Chapitre 36
นี่ก็ผ่านมาอาทิตย์กว่าแล้วหลังจากที่ผมวอนให้พัฒน์ช่วยสืบเรื่องของเกลให้ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรเข้ามาเลย ผมเองก็ไม่ได้ทักพัฒน์ไปเพราะเกรงว่าจะรบกวนมันมากเกินไป ตัวพัฒน์เองก็เงียบกริบ ไม่รู้ด้วยว่าจะลืมไปแล้วหรือยัง จะมีก็แต่ชัญญ่าที่คอยทักไลน์มาพูดคุยด้วย บ้างก็ถามเรื่องเก็ท บ้างก็ถามเรื่องที่ผมกำลังสืบว่าได้เรื่องไปถึงไหนแล้ว เธอได้แค่บอกว่าผมจริงๆ เธอก็พอรู้เรื่องอยู่บ้างนะ แต่เธอเองก็ยังไม่แน่ใจเท่าไร อีกอย่างเธออยากให้ผมลองหาทางด้วยตัวเองดูก่อน เพราะเธอให้เกียรติความเป็นส่วนตัวและความสัมพันธ์ของผม เธอจึงไม่อยากเข้ามาก้าวก่ายมาก แต่เธอจะค่อยๆ ช่วยเสริมถ้าได้เรื่องอะไรเพิ่มขึ้น
ส่วนเรื่องเก็ทเมื่อวาน หลังจากแยกจากเก็ทไปผมก็รีบกลับหอทันที เป็นจังหวะเดียวกับที่ชัญญ่าทักไลน์มาถามว่าเก็ทได้อยู่กับผมหรือเปล่าพอดี ที่เธอทักมาเพราะว่ามันใกล้ถึงเวลานัด คือสองทุ่มครึ่งมากแล้ว และเธอเองก็มารออยู่ที่บ้านของเก็ทกว่าชั่วโมงแล้ว ผมเลยได้แต่บอกไปว่าเห็นเก็ทบอกว่าจะรีบไปซื้อของขวัญ แต่ไม่ได้บอกว่าผมไปด้วย แถมยังเอ่ยชวนผมไปร่วมโต๊ะอาหารอีกต่างหาก ถ้าผมปฏิเสธไม่ได้แล้วต้องไป ความซวยคงบังเกิดกับผมเป็นแน่แท้
วันนี้ผมก็เป็นปกติเหมือนทุกๆ วันกับเก็ท ราวกับว่าไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่ตอนที่เก็ทมารับก็ดูนิ่งๆ ขรึมๆ มากกว่าปกติ แต่หลังจากนั้นก็เริ่มกลับมาเป็นเหมือนเดิม เก็ทเองก็คงไม่ได้คิดอะไรเพราะกลับไปแล้วเจอชัญญ่า คงรู้สึกดีกว่าที่จะพาผมไปด้วย
ติ๊ง!
เสียงไลน์ผมดังขึ้นขณะที่กำลังนั่งอยู่บนอยู่รถของเก็ทเพื่อกลับหอ ก่อนที่ผมจะล้วงเข้าไปหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกง รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของผมทันทีที่เห็นว่าใครเป็นคนทักไลน์เข้ามา
‘ได้เรื่องแล้วนะ’
เพียงข้อความสั้นๆ ที่แสดงอยู่บนหน้าจอทัชสกรีนนี้ที่ทำให้ผมยิ้มออก ก็เพราะคนที่ส่งเข้ามานั้นก็คือพัฒน์ และเรื่องที่พูดถึงนั้นก็คือเรื่องของผู้หญิงคนนั้น คนที่ชื่อเกล
“ใครทักมาถึงยิ้มออกขนาดนั้น หรือกลับไปคืนดีกับปาร์คนั่นแล้ว” เก็ทเหล่มองท่าทางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ของผมอย่างงงๆ
“เปล่าๆ เพื่อนตอนมัธยมน่ะ พอดีมีเรื่องน่าดีใจนิดหน่อย” ผมตอบโดยไม่ได้หันกลับไปมองผู้ตั้งคำถาม แต่กำลังจดจ่ออยู่กับการปลดล็อคหน้าจอเพื่อเข้าโปรแกรมไลน์ในมือถือของตัวเอง
เก็ทไม่ได้พูดอะไรต่อ และผมก็ไม่ได้หันไปใส่ใจ เพราะกำลังตื่นเต้นและจดจ่ออยู่กับสิ่งที่พัฒน์รู้ และกำลังจะบอกให้ผมรู้ด้วยเช่นกัน ผมรีบพิมพ์ถามกลับไปทันทีว่าได้เรื่องอะไรมา จังหวะการเต้นของหัวใจผมก็เร็วและแรงมากขึ้นทุกขณะ
‘พัฒน์ถามเพื่อนแฟนมาให้ ผู้หญิงคนนั้นชื่อเกล ฟร๊องก์รู้แล้วใช่ไหม’
‘อืมๆ รู้แล้ว ถามแล้วได้เรื่องยังไงมั้ง’
‘ก็ถามว่าเกลนั่นคบกับปาร์คหรือเปล่า เราเอารูปปาร์คให้แฟนแล้วก็เพื่อนแฟนดู เขาบอกว่าก็เคยเห็นไปกินข้าวด้วยกันครั้งหนึ่งนะ น่าจะเป็นวันที่ถ่ายรูปคู่นั้น แต่เพื่อนแฟนเราที่รู้จักกับเพื่อนในกลุ่มของเกล บอกว่าเกลกำลังตามจีบอีกคนอยู่นะ
’
‘ตามจีบอีกคน?’ ผมถามกลับไปด้วยความสงสัยอย่างเต็มประดา จะเป็นไปได้ไง ก็ในเมื่อเธอประกาศกร่าวกับผมขนาดนั้นว่าเธอกับปาร์คเป็นแฟนกัน คบกันอยู่ แถมยังมีท่าทางหึงหวงออกหน้าออกตาขนาดนั้นอีก แล้วจะตามจีบคนอื่นอยู่ได้ยังไง ผมเริ่มงงไปหมดแล้ว
‘อืม’ พัฒน์ตอบกลับมาเพียงสั้นๆ ยิ่งสร้างความไม่เข้าใจให้กับผม ตอนนี้ในหัวผมมันเต็มไปด้วยเครื่องหมายปรัศนีลอยเต็มไปหมด เรื่องราวมันเป็นยังไงกันแน่ ผมสับสนไปหมดแล้ว ก็ในเมื่อคบกับปาร์คอยู่ จะตามจีบอีกคนแบบออกหน้าออกตาเลยเหรอ อีกอย่างทั้งปาร์คและอีกคนจะไม่รู้เรื่องหรือระแคะระคายบ้างเลยเหรอ
‘แล้วพัฒน์รู้ไหมว่าคนที่เกลนั่นตามจีบเป็นใคร’ ผมถามต่ออย่างร้อนใจ แต่ดูเหมือนพัฒน์เองจะไม่ได้ใจร้อนอย่างผม เพราะเจ้าตัวยังไม่ได้เปิดอ่านข้อความเลย ทำให้ผมต้องส่งสติกเกอร์ไปอีกครั้งพร้อมทั้งเขย่ามืออย่างลุ้นๆ ไปด้วย และเป็นจังหวะเดียวกับที่รถเก็ทจอดสนิทที่ด้านหน้าของหอผมพอดี
“อย่าลืมทำรายงานด้วยล่ะ ใกล้จะส่งแล้ว แล้วก็ใกล้สอบแล้วด้วย เรื่องอื่นอย่าเพิ่งไปสนใจมันมาก” เก็ทพูดขึ้นอีกครั้งก่อนที่ผมจะเปิดประตูลงจากรถ
“อืม เจอกันวันจันทร์นะ” ผมบอกลาห้วนๆ ก่อนจะก้าวลงจากรถไป ใจผมจดจ่อรอคำตอบจากพัฒน์ ซึ่งก็ยังไม่ตอบกลับมาสักที ผมกะว่าถ้าขึ้นไปถึงห้องแล้วยังไม่ตอบ จะโทรถามให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย จะได้ไม่ต้องนั่งลุ้นให้เครียดแบบนี้
แล้วผมก็ขึ้นมาถึงห้องโดยที่พัฒน์ยังไม่ได้ตอบกลับมา โอ้ย! มัวแต่ทำอะไรอยู่เนี่ย อยากรู้ใจจะขาดอยู่แล้ว ผมจัดการวางกระเป๋า วางหนังสือลงบนโต๊ะก่อนจะกดโทรออกหาพัฒน์แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงทันที
[ฮัลโหลฟร๊องก์]
“พัฒน์ เอ่อ... จะถามเรื่องในไลน์เมื่อกี้ต่ออ่ะ” ผมไม่รอช้าตัดเข้าประเด็นทันทีด้วยความร้อนใจ
[โทษทีๆ พอดีเมื่อกี้แม่เรียกให้ไปดูหน้าร้านอ่ะ] พัฒน์ตอบกลับมา ผมจึงรู้เหตุที่เงียบหายไป บ้านวัฒน์เป็นร้านขายพวกวัสดุก่อสร้าง ท่อ เหล็ก บลาๆ อะไรพวกนั้นอ่ะครับ
“อ๋อๆ แล้วฟร๊องก์โทรมารบกวนเปล่า” เห็นมันยุ่งๆ ผมเลยลดความกังวลลง
[คุยได้ๆ รู้ว่าฟร๊องก์ร้อนใจ อยากรู้จะแย่แล้วสิท่าถึงได้โทรมาขนาดนี้] พัฒน์พูดติดตลกแซวผมเล็กน้อย ทำเอาผมแค่นหัวเราะเบาๆ พร้อมกับเกาหัวตัวเองอย่างอายๆ ทั้งที่ไม่ได้คุยกันซึ่งๆ หน้า
“กะ... ก็เกริ่นมาขนาดนั้นแล้วนิ ว่าแต่พัฒน์รู้ไหมว่าคนที่ผู้หญิงคนนั้นตามจีบคือใคร”
[รู้ แต่จริงๆ ที่หายไปนานเนี่ยเพราะกว่าเพื่อนในกลุ่มเกลจะยอมปริปากบอกก็นานอยู่เหมือนกัน พัฒน์รู้แล้วยังอึ้งเลย ไม่คิดว่าจะกล้าทำขนาดนี้]
“อะไร ผู้หญิงคนนั้นทำอะไร ร้ายแรงมากเลยเหรอ” แต่ละคำตอบของพัฒน์ยิ่งทำให้ผมลุ้นมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับหัวใจของผมที่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน พัฒน์เองก็เหมือนกำลังเล่นเกมสืบสวนสอบสวนกับผมเลย ค่อยๆ ปล่อยทีละนิดละหน่อย แต่เอาผมลุ้นฉี่แทบราดแล้วเนี่ย!
[อย่าว่าพัฒน์นะ ถ้าจะด่าว่าผู้หญิงคนนี้โคตร ‘เลว’ เลย] เลวงั้นเหรอ ถึงขั้นผู้ชายเอ่ยปากด่าผู้หญิงว่าแล้ว แสดงว่ามันต้องเป็นเรื่องที่แย่มากๆ สิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นทำต้องเลวร้ายมากๆ แล้วปาร์คล่ะจะไม่ยิ่งแย่กว่าเหรอ
“เลวขนาดนั้นเลยเหรอ”
[ไม่รู้นะ แต่คนที่ผู้หญิงคนนั้นกำลังตามจีบก็เป็นเพื่อนไอ้ปาร์คเหมือนกัน เพื่อนนักบาสที่สนิทกับปาร์คพอสมควรด้วยล่ะ] คำตอบของพัฒน์เล่นเอาผมอึ้ง และนิ่งไปชั่วขณะ ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมพัฒน์ถึงออกปากด่าผู้หญิงขนาดนั้น เพราะสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นกำลังทำมันยิ่งกว่าคำว่า ‘เลว’ ธรรมดาซะอีก ผมไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่าซะด้วยซ้ำไป คบกับคนหนึ่งอยู่ แต่กลับตามจีบเพื่อนของแฟนตัวเอง แบบนี้ไม่เรียกว่าชั่วว่าเลวก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้วแหละ หรือจะให้หยาบกว่านี้คงต้องด่าผู้หญิงคนนี้ว่า ‘เหี้ย’ ก็คงไม่ผิดนักหรอก
[ตอนแรกที่เพื่อนแฟนพัฒน์รู้ มันก็งงเหมือนกัน มันนึกว่าล้อเล่น ก็เลยลองแย็บๆ ถามต่ออีกว่าแล้วคนที่คบอยู่ ซึ่งก็หมายถึงปาร์คล่ะ พอคนที่มันถามหลุดปากออกมาแล้ว คราวนี้ก็ยาวเลย เพื่อนเกลคนนั้นบอกว่าที่เกลคบกับปาร์คด้วยจริงๆ ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากจะเข้าเพื่อนปาร์คคนเนี่ยแหละ แต่เหมือนจะมีอะไรมากกว่านั้น แต่เพื่อนในกลุ่มเกลเองก็ไม่รู้เหมือนกัน บังเอิญไอ้ปาร์คมันหน้าตาดีแถมยังรวย ตรงสเปคด้วยไง อีกอย่างเพื่อนปาร์คคนนั้นมันค่อนข้างติสต์สำหรับคนที่ไม่รู้จัก เลยเข้าทางปาร์คก่อน ติดที่ปาร์คมันคงดูแลค่อนข้างดีด้วยมั้งก็เลยไม่ปล่อยง่ายๆ เลย คบซ้อนพร้อมกับตามจีบอีกคนไปเลย เห็นแฟนเพื่อนบอกว่าเกลมีของใหม่ๆ มาอวดเพื่อนหลายอย่างเลย ปาร์คคงซื้อให้ แถมยังได้ยินมาว่าบางทียังให้เงินด้วยซ้ำเวลาที่เกลเอ่ยปากว่าไม่มี แต่พัฒน์เองก็ยังนับถือนะ ว่าสับรางโคตรเก่งเลย]
“และ... แล้วปาร์คไม่รู้หรือไม่ระแคะระคายบ้างเลยเหรอ”
[ดูเหมือนว่าจะไม่เลยนะ อย่างที่พัฒน์บอกว่าสับรางเก่งมากๆ หรือจะเป็นเพราะไอ้ปาร์คกับเพื่อนมันโง่ด้วยก็ไม่รู้นะ ถึงไม่รู้อะไรบ้างเลย เพื่อนใกล้ตัวกันเองแท้ๆ] นั่นสิ ที่พัฒน์พูดมาก็ถูก เพื่อนใกล้ตัวปาร์คแท้ๆ แต่กลับไม่รู้สึกแปลกใจหรือเอะใจบ้างเลยเหรอ ผู้หญิงคนนั้นจะแสดงละครตบตาปาร์คได้เนียนขนาดนั้นเลยเหรอ หรือว่าตัวปาร์ครักผู้หญิงคนนั้นมากจนมองข้ามสิ่งรอบตัวไปกันแน่ ข้อนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
“แล้วพัฒน์รู้ไหมว่าเพื่อนปาร์คคนนั้นเป็นใคร ชื่ออะไร” มาถึงตรงนี้ ถ้าผมได้ข้อมูลของผู้ชายคนนั้นมา เดี๋ยวผมดำเนินการต่อเองก็ได้ จะได้ไม่เป็นการรบกวนพัฒน์มากนัก
[มันชื่อดิน เป็นเพื่อนของเพื่อนพัฒน์เนี่ยล่ะ เล่นบาสด้วยกันกับไอ้ปาร์ค เรียนวิศวะเหมือนกับพัฒน์ แต่อยู่คนละสาขา พัฒน์เองก็พอรู้จักนะ แต่ก็ไม่ได้สนิทเท่าไร] โลกกลมจนแทบไม่ไปไหนเลยเนอะ มันก็เพื่อนของเพื่อนผมทั้งนั้นเลย แม้จะไม่ได้รู้จักกับเขาด้วย แต่มันก็คงไม่ยากนักที่จะตามเรื่อง รู้มาถึงขนาดนี้แล้วก็เหลือแค่หาหลักฐานไปให้ปาร์คเห็นธาตุแท้ของผู้หญิงเลวๆ คนนั้นแค่นั้นเอง
“พอมีทางติดต่อได้ไหม”
[พัฒน์ไม่มีเบอร์มันว่ะ แต่ถ้าเข้าไปถามโต้งๆ เลยพัฒน์ว่ามันอาจจะไม่บอกนะ คงงงๆ มากกว่าว่าฟร๊องก์เป็นใคร อีกอย่างเรื่องที่เกลคบกับปาร์คก็ดูเหมือนดินมันก็ไม่รู้เหมือนกัน เอาง่ายๆ คือต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่าตัวเองโดนหลอกอ่ะ]
“งั้นจะทำยังไงดีอ่ะ รู้ขนาดนี้แล้วจะปล่อยไว้แบบนี้อ่ะเหรอ” ผมถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลอย่างไม่ปกปิด ทั้งที่ปาร์คทำกับผมไว้ก่อนหน้านี้อย่างไม่น่าให้อภัย แต่แค่ชัญญ่าบอกผมว่าผู้หญิงคนนั้นหลอกปาร์คโดยที่ยังไม่รู้ตื้อลึกหนาบาง ผมก็แทบเป็นแทบตายเพราะเป็นห่วงปาร์คจนลืมสิ่งที่ปาร์คทำไว้กับผมเลย แล้วยิ่งได้มารู้ความจริงแบบนี้ จะให้ผมยอมปล่อยไปง่ายๆ ผมทำไม่ได้หรอก ผมปล่อยให้คนเลวๆ แบบนั้นลอยนวลมาทำร้ายคนที่ผมรักไว้เฉยๆ ไม่ได้!
[เอาแบบนี้ไหม ลองสะกดรอยตามเวลาที่เกลไปกับดินดูดิ] พัฒน์เงียบไปสักครูก่อนจะเสนอความคิดที่น่าสนใจขึ้นมา แต่ปัญหาก็คือ ผมจะตามยังไง แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าผู้หญิงคนนั้นไปหาคนชื่อดินหรือเปล่า
“แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าเกลไปหาคนชื่อดินไม่ใช่ปาร์ค”
[อืม... คิดไม่ออกเหมือนกันอ่ะ] นั่นสิ ผมเองก็คิดไม่ออกเหมือนกัน วิธีที่พัฒน์เสนอถือเป็นวิธีที่ดีนะครับ ถ้าเราตามไปให้เห็นกับตาได้ว่าเธอกำลังคบซ้อนจริงๆ จะได้มีหลักฐานไปแสดงกับปาร์คด้วยว่ามันเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่แค่เรื่องที่ผมแต่งขึ้นมา
“ทำไงดีอ่ะ เราก็คิดไม่ออก” ผมถอนหายใจอย่างเซ็งๆ อุตส่าห์รู้ได้ขนาดนี้แล้วแท้ๆ แต่ดันมาตันเอาเรื่องวิธีปฏิบัติจริง จะให้ตามไปมั่วๆ ก็มีหวังว่าฝ่ายนั้นจะรู้ตัวซะก่อน แล้วแผนจะพัง ทีนี้แหละ อย่าหวังแค่จะตามสืบเลย แค่ล้วงข้อมูลต่อไปยังยาก เผลอๆ ผมอาจจะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย แน่นอนว่าผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ดังนั้นเวลาวางแผนจะต้องรัดกุมมากที่สุด แค่นี้เราก็เสี่ยงแล้วที่เลือกไปถามเพื่อนในกลุ่มของเกลโดยตรง
แต่คงไม่มีปัญหาหรอก เพราะเพื่อนของแฟนพัฒน์นั้นก็ไม่ได้รู้จักกับผม มันห่างไกลกันมากจนยากที่จะสาวมาถึงตัวผมได้ ฉะนั้นประเด็นนั้นน่าจะสบายใจได้ แต่การจะหาหลักฐานนี่แหละที่สำคัญ ถ้าขั้นตอนนี้พัง ไม่เพียงอีกฝ่ายจะรู้ตัว แต่ความพยายามทั้งหมดที่ทำมาก็จะเสียเปล่า พร้อมทั้งเสียใจด้วยเช่นกัน
[...] ปลายสายยังคงเงียบอยู่ สงสัยจะคิดไม่ออกจริงๆ ผมยังไม่อยากมาถึงทางตันแค่ตรงนี้หรอกนะ!
“เพื่อนพัฒน์ที่สนิทๆ กับคนชื่อดินนี่จะพอรู้บ้างไหม” ถ้าอาศัยถามเอาจากเพื่อนพัฒน์อาจจะพอรู้ก็ได้นะว่าสองคนนั้นจะนัดกันหรือเปล่า หรืออย่างน้อยอาจจะพอรู้ว่าดินมีแพลนหรือมีนัดจะไปเที่ยวไหนบ้างหรือเปล่า
[เดี๋ยวพัฒน์ลองถามดูให้แล้วกันนะ แต่ตอนนี้คิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะเอายังไง]
“ไม่เป็นไร แค่นี้พัฒน์ก็ช่วยได้เยอะแล้ว เยอะมากเลยแหละที่เอาเรื่องชั่วๆ ของผู้หญิงคนนั้นมาบอกให้ฟร๊องก์รู้ ลองถามๆ เพื่อนพัฒน์อาจจะได้เรื่องบ้างแหละ อย่างน้อยให้รู้ว่าดินนั่นมีนัดที่ไหน ถ้าเราลองตามไปอาจจะเจอแจ็คพอตก็ได้ใครจะไปรู้” ผมพูดเข้าข้างตัวเอง แต่มันก็ไม่แน่หรอก อะไรก็เกิดขึ้นได้ โชคมักจะเข้าข้างคนดี คนที่ทำถูกต้องเสมอแหละ บางทีคนเลวๆ ก็ต้องได้ผลกรรมที่ทำ
[โอเค ถ้าได้ความคืบหน้ายังไงเดี๋ยวจะรีบมาบอกเลย ตื่นเต้นดีเหมือนกัน แล้วก็ไม่อยากให้ไอ้ปาร์คมันโดนหลอกด้วยแหละ ยังไงก็เพื่อนกัน]
“ขอบใจนะพัฒน์ งั้นแค่นี้ก่อนก็ได้ รบกวนพัฒน์มานานและ” ผมวางก่อนจะวางสายไป แต่ในใจก็ภาวนาให้ได้ความคืบหน้าเร็วๆ ผมไม่อยากปล่อยไว้นาน ใจจริงอยากจะกดโทรศัพท์ออกไปบอกความจริงกับปาร์คเลยด้วยซ้ำ แต่ตัวผมเองก็ยังไม่พร้อมจะคุยกับปาร์คเหมือนกัน คงต้องปล่อยให้ทุกอย่างมันพร้อมมากกว่านี้ก่อน รวบรวมหลักฐานมาทีเดียวเลย ผู้หญิงคนนั้นจะได้ดิ้นไม่หลุด
**********__________**********
ผมกลับมาถึงบ้านประมาณสามทุ่มเศษๆ ที่ช้าเพราะกว่าจะคุยโทรศัพท์กับพัฒน์เสร็จก็ใช้เวลานานแล้ว แถมยังต้องเก็บของใช้ที่จำเป็นกลับมาอีก รวมทั้งเซฟไฟล์งานฝรั่งเศสพร้อมกับแบกดิกเล่มหนากลับมาอีกต่างหาก แต่ดีหน่อยที่ผมอาบน้ำมาจากหอเลย กะว่ากลับมาถึงบ้านแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเดียวแล้วนอน ฮ่าๆ สบายไปอีก แต่ก็พูดไปงั้นแหละครับ จริงๆ ผมนอนไม่หลับหรอก เพราะในหัวมันคิดอยู่แต่วิธีหาหลักฐานให้ปาร์คจับเกลได้คาหนังคาเขา
ติ๊ด! ติ๊ด!
เสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้นในช่วงเที่ยงวัน ขณะที่ผมกำลังจะตักข้าวเข้าปากอยู่พอดิบพอดี ใครมันช่างโทรมาขัดขวางความความสุขน้อยๆ ของข้าพเจ้าเนี่ย!
“ฮัลโหล ได้เรื่องแล้วเหรอ” ผมแทบจะทิ้งจานข้าวที่ยังกินไม่หมดไปเลยเมื่อเห็นว่าใครโทรเข้ามา พัฒน์ได้เรื่องไวขนาดนั้นเลยเหรอ ผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อเพราะเพิ่งผ่านไปไม่ถึงวันด้วยซ้ำ
[ก็น่าจะได้มั้ง ว่าแต่เย็นนี้ว่างเปล่า] พัฒน์ทำเสียงกวนๆ กลับมา
“เย็นนี้เหรอ ก็ไม่มีธุระอะไรนะ ทำไมอ่ะ”
[ดีเลย จะได้ตามไปดูไอ้ดินมันกัน] หูผมผึ่งทันทีที่ได้ยินชื่อของบุคคลที่สาม
“กี่โมง ที่ไหน คนชื่อดินนั่นนัดกับเกลเหรอ” ผมรีบรัวคำถามกลับไปอย่างรวดเร็ว เหมือนกลัวว่าพัฒน์จะวางสายไปซะก่อน
[ใจเย็นนน... ฮ่าๆ เห็นว่าหลังเลิกเรียนมันจะไปร้าน... นะ]
“แล้วพัฒน์รู้ได้ไงอ่ะว่าจะไปกับเกล”
[ก็วันนี้พัฒน์ทำเนียนชวนเพื่อนไปกินข้าวกับกลุ่มไอ้ดินมันอ่ะ พอดีเพื่อนในสาขาพัฒน์มันสนิทกับไอ้ดิน เล่นบาสด้วยกันบ่อย เลยลองชวนๆ ดู] พัฒน์นี่ก็ฉลาดเหมือนกันนะ แถมยังเจ้าเล่ห์อีกต่างหาก แอบกลัวมันเล็กน้อย ถ้ามันเกิดคิดแผนจะหักหลังผมขึ้นมา (คิดไปเองนะ)
“แล้วอยู่ๆ บอกเพื่อนว่าอยากไปกินข้าวกับดินนี่เพื่อนไม่งงเหรอ ไม่คิดว่าพัฒน์เป็นเกย์หรือไง”
[มันก็ต้องมีข้ออ้างมั้งดิ ใครจะบอกตรงๆ ล่ะ อย่าซื่อ... ดิ]
“หลอกด่าเราทำไม!”
[ฮ่าๆ รู้ทันด้วย เข้าเรื่องๆ พัฒน์ก็บอกว่าอยากถามๆ ไอ้ดินมันเรื่องบาสอ่ะ เพื่อนก็ไม่ได้สงสัยอะไรนะ ปกติก็มีเจอกัน ไปกินข้าวกันเป็นกลุ่มๆ กันบ้างอยู่แล้ว ผู้ชายก็แบบเนี่ยล่ะ เข้ากันง่าย] คงจะจริงอย่างพัฒน์บอกแหละ ผู้ชายถ้ามีเรื่องชอบเหมือนกัน คุยกันถูกคอก็เป็นเพื่อนกันได้หมดแหละ แต่ว่าไปไอ้พัฒน์นี่มันก็เจ้าแผนการเหมือนกันนะเนี่ย แคมป์มันแนะนำได้ถูกคนจริงๆ ช่วยให้ผมไม่ต้องเหนื่อยมากเท่าไร
“เจ้าเล่ห์ว่ะ” ผมแกล้งแซวมัน
[คุยไปคุยมาเลยแกล้งๆ ถามว่าตอนเย็นว่างไหม กะจะชวนไปเล่นบาสด้วย เลยเจอแจ็กพอตพอดี มันบอกมันมีนัดแล้ว เพื่อนมันเลยร่วมแซว พัฒน์เลยรู้ว่ามันไปกับเกล แล้วก็รู้ว่าไปที่ไหน]
“เยี่ยมไปเลย!”
[ว่าไง สรุปว่างเปล่าเนี่ย อุตส่าห์ไปล้วงข้อมูลมาให้ล่ะนะ]
“ว่างๆ ก็บอกไปแล้วว่าไม่ได้ติดอะไร”
[นี่อยู่มอหรืออยู่บ้าน]
“อยู่บ้านๆ ว่าแต่ร้านนั้นมันอยู่แถวไหนอ่ะ” ผมถามไป ร้านที่ดินบอกว่าจะไปผมไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลยไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ถ้าให้หาเองเกรงว่ามันจะเสียเวลาและไม่ทันการเอา
[อยู่ไม่ไกลจากมอพัฒน์เท่าไรอ่ะ แต่ไม่ค่อยมีใครรู้จักหรอก ร้านมันเล็กๆ เงียบๆ อยู่ในซอยอีกต่างหาก ไม่แปลกหรอกที่ไม่รู้ ขนาดคนในมอยังไม่ค่อยรู้เลย นัดกันที่นั่นคงคิดว่าปาร์คคงไม่บังเอิญไปเจอล่ะมั้ง ส่วนใหญ่ร้านนั้นมีแต่เด็กวิศวะ] ผู้หญิงคนนี้ก็รอบคอบอยู่เหมือนกันนะ ดังนั้นผมต้องระวังตัวให้มากๆ ต้องไม่ให้เธอจับได้โดยเด็ดขาด แต่ผมก็ยังสงสัยนะ ทั้งที่ดินรู้จักกับปาร์ค เพื่อนๆ ของดินเองก็ต้องพอรู้จักบ้างสิ แต่ไม่เคยเห็นเลยเหรอว่าผู้หญิงคนที่กำลังตามจีบตัวเองหรือเพื่อนตัวเองกำลังคบอยู่กับอีกคน
“แล้วฟร๊องก์จะไปถูกไหมเนี่ย” แค่ที่พัฒน์พูดมาก็งงแล้ว ร้านเล็ก แถมยังอยู่ในซอกในซอยอีกต่างหาก
[ก็เดี๋ยวไปรับไง เดี๋ยวบ่ายสามเลิกเรียน จะไปรับ ไม่เกินสี่โมงอ่ะ เตรียมตัวไว้เลย พัฒน์ไม่รู้เหมือนกันว่าดินมันนัดไว้กี่โมง มันบอกแค่ว่าหลังเลิกเรียน แต่คงจะเย็นๆ ล่ะมั้ง] แล้วถ้าดินเลิกเรียนก่อนพัฒน์ล่ะ แต่ต้องลองดูก่อนสักตั้ง เผื่อจะได้เห็น ได้หลักฐานอะไรเด็ดๆ มา
“โอเค ตามนั้น” ผมตอบตกลง ก่อนจะวางสายไป จากนั้นก็นั่งรอเวลาที่จะได้เห็นความจริง ได้เก็บหลักฐานชิ้นเด็ดที่จะช่วยให้ปาร์คตาสว่างขึ้น
หลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมไม่ลืมสวมหมวกและแว่นสายตาที่ผมจะเฉพาะเวลาเล่นคอมพ์ฯ และเวลาไปเรียนในบางครั้ง (ผมสายตาสั้นครับ แต่ไม่มาก จึงไม่ค่อยมีใครเห็นผมเวลาใส่แว่นสักเท่าไร) เพื่อพรางตัวเองไว้ด้วย ก่อนที่พัฒน์จะมารับในเวลาประมาณบ่ายสามโมงกว่าๆ จากนั้นเราสองคนก็รีบตรงไปยังร้านที่เป็นสถานที่นัดแนะของทั้งสองคนนั้นทันที
มาถึงร้านผมก็รีบมองหาผู้หญิงที่ชื่อเกลนั่นก่อนเลยครับ จะได้รู้ว่ามาแล้วหรือยัง นั่งตรงไหน และจะได้ระวังตัวเองด้วย แต่กวาดสายตามองจนทั่วร้านก็ไม่พบกับคนที่กำลังมองหา แสดงว่ายังไม่มา ร้านที่มาถึงเป็นร้านอาหารสไตล์สบายๆ เป็นกันเอง ตัวร้านไม่กว้างมากนัก แถมยังมีจำนวนโต๊ะไม่เยอะ แต่แต่ละโต๊ะมีความเป็นส่วนตัวอยู่พอสมควร ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงนัดมาร้านแบบนี้ เพราะนอกจากจะไม่เป็นที่รู้จักเท่าไรแล้ว เข้ามาในร้านยังค่อนข้างส่วนตัวยากต่อการสังเกตด้วย
ผมกับพัฒน์เลือกนั่งรอในโต๊ะด้านในสุดของร้าน ซึ่งเป็นมุมอับตรงข้ามกับประตูทางออกไปห้องน้ำพอดี แต่โต๊ะนี้สามารถมองเห็นได้เกือบทั่วทั้งร้าน ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับการซุ้มมองเป็นอย่างดี
นั่งสั่งอะไรมากินกันสักพัก ร่างของคนที่ตามหาก็ปรากฏตัวพร้อมกับผู้ชายหน้าตาดี ผิวขาว ตัวสูง ดวงตาถูกอำพรางไว้ด้วยแว่นวินเทจทรงกลม ผมหยักศกบางๆ สีน้ำตาลทองถูกเซ็ตมาเป็นทรงเซอร์ๆ ด้วยความตั้งใจ อยู่ในชุดนักศึกษาพร้อมสะพายกระเป๋าผ้าชื่อดัง ดูๆ แล้วคนละแนวกับปาร์คเลย ผมมองตามสองคนนั้นซึ่งเลือกเข้ามานั่งโต๊ะที่อยู่ถัดจากผมไปอีกสองโต๊ะ ดูท่าทางเกลจะเขินๆ คนที่ชื่อดินนั่นจนไม่ได้สังเกตเลยว่ามีผมแอบมองอยู่ ส่วนตัวผู้ชายดูนิ่งๆ หน่อย แต่ก็แอบเกาหัวด้วยความเขินเล็กๆ เหมือนกัน ตัวผู้ชายอาจจะดูใสซื่อจริงๆ นะ แต่ตัวผู้หญิงนี่ผมอยากจะเดินไปกระชากหน้ากากแล้วบอกว่าเลิกแอ๊บได้แล้ว เห็นแล้วจะอ้วก เพราะเธอไม่ได้เหมาะกับลุคใสซื่อบริสุทธิ์เลยสักนิดเดียว
ผมกับเกลนั่งฝั่งตรงข้ามกัน ซึ่งก็ทำให้ผมเห็นหน้าเธอได้ชัด แต่เช่นเดียวกัน ผมก็เสี่ยงที่จะถูกเธอสังเกตเห็นได้เช่นกัน แต่เหมือนเธอก็ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง เพราะเธอจดจ่ออยู่กับการเอาใจคนชื่อดินนั่นอย่างเดียว มีจับไม้จับมือด้วย จริงๆ ผมตั้งใจจะถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐาน แต่ลองถ่ายจากตรงนี้มันแทบไม่เห็นผู้ชายเลย จะถ่ายติดก็แต่เกลคนเดียว ซึ่งถ้าเป็นหลักฐาน เขาก็จะบอกว่ามันไม่หนักแน่นมากพอที่จะมัดตัวให้ดิ้นไม่หลุดได้
พัฒน์กับผมได้แต่นั่งสังเกตทั้งคู่เป็นระยะๆ ผมทำได้แค่นั่งดูทั้งสองคนตั้งแต่สั่งอาหารจนตอนนี้อิ่มกันแล้ว และที่เห็นก็คือเกลเป็นคนอาสาจะจ่ายเงินสำหรับอาหารมื้อนี้เอง เพราะขณะที่ดินกำลังจะหยิบธนบัตรจากในกระเป๋าสตางค์มา มือของเกลกลับเอื้อมไปจับซะก่อน ผมว่าเป็นจังหวะที่ดีที่จะเก็บหลักฐาน ดังนั้นจึงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปทันที แต่ยังไม่ทันได้กดชัตเตอร์ เกลดันหันมาเห็นผมซะก่อน ท่าทางของเธอดูตกใจไม่น้อยซึ่งก็ไม่ต่างจากผม เพราะเธอรีบชักมือกลับไปแล้ววางเงินของตัวเองลงกับถาดรับเงินแล้วรีบชวนอีกฝ่ายออกนอกร้านไปทันที
เมื่อเกลเดินออกจากร้านไป พัฒน์ก็เรียกสติผมกลับมา ผมตกใจเหมือนกันเพราะคิดว่าเธอจะเห็น นั่งดูมาได้ตั้งนานแล้วแต่กลับมาตายเอาตอนจบ หลักฐานก็ไม่ได้ แถมเจ้าตัวยังรู้ตัวแล้วซะด้วย ต่อจากนี้ไปเกลคงระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม แล้วทีนี้ผมจะแอบตามไปยังสถานที่ต่างๆ แบบนี้อีกไม่ได้แล้ว โอ้ย! แล้วผมจะทำยังไงต่อไปดี
“เรากลับกันก่อนดีกว่า ป่านนี้สองคนนั้นคงกลับไปแล้ว” พัฒน์เอ่ยชวนก่อนที่จะเรียกคิดเงิน
“โอ้ย! ฟร๊องก์พลาดเอง อีกนิดเดียวก็จะสำเร็จอยู่แล้ว อีกนิดเดียวก็จะได้หลักฐานชิ้นสำคัญมากแล้วเชียว!” ผมบ่นอย่างเสียดายขณะที่เดินออกมาจากร้าน และหงุดหงิดตัวเองที่ประมาทไป ทั้งที่พยายามพรางตัวแล้วนะ แต่ดูจากสายตาอึ้งๆ และท่าทางรีบร้อนของผู้หญิงคนนั้น ผมคิดว่าเธอจำผมได้อย่างแน่นอน
“เอาไว้คราวหน้าก็ได้ วันพระไม่ได้มีหนเดียว” พัฒน์ตบบ่าผมอย่างให้กำลังใจ คราวหน้าเหรอ มันจะมีอีกหรือเปล่าเถอะ วันพระสำหรับผมมันหมดไปแล้วเมื่อกี้
“อ้ะ... อื้ม...”
“ไง?” ยังไม่ทันพูดจบก็มีเสียงแทรกขึ้น ทำให้ผมกับพัฒน์หันควับไปมองทางต้นเสียงทันที ก่อนที่จะพบกับ... ใครบางคนที่ทำให้วันนี้ของผมเป็นวันซวยสมบูรณ์แบบ
à suivre...
กลับมาแล้วฮะ หายไปหลายวันอีกตามเคย ปั่นงานอื่นอยู่
เข้าประเด็นนะฮะ หลายคนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการอมพะนำของฟร๊องก์กับเก็ท
อย่างที่คุณ Grey Twilight บอกฮะ เก็ทอ่ะเป็นด้วยพื้นฐานนิสัย ที่เย็นชาอยู่แล้ว
ส่วนตัวฟร๊องก์เอง เท่าที่เรื่องดำเนินมาจนถึงตอนนี้ นิสัยของฟร๊องก์ชัดเจนมากว่าเป็นคนที่ปากหนัก และกลัวจนเกินไป
ด้วยความที่ไม่กล้าพูดความรู้สึกจริงๆ ของตัวเองออกไป เพราะกลัวว่าคนที่ได้ฟังจะรู้สึกต่างๆ
อันนี้เป็นพื้นฐานนิสัยของตัวฟร๊องก์เอง
ส่วนในเรื่องของการที่ฟร๊องก์เปิดใจให้กับทาร์ต ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทาร์ตไม่มีสถานะที่ก่ำกึ่ง
ทาร์ตแสดงออกชัดเจนตั้งแต่แรกว่าต้องการจีบฟร๊องก์ ซึ่งตัวฟร๊องก์ที่กำลังมีปัญหา เมื่อมีคนที่ทำให้รู้สึกดีเข้ามา ก็ย่อมใจอ่อน
ต่างจากเก็ทที่สถานะชัดเจนว่าเป็นเพื่อน ตรงนี้เราวางเรื่องไว้คือจริงๆ แล้วฟร๊องก์อาจจะหวั่นไหวกับรูปลักษณ์ของเก็ทอยู่บ้าง
แต่ลึกๆ ฟร๊องก์ไม่ได้รู้สึกพิเศษกับเก็ท เกินกว่าความเป็นเพื่อนที่ไว้ใจมากๆ (เราวางให้มันเป็นแบบนั้น)
ส่วนตัวเก็ทจะเป็นอย่างไร เราอยากให้รอดูต่อ
กลับมาที่ปาร์ค ก็ไม่รู้จะพูดอะไรถึงนาง 5555+
เอาเป็นว่าปล่อยให้นางอยู่ในที่ของนางก่อนแล้วกัน
มาลงตอนใหม่คราวนี้ เราบอกตรงๆ เลยว่าอ่านทุกคอมเม้นต์แล้วเรารู้สึกดีมาก
ขำทุกครั้งที่ได้อ่านบทกวีของคุณ broke-back ได้ข้อคิดจากคุณ pk คุณ fuku คุณ Jibbubu รวมทั้งของคนอื่นๆ ก่อนหน้า
และที่มาเต็มทุกครั้งที่ได้อ่านก็คือคุณ Grey Twilight ที่ทำให้เราเกิดไอเดียใหม่ๆ เสมอ
ขอบคุณมากจริงๆ ที่ทำให้ความรู้สึกดีๆ เกิดขึ้นในใจเรา
จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ