บทที่ ๒หงส์ปีกหักโอ้เจ้าหงส์ฟ้าเอย แสนงาม
เหตุไฉนถึงทรามทำตัวเย่อหยิ่งหนักหนา
อวดเป็นหงส์ทอง ลอยล่องฟ้า
เหยียดหยามปักษาพวกเดียวกันว่าต่ำเพียงดิน
อย่าหยิ่งนักเลยนะเจ้า พลาดพลั้งจะเหงา
ซบเซาเศร้าทรวงเอง * เมื่อเหลือเขาอยู่เพียงคนเดียวในห้องกว้าง คนึงถอนใจพรูขณะเดินไปเปิดหน้าต่างตรงหัวเตียง ลมเย็นฉ่ำพัดพากลิ่นหอมเย็นของดอกมหาหงส์มาด้วย ชายหนุ่มเผลอสูดเข้าไปเต็มปอด ดวงตาคมกล้าแหงนมองดวงดาวพริบพราวเบื้องบน ป่านนี้คนรักของเขาจะเงียบเหงาอ้างว้างอยู่ ณ ดาวดวงใดกัน
ยิ่งคิดยิ่งชอกช้ำ ร่างคนรักของเขาเพิ่งเป็นเถ้าธุลีไปเมื่อวาน พอมาวันนี้ เพียงเพราะการมาถึงของเด็กหนุ่มผู้จองหองคนนึง ก็ทำให้ทุกคนสนุกสนานร่าเริง ต้อนรับกันอย่างครึกครื้นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนการตายของคนรักของเขาไร้ค่าไม่ต่างอะไรกับดอกไม้ดอกหนึ่งที่ร่วงหล่นจากต้น
อาจารย์หนุ่มหันกลับมามองไปรอบห้อง เดิมชั้นหนังสือนี้เคยตั้งอยู่ชิดริมผนังจนกระทั่งจินดาจากไปและเขาต้องจัดห้องใหม่ต้อนรับหม่อมราชวงศ์เลอมาน โต๊ะเขียนหนังสือ หรือแม้กระทั่งเตียงนอนล้วนเป็นสิ่งที่จินดาเคยใช้ ยิ่งมองยิ่งชวนระโหยไห้
ลมพัดมาซู่ใหญ่จนผ้าม่านปลิว เสียงหรีดหริ่งระงมเงียบกริบ พริบตานั้นคนึงได้ยินเสียงฝนกระหน่ำลั่นอยู่ในอก
ไม่เคยอดทนถมเขื่อนขึ้นกั้นได้
คืนนี้ความทรงจำคงหลากไหลท่วมท้นอีกแล้ว
***********************
“นั่นใคร!” เลอมานร้องถามลั่นก่อนวิ่งไปฉวยเสื้อคลุมมาปิดร่างเปลือยเปล่า ดวงตาคมวาวจ้องผู้บุกรุกอย่างเอาเรื่อง
จ้อย สันติและสง่าในผ้าขาวม้ายืนตะลึงอ้าปากค้าง สง่านั้นถึงขั้นทำขันน้ำในมือร่วงกระทบพื้น เสียงเคร้งดังลั่นเตือนสติทั้งสามให้หันหลังขวับพร้อมกัน
“เสียมารยาท! ไม่รู้หรือไงว่าฉันอาบอยู่!” เลอมานน้ำเสียงพร่าไปด้วยความโกรธ เร่งร้อนใส่เสื้อคลุมไหมด้วยมือสั่นเทา
“ขอโทษครับคุณชาย” จ้อยเอ่ยทั้งที่ยังหันหลังให้ “ที่นี่เป็นห้องน้ำรวม พวกเราไม่รู้จริงๆว่าคุณชายอาบอยู่ คือ..”
ยังไม่ทันพูดจบ เด็กหนุ่มผู้สูงศักดิ์ก็เดินลิ่วๆผ่านหน้าออกไป ทิ้งให้ทั้งสามยืนเซ่ออยู่กับความเงียบงัน
....................
“ขาวว่ะ” สง่าพูดเหมือนเพ้อ สายตายังมองตามร่างที่เพิ่งเดินจากไป
“อะไรขาว” สันติถามพาซื่อ
“ทั้งตัวเลย”
“อืม..” เด็กหนุ่มร่างผอมสูงขยับแว่นตาพลางพยักหน้า ก่อนสะดุ้งตั้งสติได้ “เฮ้ย ไอ้บ้านี่ ผู้ชายเหมือนกันแท้ๆ โอยๆ..เห็นทีตาจะเป็นกุ้งยิงแน่”
เพื่อนทั้งสองหันไปเตรียมอาบน้ำอาบท่า ในขณะที่จ้อยได้แต่ส่ายหน้าด้วยความเป็นห่วงอาจารย์ฝึกสอนคนใหม่นัก
“ไอ้แช่ม!” หม่อมราชวงศ์หนุ่มเรียกลั่นเมื่อออกมาหน้าโรงอาบน้ำ แล้วให้นึกฉงนนักเมื่อไม่เห็นบ่าวยืนเฝ้าอยู่ตามที่สั่ง
“ไอ้แช่ม ไปมุดหัวอยู่ที่ไหน! ไอ้แช่ม!!” คำนำหน้าชื่อเปลี่ยนไปจากที่เคยด้วยโทสะ แต่เรียกไปก็ป่วยการเปล่า ไม่มีแม้เงาของนายแช่ม เขาจึงตัดใจเดินกลับบ้านพักเพียงลำพังอย่างกระฟัดกระเฟียด
‘ลูกหมาตกน้ำ’
คนึงคิดในใจทันทีที่เห็นสารรูปเด็กหนุ่มที่เดินเนื้อตัวเปียกซ่กเข้าห้องมา อาการเดินลงส้นและปิดประตูเสียงดังอย่างไร้มารยาทบ่งบอกได้ดีว่าเจ้าตัวอยู่ในอารมณ์ใด
แต่กระนั้นเขาก็เพียงเงยหน้าจากงานขึ้นมองด้วยสายตาเย็นชา เมื่ออีกฝ่ายมายืนอยู่ริมชั้นหนังสือกั้นอาณาเขต กระชากเสียงเรียกเขาห้วนๆ
“คุณ!” ร่างโปร่งหอบหนัก ดูไม่ออกว่าเพราะเหนื่อยหรือโกรธ “มีห้องน้ำอื่นอีกไหม!”
อาจารย์หนุ่มเหยียดมุมปากอย่างจะหยัน ถอดแว่นที่มักใส่ประจำเวลาตรวจงานหรืออ่านหนังสือ ดวงตาคมสำรวจฝ่ายตรงข้ามหัวจรดเท้า ผมสีน้ำตาลเรียบลู่มีฟองสบู่ไหลย้อยจนเจ้าตัวต้องคอยใช้หลังมือปาดออก ทั้งร่างเปียกโชกจนเสื้อคลุมไหมสีน้ำเงินแนบเนื้อตัดกับผิวขาวจัด ริมฝีปากแดงที่กระทบกันดังกึกๆ
คุณชายผู้จองหองต้องมาอยู่ในสารรูปนี้ สมน้ำหน้าแล้ว
“ไม่มี” คนึงตอบไม่ยี่หระ “ทำไม อาบไม่ได้หรือไง”
“มีคนอื่นอาบอยู่นี่”
“แล้วอาบรวมกับคนอื่นไม่ได้หรือ”
“ไม่ได้!”
ชายหนุ่มถอนใจหนักๆด้วยความรำคาญ ก่อนลุกขึ้นยืนแล้วหันไปหยิบของบางอย่างจากตู้เสื้อผ้าส่งให้
“อะไร” หม่อมราชวงศ์หนุ่มถาม มองผืนผ้าพับลายตารางในมือใหญ่ด้วยความไม่เข้าใจ
“ผ้าขาวม้าไง ไม่รู้จักหรือ” ใบหน้าหล่อคมเลิกคิ้วถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนนิ่ง “อยู่ที่นี่ต้องหัดอาบน้ำแต่งตัวในที่สาธารณะ ผ้าขาวม้านี่จะขาดเสียไม่ได้ เอาไปเลยผมให้ นุ่งซะแล้วลงไปอาบที่ตุ่มหัวบันไดก็ได้”
เด็กหนุ่มสูงศักดิ์กัดริมฝีปากนิ่ง ไม่ยอมยื่นมือมารับเสียที คนึงจึงชักกลับทำท่าเหมือนจะเอาไปเก็บ “หรือจะไม่อาบก็ตามใจ ปล่อยให้สบู่คาหัวอยู่แบบนั้นแหละ พรุ่งนี้ผมร่วงหมดหัวอย่ามาโทษผมก็แล้วกัน”
คำขู่นั้นได้ผล เมื่อร่างโปร่งบางถลันมาฉวยผ้าขาวม้าไปถือไว้ แล้วเดินกลับไปยังฝั่งตัวเอง คนึงหัวเราะขึ้นจมูก ทั้งขันทั้งหยัน ก่อนจะกลับไปนั่งที่โต๊ะตามเดิม แล้วไม่นานนัก เขาก็ได้เห็นเด็กหนุ่มตัวขาวในผ้าขาวม้าผืนเดียวเดินไปยังประตู
“เดี๋ยว..” คนึงเรียกไว้ พลางลุกขึ้นเดินไปหา
“อะไร” ใบหน้างามหวานหันขวับ กระชากเสียงห้วนอย่างรำคาญ ถอยหลังออกอย่างไว้ตัวเมื่อร่างสูงเดินเข้ามาใกล้ สายตาคมวาวที่จ้องท่อนล่างของเขาชวนให้อึดอัดนัก ฉับพลันนั้นร่างโปร่งก็สะดุ้งโหยงเมื่อมือใหญ่ฉวยปมผ้าของเขาไว้
“ทำอะไรน่ะ! ปล่อย!” ร่างเล็กขู่ฟ่อเหมือนลูกแมวระแวง มือบางพยายามยื้อยุด
“นุ่งแบบนี้โดนน้ำสองขันก็หลุดแล้ว” น้ำเสียงและดวงตาเรียบนิ่งตรึงให้เขายืนอึ้งอยู่กับที่ยามมือใหญ่นั้นมัดปมผ้าให้ใหม่จนแน่นขึ้น “เอ้า.. อาบให้ดีๆล่ะ เกิดทำผ้าหลุดขึ้นมา ใครมาเห็นเข้าเขาจะนึกว่าเปรต”
“เปรต?” คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น “อะไรคือเปรต?”
อาจารย์หนุ่มเพียงหัวเราะในลำคอก่อนหันหลังจากไป ทิ้งให้เขาลงส้นออกจากห้องไปด้วยความฉุนเฉียวยิ่งนัก
คืนเดือนมืดดาวพราวพร่าง เสียงหรีดหริ่งเรไรร้องระงม แต่หม่อมราชวงศ์หนุ่มไม่มีกะใจมาชื่นชมด้วยกำลังตักน้ำในตุ่มขึ้นราดหัวโครมๆ อย่างรีบเร่ง
บ้านป่าเมืองเถื่อนแท้ๆ เด็กหนุ่มคิด..
ถ้าตอนนี้เขาอยู่ที่บ้านในกรุงลอนดอนละก็.. อย่าว่าแต่บ้าน แม้โรงเรียนกินนอนของเขาก็ยังมีสภาพดีกว่าที่นี่ มีห้องน้ำสะอาดมิดชิด มีฝักบัว มีอ่างอาบน้ำ มีน้ำอุ่น มีโทรทัศน์ มีวิทยุ มีแสงไฟสว่างไสว ไม่ทุรกันดารมืดมนเหมือนที่นี่
มือบางยกขึ้นลูบไล่หยดน้ำจากใบหน้า นึกทุเรศตัวเองนัก ถ้าท่านพ่อไม่บังคับละก็ เขาไม่มีทางมาเหยียบที่แผ่นดินนี้เด็ดขาด ไร้ความเจริญ ไร้ความศิวิไลซ์ ผู้คนหรือก็แปลกประหลาด
ยังไม่ทันครบวัน เขาก็ทนอยู่ที่นี่แทบไม่ได้เสียแล้ว แล้วอีก ๑ ปีข้างหน้าเล่าจะเป็นอย่างไร
เด็กหนุ่มสลัดความคิดว้าวุ่นในหัว คว้าเสื้อคลุมขึ้นมาใส่แล้วผลัดผ้าขาวม้าเปียกๆออกวางกองไว้กับพื้น
พลันกลิ่นหอมประหลาดก็โชยรื่นกระทบนาสิก
กลิ่นนั้นไม่หอมหวานเหมือนกลิ่นลิลลี่ ไม่ได้หอมยวนใจเหมือนกลิ่นกุหลาบ แต่เป็นกลิ่นดอกไม้ที่หอมเย็นสะอาดใสและแสนอ่อนโยน
เขาพยายามหาที่มาของกลิ่นหอม ซึ่งก็หาได้ไม่ยากนัก
ข้างตุ่มมีต้นไม้ที่เขาไม่เคยเห็นขึ้นเป็นกอหนาแน่น แต่ละยอดกอเต็มไปด้วยดอกสีขาวชูช่อสลอน รูปทรงเหมือนผีเสื้อกางปีกโผบิน กลิ่นนั้นเล่าหอมซึ้งตรึงใจนัก เลอมานจึงถือวิสาสะเดินเข้าไปใกล้ๆ สัมผัสกลีบบอบบางอย่างชื่นชม
ประทับใจเสียจนเด็ดติดมือขึ้นมาดอกหนึ่ง
น่าประหลาดนัก.. ที่ดอกไม้ธรรมดาเพียงดอกเดียวสามารถจุดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าที่บูดบึ้งมาทั้งวันของเขาได้อย่างง่ายดาย
คนึงยังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน เมื่อหม่อมราชวงศ์เลอมานกลับเข้ามาในห้องพร้อมกลิ่นหอมที่เคยคุ้น และเมื่อหันไปดูก็จริงดังคาด เจ้าของใบหน้าหวานฮัมเพลงหงุงหงิงอย่างอารมณ์ดี
ในมือมีดอกมหาหงส์คลอเคลียอยู่ใต้จมูก!
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เสียงเข้มตวาดก้องจนร่างโปร่งชะงัก ตกตะลึงยามร่างสูงใหญ่ก้าวอาดๆมาหาจนเรือนสะเทือน “ไปเอาดอกไม้นี่มาจากไหน”
“ข้างล่าง” เลอมานตอบด้วยดวงตาฉงน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเมื่ออีกฝ่ายตวาดก้อง
“กล้าดียังไงมาเด็ดดอกไม้ของผม! ไม่มีมารยาท!!”
ฟางเส้นสุดท้ายฟาดลงมากลางใจ ตั้งแต่พบหน้ากัน เขากับอาจารย์บ้านนอกคนนี้ไม่เคยพูดกันด้วยไมตรีเลยสักครั้ง ไหนจะเสียมารยาทใส่ชุดไว้ทุกข์ไปรับ และกี่ครั้งแล้วที่บังอาจตะคอกใส่หน้าเขา
“กะอีแค่ดอกไม้ หวงด้วยหรือ” เขาเชิดหน้าท้าทาย ซ่อนดอกไม้ไว้ข้างหลังเมื่อมือใหญ่พยายามแย่งคืน ความจริงเขาจะคืนให้ดีๆก็ย่อมได้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายอยากมาหยามเกียรติเขาก่อน..
“อยากได้ก็เอาคืนไป” สิ้นคำพูดนั้น มือเรียวเขวี้ยงดอกไม้บอบบางลงกับพื้น คนึงตะลึงตาค้าง ความตะลึงแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธถึงขีดสุดเมื่อหม่อมราชวงศ์หนุ่มซ้ำรอยเท้าตนตามลงไป บดขยี้..
วินาทีนั้น ชายหนุ่มรู้สึกราวหัวใจตนถูกเหยียบย่ำเหมือนดอกมหาหงส์ดอกนั้น
ดอกไม้ของจินดา ดอกไม้ของคนรักของเขา ดอกไม้ที่พวกเขาร่วมกันทะนุถนอมปลูกและเฝ้ามองมันออกดอกเบ่งบาน ขณะนี้กำลังแหลกสลายอยู่ใต้ฝ่าเท้าเด็กหนุ่มชั้นสูงแต่จิตใจต่ำทรามคนหนึ่ง
ราวกับลืมตนไปชั่วขณะว่าเป็นครูอาจารย์ เป็นมนุษย์จำพวกที่ควรระงับอารมณ์โกรธได้ดีว่าใครๆ แต่เมื่อเส้นความอดกลั้นขาดผึง ร่างสูงใหญ่ถลันไปผลักอกคนตัวเล็กกว่าอย่างแรงจนเซ ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในฐานะใด
“คุณ!!” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนวาวโรจน์อย่างเอาเรื่อง แผ่นอกบางหอบหนัก “มันจะมากเกินไปแล้วนะ!”
ยังไม่ทันที่การทะเลาะเบาะแว้งจะบานปลายกว่านั้น นายแช่มก็วิ่งกระหืดกระหอบเปิดประตูเข้ามาทันห้ามทัพพอดี
เสียงนายตะคอกถามบ่าวว่าหายหัวไปไหนมา..
เสียงบ่าวละล่ำละลักแก้ตัวว่าไปเข้าส้วม..
เสียงอาจารย์หลายคนข้างนอกมาเคาะประตูถามว่าเกิดอะไรขึ้น..
ทุกเสียงล้วนผ่านหูเขาไปเหมือนสายลมพัด ร่างสูงย่อตัวลงเก็บดอกมหาหงส์ที่บอบช้ำแหลกสลายไว้ในอุ้งมืออย่างทะนุถนอม ดูเอาเถิด.. กลีบช้ำถึงปานนี้ แต่กลิ่นนั้นยังหอมซึ้งนัก..
“อย่ามาแตะต้องดอกไม้ของผมอีก”
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ก่อนค่อยๆพามันออกมาจากความวุ่นวายสับสน ผ่านกลุ่มอาจารย์ที่ยืนมุงหน้าห้อง เมื่อลงบันได เสียงของคนที่เขาหมายหัวว่าจะจงเกลียดจงชังชั่วชีวิตก็แว่วมาให้ได้ยิน
“เจ้าครูบ้านนอกนั่น คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ท่าทางคงไม่อยากเป็นครูอยู่โรงเรียนนี้เสียแล้ว คอยดูเถอะไอ้แช่มรับรองหมอนั่นเดือดร้อนแน่”
คนึงยิ้มหยันให้กับคำพูดนั้น ขณะเดินตรงไปยังท่าน้ำ ค่อยๆวางเจ้าดอกสีขาวลงบนผืนน้ำอย่างอ่อนโยน เฝ้ามองสายน้ำพัดพามันไปอย่างสงบนิ่ง
สายตาคมกล้าหันมองไปยังหน้าต่างห้องพักตนที่ยังเปิดไฟสว่างนวล ริมฝีปากได้รูปหยักยิ้มเหยียดหยัน
ใครกันแน่ที่จะเดือดร้อน หม่อมราชวงศ์เลอมาน บูรพวงศ์!
********************
ฟ้ายังมืด เสียงระฆังตีห้าครั้งดังแว่วมาจากวัดใกล้เคียง ผสมกับเสียงไก่โก่งคอขัน ปลุกคนึงให้ตื่นนอนตามความเคยชิน เขาคว้าผ้าขนหนูพาดบ่าเตรียมไปล้างหน้าล้างตา พอหันมองไปอีกฝั่งห้อง เห็นนายแช่มกำลังม้วนเสื่อที่ตนปูนอนปลายเตียงนายอย่างขะมักเขม้น
“อรุณสวัสดิ์นายแช่ม ตื่นเช้าจริง”
“อ้าวอาจารย์ อรุณสวัสดิ์ขะรับ” บ่าวหัวยุ่งยิ้มทัก ก่อนลดเสียงลงเป็นกระซิบ “เรื่องเมื่อคืน อาจารย์อย่าโกรธคุณชายเลยนะ คุณชายอาจเอาแต่ใจตัวเองไปหน่อย แต่จริงๆก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอก”
ชายหนุ่มหัวเราะหึในคอ หันมองคนที่ ‘ไม่ได้เลวร้ายอะไร’ ที่ยังนอนหลับอุตุอยู่บนเตียง แล้วเดินออกจากห้องไป
อาจารย์หนุ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าจากเสื้อกุยเฮงกางเกงแพรที่ใส่ตอนนอนเป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้น นั่งจิบกาแฟอยู่กับเพื่อนอาจารย์ ๓ คนที่ห้องนั่งเล่น
“คิดถึงจินดานะ” อาจารย์ประพนธ์เอ่ยเปิดประเด็นเล่นเอาเขาใจวูบ
“ผมชงกาแฟเองไม่ได้เรื่องเลย จินดาชงอร่อยกว่าเยอะ ผมถึงชอบให้เขาชงให้” อาจารย์วิรัชยกกาแฟขึ้นจิบแล้วส่ายหน้า “แล้วก็จะทำขนมเล็กๆน้อยๆมาแกล้มด้วย”
“ช่างสรรหาดอกไม้มาปลูก เขามือเย็นนะปลูกอะไรก็งาม สงสารแต่ดอกไม้พวกนี้ ต่อไปใครจะดูแล”
“น่าเสียดาย คนดีๆไม่น่าอายุสั้นเลย”
“อาจารย์คนึงล่ะว่าไง คุณสนิทกับเขาไม่ใช่หรือ” อาจารย์วิรัชหันมาถามเมื่อเห็นเขาเอาแต่นิ่งเงียบ คนึงกลับตอบคำถามนั้นด้วย
อาการเหม่อลอยหม่นเศร้าจนไม่มีใครกล้าถามอีก
ดวงตาคมเข้มเหลือบมองนาฬิกาลูกตุ้มบนผนังบอกเวลาตีห้าครึ่ง ครั้นหันไปมองยังห้องตัวเองแล้วต้องถอนใจเหนื่อยหน่าย หากมีเวทมนตร์ เขาจะเสกให้คนที่อยู่ในห้องนั้นคือจินดา ไม่ใช่เจ้าเด็กจองหองคนนั้น
แต่คงเป็นได้เพียงความฝัน เมื่อเขากลับเข้าห้องอีกครั้งเพื่อพบกับความจริง..
“คุณชายเล็ก ตื่นได้แล้วขะรับ” บ่าวผิวคล้ำเขย่าแขนผู้เป็นนายยิกๆ “ต้องตื่นแล้วขะรับ”
เรียกไปก็เท่านั้น ร่างบนเตียงเพียงครางในคอ พลิกกายหนีอย่างรำคาญ คนึงเห็นอาการนั้นแล้วนึกชังนัก
ขี้เกียจเหมือนหมูไม่มีผิด
นายแช่มหันมองเขาราวจะขอความช่วยเหลือ อาจารย์หนุ่มถอนใจเฮือกก่อนเดินไปสะกิดร่างบอบบางที่หลับสนิทบนเตียงอย่างเสียไม่ได้ คิ้วคมขมวดมุ่นเมื่อมือเรียวปัดมือเขาออกเหมือนปัดแมงหวี่แมงวัน
“อือ..อะไรเล่า อย่ายุ่งน่า..” หม่อมราชวงศ์หนุ่มบ่นงัวเงียทั้งที่ยังหลับตา ก่อนพลิกกายหันหลังให้แล้วหลับต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชายหนุ่มกัดฟันกรอดพลางหันมองไปรอบๆเพื่อหาสิ่งที่ต้องการ โต๊ะเล็กถัดจากเตียงแปรสภาพเป็นโต๊ะวางเครื่องประทินผิวทั้งครีม แป้งและน้ำหอมนานา แต่บนโต๊ะเขียนหนังสือกลับว่างเปล่าไม่มีหนังสือสักเล่ม อ้อนั่น..มีเหยือกน้ำเหยือกหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ
ร่างสูงเดินไปคว้าเหยือกแก้วที่มีน้ำใส่อยู่เกินครึ่งแล้วกลับมาข้างเตียง นายแช่มตาโตเท่าไข่ห่านเมื่อคาดการณ์ได้ว่าเขาจะทำอะไร
ซ่า!!!
“เฮ้ย!!” บ่าวผู้ภักดีร้องลั่น เมื่อมือใหญ่สาดน้ำลงบนใบหน้านายของมันอย่างไร้ความลังเล ร่างบางสะดุ้งเฮือกสุดตัวจนลุกขึ้นนั่งพรวด ผมสีน้ำตาลอ่อนเปียกลู่ หยดน้ำเกาะพราวเต็มใบหน้าหวาน ไหลลงมาถึงส่วนอกจนเสื้อนอนแบบฝรั่งเปียกแนบเนื้อ
วินาทีแรกเลอมานยังสับสนระหว่างความฝันและความจริง แต่เมื่อได้เห็นอาจารย์ร่างสูงถือเหยือกน้ำไว้ในมือด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง โทสะก็พุ่งพล่านจนหน้าแดงก่ำ
“คุณทำบ้าอะไร!” อะ..ไอ้ครูบ้านนอกคนนี้บังอาจนัก ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กล้าดียังไงมาสาดน้ำใส่เขาแบบนี้ ตั้งแต่เกิดมา แม้แต่ท่านพ่อหรือหม่อมแม่ก็ยังไม่เคยทำแบบนี้กับเขา แล้วเจ้าหมอนี่เป็นใครกัน!
“ตีห้าครึ่งอาจารย์และนักเรียนที่นี่ต้องไปออกกำลังกายที่สนาม” คนึงเอ่ยเสียงเรียบ เรียบพอๆกับใบหน้า “เชิญ”
“ออกกำลังบ้าบออะไร ผมไม่ไป!” หัวก็ยุ่ง หน้าก็ยับเพราะรอยผ้าห่ม แถมยังเปียกปอนไปครึ่งตัว สภาพแบบนี้เขาจะออกไปได้ยังไง
“ตามใจ” อาจารย์หนุ่มเอ่ยไม่ยี่หระ แต่ทำให้อีกฝ่ายถึงกับชะงักเมื่อเอ่ยประโยคถัดไป “ไว้ค่อยรายงานท่านชายอาทิตย์ทีเดียว”
ใช้ท่านพ่อมาขู่เขารึ ร้ายกาจนัก เลอมานจ้องมองคนึงตาขวางขณะถูกนายแช่มดึงแขนให้ลุกจากที่นอน รุนหลังให้ออกจากห้อง