต้ร่าง ระบบความทรงจำของร่างกายแจ้งเตือนว่ามันกำลังจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อจากนั้น คนที่คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรอย่างผมปล่อยให้ริมฝีปากของอีกฝ่ายสัมผัสไปตามส่วนต่างๆ ของใบหน้าจนพอใจ จากนั้นตัวเองถึงเผยอปากขึ้นไปจุมพิตคืนเบาๆ
"นี่..."
"ว่าไง" เตรียมปลดกระดุมเสื้อนอนของอีกฝ่ายออกแล้ว "จะหยุดก็รีบบอก"
"คบกันไหม?" "..."
เอาตามความจริงเลยก็ไม่คิดว่าจะได้ยินอย่างนั้นเหมือนกัน ผมกระพริบตาถี่ๆ พลางทบทวนว่าเมื่อกี้ตัวเองหูฝาดไปเองหรือเปล่า มือทั้งสองข้างที่สาละวนกับเสื้อผ้าของเขาเปลี่ยนเป็นการเอื้อมจับไหล่ก่อนจะกดให้เขากลับไปนั่งหลังตรงแล้วผมขึ้นคร่อมไว้แทน
"ให้พูดอีกที"
"คบกันไหม?"
และเมื่อได้ยินคำเดิมซ้ำเป็นครั้งที่สองผมก็ยิ่งไปต่อไม่ถูก
ก็บอกแล้วไงว่าความสัมพันธ์ของเรามันชัดเจนและคลุมเครือไปพร้อมๆ กัน เพราะงั้นตอนที่ได้ยินอย่างนั้นเลยไม่ค่อยอยากเชื่อหูตัวเองมากเท่าไหร่ มันไม่เหมือนกับคำที่ใช้ในนิยายหรือว่าละคร ผมไม่มีอาการใจเต้นแรงหรือว่าตื้นตันใจกับคำพวกนั้น สิ่งเดียวที่คิดออกคือมันแปลกจนเกินไป
"ขอเหตุผล"
มือสองข้างของเขาโอบเอวผมเอาไว้เพื่อเพิ่มความบาลานซ์ "ไม่มี"
"ไม่ได้"
ยืนกรานตามความคิดของตัวเอง นอกจากเกมที่ยังไม่เสร็จดีผมว่าคนพัฒนานี่ก็ยังต้องการการประมวลผลที่มากขึ้นเหมือนกัน
ถ้าเป็นเขาคนที่ผมรู้จักจะไม่มีทางพูดอะไรอย่างนี้ออกมา
"ก็ไม่มี ให้คำตอบมาเร็ว"
และรู้จักเขามากพอที่จะปลงว่าต่อให้ตัวเองจี้เอาคำตอบมากแค่ไหนก็คงไม่ได้อย่างที่ต้องการ ผมถอนหายใจออกมาแรงๆ ต่อหน้าพลางนึกคำตอบที่เหมาะกับช่วงเวลานี้มากที่สุด ผมเคยคิดนะว่าการที่คนๆ หนึ่งเซอร์ไพรส์โดยการขอใครอีกคนแต่งงานกลางเหตุการณ์นั่นนู่นนี่เป็นอะไรที่ไม่แฟร์กับฝ่ายต้องให้คำตอบเลยสักนิด ก็ในขณะที่ผู้เสนอมีเวลาคิดมากมายเกี่ยวกับการแต่งงาน ผู้สนองกลับมีเวลาไม่กี่วินาทีภายหลังจากคำขอในการตอบกลับ
พอมาเจอเองก็รู้เลยว่ามันไม่แฟร์จริงๆ นั่นแหละ
"อยากได้แบบไหนล่ะ" สิ่งหนึ่งที่รู้ได้แน่ชัดคือผมไม่พร้อมจะคิดชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียอะไรทั้งนั้น ตอนนี้สมองเริ่มรวนแล้ว
"เยสออร์โน"
คนเขียนโปรแกรมก็อย่างนี้ล่ะนะ มีแค่คำตอบที่ใช่หรือไม่ใช่ไปเลย ไม่มีการบอกว่าให้เวลาคิดเพิ่มเติมหรือว่าตอบอย่างอื่นที่นอกเหนือไปจากคำสั่งข้างต้น
มองลึกเข้าไปข้างในนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม ตาของเขาบอกอะไรได้หลายอย่างมาตั้งนานแล้ว เช่นตอนที่เศร้าหรือว่ากำลังหงุดหงิด ต่างจากคราวนี้ที่มันไม่ช่วยให้ความกระจ่างอะไรกับผมได้สักอย่าง มันมืดสนิทเสียจนต้องโน้มทั้งตัวเข้าไปใกล้เพื่อให้ช่วงตาจับจ้องอยู่กับสิ่งอื่นแทน
เช่นริมฝีปากที่กำลังเหยียดยิ้มร้ายกาจราวกับรู้คำตอบอยู่แล้ว
"...เยส"
"กูเห็นมันเดินกับเด็กสถาปัตย์คนนั้นมาสักพักแล้วนะ"
"อืม" ได้ยินหมดแหละว่าเพื่อนของตัวเองพูดอะไร แต่ไม่อยากจะแสดงออกว่ากำลังใส่ใจเพราะไม่อย่างนั้นมันจะไม่จบลงง่ายๆ
"ไม่มีคำอื่นแล้วหรือไง"
"อ่าฮะ"
"ไม่ใช่คบกันอยู่เหรอ เห็นวันก่อนอัปเฟซ"
"เลิกกันแล้ว"
บอกกลับไปง่ายๆ แล้วต้องสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงกล่องเหล็กที่เอาไว้เก็บของหล่นกับพื้นเสียงดัง
"เลิกแล้ว?"
"ใช่" ล่ะก็ต้องเป็นผมเองที่ก้มลงไปเก็บ สีหน้ากระอักกระอ่วนระคนไปกับความตื่นตกใจของเพื่อนมากเสียจนต้องปลอบ "คบได้ก็เลิกได้นะ"
"เดี๋ยวนะ ขอเวลาแป๊บ..."
มันร้ายแรงมากเลยหรือไง เพื่อนถึงต้องทำหน้าเหมือนกับทั้งโลกกำลังจะถล่มลงมาอย่างนั้น
"มันยากตรงไหน ก็แค่เลิกกัน"
หลังจากที่ตอบตกลงไปแบบไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นักเขาก็ขึ้นสเตตัสบนเฟซบุ๊กของตัวเองหรา เรียกให้เพื่อนและใครอื่นที่ผมไม่รู้จักจำนวนมากโผล่เข้ามาแสดงความยินดีในคอมเมนต์เต็มไปหมด เกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์เป็นการบอกว่าในที่สุดก็มีวันนี้สักที หลังจากที่ต้องเก็บความสงสัยมานาน ส่วนอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์เป็นการพนันกันว่าสเตตัสนี้จะอยู่ได้อีกกี่วัน
ก็ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนไปสักอย่างเลยไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมจะต้องมาป่าวประกาศให้คนอื่นรู้โดยทั่วกันเสียอย่างนั้น ผมเองไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับตัวอักษรบนโลกออนไลน์อยู่แล้วเลยปล่อยให้มันเลยตามเลย จากนั้นอีกเกือบสัปดาห์เขาก็ขอเลิกด้วยเหตุผลว่าเด็กสถาปัตย์คนที่อยู่ในเนื้อหาการคุยก่อนหน้าขอคบ
เลยต้องมาเลิกกับผมก่อน
แน่นอนว่าตอบกลับไปได้ทันทีต่างจากตอนที่โดนขอคบ ก็ในเมื่อการที่ต้องถูกผูกมัดด้วยชื่อสถานะมันไม่ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงก็ไม่เห็นจำเป็นต้องมีเลยนี่นา
"แล้วจะคบทำไมวะ"
"แล้วใครเอาแต่ถามว่าทำไมไม่คบกันสักทีล่ะ" สวนกลับไปตามความรู้สึก "ทำไมเราต้องยัดเยียดตัวเองเข้าไปอยู่ในความสัมพันธ์แบบที่ไม่ต้องการด้วย"
หลายคนเคยบอกผมว่าการกระทำของเรามันคือการคบกัน
และผมกับเขาก็จะตอบกลับไปในทันทีว่าเราไม่ได้คบกันสักหน่อย มันเป็นคำถามที่น่าเบื่อมากเลยนะ ทำไมต้องมาเหมารวมว่าการกระทำหนึ่งมีค่าเท่ากับต้องเป็นแฟนเท่านั้น เหมือนอย่างการที่ผมอยู่กับเขาเสมออย่างนี้ก็เหมือนกัน การที่เราอยู่ด้วยกันมันมีค่าเท่ากับแฟนเสมอไปหรือไง ก็แค่อยากอยู่ด้วยกันโดยไม่ต้องมีข้อยุ่งยากเรื่องคำจำกัดความไม่ได้เหรอ
เราสองคนพอใจที่จะอยู่อย่างนี้ แล้วทำไมคนข้างนอกถึงต้องมาไม่พอใจแทนด้วย
"...มึงควรไปเรียนสายสังคม" อย่างเพื่อนคนนี้ก็เคยถามประมาณนี้หลายรอบนะ เจอผมยืนกรานในความคิดเดิมจนไม่ถามแล้วมั้ง
หัวเราะเย้ยตอนได้ยิน "มันเป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำต่างหาก เลิกคิดอะไรแบบนี้ได้แล้ว"
การตัดสินคนแบบ Stereotype (การเหมารวม) เป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดใจสำหรับผม ในช่วงแรกก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ตัดสินคนจากการเหมารวมเหมือนกัน จนมาเจอกับเขาแล้วก็อ่านหนังสือนอกเวลาหลายประเภทนอกเหนือจากที่ถูกบังคับให้อ่านในเวลาเรียนก็เลยตระหนักถึงความสำคัญขึ้นมาหน่อย
"แล้วตอนนี้อยู่ในสถานะอะไร แฟนเก่า?"
"ถ้านิยามว่าการเลิกกันแล้วจะต้องเป็นแฟนเก่าก็ใช่ แต่ถ้าเอาตามที่รู้สึกก็คือไม่มีอะไรเปลี่ยน"
เรื่องของเราก็เป็นประมาณนี้
ไม่ผูกมัด ไม่ผูกพัน
ในช่วงเวลาที่ไม่มีใคร เราก็กลับมาอยู่ด้วยกัน
แต่ถ้ากำลังสานสัมพันธ์ไม่ว่ากับใคร เราก็จะก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวกลับไปอยู่ในมุมมืด เป็นเพียงภาพเลือนรางที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจตามหาได้
"งั้นคืนนี้ไปฉลองให้กับความโสดกันไหม?"
"ที่ไหนล่ะ" ไม่ค่อยขัดใจใครหรอก เข้าใจอยู่ว่าช่วงที่ผ่านมามีควิซมาราธอนตั้งแต่ต้นเดือนลากยาวมาจนกลางเดือนแล้ว "เอาแบบไม่ไกลนะ ขี้เกียจ"
ร้านเหล้ากับรอบข้างมหาวิทยาลัยเป็นของคู่กัน บางที่นี่เล่นเปิดใกล้หอพักเสียจนนึกว่าเจ้าของคนเดียวกัน ผมเคยเปิดอ่านเจอเรื่องกฎระเบียบการตั้งร้านเหล้าในละแวกสถานศึกษาอยู่เหมือนกันนะ นั่งหาตอนที่ตัวเองก็นั่งกินเหล้าอยู่ในร้านนั่นแหละ ย้อนแย้งในตัวเองสุดๆ ไปเลย
"เดี๋ยวไปดูโต๊ะว่างแล้วจะบอกอีกที เจอกันสองทุ่มหน้าประตูสี่ก่อนแล้วกัน"
"ได้เลย"
แล้วตารางชีวิตในเย็นวันนั้นของผมไม่ว่างเพราะอย่างนี้นี่แหละ
ผมมองว่าเซ็กส์เป็นเรื่องปกติ
ยิ่งเรียนกายวิภาคอยู่เลยทำให้ชินชากับอวัยวะทุกชิ้นไปด้วย
มันไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ที่ไม่ต่างกับสัตว์อื่น บ้านเมืองนี้พยายามสอนให้รักนวลสงวนตัวแล้วผลักให้เรื่องเพศสัมพันธ์กลายเป็นสิ่งต้องห้าม ทั้งที่มนุษย์เองก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องสืบพันธุ์ต่อเนื่องไปไม่มีจบสิ้น
เพราะอย่างนั้นไม่ว่าคุณจะใช้ร่างกายของตัวเองทำอะไรมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่ควรยุ่งเกี่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ควรเข้าไปตัดสินใจแทน
คงต้องโทษตัวเองที่คิดอะไรง่ายเกินไป ผมดันลืมหนังสือเรียนไว้ในห้องของเขาตั้งแต่ช่วงเปิดเทอมแล้ว มันเอาไว้ใช้เรียนในครึ่งหลังของเทอม รีบซื้อเอามาไว้ก่อนเพราะกลัวจะหมดสต็อก แล้วห้องก็อยู่ระหว่างหอพักของผมกับร้านเหล้าที่เพื่อนส่งโลเคชันมาให้ ก็เลยคิดง่ายๆ ว่าแวะมาเอาเลยก็ดี
เรามีกุญแจห้องของอีกฝ่ายอยู่แล้ว เผื่อไว้สำหรับเหตุการณ์จำเป็นที่ควบคุมไม่ค่อยได้อย่างเช่นลืมเอาไว้ในห้องแล้วมาดึกขึ้นได้อยู่หน้าห้องตอนห้าทุ่ม หอพักสมัยนี้มีเวลาการยืมกุญแจที่ไม่สะดวกต่อการใช้บริการเลยสักนิด
ห้องของเขาใหญ่กว่าห้องของผมพอสมควร แบ่งสัดส่วนเตียงนอนกับส่วนห้องนั่งเล่นเอาไว้ค่อนข้างชัดเจนไม่รบกวนกันมากเท่าไหร่ นิสัยเปิดปิดประตูห้องให้เบามือช่วยให้การรบกวนของผมไม่ส่งผลอะไรเท่าไหร่นัก กำลังจะถอดรองเท้าไว้ตรงตู้ข้างกำแพงก็ดันเห็นว่ามันมีคู่ที่ไม่คุ้นวางระเกะระกะอยู่
เงยหน้ามองทางส่วนของห้องนอนตามสัญชาตญาณ สัมผัสได้ถึงบรรยากาศน่าอึดอัดกระจายตัวอยู่ทั่วไปจนกลืนน้ำลายลงไปได้ยากลำบาก
และเสียงครางด้วยความสุขสมนั่นหยุดทุกความตั้งใจเดิมของผมลง
สั่งให้ร่างกายค่อยๆ ถอยหลังออกมาทีละก้าวอย่างระมัดระวัง มือจับลูกบิดเอาไว้แน่นเพื่อความมั่นใจว่าตอนที่ปิดประตูลงมันจะไม่ส่งสัญญาณอะไรให้เจ้าของห้องรู้ว่ามีบุคคลที่สามอยู่ ขอบคุณที่ทุกอย่างไม่มีอะไรผิดพลาดจนกระทั่งภาพด้านหน้าของผมเปลี่ยนจากความแสงมืดสลัวในห้องเป็นสีน้ำตาลของบานประตูไม้
"เป็นอะไรหรือเปล่า"
"สบายดี ไม่มีอะไรนะ"
ต้องใช้เสียงดังกว่าปกตินิดหน่อยเมื่ออยู่ในพื้นที่ที่ระดับเดซิเบลอาจสร้างความเสียหายให้กับการได้ยินได้ไม่ยาก ผมกับเพื่อนร่วมคณะและเพื่อนของเพื่อนอีกสองสามคนกำลังนั่งล้อมวงอยู่ตรงโต๊ะไม้ไม่ไกลจากเวทีดนตรีสดเท่าไหร่ เพื่อนบอกว่าเลือกที่นี่เพราะการจัดแต่งร้านบวกกับประเภทของดนตรีที่เล่นเข้าถึงง่าย
ผมจำไม่ค่อยได้ว่าหลังจากที่ปิดประตูแล้วตัวเองทิ้งสติเอาไว้ตรงไหน มันกลับมาเข้าร่างก็ตอนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในร้านเหล้าแล้ว ตรงหน้ามีเครื่องดื่มมึนเมาไม่กี่ชนิดวางเรียงเอาไว้เป็นการบอกว่าคืนนี้จะต้องเจอกับอะไรบ้างในเบื้องต้น ก็อย่างนี้แหละนะราคานักศึกษา จะสั่งอะไรที่มันแพงมากมายไปทำไม กินให้เมาก็พอแล้ว
"เห็นมาช้า นึกว่าจะไม่มาแล้ว"
การแวะขึ้นไปเอาของมันกินเวลานานกว่าที่คิดไม่น้อยเลยล่ะ
"มาสิ ก็บอกแล้วไงว่ามา"
อย่างน้อยถ้าผมตกลงอะไรไปแล้วไม่มีการหลบหลีกหรอกนะ ถึงจะดูคิดมากไปเองแต่การที่เรารับปากอะไรออกไปแล้วก็ไม่ควรผิดคำพูด ลองคิดว่าถ้าเป็นตัวเองที่ต้องเจอกับความผิดหวังอย่างนั้นแล้วก็ขอเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยต่อไปเองดีกว่า
"แต่ดูหน้าแล้วไม่ค่อยจอยเลย"
"หน้าปกติ"
ไม่ถึงกับหน้าตายหรือว่าไร้อารมณ์ ก็แค่ไม่ขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้าถ้าคิดว่าไม่จำเป็นเท่านั้นเอง
"แล้วนี่ไม่เฮิร์ตกับเขาบ้างเหรอ ที่เลิกกัน"
วกกลับมาเรื่องนี้จนได้สินะ ผมกระดกของมึนเมาในมือของตัวเองจนเกือบหมดแก้วก่อนตอบ "ไม่นะ"
"ทำได้ไงวะ"
"เริ่มจากเลิกคิดแทนกัน แล้วทุกอย่างก็เป็นไปได้หมดแหละ"
"นี่มึงอยู่บนโลกเดียวกับกูแน่เหรอ"
คนไม่ค่อยเก็บความคิดก็อย่างนี้แหละ ก็ดีเหมือนกันนะสำหรับคนที่ต้องอยู่กับคนที่เอาแต่อมพะนำอย่างเขา การที่ไม่ต้องนั่งอ่านสีหน้ากับท่าทางแล้วมาเก็บมาตีความเอาเองก็เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ดี
"ใช่สิ"
"หรือกูควรถามว่ามึงสองคนน่ะอยู่โลกอื่นหรือเปล่า"
เก็บมันมาคิดตาม ผมรู้จักกับเขาตั้งแต่ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เทียบเวลาจริงคือช่วงประมาณมัธยมศึกษาปีที่หกเทอมสอง บังเอิญเรียนกวดวิชาในสถาบันเดียวกัน พอดีว่ามันเป็นการเรียนสดในห้องเรียนเล็กๆ ไม่ใช่การเรียนกับหน้าจอโทรทัศน์หรือว่าคอมพิวเตอร์เลยรู้จักกันในระดับหนึ่ง
พอแอดมิชชันผมก็ดันได้มหาวิทยาลัยเดียวกัน แค่คนละคณะ เรื่องบังเอิญที่สองคือในวิชาบังคับชั้นปีหนึ่งสามวิชาเราได้เรียนในกลุ่มเดียวกันหมดจนเหมือนกับมีใครจงใจสลับให้มันเป็นอย่างนั้น ความสนิทก็เลยเพิ่มขึ้นจากการที่ต้องเห็นหน้ากันสามวันต่อสัปดาห์เป็นอย่างน้อย
เขาไม่ใช่คนดี ผมรู้
ผมรู้ว่าเขาเป็นอย่างไร ตั้งแต่หัวเกรียนตอนมัธยมเขาก็เป็นอย่างนี้เหมือนกันนั่นแหละ ไม่หยุดอยู่ที่ใครนาน เปลี่ยนไปเรื่อยแล้วแต่ว่าช่วงนั้นจะมีใครเข้ามา ตั้งแต่เด็กวัยใสไปจนถึงสาวมหาลัยก็เห็นมาหมดแล้ว แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครอยู่ทนสักราย
ระยะห่างของเราน้อยลงเมื่อเขาเอ่ยปากขอให้ผมช่วยทดสอบเกมที่กำลังพัฒนาให้หน่อย
ไม่ใช่คนเล่นเกมเก่ง อาจนิยามตัวเองว่าพวกเห่ยที่ไม่มีความสามารถในด้านการบังคับร่างกายให้สัมพันธ์กับสิ่งที่ปรากฎตรงหน้า ไอ้การที่ต้องมองหน้าจอพร้อมกับขยับมือไปมานี่ไม่ใช่ทางเลยสักนิด
แต่เขาก็ยังให้ผมช่วยอยู่เสมอ พอเล่นไปมาก็เริ่มจับทางได้จนกลายเป็นหมายเลขหนึ่งบนบอร์ดคะแนนในเกมที่กำลังพัฒนาหลายตัว
"...กูไม่น่ารู้จักกับมันเลยเนอะ"
ย้อนกลับไปแล้วก็พบว่าตัวเองไม่น่าจะหลุดเข้ามาอยู่ในวังวนนี้ พอเป็นส่วนหนึ่งในการทดลองไปนานๆ แล้วผมก็กล้าแลกเปลี่ยนกับเขา คณะกายภาพบำบัดเป็นคณะที่ต้องใช้การทดสอบกับมนุษย์หลายส่วน เพราะงั้นในช่วงที่ผมต้องเริ่มการศึกษาในภาคปฏิบัติก็ได้เขามาช่วยเป็นหุ่นทดลองให้
"ไม่ควรเลยล่ะ"
พอเขามีใครอื่นผมก็ไม่ต้องรับสายในทุกช่วงเวลาที่อีกฝ่ายต้องการ ไม่มีข้อความส่งมารบกวนในช่วงการเรียนหนังสือ สารภาพเลยว่าความจริงผมไม่รู้หรอกว่าเด็กสถาปัตย์อะไรนั่นเป็นคนเดียวกับที่ผมเจอหรือเปล่า เสียงที่ได้ยินเมื่อช่วงเย็นจะเป็นคนอื่นก็ยังได้เลย
"แล้วต่อจากนี้จะเอาไง เลือกใหม่?"
"เลือก?"
"ก็เห็นว่าคุยกับคนอื่นอยู่"
"ยุ่งเนอะ" หรือเรียกอีกอย่างว่าเสือก
แล้วไอ้การบอกว่าคุยกับคนอื่นนั่นมันเป็นการประกาศโจ่งแจ้งว่าเพื่อนเองก็คอยติดตามชีวิตของผมอยู่เหมือนกัน ผมก็ไปเรื่อยแหละ ตราบใดที่่ยังไม่อยู่ในสถานะที่ 'คนอื่น' บังคับให้ต้องซื่อสัตย์ มันก็เป็นสิทธิของผมที่จะคุยกับใครก็ได้นี่นา
"คนอย่างมึงไม่ใช่ไทป์ที่คนจะเมิน"
ทำปากคล้ายกำลังจะออกเสียงอ้อ
"ง่าย?"
"ขอใช้คำว่ามีคนเข้ามาให้เลือกไม่ขาดดีกว่า"
"ก็ไม่ถึงขั้นนั้น"
"แต่ก็มีใช่ไหมล่ะ"
คราวนี้ไม่ยอมตอบด้วยเสียง แค่ยกโทรศัพท์ของตัวเองที่ส่องแสงจ้าเป็นการแจ้งเตือนว่ามีข้อความใหม่จำนวนหนึ่งส่งเข้ามา ท่ามกลางแสงสลัวผมเห็นเพื่อนผู้มีรหัสต่อกันแสยะยิ้ม มันบอกอะไรได้ชัดเจนจนเราทั้งคู่เลือกที่จะหันกลับไปจมอยู่กับเครื่องดื่มของตัวเองต่อ
"กู 'เคย' คิดว่าเรื่องของพวกมึงแปลก"
"แล้ว...?"
"แต่ตอนนี้กูคิดว่าคนอื่นที่สามารถจำกัดกรอบให้ทำอะไรเหมือนกันได้ตลอดอย่างนั้นแปลกกว่า"
ผมว่าตัวเองไม่ใช่คนเส้นตื้นอะไรมากมาย ตอนที่หลุดหัวเราะออกมาเลยคิดว่าเป็นผลมาจากเหล้าผสมโซดาในมือ ดันให้ชงแบบเข้มด้วยสิ
"มันมีอะไรมากกว่านั้นเยอะ"
เหม่อไปบนเวทีขนาดเล็ก แสงไฟเล่นสีสันไม่ค่อยเข้ากันมากเท่าไหร่ในความรู้สึก เสียงกีตาร์เล่นส่วนอินโทรของเพลงปนไปกับเสียงกลองและคีย์บอร์ด มันเป็นเพลงช้าเนื้อหาเกี่ยวกับความสับสนและลังเลใจ ซึ่งบอกเลยว่ามันไม่ได้โดนใจผมแถมยังพาลให้หงุดหงิดกับคนที่หลงอยู่ในโลกแห่งความรักอย่างนั้น
มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ยอมสูญเสียตัวตนเพื่ออ้อนวอนขอความรักจากคนอื่น
ภาพที่ชัดกลายเป็นเบลอเมื่อจุดสนใจกลายเป็นข้างในระบบความคิด ปล่อยให้มันทำงานด้วยตัวเองต่อไปไม่เข้าไปแทรก ผมคิดว่าตอนนี้ตัวเองครองสติได้ไม่เต็มที่เท่าไหร่ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร
"..."
จนกระทั่งความทรงจำดึงเอาเสียงครางไม่น่าฟังนั้นกลับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งนั่นแหละถึงสามารถโฟกัสภาพตรงหน้าได้เต็มที่ ผมว่าตัวเองพอรู้แล้วว่าทำไมถึงดูไม่ค่อยมีสมาธิเท่าที่ควร
"ถ้าจะเอามันออกก็มีแต่ทางนั้นสินะ..." พึมพำให้ตัวเองฟังเมื่อตัดสินใจเด็ดขาดได้ ทับแบงค์สีเทาไว้ด้วยแก้วที่มีแต่น้ำแข็งเอาไว้ "กลับก่อนล่ะนะ ขอบคุณที่ชวนมา"
เพื่อนที่ดีจะไม่ถามอะไรให้มากความ มีเพียงรอยยิ้มและมือที่ยกขึ้นมาบอกลาเท่านั้น ผมเดินออกมาจากส่วนที่เสียงดังครึกโครม ปลดล็อคหน้าจอโทรศัพท์ในมือตามด้วยคำสั่งโทรออกไปยังเบอร์โปรดเดียวในเครื่อง
(...ว่า)
"จะไปหาที่ห้อง"
(ก็มาสิ)
"เก็บกวาดอะไรให้สะอาดด้วยล่ะ"
(อ้อ) ตอบอย่างนั้นมาได้คงรู้แล้วล่ะว่าผมเจออะไรเข้า น้ำเสียงของอีกฝ่ายยังราบเรียบไม่แสดงอาการใด (อีกกี่นาทีล่ะ ถ้าสักยี่สิบนาทีก็น่าจะสะอาดอยู่)
"สิบห้านาที" ต่อรองกลับไปหลังจากคำนวณเสร็จสรรพว่าต่อให้เดินจงกรมยกย่างเหยียบย่องไปตลอดทางมันก็ไม่มีทางถึงยี่สิบนาทีได้ "อะไรที่ไม่ชอบก็อย่าให้เห็น เข้าใจไหม"
(ได้เลยครับ)
และผมมั่นใจว่าตอนที่ตัวเองเปิดประตูเข้าไปทุกอย่างจะเป็นอย่างที่ต้องการ
***
ตอนแรกตั้งใจให้เรื่องนี้อยู่ในระดับที่เหนื่อยน้อยกว่า
FREEZE | FLY ค่ะ ...แต่เหมือนว่าจะไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่นะคะ (หัวเราะ) จะเป็นเรื่องสั้นสามตอนจบเหมือนเรื่องสั้นที่ผ่านมาเลย แล้วจะมาคุยถึงความเป็นมาในการแต่งเรื่องนี้ในตอนหน้าค่ะ
#รีสตาร์ทเกม