อาจารย์ปรีชาเจ้าของร่างท้วมและใบหน้าเอื้ออารียืนยิ้มอยู่ที่ท่า รายล้อมด้วยเหล่าคณาจารย์ที่คอยชะเง้อมองคุ้งน้ำข้างหน้าเป็นระยะ การมาเยือนของชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์คนนี้สำคัญยิ่งนัก ด้วยว่าหม่อมราชวงศ์เลอมานคือโอรสคนเดียวของหม่อมเจ้าอาทิตย์ธวัชผู้ให้การอุปถัมภ์โรงเรียนมาช้านาน การต้อนรับจึงจัดขึ้นอย่างสมเกียรติ
“เอ้าเฮ้ย โน่นไง เรือมาแล้ว ตั้งแถวๆ” กำนันเสริมโวยวายขึ้นเมื่อเห็นเรือยนต์ลำหนึ่งแล่นเข้าคุ้งน้ำมา อาจารย์ปรีชารีบกระชับคอเสื้อให้เรียบร้อย อาจารย์อื่นที่ยืนระเกะระกะในตอนแรกต่างพากันยืนเรียงแถว ส่วนพวกชาวบ้านรวมทั้งจ้อยและพวกพรรคต่างพากันชะเง้อชะแง้ คณะกลองยาวลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อม ทุกคนต่างอยากเห็นหน้าอาจารย์ฝึกสอนคนใหม่ที่มียศศักดิ์สูงส่งคนนี้นัก
เรือยนต์แล่นเข้าเทียบท่า อาจารย์ปรีชาพาใบหน้าเปื้อนยิ้มเข้ามายืนใกล้ๆ ผู้ที่ขึ้นจากเรือคนแรกคืออาจารย์คนึง และร่างโปร่งบางที่ค้อมหัวหลบหลังคาเรือก้าวขึ้นมายืนบนท่าคนต่อมาคือชายหนุ่มที่ทุกคนรอคอย
แม้จะเห็นจากในระยะไกล แต่หม่อมราชวงศ์หนุ่มก็เรียกเสียงฮือฮาจากชาวบ้านได้เซ็งแซ่ บางคนชะเง้อมองคอยาวจนแทบจะตกจากตลิ่ง ส่วนพวกสาวๆก็กระมิดกระเมี้ยนขวยเขินกันหน้าแดงก่ำ
“ท่านนี้คืออาจารย์ปรีชา เป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนเรา” คนึงแนะนำให้คุณชายรู้จักบุคคลที่ยืนอยู่หัวแถว
“ยินดีต้อนรับสู่โรงเรียนของเราครับคุณชาย” อาจารย์ใหญ่วัยกลางคนเอ่ยทักทายพร้อมยิ้มกว้างจนหางตาย่น แต่หม่อมราชวงศ์หนุ่มกลับตอบรับเพียงอาการพยักหน้าน้อยๆ.. เท่านั้น แล้วใบหน้างามงดนั่นก็กลับมาเชิดชูคอเหมือนเก่า
ไม่มีการยกมือไหว้ ไม่..แม้แต่จะถอดหมวกออก
อาจารย์ปรีชาเพียงกระแอมในคอ ก่อนหันไปแนะนำผู้ที่ยืนอยู่ถัดจากเขา “นี่คือกำนันเสริม เป็นกำนันของตำบลนี้ครับ”
กำนันร่างใหญ่หัวเราะแหะๆ ถอดหมวกกะโล่ออกแล้วยกมือขึ้นจะรับไหว้ตามความเคยชิน แต่แล้วก็ต้องหัวเราะเก้อ รับไหว้เก้อ ด้วยเพราะชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ทักทายเขาด้วยอาการเดียวกับที่ทักทายอาจารย์ใหญ่
อาจารย์วิรัช หัวหน้าภาคภาษาอังกฤษก้าวขาออกมาทักทายบ้างอย่างมั่นใจ
“กุดอ๊าบเต้อนูนเซอร์ เวลคั่มทู..”
“ผมพูดไทยได้ ไม่ต้องใช้ภาษาอังกฤษ” เลอมานทะลุกลางปล้องเพราะสุดจะทนกับภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่งหู เล่นเอาอาจารย์ร่างสันทัดหน้าม้าน
นายแช่มยกข้าวของขึ้นฝั่งมาได้แล้วก็ตามมายกมือไหว้ผู้มาต้อนรับทีละคนอย่างอ่อนน้อม แนะนำตัวเสร็จสรรพว่าเป็นข้าช่วงใช้ของคุณชาย คนึงมองบ่าวแล้วหันมองนายด้วยสายตาเหยียดหยัน เสียแรงที่มีเชื้อเจ้า กลับทำตัวเย่อหยิ่งจองหอง ไม่ยอมยกมือไหว้กระทั่งอาจารย์ใหญ่หรือกำนัน
ดวงตาคู่สวยทอดมองแถวยาวเหยียดของคนที่พากันมาต้อนรับเขาแล้วนึกเวียนหัวขึ้นมาครามครัน สายตาทุกคู่มองมาทางเขาเป็นจุดเดียว เสียงซุบซิบวิจารณ์ดังเข้าหูเป็นระยะ
“สวยจริงพ่อคุณเอ๊ย ยังกะพระเอกหนังแน่ะ”
“ขาวเป็นหยวกกล้วยเชียวว่ะ”
“ทำไมผมเขาสีอ่อนกว่าเราล่ะ”
“คงอยู่เมืองนอกนานจนเป็นฝรั่งมั้ง”
“ไอ้โง่ ไม่พ่อก็แม่เขาคงเป็นฝรั่งตะหากเล่า”หม่อมราชวงศ์หนุ่มรู้สึกอึดอัดนัก ไหนจะเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ไหนจะเวียนหัวเพราะเมาเรือตั้งแต่อยู่บนเรือเมล์ มือบางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดจมูกเพราะความรู้สึกคลื่นเหียนพุ่งเข้าโจมตี แต่ก็พยายามฝืนทนเอาไว้
“ที่พักของผมอยู่ไหน” เขาหันไปถามอาจารย์หนุ่มที่เป็นคนพาเขามา ให้รู้สึกตึงหน้าขึ้นมาเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบ แถมยังมองกลับด้วยสายตาเคียดขึ้ง จนอาจารย์ปรีชาต้องเป็นคนตอบให้
“คุณชายพักที่บ้านพักอาจารย์หลังนั้นครับ” นิ้วอูมชี้ไปทางเรือนไม้เสาคอนกรีตที่ซ่อนกายอยู่ในดงมะม่วงใบหนา “เดี๋ยวให้คนเอาของไปเก็บให้แล้วเชิญคุณชาย..”
“ผมขอตัวไปพักผ่อนก่อน กรุณาอย่าให้ใครไปรบกวน” น้ำเสียงเรียบนิ่งที่เอ่ยขึ้นทำให้หลายคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก นายแช่มถึงกับเข้ามากระซิบประชิดตัว
“คุณชายเล็ก มันจะดีหรือ เขาจัดงานต้อนรับให้นะขะรับ” สีหน้าบ่าวหนุ่มซีดยิ่งกว่าซีด
“แกก็อยู่แทนฉันไปสิ” คุณชายกลับตอบอย่างไม่แยแส และไม่ทันหลายคนจะคัดค้าน ไม่ทันนายแช่มจะทัดทาน ร่างโปร่งบางก็เดินลิ่วๆผ่านกลุ่มคนที่มองตามไปจนสุดตา
นายสิงห์และพรรคพวกก็อยู่ในกลุ่มนั้น ต่างมองตามคุณชายรูปงามด้วยสายตาแสนทึ่ง
“เหมือนตุ๊กตาที่น้องข้าเล่นตอนเด็กๆเลยว่ะ” หัวโจกเอ่ยขึ้น สายตายังมองตามร่างนั้นทั้งที่เดินไปไกลแล้ว
“เสียดายเป็นผู้ชายเสียได้ ถ้าเป็นผู้หญิงละก็..” ไอ้ลอยหยักยิ้มมุมปาก ดวงตาเจ้าเล่ห์พราวระยับ วูบหนึ่งขณะเด็กหนุ่มสูงศักดิ์เดินผ่าน มันได้กลิ่นหอมจางๆจากร่างนั้น
ช่างยวนใจเสียเหลือเกิน
*************************
หม่อมราชวงศ์เลอมานเดินกึ่งวิ่งมาที่โคนต้นหางนกยูงหน้าบ้านพัก มือเล็กใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากแน่น สีหน้าเขาตอนนี้ผะอืดผะอมบอกไม่ถูก เหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นใครจึงตัดสินใจโก่งคออาเจียนกับโคนต้นไม้นั้น
เพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เที่ยง สิ่งที่ผ่านพ้นลำคอออกมาจึงมีแต่น้ำย่อยขมเปรี้ยว ทรมานเหลือเกิน..
มือหนึ่งที่ลูบหลังให้ทำให้เลอมานตกใจสะดุ้งสุดตัว เขาเอี้ยวหลังมองขวับ พบเด็กหนุ่มร่างเล็กคนหนึ่งในชุดที่คาดว่าเป็นนักเรียนของที่นี่ กำลังขยับปากจะไล่ออกไปแต่กลับถูกความคลื่นเหียนโจมตีอีกระลอกจนต้องยอมแพ้แก่รอยมืออ่อนโยนนั้น
หม่อมราชวงศ์หนุ่มทิ้งตัวลงนั่งหอบบนแคร่ไม้ไผ่โคนต้นหางนกยูง ดวงตาคู่สวยจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่เอาแต่ยิ้มด้วยสายตาไม่พอใจ ใครใช้ให้หมอนี่มาเห็นเขาในสภาพน่าอดสูกันเล่า สักพักร่างนั้นก็หันหลังวิ่งขึ้นบันไดไปบนบ้านแล้วประคองขันน้ำใบหนึ่งมายื่นให้
“อาจารย์คนึงก็เหลือเกิน ดูไม่ออกหรือไงนะว่าคุณชายเมาเรือ หน้าซีดออกขนาดนี้” จ้อยวางขันน้ำลงกับแคร่เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมยื่นมือมารับเสียที
“นี่เป็นน้ำฝนครับคุณชาย ไม่ต้องห่วง ที่นี่ใครๆก็ดื่มกันทั้งนั้น” เขาเอ่ยเมื่อเห็นสายตาคลางแคลงใจของอีกฝ่าย “ถ้าไม่ดื่มก็ล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย จะได้สดชื่น”
ผู้สูงศักดิ์กว่าคว้าขันขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ เขาบ้วนปากแล้วลองดื่มดูด้วยความกระหาย ให้นึกแปลกใจว่าน้ำฝนนี้ช่างชื่นใจอย่างน่าประหลาด ดวงตาสีน้ำตาลเพ่งพิเคราะห์สารรูปเด็กหนุ่มตรงหน้า ร่างเล็กผอมบางในเสื้อสีขาวตุ่น กางเกงมีรอยปะชุน รองเท้าที่ใส่ก็เป็นรองเท้าแตะเก่าๆ แต่ดวงตาเป็นประกายและรอยยิ้มสดใสนั้นช่างเป็นมิตรชวนมอง
ไม่ถึงอึดใจ ทั้งสองก็เห็นร่างสูงร่างหนึ่งกำลังเดินตรงมาทางนี้ด้วยสีหน้าขึ้งเครียด
“กลับไปที่งานเดี๋ยวนี้!”
ประโยคคำสั่งนั้นทำให้หม่อมราชวงศ์เลอมานโกรธจนลมแทบออกหู ได้แต่พยายามสะกดโทสะเอาไว้อย่างสุดกลั้น ตั้งแต่เกิดมา นอกจากท่านพ่อแล้ว ไม่มีใครหน้าไหนกล้าสั่งเขามาก่อน
“คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังพูดกับใคร อย่ามาใช้น้ำเสียงแบบนี้กับผม” ร่างโปร่งบางลุกพรวดขึ้น อดหัวเสียไม่ได้ที่แม้จะลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงแล้วอีกฝ่ายก็ยังสูงกว่าเขามากนัก
คนึงยิ้มหยัน รู้สิ กำลังพูดกับเด็กไร้มารยาท เย่อหยิ่งจองหองน่ารังเกียจอยู่อย่างไรล่ะ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้พูดไปดั่งใจคิด
“สิ่งที่คุณทำวันนี้มันเสียมารยาทมาก”
“แล้วไง ผมไม่ไปเสียอย่าง คุณจะทำไม”
“ถ้าคุณไม่กลับไป ผมจะโทรศัพท์ไปทูลฟ้องท่านชายอาทิตย์” ชื่อบิดาที่ถูกเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดนั้นทำให้เลอมานชะงัก ยอมจำนนด้วยความไม่เต็มใจ เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ สะบัดหน้าเดินกลับไปที่งานอย่างเสียมิได้
จ้อยได้แต่มองตามทั้งสองพลางถอนหายใจ ความบาดหมางไม่ลงรอยได้เริ่มขึ้นตั้งแต่วันแรกอย่างนี้ แล้วระยะเวลาอีก ๑ ปีที่หม่อมราชวงศ์เลอมานต้องอยู่ที่นี่ รอยร้าวนั้นจะลุกลามใหญ่โตไปสักแค่ไหน จะถึงขั้นแตกสลายเลยหรือเปล่าหนอ
**********************
เวลาผ่านไปจนถึงหัวค่ำ การร่วมรับประทานอาหารเย็นกับคณะอาจารย์ก็ผ่านพ้นไปด้วยดี เลอมานยังจำสีหน้าของนายแช่มได้ดีว่ามันดีใจมากแค่ไหนที่เห็นเขากลับไป และจำสีหน้าของเหล่าอาจารย์ทุกคนได้ดีเช่นกัน
ไม่ว่ามันจะเป็นสายตาอิดหนาระอาใจ เหนื่อยหน่าย ไม่พอใจ อ่อนใจ หรืออะไรก็ตามแต่ สายตาเหล่านั้นก็ไม่อาจทำให้เขาสะดุ้งสะเทือนได้ การถูกเลี้ยงดูมาอย่างฝรั่ง แถมยังถูกหม่อมแม่พะเน้าพะนอเอาใจราวกับไข่ในหิน ไม่ว่าเพื่อนฝูงหรือบ่าวไพร่ก็ปฏิบัติกับเขาเช่นผู้มีศักดิ์สูงกว่า สิ่งเหล่านั้นหล่อหลอมให้หม่อมราชวงศ์เลอมานไม่เคยนึกถึงความรู้สึกใคร ไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตาทั้งสิ้น
ระหว่างมื้อเขาทานได้น้อยคำ ด้วยนึกเหยียดหยันในรสชาติสตูไก่ที่พยายามปรุงให้อร่อยเท่าต้นตำรับ สีหน้าเขาคงแสดงออกไม่น้อยตอนที่อาจารย์ปรีชาบอกว่าแม่ครัวปรุงให้สุดฝีมือ ทุกคนในโต๊ะถึงได้ทำหน้ากระอักกระอ่วนอย่างนั้น
หลังมื้ออาหารที่น่าเบื่อหน่าย อาจารย์หนุ่มร่างสูงก็พาเขาและนายแช่มมายังห้องพักบนเรือนไม้ใต้ถุนสูงขนาด ๑๕ เสา คะเนด้วยสายตาแล้วพบว่ามีห้องพักอื่นอีก ๓-๔ ห้อง ผ่านห้องนั่งเล่นตรงกลาง พวกเขาถูกพามายังห้องหนึ่ง ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปพบเตียงสองหลังตั้งอยู่คนละฝั่งห้อง คิ้วเรียวถึงกับขมวดมุ่น
“นั่นเตียงใคร” ใบหน้างดงามเชิดขึ้นถามอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะหันไปสำรวจทั่วห้องกว้าง เครื่องเรือนทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเตียงนอน ตู้เสื้อผ้า หรือโต๊ะเขียนหนังสือ ทุกอย่างมีเป็นคู่และถูกจัดวางในลักษณะแบ่งพื้นที่ครึ่งห้อง โดยกั้นกลางไว้ด้วยชั้นหนังสือ
“เตียงผมเอง” คำตอบของอีกฝ่ายทำให้หม่อมราชวงศ์หนุ่มแทบสำลักอากาศ “ห้องพักอาจารย์กำหนดให้อยู่ห้องละสองคน และพอดีอาจารย์ที่เคยอยู่ห้องนี้กับผมตอนนี้เขาไม่อยู่แล้ว ที่สำคัญผมก็ได้รับมอบหมายให้ดูแลคุณด้วย”
“ไม่มีห้องเดี่ยวหรือ”
“ไม่มี” คนึงเอ่ยเสียงเรียบ เรียบพอๆกับใบหน้านิ่งขึง “ที่นี่บ้านพักไม่ใช่โรงแรม”
นายแช่มเห็นประกายตาเจ้านายวาววับด้วยความไม่พอใจ และเห็นอาจารย์ร่างสูงใหญ่ปลีกตัวไปที่โต๊ะทำงานอย่างไม่แยแส มันก็เริ่มเห็นท่าไม่ดี รีบเข้าไปประคองคุณชายที่รักไปนั่งพักที่เตียงอย่างประจบ และจัดแจงสัมภาระในกระเป๋าเก็บเข้าที่
คนึงพยายามข่มอารมณ์ไว้ เมื่อได้ยินเสียงเลอมานบ่นแต่เรื่องความคับแคบของห้องพักและไร้สิ่งอำนวยความสะดวกจากอีกฝั่งห้องแว่วมา ฝ่ายนั้นจงใจพูดให้เขาได้ยิน เขาแน่ใจเช่นนั้น
“นี่คุณ คุณน่ะ” ร่างโปร่งเดินมาหยุดเรียกเขาอยู่ข้างชั้นหนังสือใหญ่ที่ถูกใช้กั้นกลางห้อง “คุณชื่ออะไรนะ”
ดวงตาคมวาวขึงตาใส่อีกฝ่าย คิ้วหนาขมวดมุ่น เจ้าเด็กไร้มารยาทนี่จำชื่อเขาไม่ได้จริงๆหรือจงใจแกล้งถาม
แต่ไม่ว่าจะสาเหตุไหนก็แสดงถึงความไม่น่าคบได้พอๆกัน
“เอ่อ..อ-อาจารย์คนึงขะรับ คือ..” บ่าวหนุ่มผิวคล้ำยืนกุมเป้าถาม “คุณชายจะอาบน้ำแล้ว ไม่ทราบว่าห้องน้ำอยู่ไหนหรือขะรับ”
*************************
“นี่น่ะหรือห้องน้ำ”
เลอมานพึมพำแผ่ว สองนายบ่าวถือไฟฉายฝ่าความมืดจากบ้านพักมาหยุดอยู่หน้าห้องน้ำตามที่คนึงชี้บอก ความจริงแล้วเรียกว่าโรงอาบน้ำน่าจะถูกกว่า ดวงตาคู่สวยมองผนังก่อด้วยสังกะสีอย่างหยาบๆด้วยความแคลงใจ เมื่อเปิดประตูเข้าไป เปิดไฟสว่าง มีอ่างใส่น้ำที่ก่อด้วยปูนขนาดใหญ่อยู่กลางห้องกว้าง พื้นปูนเฉอะแฉะ กลิ่นอับน่ารังเกียจทำให้ต้องยกมือขึ้นปิดจมูกโด่งรั้น
“ไม่มีห้องน้ำที่ดีกว่านี้แล้วหรือ” ความขยะแขยงแล่นพล่านจนเด็กหนุ่มอดบ่นไม่ได้
“แต่อาจารย์คนึงบอกว่าใครๆก็อาบที่นี่นะขะรับ”
เลอมานจึ๊ปากอย่างขัดใจ รับผ้าขนหนู,เสื้อคลุมและสบู่ฝรั่งจากบ่าวมาถือไว้ แล้วไล่ให้มันออกไปเฝ้าที่หน้าโรงอาบน้ำ กำชับนักหนาว่าอย่าให้ใครเข้ามาเด็ดขาด
นายแช่มออกไปแล้ว.. เหลือเขาอยู่คนเดียวในห้องน้ำโล่งกว้าง..
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองไปรอบๆห้องอย่างประดักประเดิด เขาไม่เคยอาบน้ำในห้องน้ำที่กว้างขนาดนี้มาก่อน มันโล่งเสียจนไม่ต่างอะไรกับอาบน้ำในที่แจ้ง แต่ยังอุ่นใจอยู่บ้างเพราะมีนายแช่มเฝ้าอยู่ข้างนอก
ไม่มีฝักบัว ไม่มีน้ำอุ่น ไม่มีอ่างอาบน้ำให้นอนแช่ มีแต่ขันสาครบุบๆวางอยู่บนขอบอ่าง
เขาเหลียวมองไปรอบๆอีกครั้ง ก่อนค่อยๆปลดเปลื้องเสื้อผ้าตนออกจนเหลือแต่ร่างเปลือยเปล่า ค่อยๆอาบน้ำอย่างทุลักทุเล
เพียงน้ำขันแรกรดกายก็ร้องคราง.. มันช่างเย็นเหลือใจ
ขันแล้วขันเล่าราดรด มือบางค่อยๆบรรจงทำความสะอาดไปทั่วร่าง เรือนผมสีน้ำตาลเปียกลู่ หยดน้ำเกาะพราวทั่วผิวเนียนเรียบ
จู่ๆเด็กหนุ่มก็พลันได้ยินเสียงแกร๊กที่ประตู
มือที่กำลังละเลงฟองบนศีรษะชะงัก
ใคร!?นายแช่ม!?เสียงคนคุยกันแว่วๆดังขึ้นพร้อมประตูไม้บานเก่าเปิดผางออก ฟองสบู่ราคาแพงที่อยู่บนศีรษะเริ่มไหลเข้าตา ทำให้เขาเห็นหน้าคนบุกรุกเข้ามาได้ไม่ชัดนัก รู้แต่ว่าพวกนั้นมีไม่ต่ำกว่า ๒ คน!
“นั่นใคร!” โปรดติดตามตอนต่อไป--------------------------------------------------------------------------------------
*เพลงหงส์เหิร, แก้ว อัจฉริยะกุล ประพันธ์, เพ็ญศรี พุ่มชูศรี ขับร้อง
** ศกุนตลาดอกไม้ตอบเม้นท์จ้า
Lukakaขอบคุณที่ตามมาให้กำลังใจกันนะคะ จะรีบกลับไปเขียนต่อเร็วๆนี้ค่ะ
Wordslingerขอบคุณคุณแป้งจี่มากๆเลยค่ะ คอยตามเชียร์ตลอดไม่ว่าจะบอร์ดไหน แหะๆ (เกาหัวแก้เขิน) นิยายเรื่องนี้ก็ไม่ได้สรรพคุณดีเลิศอะไรหรอกค่า แค่คนเขียนเขียนขึ้นมาด้วยความรักเท่านั้นเอง ^^
Cocoaharryขอบคุณที่รอติดตามค่ะ^^
Dahliaชื่อเรื่อง ‘มหาหงส์’ มาจากชื่อดอกไม้ที่เราชอบมากๆเลยค่ะ
Kenshinkenchuอ้าวนึกว่าใคร เหมือนเจอเพื่อนเก่าเลยค่ะ มามะขอกอดที
ใกล้จะได้เขียนต่อแล้วค่ะ เพราะนิยายเรื่องแรกที่ต้องรีบปั่นของเราใกล้จบแล้ว เขียนจบเมื่อไหร่เดี๋ยวรีบมาเขียนเรื่องนี้ต่อเลยค่ะ
Zymphonizขอบคุณสำหรับกำลังใจจ้ะ ไม่ลืมมี่จังกับโนโนะแน่นอน เพราะว่าใกล้จบแล้วจ้า
Kangkawขอบคุณมากสำหรับกำลังใจค่ะ^^
jeaby@_@แหะๆ มีคนชวนมาลงน่ะค่ะ ที่นี่คนเยอะดีจัง (ตื่นเต้น ตื่นคนค่ะ) ขอบคุณที่ให้กำลังใจกันเสมอไม่ว่าบอร์ดไหนนะคะ
@BUA@ขอบคุณสำหรับคะแนนค่ะ ^^
IIMisssoMIIคุณน้ำส้มนี่เอง ขอบคุณที่ยังรอกันนะคะ จะรีบไปเขียนต่อเร็วๆนี้แหละค่ะ
~l3aml3ery~555+ น้อง Bambery นี่เอง เจอกันทุกบอร์ดเลย โลกกลมหรือพรหมลิขิต^^
しろやま としんやแหะๆๆ สรุปเลยลงทั้งหมด 3 บอร์ด วันไหนอัพพร้อมกันทีเดียว 3 บอร์ดละแย่แน่เลย ยิ่งชักช้างุ่มง่ามโลว์เทคอยู่ด้วย -_-“ สำหรับตอนใหม่ อดใจรออีกแป๊บนึงนะคะ^^
Irksomeขอบคุณที่มาจุดประทัดต้อนรับค่ะ (อุดหูๆ)^^
januarys13ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ เราจะอัพอาทิตย์ละตอนเน้อ
Sorsoขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ สู้ๆ ฮึบๆ
iforgiveดีใจที่ชอบค่ะ นิยายเรื่องนี้ภาษาติดจะโบราณๆหน่อยเน้อ (ตามอายุคนเขียน^^)
golove2อันนี้ต้องคอยติดตามค่ะ ^^
Mioแนวย้อนยุคเป็นแนวที่อยากเขียนมานานแล้วค่ะ (รู้ว่าเขียนยากแต่ก็ยังอยากจะเขียน) หากมีตรงไหนผิดพลาดทักท้วงชี้แจงได้เลย ยินดีรับฟังทุกความเห็นค่ะ
สามคำ >>> ขอบ คุณ ค่า ^^
ดอกไม้
๒ ธ.ค. ๒๕๕๔