เช้าตรู่..
เสียงฝีเท้าวิ่งทั่กๆๆๆ ขึ้นบันไดจนเรือนไหว
เสียงไม้เรียวกระทบน่องดังเผียะ
เสียงเลอมานร้องโอ๊ย โวยวาย “จะตีอะไรนักหนา บอกกันดีๆก็ได้”
เสียงอาจารย์คนึงเอ็ด “สอนไม่เคยจำ อยู่บนเรือนให้เดินเบาๆ” และอีกสารพัดจะสรรหามาเอ็ด
อาจารย์ทุกคนที่อยู่ในเรือนไม้ได้ยินเสียงเหล่านี้เสียจนชาชิน
ในห้องน้อยริมสุด อาจารย์หนุ่มกับลูกศิษย์ก่อสงครามย่อยๆกันไม่เว้นแต่ละวัน ฝ่ายลูกศิษย์พกกิริยาแบบฝรั่งมาเต็มตัว เดินเหินปราดเปรียวว่องไว หลังแข็งก้มลำบาก มือแข็งไหว้ใครยาก ปากกระด้างพูดจาไม่มีหางเสียง จนฝ่ายอาจารย์ผู้เข้มงวดเจ้าระเบียบต้องตั้งต้นสอนใหม่หมด
“ไหว้ผู้ใหญ่ให้นิ้วหัวแม่มือจรดปลายจมูก สูงไปๆ นั่นเอาไว้ไหว้พระ”
“เวลาเดินผ่านผู้ใหญ่ให้ก้มหลังด้วย”
“เวลาคนเขากำลังพูดกันอย่าพูดสอดเข้ามา”
“อย่าเดินข้ามสิ่งของ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าเดินข้ามคนเป็นอันขาด”ตกเย็น..
เสียงเพลงบทเรียนภาษาไทยจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงดังแว่วมาจากห้องน้อย หากมองผ่านเข้าไปในบานประตูที่เปิดกว้างรับลม จะเห็นครูศิษย์นั่งเรียนภาษาไทยกันอย่างขะมักเขม้น.. ว่อกแว่กบ้างในบางที
ผ้าม่านลูกไม้พัดพลิ้ว ลมเย็นโบยโบกกลิ่นดอกไม้หอมอวล หม่อมราชวงศ์หนุ่มนั่งอยู่ที่โต๊ะ ในมือจรดดินสอลงบนสมุด คัดตัวอักษรโย้หน้าโย้หลัง หูก็ฟังเสียงเพลงจากแผ่นเสียงคลอ เพลงที่ใครได้ฟังก็ต้องอมยิ้ม
หนูจ๋า..หนูคนดี..หนูฟังเพลงนี้แล้วจงจำให้ขึ้นใจ..
เพลงนี้พี่จะร้องน้องจำไว้..บทเรียนภาษาไทย..พี่จะร้องให้เจ้าฟัง..เพลงสำหรับเด็กอนุบาลมาดังแว่วอยู่ในโรงเรียนฝึกหัดครู ใครผ่านไปผ่านมาก็ชะโงกมองหน้า ‘หนูจ๋า’ กันเป็นทิวแถว แต่ ’หนูจ๋า’ ไม่ตลกด้วย
“ต้องเริ่มตั้งแต่กอไก่เลยหรือ” ใบหน้างามเงยขึ้นประท้วงอาจารย์ผู้นั่งคุมที่อีกฝั่งโต๊ะ
“คัดก.ไก่ถึงฮ.นกฮูกให้ได้เสียก่อนเถอะ” ว่าแล้วก็ใช้ไม้บรรทัดเคาะข้อนิ้วลูกศิษย์จนมือดีด ก่อนดุ “แล้วนั่นอะไร ซ.โซ่โย้เป็นซ.เซ่อแล้วนั่น”
ร่างสูงถอนใจก่อนลุกขึ้นเดินอ้อมไปด้านหลังนักเรียนตัวดี โน้มใบหน้าลงไปจนได้กลิ่นหอมอ่อนๆจากเรือนผมนุ่ม มือใหญ่กุมมือเรียวไว้มั่น จับลากเส้นให้เป็นตัวหนังสือช้าๆ ทีละตัวๆ
เพลงจากแผ่นเสียงยังคงดำเนินต่อไป
น.หนูดูยุ่ง ม่านมุ้ง บ.ใบไม้ ป.ปลาขี้หึง ผ.ผึ้งร้องไห้.. ***ทันทีที่ได้ยิน เลอมานหัวเราะคิก หันหน้ามาถามทันควัน “อาจารย์”
จมูกเฉียดแก้มไปแค่เส้นยาแดงผ่าแปด!
แต่แค่นั้นก็เล่นเอาร้อนวาบ อาจารย์ผงะ รีบปล่อยมือ รีบถอยออกห่าง
“ป.ปลากับผ.ผึ้งเป็นคนรักกันหรือ” เสียงใสถามกลั้วหัวเราะไม่รู้เรื่องรู้ราว “อาจารย์ดูสิ ปลาอยู่ในน้ำ จะคบกับผึ้งได้ยังไง ฮ่าๆๆ ผึ้งก็ขี้น้อยใจซะด้วย”
ปล่อยให้นักเรียนหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างสุดขำ คนึงเดินอ้อมชั้นหนังสือใหญ่มาที่โต๊ะทำงานของตัวเอง ซ่อนอาการของตนจากอีกฝ่าย มือใหญ่วางลงที่อกซ้าย ประหลาดใจนักที่มันเต้นรัวเร็วผิดปกติ
ปลอกแขนทุกข์ยังคงวางอยู่บนโต๊ะทำงาน อาจารย์หนุ่มเอื้อมไปหยิบมาถือไว้แน่น เพ่งมองราวกับต้องการตอกย้ำความอาลัยลงสู่ก้นบึ้งของหัวใจ เพ่งมองราวกับเตือนใจตน
*********************
เลอมานไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ ว่าตั้งแต่วันนั้นอาจารย์คนึงกลับมามีท่าทีเย็นชาใส่เขาอีกแล้ว
ฝ่ายนั้นยังคงพูดกับเขา เพียงแต่เปลี่ยนไป ถามคำตอบคำ และไม่ค่อยสบตาเวลาพูด แถมยังชอบทำหน้าบึ้งใส่ ทั้งๆที่เขายังไม่ทันทำอะไรผิดสักนิด
ไม่อยากนึกภาพเลยว่าถ้าวันใดเขาทำผิดขึ้นมาจริงๆคนึงจะโกรธเขาขนาดไหน
ดั่งโบราณว่าไว้ เวลาวารีไม่คอยใคร วันนั้นจึงเดินทางมาถึงรวดเร็วราวกระพริบตา
หม่อมราชวงศ์หนุ่มเดินเล่นแถวชมรมกสิกรรมเช่นทุกเช้า นอกจากจะมีการปลูกผักเป็นแปลงเขียวละลานตา ยังจัดสรรพื้นที่กั้นตาข่ายทำเล้าไก่ขนาดย่อมไว้ด้วย ดวงตาคู่สวยมองลูกเจี๊ยบขนเหลืองฟูเดินตามแม่ไก่อย่างเพลิดเพลิน คันไม้คันมืออยากโยนอะไรให้มันกินนัก
แถวนั้นไม่มีใครอยู่ให้ถามสักคน พวกจ้อยก็กำลังพากันไปตักน้ำจากท่าขึ้นมาใส่โอ่งเตรียมไว้รดผัก หันไปหันมาก็พบชามตราไก่บรรจุข้าวสารอยู่เต็ม
ใครมันจะไปรู้เล่าว่าข้าวนั่นเป็นข้าวสารที่สมาชิกในชมรมแบ่งสันปันส่วนเอามาจากบ้านเพื่อรวมกันให้จ้อย เอามาวางไว้ตรงนั้น เขาก็คิดว่าเป็นอาหารไก่น่ะซี จ้อยและพรรคพวกมาเห็นชามเปล่าถึงกับหน้าซีด ในขณะที่พวกแม่ไก่และลูกเจี๊ยบอิ่มหมีพีมัน
เรื่องถึงหูอาจารย์คนึงเร็วราวกับไฟลามทุ่ง ที่พอมาถึงก็เปิดฉากบริภาษเขาทันที
“เราเกิดและเติบโตที่เมืองนอก อยู่สุขสบายมาตลอด คงไม่รู้จักความยากลำบากของคนไม่มีจะกินสินะ”
“กะอีแค่ข้าวชามเดียว ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย”
“แค่ข้าวชามเดียวหรือ” ความโกรธระยิบในดวงตาคมดำ “รู้ไหมว่าตอนครูเด็กๆ ประเทศไทยประสบวิกฤติหนัก เศรษฐกิจย่ำแย่ นักการเมืองแย่งชิงอำนาจ ประชาชนขาดแคลนข้าว ต้องเข้าคิวใช้บัตรแย่งกันซื้อข้าวกิน ทั้งที่ประเทศไทยปลูกข้าวเองจนเหลือใช้”
ไปกันใหญ่แล้วเอย.. จากเรื่องข้าวสารชามเดียว ลุกลามบานปลายเป็นปัญหาระดับชาติเทียวนั่น
“ข้าวสารแค่หยิบมืออาจไม่มีค่าเลยในสายตาเรา แต่สำหรับคนที่เขาไม่มี มันมีค่ามหาศาล ต่อไปอย่าพูดแบบนี้อีก และที่สำคัญขอโทษจ้อยและทุกคนซะ!”
“มะ..ไม่เป็นไรครับอาจารย์” จ้อยละล่ำละลัก “ผมผิดเองครับที่เอามาวางไว้ตรงนี้ ทำให้คุณชายเข้าใจผิด ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ”
“เจ้าตัวเขายังไม่ว่าอะไรเลย อาจารย์จะเดือดร้อนแทนทำไม พูดกันดีๆก็ได้ ทำไมต้องดุ ทำไมโกรธผมมากขนาดนี้” จำเลยขึ้นเสียงใส่บ้างอย่างไม่กลัวเกรง ความน้อยใจแล่นพรูเป็นริ้วๆ
“ขอโทษจ้อยซะ!” เสียงทุ้มตะคอกลั่น ต่อหน้านักเรียนในชมรมนับสิบ เลอมานทั้งโกรธทั้งเสียหน้าจนตัวสั่น เขาเกลียดการถูกทำให้เสียศักดิ์ศรีต่อหน้าผู้คนที่สุด ดังนั้น..คำตอบที่โทสะบงการให้พ่นออกไปก็คือ..
“ไม่!”
อย่าให้บรรยายเลยว่าสายตาที่อาจารย์คนึงมองเขานั้นดุดันน่ากลัวเพียงใด
ใช่ว่าไม่รู้สึกผิด ใช่ว่าไม่อยากขอโทษ เลอมานรู้สึกผิดเต็มอกและอยากขอโทษจ้อยเต็มแก่ เพียงแต่เขาไม่ชอบให้ใครมาออกคำสั่งบังคับ โดยเฉพาะต่อหน้าคนเป็นฝูง
เขายังจำสายตาจ้อยตอนกลับมาเห็นชามว่างเปล่าได้ดี ดวงตาที่ปกติก็เศร้าอยู่แล้วยิ่งโศกสลดกว่าเดิมเป็นสิบเท่า โดยเฉพาะเมื่อเขารู้ว่าข้าวสารนั่นมาจากน้ำใจของเพื่อนๆที่ปันข้าวสารจากบ้านคนละนิดหน่อยมารวมกัน ความสำนึกผิดและเวทนาสงสารยิ่งกัดกินใจ จ้อยกับยายแร้นแค้นถึงขั้นไม่มีแม้ข้าวสารจะกรอกหม้อเชียวหรือ
เขาเอาข้าวของจ้อยไปให้ไก่หมดแล้ว ตัวจ้อยนั้นยังมีอาหารกลางวันของโรงเรียนที่กินฟรีได้ แต่ยายของจ้อยเล่า
ช่วงเช้าเขาวิ่งไปที่โรงอาหาร ถามหานางนกแก้วแม่ครัวใหญ่ ตั้งใจจะขอแบ่งซื้อข้าวสาร แต่เพราะปริมาณข้าวสารในครัวก็มีไม่มากนัก หล่อนแบ่งให้เขาได้แค่กิโลสองกิโลเท่านั้น น้อยนิดขนาดนั้นจะกินได้สักกี่มื้อ
“คุณชายลองไปซื้อที่โรงสีสิ” แม่ครัวร่างใหญ่แนะ “โรงสีของเมียกำนัน อยู่ไม่ไกลนักหรอก แต่ระวังเมียกำนันล่ะ หน้าเลือดอย่าบอกใคร”
ไวเท่าความคิด เด็กหนุ่มสูงศักดิ์รีบฝากคาบสอนตอนบ่ายของเขาให้วิรัชสอนแทน และขอยืมจักรยานของประพนธ์ปั่นไปยังโรงสีของคุณนายพูนทรัพย์ทันควัน
ไม่ทันฉุกคิดว่าคำว่าไม่ไกลนักของนางนกแก้ว หมายถึงเมื่อมาทางเรือต่างหาก
ดังนั้น.. กว่าคุณชายจะถีบจักรยานมาถึงโรงสีได้ก็เล่นเอาหอบแฮ่ก เหงื่อโซมกายจนหลังเปียก สุภาพสตรีวัยกลางคนร่างท้วม ผิวขาวผ่อง แต่งหน้าจัดจ้านที่กำลังดีดลูกคิดเป็นระวิงถึงกับชะงักเมื่อเห็นเขาไสจักรยานเข้าไป ท่ามกลางคนงานวัยฉกรรจ์ทำงานกลางแดดจนตัวมันเลื่อมนับสิบ
“ต๊ายตาย!! คุณชาย!!” คุณนายพูนทรัพย์ถลาออกมาต้อนรับ ทองหยองเต็มตัว เสื้อผ้าลายดอกฉูดฉาดจนเขาต้องหยีตา “ลมอะไรหอบมาคะนี่”
คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นกับคำถาม ก่อนตอบซื่อ “ลมไม่ได้หอบมา ขี่จักรยานมา”
พลางหรี่ตามองคนตรงหน้า ก็หน้าธรรมดานี่ ไม่เห็นจะมีเลือดอย่างที่นางนกแก้วบอกตรงไหน
มืออูมสะบัดพัดพรึ่บ ปิดปากหัวเราะคิก ก่อนเชื้อเชิญเขาเข้าไปใน ’ออฟฟิศ’
‘ออฟฟิศ’ ของคุณนายช่างแสนโอ่อ่า ข้างนอกร้อนแทบไหม้แต่ข้างในเย็นสบายด้วยพัดลมทองเหลืองส่งเสียงหึ่งๆ โต๊ะทำงานไม้สักทอง ชุดรับแขกไม้ชิงชันฝังมุก มีน้ำเย็นๆจากตู้เย็นมาเสิร์ฟเขาอย่างดี หรูหรายิ่งกว่าบ้านอาจารย์ใหญ่เสียอีก
“๔๐ บาทค่ะ” คุณนายพูนทรัพย์บอกราคาข้าวสาร ๑ ถังที่เขาต้องการซื้อ รับเงินไปนับกรีดกรายแล้วถาม “เดี๋ยวอิฉันให้เด็กไปส่งให้ไหมคะ”
เลอมานปฏิเสธ แค่สั่งให้เอาถุงข้าวสารขึ้นท้ายจักรยาน และมัดให้แน่นหนาเท่านั้น โดยไม่ลืมถามก่อนออกมา
“รู้จักบ้านจ้อยหลานยายช้อยไหม อยู่ไหนหรือ”
บ้านจ้อยอยู่เลียบคลองท่อ ถัดจากโรงเรียนไปไม่ไกล แต่กว่าจะไปถึงได้เลอมานต้องผ่านอุปสรรคเหลือแสน ไหนจะน้ำหนักข้าวสาร ๑๕ กิโลกรัมข้างหลังพาให้รถไถลลงข้างทางไปนอนเค้เก้ ไหนจะจักรยานโซ่หลุดกลางทางอีก กว่าจะใส่กลับคืนได้ก็เล่นเอาหน้าตามือไม้มอมแมม ไหนจะแดดเปรี้ยงที่ลงมาตรงหัว
เขาสะโหลสะเหลหมดสภาพเต็มทีตอนเลี้ยวรถเข้าไปในบ้านจ้อย..
เด็กหนุ่มรู้สึกร้อนในอก กล้ามเนื้อเหมือนมีเพลิงมาสุม ริมฝีปากแห้ง หอบหนักเหน็ดเหนื่อย สายตาพร่ามัว เห็นแค่ต้นมะขามใหญ่กลางลานดินกว้าง เห็นหญิงชรานั่งตำหมากอยู่ที่แคร่ เห็นได้เพียงเท่านั้นโลกก็พลันหมุนคว้าง แล้วทุกอย่างก็ดับมืดลง..
*********************
คนึงแปลกใจนักเมื่อเห็นว่าคาบวิชาที่เลอมานรับผิดชอบมีอาจารย์วิรัชเป็นคนสอนแทน ซ้ำเจ้าตัวก็หายไปไม่บอกกล่าว ถามใครก็ไม่มีใครรู้ว่าไปไหน
จองหอง เอาแต่ใจ แล้วยังไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่
กลับมาเมื่อไรล่ะน่าดู!
*********************
“เป็นยังไงบ้างหนู..”
เสียงอ่อนอุ่นกระซิบริมหู เลอมานกระพริบตาสองสามครั้ง โลกยังหมุนรอบตัวเขา ปิดเปลือกตา ลืมขึ้นใหม่ เห็นใบหน้าเหี่ยวย่นก้มต่ำ ในดวงตาฝ้าฟางนั้นเปี่ยมด้วยเมตตา
“ยาย..” เด็กหนุ่มครางเสียงเบา รู้สึกได้ถึงความเย็นจากผ้าชุบน้ำค่อยๆลูบซับตามใบหน้า
“ไปยังไงมายังไง มาเป็นลมเป็นแล้งต่อหน้าต่อตายาย คนแก่ใจหายหมด”
ดวงตาคู่สวยหันมองรอบกาย จักรยานกับถุงข้าวสารนอนนิ่งอยู่ที่พื้น ท้องฟ้าเริ่มเป็นสีส้ม
“ไปนอนพักต่อข้างบนเถอะ ตรงนี้แดดไล่แล้ว ลุกไหวไหมลูก” ร่างผอมบางหากแข็งแรงค่อยๆประคองเขานุ่มนวล เลอมานเปลี้ยไปทั้งกาย ไม่อยากเชื่อว่าหมดสติไปนานเพียงนั้น
บ้านจ้อย.. ไม่สิ เรียกว่ากระท่อมจะเหมาะกว่า
กระท่อมของจ้อยอยู่ริมคลอง มีท่าเล็กๆยื่นลงไปในน้ำ มียอขนาดใหญ่เอาไว้ดักปลา กลางลานดินมีต้นมะขามใหญ่ทะมึนคล้ายเป็นประธานของไม้อื่นๆ มะม่วง ลำไย กระถิน โกสน ซุ้มพลู ฯลฯ พืชพรรณเรียงรายถี่ห่างดูร่มรื่น ถัดไปไม่ไกลมีกระท่อมเล็กๆหลังหนึ่ง พื้นปูไม้ไผ่ ผนังเช่นกัน หลังคามุงใบจากสีคล้ำจัด หม้อดินเผาเคียงกระบวยกะลามะพร้าว จัดวางใต้ซุ้มกล้วยไม้ป่า
หน้าขอนไม้ที่ใช้แทนบันไดมีกอมหาหงส์ขึ้นหนาแน่น กอนี้กระมังที่จ้อยแบ่งไปปลูกให้เขา
เลอมานนอนเหยียดยาวบนระเบียง ลมเย็นพัดใบมะขามแก่ปลิวฟ่อง หอมดอกมหาหงส์โชยมา
กลิ่นยาหอมคลุ้งในอากาศ มือเหี่ยวย่นประคองศีรษะเขาขึ้นป้อน ละลายความพะอืดพะอมดีทีเดียว ทั้งยังค้นในครัวได้มะนาวมาสองซีก ฝานเป็นเสี้ยวบางๆ คลุกเกลือกับน้ำตาล ป้อนเขาทีละคำ ให้หวานเค็มเปรี้ยวกำซาบลงคอ
เริ่มรู้สึกหายใจสะดวกมากขึ้น มีแรงทีละนิด ดึงหมอนที่รองขามากอดไว้ ชวนคุย
“ผมเป็นเพื่อนจ้อย” แล้วยังไงต่อดี.. “จ้อยฝากให้เอาข้าวสารมาให้ยาย”
เขาตัดสินใจโกหก เพราะเกรงว่าถ้าบอกไปตามจริง หญิงชราจะปฏิเสธไม่ยอมรับ
“เพื่อนเรอะ?” ดวงตาเปี่ยมเมตตาสำรวจเขา ยิ้มจนเห็นฟันดำ “อ้อ ที่จ้อยเล่าให้ยายฟังว่ามาจากเมืองนอก พ่อเล็กใช่ไหม”
เขายิ้มแทนคำตอบ ดีใจที่จ้อยเล่าเรื่องตนให้ครอบครัวฟัง
คนสองคน ต่างวัย ต่างชนชั้น นั่งสนทนากันอย่างครึกครื้น
“เมืองนอกนี่มันเป็นยังไงนะ ตั้งแต่เกิดมายายยังไม่เคยไปไกลเกินหัวรอสักที” หญิงชราถามพลางปาดปูนสีส้มลงกับใบพลู มีดคมควั่นหมากแห้งท่าทางชำนาญ นั่งฟังเขาเล่าเรื่องความเจริญศิวิไลซ์ของลอนดอน โทรศัพท์ ไฟฟ้า น้ำร้อน แก๊ส ถนนลาดยาง
“ลำบากไหมลูก มาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง” มือเหี่ยวย่นลูบแขนขาวอย่างอาทร น่าแปลกที่เลอมานไม่รู้สึกรังเกียจสักนิด
“ผมเริ่มชินแล้ว” ว่าพลางเหลียวมองรอบตัว “แล้วบ้านยายไม่มีไฟฟ้าหรือ”
ยายช้อยส่ายหน้าแทนคำตอบ คว้ากระโถนเคลือบลายดอกแดงขึ้นรองรับน้ำหมาก “กำนันบอกว่าไฟยังมาไม่ถึง ลำพังยายน่ะไม่อยากได้หรอก อยู่แบบนี้มาจนชินแล้ว สงสารก็แต่จ้อยมัน ต้องจุดตะเกียงอ่านหนังสือ น้ำมันก็แพงเหลือใจ”
ดวงตาสีน้ำตาลสวยสำรวจรอบกระท่อมเก่า อยู่ห่างกันไม่เท่าไรแท้ๆ แต่ทำไมที่นี่ถึงมีสภาพต่างจากโรงสีของคุณนายพูนทรัพย์นัก
“พ่อเล็กว่าบ้านยายจะน้ำไหลไฟสว่าง เหมือนอย่างที่หลวงท่านบอกไหม”
“แน่นอนสิ” ริมฝีปากบางสวยคลี่ยิ้มสดใสกระจ่าง “ความจริงโครงการส่งผมมาก็เพื่อให้ผมมาช่วยพัฒนา”
อะแฮ่ม.. ถึงพระประสงค์ที่แท้จริงของท่านพ่อ คือเพื่อดัดสันดานเขาก็เถอะ
หญิงชราจ้องมองใบหน้างามนิ่ง นัยน์ตาสีเทาเป็นประกายระยับอย่างประหลาด “ยิ้มสวยจริงลูก”
ในน้ำเสียงนั้นแฝงความอาลัย มือเหี่ยวย่นลูบไล้ใบหน้าของเด็กหนุ่มสูงศักดิ์อย่างทะนุถนอม “ยิ้มสวยเหมือนจินดาหลานยายไม่มีผิด”
“จินดา?!” ชื่อนั้นทำให้เขาชะงัก ความทรงจำในค่ำคืนนั้นไหลบ่าจนอุ่นซ่านที่สองแก้ม “จินดาเป็นหลานยายหรือ เธออยู่ไหม”
ยายช้อยนิ่งมอง ดั่งชั่งใจ
“อยากเจอหรือลูก” ปากเปื้อนน้ำหมากยิ้มเศร้า หันไปทางห้องเล็กๆในกระท่อม “อยู่ในห้องโน่นแน่ะ มาสิเดี๋ยวยายจะพาไป”
ไม้ฟากลั่นออดยามเขาเยื้องย่างฝีเท้าเบากริบต้อยตาม
โลกกลมดีแท้ นึกว่าเป็นคนอื่นคนไกล หรือเป็นสาวบ้านไหน ไม่นึกว่าที่แท้คนรักของอาจารย์จอมโหดนั่นคือพี่สาวของจ้อยนี่เอง ขอยลโฉมหน่อยเถิด อยากรู้นักว่าจะงามสักปานใด ถึงขั้นทำให้คนหลงเพ้อละเมอหาได้
แค่เปิดประตูเข้าไปเลอมานก็ชะงัก ทั้งร่างชาวาบ
ในห้องนั้นไร้วี่แววของหญิงสาวดังที่คาดไว้ แต่กรอบรูปพร้อมกระถางธูปและช่อดอกมหาหงส์บนหลังตู้นั้นแทนคำตอบได้หมดสิ้น
“ยาย” เขาหน้าเจื่อน “ผมขอโทษ ผมไม่รู้ว่าเธอ..”
หญิงชราโบกไม้โบกมือวุ่น เดินนำเขาไปใกล้ๆ
ครั้นพอเห็นหน้าบุคคลที่อยู่ในรูปชัดๆ
ใบหน้าหวานคม นัยน์ตาสวยโศกแสนอ่อนโยน เลอมานสะท้านทั้งร่างเมื่อได้รู้ความจริงชวนสับสน
จินดา.. เป็นผู้ชาย!? โปรดติดตามตอนต่อไป -----------------------------------------------------------------------------
* ไกลบ้าน, ชาลี อินทรวิจิตร คำร้อง, ชรินทร์ นันทนาคร ขับร้อง
** สุนทรภู่
*** เป็นอาขยาน ก.ไก่ ในสมัยนั้นค่ะดอกไม้ตอบเม้นค่ะ
BBChin JungBBไม่ต้องเตะค่ะไม่ต้องเตะ เพราะต่อไปอาจารย์คนึงจะทำให้ชายเล็กตัวแสบเจ็บซะยิ่งกว่าโดนเตะยอดหน้าอีกค่ะ รอติดตามนะคะ^^
tonkhawยังไม่มีฉากอัศจรรย์จ้า แต่เดี๋ยวก็มีเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมจ้ะ
Mioสามคำ >>> เดี๋ยว ก็ ได้ (กันค่ะ)

ขอบคุณที่ทำให้รู้จักเพลงเพราะๆอย่าง “รักระริน” นะคะ ฟังแล้วฟังอีก ฟังกี่รอบก็ไม่เบื่อเลย
Zymphoniz๕๕๕+ ขืนให้สิงห์คู่กับลอยจริง มีหวังโดนคนอ่านรุมกระทืบแน่เลยค่ะ เรื่องนู้นจะจบแล้ว แต่ยังมีตอนพิเศษอีกสองตอน แถมยังต้องรีไรท์อีก โอ.. อยากแยกร่างจริงๆค่ะ ณ จุดนี้
PetitDragonขอบคุณที่ตามไปอ่านที่อีกบอร์ดนึงนะคะ (อีกสาเหตุนึงที่มาลงที่เล้าเป็ดก็เพราะบอร์ดนั้นลงฉาก NC ไม่ได้นี่แหละค่ะ) ตอนนี้อ่านทันถึงหลักกิโลที่เก้าแล้วสิเนี่ย นั่งกินโอเลี้ยงรอก่อนนะคะ อีกไม่นานจะกลับไปเขียนตอนที่ ๑๐ ค่ะ
roseenเอ้ากอด..
yaginว้าว.. ขอบคุณที่ชอบตัวละครในเรื่องนี้ทุกตัวค่ะ เพราะจากเท่าที่ลงบอร์ดอื่น เรตติ้งความเกลียดขี้หน้า คุณชายเล็กมาเป็นอันดับหนึ่งเลย (เขียนยังไงให้นายเอกโดนเกลียดได้นี่เรา) ขอบคุณที่ชอบคุณชายเล็กนะคะ
j4c9yขอบคุณค่ะ สงสัยเพราะเราอ่านนิยายสมัยก่อนมามาก ภาษาที่ใช้ก็เลยไปในทิศทางนั้นค่ะ โบราณๆนิดนึงเน้อ
hongzaa๕๕๕+ จ๋าจ้าน้องหงส์ ก่อนอื่นต้องขอบคุณมากๆนะคะ ที่นำนิยายเรื่องนี้ไปแนะนำในกระทู้ “นิยายแนะนำ..เรื่องนี้ต้องอ่าน” นะคะ สัญญาว่าจะตั้งใจเขียนตั้งใจมาอัพให้ถี่ขึ้นค่ะ
อาจารย์ทำเยอะกว่านี้แน่จ้า แต่รอเวลาอีกหน่อยนะจ๊ะ อ้อ แล้วอย่าแช่งให้ชายเล็กก้นเป็นฝีเลยเน้อ เดี๋ยวใช้งานไม่ได้ขึ้นมาแล้วมันจะยุ่ง ๕๕๕+ ส่วนที่ถามถึงตอนใหม่ ตั้งใจว่าจะอัพในเล้าเป็ดให้ถึงตอน ๙ แล้วค่อยอัพตอน ๑๐ ต่อพร้อมกันทั้งสองบอร์ดค่ะ (ฤกษ์แต่งไม่มีจ้า เพราะถนัดวิวาห์เหาะ ๕๕๕+ จริงๆคือตอนนี้ก็กำลังแต่งอยู่เรื่อยๆค่ะ แต่ไว้รอลงพร้อมกันทีเดียว)
ycrazyเดี๋ยวก็รักกันแล้วค่ะ อดใจรออีกนี้ดเน้อ ^^
ai_no_utaว้าย น้องพิมพ์รู้ทัน (สมแล้วที่เป็นน้องรักของพี่) เพิ่งกลับมาจากเจียงใหม่เจ๊า คุณแม่ของคนสำคัญของพี่ไม่สบายจ้ะ หาเกล็ดเลือดกรุ๊ปโอไม่ได้ พี่เลยขึ้นไปบริจาคเกล็ดเลือดด้วยตัวเองซะเลย (โดดงานไปอีกตะหาก) เลยอัพตอน ๖ ในเล้าช้าไปหน่อยจ้า
zazakappตอนนี้แค่เบาะๆจ้า เริ่มแบบซอฟท์ๆก่อนเนอะ เดี๋ยวตบจูบ(ของอีกคู่)จะตามมา
missoยินดีต้อนรับสู่นิยายเล็กๆเรื่องนี้นะคะ เราจะมาอัพที่เล้าเป็ดอาทิตย์ละตอน ขอสวัสดีปีใหม่ย้อนหลังเช่นกันค่า
เกริด้า(๐-*-๐)vขอบคุณมากๆที่เข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้ และขอบคุณที่ตามไปอ่านถึงอีกบอร์ดนึงนะคะ ^^ ที่บอกว่าบรรยายได้น่าหมั่นไส้นี่ รู้เลยค่ะว่าหมายถึงใคร ^^
dearmeepoohยินดีต้อนรับสู่นิยายเรื่องนี้และยินดีที่ได้รู้จักค่ะ เพราะชอบอ่านแนวย้อนยุคก็เลยตัดสินใจเขียนแนวนี้ ขอบคุณที่ชอบนะคะ
EoBenชอบแนวย้อนยุคเหมือนกันเลยค่ะ แต่ก็ขอสารภาพว่าเขียนยากจริงๆนั่นแหละ เพราะหลายๆครั้งเลยที่พอเขียนๆไปแล้วมานั่งนึก เอ..เราใช้คำถูกยุคถูกสมัยหรือเปล่านะ คำๆนี้ในสมัยก่อนเขาพูดกันหรือเปล่านะ แต่โชคดีค่ะที่อ่านนิยายเก่าๆรุ่นคุณปู่มาเยอะเลยพอจะรู้คำศัพท์หรือสำนวนที่คนสมัยนั้นพูดกัน ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ
silverspoonรอดูพัฒนาการของคุณชาย และเป็นกำลังใจให้เขานะคะ เราเชื่อว่าคนเราทุกคนไม่มีใครเลวร้ายมาตั้งแต่เกิด ทุกคนต่างมีเหตุผลของตัวเอง ทุกการกระทำมีที่มา ตัวละครในเรื่องนี้ทุกคนก็เช่นกันค่ะ ขอบคุณที่อ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ
Phantomขอบคุณสำหรับของขวัญเป็นกำลังใจและคำอวยพรค่ะ แหม..แต่เรื่องลุ้นให้ไม่ดราม่าน้ำตาท่วมนี่ เห็นทีคนเขียนคงต้องคิดหนัก เพราะเราชอบดราม่าที่สุดเลย ๕๕๕+ (ชอบทำร้ายจิตใจตัวละครตัวเองเป็นงานอดิเรกค่ะ) จะพยายามให้หวานๆขมๆเหมือนช็อคโกแลตละกันนะคะ ^^
สวัสดีปีใหม่ย้อนหลังทุกคนนะคะ ขอให้มีความสุขมากๆค่ะ
ด้วยรัก

ดอกไม้
๑๐ มกราคม ๒๕๕๕
ปล. อยากทำสารบัญของแต่ละตอนจังค่ะ แต่ทำไม่เป็น T^T ใครใจดีช่วยสอนนักเขียนโลวเทคตัวน้อยๆทีค่ะ