from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue 3 [จบแล้ว]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: from PAST to FUTURE... อดีตเพื่อน อนาคต... หล่ะ? L’épilogue 3 [จบแล้ว]  (อ่าน 35698 ครั้ง)

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 31 [14/7/2017]
«ตอบ #120 เมื่อ14-07-2017 21:02:08 »

Chapitre 31
          
   ผมเจอปาร์คโดยบังเอิญที่ร้านอาหารในพารากอนที่ผมเลือกว่าจะมากิน ปาร์คมองผมด้วยสายตาตำหนิเหมือนผมทำผิดที่มากับคนอื่นที่ไม่ใช่เขา แต่เขาลืมไปหรือเปล่าว่าตัวเขาเองก็มากับอีกคนเช่นกัน ดังนั้นทำไมผมจะต้องแคร์

   “ทาร์ตช่วยหยิบแจ็กเก็ตในกระเป๋าแล้วใส่ให้หน่อยดิ” ผมหันหลังให้ทาร์ตเปิดกระเป๋าเป้เอาแจ็กเก็ตออกมา ก่อนที่จะปลดสายกระเป๋าที่คล้องที่ไหลออกมาหิ้วไว้ที่ด้านหน้าแทน

   ทาร์ตหยิบแจ็กเก็ตยีนส์ออกมาสะบัดเล็กน้อยเพราะตอนยัดผมสักแต่ยัดๆ เข้าไปไม่ได้คำนึกถึงความเรียบร้อยหรือมันจะยับไหม ก่อนที่ค่อยสวมแขนด้านหนึ่งให้ผม ขณะที่สายตาผมก็แอบเหลือบมองปฏิกิริยาของปาร์คเหมือนกันว่าจะมีสีหน้าหรือท่าทางเช่นไร ผมไม่ได้จงใจยั่วอีกฝ่ายหรืออะไร ไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าแค่รู้สึกหนาวๆ จากเครื่องปรับอากาศภายในห้างเท่านั้น

   แต่ที่เหลือบไปมอง ก็แค่... อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกเช่นไร...

   “คุณทาร์ตสองที่ค่ะ คุณทาร์ต... เชิญด้านในค่ะ” เสียงของพนักงานดังขึ้นหลังจากที่ทาร์ตสวมแจ็กเก็ตให้ผมเสร็จ ผมมองไปยังโต๊ะว่างด้านในที่พนักงานเพิ่งจะเก็บโต๊ะและภาวนาขออย่าให้ผมได้นั่งโต๊ะนั้น เพราะมันเป็นโต๊ะที่อยู่ติดกับโต๊ะของปาร์ค โดยมีเพียงแค่ระแนงไม้บางๆ กั้นไว้เท่านั้น แต่สุดท้ายก็จำต้องเป็นโต๊ะนั้น เพราะเป็นโต๊ะว่างเพียงโต๊ะเดียวในร้าน

   ผมที่จะเลือกนั่งผมตรงข้ามปาร์ค ไม่ใช่เพราะต้องการที่จะเห็นหน้า แต่ถ้านั่งฝั่งเดียวกัน ผมจะนั่งติดกับปาร์คมาก แค่ระแนงไม้นั้นกั้นไว้จริงๆ อีกอย่างมือของปาร์คอาจจะเอื้อมมาหาผมได้ การเลือกนั่งฝั่งตรงข้ามผมก็รู้สึกเกร็งและประหม่าน้อยกว่า อย่างน้อยระแนงไม้ก็มีช่องระหว่างซี่ไม้ที่ไม่กว้างมากนัก คงเห็นหน้าได้ไม่ถนัดนักหรอก อีกอย่างผมก็ไม่จำเป็นต้องสนใจอยู่แล้วว่ามันจะมองผมหรือเปล่า

   แต่ดูเหมือนผมเลือกที่ผิดยังไงไม่รู้ ทันทีที่ก้นผมหย่อนลงบนเบาะโซฟายาว หางตาผมก็เหลือบไปเห็นปาร์คที่จ้องผมผ่านช่องระหว่างซี่ไม้นั้นได้อย่างชัดเจน จนผมถึงกับก้มหน้ากลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก นี่ผมจะทนไหวแน่ใช่ไหมกับการกินอาหารมื้อนี้ หัวใจผมเต้นแรงและรัวมากขึ้นทุกขณะ จนร่างกายเริ่มมีเหงื่อไหลซึมออกมาพร้อมกับอาการสั่นเล็กน้อย

   ไม่นานพนักงานก็นำเมนูอาหารมาให้ ผมเอื้อมมือที่สั่นระริกแต่ไม่มากนักจนเป็นที่สังเกตขึ้นไปเปิด แต่ไม่นานฝ่ามือที่อบอุ่นของคนที่นั่งตรงข้ามก็เอื้อมมากุมมือของผมไว้ ทาร์ตบีบมือสั่นรัวของผมนั้นเบาๆ อย่างเป็นกำลังใจ และเมื่อผมเงยหน้าขึ้นไปมองก็พบกับรอยยิ้มที่สดใสที่คอยเป็นห่วงเป็นใยผมอยู่ มันช่วยคลายความรู้สึกหวาดกลัวและไม่มั่นใจได้เป็นอย่างดี ผมส่งยิ้มตอบกลับไปเล็กน้อยเพื่อบอกว่าผมไม่เป็นอะไรแล้ว ทาร์ตจึงยอมปล่อยมือนั่น

   เราสองคนลงมือสั่งอาหารเมื่อผมรู้สึกดีขึ้น และอาการหิวเข้ามาแทนที่ เราสั่งไปขำไปกับการสั่งของแต่ละคน ก็มากันแค่สองคน แต่เล่นสั่งไปเยอะมาก จนต้องมานั่งยกเลิกออเดอร์บางอย่างทีหลัง แต่อย่างน้อยเมนูหนึ่งที่ผมไม่ยอมให้ยกเลิกแน่นอนคือต๊อกปกกีซีฟู๊ดอบซีสเมนูโปรด แต่เมื่อสั่งเมนูนั้นไป ผมกลับเผลอเงยหน้ามองรอยยิ้มที่มุมปากและเสียงหัวเราะในลำคอของคนที่อยู่อีกฝั่งของระแนงไม้ ปาร์ครู้ครับว่าผมชอบกินเมนูนี้มากๆ เวลาที่มาด้วยกันผมมักจะสั่งเมนูนี้แล้วกินได้เพียงเล็กน้อยจนโดนปาร์คบ่นอยู่เสมอ

   “ปาร์คคะ อันนี้อร่อยนะลองทานดูสิ มัวแต่เหมออะไรอยู่” เสียงผู้หญิงที่นั่งอยู่ฝั่งเดียวกับผมดังขึ้นทำให้ผมต้องเหลือบตาไปมองการกระทำดังกล่าว ผู้หญิงที่ชื่อเกลคนนั้นคีบแป้งต๊อกปกกีเมนูเดียวกับที่ผมโปรดปรานยื่นไปยังปากของปาร์ค ซึ่งเจ้าตัวก็อ้าปากรับแต่โดยดี ก่อนจะเหลือบตามามองผมเช่นกัน จนผมต้องกุลีกุจ่อหันหลบแทบไม่ทัน จะทำอะไรก็เรื่องของเขา ใครจะสนใจกัน! ชิ!

   ผมนั่งคุยกับทาร์ตโดยทำเป็นไม่สนใจโต๊ะที่อยู่ติดกันเพียงระแนงไม้กั้น การเลือกที่นั่งฝั่งนี้ของผมถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดถนัดจริงๆ เพราะเวลาเงยหน้าขึ้นไปคุยกับทาร์ตทุกครั้ง หางตาของผมจะเหลือบไปเห็นสายตาของอีกคนที่กำลังมองผมผ่านช่องแผ่นไม้เป็นระยะๆ

   ไม่นานเหล่าอาหารที่สั่งไปอย่างกับคนบ้าก็ทยอยมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ผมเลิกสนใจโต๊ะข้างๆ แล้วลงมือกินอาหารตรงหน้าเนื่องด้วยความหิว จริงๆ ต้องพูดว่าผมพยายามจะไม่สนใจมากกว่า และเมื่อหม้อไฟมาเสิร์ฟ ทาร์ตก็เอื้อมมือมาฉวยเอาถ้วยทางฝั่งผมไปตักให้ทันที ผมเหล่ตามองอีกคนที่นั่งฝั่งเดียวกับทาร์ตที่กำลังจ้องคนที่ตัดซุปให้ผมอยู่ด้วยสายตาดุดัน ผมเลยแกล้งเอื้อมมือไปรับถ้วยต่อจากมือของทาร์ตด้วยรอยยิ้มกว้าง

   แล้วเราสองคนก็ค่อยๆ จัดการกับอาหารบนโต๊ะไปเรื่อยๆ โดยมีซาวน์เป็นเพลงที่ทางร้านเปิดคลอไปกับเสียงหวานเล็กๆ ของผู้หญิงโต๊ะติดกันที่นั่งฝั่งเดียวกับผม ที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วสลับกับเสียงหัวเราะของคนทั้งคู่เป็นระยะ

   “นี่ทาร์ต เคยกินนี่ยัง ลองดูดิ ของโปรดพี่เลยนะ” ผมทำท่าทางภูมิใจนำเสนอเมนูโปรดของผมที่พนักงานเพิ่งนำมาเสิร์ฟสุดๆ ก่อนจะลงมือตักใส่จานทาร์ตซึ่งนั่งมองผมด้วยรอยยิ้มกว้างอยู่เช่นกัน

   “ขอบคุณนะพี่ ได้กินของโปรดของพี่ แถมยังใจดีตักให้ผมอีก อย่างงี้มันคงอร่อยมากแน่ๆ” ทาร์ตพูดด้วยท่าทางดีใจอย่างเต็มเปี่ยม

   “แค่กๆ ไอ้นี่มันกินเยอะๆ แล้วเลียนเหมือนกันนะ ว่าไหม” เสียงวางตะเกียบเงินกระแทกจานกับเสียงสำลักอาหารดังของจากโต๊ะข้างๆ ก่อนที่เขาคนนั้นจะเบ้หน้าแล้วชี้ไปยังจานต๊อกปกกีอบชีสที่ผมเพิ่งตักใส่จานให้กับทาร์ต

   “กินเยอะนะ รับลองกินแล้วจะติดใจเหมือนกับพี่” ผมพูดต่อด้วยใบหน้าที่ยังคงเปื้อนยิ้ม ไม่ได้แสดงออกถึงท่าทางสนอกสนใจใดๆ กับการกระทำดังกล่าว และสิ่งที่ผมทำ... ก็ไม่ได้ทำเพื่อประชดใครอยู่ด้วย!

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   “เอ่อ... เดี๋ยวเกลขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ พอดีเพื่อนโทรมาด้วย” ผู้หญิงโต๊ะข้างๆ พูดขึ้นหลังจากที่เสียงโทรศัพท์ของเธอดัง ไม่รู้ว่าผมคิดและรู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าทันทีที่เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู สีหน้าและท่าทางของเธอก็เปลี่ยนไป ดูลุกลี้ลุกลนแปลกๆ

   “ครับ” ปาร์คตอบรับสั้นๆ ก่อนที่จะหันมามองทางผมอีกครั้ง

   “หื้ม! อร่อยอ่ะพี่!” ทาร์ตทำเสียงถูกใจดึงความสนใจของผมให้กลับมาที่โต๊ะของตัวเองดังเดิม

   “เห็นไหมบอกแล้วว่าอร่อย ลองแล้วจะ...”

   “ไง! ไม่คิดจะทักทาย ‘คนคุ้นเคย’ สักหน่อยเหรอ... ฟร๊องก์” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยคตามที่ต้องการ เสียงพร้อมร่างสูงของอีกคนที่ก่อนหน้านั่งอยู่ที่โต๊ะข้างๆ กลับมาย้ายตัวเองยืนอยู่ที่ด้านข้างของโต๊ะผมในเวลานี้ ก่อนที่จะเดินเข้ามาล้มตัวลงนั่งข้างๆ ผมพร้อมด้วยวงแขนที่วาดมาโอบไหล่ผมอย่างรวดเร็วจนไม่ทันได้ตั้งตัว มือไวชะมัด!

   “น่ะ... นี่!” ผมดิ้นขลุกขลักอย่างยากลำบากเพราะพื้นที่แคบ พลางหันไปมองหน้าแขกที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาขุ่นเคืองและฉายแววไม่พอใจอย่างไม่มีปกปิด

   “อ้าว แล้วนี่มากับใคร ไม่แนะนำให้... ผะ... เพื่อน ‘รัก’ คนนี้รู้จักหน่อยเหรอ” ปาร์คส่งเสียงยียวนกวนประสาท ขณะที่หันไปยักคิ้วกวนๆ เล็กน้อยให้กับทาร์ต พร้อมกับวงแขนนั้นก็โอบรัดตัวผมแน่นขึ้นและดึงให้ผมเข้าไปใกล้ขึ้น

   “ปล่อยพี่ฟร๊องก์ซะ! คนเขาไม่ได้เชิญให้มานั่ง ไม่รู้จักคำว่ามารยาทหรือไง” ทาร์ตพูดด้วยท่าทางเคร่งขรึมแฝงด้วยสายตาที่หงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัดอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน บรรยากาศอึมครึมเริ่มก่อตัวขึ้นขณะที่คนในร้านรวมทั้งพนักงานก็เริ่มหันมอง เด็กเสิร์ฟบางคนก็ดูเหมือนจะเข้ามาห้ามทัพเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรง

   “อะไรกัน ก็แค่มาทักทายกันตามประสาคนคุ้นเคยกันนิดหน่อยเอง จริงไหมครับฟร๊องก์ หื้ม...” ปาร์คพูดด้วยท่าทางสบายๆ ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านใดๆ กับคำพูดและท่าทางไม่พอใจของทั้งผมและทาร์ต พร้อมกันนี้ยังหันมาหาผมจนปลายจมูกเกือบเฉียดที่ข้างแก้ม ก่อนที่ริมฝีปากบางคู่นั้นจะกระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างพึงพอใจ

   “ปล่อย! แล้วก็กลับไปยังที่ของ ‘คุณ’ ได้แล้ว!” ผมพูดนิ่งๆ ด้วยคำพูดและท่าทางที่ห่างเหิน ราวกับคนไม่รู้จักกัน ทั้งที่ในใจผมกลับเต้นแรงจนมันจะพุ่งออกมานอกทรวงอก หัวคิ้วของปาร์คกระตุกเข้าหากันทันทีที่ได้ยินคำสรรพนามที่ผมใช้แทนตัวเขาแบบนั้น เขาขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึกอะไรกับการพูดออกไปแบบนั้น แต่มันคงเป็นวิธีที่ดีที่สุด... สำหรับเรา

   “อ้าว นี่ใครเหรอคะปาร์ค รู้จักกันด้วยเหรอ” ทันใดนั้นเสียงผู้หญิงคนเดิมที่ออกไปคุยโทรศัพท์เมื่อสักครู่ก็ดังขึ้นด้านหลังของทาร์ต เช่นเดียวกับปาร์คที่ชักแขนออกจากไหล่ผมแทบจะทันทีที่เห็นเธอคนนั้น หึ! ถ้าแคร์เขามากแล้วจะมาใส่ใจความรู้สึกผมทำไม มาตามง้อและยุ่งวุ่นวายกับผมอีกทำไม! ทำไมไม่ปล่อยให้ผมทำใจได้ซะที!!!

   “อ๋อ เอ่อ... ‘เพื่อนสมัยมัธยม’ น่ะครับ” ปาร์คว่าก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้โซฟาตัวยาวไปยืนข้างๆ คนที่ปาร์คเลือก คนรักที่แท้จริงของเขา ผิดกับผมที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลย คำพูดของปาร์คเมื่อสักครู่ทำให้ผมรู้สึกโหว่งและวังเวงในใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนร่างกายมันถูกดูดเอาพลังงานออกจนหมด จนผมแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะหายใจ ‘เพื่อนสมัยมัธยม’ สำหรับปาร์คแล้วผมคงมีความหมายแค่นั้น...

   “งั้นเหรอคะ เราชื่อเกลนะคะ เป็น ‘แฟน’ กับปาร์ค ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” เกลพูดด้วยน้ำเสียงหวานของเธอพร้อมกับรอยยิ้ม แต่สายตาที่มองมานั้นกลับดูไม่เป็นมิตรและช่างดูถูกดูแคลนซะเหลือเกิน แถมยังจงใจแค่นเสียงหวานๆ นั้นเน้นสถานะของเธออย่างออกนอกหน้าอีก เหมือนกำลังบอกผมอ้อมๆ ให้ผมสำเหนียกตัวเองว่าใครเป็นเจ้าของหัวใจของปาร์คกันแน่ และแน่นอนว่าคนๆ นั้นไม่ใช่ผม

   “ครับ งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้วก็เชิญพวกคุณกลับไปที่โต๊ะด้วยครับ พวกผมจะได้ทานกันต่อ” ผมตอบกลับอย่างเสียมารยาทจนทั้งปาร์คและเกลถึงกับหน้าเสียเล็กน้อย แต่ผมไม่ได้สังเกตนักหรอก เพราะตอนพูดผมแทบไม่มองหน้าของทั้งคู่ด้วยซ้ำ ผมไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องปั้นรอยยิ้มเป็นมิตรหรือทำท่าทางว่ายินดีที่ได้รู้จัก ในเมื่อสิ่งเหล่านั้นผมไม่ได้ต้องการได้ยินหรือรับรู้มันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

   “เพื่อนปาร์คคนนี้ไม่มีมารยาทเอาซะแล้วนะคะ พูดด้วยดีๆ กลับไล่กันซะงั้น” เกลสวนกลับผมอย่างหัวเสีย

   “กลับโต๊ะเราเถอะ ปาร์คผิดเองแหละที่เสียมารยาทมา ‘รบกวน’ เวลาทานอาหารของพวกเขา” ปาร์คว่าเสียงอ่อน พร้อมมองผมด้วยสายตาผิดหวังและเศร้าซึมลงต่างจากตอนแรกอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่จะลากตัวเกลกลับไปที่โต๊ะเบาๆ

   ผมพยายามนั่งสงบสติอารมณ์ให้เลือกใส่ใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่ช่างยากเย็นเหลือเกิน เพราะตอนนี้ในหัวผมมันปั่นป่วนไปหมด แถมยังรู้สึกมวนๆ ในท้อง พาลทำให้ผมกินอะไรต่อไม่ลง สุดท้ายก็ต้องเอ่ยปากชวนทาร์ตที่ก็วางตะเกียบไปตั้งแต่ที่ปาร์คมานั่งเช่นเดียวกัน ให้เรียกคิดเงิน จากนั้นก็ออกจากร้านไปทันที

   ตลอดทางที่เดินออกจากร้านมา ผมต้องเอ่ยปากขอโทษขอโพยทาร์ตอย่างเลี่ยงไม่ได้ที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวาย แถมยังต้องเสียตังค์ฟรีเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกด้วย ผมเองก็พยายามหยิบยื่นเงินให้กับทาร์ตเพื่อรับผิดชอบเพราะมันเกิดจากความผิดของผม แต่ทาร์ตก็ไม่ยอมรับเลยแม้แต่น้อย แต่กลับบอกเพียงว่า ถ้ามันทำให้ผมสบายใจขึ้น ต่อให้มันต้องทำมากกว่านี้ก็ยอม ผมได้แค่เพียงตอบแทนความหวังดีนั้นด้วยรอยยิ้ม

   จากนั้นเราสองคนก็ขึ้นไปดูหนังกันต่อตามโปรแกรมที่วางไว้ โดยไม่ได้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในร้านอาหารอีก ผมคิดว่าการมาดูหนัง อย่างน้อยน่าจะช่วยให้อาการคิดมากและวิตกกังวลของผมจะเบาบางลงได้ แต่กลับไม่เลยแม้แต่น้อย ตลอดเวลากว่าสองชั่วโมงที่หนังฉาย ผมแทบไม่มีสมาธิกับการทำความเข้าใจเนื้อเรื่องของภาพยนตร์เลย แต่จะมีก็แค่ฝ่ามืออุ่นๆ ของทาร์ตที่เอื้อมมากุมมือข้างหนึ่งของผม ที่ทำให้จิตใจของผมสงบนิ่งขึ้นได้บ้าง

***********__________***********

   “ให้ผมอยู่เป็นเพื่อนไหม” ทาร์ตถามขึ้นเมื่อแท็กซี่ขับเข้ามาใกล้ถึงหอของผม เมื่อดูหนังจบเราสองคนก็โบกแท็กซี่ฝ่าการจราจรที่ติดขัดในบริเวณนั้นกลับทันที

   “ไม่เป็นไร ขอบคุณแล้วก็ขอโทษสำหรับวันนี้ด้วยนะ ทำให้สถานการณ์กร่อยลงไปเยอะเลย” ผมพูดพลางยิ้มแห้งๆ กลับไปให้ทาร์ต

   “บอกแล้วไงครับว่าไม่ต้องขอโทษ มันไม่ใช่ความผิดของพี่สักหน่อย มันเป็นความผิดของไอ้หมอนั่นต่างหาก แต่ช่างมันเถอะ เพราะอย่างไรพี่ก็ทำให้วันนี้ของผมเป็นอีกวันที่พิเศษอยู่ดี”

   “เลี่ยนตลอด!” ผมแกล้งแลบลิ้นทำท่าทางเหมือนจะอ้วกล้อเลียนมุกฝืดๆ ของทาร์ต

   ทาร์ตหัวเราะกับท่าทางของผมเล็กน้อย และไม่นานแท็กซี่ก็มาจอดที่ด้านหน้าหอของผมเป็นที่เรียบร้อย ทาร์ตถามย้ำอีกครั้งแต่ผมก็ยังยืนยันคำเดิมว่าไม่จำเป็นต้องอยู่เป็นเพื่อน ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ทำอย่างกับผมจะฆ่าตัวตายประชดชีวิตอย่างนั้นแหละ

   ผมโบกมือลาทาร์ตจนแท็กซี่คันนานขับหายไปจากสายตา ก่อนที่หันหลังกลับเพื่อเดินเข้าไปด้านในของหอ วันนี้จะว่าไปก็ไม่ได้ทำอะไรเยอะแยะเลยนะ แต่ทำไมผมกลับรู้สึกเหนื่อยขนาดนี้ ข้างในของผมมันรู้สึกเหมือนซังกะตายไม่อยากรับรู้หรือทำอะไรสักอย่าง ภาพที่ผู้หญิงคนนั้นป้อนเส้นต๊อกปกกีให้ปาร์ค สถานะที่ปาร์คบอกกับผู้หญิงคนนั้นและย้ำจุดยืนของผมมันยังชัดเจนอยู่ในหัว เมื่อไหร่ผมจะทำใจและไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องเหล่านี้สักที

   “ฟร๊องก์” เสียงเรียกของบุคคลที่ผมอยากจะลืมมากที่สุดดังขึ้นทำเอาผมสะดุ้งจนแทบก้าวพลาดตกบันไดไม่กี่ขั้นที่ก้าวเข้าตัวอาคารเมื่อจู่ๆ ปาร์คก็โผล่ออกมาจากมุมเสาหลังจากที่ผมก้าวขึ้นมาในตัวอาคาร

   “มะ... มีอะไร”

   “ขอคุยอะไรด้วยหน่อย” ปาร์คว่าก่อนจะสายเท้าเข้ามาประชิดตัวผม แต่ผมก้าวถอยโดยอัตโนมัติ

   “ผมไม่มีอะไรที่จำเป็นจะต้องคุยกับคุณ” ผมตอบกลับเสียงแข็ง

   “มีสิ! เรื่องของเราไง!”

   “มันไม่มีคำว่าเรา แล้วก็ไม่มีอะไรจะต้องคุยด้วย!”

   “แต่เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง!” ร่างสูงยังคงไม่ยอมแพ้ พร้อมก้าวยาวมาคว้าแขนผมอย่างรวดเร็ว

   “... งั้นมีอะไรก็ว่ามา” ผมยอมจำนนด้วยน้ำเสียงต่ำและเย็นชา ในเมื่ออยากพูดนัก งั้นก็เชิญพูด พูดให้ทุกอย่างมันชัดเจน จะได้จบกันไปเสียที!

   “แน่ใจเหรอว่าอยากให้ปาร์คพูดตรงนี้ หรืออยากให้มีพยานรู้เห็นเรื่องของเรา” ปาร์คโน้มตัวลงมากระซิบข้างหูผมด้วยเสียงเจ้าเล่ห์จนผมขนลุก มันจะเอาอะไรมาบีบผมอีก สนุกนักหรือไงที่เห็นผมเป็นแบบนี้

   “และ... แล้วจะเอายังไง”

   “เราขึ้นไปคุยกันดีๆ บนห้องก่อนได้ไหม” คนตัวใหญ่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลง

   “...”

   “เลือกเอาแล้วกันนะว่าอยากคุยเรื่องนี้กันแค่สองคน หรืออยากให้คนอื่นรับรู้ด้วย”

   สุดท้ายผมก็ต้องเดินนำปาร์คไปยังห้องจนได้ ผมจะทำยังไงได้ในเมื่อทางเลือกผมไม่มีเลยด้วยซ้ำ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าปาร์คจะเอาอย่างไรกับผมอีก จะตามตื้อผมไปถึงไหน

   ผมพยายามเดินด้วยช่วงก้าวที่ช้าและสั้นที่สุดเพื่อนถ่วงเวลา ผมยอมรับว่าในเวลานี้ผมกลัวร่างสูงที่เดินตามผมมาติดๆ นี้ไม่น้อย ผมกลัวจะเกิดเหตุการณ์บ้าๆ แบบนั้นกับผมอีก และสุดท้ายก็เป็นผมที่ต้องเจ็บทั้งกายและใจอยู่คนเดียว

   “มีอะไรก็รีบพูดมา!” ผมเอ่ยถามธุระที่อีกฝ่ายอ้างทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในห้อง แต่อีกคนที่ตามเข้ามากลับไม่มีท่าทีรีบร้อนใดๆ กลับหันไปกดล็อกประตูอย่างไม่เร่งรีบก่อนจะถอดรองเท้าแล้วเดินไปนั่งที่เตียงราวกับเป็นเจ้าของห้อง “นี่! มีอะไรก็รีบๆ พูดมาสิ!”

   “ยังเก็บตุ๊กตาตัวนั้นไว้อีกเหรอ นึกว่าจะทิ้งมันไปแล้วซะอีก” ปาร์คหันไปมองทางตุ๊กตาไม้ที่ตนซื้อให้ผมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

   “ก็ไม่มีเหตุผลที่จำต้องทิ้งนี่” ผมตอบกลับเบาๆ พลางมองไปที่ตุ๊กตาตัวนั้นเช่นกัน ช่วงเวลาที่ผมเคยมีความสุข ความทรงจำที่ดีๆ มันก็ไม่จำเป็นจะต้องถูกลบทิ้งหรือลืมเลือนไปไม่ใช่เหรอ แต่ต่อให้เราอยากจะลืมอย่างไร สิ่งของมันก็เป็นเพียงสิ่งของ ถึงเราจะทิ้ง จะทำลายมันอย่างไร เราก็ไม่สามารถลบเลือนความทรงจำที่มีได้หรอก

   “ก็นึกว่าจะเกลียดกันจนไม่อยากจดจำอะไรของกันและกันไว้แล้ว” ปาร์คว่าเสียงแผ่วพร้อมกับแววตาเศร้าหม่นที่หันกลับมามองที่ผม

   “เห้อออ... ตกลงว่าเรื่องที่จะพูดมันคืออะไรกันแน่ ถ้าไม่มีก็กลับไปเถอะ แล้วก็... เลิกยุ่งเกี่ยวกันสักที”

   “ไม่! จะให้ปาร์คเลิกยุ่งกับฟร๊องก์ได้ไง ในเมื่อเราเป็น...”

   “เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน!! จริงๆ มันไม่เคยมีคำว่าเราตั้งแต่แรกแล้วด้วย!” ผมพูดเสียงดังจนเกือบจะเป็นการตวาด ดวงตาแข็งกร้าวของผมจ้องไปยังสายตาคมที่ฉายแววอ่อนแอ ราวกับคนที่ไร้เรี่ยวแรงจะต่อสู้ต่อไป สายตาสั่นไหวที่ผมเพิ่งเคยเห็นจากผู้ชายคนนี้เป็นครั้งแรกนั่นแอบทำให้ผมเผลอหวั่นไหวแสดงความเห็นใจออกไปเช่นกัน แต่ก็เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นแหละ เพราะผมจะไม่ยอมให้คนตรงหน้ามาทำร้ายความรู้สึกผมเล่นอย่างไม่ใยดีอีกแล้ว

   “มันจะไม่เป็นได้ยังไง ในเมื่อเราเคยกอด เคยหอมกัน เคยจูบกัน เคยแม้กระทั่งมีอะไรกัน เราเป็นของกันและกันแล้วนะฟร๊องก์ แล้วจะบอกว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกันได้ยังไง”

   “แล้วมันอยู่ในฐานะอะไรล่ะปาร์ค เคยถามตัวเองบ้างหรือเปล่า ‘เพื่อน’ ไม่ใช่เหรอที่ปาร์คย้ำมาตลอด... แม้กระทั่งวันนี้ เห็นแก่ตัวไปหรือเปล่าปาร์ค!” ผมแสยะยิ้มเยาะเย้ยอีกคนที่ตอนนี้ลุกขึ้นมาประจันหน้ากับผมเป็นที่เรียบร้อย รอยยิ้มที่แสนประชดประชันไม่ต่างอะไรกับการใช้มีดคมๆ กรีดลงบนแผลที่หัวใจตัวเองเลย ไม่ใช่ว่าผมไม่เจ็บที่พูดออกไปแบบนั้น แต่มันคงเป็นทางเดียวที่จะทำให้เราสองคนจบกันได้ ปาร์คจะได้ไปมีความสุขในแบบของตัวเอง ส่วนผมจะได้เยียวยารักษาแผลที่มีมาอย่างเนินนานนี้เสียที

   “แต่ช่างมันเถอะ ไม่ว่าที่ผ่านมาเราจะ ‘เคย’ ทำอะไรต่อมิอะไรด้วยกันมา ฟร๊องก์จะถือว่ามันเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบที่มันชักนำให้เกิดเหตุการณ์เหล่านั้นแล้วกัน อย่าเก็บมาใส่ใจเลย มันไม่ได้มีอะไรเกินไปกว่า ‘ความต้องการชั่วครั้งชั่วคราว’ หรอก บางทีปาร์คอาจจะแค่เห่อ ‘ของเล่น’ ชิ้นนี้อยู่ก็แค่นั้น เมื่อถึงวันหนึ่งปาร์คก็คงวางของเล่นนี้ทิ้งไว้แล้วเดินจากไป เหมือนกับตุ๊กตาตัวนั้นไง ที่สุดท้ายแล้วมันก็เพียงแค่ถูกตั้งทิ้งเอาไว้... แล้วก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำ”

   “มันไม่ใช่แบบนั้น ไม่เลยนะฟร๊องก์ ความรู้สึกที่ปาร์คมีให้ฟร๊องก์มัน...”

   “พอเถอะนะปาร์ค ให้เรื่องของเราที่ปาร์คว่ามันจบลงเถอะ ฟร๊องก์เจ็บ... เจ็บและเหนื่อยมากแล้ว อย่าให้ฟร๊องก์ต้องเจ็บไปมากกว่านี้เลย ถือว่าฟร๊องก์ขอร้องนะ กลับไปดูแลคนที่ปาร์ครักและเขาก็รักปาร์คเถอะ ส่วนฟร๊องก์จะไปตามทางของฟร๊องก์เอง คนที่ผิดจริงๆ มันก็คือฟร๊องก์เนี่ยแหละ ผิดที่รักปาร์คตั้งแต่แรก รักและคิดเกินคำว่าเพื่อนกับปาร์ค และทั้งที่รู้ว่ามันผิด แต่ก็ไม่ยอมตัดใจ ตอนนี้ทุกอย่างมันมาเกินกว่าที่จะแก้ไขแล้ว ฉะนั้นให้มันจบแบบนี้เถอะ ต่างคนต่างไปเถอะนะ วันหนึ่งที่ฟร๊องก์พร้อม เราจะกลับมายิ้มให้กันในฐานะเพื่อนได้อย่างสนิทใจ” ในที่สุดทำนบน้ำตาที่ว่าแข็งแกร่งก็กลับพังทลายลงมาได้อย่างง่ายดาย ผมไม่เหลือความเข้มแข็งอีกต่อไปแล้ว ผมแค่อยากให้ทุกอย่างมันจบ ช่วยให้ผมไม่ต้องทนเจ็บปวดและทรมานแบบที่เป็นอยู่นี่สักที

   มันคงเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับผมกับปาร์ค อย่ายื้อ อย่าฉุดรั้งกันต่อไปเลย มันจะไม่ใช่แค่ผมที่ต้องเจ็บ แต่จะต้องมีคนที่ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องและพาลสร้างบาดแผลในหัวใจเขาเหมือนกับผมอีก ในเมื่อเรื่องทุกอย่างมันเริ่มต้นจากผม ดังนั้นก็ควรเป็นผมที่จบเรื่องนี้ และยอมรับทุกสิ่งที่อย่างที่เกิดขึ้น

   “ฟะ... ฟร๊องก์” ร่างหนาที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อโผเข้ามากอดผมเต็มแรง ผมสัมผัสได้ถึงแรงสั่นจากการสะอื้นของคนที่โอบกอดผมอยู่ ผมเองก็ยังคงยืนนิ่งปล่อยน้ำตาและความอ่อนแอของตัวเองในอ้อมกอดนั้น

   ผมรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอเหลือเกิน แต่กลับยิ่งรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นเมื่อยิ่งได้รับรู้ถึงความรู้สึกของอีกคน ปาร์คเองก็กำลังร้องไห้ ร้องไห้เพราะผมงั้นหรือ เสียใจที่ต้องเสียของเล่นนี้ไปอย่างนั้นหรือ แต่ถึงจะสงสารอย่างไรผมก็หันหลังกลับไม่ได้แล้ว ผมทำในสิ่งที่ผิดต่อเราสองคน รวมทั้งคนอื่นต่อไปไม่ได้อีกแล้ว

   “ปาร์ครักฟร๊องก์นะ” ปาร์คเอ่ยอย่างแผ่วเบา แต่เสียงนั้นกลับกระทบโสตประสาทของผมอย่างจัง

   “ไม่ใช่หรอกปาร์ค มันไม่ใช่ความรักหรอก” ผมยิ้มเยาะกับตัวเอง พร้อมกับพยายามผละตัวออกจากอ้อมกอดนั้น แต่ปาร์คกลับรัดตัวผมแน่นขึ้นอีกจนผมไม่สามารถดันตัวเองออกได้

   “ใช่สิ! ความรู้สึกปาร์ค ปาร์ครู้ดี” ปาร์คพยายามกอดผมแน่นขึ้น ทั้งที่ผมก็พยายามดิ้นอย่างสุดแรงเพื่อให้ตัวเองเป็นอิสระ “อย่าไปไหนเลยนะ”

   “ปล่อย!” ผมรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีผลักตัวคนร่างสูงออกไปได้สำเร็จ ก่อนจะแสยะยิ้มเหยียดหยามเต็มประดา “ถ้ารักฟร๊องก์จริงๆ แล้วกับผู้หญิงคนนั้นคืออะไรล่ะปาร์ค! จะบอกว่าไม่ได้รัก ก็ดูเห็นแก่ตัวไปหน่อยมั้ง ทั้งที่ก็ยังคบกับเขาอยู่ทนโท่”

   “...”

   “หึ! เถียงไม่ออก หาข้ออ้างไม่ถูกเลยล่ะสิ กลับไปเถอะปาร์ค ปล่อยให้เรื่องมันจบลงสักที สักวันเราคงกลับมาเป็นเพื่อนกันได้เหมือนเดิม แต่มันยังไม่ใช่ตอนนี้”

   “เพราะฟร๊องก์กำลังคบกับไอ้เด็กนั่นอยู่ด้วยใช่ไหม ฟร๊องก์ถึงได้เปลี่ยนไป และตัดใจจากปาร์คง่ายขนาดนี้”

   “ถ้าใช่จริงๆ แล้วฟร๊องก์ผิดอะไรที่จะเริ่มเปิดใจมองคนอื่นบ้าง อีกอย่างมันไม่เกี่ยวหรอกว่าฟร๊องก์จะมีใครใหม่หรือเปล่า แต่สิ่งที่เราเคยทำหรือทำอยู่มันผิด และมันก็ไม่ควรถูกสานต่อด้วย ปาร์คเองก็มีคนที่ต้องเอาใจใส่ ดูแลอยู่แล้ว อย่าให้อะไรมันต้องผิดไปมากกว่านี้เลย”

   “เข้าใจแล้ว... ขอโทษสำหรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วยแล้วกันนะ ขอโทษสำหรับวันนั้นที่ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ ถ้าวิธีนี้มันจะทำให้ฟร๊องก์มีความสุขมากขึ้น ปาร์คก็จะยอมทำ ถ้าการที่มีปาร์คอยู่ในชีวิตมันทำให้ความสุขของฟร๊องก์ลดลง ปาร์คจะเป็นคนที่ออกไปจากชีวิตฟร๊องก์เอง”

   น้ำเสียงที่ปกติจะนุ่มทุ้มและสดใส แต่บัดนี้กลับดูเศร้าหมอง ไม่น่าฟัง คำพูดที่ออกมาจากเสียงราบเรียบนั้นทำเอาผมขนลุกอย่างห้ามไม่ได้ การมีปาร์คอยู่ในชีวิตมันไม่ได้ทำให้ผมมีความทุกข์ แต่มันกลับสร้างความสุขที่ยิ่งใหญ่ให้กับผมต่างหาก ความสุขที่ทำให้ผมหลงไปกับมันจนทำให้เกิดอะไรต่อมิอะไรที่เกินเลยไป แต่... ผมต้องใจแข็งให้มากที่สุด อย่าให้ตัวเองเข้าไปทำให้ชีวิตปาร์คต้องแย่ไปมากกว่านี้เลย ผมไม่อยากเห็นปาร์คต้องเสียใจภายหลังกับเรื่องแบบนี้ อย่างน้อยก็ในฐานะของคนที่ผมรัก คงไม่มีใครอยากเห็นคนที่รักเสียใจหรอก แต่การปล่อยมือมันคงเป็นทางออกที่ดีที่สุดจริงๆ

   “แต่ปาร์คยังคงยืนยันคำเดิม ว่าทุกอย่างที่ผ่านมา มันไม่ใช่แค่อารมณ์ชั่ววูบ หรือความต้องการชั่วครั้งชั่วคราวอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างที่ทำ ปาร์คทำเพราะความรู้สึกที่เรียกร้อง ทำเพราะรักจริงๆ หวังว่าสักวันเราจะกลับมายิ้มให้กันได้เหมือนเดิมนะ แต่ถ้ามีปัญหาอะไรอย่าลืมว่ามีปาร์คอีกคนที่จะคอยอยู่ข้างๆ ฟร๊องก์”

   สิ้นเสียงนั้น ร่างสูงที่ดูหม่นหมองและเจ็บปวดก็เดินผ่านหน้าผมไปทันที ปาร์คสวมรองเท้าอย่างไม่เรียบร้อยนัก ก่อนจะเอื้อมไปบิดลูกบิดอย่างช้าๆ แล้วก้าวออกไป ก่อนจะหันมาปิดประตู ผมได้สบเข้ากับดวงตาที่ฉายแววโศกเศร้าอย่างไม่สามารถปกปิดได้ แถมยังมีม่านน้ำตาที่เอ่อล้นอยู่

   และแล้วประตูบานนั้นก็ปิดลง พร้อมกับเรื่องราวระหว่างผมกับปาร์ค


à suivre...

มาแล้วฮะๆๆๆๆๆ
กลับมาพร้อมกับปาร์ค 5555555555+
แต่เค้าน่ารักกว่าปาร์คนะ  :-[
ตัวละครก็จะวนๆ อยู่แค่นี้ เพราะตัวละครหลักมีเท่านี้
แอบกระซิบว่าตอนต่อไป มีตัวละครบางตัวที่จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น อิอิ
แต่... บทบาทที่เข้ามา จะเป็นไปในทิศทางไหนยังไม่บอก ลองติดตามดู

ยังไงก็ขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาติดตามนะฮะ
เจอกันตอนหน้า จุ๊บ  :mew1:


ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ปาร์คนี่ต่อหน้าแฟนแก คนอื่นก็ย้ำว่าฟร็องก์เป็นเพื่อน พออยู่สองคนมาบอกรักซะงั้น คือแบบ มันดูตอแหลอ่ะ ไม่มีความจริงใจอยู่ในการกระทำของแกเลย อารมณ์แบบผู้ชายมักง่ายที่มีเมียแล้วแอบมีบ้านเล็กบ้านน้อยอ่ะแต่พอเมียจับได้ก็ไม่ยอมเลิกจะเอาทั้งคู่ไรงี้ ดูเห็นแก่ตัวนะ ทั้งๆที่ความจริงตัวเองทำตัวไม่ชัดเจนเองแท้ๆ ปากพูดอย่างแต่ทำอีกอย่าง =_=

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ตอแหลว่ะ อยู่ต่อหน้าผญ. ฟร็องก์เป็นได้แค่เพื่อน ยังงี้มันไม่จับปลาสองมือไปหน่อยหรือว่ะ อย่าเห็นแก่ตัวเลยปาร์ค

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 32 [17/7/2017]
«ตอบ #124 เมื่อ17-07-2017 20:39:47 »

Chapitre 32

   ปาร์คหายไปจากชีวิตของผมแล้ว เขาหายไปแล้วจริงๆ ครับ ไม่มีเสียงโทรศัพท์เรียกเข้า ไม่มีเสียงแจ้งเตือนจากไลน์และช่องแชทของเฟซบุ๊ก หรือแม้แต่หน้าเฟซบุ๊กเองที่ตอนแรกผมกดเลิกติดตามทำให้เรื่องราวของปาร์คไม่มาขึ้นให้หน้าฟีดของผม แต่สุดท้ายก็เป็นผมเองที่มักกดเข้าไปดูในหน้าเฟซบุ๊กของปาร์คว่ามีอะไรเคลื่อนไหวบ้าง ปาร์คไม่ค่อยอัพอะไรลงเฟซเช่นเดิม แต่จำนวนไลค์และผู้ติดตามก็ยังคงเยอะไม่เปลี่ยนแปลง

   หัวใจผมห่อเหี่ยวอยู่เหมือนกันเมื่อวันนี้มาถึงแล้วจริงๆ แม้จะพยายามตัดใจตั้งแต่วันที่ปาร์คลงมือทำร้ายผม แต่ตลอดระยะเวลากว่าสี่ปีที่รู้จักกันมา แม้จะดูเหมือนไม่นานมาก แต่มันก็มีเรื่องราวต่างๆ มากมายเกิดขึ้นระหว่างผมกับปาร์ค แต่ตั้งแต่วันนั้นที่ผมเลือกจะหันหลังเดินกลับเส้นทางเดิมที่ผมวิ่งตามหัวใจมา เส้นทางที่ก้าวมาผิดจะได้สิ้นสุดลงเช่นกัน ผมเลือกเดินย้อนกลับไปยังตอนที่ผมกับปาร์คไม่รู้จักกัน

   แต่มานั่งเศร้าเสียใจอยู่ก็ใช่เรื่อง ในเมื่อผมเลือกตัดสินใจแบบนั้นเอง ถึงผมไม่เลือก สักวันเราก็ต้องจากกันอยู่ดี ไม่ว่าจะเพราะเรื่องคืนนั้น ที่ผมอยากลบและลืมมันจากความทรงจำ และเท่าที่ผมเห็นปาร์คกับแฟนในวันนั้น ก็ทำให้พอรู้ว่าเขาสองคนรักกันมาก แถมยังเข้ากันได้ดีอีก ปาร์คก็หน้าตาดี ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็จัดว่าสวยเลยทีเดียว คงจะไปกันได้ด้วยดี

   ผ่านมาเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้วหลังจากวันที่ปาร์คเดินออกจากห้องผมไป แต่ผมก็ดูซึมๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้อีกครั้ง ทั้งที่บอกตัวเองว่าให้พยายามตัดใจและทำใจมาตั้งแต่แรกแล้ว ตั้งแต่ที่รู้ว่าปาร์คมีใคร แถมยังมีเกิดเรื่องที่ยากจะอภัยนั่นอีก แต่พอเวลาจริงๆ ทำไมมันกลับยากเย็นเหลือเกิน

   ตลอดสัปดาห์ผมไปเรียนในสภาพค่อนข้างอิดโรย เพราะผมนอนไม่ค่อยหลับ การรับรู้สิ่งรอบข้างของผมต่ำมาก เรียกได้ว่าแทบจะเป็นซอมบี้ที่มีชีวิตเลยก็ว่าได้ บ่อยครั้งที่เพื่อนๆ รวมทั้งทาร์ตบอกว่าผมมักเหม่อลอย เพราะในหัวคิดถึงแต่เรื่องที่ผ่านมาระหว่างผมกับปาร์ค เรื่องราวดีๆ ที่เคยผ่านมาด้วยกัน แต่ผมก็ไม่ได้ร้องไห้หรอกนะครับ น้ำตามันคงหมดไปตั้งแต่คืนวันอาทิตย์แล้วแหละ

   “พี่... พี่ฟร๊องก์...”

   “ห๊ะ... ว่าไงนะทาร์ต” ผมสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงเรียกของทาร์ตที่ดังจนทำให้คนที่นั่งโต๊ะรอบข้างหันมามอง ขณะที่ตอนนี้ทาร์ตชวนผมแยกกับเพื่อนคนอื่นๆ ออกมาหาอะไรกินแถวหน้ามหา’ลัยหลังจากเลิกเรียน

   “ผมถามว่าพี่จะเอาสุกี้น้ำทะเลไม่เอากุ้งเหมือนเดิมไหม” ทาร์ตมองผมด้วยสายตาเป็นห่วงและดูเคร่งขรึมกว่าทุกครั้งที่เขาเป็น

   “เอาตามที่น้องว่าเลยครับ” ผมหันกลับไปบอกเจ๊ที่รอจดออเดอร์ ซึ่งท่าทางจะยืนรอนานจนคิ้วเริ่มขมวด

   “เอาน้ำเปล่าแล้วกันครับ” ทาร์ตหันไปบอกเจ๊หน้าหงิกอีกรอบ ก่อนที่เจ๊เขาจะเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

   “...”

   “ผมเห็นพี่เป็นแบบนี้มาหลายวันแล้วนะ บอกตรงๆ ว่าผมไม่สบายใจเลยว่ะ” ทาร์ตพูดด้วยน้ำเสียงที่ผมไม่ได้ยินจากเจ้าตัวบ่อยนัก รวมทั้งสีหน้าที่บ่งบอกถึงความจริงจังและไม่ได้ล้อเล่นแม้แต่น้อย ผมก็ไม่ค่อยแปลกใจกับสิ่งที่ทาร์ตพูดหรอก เพราะนอกจากเก็ท ก็ได้คนตรงหน้าผมตอนนี้นี่แหละ ที่คอยอยู่ข้างๆ ผม

   “คือ...”

   “หลังจากวันที่เราไปเที่ยวด้วยกัน กลับมาพี่ก็เป็นแบบนี้เลย หน้าพี่เหมือนคนอมทุกข์ เอาแต่นั่งเหม่อ ผมไม่อยากเห็นพี่เป็นแบบนี้เลย”

   “พี่ไม่เป็นไรหรอก แค่มีอะไรให้คิดนิดหน่อย เดี๋ยวพี่ก็หาย...”

   “เพราะผู้ชายคนนั้นใช่ไหมที่ทำให้พี่เป็นแบบนี้ พี่ยังยังคิดถึงเขาอยู่ใช่ไหม คนนั้นคือคน... รัก ที่พี่เคยบอกใช่ไหม” เสียงทาร์ตเบาลง แม้จะฟังดูเย็นชา แต่กลับมีความสั่นเครือและแฝงด้วยความเจ็บปวดในคำพูดเหล่านั้น

   “คือพี่...”

   “...”

   “พี่... ขอโทษ” ผมเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเทา

   “ผมไม่ได้โกรธ... ผมบอกแล้วไงว่าผมจะรอ รอเมื่อพี่พร้อม” ทาร์ตส่ายหน้าเพื่อเป็นเชิงบอกว่าผมไม่ผิด แต่ผมรู้ดีว่าในขณะที่ผมเจ็บปวดเพราะการที่ต้องจากคนๆ หนึ่ง มันก็กำลังทำให้ใครอีกคนเจ็บปวดไม่แพ้กัน “ผมแค่ไม่อยากให้พี่ต้องเป็นทุกข์อยู่แบบนี้”

   “ขอบใจนะ” ผมยิ้มให้คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเล็กน้อยเพื่อให้เขาสบายใจขึ้น

   “ผมก็ไม่ได้อยากจะยุ่งกับเรื่องของพี่หรอกนะ แต่พี่ก็เห็นแล้วว่าเขากับผู้หญิงคนนั้น คบกัน แล้วพี่จะยังทนเจ็บอยู่ทำไม ผมรู้ว่ามันทำใจยาก แต่ผมก็อยากให้พี่ตัดใจ เพื่อความสุขของพี่เอง”

   “...”

   “กินเถอะพี่ เดี๋ยวจะเย็นซะหมด” ผมพูดอะไรไม่ออก และทาร์ตเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ก่อนจะตัดบทเมื่อสุกี้ที่สั่งมาเสิร์ฟโดยเจ๊หน้าบูดเช่นเดิม   

   หลังจากวันนั้น ผมก็เริ่มดีขึ้น และดีเรื่อยๆ เมื่อทาร์ตยังคงเข้ามาสร้างเสียงหัวเราะให้กับผมอย่างสม่ำเสมอ และเจ้าตัวก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่คุยกับผมในค่ำวันนั้นอีกเลยเช่นกัน

   ตอนนี้ผมว่าสภาพจิตใจผมเกือบสมบูรณ์แล้วนะ แต่... จะว่าสมบูรณ์ก็คงไม่หรอก เพราะลึกๆ ผมยังคงคิดถึงปาร์คอยู่เสมอ และไม่รู้ว่าถ้าได้เจอกันไม่ว่าจะโดยบังเอิญหรือตั้งใจ ผมจะทำหน้าอย่างไร และควรทำตัวอย่างไร อันนี้ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เอาเป็นว่าถึงตอนนี้ผมจะโอเคกับตัวเองแล้ว แต่ก็ยังไม่พร้อมจะคุยหรือเจอกับปาร์คอยู่ดี ให้ห่างกันไปแบบนี้เรื่อยๆ ก่อนอ่ะดีแล้ว

   “อารมณ์ดีอะไรมา ยิ้มร่ามาเชียว” เก็ทเอ่ยปากแซวเมื่อเห็นผมขึ้นรถมาพร้อมรอยยิ้มกึ่งหัวเราะ

   “ลองดูวีดีโอที่ทาร์ตส่งมาให้อ่ะดิ โคตรฮาเลย” ผมยื่นโทรศัพท์ที่เพิ่งกดเล่นวีดีโอที่เปิดค้างไว้อีกครั้งไปตรงหน้าของเก็ท แต่มันกลับแค่เหลือบตาลงมามองเล็กน้อย ก่อนจะดันมือผมออก อะไรวะ! อุตส่าห์จะหาเพื่อนหัวเราะด้วย ไม่มีอารมณ์ร่วมเอาซะเลย! “ชิ! ไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย คนอะไร!”

   “ก็กำลังจะขับรถ” เก็ทตอบเสียงนิ่งพลางหันมามองผมที่กำลังเบ้ปากใส่ด้วยความหมั่นไส้ “เห็นหัวเราะได้แบบนี้ก็ดีแล้วไง” ก่อนที่ริมฝีปากของเก็ทจะเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับฝ่ามือที่ยื่นมายีหัวผม

   “ผมยุ่งหมด!”

   “สรุปหมอนั่นเลิกติดต่อมาแล้วใช่ไหม หรือยังโผล่มาบ้าง” เก็ทหันไปจับพวงมาลัยอีกครั้งเมื่อผมปัดมือออกเบาๆ ก่อนที่รถจะค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป

   “อืม...”

   “ดีแล้ว จะได้ตัดใจได้ไวๆ อีกอย่างก็มีไอ้ทาร์ตนั่นอยู่แล้วทั้งคน”

   “เกี่ยวอะไรกัน ยังไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย” ผมรีบตอบกลับอย่างเขินๆ ใช่ครับผมเขินจริงๆ หมู่นี้เวลามีคนแซวเรื่องผมกับทาร์ต มันมักทำให้ผมรู้สึกเลือดสูบฉีดขึ้นมาที่ใบหน้า และหัวใจก็เต้นแรง

   “หึหึ สนิทกันขนาดนั้นแล้วยังไม่ได้คบกันอีกหรือไง รู้รึเปล่าว่าคนอื่นเขาคิดว่าฟร๊องก์กับเด็กนั่นคบกันหมดแล้ว”

   “กะ... ก็... ช่างมันเถอะ” ผมไปต่อไม่ถูกเลย จะว่าไปผมกับทาร์ตก็สนิทกับเร็วมากเลยนะ แถมยังสนิทกันมากกว่าเพื่อนๆ คนอื่นทั้งที่ก็รู้จักทาร์ตมาพร้อมๆ กับผม อย่างไวน์นี่รู้จักมาก่อนด้วยซ้ำ แต่จะบอกว่าคบกันไหมผมว่ามันยังไม่ถึงขั้นนั้นนะ ไม่รู้สิ ผมเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่ก็มีหลายต่อหลายครั้งที่ทาร์ตมักจะทำให้หัวใจของผมเต้นผิดจังหวะ

   “ลองดูกันเอาเองล่ะกัน” จากนั้นต่างคนก็ต่างเงียบ จนเสียงดังกลับมาอีกครั้งเมื่อรับโดนัทกับไวน์ขึ้นมาบนรถ
 
   นี่ผ่านไปแป๊บเดียวก็จะวันศุกร์อีกแล้ว จะได้กลับบ้านอีกแล้ว ไม่ใช่อะไรนะ ดีใจ ฮ่าๆ ผมกะว่าวันเสาร์จะไปเดินเล่นพักผ่อนซะหน่อย คิดๆ ไว้ว่าจะไปเดินเล่นที่ยูเนียนมอลล์ แล้วพอบ่ายแก่ๆ กะจะไปชิลล์ต่อที่สวนรถไฟไม่ก็สวนจตุจักร เดี๋ยวดูอีกที

   วันนี้ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ พอเที่ยงทาร์ตก็จะแวะมากินข้าวกับพวกผมตามปกติ แต่วันนี้ลากเพื่อนมาด้วยคนหนึ่ง ชื่อกล้าเก่ง เก่งกล้าอะไรสักอย่างแหละ แต่เรียกสั้นๆ ว่าเก่ง จริงๆ ก็เจอกันหลายครั้งแล้วแหละ แถมทุกครั้งที่ทาร์ตพามาด้วย เก่งอะไรนั่นจะมีอาการเขินเล็กๆ น้อยๆ ไม่ต่างอะไรกับเพื่อนสุดห้าวอย่างนุ่น ที่กลับดูเรียบร้อยผิดหูผิดตาทุกครั้งเวลาที่เก่งมากับทาร์ต

   “เออ นี่มึง เริ่มทำฝรั่งเศสยังวะ” โดนัทที่เดินตามผมเข้ามายังห้องเรียนถามขึ้น

   “ฝรั่งเศส? เออว่ะ ยังไม่ได้เริ่มเลย งานอื่นแม่งก็เยอะ นี่สั่งดิกกับคิโนะไว้ วันก่อนโทรมาบอกว่าของเข้ามาแล้วยังไม่ได้ไปเอาเลย ถ้ามึงไม่พูดนี่กูลืมไปแล้ว” ผมสั่งพจนานุกรมฝรั่งเศส-อังกฤษกับร้านคิโนะคุนิยะที่พารากอนเอาไว้ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเขาโทรให้ไปเอา ผมก็ลืมไปเลย สภาพจิตใจช่วงนั้นไม่ค่อยปกติด้วย ดีนะที่โดนัทมันพูด ผมเลยนึกออก ไม่งั้นเขาคงได้โทรมาด่าแน่ๆ หายไปนานขนาดนี้

   “รีบไปเอาเถอะมึง เดี๋ยวทำไม่ทันหรอก อีกแป๊บเดียวก็จะสอบไฟนอลอีกล่ะ กูล่ะเบื่อ ยังไม่หายเหนื่อยจะมิดเทอมเลย” โดนัทบ่นกระปอดกระแปด งานฝรั่งเศสที่ว่าคือรายงานครับ ทำกันคนละเล่ม คนละเรื่องแยกๆ กันไป โดยที่อาจารย์จะให้หัวข้อคร่าวๆ ไว้ให้เลือกบางส่วน แต่ถ้าใครอยากทำเรื่องที่สนใจแตกต่างออกไปก็สามารถทำได้ แต่ต้องลองไปเสนออาจารย์ก่อนว่าหัวข้อผ่านไหม และควรทำให้เนื้อหารายงานเป็นไปในทิศทางไหน อย่างของผมเลือกเรื่อง Polysémie (Polysemy) ซึ่งก็คือคำที่มีหลายความหมาย และหลายหน้าที่แตกต่างกันไป ผมเลยต้องใช้ดิกชันนารีเพื่อช่วยหาคำศัพท์และความหมาย ที่สั่งดิกฝรั่งเศส-อังกฤษไปเพราะรายงานต้องทำเป็นสามภาษา คือ ฝรั่งเศส อังกฤษ ไทย แต่ในส่วนเนื้อหาที่ใช้อธิบายสามารถพิมพ์เป็นภาษาไทยสลับกับฝรั่งเศสได้ ผมว่าก็ดีนะจะได้รู้ภาษาอังกฤษไปด้วยในตัว

   “เก็ท ทำรายงานฝรั่งเศสมั้งยัง” เมื่อแยกนั่งกันประจำที่ ผมก็เอ่ยถามคนที่นั่งข้างๆ ทันที แต่อย่างเก็ทคงไม่มีปัญหาหรอก ระดับมันชอบซุ่มเงียบ โผล่มาอีกทีงานแม่งโคตรเจ๋งเลย

   “ก็เนื้อหาเสร็จหมดแล้ว เหลือแค่พวกตัวอย่างประกอบกับคำอธิบายเล็กน้อยอ่ะ”

   “โห้แม่งซุ่มว่ะ! ฟร๊องก์ยังไม่ได้เริ่มเลย โดนัทมันทักขึ้นมาเลยนึกออกว่าสั่งดิกเอาไว้ คิดว่าเลิกเรียนจะไปแวะไปเอาก่อนกลับบ้าน” ผมชกต้นแขนเก็ทเบาๆ แต่แม่งแข็งฉิบหาย ก่อนจะต่อว่าเบาๆ บอกแล้วมันแอบซุ่มจริงๆ เสร็จไปเยอะแล้วด้วย นิสัย!!!

   “ที่ไหน”

   “หื้ม ดิกอ่ะเหรอ ที่พารากอนอ่ะ คิโนะ”

   “เดี๋ยวพาไปเอาแล้วค่อยกลับบ้าน จะได้ไม่ต้องนั่งรถหลายต่อ” เก็ทพูดเสียงนิ่งๆ พลางเปิดหนังสือเรียนโดยไม่ได้หันมามองผม

   “ลำบากเปล่าๆ เดี๋ยวไปเองก็ได้”

   “ก็ไม่ไปไหนต่ออยู่แล้ว เผื่อจะดูหนังสืออื่นๆ ด้วย”

   “ก็ดี ไม่ต้องเสียค่ารถ แต่ไปส่งบ้านด้วยนะ ฮ่าๆ” ผมยิ้มร่าทันที ก็ดีเหมือนกัน นอกจากประหยัดด้วย แล้วยังสะดวก ไม่ต้องเหนื่อยแบกข้าวของนั่งรถหลายๆ ต่อด้วย

**********___________***********

   หลังจากที่เก็ทแวะส่งไวน์กับโดนัทเสร็จ ผมกับเก็ทก็ฝ่ารถติดช่วงเลิกงานมาวนหาที่จอดได้ในที่สุด แต่จะว่าไปก็หิวแล้วเหมือนกันนะ ชวนเก็ทหาอะไรกินก่อนกลับบ้านเลยแล้วกัน

   ติ๊ด! ติ๊ด!

   “... อืม” ผมกะว่าจะชวนเก็ทหาอะไรกินกันก่อนจะกลับ แต่เสียงโทรศัพท์ของเจ้าตัวก็ดังขึ้นซะก่อนขณะที่เราทั้งคู่กำลังขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นของร้านหนังสือ ส่วนเก็ทก็รับสายแบบเสียงเย็นชามากเลย คนโทรมาคงหงายเงิบกันเลยทีเดียว แต่ปกติเวลามันคุยโทรศัพท์กับผมก็แบบเนี่ยล่ะ ไม่ต่างกันแต่ผมน่ะชินแล้ว

   “ติดธุระอยู่ เอาไว้คราวหน้าแล้วกัน... อืม... ขับรถดีๆ ล่ะ ไม่ต้องขับเร็วมาก... อืม” เก็ทคุยโทรศัพท์ไม่นานก็วางสายไป

   “ใครเหรอ มีเรื่องอะไรด่วนหรือเปล่า ถ้ามีธุระกลับก่อนก็ได้นะ ฟร๊องก์กลับเองได้สบายมาก!” ผมหันไปถามด้วยความสงสัย ก็เท่าที่จับใจความได้เหมือนปลายสายต้องการเจอเก็ทประมาณนั้น อีกอย่างผมเกรงใจมันด้วย แค่พามาก็ดีจะตายแล้ว

   “ชัญญ่าน่ะ ไม่มีอะไรหรอก ช่างเถอะ” เก็ทตอบก่อนจะเดินนำผมออกจากลิฟต์ไปทันทีที่ประตูเปิดออกยังชั้นที่ต้องการ

   “อ้าว นัดกันไว้เปล่า เก็ทไปหาชัญญ่าก็ได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ ฟร๊องก์กลับเองได้จริงๆ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” ผมรีบเดินตามออกไป แล้วเอื้อมมือออกไปคว้าแขนของเก็ทไว้ให้หยุดเดินทันที ก่อนที่เจ้าตัวจะหันกลับมามองผมด้วยความสงสัย ผมนี่สิที่ต้องสงสัย! และต้องคุยให้รู้เรื่องเพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิดเหมือนครั้งแรกที่ผมได้เจอชัญญ่าอีก อย่างน้อยชัญญ่าก็เป็นแฟนเก็ท เก็ทควรจะไปอยู่กับแฟนมากกว่า

   “เปล่า... ญ่าโทรมาชวนไปกินข้าวด้วยเฉยๆ”

   “แล้วไม่ไปอ่ะ ไม่ก็ชวนมาด้วยกันก็ได้ มหา’ลัยญ่าก็อยู่ไม่ไกลนี่เองไม่ใช่เหรอ อีกอย่างเราก็ไม่ได้รีบอยู่แล้วนิ โทรกลับไปหาดิ ชวนมาด้วยกันจะได้มีเพื่อนคุยด้วย ไม่ได้เจอญ่านานแล้ว”

   “ไว้คราวหน้าก็ได้ เห็นบอกว่าจะรีบกลับบ้าน”

   “งั้นเหรอ อืมๆ ว่าแต่เก็ทไม่ได้รีบใช่ป่ะ ฮ่าๆ ว่าจะชวนหาอะไรกินอ่ะ หิว” ผมหัวเราะแห้งๆ เมื่อก่อนหน้าสรุปเอาเองว่าเก็ทไม่ได้รีบไปไหนต่อ

   “ก็ไม่ได้ไปไหนต่อนะ ถ้าฟร๊องก์ไม่รีบก็ตามนั้นแหละ” เก็ทพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงยืนยันในคำตอบ อยากกินบอนชอนจะได้มีคนต่อคิวเป็นเพื่อน ฮ่าๆๆ

   “งั้นรีบไปเอาดิกเหอะ หิวล่ะ เดี๋ยวไปต่อคิวบอนชอนนานอีก” ผมว่าพร้อมตกลงเสร็จสรรพว่าเราจะกินอะไรกัน ฮ่าๆ เผด็จการไหมล่ะ แต่รู้ครับว่าเก็ทยังไงก็ได้อยู่แล้ว ถือว่าเป็นข้อดีเวลาที่ไปไหนมาไหนกับมัน ผมจะเลือกทำอะไรได้ตามใจแทบทุกอย่าง แต่บางทีก็แอบรู้สึกเหมือนมาคนเดียวนะ ก็ไอ้คนตัวสูงข้างๆ นี่เดินหน้านิ่ง เงียบขรึมอย่างเดียวเลย

   ไม่นานเราสองคนก็มาถึงร้านหนังสือคิโนะคุนิยะที่เป็นจุดหมาย แต่ผมยังไม่ได้บอกพนักงานเพื่อเอาดิกที่สั่งไว้หรอก เพราะเก็ทบอกว่าจะขอเดินดูหนังสืออื่นๆ สักครู่ก่อน ผมเองก็เลยเดินดูหนังสือเล่นไปด้วยพลางๆ เผื่อจะมีหนังสือที่เตะตา น่าหยิบมาอ่าน

   ผมกับเก็ทแยกกันเดินดูหนังสือตามที่แต่ละคนสนใจอยู่ภายในร้าน ผมเดินดูไปเรื่อยเปื่อยเพราะไม่ได้มีลิสต์รายชื่อหนังสือที่สนใจไว้เป็นพิเศษ แต่ก็ต้องมาสะดุดตากับหนังสือเล่มหนึ่ง ที่แค่เห็นหน้าปกก็ชวนให้หยิบลงมาเปิดดู แต่มันอยู่ชั้นบนเลยอ่ะ ผมเอื้อมไม่ถึง ทั้งที่มันน่าสนใจจะตาย หรือเพราะมันไม่มีคนอ่านหรืออะไรวะ ทำไมต้องเอาไปไว้สูงขนาดนั้น (เอ๊ะ! หรือกูเตี้ย?) ผมพยายามเอื้อมหยิบอยู่นานสองนานก็ไม่ถึงสักที จนต้องถอนหายใจ หาหนังสือเล่มอื่นก็ได้วะ! ช่างแม่ง!!!

   แต่แล้วอยู่ๆ ก็มีคนที่ตัวสูงกว่าผมมายืนซ้อนอยู่ด้านหลังของผม ก่อนจะเอื้อมแขนกำยำยาวๆ นั่นขึ้นไปหยิบหนังสือที่ผมหมายตาเล่มนั้นลงมาให้ ผมจึงเหลียวกลับไปมองคนๆ นั้นทันที

   “เก็ท...”

   “เห็นเอื้อมอยู่นานแล้ว เตี้ยเอ๊ย!” เก็ทว่านิ่งๆ ก่อนจะใช้มืออีกข้างยีหัวผมเบาๆ จากทางด้านหลัง ตอนนี้หนังสือเล่มนั้นอยู่ในมือของเก็ทแล้ว แต่ร่างสูงก็ยังคงยืนตัวแนบชิดแผบหลังของผมอยู่เช่นเดิมจนผมสัมผัสได้ถึงแผงอกแน่นๆ ที่ติดกับหลังของผมเพียงแค่เสื้อนิสิตบางๆ กั้น

   ภาพเมื่อครั้งที่ไปเกาะล้านลอยเข้ามาในห้วงความคิดอีกหน กล้ามเนื้อมัดแน่น ไรขน รวมทั้งตุ่มไตที่อยู่ภายใต้ผ้าบางๆ นั้น ทำให้ผมเตลิด และคิดไปจนถึง... ส่วนนูนเด่นกลางลำตัวในตอนนั้น

   บ้าเอ๊ย! ผมคิดอะไรของผมวะเนี่ย!!

   “ชิ!” เมื่อตั้งสติได้ ผมจิ๊ปากอย่างขัดใจกับคำจำกัดความที่ใช้เรียกผม ใครจะสูงเป็นเปรตอย่างตัวเอง!

   ไม่รู้ทำไม ทั้งที่ผ่านมาผมก็เคยยืมอ้อมกอดของคนๆ นี้ตั้งหลายต่อหลายครั้งเพื่อปลอบโยนตัวเอง โดยไม่ได้รู้สึกผิดแปลกหรือผิดปกติใดๆ แต่ครั้งนี้กลับรู้สึกต่างออกไป หัวใจของผมมันกลับเต้นแรงผิดปกติ ไม่รู้ว่าเพราะความตกใจหรือเพราะอะไรกันแน่ ยิ่งรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของอีกคนที่กำลังรดรินอยู่เหนือศีรษะของผม กอปรกับความคิดสัปดนเมื่อกี้ด้วย ยิ่งทำให้รู้สึกใจสั่นรัว ทั้งที่คนๆ นี้เป็นเพื่อนที่คอยปลอบใจและอยู่เคียงข้างผมตลอดมาแค่นั้น

   “นี่น่ะเหรอธุระของเธอ!” จู่ๆ น้ำเสียงนิ่งแต่แฝงด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่นของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นขัดจังหวะการเต้นของหัวใจผม และเสียงของบุคคลนิรนามนั้นก็ทำให้เราทั้งคู่ผละออกจากกันแทบจะในทันที

   “ชัญญ่า/ญ่า” เสียงของผมกับเก็ทเปล่งชื่อของผู้มาเยือนขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายด้วยความตกใจ

   “ว่าไง เนี่ยเหรอธุระที่ว่า” ชัญญ่าว่าพร้อมสาวเท้าเข้ามาใกล้ผมกับเก็ทอย่างมาดมั่นตามสไตล์ คิ้วข้างหนึ่งยกขึ้นมองอย่างกวนประสาท แต่สายตาคู่นั้นกลับไม่มีท่าทีเล่นเลย แถมยังเปี่ยมไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความโกรธที่พร้อมจะแผดเผาทุกคนที่ขัดใจ

   “มันไม่มีอะไรอย่างที่ญ่าคิดเลยนะ เก็ทแค่เอื้อมหยิบหนังสือให้เรา นี่ไง เล่มนี้” ผมรีบแก้ต่างทันทีก่อนที่จะหันไปคว้าหนังสือที่อยู่ในมือของเก็ทชูขึ้นมาให้ชัญญ่าดู กันไว้ก่อนที่เธอจะเข้าใจอะไรผิดมากไปกว่านี้

   “เราก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ก็รู้อยู่ว่าเป็นเพื่อนกัน แต่ทำไมมากับฟร๊องก์แล้วเธอถึงไม่บอกฉัน จำเป็นต้องปิดบังด้วยอย่างนั้นเหรอ”

   “ไม่ได้จะปิดบัง แต่มันไม่จำเป็นต้องบอกอะไรนิ” โอ้ย! ผมล่ะเพลียกับคำตอบของเก็ทจริงๆ เลย ชัญญ่านี่ถึงกับขมวดคิ้วเป็นโบว์เลยเมื่อได้ยินคำตอบที่เอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แบบนั้น

   “เก็ทแค่พาเรามาเอาหนังสือที่สั่งไว้ที่นี่น่ะ ตอนแรกพอเรารู้ว่าญ่าโทรมานะ เราก็บอกให้เก็ทชวนมาด้วยเลย แต่เห็นเก็ทบอกว่าญ่ารีบกลับบ้าน เราเลยไม่อยากรบกวน เอางี้ดิ ไหนๆ ก็มาแล้ว เดี๋ยวไปหาอะไรกินด้วยกัน เราว่าจะไปกินบอนชอนอ่ะ ไปด้วยกันดิ ไม่ได้เจอกันตั้งนานแล้ว” ผมรีบอธิบายเสริมอย่างยืดยาวทันทีเมื่อเห็นสถานการณ์เริ่มตึงเครียดมากขึ้น ก็เพราะคำตอบป่วยๆ ของเก็ทนั่นล่ะ

   “รีบกลับบ้าน? หึหึ ไม่เป็นไรหรอกฟร๊องก์ เดี๋ยวไว้เราค่อยนัดเจอกันแค่สองคนดีกว่า วันนี้ญ่า ‘รีบกลับบ้าน’ ด้วยอ่ะ อีกอย่างก็ไม่มีอารมณ์แล้ว โทษทีนะ” ชัญญ่าพูดพร้อมแค่นหัวเราะออกมาเล็กน้อย แต่เสียงหัวเราะนั้นฟังดูน่าขนลุกอย่างไรบอกไม่ถูก

   “อื้ม... เอางั้นก็ได้ ไว้เจอกันนะ” ผมยิ้มตอบก่อนจะยกมือขึ้นโบกลาชัญญ่าเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะเดินออกจากตรงนั้นไป ก่อนไปเธอแทบจะไม่มองหน้าผมกับเก็ทเลยด้วยซ้ำ จริงๆ เธอก็สมควรโกรธอยู่แหละ เพราะแทนที่เก็ทจะไปหาเธอที่เป็นแฟน แต่กลับเลือกจะอยู่กับผมที่เป็นเพื่อนซะงั้น แถมยังไม่บอกอีกว่าอยู่กับผมทั้งที่ผมกับชัญญ่าก็รู้จักกัน แต่ที่ยิ่งเป็นการเติมเชื้อไฟที่สุดคงเป็นการตอบคำถามหน้าตายเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรแบบนั้น เป็นใครก็ย่อมโกรธเป็นธรรมดา

   ผมหันไปมองเก็ทเล็กน้อย ท่าทางเก็ทยังคงดูนิ่งอยู่ นิ่งมากจนเดาไม่ถูกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ และผมเดาว่าเก็ทก็คงรู้สึกแย่พอสมควรแหละที่ทำให้ชัญญ่าโกรธเคืองแบบนั้น แถมพอนึกถึงรอยยิ้มเคลือบยาพิษนั่นก็เหมือนเป็นชนวนที่พร้อมจะจุดและระเบิดขึ้นทันที เก็ทคงต้องเตรียมรับศึกหนักแน่ๆ

   “เดี๋ยวไปเอาดิกก่อนนะ จะได้กลับกันเลย เก็ทจะได้จะรีบกลับไปปรับความเข้าใจกับชัญญ่าด้วย” ผมว่าก่อนจะเดินแยกไปบอกพนักงานเพื่อเอาดิกชันนารีที่สั่งไว้ หลังจากนั้นก็ต้องให้เก็ทแวะไปส่งที่บ้าน ตอนแรกก็ปฏิเสธไปแหละ แต่พอต้องเดินกลับไปเอาสัมภาระที่ทิ้งไว้ในรถเก็ทก็ต้องติดรถกลับด้วยจนได้ ตลอดทางเก็ทขับรถไปอย่างเงียบๆ ผมว่าเก็ทคงเครียดอยู่เหมือนกัน ดูจากเหตุการณ์ครั้งก่อนนั้น เก็ทดูรักชัญญ่าไม่น้อย แต่อาจเป็นเพราะบุคลิกนิ่งๆ แบบนิ่งเกินไปอ่ะ บางทีเลยทำให้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ บานปลาย เมื่อมาส่งผมถึงหน้าบ้าน ผมก็รีบย้ำให้เก็ทรีบไปตามง้อชัญญ่าซะก่อนที่เรื่องจะเลยเถิดใหญ่โตไปกว่านี้     
   
**********__________**********

   เวลาเดินเร็วกว่าที่ผมคิด เผลอแป๊บเดียวผมก็มายืนแต่งตัวอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า เตรียมจะออกไปยูเนียนมอลล์ตามแผนที่วางเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว ผมเลือกแต่งตัวสบายๆ ให้เหมาะกับการไปผ่อนคลายตัวเองจริงๆ ไม่เน้นอะไรมากมายนัก และผมเองก็ไม่ได้บอกใครด้วยว่าวันนี้จะไปไหน อยากทำอะไรคนเดียวบ้าง อยากอยู่กับตัวเองบ้าง

   “แม่ ฟร๊องก์ออกไปเที่ยวนะ คงกลับเย็นๆ มืดๆ อ่ะ” ผมบอกแม่ที่นั่งพิมพ์งานอยู่หน้าโน้ตบุ๊ค ก่อนจะเดินไปหยิบรองเท้ามาใส่

   “ไปกับใครล่ะ”

   “คนเดียวครับ” ผมตอบยิ้มๆ

   “ดูแลตัวเองด้วยล่ะ แล้วก็รีบกลับนะ อย่าดึกมาก” แม่ยิ้ม ก่อนจะเดินออกไปส่งผมที่หน้าบ้าน

   จากนั้นก็นั่งวินมอเตอร์ไซด์เพื่อไปต่อรถไฟฟ้า ไม่นานนักผมก็มาถึงยังที่หมาย แอบหิวข้าวนิดหน่อย แต่เดี๋ยวไปเดินเล่น ดูของไปเรื่อยๆ ที่ยูเนียนก่อน แล้วค่อยข้ามไปกินข้าวฝั่งเซ็นทรัล วันนี้ไม่มีกำหนดเวลาอยู่แล้วว่าผมจะไปไหน ฉะนั้นอยากทำอะไรก็ทำ

   ผมเดินดูของไปเรื่อยเปื่อย จริงๆ ไม่ได้มีอะไรที่อยากได้เป็นพิเศษหรอก แต่ก็แอบมีของที่สะดุดตาบ้าง ก็แน่นอนล่ะ ในมือผมนี่มีถุงเสื้อผ้ามาแล้วตั้งสองถุงนี่ครับ ขนาดไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษนะ ฮ่าๆ แต่ก็รู้สึกผ่อนคลายดีนะ ถึงว่า ผู้หญิงชอบบอกว่าการชอปปิ้งช่วยคลายเครียดได้ ผมว่าก็จริงนะ ได้เลือก ได้ซื้อในสิ่งที่เราชอบอะไรแบบเนี่ย แต่ก็แอบเครียดตามมาทีหลังนะ เมื่อเปิดดูกระเป๋าสตางค์แล้วพบว่าเงินหายไปไหนหมด นั่นล่ะเครียดเลย!

   จะว่าไปไม่รู้ทำไมเหมือนกันผมถึงเลือกมาที่นี่ แต่ไม่รู้สิ คิดไม่ออกมั้งว่าจะไปที่ไหนดี ใจจริงก็อยากหนีไปต่างจังหวัดคนเดียวเหมือนกันนะ แต่ก็ยังไม่มั่นใจพอ แต่คราวหน้าลองไปเปลี่ยนบรรยากาศจังหวัดใกล้ๆ กรุงเทพฯ บ้างก็คงจะดีเหมือนกัน น่าจะช่วยได้เยอะเหมือนตอนไปเที่ยวเกาะล้าน

   ผมเดินดูดชาไข่มุกไปพลางๆ จนตอนนี้มันหมดแก้วล่ะ เดินครบทุกชั้นแล้วด้วย ไม่ได้ซื้ออะไรเพิ่มจากสองถุงที่บอกก่อนหน้าครับ มีของถูกใจนะ แต่เก็บไว้ก่อนเพราะคิดว่ามันได้สำคัญขนาดนั้น ตอนนี้ท้องผมก็เริ่มแจ้งเตือนให้หาของยัดเข้าไปได้แล้ว สุดท้ายเลยต้องตามใจหนังท้องตัวเองเดินข้ามไปยังเซ็นทรัล แต่ก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าจะกินอะไร ปกติผมไม่ค่อยเที่ยวคนเดียว เลยประหม่านิดๆ เวลาต้องกินอะไรคนเดียว แต่เอาเถอะ เดี๋ยวลองครั้งนี้แล้วอาจจะชอบก็ได้มั้ง

   “คุณ!”


à suivre...


เดี๋ยวอาจจะต้องมีคนบอกแน่เลยว่า ให้ปาร์คมันหายๆ ไปอ่ะดีแล้ว จะเศร้าทำไม 55
แต่เราแต่งก็พยายามเข้าใจความรู้สึกของคนที่รักใครมากๆ แม้ว่าเขาจะทำเจ็บแต่ก็ยังรัก
พอวันหนึ่งต้องจากกันจริงๆ ก็คงทำใจปุบปับไม่ได้
อีกอย่าง ด้วยนิสัยของฟร๊องก์ตั้งแต่ต้นที่เราวางมา ฟร๊องก์เป็นคนที่จมและติดอยู่กับความรู้สึกเดิมๆ

ตอนนี้จะไม่พูดถึงทาร์ตก็คงไม่ได้ แม้จะมีบทเข้ามาไม่เยอะ
แต่เราตั้งใจใส่ลงไปให้มันดูแอตแทคความรู้สึกลึกๆ ของอีกคนที่รอ
รอให้ฟร๊องก์ลืมปาร์คให้ได้ แม้ตัวทาร์ตเองก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนก็ตาม

อย่างที่บอกเอาไว้เมื่อตอนที่แล้วว่าจะมีตัวละครอีกตัว เริ่มเข้ามามีบทบาท
ส่วนการตัดฉาก ทิ้งท้ายไว้ให้ลองเดาเล่นๆ ว่าเป็นใคร 555+


ขอบคุณทุกความเห็น ทุกกำลังใจนะฮะ
จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ  :mew1:

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ตัดฉากให้ทายว่าใครนั้นเราคงทายไม่ถูกนึกไม่ออกเลย แต่ที่แน่ๆ เก็ทนั้นเริ่มมีอาการแปลกๆ ไปนะเราว่า

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
เก็ทเริ่มออกอาการแล้ว ผมว่าก็ตรงดีครับกับนัยยะที่ผมเคยวิเคราะห์ในช่วงต้นไปแล้วว่าเก็ทน่าจะมีความรู้สึกต่อฟร็องก์ (ผม edit comment อยู่หน้า 2 น่ะครับ เพราะตรงนั้นเป็นคอมเมนท์ในช่วงแรกของเรื่อง ตอนนี้เรื่องเดินมาระดับหนึ่งแล้ว เนื่องจากเนื้อหาที่มากขึ้น องค์ประกอบที่มากขึ้น ก็จะทำให้เราเห็นเรื่องได้ชัดเจนขึ้น)

ประเด็นคือด้วยสภาวะนิสัยของเก็ท มันเลยทำให้ผมค่อนข้างเข้าใจผู้ชายคนนี้นะครับ ผมคิดว่าบางทีเขาคบกับชัญญ่าอาจจะเพราะว่าเหมาะสม หรือชัญญ่าเข้าหาก่อน เพราะโดยทั่วๆไปด้วยนิสัยเงียบขรึมนิ่งๆของเก็ท เขาจะไม่ค่อยใส่ใจอะไรที่เขาไม่ค่อยแคร์เท่าไหร่
 แต่ถ้าเขาแคร์ มันก็จะออกมาทางการกระทำมากกว่าคำพูดอยู่ดีครับ (ลองสังเกตพฤติกรรมเก็ทเมื่ออยู่กับเพื่อน) ดังนั้น เนื่องด้วยนิสัยแบบนี้ เก็ทจึงไม่น่าจะไปจีบใครได้นะครับ (หัวเราะ) นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาว่าเก็ทมีคุณสมบัติทั้งด้านรูปลักษณ์และฐานะระดับ Private Banking (ยิ่งกว่าพรีเมี่ยมอีก 5555) ส่วนตัว ผมว่าคนแบบนี้นี่คือแทบจะมีคนประเคนถวายใส่พานให้อยู่แล้ว ถ้าเป็นเรื่องรักๆใคร่ๆน่ะนะ (หัวเราะ) การที่เขาเทคแคร์ฟร็องก์มากกว่าคนอื่นก็แทบจะเป็นสัญญาณที่เพียงพอแล้วนะ สำหรับคนที่ประสาทสัมผัสฉับไวน่ะครับ

แต่เราคิดแต่เรื่องนั้นไม่ได้ เพราะยังมีเรื่องความฉลาดอีกครับ ความฉลาดกับคนเงียบๆนี่ถ้ามองให้ดีก็ดีครับ แต่ถ้ามองว่าเขามีลูกล่อลูกชนเยอะ อันนี้ก็ค่อนข้างน่ากลัวนะครับ เราไม่รู้นิสัยแท้จริงของเก็ทเพราะเขาควบคุมตัวเองได้ดีมาก เป็นบุคลิก Alpha Male แบบเงียบขรึม ซึ่งสำหรับระดับผู้นำทั้งหลาย บุคลิกนี่จะเหมาะสมมากเพราะมันทำให้คนอื่นไม่อ่านออกง่ายๆ

ผมนิยมมองตัวละครว่ามีทั้งด้านบวกและด้านลบนะครับ เพราะการมีทั้งคู่มันทำให้ตัวละครของคุณมีมิติ และมีน้ำหนัก คนอ่านจะตัดสินใจว่าตัวละครนี้ 'ดี' หรือ 'ไม่ดี' ก็จะขึ้นกับมุมมองทางทัศนคติและศีลธรรมของเขา ด้านลบของบางคนอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่โตในสายตาบางคน ขณะที่ด้านลบของอีกคนอาจดูรุนแรงมากในมุมมองอีกคน การจะตัดสินเรื่องแบบนี้จึงต้องดูบริบทร่วมด้วยครับ ว่าคุณ 'ควบคุม' หรือ 'เข้าใจ' ด้านลบของคนๆนั้นได้มากแค่ไหน ว่าเพราะอะไร

ยกตัวอย่างเช่น ปาร์ค ด้านลบของเขาผมเคยเขียนไปแล้วในคอมเมนท์ต้นๆ แต่สำหรับเก็ท ถ้าให้ผมมองด้านลบ อาจเป็นเรื่องเช่นนิสัยที่เย็นชาเกินไปกับคนอื่นที่เขาไม่ได้แคร์ หรือแม้แต่ถ้าเขารักใครขึ้นมาจริงๆ ผมว่า intensity ของ demonstration of devotion ในความรักนั้น (sex,any act) มันคงจะรุนแรงหนักหน่วงอลังการ์แบบการ์ตูนญี่ปุ่นบอยเลิฟที่เราจะเห็นฉากอย่างว่าเกือบครึ่งนึงของเล่มก็เป็นได้นะครับ (หัวเราะ) เพราะว่าด้านลบของเก็ทน่าจะก่อเกิดมาจากสภาพแวดล้อมที่เคร่งครัด ความคาดหวังที่สูง และด้วยคุณสมบัติทุกอย่างของเก็ทมันตอบสนองต่อความคาดหวังนั้น (รูปร่าง, หน้าตา, บุคลิก) มันเลยทำให้เขาเป็นเขา ดังนั้นสำหรับผม การที่เก็ทจะมีข้อเสียตรงนี้(ถ้ามีจริง) ผมคิดว่ามันโอเคนะสำหรับมุมมองของผม

ส่วนตัวผมคิดว่าเก็ทโอเคกับด้านลบของเขานะ แต่อย่างปาร์คนี่เรียกว่าไม่ได้เข้าใจครับ ข้อเสียในมุมมองของปาร์คคือเขาคิดเอาแต่ได้มากเกินไปจนบางทีทำร้ายความรู้สึกของคนอื่น

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
เอ๋.......คุณไหนหว่า

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 33 [21/7/2017]
«ตอบ #129 เมื่อ21-07-2017 20:36:19 »

Chapitre 33

   “คุณ!” ขณะที่ผมกำลังเดินไปยังโซนร้านอาหารที่ชั้น G หลังจากที่เดินเข้ามาในเซ็นทรัลได้ไม่นาน อยู่ๆ ก็มีคนมาสะกิดหลังพร้อมกับเรียกผม ก่อนที่ผมจะหันกลับไปมองอย่างงงๆ

   “เรียกผมเหรอครับ” ผมมองหน้าชายหนุ่มหน้าตาจัดว่าดีคนหนึ่งซึ่งน่าจะรุ่นราวคราวเดียวหรือใกล้เคียงกับผมที่เพิ่งสะกิดผมเมื่อกี้ด้วยความสงสัย ก่อนจะเอ่ยถามคำถามงี่เง่าออกไป ไม่ได้เรียกผมเลยมั้ง สะกิดซะขนาดนี้ ผมนี่ก็นะ แต่จะว่าไป ผู้ชายคนนี้หน้าคุ้นๆ นะเหมือนเคยเจอที่ไหน...

   เอ๊ะ! นี่มันคนเดียวกับที่เกาะล้าน! เห้ย!! โลกจะกลมอะไรขนาดนี้!

   “ใช่ครับ จำผมได้ไหม ผมตังค์ ที่เจอกับคุณที่เกาะล้านตอนนั้น” เขาแนะนำตัวอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม แต่การบอกชื่อใหม่ก็ดี เพราะผมจำไม่ได้

   “อ๋อ จำได้ครับ ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่า” ผมยิ้มตอบเล็กน้อยตามมารยาท

   “โชคดีจังนะครับที่ได้เจอกันอีก ว่าแต่คุณชื่ออะไร ตั้งแต่คราวที่แล้วผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย” ตังค์ยังคงพูดพร้อมกับรอยยิ้ม โชคดีที่ผมไม่ได้เดินกลางทางเดินมากนัก ไม่งั้นการหยุดยืนคุยกันแบบนี้คงมีคนก่นด่าไปแล้ว

   “ฟร๊องก์ครับ”

   “ชื่อน่ารักจัง แล้วนี่ฟร๊องก์จะไปไหนต่อครับ”

   “ว่าจะหาอะไรทานน่ะ เดี๋ยวต้องขอตัวก่อนนะครับ” ผมตอบก่อนจะพยายามจบบทสนทนาอย่างสุภาพ แต่ดูท่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมให้ผมจากไปง่ายๆ ซะแล้ว

   “เหรอครับ พอดีเลย ผมก็หิวๆ อยู่เหมือนกัน ถ้างั้นไปหาอะไรทานด้วยกันนะ เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง” ชายหนุ่มตรงหน้ายิ้มออกอย่างร่าเริงพร้อมกับเสนอข้อเสนอที่ผมไม่มีทางตอบตกลงอย่างแน่นอนให้ เพิ่งรู้จัก อยู่ๆ มาชวนไปกินข้าวด้วย บ้าเปล่าเนี่ย!

   “ไม่รบกวนดีกว่าครับ พอดีผมนัดเพื่อนเอาไว้แล้ว” ผมตอบปฏิเสธ ก่อนจะยกเหตุผลปลอมๆ มาอ้าง

   “น่าเสียดายจัง เอางี้ ผมขอเบอร์ฟร๊องก์ไว้ได้ไหม คราวหน้าผมจะได้นัดเลี้ยงข้าว”

   “เอ่อ ไม่เป็นไรหรอกครับ อย่าลำบากเลย ขอโทษด้วยนะครับ เหตุผลบอกไปตั้งแต่ครั้งที่แล้วแล้ว” ผมก็บอกไปแล้วว่าไม่ให้เบอร์คนแปลกหน้า แม่งยังจะมาเนียนขอเบอร์ผมอีก

   “แต่เราก็รู้จักกันแล้วไงครับ ให้ไลน์ผมก็ยังดี” คนชื่อตังค์นั่นพยายามคะยั้นคะยอจะหาหนทางทำความรู้จักผมให้จนได้ นี่ถ้าผมอยู่สายโหดกว่านี้คงตอกหน้ากลับว่ากูไม่สนมึง เลิกยุ่งกับกูสักทีไปแล้ว แต่ผมไม่โหดขนาดนั้นอ่ะ อย่างน้อยก็ไม่เป็นการสร้างศัตรูเพิ่มให้ตัวเอง

   “ถ้าแค่รู้จักชื่อกัน ผมไม่เรียกว่าเป็นการรู้จักกันนะครับ ผมขอตัวล่ะครับ เพื่อนผมรออยู่” ผมพูดยิ้มๆ อย่างรักษาน้ำใจ ก่อนจะหันหลังกลับเพื่อนเดินจากหมอนี่ไป

   “หยิ่งนักวะ คิดว่าเลือกได้นักหรือไง!” แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ก้าวขาไปไหน อีกคนกลับเผยธาตุแท้ตามสันดานออกมาโดยการกระชากข้อมือผมให้หันกลับไปอย่างรุนแรง พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเกรียวกราดจนคนรอบข้างมองกันเป็นตาเดียว

   “ปล่อย!” ผมพูดเสียงนิ่งอย่างเยือกเย็น พร้อมกับพยายามบิดข้อมือออกจากการจับกุม แต่ไอ้เวรนี่กลับยิ่งเพิ่มแรงบีบมาขึ้น

   “ตั้งแต่ครั้งที่แล้วล่ะ แม่งให้ง่ายๆ ก็จบเรื่องไปแล้ว ชอบให้ลงมือนักใช่ไหม” อีกฝ่ายพูดเสียงเหี้ยม เหมือนขู่ให้ผมกลัว แต่ขอโทษที่ผมไม่ได้รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย แต่กลับสมเพชด้วยซ้ำ

   “คิดถูกแล้วแหละที่ไม่ให้ และไม่อยากทำความรู้จัก ก็สันดานเสียแบบนี้ไง ปล่อยมือออกด้วย แค่นี้ก็ทำตัวน่ารังเกียจมากแล้ว!” ผมเหยียดยิ้มเยาะเย้ยก่อนจะพยายามบิดข้อมือออกจากจับกุมอีกครั้ง

   “ปากดีนักนะมึง!” ไอ้นั่นง้างมือขึ้นเหมือนจะตบผม เล่นเอาผมหลับตาปี๋ด้วยความตกใจและกลัว

   “ปล่อยมือออกจากเมียกูซะ!” แต่ยังไม่ทันที่ฝ่ามือใหญ่ของอีกฝ่ายจะกระทบหน้าผม ก็มีเสียงของอีกคนดังขึ้น พร้อมกับสรรพนามที่ใช้เรียกแทนตัวผมที่เล่นเอาผมต้องลืมตาขึ้นมามองทันที

   ปาร์คมายืนอยู่ที่ด้านข้างของตัวผมพร้อมกับฝ่ามือที่ใหญ่พอกันคว้าข้อมือของอีกคนที่หมายใจจะฟาดลงมาที่แก้มของผมเมื่อครู่บีบไว้จนสังเกตได้ถึงเส้นเลือกที่ปูดโปนที่บริเวณหลังมือนั้น ก่อนที่สะบัดแขนของอีกคนออกอย่างแรง คนอื่นโดยรอบเริ่มจักลุ่มหยุดมองดูเหตุการณ์กันหนาตาขึ้นแล้วเช่นกัน จนพาลทำให้ดูเหมือนสถานการณ์เริ่มรุนแรงและเลวร้ายลงทุกที

   “มึงเกี่ยวอะไรด้วยวะ!” ชายหน้าตาดีแต่สันดานเลวที่เข้ามาหาเรื่องผมเอ่ยถามปาร์คด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว

   “จะไม่เกี่ยวได้ไง ในเมื่อคนๆ นี้คือ ‘คนของกู’ หึ! ใครกันแน่ที่มายุ่งกับคนของคนอื่น” ปาร์คพูดกลับด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวพร้อมด้วยสีหน้าที่จริงจัง ก่อนที่มือข้างหนึ่งจะคว้ามือของผมมาจับไว้

   “มึง...!”

   “ถ้ายังไม่เลิกตอแยคนของกู ก็เตรียมไปคุยกันที่โรงพักได้เลย” ผมเห็นรอยยิ้มมุมปากของปาร์คกระตุกขึ้นแวบหนึ่งเหมือนกำลังบ่งบอกถึงชัยชนะ ขณะที่สายตาคู่นั้นกำลังจ้องไปยังอีกคนอย่างเย้ยหยันพร้อมกับแรงกระชับที่มากขึ้นจากฝ่ามืออุ่นที่กำลังจับมือผมอยู่

   ผมมองหน้าของชายนามว่าตังค์ที่มองกลับมายังผมสลับกับปาร์คด้วยความเดือดดาล มือทั้งสองข้างของเขากำแน่นเหมือนเคียดแค้นกับสิ่งที่ตนไม่สามารถเอาชนะหรือทำอย่างที่อยากให้เป็นได้ แต่ผมก็ไม่สนใจหรอก ในเมื่อคนที่หาเรื่องไม่ใช่ผม ลองทำร้ายร่างกายดู ผมเอาเรื่องให้ถึงที่สุดแน่ (แต่ก็โชคดีที่มันไม่ตบหน้าผม)

   “ฝากไว้ก่อนเถอะมึง!” ตังค์ชี้หน้าปาร์คอย่างโกรธแค้น ก่อนจะมองผมอย่างเจ็บใจ แล้วหันหลังเดินฮึดฮัดจากไป

   ผมได้แต่ถอนหายใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งที่อยากจะมาพักผ่อนตัวเอง พักผ่อนสมองแท้ๆ แต่กลับต้องมาเจอเรื่องปวดหัวแบบนี้ ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ทำไมถึงต้องโกรธแค้นกันเพราะเรื่องแค่นี้ด้วย ผิดเหรอที่ผมจะไม่ให้เบอร์และไม่อยากทำความรู้จักกับบางคน หรือสังคมเดี๋ยวนี้มันเป็นแบบนี้ไปหมดแล้ว

   ผมรู้สึกหงุดหงิดอยู่เหมือนกันนะที่เจออะไรแบบนี้ คนมองตั้งเยอะ แม่งอายก็อาย ห่าเอ๊ย! คิดได้ไงมาหาเรื่องกันในห้าง แถมยังต้องมาเจอกับปาร์คทั้งที่ยังไม่พร้อมอีก ใช่... ผมยังไม่พร้อมที่จะเจอกับปาร์ค... ปาร์ค!! จับมือผมอยู่!!!

   “ป่ะ... ปล่อยได้แล้ว” ผมว่าพร้อมพยายามดึงมือออกจากการจับกุมนั้น แต่มันช่างยากเหลือเกิน เพราะมือของอีกคนเหนียวยิ่งกว่าตีนตุ๊กแกซะอีก!

   “ไปรู้จักกับมันได้ไง คนพรรค์นั้น“ ปาร์คหันมามองผมด้วยความสงสัยแต่ริมฝีปากกลับมีรอยยิ้ม พร้อมกับเดินจูงมือผมไปอย่างเนียนๆ ราวกับว่าเราสองคนไม่เคยมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นมาก่อน

   “ไม่ต้องมาเนียน ปล่อยมือได้แล้ว! คนมองอยู่เยอะแยะไม่เห็นหรือไง!” ผมพยายามรั้งมือตัวเองไว้ให้หลุดออกจากมือหนวดปลาหมึกนั้นและรั้งไม่ให้ตัวเองเดินตามไปด้วย

   “อายทำไม หึหึ” ปาร์คหันกลับมาหัวเราะอย่างมีเลศนัยให้กับผมก่อนจะดังให้ผมเดินตามไป

   “ปล่อย! จะพาไปไหน!” ผมเริ่มโวยวายขึ้น แต่เสียงไม่ดังมากนัก แค่เหตุการณ์เมื่อกี้ก็อายจะแย่อยู่แล้ว
 
   “ก็นัดเพื่อนกินข้าวไว้ไม่ใช่เหรอ ก็จะพาไปกินข้าวนี่ไง” ปาร์คว่าด้วยรอยยิ้มกว้างจนจะเห็นฟันครบทั้ง 32 ซี่อย่างกวนๆ

   “รู้แล้วก็ปล่อยสิ จะได้ไปหาเพื่อน!”

   “ปาร์คคะ นี่มันอะไรกัน! นี่นายอีกแล้วเหรอ!” ยังไม่ทันที่ผมจะสลัดมือออกจากมือของปาร์ค เสียงหวานแหลมของผู้หญิงที่คุ้นเคยกันดีกับปาร์คก็ดังขึ้น ก่อนที่เจ้าตัวจะพุ่งตรงมากระชากแขนผมออกจากการจับกุมของปาร์คอย่างแรง

   “เกล... ไหนบอกเพิ่งออกจากบ้านไงครับ” ปาร์คถามกับผู้มาเยือนด้วยน้ำเสียงตกใจ แค่นี้ผมก็รู้แล้วแหละครับว่าจริงๆ แล้วใครคือคนที่ปาร์คแคร์มากกว่ากันแน่ แต่ถึงยังไงผมก็ต้องขอบคุณปาร์คอยู่ดีที่เข้ามาช่วยผมเมื่อกี้ แต่ตอนนี้เป็นต้นไป ก็ถึงเวลาของตัวจริงแล้ว

   “ทำไมคะ ถ้าเกลมาช้าๆ จะได้อยู่กับไอ้... เพื่อนปาร์คคนนี้นานๆ หรือไง อย่าบอกนะคะว่าปาร์คนิยมอะไรแบบนี้ด้วย เกลไม่ยอมหรอกนะ!” เกลแหวเสียงใส่ปาร์คด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะหันกลับมามองผมเหยียดๆ เธอต่างจากครั้งก่อนที่เจอมาก ทั้งท่าทางที่ดูเหวี่ยงวีน และการแสดงออกกับผม คงไม่ชอบใจผมมาตั้งแต่ครั้งที่แล้วล่ะมั้งที่ผมทำมารยาทไม่ดีใส่ เลยพาลเกลียดผมเข้าไปอีกเมื่อเห็นว่าผมอยู่กับคนรักของเธอ

   “จะเคลียร์อะไรกันก็เชิญนะครับ แต่กรุณาอย่าดึงผมเข้าไปเกี่ยวกับพวกคุณ ผมกับ... แฟนคุณ เราเป็นแค่เพื่อนกัน ไม่ได้มีอะไรเกินเลยมากไปกว่านั้น แล้วการที่ผมเป็นอะไร มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับคุณ ผมจะเป็นอะไรไม่ได้ไปหนักอวัยวะส่วนไหนของคุณนี่ครับ” ผมตอกกลับด้วยอาการฉุนนิดๆ จากอารมณ์ที่หงุดหงิดมาก่อนหน้านั้นอยู่แล้วด้วย บวกกับคำพูดและสีหน้าดูถูกเหยียดหยามนั้น มันยิ่งเหมือนเติมเชื้อไฟให้อารมณ์ผมเดือดพล่านขึ้นอีก ผมจะเป็นแบบไหน เพศไหนแล้วมันเกี่ยวกับอะไรกับเธอ อย่างน้อยผมก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ผมล่ะเกลียดจริงๆ พวกที่เหยียดเพศเนี่ย คิดว่าตัวเองประเสริฐนักหรือไง!

   “น่ะ... นี่แก!! อีตุ๊ด ปากดีนักนะมึง!!!”

   “พอแล้วหน่าเกล ไม่อายเขาบ้างหรือไง” ปาร์คคว้าตัวเกลเอาไว้ก่อนที่เธอจะพุ่งเข้ามาทำร้ายร่างกายผม วันนี้วันซวยอะไรของผมเนี่ย สงสัยจะก้าวขาผิดออกจากบ้าน มันถึงได้มีแต่เรื่องซวยๆ แบบนี้ ซวยซ้ำซวยซ้อน ซวยซ่อนเงื่อนจริงๆ

   “ทำไมต้องอายคะ อีตุ๊ดนี่ต่างหากที่ต้องอาย หน้าด้าน ชอบมายุ่งกับของคนอื่น! หาไม่ได้แล้วหรือไง ถึงต้องมาหากินกับเพื่อนเนี่ย จำใส่หัวแกไว้นะว่าปาร์คน่ะเป็นของฉัน! ทุกคนดูหน้ามันไว้นะคะ อีผิดเพศคนนี้ชอบยุ่งกับแฟนชาวบ้าน!!”

   “เขาเป็นเพื่อนผมนะเกล!” ปาร์คเริ่มมีน้ำโห และผู้คนก็เริ่มให้ความสนใจอีกครั้ง เพราะเหตุการณ์แรกเพิ่งผ่านไปไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ แถมหญิงเกลนางยังแผดเสียงแหลมดังนั่นอีก จึงไม่แปลกที่จะเรียกความสนใจจากคนที่เดินไปมาในห้างนี้ได้ ผมคงไม่มาเดินที่นี่อีกนาน!

   “สำหรับปาร์คน่ะเพื่อน แต่เกลว่าอีตุ๊ดนี่คงไม่มองปาร์คเป็นเพื่อนหรอกมั้งคะ คงอยากจะกินปาร์คมากกว่า น่าสมเพช”

   “คงใช่มั้งครับ แต่คุณจะกลัวอะไรล่ะ ในเมื่อคุณบอกว่าปาร์คไม่ได้คิดอะไรกับผม หึ! หรือคุณเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ถึงได้มาด่าผมปาวๆ แบบนี้ อ๋อ... อีกอย่างนะ! ไอ้ที่ว่าผมอยาก ‘กิน’ หรือเปล่า ผมว่าคุณลองถามคนของคุณดีกว่านะ ว่าเขาเองก็ ‘อยาก’ กินผมด้วยเหมือนกันหรือเปล่า คุณจะได้รู้ไงว่าใครกันแน่ที่อยากกินใครมากกว่ากัน” ผมเหยียดยิ้มพร้อมถ้อยคำที่ตอกกลับอย่างเจ็บแสบ

   “นั่นน่ะสิ! ผู้ชายเขาก็บอกอยู่ว่าเป็นเพื่อนกัน เธอดิ้นพล่านอยู่ทำไม” สิ้นเสียงของผมแค่เสี้ยวนาที เสียงของอีกคนก็ดังขึ้นเสริมทัพผมทันที ก่อนที่ร่างของคนที่พูดจะปรากฏขึ้นด้านหลังของเกลและปาร์ค

   “ชัญญ่า!...” ผมเอ่ยทักคนที่เดินมาสมทบกับผมอย่างประหลาดใจ วันนี้มันจะบังเอิญมากเกินไปแล้ว มีคนเข้ามาวุ่นวายในชีวิตผมมากขึ้นเรื่อยๆ นี่ถ้าเก็ทหรือทาร์ตโผล่มาอีกสักคน ผมคงกัดลิ้นตายหรือไม่ก็คงตบหน้าแรงๆ ให้ตัวเองตื่นจากความฝันบ้าๆ นี่สักที

   “เธอเป็นใคร มายุ่งอะไรด้วยไม่ทราบ” เกลถามพลางมองหน้าผู้มาใหม่ด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ

   “จะเป็นใครไม่สำคัญหรอก แต่ฉันบอกได้เลยว่าฟร๊องก์น่ะ ไม่ได้จะไปแย่งผู้ชายของเธอหรอก กลับกันทำไมเธอไม่ลองคิดว่าผู้ชายที่เธอเรียกว่าแฟนมาตามยุ่งกับฟร๊องก์เองล่ะ” ชัญญ่าพูดด้วยใบหน้านิ่ง แต่น้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน พร้อมเลิกคิ้วแบบกวนประสาทเล็กน้อย

   “เธอรู้ได้ไงว่ามันจะไม่ยุ่งกับปาร์ค! เธอเป็นเพื่อนกับอีตุ๊ดนี่สินะ ถึงได้เข้าข้างมันน่ะ! แล้วปาร์คก็ไม่มีวันชายตามองมันหรอก มีแต่มันแหละที่อยากได้ปาร์คจนตัวสั่น”

   “เพราะเขาเองก็มีคนคุยอยู่ด้วยตั้งหลายคนน่ะสิ ตัวเลือกตั้งเยอะแยะ ทั้งรุ่นน้อง ไหนจะเพื่อน... ในกลุ่มอีก เขาจะมาสนใจคนของเธอทำไม จริงมั้ยฟร๊องก์ เอ๊ะ! หรือว่าปาร์คนี่ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย” ชัญญ่าหันมามองหน้าผมด้วยรอยยิ้มมุมปาก คำพูดเหมือนจะเข้าข้างผม แต่ลองฟังดีๆ ผมกลับรู้สึกว่าสิ่งที่ชัญญาพูดออกมานั้นมาเหมือนจงใจเสียดสีผมอย่างไงอย่างงั้น รุ่นน้องที่ชัญญ่าว่าคงหมายถึงทาร์ต แต่เพื่อนในกลุ่มที่ชัญญ่าหมายถึง มันคือใคร เก็ทงั้นเหรอ?

   “หมายความว่าไงกันแน่ ชัญญ่าต้องการอะไรกันแน่” ผมถามกลับกับคำพูดกำกวมของชัญญ่าเมื่อสักครู่นี้

   “แหม ทำไมเป็นงงไปได้นะฟร๊องก์ รู้ๆ กันอยู่ ก็ได้ข่าวมาว่ามีรุ่นน้องมาเทียวไล้เทียวขื่ออยู่ไม่ใช่เหรอ แถมยังเพื่อนสนิทที่คอยไปรับไปส่งกันตลอดนั่นอีก รู้สึกคนนั้นญ่าจะรู้จักดีด้วยนะ แล้วอย่างนี้ฟร๊องก์จะยังมีเวลามายุ่งกับเพื่อนฟร๊องก์คนนี้อีกเหรอ”
 
   “อ๋อ ถึงว่าสินะ ร่านเกาะผู้ชายไปทั่วแบบนี้นี่เอง ถึงได้คอยวิ่งไล่จับคนอื่นอยู่ วันก่อนที่เจอก็เห็นไปกินข้าวกระหนุงกระหนิงกับผู้ชาย ไม่ยักรู้ว่าเป็นแค่หนึ่งในสต๊อก” เมื่อได้ทีเกลก็รีบซ้ำผมทันทีในขณะที่ผมกำลังมึนงงกับสิ่งที่ชัญญ่าพูด นี่อย่าบอกนะว่าชัญญ่าเข้าใจผิดเรื่องผมกับเก็ทอีกแล้ว

   “ในเมื่อรู้แบบนี้แล้ว เธอจะมายืนหาเรื่องอยู่ทำไม ไม่อายเหรอ เอ๊ะ! หรือกลัวว่าผู้ชายของเธอจะเป็นหนึ่งในสต๊อกของฟร๊องก์ด้วย”

   “กรี๊ด! ไม่มีทางหรอกย่ะ ปาร์คไม่มีทางตาต่ำขนาดนั้นหรอก! ไปเถอะค่ะปาร์ค เสียเวลา!” เกลสวนกลับชัญญ่าที่กำลังเหยียดยิ้มเยาะเย้ยทันควัน ก่อนจะคว้าแขนปาร์คดึงให้เดินจากไปทันที ขณะที่ปาร์คยังคงหันกลับมองผมด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์และรู้สึกผิด หึ! ไม่ต้องมาสงสารผมหรอก เพราะอยู่ต่อหน้าผู้หญิงคนนั้น ปาร์คไม่ได้เลือกที่จะปกป้องผมเลย ที่จริงคงไม่เคยปกป้องผมมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว

   “ฟู่ววว... ชะนีบ้า ไปได้สักที! นึกว่าจะต้องจัดหนักกว่านี้ซะแล้ว” ชัญญ่าเป่าลมออกจากปากอย่าเบาใจ แต่ผมนี่สิ กลับร้อนรนกับสิ่งที่ชัญญ่าพูดเมื่อกี้ มันทำให้ผมดูแย่ในสายตาทั้งสองคน โดยเฉพาะในสายตาของปาร์ค “จะว่าไปฟร๊องก์นี่ก็ด่าเจ็บเหมือนกันนะ พูดนิ่มๆ แต่แสบใช่เล่น”

   “เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก แต่ที่ชัญญ่าพูดมันหมายถึงอะไร จะบอกอะไรเรากันแน่ พูดมาตรงๆ เลยดีกว่า!” ผมเอ่ยถามในเรื่องที่ยังค้างคาใจทันที สำหรับผู้หญิงคนนั้น ผมไม่สนใจหรอกว่าเธอจะมองผมยังไง แต่... คำพูดของชัญญ่าอาจจะทำให้ปาร์คเข้าใจผมผิดได้ จริงอยู่ที่ผมพยายามจะไม่คิดอะไรกับปาร์ค แต่ถึงจะกลับมาเป็นเพื่อนกัน ผมก็ไม่อยากให้มันมองผมในแง่ร้ายอยู่ดี ผมไม่ได้เป็นคนที่ชอบจับปลาหลายมือ โดยเฉพาะกับเรื่องที่ผมไม่ได้ทำ

   “อย่าเครียดไปเลยหน่า ทำอะไรก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจ จริงไหม” ชัญญ่ายังคงพูดด้วยท่าทางสบายๆ พร้อมกับยักไหล่อย่างไม่รู้สึกยีหระกับท่าทางเป็นกังวลของผม

   “เราทำอะไร พูดมาให้รู้เรื่องเลยดีกว่า” ผมเลยอารมณ์เสียแล้วเหมือนกัน กับการพูดประชดประชันกันแบบนี้

   “ไหนๆ เราก็ได้เจอกันโดยบังเอิญแล้ว ไปหาอะไรกิน แล้วก็นั่ง ‘คุย’ กันให้รู้เรื่องด้วยดีไหม” ชัญญ่าพูดด้วยรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดาว่าเธอกำลังคิดจะทำอะไรอยู่ แต่เอาเถอะ ในเมื่อเปิดปากมาขนาดนี้แล้ว พูดกันให้เคลียร์ๆ ไปเลยก็ดีเหมือนกัน ผมไม่ได้มีอะไรต้องปิดบังอยู่แล้ว!

   “งั้นก็ได้ นำไปสิ” ผมพยักหน้ารับขอเสนอด้วยใบหน้าจริงจังไม่แพ้กัน จะเกิดอะไรก็ให้มันเกิด ไหนๆ วันนี้มันก็ซวยมาทั้งวันแล้ว จะมีอีกสักเรื่องจะเป็นไรไป...


à suivre...


เดากันถูกไหม 555+ คนที่โผล่มาตอนแรกเป็นแค่ตัวหลอก
แต่คนที่เริ่มจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นจากนี้ก็คือชัญญ่า
จะมาดีหรือร้าย ก็... รอดูอีกทีนะ  :katai2-1:
ส่วนเกลก็ชะนีผีบ้า น่าจะเหมาะกับปาร์คอยู่เนอะ 5555+

รอดูต่อไปว่าสิ่งที่ชัญญ่าพูดมันจะหมายถึงอะไร
และการกรากฏตัวของชัญญ่าอีกครั้ง จะเป็นไปในทิศทางไหน


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาทุกคอมเม้นต์ และทุกคนที่เข้ามาอ่านนะฮะ
ขอบคุณคุณ Grey Twilight ที่ทำให้ผลงานมันถูกปรับแก้ให้ดีกว่าเดิมขึ้นเรื่อยๆ
รวมทั้งคนอื่นๆ ที่เข้ามาแสดงความเห็นให้เสมอ ทุกคนคือกำลังใจให้เราอยากลงผลงานต่อ และทำให้ผลงานดีขึ้น

จนกว่าจะพบกันใหม่  :mew1:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

from PAST to FUTURE... Chapitre 33 [21/7/2017]
« ตอบ #129 เมื่อ: 21-07-2017 20:36:19 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ขอเถอะปาร์คน่ะไม่ต้องเอาออกมาอีกเลยเถอะให้มันไปตายๆ ไปซะได้ก็ดี ถ้าจะไม่คิดที่จะปกป้องฟร็องก์บ้างปล่อยให้อีชะนีนั้นด่าฟร็องก์อยู่ได้ บ้าจริงออกมาทีก็ไม่เห็นจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวก็ปาร์คเลย มีแต่ปากที่พ่นแต่คำพูดเดิมๆ แต่พฤติกรรมแม่งโคตรสวนทางตลอดอ่ะ โคตรเกลียดคนแบบนี้จริงๆ เลย

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เราเห็นด้วยกับคอมเมนท์ของคุณ Grey Twilight เรื่องปูมหลังของตัวละคร เพราะมันจะช่วยให้คนอ่านวิเคราะห์ลักษณะนิสัยของตัวละครได้ดีขึ้น

เรารู้สึกว่าผู้เขียนตั้งชื่อเรื่องได้เหมาะสมมาก ผูกปมได้ดี ทำให้เราเดายังไม่ได้ว่าใครจะเป็นคนในอนาคตของฟร็องก์ ซึ่งเรายังสติลเชียร์ปาร์ค 51 : เก็ท 49

ซึ่งแลดูสวนกระแสกับหลายๆ คน เพราะเราติดใจเรื่องของปาร์ค เราว่าตัวละครตัวนี้ต้องมีปมอะไรสักอย่างเรื่องครอบครัว ดูจากการที่พี่ชายมาถามตอนลงรูปคู่และแสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบ และความไบโพลาร์ของนางที่แสดงออกอย่างสับสน เราว่าปาร์ครักฟร็องก์ แต่มีภาระความรับผิดชอบอะไรสักอย่างที่ไม่สามารถบอกฟร็องก์ได้ ซึ่งตัวฟร็องก์เองก็ไม่พร้อมจะรับรู้หรอกเพราะนางอยู่แต่กับตัวเอง  และปาร์คอาจจะไม่อยากให้ฟร็องก์รู้ 555 อวยนางสุดๆ

เราว่ามันจะเป็นบทพิสูจน์ความรัก ว่ารักแล้วจะยอมให้กันได้แค่ไหน เข้าใจกันแค่ไหน เพราะทุกคนย่อมมีเหตุผลของตัวเองในแต่ละการกระทำ ซึ่งในจุดนี้เรายังไม่ได้ฟังความจากปาร์คหรือเก็ทเลย

ส่วนตังค์นี่คือตัวละครที่ออกมาผิดแนวจริงๆ คือผู้เขียนเอานางมาเพื่อให้เป็นตัวร้ายคั่นฉากแค่นั้นเองเหรอ แลน่าสงสาร 555

สารภาพว่าเราอ่านข้ามๆ ตรงบทบรรยายความในใจของฟร็องก์ในช่วงต้นๆ ไปพอสมควร แบบเขียนตัดกลับไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบันที่นางอินกับตัวเองเกิ๊น รู้สึกว่ามีก็ดีแต่เยิ่นเย้อ ทำให้รู้ว่าฟร๊องก์เป็นคนที่มองและจมอยู่แต่ตัวเอง ไม่ใช่ไม่ดีนะเพราะนางคือปมและตัวเดินของเรื่องแต่เราแค่เบื่อนาง 555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-07-2017 11:34:23 โดย pktherabbit »

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เอ้อ มะรุมมะตุ้มดีจริงๆ -*-  :katai1: :katai1:

ปล.ยังคงเกลียดปาร์คเหมือนเดิม 5555

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
สวยเลือกได้ของมีค่าอะไรๆก็ต้องการ

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ไม่ได้มา ทำร้าย ให้เคืองขุ่น
ไม่ได้มา จ้านจุ้น ให้วุ่นหัว
ไม่ได้มา ง้อนง้อ ให้ขอตัว
ไม่ได้มา เมามัว ให้มั่วกัน

ไม่ใช่รัก ผลักไส ไปเป็นอื่น
ไม่ใช่รัก หวานชื่น ยื่นความฝัน
ไม่ใช่รัก ครอบครอง จ้องแบ่งปัน
ไม่ใช่รัก ปานนั้น นั่นความจริง

หุหุ
กระทบใครบ้าง..เดาเอาเอง

ฮี่ฮี่

+1 จ้า

ออฟไลน์ arjanlai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
โดยหลักแล้ว น่าติดตามครับ แต่ตัวหนังสือติดกันไปหน่อยมันเลยดูลายตานิดๆ แต่ก็เป็นอีกแนวที่โอเคเลยครับ

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 34 [25/7/2017]
«ตอบ #137 เมื่อ25-07-2017 20:32:11 »

Chapitre 34

   วันนี้เป็นวันที่ผมตั้งใจจะมาปลีกวิเวกคนเดียวแท้ๆ แต่คงเป็นจังหวะที่ดวงผมถึงคราวซวยและการเลือกสถานที่ผิดของผมเอง ถึงได้เจอเหตุการณ์บ้าบอก่อนหน้าถึงสองเหตุการณ์ แถมยังตอนนี้อีก ที่ผมกำลังนั่งอยู่ในร้านอาหารหนึ่งที่ชัญญ่าเป็นคนเลือก ซึ่งที่นั่งค่อนข้างเป็นส่วนตัว และเมนูอาหารก็ราคาสูงพอสมควรด้วย คนชวนกำลังนั่งทานอย่างสบายใจเหมือนไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้า แต่ผมนี่สิที่นั่งกระเดือกอะไรแทบไม่ลง เพราะมันร้อนใจไปหมด อยากจะคุยๆ เสียให้มันเสร็จๆ ให้ได้รู้เรื่องกันไป ไม่ใช่ต้องมานั่งทนอึดอัดอยู่แบบนี้

   “ไม่กินล่ะ ไม่หิวเหรอ” ชัญญ่าเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสีหน้าสงสัย ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงนึกขำกับท่าทางการกินแบบไม่ค่อยห่วงสวยของเธอ แต่ในเวลานี้ผมขำไม่ออกจริงๆ แค่ปั้นยิ้มยังยากเลย

   “นี่ชัญญ่า เอาจริงๆ นะ มีอะไรรีบพูดมาเลยดีกว่า”

   “ใจเย็นสิฟร๊องก์ ไม่เห็นต้องรีบร้อนเลย” เธอยังทำท่าทางไม่ทุกข์ร้อนอะไร พลางคีบซาซิมิเข้าปากอย่างสบายใจ

   “ตอนแรกเราก็นึกขอบคุณนะ ที่อยู่ๆ ชัญญ่าก็โผล่มา แล้วพูดเพื่อช่วยเรา แต่ทำไปทำมาคำพูดเหล่านั้นของชัญญ่ากลับทำร้ายเรามากกว่า เราจะไม่คิดมากเลยถ้า... ถ้าไม่ใช่กับคนๆ นั้น และสิ่งที่ชัญญ่าพูดมันไม่ได้เกี่ยวกับคนที่เขาเกี่ยวข้องกับเรา แต่นี่ญ่ากำลังใส่ร้ายเราในสิ่งที่เราไม่ได้เป็นและไม่ได้ทำ”

   “งั้นเหรอ จะบอกว่าที่เราเข้าใจมันผิดสินะ เรื่องของฟร๊องก์กับ... เก็ท” ชัญญ่าว่าพร้อมกับวางตะเกียบลงแล้วเงยหน้ามองผมด้วยแววตาที่จริงจังต่างไปจากตอนแรก

   “เรื่องของเรากับเก็ท เราก็เคยพูดกันไปแล้วไม่ใช่เหรอว่ามันไม่มีอะไร แล้วในตอนนั้นชัญญ่าก็เข้าใจมันดีแล้วด้วย ถึงทำให้เราเป็นเพื่อนกันจนทุกวันนี้ได้ แล้วอยู่ๆ ชัญญ่ามาขุดเรื่องเก่ามาพูดอีกทำไม” ผมก็สบตากลับด้วยสีหน้าจริงจังไม่แพ้กัน

   “ตอนนั้นเราก็เชื่ออยู่หรอกนะ เพราะคิดว่าฟร๊องก์ก็มีคนของตัวเองอยู่แล้ว แต่ต้องบอกเลยว่าตอนนี้เราไม่เชื่อแล้ว มันไม่ใช่แค่เรื่องวันนั้นที่เราบังเอิญไปเจอฟร๊องก์อยู่กับเก็ทที่พารากอนหรอกนะ แต่มันมีหลายครั้ง ที่เก็ทเลือกจะไปกับฟร๊องก์มากกว่า อีกอย่างญ่าก็เพิ่งรู้ว่าตอนนี้ฟร๊องก์ก็ไม่ได้มีใครอย่างที่เข้าใจด้วย ไหนๆ ก็เปิดใจพูดกันตรงๆ แล้วเนอะ งั้นเราขอถามฟร๊องก์หน่อยล่ะกัน ว่าฟร๊องก์น่ะ คิดอะไรกับเก็ทอยู่กันแน่ ชอบเก็ทเหรอ”

   “ห๊ะ! ตลกแล้วชัญญ่า จะให้พูดอีกกี่ครั้งเราก็ยืนยันว่าเราคิดกับเก็ทแค่เพื่อน เก็ทเองก็เหมือนกัน เราสองคนเป็นเพื่อนกัน ไม่มีและไม่เคยมีอะไรเกินกว่านี้!” ตลกมาก ไม่รู้ว่าชัญญ่าแกล้งหยอกหรือปั่นหัวผมเล่นหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมไม่ขำด้วยหรอกนะ สิ่งที่ชัญญ่าถามผมนั้นมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ผมกับเก็ทเนี่ยนะ คิดได้ยังไง

   “งั้นเหรอ” ชัญญ่าเอียงคอมองหน้าผมด้วยสายตาแสนเจ้าเล่ห์ บอกตรงๆ ว่าไม่ชอบท่าทางกวนโอ้ยแบบนี้เลย

   “จะให้เราพูดอีกกี่ครั้ง เราก็พูดเหมือนเดิม เพราะมันไม่มีอะไรจริงๆ เราไม่รู้หรอกนะว่าคำตอบมันจะเป็นที่พอใจของชัญญ่าหรือเปล่า แต่มันคือเรื่องจริง!”

   “พิสูจน์สิ”

   “พิสูจน์? ยังไง”

   “อืม... แล้วกับปาร์ค ฟร๊องก์คิดยังไงด้วยล่ะ” ชัญญ่าทำท่าทางเหมือนกำลังคิดอะไร ก่อนจะตัดบทไปถามเรื่องเกี่ยวกับผมและปาร์คออกมา แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่พูดอยู่ 

   “และ... แล้วมันเกี่ยวกันตรงไหน” คิ้วของผมขมวดเล็กน้อยด้วยความฉงน

   “เอาน่า ตอบมาเถอะ มันเกี่ยวก็แล้วกัน”

   “กะ... ก็เป็นเพื่อนกันไง”

   “ให้ตอบใหม่อีกที เพื่อนในที่นี้ก็คือรู้สึกแบบเดียวกับเก็ทใช่ไหม” ชัญญ่าถอนหายใจเบาๆ ผมงงกับท่าทางของเธออยู่ไม่น้อย ตกลงยังไงกันแน่ เธอกำลังเล่นอะไร ผมไม่เข้าใจ ตามไม่ทันแล้วด้วยเหมือนกัน

   “ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่ชัญญ่า เรางงไปหมดแล้วนะ” ผมโพล่งออกมาอย่างไม่เกรงใจ รับรู้ได้ถึงคิ้วทั้งสองข้างที่ขมวดจนแทบผูกเป็นโบว์บนหน้า

   “ก็เรื่องที่กำลังพูดเนี่ยล่ะ ที่ถามเรื่องของฟร๊องก์กับปาร์คน่ะ เพื่อจะได้ยืนยันไง ยังไงล่ะ ตกลงก็คิดกับปาร์คแค่เพื่อนเหมือนที่เคยบอกใช่ไหม ญ่าจะได้เข้าใจว่าฟร๊องก์คิดจะ ‘จับ’ คนที่ปากบอกว่า ‘เพื่อน’ ทุกคน!”

   “...” ผมถึงกับอึ้งกับสิ่งที่ชัญญ่าพูดออกมา ผมไม่ได้คิดแบบนั้นนะ อย่างน้อยก็กับเก็ท แต่สำหรับปาร์ค จะให้ผมบอกออกไปยังไง ในเมื่อมันเป็นเรื่องที่น่าอับอาย ไอ้รักเพื่อนน่ะไม่เท่าไร แต่เขายังมีเจ้าของอยู่แล้วนี่สิ ยิ่งไปกว่านั้น... ยังยอมให้มีอะไรเกินเลยกับคนที่ได้ชื่อว่าเพื่อนนี่อีก จะให้ผมพูดออกไปงั้นเหรอ กับเรื่องอัปยศแบบนี้!

   “พูดไม่ออกเลยสินะ ทำไมเหรอ เสียใจ? อึ้ง? หรืออะไรกันแน่ หรือนึกไม่ถึงที่จะมีคนรู้แผนการเร็วขนาดนี้ ทั้งที่ยังจับใครไม่ได้สักคน”

   “เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว เราไม่เคยคิดอะไรแบบนั้นเลยนะ”

   “แล้วจะให้เราเข้าใจว่าอะไรล่ะ ก็ฟร๊องก์บอกเองว่าคิดกับเก็ทแค่เพื่อน แถมกับปาร์คที่เราดูว่าฟร๊องก์กับเขามีอะไรพิเศษต่อกัน ก็ฟร๊องก์กลับบอกว่าเป็นเพื่อนเหมือนกัน แต่การกระทำของฟร๊องก์มันตรงข้ามหมดเลย แล้วจะให้เราเข้าใจว่าไรอีกล่ะ ถ้าไม่ใช่แบบที่เราว่า!”

   “ก็แล้วจะให้เราบอกยังไง... จะเราให้บอกเหรอว่าเรารักปาร์ค รักคนที่ได้ชื่อว่าเพื่อน จะให้เราบอกแบบนั้นเหรอทั้งที่ปาร์คเองก็มีแฟนแล้ว และเรื่องระหว่างเรากับปาร์คมันไม่มีวันเป็นไปได้อยู่แล้ว เราก็ละอายใจเป็นเหมือนกันนะ” ผมว่าด้วยน้ำเสียงสั่นเทา

   “ไม่เห็นต้องอายเลย มันไม่ใช่เรื่องผิดนิ มันมีกฎหมายหรืออะไรบอกไว้เหรอว่าห้ามชอบ ห้ามรักเพื่อน แล้วมีกฎข้อไหนบอกเหรอว่าความรักมันเกิดขึ้นกับคนที่เป็นเพื่อนกันไม่ได้ เราถึงได้ถามไง ว่าระหว่างฟร๊องก์กับปาร์คน่ะ คิดยังไงกันแน่ ถ้ายังยืนยันว่าคิดกับปาร์คแบบเพื่อนอีก เราก็คงไม่มีอะไรต้องถามเกี่ยวกับเก็ทแล้วเหมือนกัน”

   “คือเรา... กับปาร์ค...” ผมก้มหน้าแล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบา

   “ไม่ต้องบอกก็ได้ เพราะจริงๆ เรารู้อยู่แล้วแหละว่าฟร๊องก์รู้สึกยังไงกับปาร์ค”

   “อ้าว แล้วจะมาถามเราอีกทำไม”

   “ให้มั่นใจไง แล้วกับเก็ทล่ะ รู้สึกเหมือนกันหรือเปล่า”

   “เปล่านะ! เราไม่เคยมีความรู้สึกแบบนั้นกับเก็ทเลย ไม่เลยจริงๆ เราคิดกับเก็ทแค่เพื่อน ไม่มีอะไรเกินเลยกว่านั้นเลย” ผมรีบพูดออกไปทันที กลัวชัญญ่าจะเข้าใจผิดมากกว่านี้

   “อืม... ฟังดูก็น่าเชื่อนะ ว่าแต่ฟร๊องก์รักปาร์คจริงหรือเปล่า”

   “หมายความว่าไง”

   “ก็ทั้งที่รัก แต่ทำไมถึงยอมให้ปาร์คมีคนอื่นล่ะ แล้วท่าทีของฟร๊องก์เมื่อกี้ก็ทำเหมือนไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวเลยด้วยซ้ำ มันถึงทำให้เราเริ่มไม่แน่ใจไงว่าตกลงฟร๊องก์รู้สึกอย่างไรกันแน่”

   “ก็... เราเป็นเพื่อนกันนิ เพื่อนจะห้ามให้อีกคนมีแฟนได้ไง” ผมเอ่ยเสียงเศร้า ถึงรักมากแค่ไหน แต่ผมก็ไม่มีสิทธิอยู่แล้วนี่ครับที่จะไปหึง ไปหวงปาร์ค ปาร์คมีสิทธิ์ตัดสินใจ เพราะสถานะของเราสองคนมันระบุชัดไว้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้วว่าเพื่อน ส่วน... เรื่องที่ผิดพลาด ก็ถือเป็นเพราะความพลาดพลั้งของเราสองคน และผมก็คงไม่มีวันพูดมันออกไปให้คนอื่นรับรู้

   “ตรงๆ นะฟร๊องก์ เราไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของฟร๊องก์กับปาร์คเลยจริงๆ ที่เราบังเอิญเจอฟร๊องก์อยู่กับปาร์คครั้งก่อน สำหรับเราที่เป็นมุมมองคนนอก ฟร๊องก์กับปาร์คดูไม่ใช่เป็นแค่เพื่อนกัน มันมีอะไรมากกว่านั้น เราเลยถามไงว่าฟร๊องก์ไม่แคร์หน่อยเลยเหรอเรื่องที่ปาร์คมีใครอีกคน”

   “ไม่ใช่ว่าเราไม่แคร์หรอกชัญญ่า แต่เราทำอะไรได้... ในเมื่อปาร์คเลือกผู้หญิงคนนั้นเอง และเรื่องของเรามันไม่เคยชัดเจนตั้งแต่แรก สิ่งที่ชัดเจนที่สุดก็คือสถานะที่ย้ำเตือนอยู่เสมอว่าเพื่อน ถ้าปาร์คเลือกแบบนั้นแล้ว เราจะทำอะไรได้ อีกอย่าง เราคิดว่าเรารู้จักปาร์คดีแล้ว แต่บางทีเราอาจจะไม่ได้รู้จักผู้ชายคนนั้นเลยด้วยซ้ำไป” ผมพูดออกไปโดยเลี่ยงที่จะพูดถึงความรู้สึกเจ็บปวดและโกรธเคืองจากเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้น สิ่งที่ไม่ควรมีใครรับรู้ สิ่งที่ควรฝังมันไว้ในส่วนลึกของความทรงจำ

   “ฟร๊องก์จะยอมปล่อยปาร์คไป แม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่ใช่คนดีและหลอกปาร์คอยู่น่ะเหรอ แบบนี้ไม่ใช่แค่ฟร๊องก์ที่จะเจ็บ ปาร์คเองก็คงไม่ต่างกัน”

   “หลอกงั้นเหรอ ผู้หญิงคนนั้นหลอกอะไรปาร์ค!” ผมตาลุกวาวทันทีที่ได้ยินคำพูดของชัญญ่า เธอไปรู้อะไรมา ผู้หญิงที่ชื่อเกลนั่นหลอกอะไรปาร์ค

   “ไม่รู้จริงๆ สินะ แต่ท่าทางร้อนรนแบบนี้ก็ค่อยเชื่อหน่อยว่า... รักปาร์คจริงๆ หึหึ แล้วทำเป็นไม่สนใจ” ชัญญ่ากอดอกพยักหน้าด้วยท่าทางพึงพอใจ แต่ผมนี่สิ แทบจะลุกเป็นไฟอยู่แล้ว ผู้หญิงคนนั้นหลอกปาร์คเรื่องอะไร!

   “อะไรชัญญ่า บอกเรามาสิ ปาร์คถูกผู้หญิงคนนั้นหลอกเรื่องอะไร”

   “มันก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนกันหน่อยสิ”

   “จะให้เราทำอะไร” ผมถามอย่างไม่ไว้ใจ แต่อีกใจก็เป็นห่วงปาร์ค ทั้งที่... มันเป็นคนทำร้ายผมอย่างไร้ความปรานีในค่ำคืนนั้น

   “เห้ย! อย่ากังวลไปดิ เราไม่ได้ให้ฟร๊องก์ทำอะไรแปลกประหลาด หรืออะไรยากเย็นหรอก ในเมื่อฟร๊องก์พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่ารักปาร์ค ฟร๊องก์ก็ทำให้เราเห็นอีกอย่างสิ ว่าฟร๊องก์ไม่ได้คิดอะไรกับเก็ทจริงๆ”

   “แล้วจะให้เราทำยังไง”

   “ไม่เห็นยากเลย อยู่ห่างจากเก็ทไว้สิ”

   “แต่...”

   “ทำไม เสียใจเหรอ”

   “เปล่าๆ ก็จะให้เราห่างยังไง ในเมื่อเราต้องอาศัยรถเก็ทไปเรียน แถมยังเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันด้วย”

   “เราก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ ไอ้อะไรที่ทำเป็นปกติน่ะ ส่วนที่มัน ‘ไม่ปกติ’ ก็เลิกซะ เช่น ไปไหนด้วยกันสองต่อสอง รู้ไหมว่าหลังๆ มานี่เก็ทไปกับฟร๊องก์สองคนบ่อยกว่าเราอีกนะ”

   “ได้ๆ เราสัญญา เราจะไม่ไปกับเก็ทอีก ถ้าจำเป็นจริงๆ เราจะชวนเพื่อนไปด้วย คราวนี้บอกเรามาได้แล้วว่าผู้หญิงคนนั้นหลอกอะไรปาร์ค”

   ชัญญ่าหัวเราะด้วยท่าทางชอบใจ ผมเริ่มไม่ชอบกับท่าทางไม่เป็นเดือดเป็นร้อนของเธอสักเท่าไรแล้ว ยิ่งตอนนี้ในใจผมร้อนรนมากจนมันแทบจะเผาใครสักคนให้ไหม้เป็นจุลได้อยู่แล้ว

   “ฟร๊องก์นี่ใจร้อนจริงๆ เลยนะ ไม่เห็นเหมือนกับตอนแรกที่ทำท่าจะตัดใจจากปาร์คเลย”

   “ชัญญ่า เข้าเรื่องเลยดีกว่า อย่ามัวแต่ลีลา!”

   “โอเคๆ ฟร๊องก์ก็ลองสังเกตดูแล้วกันนะ ผู้หญิงคนนั้น เวลาอยู่กับปาร์ค แต่สายตาก็ยังคงสอดส่ายมองคนนั้นคนนี้ไปเรื่อยๆ แล้วก็ดูระแวดระวังตัวผิดปกติ แล้วก็เรื่องที่ชอบให้ปาร์คซื้อนั่นนี่ให้ ก็เข้าใจหรอกว่าบางทีมันเป็นมารยาทของผู้ชายที่ต้องซื้อให้บ้าง แต่มันเยอะไปหรือเปล่า”

   “คะ... คือ... ตั้งแต่เรารู้ว่าปาร์คมีคนอื่น เราก็ห่างๆ กับปาร์คไป เลยไม่ค่อยรู้เท่าไร” ใช่ครับ ผมไม่ค่อยรู้จริงๆ จะว่าผมไม่สนใจก็ได้นะ แต่ผมจะสนใจทำไมในเมื่อมันทำให้ผมรู้สึกเจ็บ การที่ต้องมารับรู้เรื่องราวของสองคนนั้น มันก็เหมือนยิ่งตอกย้ำให้แผลของผมลึกและเหวอะหวะมากขึ้น ดังนั้นผมเลยเลือกที่จะไม่รับรู้ ไม่ติดต่อเลยดีกว่า

แต่ถ้าลองนึกย้อนกลับไปวันที่ผมได้เจอกับปาร์คและผู้หญิงคนนั้นซึ่งๆ หน้าพร้อมกับทาร์ต ในตอนนั้นที่เธอมีสายเข้า ท่าทางร้อนรนแปลกๆ นั้นจะเกี่ยวกับสิ่งที่ชัญญ่าบอกหรือเปล่า

   “เราก็พอเข้าใจแหละนะ ว่ามันยากที่จะให้รับรู้ว่าคนที่เรารักมีคนอื่น แต่ต่อจากนี้ ลองสังเกตดูเอาแล้วกันนะ หรือไม่ก็ลองถามๆ ใครเอาสิ เพื่อนฟร๊องก์ที่เรียนอยู่มหา’ลัยเดียวกับปาร์คก็มีไม่ใช่เหรอ เอาเป็นว่าเราชี้ทางให้แล้วนะ ที่เหลือจะทำยังไงก็อยู่ที่ตัวฟร๊องก์ แต่อย่าลืมที่เราบอก เรื่องเก็ทน่ะ อย่าให้มีเรื่องอะไรตามมาทีหลังก็แล้วกัน เพราะถ้าจากที่เราจะช่วย มันอาจจะกลายเป็นอย่างอื่นแทน”

   ชัญญ่าพูดยาวเหยียดเป็นแนวทางให้ผมดำเนินการต่อ ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของผมเองสินะที่ต้องสืบหาว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นยังไงกันแน่ ส่วนเรื่องเก็ทผมรับปากชัญญ่าไปแล้วผมไม่ผิดสัญญาแน่นอน เพราะระหว่างผมกับเก็ทไม่มีอะไรกันเกินเลยกว่าเพื่อนที่เป็นอยู่จริงๆ

   ผมพยักหน้ารับคำ ชัญญ่าจึงเปล่งรอยยิ้มเล็กน้อยด้วยความพอใจก่อนที่จะเธอจะควักธนบัตรจำนวนหนึ่งยื่นมาให้ผใ แล้วก็ลุกจากไปโดยไม่ได้มองกลับมาที่ผมอีก ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของผมที่ต้องเรียกเก็บเงิน จะให้นั่งกินต่อก็ไม่สมควร อีกอย่างผมไม่ได้อยากกินตั้งแต่แรก (แม้จะหิวมากก็ตาม)

   จากนั้นผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าอยากไปจะไปไหนต่อ แต่ก็ยังไม่อยากกลับบ้านเช่นกัน ก็ในเมื่อบอกกับแม่ก่อนจะออกมาว่าจะมาพักผ่อน ให้ตัวเองรู้สึกโล่ง รู้สึกดีขึ้น ถ้ากลับไปด้วยสภาพอิดโรยแบบนี้แม่จะยิ่งเป็นห่วงมากขึ้น ผมเลยตัดสินใจไปเดินเล่นที่สวนรถไฟ

   ช่วงเย็นๆ วันหยุดแบบนี้ก็มีคนเยอะอยู่พอสมควร แสงแดดยังคงสาดแสงอยู่ เพียงแต่ไม่แรงเท่าช่วงกลางวัน แต่ก็พอทำให้รู้สึกอบอุ่นได้ ผมเดินไปเรื่อยเปื่อยอย่างไม่มีจุดหมาย แต่ก็ไม่ได้เดินไปไกลจากทางเข้ามากเท่าไรนัก เพราะขี้เกียจเดินกลับ เดินมองเท้าตัวเองไปเรื่อยๆ ขณะที่สมองผมก็คิดวิธีสืบหาข้อมูลของผู้หญิงที่ชื่อเกลไปด้วยเช่นกัน จริงอยู่ที่เพื่อนหลายๆ คนของผมเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับปาร์คและผู้หญิงคนนั้น แต่จะมีใครรู้จักบ้างเนี่ยล่ะ มหา’ลัยก็ใช่ว่าจะเล็ก ไม่ใช่ว่ามีร้อย สองร้อยคนซะเมื่อไหร่ คิดแล้วก็ปวดหัว ยิ่งจะให้ผมตามเรื่องเอง ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ลำพังตัวผมก็ไม่ค่อยจะรู้จักใคร ไม่ค่อยวุ่นวายกับใครแล้ว ความกว้างขว้างทางสังคมไม่ต้องพูดถึงเลย แคบมาก!

   เดินไปเดินมาก็เริ่มเหนื่อย เบื่อแล้วด้วย ปวดหัว คิดไม่ออก ใจหนึ่งก็บอกว่าไม่อยากจะยุ่ง เพราะอย่างไรซะ สุดท้ายผมกับปาร์คก็เป็นได้แค่เพื่อนอยู่ดี แถมมันยังทำเรื่องเลวร้ายไว้กับผมอีก แต่อีกใจก็ขัดแย้ง ว่ามันเป็นคนที่ผมรักมากที่สุด แล้วจะปล่อยให้คบอยู่กับคนไม่ดี (ตัดสินด้วยตัวเองไปแล้วครับ) ต่อโดยไม่ทำอะไรเลยน่ะเหรอ แต่ผมจะทำยังไงดี ช่วยผมคิดที!?!


à suivre...


เอาล่ะ ชัญญ่ามีความสงสัยในความสัมพันธ์ของฟร๊องก์กับเก็ท แฟนนางล่ะ
ฟร๊องก์ไม่ได้คิดอะไรเกินเลนกับเก็ท แล้วเก็ทล่ะคิดยังไงกับฟร๊องก์แน่?

แถมชัญญ่ายังมาทิ้งปมของเรื่องระหว่างปาร์คกับเกลไว้อีก
ฟร๊องก์สืบไปยาวๆ 555555+


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาแสดงความเห็นนะฮะ เรื่องมันอาจจะวุ่นวาย รุงรังไปหน่อย
คือวางพล็อตไว้ตอนแรก แล้วพอมาแต่ง ก็ค่อยๆ ผูกปมเพิ่มในบางส่วนไปด้วย
ปัญหามันเลยเยอะหน่อย เรื่องมันเลยมะรุมมะตุ้ม 555+
แต่ก็แอบรู้สึกดีนะ ที่เดาทางกันไม่ถูก เราบอกได้แค่ว่า

ตัวละครหลักๆ ทุกตัว เป็นสีเทา ไม่ขาว ไม่ดำ ไม่ดีสุด และก็ไม่เลวสุดเช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าตัวละครนั้นๆ เลือกเติมสีอะไรเข้าไปในสีเทานั้นมากกว่ากัน

ตัวละครตังค์ เอาจริงๆ ต้องขอโทษ 55+ ใส่มาแค่นั้นจริงๆ ใส่มาเพื่อให้เห็นว่าจริงๆ แล้วฟรีองก์มีคนสนใจอีกหลายคน แต่เจ้าตัวเลือกที่จะไม่ใส่ใจมากกว่า :hao5: (รู้สึกผิดเลยอ่ะ 555+)

ส่วนเรื่องชื่อเรื่อง เรามีเหตุผลที่ตั้งชื่อเรื่องแบบนี้ด้วยฮะ from PAST to FUTURE... ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเดินทางของความรักจากอดีตสู่อนาคต แต่มันคืออดีตของคนหนึ่ง ที่อาจเป็นอนาคตของใครอีกคน...


จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ  :mew1:

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
มันแปลกๆนะครับ... บทที่ 34 เนี่ย

คิดในแง่ความเป็นจริงเลยนะครับ ผมว่าฟร็องก์ร้อนตัวแบบแปลกๆ คือถ้าปกติ สมมุติเราเป็นแฟน A แล้วเราเห็นว่า A มีท่าทีสนิทสนมกับ B ที่เป็นเพื่อนมากจนน่าแปลกใจ (โอเค เราไม่พูดถึงว่าความสัมพันธ์ในเชิงความรักของเรากับ A แบบไหนนะครับ) ทีนี้ถ้าเรานัดคุยกับ B แล้ว B พูดเสียงสูงแบบฟร็องก์เนี่ย เป็นผม ผมไม่ซื้ออะครับ (สำนวนฝรั่งคือ I’m not gonna buy it มันแปลเป็นเชิงว่า เราไม่เชื่อคุณอะ แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณโกหกนะครับ นัยยะคือ มันไม่น่าจะเป็นอย่างที่คุณพูดมาจริงๆน่ะ) เพราะมันเป็นการปฏิเสธแบบหนักแน่นมากโดยที่มีหลักฐานคาตาและหลายครั้งแล้ว และถ้าสมมุติ B พูดปฏิเสธแบบหนักแน่นอย่างฟร็องก์ ในแง่ความเป็นจริง มันก็แปลความได้สองอย่างนะครับ ถ้าเกิดว่าคนที่ฟังค่อนข้างฉลาดและเห็นคนมาเยอะระดับหนึ่งนะ หรือต่อให้ไม่ฉลาดก็เถอะ ถ้าหยุดฟังคำแก้ตัวรีบๆของฟร็องก์ แล้วฉุกคิดสักอย่าง มันก็จะสะดุดใจไม่ยากนะครับ

หนึ่ง  A อาจจะไม่เคยพูดเรื่องความสัมพันธ์ที่เขาอาจจะอยากพัฒนากับ B ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ เราควรจะไปเคลียร์กับ A ครับ เพราะว่าการเป็นเพื่อนกันมาก่อน (ถ้าเราไม่ได้สนิทกับ A เท่า B น่ะนะ) มันไม่มีทางที่เราจะไปเข้าใจหรือรับรู้ได้ว่า A กับ B มันสร้างอะไรกันมาบ้างจนถึงปัจจุบัน การจะไปวีนใส่เลย หรือการจะบอกว่า โอเคเราเชื่อ มันฟังไม่ขึ้นครับถ้าคุณไม่ได้โง่แบบหูหนวกตาบอด คุณควรจะคิดต่อ เพราคุณเป็นมุมมองบุคคลที่สามนี่ คุณเห็นแล้วตีความได้ครับ หรือ สอง B อาจจะยังไม่รู้ใจตัวเอง ซึ่งอันนี้ผมว่าฟร็องก์ตัดสินใจพลาดมากที่ปฏิเสธรุนแรงขนาดนี้ คือคนฟังที่ไหนมันก็ไม่เชื่ออยู่แล้ว แถมเอาจริงๆท่าทีมันล่อแหลมมากเลยนะครับ คุณควรจะเคลียร์ความรู้สึกตัวเองกับอีกคนให้ดีก่อน ก่อนจะตัดสินใจพูด เพราะผมว่ายิ่งเจอคนแบบชัญญ่า อย่าพูดอะไรแบบไม่คิด เพราะมันจะมัดตัวเองครับ ผมคิดว่าชัญญ่าเป็นสุภาพสตรีพอที่จะเคารพความคิดเห็นของคนอื่นนะ ถ้าคุยกันตรงๆและมีตรรกะเหตุผล มันไม่น่าจะมีปัญหา เพราะฟร็องก์เองก็เริ่มมีท่าทีตอบสนองต่อการเร้าอารมณ์จากรูปลักษณ์ของเก็ทเหมือนกัน นั่นเป็นพัฒนาการที่น่าสังเกตนะครับ ดังนั้นถ้ารีบๆพูดแล้วเกิดปัญหาขึ้นมา แล้วฟร็องก์เองดันมาเสียใจที่พูดไปอย่างนั้น อันนี้ฟร็องก์ต้องไปแก้ปัญหาเอาเองแล้วนะครับ (หัวเราะ) เพราะถือว่าผิดเต็มๆเลย

แต่ถ้ามองว่าฟร็องก์รีบๆพูดให้จบๆไป เพราะว่าอยากรู้เรื่องปาร์คกับเกล อันนี้ก็ไม่ว่ากันครับ อย่างไรก็ตาม ปัญหามันจะเกิดจากการรีบรับปากแบบไม่คิดหน้าคิดหลังถึงความรู้สึกของตัวเองนี่แหละ ซึ่งก็ต้องมาดูกันต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-07-2017 20:54:12 โดย Grey Twilight »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ก็เข้าใจว่าหวงแฟนแต่จำเป็นมั้ยที่ต้องทำกันแบบนี้ไม่ชอบนิสัยชัญญ่าเลยจริงๆ ตอนนี้
ฟร๊องก์ไม่ใช่จะใจอ่อนกลับไปคบกับปาร์คอีกนะถ้ารู้ว่าเกลแฟนสาวของปาร์คมาหลอกกันอ่ะ
ไม่เห็นด้วยสุดๆ อ่ะ เจ็บแล้วต้องจำสิ อย่าโง่ได้มั้ย ถึงมันจะยากแต่ก็ต้องพยายาม
อย่ากลับไปหาคนที่ใจโลเลแบบปาร์คเลยมีแต่เจ็บกับเจ็บเชื่อเถอะ

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
ชัญญ่านี่แปลกมากอ่ะ

จะบอกว่าระแวงแฟนกับเพื่อนก็เข้าใจแต่วิธีถามพูดนี่เหมือนกำลังเล่นเกมอยู่

เหมือนไม่แคร์เท่าไหร่ว่าจริงไหม แต่เล่นกับความรู้สึกฟร๊องก์อย่างเดียว
ทำให้น่ารังเกียจแปลก

ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เราว่าชญญ่าไม่ได้รักเก็ทแบบรักจริงหวังแต่งอะไรแบบนี้หรอก แค่รู้สึกดี เลยสติลคบอยู่ ถ้าอนาคตพัฒนาไปถึงขั้นนั้นได้ค่อยว่ากัน แล้วนางก็สวยงัย อีโก้คนสวยจะโดนเทนี่ทำใจลำบากนะ ถ้านางเทเองก็อีกเรื่อง แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้เกลียดฟร๊องก์นิสัยนางน่าจะเป็นคนจริงลุยๆ ไม่เอาเปรียบใครแต่ไม่ยอมให้ใครเอาเปรียบ ดังนั้น นางเลยเข้ามาช่วยฟร๊องก์ตอกหน้าผู้หญิงคนนั้น แต่ก็ขอแขวะด้วยนิดนึงพอให้หายหมั่นไส้

เราว่านางสวมบทผู้สังเกตการณ์อยู่ นิสัยน่าจะชอบสร้างบุญคุณแล้วบังคับให้คนอื่นตอบแทนในสิ่งที่นางต้องการ โดยรวมเราชอบนางนะ แลเป็นคนจริงๆ แบบเรียลดี แสดงออกสองด้านไม่แอ๊บ สงสัยก็ถาม  ถือเป็นคนตรงใช้ได้

เราสมมตินะว่า ถ้าฟร๊องเกิดตอบว่าชอบเก็ท ดีสุดอาจจะแค่ตบสักทีแล้วคุยเป็นเพื่อนกันต่อ ร้ายสุดนางคงเอากับข้าวยีหัว ตบ ด่าประจานให้สะใจ แต่นางจะไม่ร้องไห้ฟูมฟายอ่ะ ประมาณ ฉันยกให้เธอก็ได้แต่ต้องมีอะไรแลกเปลี่ยน งี้

555 นี่มโนเอาเองสนุกๆ

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
ใครจะเป็น ใครจะตาย กายขาดวิ่น
ร้องตะโกน อยากให้ยิน สิ้นสุดเสียง
จะหยุดกึก นึกใจนิ่ง ทิ้งสำเนียง
มีให้เพียง สายตาบอก สำรอกคาย

//ต่อให้มากระเสือกกระสน ทรุดตัวตายตรงหน้า
ก็อย่าหมายว่าจะได้รับความเห็นใจจากกัน#ปาร์ค

สะใจโว้ยยยยยยยยยยยย
ฮ่าฮ่า..หัวเราะเป็นบ้าเป็นบอเลยตรู

กร๊ากกกกกกกกกกกก

+1 ฮับ

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 35 [31/7/2017]
«ตอบ #144 เมื่อ31-07-2017 17:53:00 »

Chapitre 35

   หลังจากกลับมาถึงบ้าน เมื่อคืนผมแทบจะนอนไม่หลับเลยด้วยซ้ำกับเรื่องที่ชัญญ่าได้บอกเมื่อวาน แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าจะมานั่งคิดมากอยู่ทำไม ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แถมยังไม่รู้ว่าสิ่งที่ชัญญ่าพูดเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าด้วยซ้ำ และก็ไม่เข้าใจว่าที่ชัญญ่ามาบอกเรื่องนี้กับผมเธอต้องการอะไร ถ้าจะบอกเพื่อกันผมออกจากเก็ท ก็เชียร์คนอื่นก็ได้นิ แต่ถึงไม่เข้าใจและพยายามห้ามตัวเองไม่ให้คิดมากอย่างไร ตัวผมเองก็ยังอดที่จะเป็นห่วงปาร์คอยู่ไม่ได้ แม้ว่าจะต้องเจ็บปวดเพราะคนๆ นี้ และรู้ทั้งรู้ว่า ‘เราไม่ได้เป็นอะไรกัน’ แต่ก็นะ คนเคยรัก... และก็ยังคงรักอยู่ จะให้ผมไม่คิดมากไม่ได้หรอก

   ผมไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ผมกำลังคิดหรือจะทำต่อไปจะได้รับผลลัพธ์ให้ทางไหน ปาร์คจะพอใจและยินดีหรือเปล่าที่ผมยื่นมือเข้าไปช่วยหรือจัดการชีวิตของมัน มันจะเห็นความหวังดีที่ผมมีให้หรือเปล่า หรือมันจะทำให้ช่องว่างระหว่างเรามันห่างขึ้นกันแน่ ถ้าเรื่องที่ชัญญ่าเปรยขึ้นมาเป็นเรื่องจริง ไม่ว่าจะด้วยกรณีใดก็ตามที่ผู้หญิงคนนั้นทำไม่ดีต่อปาร์ค ผมไม่มีทางยอมเด็ดขาด แม้ปาร์คอาจจะไม่พอใจ แต่มันก็ยังกว่าผมจะปล่อยให้ปาร์คต้องคบอยู่กับคนไม่ดีโดยที่ตัวเองไม่รู้ ไม่ว่าเรื่องจะเป็นอย่างไร ผลจะเป็นแบบไหน แต่ผมคิดแล้วว่ายังไงก็ต้องหาทางช่วยปาร์คให้ได้ ผมอยู่เฉยๆ ไม่ได้เหมือนกัน

   บางทีเรื่องนี้อาจจะพิสูจน์อะไรหลายๆ อย่างก็เป็นได้ ทั้งเรื่องราวเบื้องหลังของผู้หญิงที่ชื่อเกลคนนั้น เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับปาร์ค ถ้าเมื่อต่างฝ่ายต่างไม่มีใคร บทลงเอยจะเป็นเช่นไร ผมจะยังหวังได้อยู่ไหมว่าปาร์คอาจจะเลือกผมบ้าง รวมทั้งเรื่องที่เป็นตัวจุดฉนวนขึ้นมาอย่างเรื่องเข้าใจผิดของชัญญ่าเกี่ยวกับตัวผมกับเก็ทด้วย ทั้งหมดทั้งมวลนี้อาจจะคลี่คลาย และกระจ่างแจ้งออกมาได้บ้าง

   เมื่อวานกลับบ้านมาผมรีบต่อสายหาแคมป์ทันที เผื่อมันจะพอรู้เรื่องบ้าง หรืออย่างน้อยที่สุดมันอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับผู้หญิงคนนั้นจะได้ช่วยสืบหรือเป็นหูเป็นตาให้น่าจะสะดวกกว่าตัวผมเอง แต่ผมก็ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรไปมาก ไม่ใช่เพราะไม่ไว้ใจแคมป์ แต่ตัวผมเองก็ยังไม่รู้และไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเรื่องราวที่แท้จริงมันเป็นอย่างไร ความรู้สึกตอนนี้เหมือนงมเข็มในหมาสมุทรแปซิฟิกก็ไม่ปาน

   ผมบอกแคมป์ไปแค่เพียงว่าผมอยากรู้ว่าเธอคนนั้นเป็นคนยังไง คบกับปาร์คเป็นไงบ้าง แต่ก็พอรู้อยู่ว่าแคมป์สงสัยอยู่เหมือนกันในเมื่ออยู่ดีๆ ผมก็มาถาม ทำไมผมถึงเกิดอยากรู้เรื่องราวของผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนของคนที่ผมรักขึ้นมา ทั้งที่ตัวผมก็รู้เรื่องราวมาสักพักแล้ว ตั้งแต่ตอนที่แคมป์บอก แล้วทำไมเพิ่งจะมาถาม แต่ผมก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อ เพียงบ่ายเบี่ยงประเด็นไปเท่านั้น เมื่อเห็นผมไม่พูด แคมป์เลยเลือกที่จะไม่ถามต่อและปล่อยผ่านปัญหาของผมไป แต่เจ้าตัวก็ยังรับปากว่ายินดีที่จะช่วยเพื่อนอย่างผม จะพยายามตามๆ เรื่องให้เท่าที่จะทำได้ แต่มันก็บอกว่าอาจจะลำบากสักหน่อย เพราะเรียนคนละคณะ แถมคณะยังอยู่ไกลกันอีก ถึงจะอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่มันก็ไม่ใช่ที่แคบๆ ที่จะตามหากันง่าย อีกอย่างคนยังเยอะมากอีกด้วย แต่แค่มันยอมช่วยผมก็ซาบซึ้งมากแล้วครับ แทบจะซับน้ำตาไม่ทันกันเลยทีเดียว (เครียดๆ มึงก็ยังเล่นมุกแป๊กๆ ได้อีกนะไอ้ฟร๊องก์!)

   [ทำไมไม่ลองถามพวกไอ้พัฒน์ ไอ้เอดูล่ะ มันน่าจะรู้มากกว่านะกูว่า แฟนพัฒน์มันเรียนอยู่คณะเดียวกับชะนีนั่น] แคมป์เสนอทางเลือกมาให้กับผม พัฒน์กับเอคือเพื่อนผู้ชายสมัยมัธยมของผมเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้สนิทเท่าไร

   ‘แฟนพัฒนน์เรียนสถาปัตเหรอ’ ผมถามกลับไปด้วยน้ำเสียงเจือความสงสัย แอบอยากรู้เรื่องคนอื่นด้วย

   [บ้านมึงสิ! เรียนศึกษาเถอะ ใครบอกมึงว่าชะนีนั่นเรียนคณะเดียวกับปาร์ค คิดไปเอง!] อ้าว แล้วกูจะไปรู้ไหมเล่า!

   ‘กูจะไปรู้เหรอ แต่กูก็ไม่มีเบอร์พวกพัฒน์อยู่ดีอ่ะ มีแต่เบอร์เก่าตอนมัธยมโน้นเลย ป่านนี้เปลี่ยนล่ะมั้ง’ ผมตอบ ด้วยความที่ผมไม่ได้สนิทกับพวกนั้นมากอยู่แล้ว หลังจบมัธยมมาเลยไม่ค่อยได้ติดต่อ อาจจะมีทักทายกันบ้างเวลาเจอ หรือนิดหน่อยในเฟซบุ๊ก แต่ก็ไม่ได้ถึงกับมาตามอัพเดทเบอร์โทรศัพท์อะไรขนาดนั้น เพราะคิดว่าคงไม่มีอะไรต้องคุย แต่หลังจากนี้คงต้องรู้จักอัพเดทเบอร์โทรเพื่อนบ้างแล้วแหละ เผื่อบางทีอาจจะมีประโยชน์อย่างคราวนี้ก็ได้

   [โอ้ย! มึงนี่นะ!] แคมป์สบถเล็กน้อยด้วยความรำคาญ

   ‘มึงมีเบอร์โทรไอ้พัฒน์อยู่แล้วล่ะ กูรู้ ผัวเก่ามึงนี่ ขอหน่อยดิ’ ผมกับแซนด์มักจะใช้ตำแหน่งสามีหรือผัวที่ผมเรียกเมื่อกี้แทนชื่อของพัฒน์กับแคมป์เสมอ ไม่ใช่เพราะสองคนนี้กำลังคบกันแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าช่วงขึ้นมัธยมปลายใหม่ๆ ผมเองก็จำช่วงเวลาไม่ค่อยได้ สองคนนี้เคยแอบมีความสัมพันธ์ลับๆ อย่างลึกซึ้งต่อกัน โดยที่เพื่อนในห้องคนอื่นๆ ไม่รู้ เว้นแต่เพียงผม แซนด์ และเพื่อนในกลุ่มอีกไม่กี่คน

   [สัด! รอแป๊บ กดดูเบอร์... ผัวเก่าก่อน] แคมป์ด่าขำๆ แต่ก็กลับตบมุกซะเอง ไม่ค่อยเลยนะมึง! มันมักจะเป็นแบบนี้เสมอ ไม่ก็ยิ้มหรือขำทุกครั้งที่มีคนแซว ก่อนที่เสียงกดไล่เบอร์จะดังขึ้น ผมจึงเปิดสปีคเกอร์โฟนเตรียมจะกดเบอร์รอ [อ่ะเบอร์ 08x-xxxxxxx โทรคุยได้เฉพาะธุระที่ว่าอย่างเดียวนะ นอกเหนือจากนั้นห้าม! ห้ามอ่อย ห้ามยุ่งกับคนของกูนะ!]

   ‘ไม่รับปากว่ะ ถ้ามันชวนกูเล่น ก็คงเล่นกลับ ฮ่าๆ’ แกล้งให้มันดิ้นสักหน่อยครับ แหม! หึงอย่างกับเป็นผัวเมียกันจริงๆ เลย

   [สัด! งั้นมึงไม่ต้องโทร เดี๋ยวกูจัดการสืบเรื่องจากไอ้พัฒน์ให้มึงเอง] แคมป์รีบพูดเสียงแข็งกลับมาตามสายอย่างรวดเร็ว แต่มันก็ทำให้ผมหัวเราะไม่หยุดกับอาการของมัน หึงยิ่งกว่าแฟนไอ้พัฒน์จริงๆ อีกมั้งผมว่า

   ‘เออ กูไม่เอาของเพื่อนหรอก แกล้งมึงเล่นแค่นั้นล่ะ ดิ้นพล่านเชียวนะมึง ฮ่าๆ แต่ก็แต๊งกิ้วมากนะจ๊ะ มันส์ไม่มันส์ยังไงเดี๋ยวมารายงานผลนะ ฮ่าๆ’ ไม่วายกวนทิ้งท้ายไว้หน่อย

   [ห่า!] มันด่าผมอีกครั้ง ก่อนที่จะกดวางสายไป ปล่อยให้ผมนั่งหัวเราะกับน้ำเสียงฉุนเฉียวแต่ชวนให้ขำทุกครั้งที่ได้ยินอยู่คนเดียว นี่สรุปผมชอบโดนด่าใช่ไหม นั่งยิ้ม นั่งหัวเราะอยู่คนเดียวแบบนี้

   หลังจากวางสายจากแคมป์ไปตอนนั้น จนถึงตอนนี้เวลาล่วงเลยมาจนเกือบจะสิบโมงของเช้าวันใหม่แล้ว ผมก็ยังไม่ได้โทรหาพัฒน์เลย ยังเรียบเรียงคำพูดไม่ถูก ไม่รู้ว่าโทรไปแล้วจะเริ่มพูดยังไงก่อนดี จะถามอะไรก่อน จะเริ่มเรื่องทั่วๆ ไปก่อนไหม หรือจะพุ่งเข้าประเด็นที่ต้องการเลย แต่ถ้าถามตรงประเด็นไปเลย มันจะดูน่าเกลียดไปไหม ถ้าเกิดมันไม่รู้จักจะไปยังไงต่อ วางสายเลยเหรอ? แต่ถ้าเริ่มจากเรื่องทั่วไป มันจะไม่ตกใจกว่าเหรอที่อยู่ๆ เกิดอยากรู้เรื่องราวของมันขึ้นมาทั้งที่แทบไม่ได้ติดต่อกันเลยด้วยซ้ำ นี่ผมคิดมากไปป่ะ? แต่ก็เริ่มไม่ถูกจริงๆ น่ะแหละ เลยทำให้ผมต้องมานั่งคิดมากและเตรียมตัวกับบทสนทนาไว้ก่อน ทั้งที่ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าพัฒน์จะรู้จักผู้หญิงที่ชื่อเกลนั่นหรือเปล่า

   ผมนั่งมองเบอร์โทรศัพท์ของพัฒน์อยู่หลายต่อหลายครั้งพร้อมกับใจที่เต้นแรงขึ้นทุกขณะ ผมไม่รู้จะเริ่มยังไงดี ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นก็ไม่มีเลยสักอย่าง มีแค่รูปที่แคมป์ส่งมาให้รูปเดียว... รูปที่ผู้หญิงคนนั้นลงในเฟซบุ๊ก เฟซบุ๊ก... เออใช่! รูปนั้นแคปมาจากในเฟซบุ๊ก! มันมีชื่อเฟซอยู่นี่หว่า ลืมไปได้ไงเนี่ย ของสำคัญในการเริ่มต้นแบบนี้!

   เมื่อนึกได้ดังนั้น ผมจึงรีบย้อนไปดูในไลน์ที่แคมป์ส่งมาให้ทันที ก่อนจะกดเซฟรูปนั้นเอาไว้เพื่อจะส่งให้พัฒน์อีกที อย่างน้อยถ้าพัฒน์ไม่รู้จักจริงๆ ก็ให้รูปไปตามสืบให้หน่อย น่าจะตามหาตัวได้ไม่ยาก ส่วนเฟซบุ๊กผมแอดไปเองคงไม่ได้ เพราะเธอเคยเจอผมแล้ว อาจจะต้องให้พัฒน์แอดไปหาแทน แต่ก็ไม่รู้อีกล่ะว่าเจ้าตัวจะยอมช่วยหรือเปล่า แต่เอาเถอะ ต้องลองสักตั้ง! ถึงเวลาปฏิบัติการสืบหาความจริงแล้ว! เชอร์ล็อก ฟร๊องก์!!

   ผมรีบกดเข้าเฟซบุ๊กในมือถือทันที ก่อนจะพิมพ์ชื่อตามปรากฏตามภาพที่แคมป์ส่งมา แต่มันกลับบอกว่าไม่มีบัญชีชื่อผู้ใช้ดังกล่าว เป็นไปได้ไง แล้วแคมป์มันจะเอามาจากไหน? ผมลองเช็คตัวอักษรแล้วเสิร์ชหาซ้ำ แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้งผลลัพธ์ที่ได้ก็เหมือนเดิม ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าผู้หญิงคนนั้นเปลี่ยนชื่อเฟซบุ๊กหรือเปล่า หรือว่าเธอจะบล็อคผมกันแน่

   เห็นท่าว่าจะไม่มีอะไรคืบหน้า ผมเลยส่งไลน์ไปถามแคมป์อีกครั้ง พร้อมกับรูปดังกล่าวว่าสรุปแล้วแคมป์แคปมาจากเฟซบุ๊กของผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า ถ้าใช่เธอเปลี่ยนชื่อเฟซหรือเปล่า เปลี่ยนเป็นอะไร ผมพิมพ์คำถามรัวๆ แล้วรอแคมป์ตอบกลับอย่างกระวนกระวาย เครื่องเริ่มร้อนแล้วมันต้องเดินหน้าได้มากกว่านี้สิ

   ‘กูให้เพื่อนแคปมาจากเฟซอีนั่นล่ะ กูไม่ได้เป็นเพื่อนกับมัน พอดีมันขึ้นหน้าเฟซเพื่อนไง กูเลยให้มันแคปมา แต่กูลองเสิร์ชชื่อดูแล้ว นางก็ยังใช้ชื่อเดิมนะ มึงพิมพ์ผิด พิมพ์ตกไปหรือเปล่า’ นี่คือสิ่งที่แคมป์ตอบผมกลับมา แสดงว่าข้อสันนิฐานของผมไม่ผิด ผู้หญิงคนนั้นบล็อคเฟซบุ๊กผมจริงๆ อาจจะเพราะไม่ชอบขี้หน้าผม แต่จะต้องถึงขั้นบล็อคกันเลยเหรอ แบบนี้มันน่าสงสัยมากกว่า เหมือนกลัวผมจะไปแอบส่องอะไรหรือเปล่า ถ้าไม่ได้ปิดบังอะไรไว้ทำไมจะต้องกลัวล่ะ ทั้งที่ตัวจริงก็ดูแรงขนาดนั้น แค่นี้ไม่เห็นต้องบล็อคกันในโลกโซเชียลเลย

   แล้วผมจะทำไงดี ตัวผมเองสืบจากทางเฟซบุ๊กด้วยตัวเองไม่ได้แน่ๆ จะให้แคมป์หรือแซนด์แอดไปก็ดูน่าสงสัย เพราะมีเพื่อนร่วมเป็นผม แถมอยู่คนละคณะ แซนด์นี่คนละมหาวิทยาลัยเลย จะดูจงใจมากไป เผลอๆ เธออาจจะบล็อคทั้งแผงเลย ทางเลือกที่เหลือคงต้องหวังพึ่งพัฒน์แล้วสินะ หวังว่ามันจะยอมช่วยผมนะ แล้วก็หวังว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่สงสัยนะถ้าผมจะวานให้พัฒน์แอดไปหาเธอ

   ผมตัดสินใจโทรศัพท์หาพัฒน์ทันทีที่ได้คำตอบจากแคมป์ แค่บล็อคผม ผมก็ตีความหมายในทางไม่ดีไปแล้ว ถ้าผู้หญิงคนนั้นมีแผนอะไรร้ายๆ กับปาร์คอย่างที่ชัญญ่าบอกจริงๆ ยิ่งผมช้า ปาร์คก็จะยิ่งตกเป็นเหยื่อของคนนั้นมากขึ้น เป็นไงเป็นกัน

   [สวัสดีครับ] ปลายสายเอ่ยรับสายอย่างสุภาพด้วยน้ำเสียงที่ผมไม่ค่อยคุ้นเคย ตอนมัธยมเคยโทรหาพัฒน์นับครั้งได้เลย ถ้าไม่นับการพูดคุยกันที่โรงเรียน ผมกับมันก็แทบไม่มีบทสนาด้วยกันเลยด้วยซ้ำ จึงไม่แปลกที่ผมจะไม่คุ้นเคยกับเสียงของมัน

   “พัฒน์ใช่เปล่า นี่ฟร๊องก์เองนะ จำได้ไหม”

   [ฟร๊องก์... อ๋อ จำได้ๆ เป็นไงบ้าง สบายดีเปล่า] ฟู่ววว... อย่างน้อยมันก็ยังจำผมได้ แถมยังถามสารทุกข์สุกดิบผมอีก ทั้งที่ตัวผมเองโทรหามันกลับไม่ได้คิดเรื่องนี้ไว้ในสมองเลย

   “อ้ะ... อื้ม สบายดีๆ แล้วพัฒน์อ่ะ เป็นไงบ้าง ไม่ได้เจอกันเลย” ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงติดตลกนิดๆ ดึงบรรยากาศไว้ก่อนจะเข้าสู่โหมดซีเรียสหลังจากนี้

   [สบายดีครับ ฮ่าๆ ว่าแต่ฟร๊องก์โทรมามีไรเปล่า]

   “เอ่อ พอดีมีเรื่องจะถามนิดหน่อยอ่ะ”

   [อ่า ว่ามาดิ ถ้ารู้นะ]

   “พัฒน์รู้จักผู้หญิงที่ชื่อเกลในคณะศึกษาบ้างไหม เรียนศึกษามหา’ลัยเดียวกับพัฒน์แหละ”

   [เกล ศึกษาเหรอ สาขาอะไรอ่ะ] พัฒน์ทวนชื่อช้าๆ เหมือนพยายามจะนึก

   “เราก็ไม่รู้เหมือนกันอ่ะ แต่เรามีรูปนะ เผื่อแฟนพัฒน์จะรู้จัก เห็นว่าเรียนคณะเดียวกัน เดี๋ยวเราส่งไปในไลน์ล่ะกัน ใช้ไลน์เดียวกับที่ลงทะเบียนไว้กับเบอร์ใช่ป่ะ”

   [อืมๆ ลองส่งมาก่อน]

   แล้วผมก็จัดการส่งรูปที่เป็นเพียงหลักฐานเดียวที่มีให้พัฒน์ในไลน์ โดยก่อนหน้าทิ้งท้ายไว้ว่าเดี๋ยวคุยกันต่อในไลน์ก็ได้ อย่างน้อยยังมีเวลาคิดคำพูดที่จะพิมพ์ตอบโต้กัน พูดกันตรงๆ เลยคิดไม่ทัน มันประหม่าด้วยแหละก็ไม่ได้คุยกันตั้งนานนี่นา

   ‘อ๋อ คนนี้พัฒน์มีเฟซอยู่ แต่ ไม่ได้รู้จักอะไรเท่าไร แค่เคยเจอกันบ้างเวลาพัฒน์ไปหาแฟนที่คณะ มีไรอ่ะ??’ พัฒน์พิมพ์ตอบกลับมาในไลน์หลังจากที่ผมส่งรูปไปได้ไม่ถึงนาที โชคเริ่มเข้าข้างผมแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ต้องนั่งหาคนแอดเฟซไปส่องแล้วไงล่ะ

   ‘จริงดิ ผู้หญิงคนนี้เป็นแฟนกับปาร์คเหรอ พัฒน์พอรู้เรื่องนี้บ้างมั้ย’ ผมเริ่มเข้าประเด็นทันที อย่างน้อยถ้าพัฒน์ไปหาแฟนที่คณะศึกษานั่น ก็อาจจะเคยเห็นปาร์คกับผู้หญิงคนนั้นอยู่บ้าง

   ‘อ้าว เป็นแฟนไอ้ปาร์คหรอ เราก็ไม่รู้เหมือนกันอ่า เพิ่งรู้จากฟร๊องก์เนี่ยล่ะ’

   ‘ก็เห็นถ่ายรูปด้วยกัน  แล้วแคมป์ก็บอกๆ ฟร๊องก์มาด้วยแหละ อีกอย่างเราเคยเจอเขาเดินด้วยกันกับปาร์คเองตอนไปเที่ยวด้วย เลยอยากรู้ว่าอยู่ที่มอเป็นไงบ้าง’ ผมโกหกไปครับ จริงๆ ผมรู้ดีอยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าสองคนนั้นเป็นอะไรกัน และตัวผมเองก็ไม่ได้อยากรู้ด้วยว่าสองคนนั้นจะใช้ชีวิตด้วยกันยังไง หวานกันสักแค่ไหน แต่มันเป็นการปูทางสู่ใจความสำคัญต่อไปต่างหาก

   ‘เห็นรูปตอนแรกก็งงอยู่ว่าทำไมถึงไปถ่ายคู่กับปาร์คได้ นึกว่าแค่คนรู้จักกันเฉยๆ ไม่คิดว่าเป็นแฟนกัน เราก็นั่งเล็งตั้งนานว่าใช่ไอ้ปาร์คจริงไหม แต่ดูไงก็ใช่ ขนาดหันข้างแม่งยังหล่อเลย’ พัฒน์ตอบกลับมาพร้อมกับสติกเกอร์ตัวการ์ตูนทำหน้างงๆ ถ้ายังจำกันได้รูปที่แคมป์ส่งมาให้ผมเป็นรูปคู่ของปาร์คกับผู้หญิงคนนั้น แม้จะเห็นใบหน้าของปาร์คเพียงด้านข้างแต่ผมก็จำได้แม่น แม้แต่คนอื่นที่ดูรูปยังรู้ว่าเป็นปาร์ค ‘หึงไอ้ปาร์คอ่ะดิ๊’

   ‘ป่าวๆ’ ผมรีบตอบกลับไปทันทีเมื่อพัฒน์พิมพ์แซวมา ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วผมอยากมีสิทธิ์ที่จะหึงปาร์คอยู่เหมือนกัน เพียงแค่ผมไม่ได้เป็นอะไรกับมันสักหน่อย ยิ่งความสัมพันธ์ของผมกับปาร์คตอนนี้ ผมยิ่งไม่มีสิทธิ์! ผมจึงทำได้เพียงแค่เลียแผลที่แสนเจ็บปวดนี้คนเดียว ‘ว่าแต่พัฒน์ไม่เคยเห็นสองคนนั้นอยู่ด้วยกันมั้งเลยหรอ แบบเวลาไปคณะแฟนหรือในมอไรงี้อ่ะ’

   ‘ไม่เคยเลยนะ ปกติก็ไม่ค่อยเจอปาร์คมันอยู่แล้วด้วย แต่กับคนนี้ เจอบ่อยอยู่นะ ก็จะเห็นอยู่แค่กับเพื่อนๆ ในกลุ่มเขาอ่ะ กลุ่มเขามีแต่คนหน้าดีๆ ก็เด่นพอสมควรเลยล่ะ และเท่าที่พัฒน์เห็น กลุ่มนี้คบแต่คนหล่อๆ รวยๆ ตอนแรกก็ตกใจอยู่ที่ฟร๊องก์บอกว่าคบกับปาร์ค แต่ก็ไม่น่าแปลกหรอก ไอ้ปาร์คมันก็รวยอยู่แล้ว แถมหน้าตาก็ดี’ พัฒน์เว้นช่วงไปสักระยะหลังจากที่ผมถามไป ก่อนที่จะตอบกลับมาเป็นประโยคยาว แต่ในประโยคยาวเหยียดนั้น ก็ทำให้ผมได้ข้อมูลเพิ่มมาอีกอย่าง คือกลุ่มของผู้หญิงคนนั้นค่อนข้างเป็นที่รู้จักอย่างจะทั้งในคณะและในมหาวิทยาลัย อาจเป็นเพราะหน้าตาดีกันด้วยล่ะมั้ง แต่ใจความสำคัญหลักๆ ขอประโยคเลยคือที่พัฒน์บอกว่าเลือกคบแต่คนมีเงิน และหน้าตาดีๆ ต่างหาก แล้วปาร์คเองก็รวย ส่วนหน้าตาก็ถือว่าโดดเด่นเลยแหละ ในความคิดของผมนะ นี่เป็นเหตุผลที่เธอเลือกมาคบกับปาร์คหรือเปล่า คบเพื่อหวังเงิน!

   ‘พัฒน์พอจะช่วยสืบเรื่องของผู้หญิงคนนั้นให้หน่อยได้ไหม หรือไม่เพื่อนแฟนพอจะรู้จักกับผู้หญิงคนนี้บ้างหรือเปล่า ลองถามๆ ให้เราหน่อยสิ ไม่ก็ขอไลน์มาให้เราก็ได้ เดี๋ยวเราลองถามดูเอง’

   ‘อ่าๆ เดี๋ยวลองถามแฟน ถามพวกเพื่อนๆ แฟนเราดูให้นะ’ เย้! อย่างน้อยก็น่าจะได้เรื่องอะไรเพิ่มมากขึ้นบ้างแหละ พัฒน์จะเต็มใจเปล่าก็ไม่รู้ แต่ผมก็พอเข้าใจอารมณ์ผู้ชายแหละ จะให้มานั่งตามสืบเรื่องของผู้หญิงมันก็คงไม่ใช่เรื่อง ถ้าถามเรื่องฟุตบอล หรือรถยนต์อะไรแบบนั้นยังว่าไปอย่าง

   ‘ขอบคุณมากนะ ช่วยฟร๊องก์หน่อยนะ ฝากหน่อยๆ’ ผมยิ้มกับตัวเองก่อนจะพิมพ์กลับไปพร้อมสติกเกอร์ดุ๊กดิ๊กน่ารักๆ ช่วยเรียกร้องความเห็นใจมากขึ้น

   ‘โอเคครับ ได้เรื่องยังไงเดี๋ยวเราบอก’ พัฒน์ว่าพร้อมส่งสติกเกอร์กลับมาเช่นกัน ‘ไม่คิดว่าฟร๊องก์จะยังรู้สึกดีกับไอ้ปาร์คจนถึงตอนนี้เนอะ น่าอิจฉาไอ้ปาร์คมันเหมือนกันนะ มีคนดีๆ แบบฟร๊องก์คอยเป็นห่วงตลอดเลย’

   ‘ไม่ขนาดนั้นหรอก แต่ยังไงก็ขอบคุณนะ’ ผมพิมพ์กลับไป แต่ในใจกลับคิดว่า ถ้าปาร์ครู้สึกได้แบบพัฒน์ก็คงดีสินะ ผมคงไม่ต้องเจ็บปวดแบบนี้

   แต่ในความเป็นจริง ผมแทบไม่มีความหมายกับปาร์คเลยด้วยซ้ำ...

**********___________***********


มีต่อฮะ

ออฟไลน์ PorschePor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
from PAST to FUTURE... Chapitre 35 100% [31/7/2017]
«ตอบ #145 เมื่อ31-07-2017 17:53:19 »

100%

แล้วก็มาถึงวันจันทร์ที่ต้องไปเรียนอีกแล้ว เมื่อวานหลังจากที่คุยกับพัฒน์ไปก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเข้ามา แต่ผมก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรมาก เดี๋ยวมันจะรำคาญเอาเปล่าๆ จากนั้นผมก็อาบน้ำเตรียมกลับหอ เพราะยังมีเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้รีด แถมยังมีบางส่วนที่ยังไม่ได้ซักอีกต่างหาก ผมนี่ขี้เกียจเนอะ เสื้อผ้าจะใส่ไปเรียนจะไม่มีอยู่แล้ว

   เช้านี้เก็ทก็ยังคงส่งข้อความมาบอกว่าถึงหอแล้วเช่นเดิม แต่ผมเองที่รู้สึกแปลกๆ ขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าผมจะไม่ได้รู้สึกว่าระหว่างผมกับเก็ทมันจะมีอะไรมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ อย่างที่ชัญญ่าตั้งแง่ แต่ผมก็กะว่าจะรักษาระยะห่างระหว่างผมกับเก็ทให้มากขึ้นอย่างที่ชัญญ่าต้องการสักหน่อย อย่างน้อยก็แสดงความบริสุทธิ์ใจว่าผมไม่ได้คิดอะไรเกินเลย และชัญญ่ารู้ระหว่างผมกับเก็ทก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าความเป็นเพื่อนจริงๆ จะได้ไม่เกิดปัญหาหรือสองคนนั้นต้องทะเลาะกันในภายหลัง

   “ไง รายงานฝรั่งเศสถึงไหนล่ะ ทำมั้งยัง” เก็ทเอ่ยทักด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยที่มุมปากพร้อมกับยื่นมือมาขยี้หัวผมอย่างมันมืออย่างที่ชอบทำเป็นประจำ แต่คราวนี้ต่างไปเพราะผมเลือกที่จะปัดมือของเก็ทออกอย่างรวดเร็วเหมือนเป็นปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ของร่างกาย จนเก็ทหุบยิ้มแล้วเลิกคิ้วมองผมอย่างไม่เข้าใจ เมื่อนึกได้ผมก็ตกใจเล็กน้อยไม่คิดว่าจะปัดแรงขนาดนั้น แค่ในใจคิดว่าต้องห่างจากเก็ทหน่อย แต่ร่างกายมันตอบสนองไปเอง

   “เอ่อ... โทษที แต่เลิกเล่นหัวได้แล้ว ฟร๊องก์ไม่ชอบ” ผมแก้ตัวไปแบบน้ำขุ่นๆ ถ้าผมซีเรียสเรื่องเล่นหัวจริงๆ ผมคงด่ามันไปตั้งแต่แรกๆ ที่มันจับหัว ยีผมของผมแล้ว

   “ปกติก็ไม่เห็นว่าไร”

   “กะ... ก็เดี๋ยวนี้ไม่ชอบแล้วอ่ะ ทักแบบอื่นก็ได้มั้ง ทำไมต้องยีผมด้วย อุตส่าห์เซ็ตมา ผมยุ่งหมดแล้วเห็นไหม!” ผมทำหน้ามู่พร้อมกับพูดเหมือนไม่พอใจ แต่จริงๆ ไม่รู้จะหาอะไรมาอ้างมากกว่า

   “แปลกๆ นะ มีอะไรเปล่า”

   “ไม่มี! ไปรับคนอื่นได้แล้ว สายแล้ว เดี๋ยวพวกนั้นก็ด่าเอาหรอก” เมื่อเห็นเก็ทจ้องหน้าผมไม่เลิกผมจึงตัดบท เปลี่ยนเรื่องไปแทนก่อนจะทำเป็นคาดเข็มขัดนิรภัยก่อนจะหันออกไปมองนอกกระจกรถ

   เก็ทไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ก็ยังคงนิ่งอยู่อีกเกือบนาทีตัวรถถึงจะเคลื่อนที่ออกไป ระหว่างทางไม่มีบทสนทนาอะไรระหว่างผมกับเก็ทเกิดขึ้นอีก จนกระทั่งไวน์และโดนัทขึ้นมา ในห้องโดยสารจึงเริ่มคึกคักไปด้วยเสียงหัวเราะอีกครั้ง จะเหลือก็แต่เจ้าของรถที่ยังคงนั่งขับรถนิ่งๆ ไม่พูดอะไรตั้งแต่ขับออกจากหอผมมา

   ผมทำเกินเหตุหรือดูเปลี่ยนแปลงมากเกินไปหรือเปล่า ทั้งที่ตัวผมก็ไม่ได้โกรธหรือไม่พอใจอะไรเก็ทเลยด้วยซ้ำ แต่ผมแค่พยายามไม่ให้ทุกอย่างมันเกินเลยไปกว่าเพื่อนคนอื่นๆ แต่ความรู้สึกดีๆ ความไว้ใจ เชื่อใจทุกอย่างของผมยังคงมีต่อเก็ทเหมือนเดิมนะ

   ตลอดช่วงเวลาที่เรียน ผมก็ยังคงเลือกนั่งข้างเก็ทอยู่เช่นเดิม ยังคงถามไถ่ในสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ หรือมีข้อสงสัยเหมือนเดิม เก็ทเป็นคนเรียนเก่งครับ หัวดีมาก เวลาที่ผมมีอะไรไม่เข้าใจผมก็จะถามเก็ทเนี่ยแหละ และก็เป็นมันอีกเช่นกันที่มักจะตอบคำถาม และไขข้อสงสัยของผมได้อย่างกระจ่าง แถมยังชอบยกตัวอย่างให้ผมเห็นภาพง่ายขึ้นอีก เปรียบมันเป็นเสมือนครูของผมอีกคนเลยก็ว่าได้ อยากจะแบ่งสมอง แบ่งความเก่งของมันมาสักครึ่ง เผื่อผมจะได้ฉลาดๆ อย่างมันบ้าง

   ผ่านไปทั้งวันผมเริ่มผ่อนคลายตัวเองและลดความกดดันน้อยลง ก็ปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามปกติ แค่ว่าจะพยายามลดและระมัดระวังในส่วนที่จะทำให้เกิดข้อสงสัยไม่ให้มันเกิดขึ้น เก็ทเองที่ก่อนหน้าจะดูเหมือนตั้งข้อสงสัยกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของผม เมื่อเห็นผมกลับมาคุยเล่นเหมือนเดิมก็ดูจะเลิกใส่ใจกับข้อข้องใจดังกล่าว แถมยังมาผลักหัว ยีหัวผมเล่นเหมือนเดิมอีกต่างหาก ทั้งที่เพิ่งบอกไปเมื่อเช้าว่าไม่ชอบ ไม่ฟังมั้งเลย!

   แล้วทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างปกติต่อไปอีกเป็นสัปดาห์ ผมยังมีคุยไลน์กับชัญญ่าเป็นครั้งคราวพร้อมกับบอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเก็ทไม่ได้เป็นไปอย่างที่เธอคิดหรือตั้งข้อสงสัย และพยายามหลอกถามข้อมูลของเกลเพิ่มเติม แต่ชัญญ่ามักจะรู้ทันเสมอ

   ผมกับเก็ทก็ยังคงพูดคุย ปรึกษา และเล่นกันตามปกติ กับเพื่อนคนอื่นๆ ก็เช่นกัน แม้จะยังแซวผมสองคนอยู่ แต่ก็ไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่าการแกล้งกันนั้น หลังเลิกเรียนก็แวะกินข้าวด้วยกันกับเพื่อนคนอื่นๆ ไม่ได้แยกไปไหนด้วยกันสองคน จากนั้นเก็ทก็ส่งผมที่หอ เป็นแบบนี้มาตลอด แต่วันนี้ต่างออกไปเมื่อเก็ทเอ่ยปากชวนผมให้ไปหาซื้อของเป็นเพื่อน ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็เป็นการชวนกันไปเดินซื้อของตามประสาเพื่อนปกติเนี่ยแหละ แต่ผมดันไปตบปากสัญญากับชัญญ่าไว้ว่าจะไม่ไปไหนมาไหนกับเก็ทสองต่อสองอีก

   “เย็นนี้ไปซื้อของเป็นเพื่อนหน่อยสิ” เก็ทพูดขึ้นด้วยเสียงเนิบๆ ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ หลังจากที่อาจารย์เลิกคลาสสักพัก และเพื่อนคนอื่นๆ ในห้องทยอยเดินออกจากห้องไปเกือบหมดแล้ว

   “ไปซื้ออะไรอ่ะ ที่เซ็นทรัลเหรอ ไม่ลองชวนพวกนั้นไปด้วยอ่ะ จะได้ไปหาอะไรกินกันด้วย” ผมเสนอความเห็นด้วยรอยยิ้ม

   “ซื้อของขวัญให้อา เขาเพิ่งกลับมาจากดูไบ ไม่ต้องชวนหรอก เก็ทอยู่ได้ไม่นาน ต้องรีบบ้าน”

   “งั้นเหรอ เอ่อ...” เอาดีอ่ะ ถ้าบังเอิญ โลกกลม พรหมลิขิต (เพื่ออะไร?) ถ้าบังเอิญเจอชัญญ่าเข้าอีก จะยิ่งเป็นเรื่อง ดีไม่ดีเธอจะเกลียดขี้หน้าผมไปเลยด้วย แต่เก็ทบอกว่าไปไม่นาน โลกคงไม่กลม โชคชะตาคงไม่โหดร้ายกับผมนักหรอกนะ!

   “ไม่สะดวกใจที่จะไปก็ไม่เป็นไร” เก็ทพูดนิ่งๆ ด้วยท่าทางเย็นชา ก่อนจะเดินผ่านหน้าผมไปยังประตูห้อง ทำให้ผมต้องรีบคว้าแขนเอาไว้ก่อน เพราะถ้าให้เลือก ยังไงผมก็ไม่อยากให้เก็ทโกรธหรือผิดใจกับผมเหมือนกัน สำหรับผมแล้วยิ่งเราสนิทกับใครมากเท่าไร เรายิ่งต้องแคร์คนๆ นั้นให้มากขึ้น ที่ผ่านมาผมก็ได้เก็ทเนี่ยแหละที่คอยเป็นเพื่อน คอยให้คำปรึกษา และอยู่เคียงข้างผมตลอด ทำให้ผมก้าวผ่านอะไรมาได้ตั้งหลายอย่าง แล้วแค่ไปเดินเลือกซื้อของเป็นเพื่อนผมจะไม่สามารถทำให้มันได้เลยเหรอ

   “เดี๋ยวดิ! ยังไม่ได้พูดอะไรเลย ใจร้อนแท้ล่ะ ไม่สมกับเป็นเก็ทเลยนะเนี่ย” ผมยึดแขนเก็ทไว้ก่อนจะรีบก้าวกึ่งกระโดดมายืนเผชิญหน้ากับเก็ทอีกครั้ง ก่อนจะส่งยิ้มล้อเลียน

   “ก็เห็นทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนลำบากใจอยู่แบบนั้น” เก็ทก้มมองหน้าผมนิ่งๆ (แสดงว่าผมเตี้ยสินะ)

   “เปล่าซะหน่อย ไปก็ไปดิ”

   “โอ้ย! ผัวเมียคู่นี้จะอื่นอี๋อ๋อกันอีกนานไหม พวกกูหิว เมื่อย รอนานแล้วด้วย!” เสียงไวน์ที่เดินหน้ามุ่ยกลับมาดังขึ้นขัดจังหวะที่เก็ทกำลังจะพูดจึงทำให้เก็ทเงียบไป เพราะท่าทางของคนมาตามนี่สิ จะเขมือบหัวของผมสองคนได้อยู่แล้ว ผมกับเก็ทจึงรีบเดินตามไวน์ออกไปทันที ทั้งที่เก็ทไปเจ้าของรถแท้ๆ แต่ยังต้องตามใจผู้อาศัยอย่างพวกผมอีก

   เดินตามไวน์ออกมาถึงลานจอดรถก็เจอทาร์ตยืนรออยู่ด้วย มันส่งยิ้มกว้างพร้อมเหล็กดัดฟันให้ทันทีที่เห็นผมเดินมา ทำให้ผมยิ้มเจือหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นภาพนั้น ก่อนที่มันจะไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบของผมอย่างกับไม่ได้เจอกันมาเป็นปีๆ ผมเองก็ถามๆ มันกลับบ้างแต่ไม่เยอะเท่ามันหรอก พักนี้ไม่ค่อยได้เจอมันเท่าไร มันบอกว่าอาจารย์นัดเรียนเมคอัพคลาสหลายวิชาเนื่องจากสอนไม่ทันตามเนื้อหาที่วางไว้ ปีหนึ่งก็อย่างนี้แหละครับ วิชาพื้นฐานเนื้อหาค่อนข้างเยอะเพราะมันครอบคลุมเนื้อหาช่วงมัธยมมาด้วย เลยทำให้ช่วงเวลาว่างๆ ที่มันมีกับเวลาที่ผมว่างนั้นไม่ค่อยตรงกัน แต่มันก็ยังคงเหมือนเดิมนะ ถึงไม่เจอแต่มันก็ยังโทรมา ไม่ก็คุยกันในไลน์ และสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยก็คือรอยยิ้มสดใสนั้นที่ไม่ว่าจะเห็นกี่ครั้งก็อดยิ้มตามไม่ได้

   ปฎิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าผมเองก็เริ่มรู้สึกดีและรู้สึกพิเศษกับทาร์ตแล้ว ทาร์ตกลายเป็นคนที่คุยโทรศัพท์กับผมทุกคืนก่อนนอน เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผมไปแล้ว และมันก็ทำให้ผมคิดถึงปาร์คน้อยลง ถ้าไม่นับเรื่องที่ผมกำลังตามสืบอยู่ รวมทั้งทำให้หัวใจของผม... กลับมาทำงานได้อีกครั้ง

   หลังจากที่ส่งไวน์ โดนัทและทาร์ตที่ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างๆ คอนโดฯ โดนัทเรียบร้อยแล้ว เก็ทกับผมก็มุ่งหน้าไปที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดังที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยเท่าไรนักทันที ก่อนออกมา ทาร์ตมีท่าทีเหมือนจะตามมาด้วย แต่ผมก็ต้องห้ามไว้ บอกไว้วันหลังค่อยไปด้วยกัน อีกอย่างเก็ทบอกว่าต้องรีบทำเวลาหน่อยเพราะที่บ้านนัดคุณอามาทานข้าวไว้ตอนสองทุ่มครึ่ง นี่ก็ปาเข้าไปเกือบหกโมงเย็นแล้ว แถมในเวลาเลิกงานแบบนี้รถก็ยังติดแทบจะบ้าอีกต่างหาก

   “ฟร๊องก์...” จู่ๆ เก็ทก็เรียกชื่อผมขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ แต่พอได้ยินมันกลับทำให้ผมขนลุกอย่างบอกไม่ถูก

   “ห้ะ... หื้ม?” ผมเสมองหน้าด้านข้างของเก็ทที่กำลังขับรถอยู่ด้วยความประหม่า บรรยากาศรอบตัวผมดูอึดอัดและกดดันแปลกๆ แปลกพอๆ กับน้ำเสียงนั้น

   “หมู่นี้ฟร๊องก์ดูแปลกๆ ไปนะ มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า” เมื่อเก็ทถามคำถามนี้ออกมาพร้อมกับความเย็นของเครื่องปรับอากาศภายในรถที่มากระทบผิวกายผมยิ่งทำให้ผมขนลุกซู่มากขึ้น

   “แปลก? แปลกยังไง ฟร๊องก์ก็ปกติดี” ผมทำเป็นตอบแบบติดตลก หวังว่าจะช่วยดึงบรรยากาศให้ดูผ่อนคลายมากขึ้นกว่านี้ ไอ้การจราจรบ้าคลั่งในกรุงเทพฯ นี้ก็ช่างติดเหลือเกิน ยิ่งทำให้ผมต้องเผชิญกับบรรยากาศกดดันแบบนี้ไปอีกนาน ผมต้องทนไปอีกแค่ไหนกว่าจะไปถึงห้างเนี่ย!

   “ก็เหมือนฟร๊องก์พยายามจะห่างๆ กับเก็ท ไม่ค่อยเล่นหรือคุยอะไรเหมือนเดิม คำพูดของฟร๊องก์มันดูเป็นการระวังคำพูดมากขึ้น และถ้าเลี่ยงจะอยู่กับเก็ทได้ฟร๊องก์ก็จะเลี่ยง อย่างเมื่อเย็นก็มีท่าทางเหมือนเป็นกังวล ไม่ค่อยอยากจะมาด้วย” เก็ทพูดโดยไม่ได้หันมามองผม ไม่แปลกที่เก็ทจะรู้สึกได้ เก็ทเป็นคนฉลาดย่อมเห็นความเปลี่ยนแปลงไปของผมอยู่แล้ว โดยเฉพาะบางครั้งที่ผมแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้ เก็ทรู้สึกได้และยังรู้สึกมาตลอด อาจจะตั้งแต่แรกด้วยซ้ำว่าผมที่ผมมีท่าทีแปลกๆ ออกไป แค่ก่อนหน้าเก็ทเลือกจะไม่พูดเท่านั้นเอง

   “กะ... เก็ท... คิดมากไปเปล่า ฟร๊องก์ยังเป็นเหมือนเดิมเนี่ยล่ะ คิดมาก!”

   “มีอะไรก็บอกกันตรงๆ ไม่สบายใจหรือกังวลเรื่องอะไร ไม่ไว้ใจกันแล้วรึไง”

   “เห้ย! ไม่ใช่แบบนั้น ฟร๊องก์ไม่ได้ไม่ไว้ใจ ที่ไม่ได้บอกอะไร ก็เพราะมันไม่มีอะไรจริงๆ ไง ฟร๊องก์ก็เป็นของฟร๊องก์แบบนี้แหละ เก็ทนั่นล่ะคิดมากไปเองเปล่า” ผมรีบปฏิเสธทันควัน พร้อมกับฝืนยิ้มตอบกลับไปให้ดูว่าผมไม่ได้มีอะไรปิดบัง และไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ

   “ถ้างั้นเดี๋ยวซื้อของเสร็จไปกินข้าวกับที่บ้านเก็ทนะ พ่อกับแม่เก็ทอยากเจอฟร๊องก์อยู่” เก็ทว่าพร้อมละสายตาจากถนนเบื้องหน้ามามองหน้าผมแทน ยิ่งทำให้ผมรู้สึกกดดันมากขึ้นไปอีก

   “แต่...”

   “ถ้าไม่มีอะไร ก็ไม่เห็นต้องกังวลเลย เก็ทเคยพูดถึงฟร๊องก์ให้พ่อกับแม่ฟัง บอกว่าฟร๊องก์เป็นเพื่อนสนิทของเก็ทที่มอก็ไปกับเก็ทในฐานะเพื่อนสนิทไง” เก็ทว่าด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย ก่อนที่มือข้างหนึ่งจะปล่อยออกจากพวงมาลัยมาวางไว้บนหัวของผมแทน แต่แทนที่จะรู้สึกดีกับรอยยิ้มและสัมผัสนั้น ผมกลับรู้สึกว่าคอแห้งผากยากที่จะบอกปฏิเสธออกไปมากกว่า รอยยิ้มที่แสนกดดัน

   ผมไม่ได้ตอบอะไร ไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็ยังไม่ได้ตอบตกลงเช่นกัน เพราะยังไม่รู้ด้วยว่าจะหาข้ออ้างอะไรมาบอกดี ถ้าโกหกไม่เนียนมีหวังโดนเก็ทจับได้แน่ๆ จะให้อ้างว่าต้องรีบกลับ แล้วจะรีบกลับไปทำอะไรล่ะ? การบ้านเหรอ ก็ดูตลกไป เรียนสาขาเดียวกัน เลือกเรียนวิชาเดียวกัน แต่ดันมีการบ้านไม่เหมือนกัน คนหนึ่งมีการบ้าน อีกคนไม่มีก็ดูเป็นข้ออ้างที่ปัญญาอ่อนไปหน่อย
 
   มาถึงห้างที่เป็นที่หมาย ระหว่างที่เดินช่วยเก็ทหาของขวัญอยู่นั้น ในหัวผมก็ยังคงคิดหาข้ออ้าง หาเหตุผลที่จะมาบอกปฏิเสธการไปร่วมโต๊ะอาหารกับคุณอาและครอบครัวของเก็ทไปด้วย ตัวผมเองก็ไม่ได้อยากไปอยู่แล้วด้วย ถึงไม่มีเรื่องของชัญญ่าเข้ามาเกี่ยว มันดูยิ่งน่ากดดันมากกว่า ยิ่งมีเรื่องชัญญ่ามาด้วยนั้นยิ่งทำให้เป็นเรื่องที่น่าปวดหัวมากขึ้นไปอีก

   เราสองคนเดินหา เดินเลือกของขวัญอยู่สักพัก เก็ทก็ตัดสินใจซื้อรูปแขวนผนักขนาดใหญ่พอสมควร ที่เป็นลายปลาคาร์ฟญี่ปุ่นแหวกว่ายรายล้อมดอกบัวที่มีลายเส้นละเอียดอ่อนช้อย แน่นอนว่าแพงมากด้วยเช่นกัน ก่อนที่จะไปซื้อเทียนหอมยี่ห้อดังจากอังกฤษอย่าง Jo Malone เป็นของขวัญอีกสามกลิ่น หน้าที่ที่ผมมาเป็นเพื่อนมันในวันนี้ไม่ใช่มาช่วยเลือกรูปแต่อย่างใด แต่มาเป็นผู้ดมกลิ่น (เหมือนหมาเลยเนอะ) เพื่อเลือกกลิ่นเทียนหอมให้เหมาะกับคุณอาของมันอีกต่างหาก โดยมันบอกให้ผมเลือกจากภาพที่มันซื้อมา ถ้าเป็นผมนั่งดูภาพนั้น กลิ่นไหนจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายมากที่สุด ผมก็เลือกไปตามที่ผมถูกใจ ซึ่งก็ไม่รู้จะถูกใจคุณอาของมันหรือเปล่า หลังจากเลือกได้ทั้งสามกลิ่นก็เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจหาซื้อของขวัญแล้ว ถึงเวลาที่ผมจะต้องหาทางปฏิเสธมื้ออาหารดังกล่าวแล้ว

   “เก็ท ฟร๊องก์ว่าวันนี้ฟร๊องก์ไม่ไปบ้านเก็ทดีกว่านะ วันนี้อาของเก็ทกลับมา มันเป็นเวลาของครอบครัว ฟร๊องก์เป็นคนนอก ให้ไปด้วยมันคงไม่เหมาะ เอาไว้โอกาสอื่นดีกว่านะ” ผมพูดขึ้นขณะที่กำลังเดินตามเก็ทออกไปที่ลานจอดรถพร้อมด้วยพนักงานที่ยกกรอบรูปที่ห่อมาเป็นอย่างดีและสวยงาม

   “ไม่เป็นไรหรอก เก็ทแค่อยากให้ฟร๊องก์ไปเจอครอบครัวเก็ทบ้าง”

   “แต่... ไว้วันอื่นดีกว่านะ เก็ทไม่ลองชวนชัญญ่าดูล่ะ ชวนญ่าไปน่าจะเหมาะกว่านะ” ต้องชวนคนที่เป็นแฟนไปสิถึงจะถูกและเหมาะสมมากกว่าการให้เพื่อนไปร่วมโต๊ะอาหารในมื้อสำคัญแบบนี้

   “...” เก็ทไม่พูดอะไรต่อ

   “เดี๋ยวฟร๊องก์กลับเองก็ได้ เก็ทรีบไปเถอะ ใกล้ถึงเวลาแล้ว เดี๋ยวจะสายเอา”

   “เดี๋ยวไปส่ง” เก็ทบอกผมด้วยน้ำเสียงเย็นชา เมื่อเดินมาถึงรถแล้วจัดการให้พนักงานวางรูปดังกล่าวไว้ในรถ

   “เห้ย! ไม่เป็นไร ใกล้ๆ แค่นี้เอง เก็ทรีบไปเถอะ ไม่ต้องห่วง” ผมตบต้นแขนของเก็ทเบาๆ สองทีก่อนจะเปิดประตูรถ “ฟร๊องก์วางไว้ตรงนี้นะ” แล้ววางถุงเทียนหอมที่ห่อเป็นของขวัญอย่างเรียบหรูตามสไตล์แบรนด์ไว้ที่เบาะหน้าข้างคนขับ

   “ไปนะ ขับรถดีๆ” ผมโบกมือให้เก็ทพร้อมด้วยรอยยิ้ม เห็นเก็ทยิ้มตอบเล็กน้อยก่อนจะขึ้นรถไป ผมถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอกทันทีที่แยกออกมาจากเก็ท นึกว่าจะไม่รอดแล้วต้องมาแก้ปัญหาอีกเรื่องซะแล้ว ถ้าเกิดผมไปจริงๆ แล้วเจอชัญญ่าซึ่งมีโอกาสที่จะอยู่ที่นั้นสูงมากขึ้นมา ผมไม่อยากจะคิดต่อเลยว่าจะเป็นอย่างไร


à suivre...


มาต่อแล้วฮะ หายไปหลายวัน ติดธุระนั่นนี่เลยไม่มีเวลามาลงเลย

เท้าความไปถึงเรื่องของชัญญ่าก่อน จริงๆ ก่อนหน้าจะมีแทรกอยู่บ้างเล็กน้อยว่าฟร๊องก์กับชัญญ่าติดต่อกันมาตลอด หลังจากที่เข้าใจผิดในครั้งแรก
ส่วนที่ตัวชัญญ่ากลับเข้ามามีบทบาทอีกครั้ง โดยตัวบท อันนี้เป็นความผิดพลาดของตัวเราเองที่แต่งออกมาแบบนั้น
และทำให้เนื้อหา รวมทั้งตัวของชัญญ่าดูแปลกๆ ไป น้อมรับความผิดพลาดฮะ  :mew2:
แต่การเข้ามาของชัญญ่า เราตั้งใจวางไว้ให้มันดูน่าสงสัยหน่อย ตั้งใจให้เดาทางไม่ถูก
ส่วนตัวฟร๊องก์ ที่พูดไปกับชัญญ่า ก็นั่นล่ะ ความคิดไม่รอบคอบของเราด้วยส่วนหนึ่ง 555+

ขอบคุณทุกคอมเม้นต์เลยนะฮะ เราตั้งใจอ่านทุกอัน
และจะนำมาปรับปรุงเนื้อหาหลังจากนี้เรื่อยๆ

จนกว่าจะพบกันใหม่ จุ๊บ  :mew1:

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
เกิดเป็นคน อย่าเหมือนควาย กลายพันธุ์ง่าย
ไม่ว่าหญิง หรือว่าชาย ขายศักด์ศรี
ต้องทะนง คงคุณค่า ยังว่าดี
อย่าหลงคน สันดานผี มีเล่ห์กล

สวดแผ่เมตตา อุทิศให้มันไปที่ชอบๆด้วยเถิด#อิผีปาร์ค

หุหุ

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
มีผู้ตามหลายคนเชียวแหมๆ

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
ส่วนตอนนี้กลายเป็นเก็ทแปลกๆ
จะมาวอแว งอแงอะไรกับเพื่อนอ่ะ?

ถ้าเอ็งทำตัวงี้แฟนไม่มาแหกอกฟร๊องก์สิแปลก

ส่วนฟร๊องก์นี่ก็จะอมพะนำทำไม นั่นเพื่อนนะเว่ย ถ้าเพื่อนมีแนวโน้วว่าจะมีปัญหากับแฟนเพราะใช้เวลากับเรามา
ทางแก้คือบอกเพื่อนไปตรงๆ ไม่ใช่ทำตัวงุบงิบมีอะไรซ่อนแอบ


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด