นทีต้นน้ำ ตอนที่ 25
ไม่อยากเป็นแฟน ช้อนในมือต้นน้ำสั่นระริก เขวี้ยงเลยได้ไหม? ต้นน้ำพยายามยกมุมปากขึ้นอย่างยากลำบาก หน้ามันดูตึงๆ “ทำไมดิวถึงถามเราอย่างนี้ล่ะ?” “เพราะเราคิดว่านทีกับต้นน้ำสนิทกัน แต่เราไม่แน่ใจว่าสนิทกันแบบไหน ถ้าต้นน้ำกับนทีไม่ได้คบกัน...แบบนั้น เราก็อยากจะเป็นคนดูแลนทีเอง”
“เราว่าดิวไปคุยกับนทีเองจะดีกว่า อำนาจการตัดสินใจไม่ได้อยู่ที่เรา มันเป็นเรื่องของนทีกับดิว เราคงตัดสินใจแทนใครไม่ได้” ต้นน้ำวางช้อนส้อมลง ใช้มือข้างหนึ่งเท้าที่คาง ข้างที่มีหัวใจดวงหนึ่งวาดไว้ตรงฝ่ามือ
“เรายังไม่เคยบอกนทีตรงๆ แต่ก็ว่าจะคุยแหละ เราไม่ได้หวังว่านทีจะตอบรับความรู้สึกเราหรอก เราแค่อยากยืนข้างๆ อยากดูแลในวันที่นทีไม่มีใครเท่านั้นเอง” ดิวก้มหน้าก้มตาพูดอธิบายความรู้สึกของตนเอง
ต้นน้ำได้แต่ภาวนาให้ดิวเงยหน้าขึ้นมา ซึ่งไม่มีเสียงตอบรับจากพระเจ้า ดิวยังคงมีก้มหน้าก้มตาพูดด้วยท่าทางลำบากใจ ถ้าลำบากใจที่จะพูดออกมามากนัก ก็หุบปากไปเลยก็ได้นะ
ต้นน้ำปล่อยมือที่เท้าคางออกไปเชยคางดิวให้เงยหน้า “ดิว เงยหน้าหน่อย”
พอดวงตาใสแจ๋วมองมาที่ตนแล้ว ต้นน้ำก็ใช้มือ ‘ข้างที่มีหัวใจวาดไว้’ เกาที่หลังหูเบา ๆ “เราว่าดิวกำลังเข้าใจอะไรผิดๆ” เขาย้ายมือกลับมาเท้าคางใหม่อีกครั้ง “เราชอบนทีนะ”
ดิว “......”
“เราไม่ปฏิเสธหรอกว่าเราดูแลนทีไม่ดีเท่าไร ดิวอาจจะดูแลนทีได้ดีกว่าเราก็ได้”
“แล้วทำไมดูเหมือน...น้ำไม่ค่อยใส่ใจนทีเท่าไร แล้วเมื่อกี้...ยังพูดว่า นทีเป็นคนนิสัยแบบนั้น” มันเป็นคำพูดในทางลบไม่ใช่เหรอ? ดิวเริ่มงงว่าสองคนนี้รักกันแบบไหน?
“ทำไมล่ะ? แล้วต้องแสดงออกยังไง? ต้องชื่นชมตลอดเวลาเหรอ? เราไม่รู้ว่าความรักของดิวเป็นยังไง แต่ความรักของเราเป็นแบบนี้ คนเราร้อยพ่อพันแม่ ความรักก็มีร้อยแปดพันแบบ จะให้เหมือนกันทุกคนก็น่าเบื่อแย่สิ”
ต้นน้ำอธิบายไป สะบัดมือไปจนเมื่อย ไม่รู้ว่ารูปหัวใจตรงฝ่ามือจะเข้าตาอีกฝ่ายบ้างหรือยัง? แต่เพื่อความแน่ใจ...เขาจึงสะบัดต่อ ภาษากายของเขาวิบัติมาก ตรงกับถ้อยคำที่สื่อออกไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าดิวจะต้องเห็น ‘หัวใจ’ บนฝ่ามือเขาให้ได้ “แล้วมนุษย์เรานี่ก็แปลกนะ ชอบให้ในสิ่งตัวเองทำได้ ให้ในสิ่งที่ตัวเองให้ได้ แต่ไม่เคยถามอีกฝ่ายเลยว่าเขาต้องการหรือเปล่า? ดิวลองไปถามกับนทีเองก็แล้วกัน ว่านทีอยากให้ดิวดูแลไหม? อยากให้ดิวยืนข้างๆ เวลาที่ไม่มีใคร หรืออยากยืนอยู่คนเดียวมากกว่า”
หากเขาพูดมากกว่านี้เกรงว่าจะเป็นการชี้โพรงให้โจรมาขโมย ‘ของ’ ของเขาเสียเปล่าๆ ต้นน้ำเลื่อนเก้าอี้ออก “เราไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึงนะ ดิวจ่ายให้ด้วย เราไม่ได้เอากระเป๋าเงินลงมา” เงินฟูเต็มกระเป๋าแต่เราจะไม่จ่าย มีใครว่าอะไรไหม?
ต้นน้ำใช้น้ำลูบหน้าคลายความร้อนในหัว ร้อนมาก...ร้อนรุ่มจนแทบจะเป็นบ้า ดิวจริงใจกับความรู้สึกตัวเองอย่างที่เขาทำไม่ได้ อยากจะเกลียด...แต่ทำไม่ลง ที่สำคัญ...ดิวรักนทีอย่างเปิดเผยจนเขารู้สึกพ่ายแพ้
เขาอิจฉาดิว!
เขาหึงนที!!!
ความรู้สึกหึงหวงอัดแน่นจนแทบจะระเบิดเผาผลาญทุกอย่างเป็นจุล ต้นน้ำวักน้ำล้างหน้าอีกครั้ง รวมถึง...รองพื้นที่คอด้วย
“ร้อนเนอะ” ต้นน้ำกระพือเสื้อให้ลมเข้ามาในเสื้อขณะที่กลับมาที่โต๊ะ มือขาวแหวกคอเสื้อด้านหลังให้กว้างขึ้นอีก “กลับกันเถอะ” ร่างสูงโปร่งลุกขึ้นยืนแทบจะเกินความสูง เพราะคอยืดมาก ยังจะไม่เห็นอีกไหม? ให้มันรู้กันไปสิ!
ดิวถูกต้นน้ำประคองมาที่รถด้วยสีหน้าบอกไม่ถูก
พอขึ้นรถได้...รถก็ออกตัวเร็วตามแรงอารมณ์ของคนขับ เมื่อวานนอนเป็นลูกนกกระจอก...ชีวิตช่างสโลไลฟ์ แต่มาวันนี้ชีวิตเขามีแต่ fast & furious เท่านั้น ตีนจิกพื้น...หลังติดเบาะกันไป
องค์กรลับสุดๆ (6)__________________________________
19.42 น.Riw : เมย์เดย์ เมย์เดย์
Riw : ต้นน้ำชวนกินเหล้าๆ
Riw : เอายังไงๆ
The Khing : ไม่ว่างๆ
The khing : วันนี้จะแกะของขวัญ
Nott : ป้ากุมาไง ไม่อยากออกตอนกลางคืน
Uangfah : กุเข้าบ้านแล้วอ่า
MyNameIsName : ถามเมียแป๊บ
.
.
MyNameIsName : เมียว่าได้จ้า แต่เมียไปด้วย
Super Men : ไม่อยาก แต่ดูทรงแล้วต้องไป
Super Men : นทียังไม่เสรด เจอกันที่ไหน กี่โมง
Riw : นัดกันสามทุ่มที่บาร์เบลอ
Super Men : ไอ้น้ำมันเป็นไรเปล่าวะ?
Riw : ไม่รู้ เดี๋ยวค่อยถาม
Super Men : ดีๆ นะมึง กูกลัว
Riw : มันทะเลาะกันป่าวล่ะ
Super Men : ไม่นะ โทรศํพท์นทีอยู่กับกู ไอ้น้ำไลน์มาถามว่าจะกินข้าวไหม? มันจะซื้อข้าวคลุกกะปิมาฝาก แค่นั้น
Uangfah : มีความผัวเมีย
The Khing : งั้นกุไปด้วย
The khing : ไม่แกะแล้วของขวัญ
Nott : ตาม
Uangfah : @MyNameIsName…อิเนม มารับกุด้วย ให้แป้งไป ผญ คนเดียว กุเป็นห่วง
MyNameIsName : @uangfah…ค่ะ กุเรียกเมียแป๊บ
Uangfah : เรียกมาทำไมคะ
MyNameIsName : เรียกมาดูคนตอแหลตรงนี้ค่ะ
Uangfah : งั้นเข้ามาใกล้ๆ ค่ะ มึงจะได้เห็นตีนคนตอแหลชัดๆ
นทีออกมาจากสตูดิโอก็ต้องงงเมื่อเห็นเม่นนั่งรออยู่ด้วยชุดเต็มยศ อาบน้ำใหม่กลิ่นหอมฉุย เม่นโยนกระเป๋าที่นทีฝากไว้คืนเจ้าของ แล้วยังยื่นเสื้อให้อีกตัวหนึ่ง “ไปมึง” “ไปไหน?”
“ไปบาร์เบลอ”
“เฮ้ย เดี๋ยวกูกลับบ้าน”
“กลับทำไม? ไอ้น้ำก็อยู่บาร์เบลอ ไปกินข้าวคลุกกะปิที่บาร์เบลอโน่น”
นทีเดินตามเม่นมาขึ้นรถ ถอดเสื้อนักศึกษาที่ใส่มาออก เปลี่ยนเป็นเสื้อที่เม่นยื่นให้แทน เม่นเหลือบมองแผ่นอกที่เดิมมีรอยแดงประปราย แต่ทีมงานลงรองพื้นกลบไว้อย่างแนบเนียน
“เป็นไง?”
“อะไร?”
“มึง...กับไอ้น้ำ คบกันแล้วเหรอ?”
“หื้อ” นทีส่ายหน้า “ยัง”
“แล้วนั่นมันรอยอะไร?”
นที “......” ไม่มีเสียงตอบรับ ใบหน้าหล่อเหลาเมินไปนอกหน้าต่าง
“แล้วเป็นไงวะ? ดีป่ะ?” เม่นถามด้วยน้ำเสียงครึกครื้นสุดๆ
นทีเงียบไปนานจนเม่นแอบเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ความอมพะนำของเพื่อนคิดว่าจะไม่ตอบเสียแล้ว สักพักเสียงทุ้มก็ดังขึ้น “โคตรดี” นทีใช้ข้อศอกเท้ากับกระจกก่อนหันกลับมาย้ำอีกครั้งด้วยรอยยิ้มพราวไปทั้งหน้าทั้งตา “ดีมากกกกก”
พอได้รับคำตอบ เม่นก็เบ้ปากหนักขึ้นไปอีก รู้...ว่าความสุขมันล้นทะลัก แต่ทำแบบนี้มันเหมือน...คนขี้อวด!!!
ความขี้อวดของคนบางคนก็ต้องหยุดชะงักลง เพราะโดนเบรกอย่างแรงเมื่อมาถึงร้านอาหารกึ่งผับแถวมหา’ลัยที่นัดกันไว้ นทีเห็นคนบนโซฟาตัวยาวนั่งหันหลังให้ก็เดินไปลูบศีรษะเบาๆ แต่ต้นน้ำกลับเบี่ยงหลบพร้อมกับพยักเพยิดไล่ให้นทีไปหาที่นั่ง ริวที่นั่งคู่กับต้นน้ำเขยิบจะลุกให้นทีเข้ามานั่งกับต้นน้ำ แต่มือขาวกลับคว้ารั้งเขาไว้ให้อยู่ก่อน ริวกลืนน้ำลายเอื๊อกอย่างคนที่รู้ชะตากรรมของตัวเองดี ไม่ว่าจะเรียกว่ากรรมการห้ามมวยหรือไม้กันหมา...ตำแหน่งไหนเขาก็ไม่ต้องการทั้งนั้น
นทีเลิกคิ้วสูง สาดใบหน้าหล่อเหลาที่มีคำว่า ‘ว๊อทททท...ว๊อท ดา ฟ้าค?’ แปะอยู่บนหน้าผากไปยังเพื่อนที่รายรอบตัว ทุกคนพากันส่ายหน้าแทนคำตอบ
“เกิดอะไรขึ้นวะ?” นทีถามริวทันทีที่นั่งลง
“กูก็ไม่รู้ อยู่ๆ มันก็ชวนมากินเหล้า กูก็คิดว่ามันอาจจะมีเรื่องเครียดๆ เลยมา”
“มันโทรชวนมึงกี่โมง?”
“ประมาณทุ่มครึ่งได้”
นทีนิ่งคิด...เป็นเวลาที่น่าจะไปส่งดิวเสร็จพอดี “แล้วกินไปเยอะแล้วเหรอ?”
“ก็...” ริวมองขวดเหล้าที่พร่องไป “พอกรึ่มๆ มั้ง”
ต้นน้ำคุยกับทุกคนอย่างสนุกสนาน มีคนเดียวที่ถูกเมิน ก็คือคนขี้อวดเมื่อสักครู่นี้
ขิงเห็นอาการผิดปกติของเพื่อนก็เริ่มสะกิดเอื้องฟ้า “กุสวดมนต์แล้วนะ” อยู่แกะของขวัญก็ดีอยู่แล้ว กูไม่น่าเสือกเลย
“มึงจะสวดบทอะไร?” เอื้องฟ้าถาม
“ชินบัญชร”
“โอเค งั้นกูสวดพาหุงฯ ช่วยๆ กัน” เอื้องฟ้าเหลือบมองแป้งและเนมที่กำลังคุยเรื่องเล่นกับต้นปาล์มและน็อตอย่างออกรสออกชาติอยู่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ ฝั่งหนึ่งก็ชื่นมื่นเหลือเกิน อีกฝั่งหนึ่งก็สุดแสนจะลุ้นระทึกใจ เธอเลือกฝั่งผิดหรือเปล่านี่?
ต้นน้ำเหล่ตามองนทีที่กำลังกินข้าวไปคุยกับเพื่อนไปพลางคว้าแก้วเหล้าขึ้นมาจิบอีกสักรอบ เขาตั้งใจจะชวนริวมาหาอะไรกินนิดหน่อยแก้เซ็ง แต่ไม่คิดเลยว่าเพื่อนจะฟอร์มทีมตัวจริงลงสนามครบเซ็ตแบบนี้ ทั้งกลุ่มเขาที่มากันครบ...และยังมีกลุ่มนทีแถมมาด้วยอีกทั้งกลุ่ม ตั้งแต่เห็นน็อตกับปาล์มเดินเข้ามา เขาก็พอจะเดาได้ว่านทีกับเม่นต้องตามมาด้วยแน่ เหนื่อยใจ...หลบยังไงก็หลบไม่พ้น
นทีทยอยส่งสายตา ส่งรอยยิ้ม ไปให้คนที่นั่งอีกฝั่งของริว แต่เหมือนอีกฝ่ายสายรับสัญญาณเสีย ไม่ว่าเขาจะส่งสัญญาณอะไรไปให้ก็เมินทิ้งเสียหมด ต้นน้ำพูดคุยกับทุกคน ยกเว้น...คนพิเศษ
หัวเน่าเป็นพิเศษ!
เมื่อส่งสัญญาณให้ต้นน้ำไม่ได้ นทีก็ส่งสัญญาณให้ริวเป็นคนหลบไปแทน ริวลุกพรวดโดยไม่รีรอ เขารอจังหวะนี้อยู่แล้ว
ต้นน้ำเห็นนทีเขยิบเข้ามาใกล้จากทางหางตา ก็เมินไปมองทางอื่น
“งอนอะไรเนี่ย?”
“ไม่ได้งอน ทำไมเราต้องงอนอะไรนายด้วยอ่ะ?” ต้นน้ำหันมาตอบก็จริง แต่ไม่มองหน้าคนถามสักนิด
“แล้วทำไมไม่คุยกัน?”
“ก็คุย นี่ไม่เรียกว่าคุย?”
นที “......” ไม่มองหน้าคน...แต่มองแก้ว คุยกับแก้วน้ำเหรอ?
“กุว่างอน” ขิงกระซิบเอื้องฟ้า
“กุก็ว่างั้น เราเมากันไหมมึง? ชิงเมาก่อน เกิดอะไรขึ้นก็ไม่ต้องรับรู้แล้ว”
“กูก็อยากทำแบบนั้น แต่ถ้ามันทะเลาะกันอีก เราจะช่วยแก้ไขอะไรไม่ทันนะโว้ย มึงกับกูได้ไปปรึกษาจิตแพทย์แน่”
“เออ งั้นฟังต่อ ดูทิศทางลมก่อน”
“แล้วเป็นอะไร?” นทีเริ่มต้นบทสนทนาใหม่ พยายามทำตัวปกติ ใจเย็นอย่างที่สุด ตักกับข้าวเอาใจคนข้างตัว
“เป็นอะไรก็ได้ ที่ไม่ใช่เป็นแฟนกัน”
นทีถือช้อนค้าง กับข้าวที่ตักไว้หล่นแผละลงในจาน อีกครั้งที่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยคำถาม นี่เขากำลังถูกปฏิเสธอยู่ใช่ไหม?
ริวที่กลับมานั่งแทนที่นทีได้ยินที่ต้นน้ำตอบนทีพอดีชะงักก้นค้างกลางอากาศ เอาล่ะเว้ย! กูเตรียมปวดหัวไว้เลย
เม่นที่นั่งถัดจากริวดึงให้ริวนั่งลงพลางกระซิบ “กูอยากถ่ายคลิปหน้าไอ้นทีไว้ฉิบหาย” หน้าหนุ่มหล่อสุดฮอตตอนโดนปฏิเสธนี่เหวอสุด ช็อคตาตั้งไปเลย
“กูว่าพวกมึงเตรียมตัวตายดีกว่า หน้ามันตอนนี้พร้อมบวกมาก”
เม่นเหลือบมองนทีอีกครั้ง เมื่อกี้นี้ยังเหวออยู่เลย แต่ตอนนี้เหมือนมีไอทะมึนบินวนอยู่รอบตัว “มึงคอยดูมันด้วยนะ อย่าให้มันลุกไปไหนคนเดียว ไม่งั้นมันอาจจะลากตีนกลับมาฝากพวกเราได้”
ริวกุมขมับ คว้าแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มย้อมใจ อยู่กับต้นน้ำก็หม่นหมองจนจะเป็นประสาท อยู่กับนทีก็อาจโดนตีนจนตายได้ ตอนที่อาม่าสอนให้เลือกคบเพื่อนก็น่าจะเชื่ออาม่าสักหน่อย
“ไอ้นที น้องโต๊ะโน้นขอเบอร์มึงแน่ะ” ต้นปาล์มที่เดินไปหาเสียงรอบร้านเพิ่งกลับมาตะโกนบอกเพราะนั่งคนละฝั่ง คนที่ควรได้ยิน...ก็ได้ยิน คนที่ไม่ควรได้ยิน...ก็ได้ยินเหมือนกัน
เม่นกุมขมับตามริว พลางยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มย้อมใจอย่างคนที่ยอมรับในชะตากรรมของตนเองแต่โดยดี
“หึ” ต้นน้ำส่งเสียงในลำคอ มองนทีด้วยหางตา
นทีตวัดสายตาปราดเดียว ต้นปาล์มหุบปากฉับ “โอเค กูไป...บอกน้องเอง ว่ามึงไม่ให้” เพื่อนอารมณ์ไม่ดีมาก ไม่ดีสุดๆ ไปเลย
“บอกน้องเขาไปด้วย ว่า...กู มี แฟน แล้ว”
“ใจเย็นนะเพื่อน กูจะไปจัดการให้มึงบัดเดี๋ยวนี้ ” ต้นปาล์มรับคำเสียงสั่น ไม่เข้าใจว่า...แค่ผู้หญิงขอเบอร์ ทำไมเพื่อนต้องเกี้ยวกราดเบอร์นี้ ต้นปาล์มค่อยๆ ยืดตัวขึ้นแล้วลุกหายไปอย่างรวดเร็วราวสายลม
ริวกับเม่นมองตามหลังร่างที่พุ่งปรู๊ดออกไปอย่างอิจฉา อยากลุกไปบอกให้จังเลย พวกเขาไม่ควรมานั่งอยู่ตรงนี้ ฉับพลันก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงช้อนกระแทกจานอย่างแรง หันกลับไปดูอีกทีก็เห็นต้นน้ำกับนทีจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมแพ้ใคร
“กลับไปคุยกันที่บ้านเถอะ” เป็นนทีที่พูดขึ้นก่อน
“ไม่ วันนี้ไม่กลับ จะนอนกับริว” ต้นน้ำตอบเสียงแข็ง เขาไม่อยากกลับไปกับนที อยากอยู่ห่างๆ อยากอยู่ไกลๆ
ริวเสียวสันหลังวาบ นอนอยู่ดีๆ ความซวยก็มาเคาะประตูถึงหน้าห้องนอน ไม่โดนตีนคนอื่นก็อาจจะโดนตีนเพื่อนตัวเอง โชคดีที่นทีไม่หันหลังกลับมาสนใจเขา
“กลับ!” เสียงทุ้มเยียบเย็นหากอารมณ์ภายในเริ่มคุกรุ่น
“ไม่!!”
สองคนยังเล่นเกมส์จ้องตากันอยู่ ในขณะที่คนอื่นในโต๊ะลุ้นใจหายใจคว่ำ ไม่กล้าสอดแทรกแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ
“อยากให้คนอื่นเขาลำบากใช่ป่ะ?”
“ใช่” ฤทธิ์แอลกอฮอล์และความอยากเอาชนะทำให้ต้นน้ำไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน เถียงตอบไปข้างๆ คูๆ โดยไม่สนใจความรู้สึกใคร
ช่วยถามเพื่อนด้วย จะตอบอะไรก็ถามเพื่อนด้วยว่าพร้อมลำบากกับมึงไหมน้ำ? ขิงอยากจะลุกจับคอเพื่อนเขย่าต้องมีผีบ้าสักตัวเข้าสิงต้นน้ำแน่ๆ ต้องเขย่าให้ผีตัวนั้นหลุดออกไป
นทีมองต้นน้ำด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก หัวร้อนจนถึงจุดเดือด มือใหญ่เอื้อมกุมใบหน้าเรียวโน้มเข้ามาใกล้ บดขยี้ริมฝีปากลงไปเต็มแรง
โกรธคนอื่นต้องต่อย โกรธคนที่รักต้องจูบหรือเปล่าวะ?
ว๊อทททท ดา ฟ้าคคคคคค!!! เพื่อนในโต๊ะช็อคไปแล้ว เอื้องฟ้าแทบจะใช้สองมือทึ้งผมตัวเอง ในขณะที่แป้งที่นั่งถัดจากเอื้องฟ้าใช้สองมือปิดปากร้องกรี๊ดเบาๆ เมื่อเห็นคู่จิ้นกลายเป็นคู่จริง
เนมมองนทีด้วยสายตาชื่นชม เวลาแป้งงอน...เขาจะยืมมุกนี้ไปใช้บ้าง นที...มายไอดอล!
“ทำเนียน เหมือนเรียนมา” เม่นพูดลอยๆ
นทีคลายริมฝีปาก แต่ยังไม่ยอมปล่อยมือที่ประคองดวงหน้าใส“หายโกรธหรือยัง?”
ต้นน้ำเม้มปาก นัยน์ตากลมใสมองนทีด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย จะบึ้งก็ไม่บึ้ง จะยิ้มก็ยิ้มไม่ออก อยากโกรธต่อมากๆ แต่จะทำยังไงดี? เมื่อกี้มันแบบ...แบบ...ฮือ ฮึบไว้ ต้นน้ำฮึบไว้...ฮึบๆ “......”
“ยังไม่หายเหรอ?” นทีทำท่าจะเข้ามาใหม่
“หายแล้ว”
“หายแล้วก็กลับบ้านเถอะ อยู่ตรงนี้อายคนอื่นเขานะ”
ต้นน้ำรู้สึกตัว ตากลมค่อยๆ เหลือบมองเพื่อนแต่ละคน เอื้องฟ้าเหมือนช็อคไปแล้วในขณะที่ขิงโบกมือพัลวัน “กูไม่เห็น กูไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น”
แป้งโบกมือไล่ความร้อนบนใบหน้าพลางบอกเนม “ชั้นร้อนจังเลยเธอ” เนมรีบกุลีกุจอพัดวีศรีภรรยาโดยไม่สบตาต้นน้ำ โชคดีที่ต้นปาล์มยังไปปฏิเสธสาวให้นทียังไม่กลับ
น็อต เม่น ริว นั่งยิ้มกริ่ม “กูเห็นทุกอย่าง มึงรีบกลับบ้านเลย ก่อนที่กุจะล้อ” ริวว่าพลางยักคิ้วให้
นทีล้วงกระเป๋าหยิบแบงค์พันสองใบส่งให้ริว “กุฝากจ่ายด้วย ไปละ”
พูดจบก็ลากคนที่เมินหน้าหนีเพื่อนเดินออกไป
ตลอดทางที่ขับรถกลับไม่มีใครพูดอะไร ปล่อยให้อารมณ์และความคิดจมดิ่งในความเงียบ แต่ทันทีที่ลงจากรถนทีก็กุมข้อมือต้นน้ำลากเข้าบ้าน ต้นน้ำอยากสะบัดมือหนีเป็นสาวน้อยเหมือนนางเอกในนิยายทว่าจนใจ พระเอกกุมข้อมือเขาแน่นเชียว นางเอกหนีไม่รอดยังไง...เขาก็ไม่รอดอย่างนั้น “คุยกันก่อน” นทีเปิดประเด็นเมื่อลากคนที่ยังไม่ยอมเปิดปากสักคำตั้งแต่ถูกจูบเข้ามาในห้อง
ต้นน้ำมองเมิน จะให้คุยอะไรล่ะ? ก็คนมันงี่เง่าน่ะ...เข้าใจไหม? ขอเวลากันบ้างสิ เดี๋ยวอีกสักพักสติก็กลับมาเองแหละ แต่ตอนนี้...มีแต่คนพาลเท่านั้นที่อยู่ในร่างเขา “ไม่คุย ไม่อยากคุย”
“เป็นอะไรอ่ะน้ำ? ถ้าน้ำไม่พูด เราก็ไม่รู้นะ แล้วเราจะช่วยแก้ปัญหาได้ยังไง?”
นทีไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น มีแต่เขาเท่านั้น...ที่มีปัญหา
นทีไม่ได้ทำอะไรผิด นทีไม่ได้ไปยุ่งกับใคร
นทีไม่ได้ชอบดิว ดิวชอบนทีฝ่ายเดียว ทั้งสองคนเป็นเพื่อนคณะเดียวกัน...ต้องมีเรื่องให้ติดต่อพูดคุยกัน
นทีหน้าตาดี นทีหล่อ นทีเป็นคนดัง ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องมีคนเข้าหา
ต้นน้ำเข้าใจดี!...แต่ช่วยเข้าใจเขาด้วยได้ไหมว่า...บางทีคนเราก็รู้ทุกอย่าง เข้าใจดีทุกอย่าง แต่ก็ต้องใข้เวลา...ถึงจะยอมรับได้ โดยเฉพาะ...ตอนที่ความรู้สึกของเขามันแกว่งราวลูกตุ้ม ช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจว่าจะเดินหน้าหรือหยุดอยู่ตรงนี้
“ไม่บอกได้ไหมล่ะ?” ต้นน้ำบอกเสียงแผ่ว มันต้องอายขนาดไหนที่จะบอกนทีว่า...เขาหึง! เสียอะไรก็เสียได้ แต่เสียหน้าไม่ได้!
“บอกได้ไหมล่ะ?” นทีทอดเสียงอ่อน “ดิวพูดอะไรหรือเปล่า?” นทีคาดเดาเรื่องจากช่วงเวลาที่ต้นน้ำโทรชวนริวออกไป
“ไม่นี่ ดิวไม่ได้พูดอะไร”
“งั้นเราโทรถามดิวเอง” นทีล้วงโทรศํพท์ออกมาตั้งท่าจะกด ทว่ามือขาวคว้าจับเอาไว้ก่อน
“อย่าโทรนะ ดิวไม่ได้พูดอะไรจริงๆ”
ตาคมหรี่มองอย่างคาดคั้น ทำเอาคนโกหกอยู่ไม่สุข
“ก็พูดนิดหน่อย” ต้นน้ำหลบสายตา แต่นทียังคงใช้สายตาคาดคั้นไม่หยุด คั้นอะไรนักหนา จะเหลวเป็นน้ำส้มแล้ว สุดท้ายเขาก็ต้องยอมพูด “ดิวบอกว่าชอบนาย”
“แล้วทำไมต้องโกรธ? เราไม่ได้ชอบดิวสักหน่อย”
นั่นสิ...ทำไมวะ?
ทำไม? ทำไม? ทำไม?
ก็รู้อยู่ว่าทำไม?...แต่มันตอบไม่ได้ไง เหมือนคำถามง่ายๆ เช่น สองบวกสองได้เท่าไร? แต่ห้ามตอบว่าสี่ พร้อมทั้งต้องยกเหตุผลที่ตอบแบบนั้นมาอธิบายให้ได้ด้วย
ทำไมถึงโกรธ?
ห้ามตอบว่า...หึง จงอธิบายเหตุผล!
เวรเอ๊ย! จะให้คนไม่มีเหตุผลมาอธิบายเหตุผล จะเอาที่ไหนมาอธิบายเล่า ที่ทำลงไปทั้งหมด...นั่นคือพาลล้วนๆ จ้า
“ก็...ไม่ได้โกรธนี่ ปล่อยให้มันผ่านไปได้ไหมล่ะ?”
“ไม่ได้ ถ้าไม่บอก...ก็ไม่ต้องนอนหรอก นายเพิ่งปฏิเสธเราไปนะ อย่างน้อย...เราควรได้รู้เหตุผลที่นายไม่เอาหรือเปล่า?” เสียงทุ้มเจือแววตัดพ้อคนคนฟังสำนึกผิดแทบไม่ทัน
ตาคู่สวยหลุบลง เสมองไปทางอื่นก่อนตอบตามตรง “เรา...หึง”
นทีอึ้งไปชั่วขณะ “หึง? ไม่ยอมเป็นแฟนเรา...แต่บอกว่าหึงเราเหรอ?” เดี๋ยวนะ...ไหนต้น ไหนปลาย ช่วยจับมาชนกันให้ดูหน่อยได้ไหม?
“อืม...ก็เราไม่อยากคบกับคนที่ทำให้เราหึงอ่ะ มัน...โคตรแย่” ความรู้สึกหึงหวงมันทรมาน ร้อนรุ่มจนแผดเผาตัวเขาเอง
“นายคิดอะไรอยู่วะ? เราไม่ได้ทำอะไรเลยนะ สาบานได้ว่าเราไม่ได้คิดอะไรกับดิวเลย เราดูเป็นคนที่เชื่อไม่ได้สำหรับนายเหรอ?”
“เชื่อได้”
“แต่นายไม่เชื่อ เราเคยโกหกนายสักครั้งไหม?” นทีพ้อ เรียกร้องความยุติธรรมที่เขาไม่ได้รับ ทั้งที่เขาให้ความสำคัญกับคนตรงหน้ามากกว่าใคร ทั้งที่เขาทุ่มเทให้จนหมดหน้าตัก
ต้นน้ำส่ายหน้า...นทีไม่เคยโกหกเขา มีแต่เขาที่โกหกนที มีแต่เขา...ที่โกหกแม้กระทั่งตัวเอง
“ขอโทษ” ต้นน้ำบอกเสียงสั่น กระบอกตาเริ่มร้อนผ่าว
“ทั้งที่เรารักนาย จริงใจกับนาย...แต่นายกลับปฏิเสธเราเพราะสิ่งที่เราไม่ได้ทำ เหมือนสิ่งที่เราทำมาทั้งหมด...มันไม่มีค่าอะไรเลยสำหรับนาย”
คลื่นอารมณ์กดดันหนักหน่วงจนยากจะต้านทานไว้ได้ “ก็นายหล่อไง นายเป็นคนดังที่ใครๆ ก็อยากเข้าหา นายเป็นคนดีที่ใครๆ ก็ชื่นชม เราหวง...เราไม่อยากให้ใครเข้าใกล้นาย แล้วความรู้สึกนี้มันก็...ทรมานจริงๆ” ต้นน้ำพรั่งพรูความรู้สึกที่เก็บกักไว้ทั้งหมดออกมาพร้อมๆ กับน้ำตาเม็ดโตที่เก็บไว้ไม่อยู่อีกแล้ว ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขาหวงแหนคนตรงหน้านี้แค่ไหน
หวงแหน...แต่ก็หวาดกลัวที่คว้าเอาไว้
ถลำลึก...แต่ก็ไม่อาจถอยกลับมา
แววตาของนทีอ่อนแสงลง “นายคิดว่านายเป็นคนเดียวเหรอ? นายรู้ไหมว่าเรารู้สึกยังไงตอนที่นายวิ่งตามน้ำตาลออกไป นายแคร์ความรู้สึกน้ำตาล นายให้ความสำคัญกับน้ำตาล แล้วเราล่ะ...เคยสำคัญกับนายบ้างไหม?”
ดวงตาสองคู่จับจ้องกันด้วยความรู้สึกหลากหลายปนเป ราวกับจะถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาให้หมด นทีก้าวเข้ามาหา มือใหญ่กอบกุมคว้ามือของต้นน้ำขึ้นไปลูบไล้ใบหน้าของตัวเอง “หน้าตาดีเหรอ? ดังเหรอ? นิสัยดีเหรอ? มันจะมีประโยชน์อะไรถ้านายไม่ชอบมัน มันจะมีประโยชน์อะไร...ถ้าไม่มีนายอยู่ เรามีทุกอย่างที่นายพูดมาก็แค่เพื่อ...ให้คนที่เรารัก...หันมามองเรา และรักเรากลับบ้างเท่านั้นเอง เราไม่ได้มีไว้เพื่อคนอื่น มีไว้ให้นายเป็นเจ้าของ”
ต้นน้ำไล่สายตาไปยังริมฝีปากหยักของนที จมูกโด่ง และดวงตาเฉี่ยวคมที่ฉายความรู้สึกออกมาอย่างไม่ปิดบัง...ทุกอย่างเป็นของเขา
“เป็นของเรา...ทุกอย่าง?”
“ใช่...ทุกอย่าง” มือใหญ่ไล้ริมฝีปากอิ่มแล้วเลื่อนไปยังดวงตาที่มีหยดน้ำเกาะพราว “แล้วนายล่ะ มีปากไว้ยิ้มให้ใคร? มีตาคู่นี้ไว้มองใคร?”
นาย! ต้นน้ำตอบได้ทันที
ไม่มีคำตอบออกมาจากริมฝีปาก มีแต่ถ้อยคำผ่านดวงตาที่จับจ้องแค่เพียงใบหน้าหล่อเหลาเท่านั้น ในดวงตาของต้นน้ำปรากฏเพียงใบหน้าของนทีคนเดียว
มือใหญ่ไล้ไปทั่งดวงหน้าราวกับกำลังร่ายมนต์สะกด “รอยยิ้มนายเป็นของเรา ดวงตานายเป็นของเรา ตัวนาย...ก็เป็นของเรา ได้ไหม?”
“อืม” เสียงตอบแผ่วเบาแต่ดังก้องกังวานในใจของคนที่รอคอยมาตลอด คุ้มค่าเหลือเกินที่ทุ่มเท แบไต๋จนไม่เหลืออะไรที่เป็นของตัวเอง...แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามันมากกว่าที่ให้ไปตั้งไม่รู้กี่เท่า
---------- อ่านต่อด้านล่าง ---------